CH.13 The 3rd boy
Jeremy
เชื่อไหมว่าเมื่อคนเราใช้เวลาอยู่ร่วมกันแล้วจะอ่านอีกฝ่ายออกมากขึ้น
เสียงดนตรีในร้านเหล้าสลับสับเปลี่ยนกันเปิดไม่เป็นเอกลักษณ์ ร้านของผมไม่มีกฎตายตัว วันหนึ่งคุณอาจมาเจอเพลงอะคูสติก อีกวันมาเจอเพลงแจ๊ส แต่รับรองว่าเข้ากับบรรยากาศจิบเบียร์ ลิ้มรสอาหารฟิวชั่นเมนูแปลกๆ ผมเดินออกจากครัว เพิ่งบ่นไอ้หลินว่าทำจานแตกอีกแล้วก่อนทักทายลูกค้าที่บาร์ตามปกติ
“บอส เดี๋ยวนี้เขาไม่มาที่ร้านแล้วเหรอ” ไอ้เป๊กถาม มันแวะมาหยิบพิซซ่าแป้งบางกรอบไปเสิร์ฟ แล้ววนมาอีกรอบเพื่อเอาคำตอบ ถึงแม้เป็นคืนวันศุกร์ แต่เพราะเป็นศุกร์กลางเดือน ลูกค้าบางตากว่าปกติ
“ใคร แซคหรือศิ”
“ทั้งคู่” พอมีเวลาให้เด็กเสิร์ฟหายใจหายคอบ้าง พักหลังมานี้ผมคุยกับเป๊กน้อยลงมาก อาจเพราะมีเรื่องอยู่ในหัวเยอะไปหมด
“แซคก็มาน้อยลงตั้งแต่คบกับพี่ธามนี่ ส่วนกับศิย้ายไปอยู่ด้วยกันแล้วก็ไม่อยากให้มาเฝ้า ยังไงเขาก็รู้เวลากลับบ้านของฉันแบบที่ไม่ต้องโกหกกัน เจอกันที่นั่นเลยก็ได้”
“ทำไมถึงคบเขาจริงจังเหรอ” ไอ้เป๊กถามไม่เลิก มันเท้าคางกับศอก ผมไม่ได้ลืมที่ตัวเองเคยมีสัมพันธ์ทางกายกับเด็กเสิร์ฟในร้าน และไม่เคยลืมความรู้สึกที่มันมีให้ เพียงแต่ตอนนั้นไม่พร้อมจะเริ่มใหม่กับใคร พูดให้ถูก กับศิฑาก็ไม่ได้รู้สึกพร้อมสักนิดเดียว “เซ็กซ์เด็ดมากเลยเหรอ”
“ดีกว่ากับมึงอะ นอนอย่างเดียวไม่ทำเหี้ยอะไร”
“ผมให้บอสบรรเลงเต็มที่ไงเล่า” มันพูดกลั้วหัวเราะ ความสัมพันธ์ของผมกับมันไม่มีปัญหา ไอ้เป๊กอ่อนไหวง่ายแต่พูดรู้เรื่อง “ผมโคตรชอบที่ถูกพี่เอา แต่บางทีมันก็ไม่โอเคว่ะที่รู้ว่าผัวตัวเองชอบเป็นเมียคนอื่น”
“ก็มึงขี้เกียจ ไม่ลุกขึ้นมาเอากูบ้าง”
“ถามจริงๆ ยอมเหรอ ไม่ได้หุ่นอย่างพี่แซค หรือคุณคนนั้น เอ๊ะ ก่อนหน้านี้ก็มีบอร์ดี้การ์ดของพี่เขยที่มาเฝ้าที่ร้านอีกคนนี่นา”
“พูดมากจริง” ผมตัดบทเมื่อเด็กหนุ่มโยงไปถึงทศพล ผมนอนกับเขาสองสามครั้งก่อนอีกฝ่ายจะแสดงความเป็นเจ้าของและมันทำให้สัมพันธ์เราขาดลง บ้าชะมัด แต่เมื่อศิฑาพยายามครอบครองผมกลับชื่นชอบที่ตกเป็นของใครจริงๆ เสียได้
คงจริงอย่างที่ว่า เรื่องบางเรื่องแล้ว เราต้องการแค่คนคนเดียวเท่านั้นที่มีสิทธิ์พิเศษกับมัน
“เออ พูดถึงบอดี้การ์ด คนของคุณศิคนนั้นก็ดูดีอยู่นา เป็นไงบ้าง”
“คนนี้ไม่ได้” ผมสั่งห้าม ทั้งตัวเองทั้งไอ้เด็กแรดตรงหน้า เป๊กย่นจมูกเข้าหากัน ใครกันวะที่ขู่เขาฟอดๆ เมื่อครั้งเจอหน้ากันใหม่ๆ “ศิหวงฉิบหาย”
“หวงบอร์ดี้การ์ดอะเหรอ”
“อื้อ แค่มองนานๆ ก็ดุแล้ว เป็นคนสนิทกับน้องชายที่ตายไปแล้วด้วย เขาไม่อยากให้ถูกปั่นหัว” พูดตามที่คิดเพราะศิฑาแสดงออกมาแบบนั้น เขาอยากให้ผมเข้ากับเจตต์ได้ แต่ไม่ต้องการให้พิเศษกว่าใคร ถ้าไม่ใช่หวงผมก็หวงเจตต์ แต่ให้เดาก็คงหวงทั้งคู่
“ไม่ใช่ว่าคุณศิชอบเจตต์ แล้วพอน้องชายตัวเองตายก็หวังจะเคลมบอร์ดี้การ์ดเองเหรอ”
“เพ้อเจ้อ”
ผมหัวเราะร่วน เมื่อนึกถึงการตายของศุภสินแล้วก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจ ถึงแม้ศิฑาจะพูดว่าการตายของน้องชายเป็นอุบัติเหตุ ผมกลับเห็นเขาง่วนอยู่กับเรื่องคดีราวกับไม่ยอมรับว่าเป็นอุบัติเหตุ ทั้งที่เข้าไปขอข้อมูลกับปีเตอร์ หรือแม้กระทั่งการติดต่อกับพ่อพี่เอื้อที่เป็นนายตำรวจ
องค์ประกอบโดยรวมชวนให้ผมรู้สึกได้ด้วยตัวเองว่าศิฑามีอะไรค้างคาในใจ
“แล้ววันนี้กลับยังไงอะ” เป๊กถาม ผมเปิดลิ้นชักชูกุญแจให้มันดู
“ขับรถมาเอง”
กว่าผมจะกลับถึงบ้านเวลาก็ล่วงเลยเข้าวันใหม่แล้ว กระนั้นไฟในห้องทำงานยังสว่างโร่ วันนี้ลูกน้องของศิฑาที่เดินวนเวียนอยู่รอบๆ ชื่อเข้ม เขาสลับกันทำงานกับเจตต์ มีหน้าที่อื่นนอกเหนือจากผู้ติดตาม บางครั้งที่ศิฑาออกไปทำงานต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ เข้มจะเป็นคนเข้ามาดูแลผมแทน เราไม่เคยคุยกันเป็นการส่วนตัว แต่ศิฑาเล่าว่าเข้มเคยเป็นคนใกล้ชิดของพ่อมาก่อน
ผมแวะเข้าครัวเป็นอย่างแรก ล้างมือให้สะอาดแล้วเปิดตู้เย็น แม่บ้านของศิมักซื้อผลไม้ทิ้งไว้ และผมเป็นคนปอกไปเสิร์ฟรองท้องถ้าคืนไหนเจ้าของบ้านต้องอยู่ทำงานดึก และมักจะเป็นแบบนั้นแทบทุกคืน
“วันนี้มีเมล่อน”
ผมใช้แผ่นหลังดันประตูเข้าไปด้านใน ก่อนวางจานผลไม้ลงบนโต๊ะทำงาน ศิฑาลืมตาขึ้น เดิมทีเขาอยู่ในท่าที่เหมาะสำหรับพักผ่อนมากกว่าขะมักเขม้นทำงานหนัก ผมไม่เสิร์ฟกาแฟให้เจ้าของบ้านยามดึก แต่มักจะเป็นชาคาโมมายด์ หรือไม่ก็นมน้ำผึ้งหวานน้อยช่วยให้หลับสบายก่อนไปต่อสู้กับงานอันหนักหน่วงในรุ่งสาง
“งานที่จะยื่นประมูลกับกระทรวงเดือนหน้าเหรอ”
“อืม ต้องเคลียร์ให้จบในวันสองวันนี้ ฝ่ายอื่นจะได้โปรเซสกันต่อ” เขาพูดถึงแฟ้มเอกสารหนาเตอะตรงหน้า จิ้มเมล่อนหวานกรอบสีเขียวอ่อนเข้าปากกร้วม “พรุ่งนี้ต้องเข้าร้านหรือเปล่า”
“ถ้าไม่มีอะไรก็อาจจะเข้า คุณจะให้เจตต์ไปรับปุณณ์ตอนกี่โมง”
“เย็นๆ แต่พรุ่งนี้บ่ายฉันลางาน” เขาตอบเสียงราบเรียบ แต่เป็นเรื่องแปลกใหม่ ถึงแม้มีตำแหน่งเป็นเจ้าของบริษัทแต่ศิฑากลับไม่เคยหยุดงานถ้าไม่จำเป็น “หลินคลอดลูกก่อนกำหนด”
“คลอดแล้วเหรอครับ”
“ลูกชาย” เขาตอบเสียงราบเรียบ ไม่ตื่นเต้นดีใจ อาจเป็นเพราะเรายังไม่ได้ตกลงกันเรื่องนี้ว่าจะรับหลานมาอยู่ด้วยหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ คือผมไม่ให้ผู้หญิงคนนั้นอยู่ร่วมบ้านหลังนี้เด็ดขาด เด็กใสซื่อ บริสุทธิ์ ไม่มีพิษภัยหรือส่วนเกี่ยวข้องกับความโลภหรือความรัก แต่กับผู้ใหญ่แล้วต่างกัน
ยิ่งศิฑาเป็นผู้ชายประเภทที่แบบไหนก็ได้แล้วด้วย
ผมจะไม่ยอมให้น้ำมันอยู่ใกล้กองไฟเด็ดขาด
“ไปเยี่ยมหลานที๋โรงพยาบาลกัน ตอนเช้าฉันจะให้เจตต์ออกไปซื้อของเตรียมให้”
ผมพยักหน้า แต่อดถามต่อไม่ได้ “คุณคิดจะทำยังไงกับเรื่องนี้ต่อ”
ศิฑาละสายตาจากงานมายังผม เขาประสานมือทั้งสองข้างเข้าหากัน ใข้คางชี้ว่าผมต้องเป็นคนตอบ “นายคิดยังไง”
“เอาเด็กมาเลี้ยงได้ แต่แม่ไม่ให้มา” ผมพูดชัด ไม่อ้อมค้อม ไม่มีประโยชน์ที่จะเป็นคนดีแล้วหวาดระแวงว่าไว้ใจศิฑาได้ไหม ผมไม่ไว้ใจทั้งคนของตัวเองทั้งผู้หญิงที่ว่า “คุณจะให้แม่เขามาเจอ หรือพาลูกไปเล่นด้วยผมก็ไม่ว่า ถ้าอยากเลี้ยงแล้วเงื่อนไขอยู่ที่คุณว่าจะตกลงกับน้องสะใภ้ยังไง แต่ผมไม่ให้อยู่บ้านหลังนี้”
ชายหนุ่มหัวเราะร่วน จับผมไปนั่งบนตัก ใช้ฟันงับบ่าข้างขวาผมเบาๆ ด้วยความมันเขี้ยว “รู้แล้ว แต่สองสามเดือนแรกคงต้องให้แม่เขาเลี้ยง ถ้าเด็กแข็งแรงดี แล้วผู้หญิงต้องกลับไปทำงานเมื่อไหร่ฉันจะขอเขามาดูแลเอง เราอาจจะจ้างพี่เลี้ยงเพิ่มอีกคนถ้าเหนื่อย”
“ถ้าแบบนั้นแล้วเขาจะเรียกร้องเงินจากคุณหรือเปล่า ผมหมายถึงมันเป็นไปได้ที่เจ้าตัวจะเอาลูกมาเป็นเงื่อนไข แล้วมันก็อาจจะไม่จบไม่สิ้น”
“เป็นไปได้ แต่เราต้องไปคุยกับหลินก่อน” ศิฑาพูดเสียงเรียบ บีบหลังมือผมแผ่วเบา “ฉันเคยไปเจอผู้หญิงหนึ่งครั้ง ตอนท้องแก่ เกริ่นถามว่าช่วงนี้ทำงานอะไร ที่บ้านมีปัญหาแค่ไหน แต่ยังไม่ได้คุยเรื่องลูก”
“คุณไปพบเธอ? โดยไม่บอกผม?”
“ช่วงนั้นไปดูโรงงานแถวบ้านของหลินพอดีก็เลยแวะไป ไม่ได้สลักสำคัญอะไร”
ผมรู้สึกขุ่นในอก รับรู้ได้ว่าศิฑาไม่จำเป็นต้องบอกผมทุกการกระทำ แต่กับเรื่องนี้ผมก็ควรมีส่วนเกี่ยวข้อง
“อย่าโกรธน่าเด็กดี คราวหลังถ้าจะไปเจอผู้หญิงคนนั้นอีกฉันจะเล่าให้นายฟัง”
“ผมรู้ว่าผมไบแอส” ไม่ว่าจะจากงานที่ผู้หญิงทำ หรือเพราะมรดกมูลค่าหลายล้านที่เจ้าตัวได้รับไปแบบไม่สมควรทำให้ผมไม่วางใจ ไม่สงสาร และเต็มไปด้วยความระแวดระวัง ผมไม่ใช่คนดี ไม่ได้ขี่ยูนิคอร์นไปทำงาน ไม่ต้องมาถามเรื่องโลกสวยกับผมเลย ขนาดคนนอกยังได้กลิ่นตุแปลกๆ กับการตายของศุภสิน แล้วแบบนี้จะให้วางใจได้ยังไง
“ผมไม่อยากให้คุณเข้าไปยุ่งมากนัก”
“ฉันก็ไม่ได้อยากขัดใจนาย เราแค่เป็นห่วงเด็ก ใช่ไหมเจเรมี่”
ศิฑามองมาด้วยสายตาอ่อนโยน น้ำเสียงทุ้มต่ำอย่างคนใจเย็น เชื่อเขาเลย ต่อให้หงุดหงิดแค่ไหนกลับนิ่งเฉย ผมโคตรเกลียดวิธีการพูดของเขา เพราะตัวเองยอมโอนอ่อนทุกครั้งที่อีกฝ่ายโน้มน้าวจิตใจด้วยท่าทีราวกับไม่มีเรื่องให้กังวลอีกต่อไป
ผมไม่ชอบโรงพยาบาลนัก และเป็นตัวเลือกอันดับท้ายๆ ที่ตัวเองจะยอมมาในกรณีที่จำเป็นจริงๆ ผมเคยบอกพี่จิ๊บว่าถ้าผมตายก็ขอให้เผาเลย ไม่ต้องรักษา แต่บ่อยครั้งก็ต้องแวะเวียนมาที่นี่เพราะคนอื่น ครั้งนี้ก็เหมือนกัน
ลิฟต์จากชั้นลานจอดรถทะยานขึ้นสูง หลินฝากครรภ์ไว้ที่โรงพยาบาลรัฐบาลใกล้บ้าน ซึ่งนับเป็นความคิดที่ดีเพราะเมื่อปวดท้องฉุกเฉินคุณแม่ก็พามาหาหมอได้ทันท่วงที เธอปวดท้องช่วงหกโมงเช้า และคลอดลูกชายตอนสี่ทุ่มของวันเดียวกัน เด็กตัวเล็ก ต่ำกว่ามาตรฐาน คลอดก่อนกำหนดเกือบหนึ่งเดือนเต็ม แต่โดยรวมนับว่าแข็งแรงดี
เมื่อเปิดประตูห้องพักเข้าไป ผมเห็นหญิงสาวสภาพทรุดโทรมนอนหลับบนเตียงผู้ป่วย ไม่ไกลกันมีหญิงวัยกลางคนนั่งอ่านนิตยสารแก้เบื่อของทางโรงพยาบาลที่จัดเตรียมให้ ผมยกมือขึ้นไหว้คนเฝ้าไข้ ให้เดาแล้วแม่ของเด็กคงอ่อนกว่าผมหลายปี เธอรับไหว้ หน้าตาปิติยินดี เจตต์เดินตามมาเป็นคนสุดท้าย วางกระเช้าของฝากบนโต๊ะเตี้ยหน้าโซฟาด้วยความระมัดระวัง
“มาพอดีเลยจ้ะ ใกล้ถึงเวลาให้นมพอดี เดี๋ยวคุณพยาบาลจะพาเด็กเข้ามากินนมแม่”
ศิฑาพยักหน้ารับรู้ หญิงวัยกลางคนที่คาดว่าเป็นมารดาของหลินกุลีกุจอไปเทน้ำใส่แก้วเพื่อเสิร์ฟ ระหว่างที่เดินไปถึงตู้เย็นก็แตะปลายเท้าลูกสาวเป็นการปลุกด้วย
“พี่ศิ” เสียงนั้นแหบแห้ง คุณแม่มือใหม่ปรือตาเปิด ขยับตัวลุกขึ้นนั่งเชื่องช้า
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องลุกหรอก ผมมาเยี่ยมเฉยๆ เป็นยังไงบ้าง หลานแข็งแรงดีนะ”
“ค่ะ แต่คุณหมอบอกว่าต้องดูแลใกล้ชิด เขาตัวเล็กมาก”
“จะได้คลอดง่าย ยังเจ็บแผลอยู่หรือเปล่า”
“เจ็บค่ะ” หญิงสาวเอ่ยเสียงแผ่ว ผมรับแก้วน้ำจากหญิงชรา ก่อนหล่อนจะขอปลีกตัวไปข้างนอกให้แขกพูดคุยกับคนป่วยได้เต็มที่ ผมเคยมาเฝ้าพี่จิ๊บตอนคลอดวิเวียนใหม่ๆ นอนโรงพยาบาลเอกชนหรูหราในฮ่องกง ลางานล่วงหน้าสองสัปดาห์ เด็กถือสัญชาติจีนแต่กำเนิด
“นี่เจเรมี่ แฟนผม”
“สวัสดีค่ะ”
“ไฮ” ผมยกมือทัก ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้เยี่ยมคนป่วย ศิฑาอาสาจะยืน เขาเกาะขอบเตียงแน่นหนา คงนึกย้อนไปถึงวันที่ปุณวิศคลอดกระมัง
“ลูกกินนมได้ใช่ไหม”
“ได้ค่ะ ไม่มีปัญหาอะไร”
“แล้วนี่อุ้มเด็กคล่องหรือยัง” หญิงสาวหัวเราะร่วน เขินอายที่จะตอบว่ายัง แต่เป็นธรรมดาของคุณแม่มือใหม่ ผมนึกถึงพี่จิ๊บที่กว่าจะทำใจอุ้มลูกได้ก็หลายวัน “ช่วงนี้ก็หนักหน่อย หลังจากออกจากโรงพยาบาลคงยังไม่ได้พักอีกยาว ผมจำได้ว่าตอนปุณณ์แบเบาะใต้ตาลึกโหลกันทั้งบ้าน เวลางานก็ต้องทำงาน กลับจากงานก็ไม่ได้นอน ช่วยเมียเลี้ยงลูก”
ช่วงเวลานั้นคงหนักหนาสำหรับเขา แต่ขณะพูดถึงกลับปริ่มไปด้วยความสุข ช่วงเวลานั้นผมไม่ได้อยู่เลี้ยงวิเวียน พี่จิ๊บลาคลอดสามเดือนเต็มตามกฎหมายแรงงาน หลังจากนั้นก็บินกลับมาไทย และนานๆ ทีกว่าจะได้ไปเยี่ยมวิเวียนตามคำอนุญาตของสามี
หลายๆ คนมองว่าชีวิตพี่สาวผมน่าอิจฉา ฐานะ หน้าที่การงาน จวบไปถึงสามีดีพร้อม ใครจะรู้ว่าลึกลงไปปัญหาที่เจ้าตัวเผชิญถาโถมอยู่มากแค่ไหน พี่จิ๊บก็เหมือนผม พูดให้ถูกคือเราเหมือนกันทั้งบ้านที่เวลามีปัญหาต่างเก็บมันไว้ลงลึกในจิตใจ แสร้งทำว่าไม่เป็นไรแม้จะยับเยินเต็มทน
เสียงเคาะประตูห้องดังขออนุญาตก่อนพยาบาลพี่เลี้ยงในชุดเครื่องแบบจะเดินเข้ามาพร้อมรถเข็น มีเด็กน้อยตัวเล็กกว่าแมวนอนลืมตาโพลง ห่อหุ้มทั้งร่างกายด้วยผ้าผืนหนา ในรถเข็นมีทั้งแพมเพิร์ส ทิชชูเปียก และอุปกรณ์ดูแลเด็กอ่อนอีกหลายอย่าง เขียนชื่อนามสกุลเด็กขายเอาไว้บนการ์ดแผ่นเล็กๆ เหนือหัว
“ชื่ออลันเหรอครับ” ผมถาม อาจเป็นเพราะแม่ชื่อหลิน ลูกเลยมี ล.ลิงตามนิยม “ตัวเล็กเชียว”
“น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ค่ะ แต่โดยรวมยังไม่มีปัญหาอะไร” หลินตอบ ยังไม่อุ้มเด็กทันที ปล่อยให้ผมและศิฑาผละจากเตียงผู้ป่วยมาทักทายทารก
“ผมอุ้มได้ใช่ไหม”
“ไปล้างมือก่อนเลย” ผมดุ แต่เรียกรอยยิ้มให้คนถูกดุได้ ศิฑายอมจำนน เขาเดินเลี่ยงไปเข้าห้องน้ำ ส่วนผมโบกมือไปมาให้สายตาเลื่อนลอยนั่นมองหาแสงที่วูบไหว อลันส่งเสียง ไม่ได้ร้องไห้แต่แค่ส่งเสียงอ้อแอ้ไปมา
“คุยเก่งนะเนี่ย”
“คลอดออกมาหมอยังไม่ทันตีก้นก็ร้องเลยค่ะ สงสัยชอบใช้เสียง”
“เป็นเด็กดีนะ” ผมอวยพร พลางพินิจพิจารณาใบหน้าไปด้วย ผมไม่เคยเจอหน้าน้องชายของศิฑา แต่ดูแล้วเด็กน้อยคงหน้าตากระเดียดไปทางแม่ ผิวขาว ตาตี่ ไม่มีดั้ง ผิดกับคุณลุงอย่างสิ้นเชิง ศิฑามีใบหน้าคร้ามคม จมูกโด่ง คิ้วดกหนาเช่นเดียวกับผมเส้นใหญ่ เครื่องเคราเขียวครึ้ม เป็นคนที่ขนดกไปทุกสัดส่วนเลยก็ว่าได้ แน่นอน ผมชอบความรกรุงรังนั่น มันเป็น เสน่ห์ชวนค้นหา
“ไม่มีส่วนไหนเหมือนพ่อเลย”
“ยกเว้นจู๋” ผมตอบคุณลุงตัวใหญ่ที่เพิ่งกลับมาพร้อมมือชื้นๆ เขาดีดหน้าผากผม ก่อนตระครองอุ้มเด็กเล็กเบามือ “คุณอุ้มเป็นด้วยเหรอ”
“ฉันมีลูกนะ เผื่อนายลืม”
“นึกว่าไม่ยุ่งกับเรื่องนี้เสียอีก” ผมรู้มาว่าปุณวิศมีพี่เลี้ยงที่ว่าจ้างมาดูแลความเรียบร้อยเกือบทั้งหมด เข้าใจว่าศิฑามีโอกาสเล่นกับลูกเป็นครั้งคราวมาตลอด “ตัวเล็กกว่าเจ้าปุณณ์เยอะเชียว รายนั้นเกิดมาก็สามกิโลแล้ว”
“คุณเห่อลูกตัวเองมากไหม”
“ไม่เท่าไหร่” แม้จะตอบแบบนั้น แต่ผมกลับเห็นท่าทีขัดเขินในแววตา เขาอุ้มอลันพาดบ่าแล้วหันมาถามผมที่มีทีท่าสนใจเป็นพิเศษ “ลองอุ้มไหม”
ผมส่ายหน้าหวือ เป็นคนชอบเด็กก็จริงแต่อย่างอลันเรียกว่าเล็กไป ผมมือไม้หนัก ไม่กล้าจับลูกเขา เกิดทำหล่นทำร่วงไม่มีปัญญาใช้คืน
“ร้องแล้ว เห็นทีจะหิว” ศิฑาส่งเด็กคืนแม่ หญิงสาวรับลูกชายไว้ในอ้อมแขนด้วยท่าทีเก้ๆ กังๆ ผมละล้าละลังว่าในช่วงที่คุณแม่ลูกอ่อนจะให้นมเด็กจะปลีกตัวออกมาดีหรือไม่
“ไม่เป็นไรค่ะ อยู่คุยก่อนก็ได้” หลินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกรงอกเกรงใจ ขยับเปิดเสื้อคนไข้ด้วยความระมัดระวัง “อุตส่าห์มากันทั้งที”
“ผมให้ลูกน้องจัดการเรื่องค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดให้แล้วนะ คุยกับหมอ เขาบอกว่าอยากให้คุณนอนที่นี่อีกสักคืน ส่วนเด็กต้องเช็กสุขภาพว่าพร้อมกลับบ้านได้หรือยัง เขาตัวเล็กมาก น่าเป็นห่วง”
“ค่ะ ตอนนี้หลินก็ฉุกละหุกหลายอย่าง อลันมาเร็วเกินไป ที่บ้านยังไม่เตรียมอะไรเลย ให้เขาพักที่นี่ต่ออีกคืนน่าจะดีกว่า”
“ผมจะให้ลูกน้องเตรียมของใช้ที่จำเป็นไปไว้ที่บ้านคุณ ถ้าขาดเหลืออะไรก็บอกได้”
“ขอบคุณมากเลยค่ะ” หญิงสาวตอบพร้อมกระชับอ้อมแขนให้ลูกชิดอก ผมมองภาพของหญิงสาวที่เคยอคติแล้วถอนหายใจ สุดท้ายแล้วเธออาจจะมีเจตนาหรือไม่มีเจตนาในการฮุบสมบัติของศุภสิน แต่หลินก็เป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่มีความพร้อมในการดูแลลูกเท่านั้น
“คุณคิดยังไงกับเรื่องเด็ก คุณยังทำงานอยู่ไหม”
“จริงๆ หลินเคยรับเป็น MC ตามบูธงานแสดงสินค้าอยู่ค่ะ แล้วแต่ว่าตั้งแต่ท้องแก่ก็ไม่ได้รับงานเลย หลังจากพักฟื้นแล้วก็ต้องดูแลให้หุ่นกลับมาเป็นเหมือนเดิมไวๆ จะได้กลับไปทำงานต่อ”
“แล้วอลันล่ะครับ” ผมถามไกด์ ศิฑานั่งลงบนโซฟาด้านหลัง เขารู้ว่าผมกำลังจะทำอะไร และเจ้าตัวมีทีท่าพอใจกับการกระทำนี้เสียด้วย แหงล่ะ เขาอยากได้หลานชายไปเลี้ยงเองอย่างกับอะไรดี
“คงเป็นคุณยายช่วยดูค่ะ”
“ได้ยินมาว่าคุณแม่ของคุณก็ป่วย” คนด้านหลังเอ่ยแทรกบทสนทนา ผมเห็นแววตาตระหนก วูบไหวฉายออกมาจากคนไข้ ไม่นานนักก็นิ่งเฉยและส่งยิ้มให้เจ้าของคำถาม
“ใช่ค่ะ คุณศิทราบได้ยังไงคะ”
“ผมก็ให้คนรู้จักมาดูลาดเลาเอาไว้ก่อนบ้างว่าหลานผมจะโตมายังไง กับใคร พูดกันตรงๆ เลยนะหลิน ผมอยากให้เขาย้ายไปอยู่ที่บ้านผม”
“เราจะเลี้ยงดูแด็กให้เหมือนเป็นลูกของตัวองทุกอย่าง” ผมเอ่ยสำทับ แต่แววตาของแม่ยังละล้าละลัง กระชับอ้อมแขนที่กอดลูกไว้แน่นขึ้น ผมอาจจะเข้าใจความรู้สึกของคนเป็นแม่ ไม่ว่าเด็กที่ว่านี่จะเกิดเพื่อเป็นเครื่องมือ เกิดมาด้วยความไม่ตั้งใจ หรือเกิดมาด้วยความรักอันบริสุทธิ์แล้ว สายใยบางๆ ที่อุ้มท้องมาตลอดเก้าเดือนยังคงอยู่ เห็นได้จากวันที่พี่จิ๊บกลับไทยมาโดยต้องทิ้งลูกเอาไว้เบื้องหลัง
ตอนนั้นวิเวียนยังไม่ทันหย่านมด้วยซ้ำ
“ผมกับศิอยากให้คุณคิดให้ดีเรื่องลูก ถ้าคุณยืนยันว่าเลี้ยงเขาได้ดีแน่ๆ ศิเองก็คงสบายใจ” ผมไม่บังคับ แล้วแต่ความสมัครใจของมารดา ผิดกับศิฑาที่อยากดึงดันเอาหลานมาเลี้ยงให้จงได้ “ผมกับศิไม่ได้มีเจตนาไม่ดี แค่คิดว่าทางนี้น่าจะพร้อมมากกว่าให้อยู่กับคุณแล้วก็คุณแม่ที่กำลังป่วย”
“ฉัน...” เสียงนั้นขาดหาย ดวงตากลมกลอกไปมาอย่างใช้ความคิด “...ขอเวลาตัดสินใจสักพักดีกว่าค่ะ”
ผมหันกลับไปมองศิฑา คิดว่าเขาเข้าใจ เพราะแววตาที่ทอดมองสองแม่ลูกนั้นสะท้อนถึงภาพตัวเองที่ถูกพรากลูกไปจากอก ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายมีศักดิ์เป็นแม่แท้ๆ หรือเขามีสิทธิ์ในการเลี้ยงดูบุตรทุกเสาร์อาทิตย์ตามข้อตกลงก็ตาม
“เห็นทีผมต้องขอตัวแล้วครับ”
ผมเอ่ยกับหญิงสาว ลุกขึ้นสะกิดศิฑาให้ยืนขึ้น ผมทิ้งมือลงด้านข้าง เกี่ยวประสานกับข้อมือใหญ่ไว้อย่างเงียบเชียบ
“เดี๋ยวเราจะไปรับปุณณ์ด้วยกัน”
เมื่อเงยหน้าขึ้นมองพ่อน้องปุณณ์ ศิฑาก็คลี่ยิ้มอ่อนโยนกลับมา....
TBC
เด็กมาอีกแล้ววว
จากเวสต์ผู้เกลียดเด็ก