Extraกว่าสามเดือนแล้วที่มีเสียงดังปึงปังลอดออกมาจากโรงยิมภายในบ้านพักของผู้นำตระกูลฟ็อกซ์รุ่นปัจจุบันทุกเช้าตั้งแต่ว่าที่ ‘ภรรยา’ ของผู้เป็นเจ้าของบ้านย้ายเข้ามาอยู่
ความจริงจะเรียกว่าภรรยาก็ไม่ถูกนักด้วยอีกฝ่ายเป็นผู้ชายที่มีเพศเป็นโอเมก้า แต่ด้วยความพิเศษของร่างกายทำให้ถูกเรียกไปอย่างนั้น เรียกว่า ‘คู่ครอง’ น่าจะฟังดูรื่นหูกว่า
ทว่าเจเรมีก็ไม่ได้สนใจว่าใครจะเรียกเขาอย่างไร เขารู้เพียงแต่เพียงว่าการเอาชนะชายตรงหน้าด้วยการต่อสู้มือเปล่านั้นไม่ง่ายเลย ทั้งที่เขาขอร้องให้คริสซึ่งเก่งในเรื่องศิลปะการต่อสู้หลายแขนงช่วยฝึกฝนให้ ก็เรียกได้ว่าเจเรมีเป็นคนที่เรียนรู้ได้เร็วเลยทีเดียว เสียอย่างเดียวที่ใจร้อนเกินไป เผลอทีไรเป็นต้องพยายามจู่โจมเพื่อเอาชนะคนรักทุกที แต่มีหรือที่คริสจะยอมเป็นฝ่ายถูกล้มง่ายๆ ตอบโต้กลับ รับได้ทุกกระบวนท่าอย่างชำนาญ
เห็นเจเรมีออกอาการฮึดฮัดที่จับเขาทุ่มไม่ได้ก็หัวเราะน้อยๆ อดคิดไม่ได้เลยว่าเจเรมีจะต้องฝึกอีกเยอะโดยเฉพาะในเรื่องของการควบคุมอารมณ์ ก่อนจะนึกสนุกจับเอาเจเรมีทุ่มลงกับเบาะนวมเมื่ออีกฝ่ายจู่โจมเข้ามา
ไม่รู้ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่เขาจับเจเรมีทุ่มอย่างนี้ เหงื่อเม็ดเป้งไหลอาบใบหน้าและร่างกายกำยำของชายหนุ่มทั้งสอง ทั้งคู่พากันหอบหายใจจนตัวโยน พลันคริสก็เหลือบมองนาฬิกาบนผนังแล้วเอ่ยปาก
“จะได้เวลามื้อเช้าแล้ว เลิกเถอะ”
“ฉันไม่ยอมแพ้นายง่ายๆ หรอกคริส!” จากนั้นก็พุ่งเข้าหาคริสอีก
คริสเอี้ยวตัวหลบ เจเรมีหันขวับ ร้องเสียงดัง
“ถ้าไม่ให้ฉันจับทุ่มก็ไม่ต้องมากอด อย่าได้หวังว่าจะเห็นฉันแก้ผ้าอีก!”
คริสถึงกับเลิกคิ้วสูง “สู้ไม่ได้เลยเอาเรื่องนี้มาขู่เหรอ?”
เจเรมีไม่เถียง หัวเราะแต่ก็แสร้งทำกระฟัดกระเฟียด พลันพุ่งเข้าใส่คริสอีก คราวนี้ถูกคริสจับแขนแล้วพลิกรั้งไปด้านหลังก่อนจะดึงตัวเจเรมีเข้ามาแนบแผ่นอก กระซิบที่ใบหูแผ่วเบา
“อย่ามาขู่ฉันหน่อยเลยเจ้าคนขี้โกง”
“ถ้านายไม่ให้ฉันทุ่มก็ลองดู” เจเรมียังไม่วายขู่อีก
คริสจึงยอมปล่อยมือแต่โดยดี เปิดโอกาสให้เจเรมีได้จับเขาทุ่มลงเบาะสมดั่งตั้งใจ แต่คริสไม่ยอมล้มไปคนเดียวหรอก ดึงเอาเจเรมีล้มลงมาด้วยเลยกลายเป็นว่าตอนนี้เจเรมีนอนคว่ำอยู่บนตัวเขา ก่อนทั้งคู่จะพากันหัวเราะกับการฝึกที่ดูจะกลายเป็นการกลั่นแกล้งกันเสียแล้ว
“เจ้าเล่ห์นักนะเจมีตัวแสบ” จากนั้นก็จูบประทับลงไปบนริมฝีปากหนาของเจเรมีทีหนึ่ง
“ก็นายอยากเก่งกว่าฉันทำไม ยอมอ่อนข้อให้บ้างสิวะ”
“แล้วใครบอกให้ฉันอย่าออมมือหืม?”
ถูกคริสยอกย้อน เจเรมีก็เถียงไม่ออก เขาเป็นคนพูดเองแหละเพราะไม่ต้องการให้คริสแสร้งพ่ายแพ้แก่เขา เขาอยากจะเอาชนะอีกฝ่ายด้วยความสามารถที่แท้จริงของตัวเองมากกว่า ทว่าในวันนี้ต้องยอมแพ้แล้วด้วยร่างกายเขาเหนื่อยล้าเกินจะทนไหว พลันพลิกตัวลงไปนอนบนเบาะนวมข้างๆ กับชายคนรัก
“หิวหรือยัง ไปกินมื้อเช้ากันเถอะ เดี๋ยวฉันต้องไปประชุมต่อ” ออกปากชวนอีกครั้งด้วยเกรงว่าจะสายกว่าเวลานัดหมายด้วยมัวแต่มาเล่นกับเจเรมีอยู่อย่างนี้
เจเรมีพยักหน้ารับ หากแต่ไม่ลุกขึ้นตามเมื่อเห็นคริสดันตัวขึ้นยืน ก่อนออกปากไล่
“นายไปเถอะ ฉันขอพักอีกหน่อย ยังไม่หายเหนื่อย”
คริสมองท่าทางของเจเรมีที่ดูเหนื่อยล้าอย่างที่ปากพูดก็พลันสงสัยขึ้นมา
“วันนี้นายดูอ่อนเพลียแปลกๆ ไม่สบายหรือเปล่า”
อ่อนเพลียจริงๆ ปกติแล้วเจเรมีจะไม่แสดงอาการเหนื่อยอะไรอย่างนี้เท่าไหร่กับการออกกำลังกายเพียงชั่วโมงเดียว ความจริงไม่ใช่แค่วันนี้ด้วยที่เจเรมีมีอาการอย่างนี้ เป็นมาพักหนึ่งแล้ว หากสังเกตก็น่าจะสักสองสามอาทิตย์ได้
เจเรมีไม่ตอบคำถามในทันที ส่งมือไปข้างหน้าให้คริสได้ฉุดขึ้นนั่ง
“สบายดี แต่พักนี้ฉันแค่เหนื่อยๆ น่ะ” เจเรมีตอบไปตามจริง ทำเอาคริสยู่หน้า เป็นห่วงเจเรมีขึ้นมาทันควัน
“ถ้าปกติดี แล้วทำไมเหนื่อยง่าย นอนไม่พอหรือไง”
“พอ” คิดดูแล้วก็ไม่น่าจะมีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับการนอน เขานอนหลับดีเป็นปกติทุกวัน เพียงแต่... “มันเหนื่อยง่ายเฉยๆ น่ะ สงสัยช่วงนี้จะทำงานหนักไป”
คริสพยักหน้า เข้าใจว่าเจเรมีหมายถึงงานเกี่ยวกับการผลักดันกฎหมายคุ้มครองโอเมก้าที่เจเรมีรับผิดชอบอยู่ พลันทรุดตัวลงนั่งข้างๆ อีกฝ่าย ยกมือไปขยี้เส้นผมอย่างมันเขี้ยว
“งั้นก็ทำงานให้มันน้อยลงหน่อย โหมไปมันจะทำให้ป่วยเปล่าๆ นะ”
“นายไม่ต้องสนใจฉันหรอก ทำหน้าที่ของตัวเองไปเถอะ ฉันไม่เป็นไร” เจเรมีสะบัดหน้าหนีเล็กน้อยขณะตอบ “แค่ช่วงนี้ร่างกายฉันมันแปลกๆ”
ได้ยินเจเรมีพูดอย่างนั้นก็ชักสงสัยขึ้นมาแล้ว ถ้าเจ้าตัวยังรู้สึกว่าร่างกายตัวเองเปลี่ยนไป แสดงว่ามันต้องมีระบบไหนในร่างกายทำงานผิดพลาดแน่ ทำเอาคริสที่พยายามจะไม่เป็นห่วงอดถามออกมาอย่างร้อนรนไม่ได้ด้วยกลัวว่าคนข้างกายจะไม่สบาย
“แปลกยังไง” พูดไปก็เอามือไปอังหน้าผากและลำคออีกฝ่ายไปด้วย
ครั้งนี้เจเรมีไม่ได้ปฏิเสธการสัมผัสแต่อย่างใด นึกถึงอาการของตัวเองแล้วอภิปรายออกมาทีละข้อ
“ก็เหนื่อยง่าย เบื่ออาหาร ง่วงบ่อย แต่ไม่ใช่ไม่สบายอย่างที่นายเข้าใจ”
ฟังแล้วคริสก็ย่นคิ้ว อาการนั้นมันค่อนข้างจะคุ้นอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
เหนื่อยง่าย เบื่ออาหาร ง่วงบ่อยงั้นเหรอ?
“มีอาการอื่นร่วมด้วยไหม” ถามเพิ่มเติมให้เจเรมีได้ครุ่นคิด
“บางครั้งก็มึนหัวแบบไม่มีสาเหตุ ช่วงนี้จะมึนตอนตื่นนอน บางครั้งก็หน้ามืดแต่ไม่บ่อย”
อาการนี้มัน...
สีหน้าของคริสเคร่งเครียดขึ้นมาฉับพลัน ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นระส่ำขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย รีบถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่จริงจังกว่าเดิม
“เหม็นอะไรด้วยไหม”
“ถามทำไม”
“ตอบมาเถอะน่า”
“เหม็น...เป็นบางอย่าง”
“แล้วฉันล่ะเหม็นไหม” จู่ๆ ก็ยื่นแขนตัวเองไปให้เจเรมีดม ทำเอาเจเรมีปัดออกเสียเต็มแรง
“เหม็นขี้หน้านายมากกว่าอีก เล่นบ้าอะไร ตัวเหนียว!”
ได้ยินอย่างนั้นคริสก็มีสีหน้าโล่งใจขึ้นมาทันตาที่เจเรมีไม่เหม็นเขา ขณะเดียวกันก็โกรธตัวเองที่ไม่ได้สังเกตอาการของเจเรมีเลยแม้แต่น้อย ถ้าหากเจเรมีไม่ออกอาการให้เห็น เขาก็คงไม่ได้เฉลียวใจเลยแม้แต่น้อย
“เป็นมาสักสองสามอาทิตย์แล้วใช่ไหม”
“โดยประมาณ”
ยิ่งฟังก็ยิ่งใจเต้นแรงกว่าเดิม ใจภาวนาขอให้เป็นอย่างที่เขาคิดแต่ก็ยังมั่นใจ กระทั่งหลุดถามคำถามต่อไปออกมา
“แล้วนายไม่ได้เป็นฮีทมากี่เดือนแล้ว”
ถามว่าไม่ได้กอดกันมากี่เดือนคงไม่ได้เพราะเขากับเจเรมียังมีความสัมพันธ์ทางร่างกายกันตามปกติ เพียงแต่เพิ่งจะคิดขึ้นมาได้ว่าเจเรมีไม่มีอาการฮีททั้งที่ควรจะมีทุกเดือนเลยแม้แต่น้อย
เจเรมีเองก็ชะงักไปทันที ย่นคิ้วถามคริสกลับ
“ถามทำไม”
“อยากรู้ ตอบมาเร็วเข้า” เห็นเจเรมีท่ามากก็เร่งเร้าให้ตอบด้วยท่าทางเหมือนสุนัขที่คะยั้นคะยอให้เจ้าของขว้างจานร่อนให้ก็ไม่ปาน
เจเรมีไม่เห็นเลยว่ามันสัมพันธ์กับอาการที่เขาเป็นตรงไหน แต่ก็นั่งนึกแล้วตอบไป
“สอง...ไม่สิ สามแล้วมั้ง ตั้งแต่ที่มาอยู่กับนาย ฉันก็ไม่เป็นฮีทมาสามเดือนแล้วถ้านับรวมเดือนนี้ด้วยน่ะนะ”
เท่านั้นคริสก็เบิกตาโตทันที ใบหน้าดูตื่นตกใจประหนึ่งได้ยินเรื่องคอขาดบาดตาย มือไม้สั่นขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ แต่ก็ยังพยายามประคองสติ ทว่าประคองได้ไม่เท่าไหร่ก็สติแตก โวยวายขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“นั่งอยู่เฉยๆ ตรงนั้นเลย!” จากนั้นก็มีท่าทีลุกลี้ลุกลนจนเจเรมีรำคาญตา
“เป็นบ้าอะไรของนายเนี่ย” ไม่ฟังเลยแม้แต่น้อย ดันตัวลุกขึ้นจากพื้น
คริสเบิกตาโต ถลาเข้ามาคว้าแขนล่ำไว้อย่างรวดเร็ว
“บอกว่าให้นั่งอยู่เฉยๆ ไง!” เสียงดังใส่อีกต่างหาก หน้าตาดูตกใจกว่าเดิมหลายเท่าตัวขณะที่ใบหน้าของเจเรมีมีเครื่องหมายคำถามผุดพรายขึ้นมาเต็มไปหมด
ยอมรับตรงๆ ว่าท่าทางกับน้ำเสียงนั้นทำเอาเจเรมีอึ้งงันไปด้วยเป็นครั้งแรกเลยที่คริสขึ้นเสียงใส่เขาจริงจังขนาดนี้ ก่อนที่สีหน้าของอัลฟ่าหนุ่มจะแปรเปลี่ยนเป็นหงุดหงิด ทว่าไม่ได้ทำอะไรรุนแรงกับเจเรมีนอกจากประคองให้มานั่งยังโซฟาใกล้ๆ เท่านั้น
คราแรกเจเรมีก็ไม่ยอมทำตามหรอก ขัดขืนเล็กน้อยด้วยไม่เข้าใจว่าคริสมีปฏิกิริยาอย่างนี้เพราะอะไร พอถูกอีกฝ่ายดุ
“อย่าดื้อนะเจมี!”
เจเรมีถึงได้ยอมเดินตามมานั่งแต่โดนดี และพอทิ้งตัวนั่งลงได้ คริสก็ออกคำสั่งตามมา
“คราวนี้ห้ามลุกไปไหนเลยนะ ห้ามเด็ดขาด ห้ามขยับด้วย”
“อะไรของนายวะ” ถูกสั่ง เจเรมีก็ต่อต้านตามสัญชาตญาณทันควันเพราะโดยธรรมชาติของเขาแล้วเขาเกลียดการโดนบงการที่สุด อะไรไม่ว่า คำสั่งของคริสมันไร้สาระ
ห้ามขยับเนี่ยนะ... บ้าไปแล้ว!
คริสไม่ให้คำตอบใดนอกจากชูมือข้างหนึ่งขึ้นมาเป็นเชิงบอกให้หยุด ถลึงตาทำหน้าดุใส่ พอเห็นเจเรมีนิ่งถึงได้หุนหันออกจากประตูไป ตะโกนโหวกเหวกเสียงดังลั่น พอจะจับใจความได้ว่าบอกให้คนในบ้านเอารถออกให้เร็วที่สุด ก่อนจะเดินเร็วๆ กลับเข้ามาด้วยสีหน้าร้อนรนระคนยิ้มท่ามกลางความประหลาดใจของเจเรมี
บอกตรงๆ ว่าตอนนี้เจเรมีเดาใจคริสไม่ถูกเลยว่ารู้สึกอย่างไรอยู่ ดูสภาพแล้วอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เหมือนกับคนมีอาการทางประสาทก็ไม่ปาน
ก่อนหน้าตะคอก ตอนนี้ยิ้มร่า เป็นบ้าอะไรของมันกันแน่
แต่ไม่ทันได้ถามก็ถูกคริสยื่นหน้าเข้ามาจูบที่หน้าผาก พอจะอ้าปากสบถก็ถูกช่วงชิงจุมพิตที่ริมฝีปากอีก
“หัวใจของฉันจะมีแค่นาย...เจมี”
ไม่ทันได้ตั้งตัวเลยแม้แต่น้อยก็ถูกคริสบอกรักอ้อมๆ ไปเรียบร้อย
เจเรมีที่ไม่คุ้นชินกับการบอกรักของอีกฝ่ายสักทีหน้าร้อนวูบขึ้นมา ฉับพลันมันก็ร้อนไปทั้งร่างเมื่อคริสถลาเข้ามากอดแน่น จากนั้นก็รีบปล่อย พึมพำอยู่คนเดียวว่า ‘ระวัง...ต้องระวัง’ พลางส่งสายตาจับจ้องที่บริเวณหน้าท้องของอีกฝ่าย ทำให้เจเรมีหงุดหงิดขึ้นมาที่ไม่รู้ว่าคริสเป็นอะไรถึงได้มีท่าทางแปลกๆ อย่างนี้
“นายจะบอกฉันได้หรือยังว่านายทำบ้าอะไรอยู่!”
เสียงที่แผดดังออกมาทำให้คริสรีบส่งสายตาดุให้เจเรมีทันที สวนขึ้นแทบจะในวินาทีนั้น
“อย่าอารมณ์เสียสิเจมี มันไม่ดีนะ”
“งั้นนายก็รีบพูดมาสักทีว่าเป็นบ้าอะไร มัวทำท่าประหลาดๆ อยู่ได้ รำคาญ!” ตะคอกออกมาอีกแล้ว
คริสก็อยากจะบอกอยู่หรอก แต่จู่ๆ เขาก็คิดอะไรขึ้นมาได้เลยชูนิ้วชี้ขึ้นมาตรงหน้าของเจเรมีเป็นเชิงบอกให้รอก่อน พลันหุนหันออกไปข้างนอกห้องอีกระลอก ตะโกนบอกให้คนรับใช้เอารถเก็บเข้าโรงรถดังเดิมแล้วเปลี่ยนเป็นเรียกรถพยาบาลให้มาที่นี่แทน พร้อมกับสั่งยกเลิกการประชุมทันควัน แต่อะไรก็ไม่ทำให้เจเรมีเอะใจเท่ากับประโยคแรกที่คริสร้องบอกคนรับใช้
เรียกหมอมางั้นเหรอ?
เจเรมีนิ่วหน้า ครุ่นคิดหาคำตอบด้วยตัวเอง ประกอบกับท่าทางเพี้ยนๆ ของคริส เท่านั้นก็ได้คำตอบขึ้นมาฉับพลันว่าสาเหตุที่คริสเพี้ยนขึ้นมาเป็นเพราะอะไร
หรือว่าเราจะ...?
มือใหญ่วางลงบนหน้าท้องของตัวเองอย่างเบามือใบหน้าเหลอหลาขึ้นมาทันควัน ใจเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ตั้งสติได้ก็มีรอยยิ้มผุดพรายขึ้นที่ใบหน้าพร้อมกับเสียงหัวเราะในลำคอกับความโง่เง่าของตัวเองที่หัวช้าเสียเหลือเกิน ก่อนจะหัวเราะที่เห็นคริสตื่นตูมจนเกินเหตุด้วย
ก็ควรต้องตื่นตูมอยู่หรอก ก่อนหน้านี้จับเขาทุ่มเอาๆ ตั้งหลายรอบนี่นา ไม่ตาลีตาเหลือกไปตามหมอมาสิแปลก
“ไอ้เวรคริส ทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้ ดีใจมากเกินไปแล้ว” เจเรมีพึมพำ แสร้งทำเป็นก่นด่าคู่ครองของตนกลบเกลื่อนความเขินอายทั้งที่หัวใจพองโตและหุบยิ้มไม่ได้เลย
เขาเองก็ดีใจไม่แพ้กัน... ดีใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ดีใจที่สุดคือการได้รับรู้ว่าภายในตัวของเขามีหลักฐานความรักชิ้นสำคัญระหว่างเขากับคริสอยู่
ไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตจะมาถึงจุดนี้...จากคู่แห่งโชคชะตา กลายมาเป็นตัวปัญหา ตามมาด้วยคู่ครองและสุดท้ายก็คือคู่ชีวิต ต่อให้ฝืนธรรมชาติของตัวเองแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับสัญชาตญาณดิบของตัวเองล่ะสินะ
แต่นี่กระมังที่เป็นข้อดีของการเป็นโอเมก้า... มันมีความสุขอย่างนี้นี่เอง
เจเรมีทอดมองคริสที่กลับเข้ามาในห้องอีกครั้งด้วยสีหน้าดีใจสุดๆ ปรี่เข้ามาตระกองกอดเขาอย่างเบามือราวกับว่าผู้ชายรูปร่างบึกบึน ทั้งตัวเต็มไปด้วยมัดกล้ามอย่างนี้เป็นแก้วเจียระไนที่พร้อมจะแตกหักทุกวินาทีที่สัมผัสก็ไม่ปาน เห็นแล้วก็นึกขำขึ้นมาไม่ได้
“เลิกทนุถนอมฉันเสียทีน่า ขนลุกเป็นบ้า” แสร้งทำเสียงหงุดหงิดว่าออกไป
คริสผละออกมาเล็กน้อย จ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ฉันไม่ได้ถนอมนายสักหน่อย แต่ถนอมจอมวายร้ายตัวน้อยต่างหาก” ว่าพลางลูบไปที่หน้าท้องแกร่งเบาๆ
เจเรมีหลุดหัวเราะออกมาอีกแล้ว เขากักเก็บความสุขที่พร่างพรายขึ้นในใจด้วยการไม่แสดงออกไม่ไหวอีกต่อไป
“ให้ตาย นายกำลังจะทำให้ฉันเป็นบ้า”
ทำให้รักแทบจะเป็นบ้า... ความจริงอยากจะพูดอย่างนี้ต่างหาก
แต่ไม่ต้องบอก คริสก็รู้ว่าเจเรมีคิดอย่างไร ประทับจูบที่ริมฝีปากแผ่วเบา กระซิบเสียงพร่า
“ฉันก็กำลังจะเป็นบ้าเพราะนายเหมือนกัน ฉันจะคลั่งตายอยู่แล้ว”
คลั่งตายอย่างที่ปากพูดแน่ๆ ถ้าได้ยินคำยืนยันจากปากหมอที่กำลังเดินทางมาที่บ้านว่าในตัวของเจเรมีมีทายาทคนสำคัญของตระกูลฟ็อกซ์และเมอร์ซีอยู่จริง
เจเรมีไม่พูดอะไรออกมาอีก รู้อย่างเดียวว่าเขามีความสุข... สุขจนไม่สามารถพรรณนาออกมาเป็นคำพูด ได้แต่โอบกอดคริสตอบ ซุกใบหน้าลงบนไหล่กว้างโดยไม่พูดอะไร ปล่อยให้คริสได้กอดตอบท่ามกลางความเงียบงัน มีเพียงไออุ่นจากร่างกายของทั้งสองที่ส่งผ่านกันและความรักของทั้งคู่เท่านั้นที่อบอวลอยู่ในโรงยิมแห่งนี้
ผู้ชายคนนั้นบ้ามากเลยทีเดียวที่รักเขาได้มากถึงขนาดนี้ และเขาก็บ้ามากเช่นกันที่ยอมให้ทุกอย่างเป็นไปตามเลยเถิดจนกู่ไม่กลับ...ทั้งหมดมันเริ่มต้นจากการที่เขากับคริสเป็นคู่แห่งโชคชะตากันแท้ๆ
แต่ไม่ว่าจะเหตุผลอะไรมันก็ไม่สำคัญอีกต่อไป เพราะในตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ...พวกเขามีชีวิตอยู่เพื่อกันและกัน
คริสมีชีวิตอยู่เพื่อเจเรมี...
เจเรมีก็มีชีวิตอยู่เพื่อคริส…
เหนือสิ่งอื่นใด ทั้งสองมีชีวิตอยู่เพื่อจอมวายร้ายตัวน้อยที่รอวันลืมตามาดูโลก...
ความสุขหลังจากวินาทีนี้ไป ขอให้คงอยู่ตราบนิจนิรันดร์...
-----------------------------
Extra มาแล้ว โผล่มาตอนเกือบเช้า ใครรีเควสตอนเจมีท้อง เอาท้องอ่อนๆ ไป 555
ตอนพิเศษหลังจากนี้จะลงให้อ่านเฉพาะตัวอย่างเท่านั้นนะคะ ใครอยากอ่านเรื่องของลูก้าต่อก็ไปตามในฉบับ Ebook กับหนังสือเอา ออกหลังงานหนังสือ ไปตามเพจนี้ไว้นะ
https://www.facebook.com/RakKunPublishing/ บอกได้เลยว่าเคะแก่ ห่างกัน 18 ปี ลูก้าจะเป็นอมตะ เนื้อคู่เพิ่งเกิด ก๊ากกก XD
จบจริงๆ แล้วจ้า ขอบคุณที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้ ไว้ตื่นแล้วจะมาอัพตัวอย่างตอนพิเศษให้นะ ^^