CH.17 How
Jeremy
ศิฑามาง้อผมหลังจากที่คืนนั้นตวาดใส่เสียงดังลั่น
ผมนั่งแอสตัน มาร์ตินสีดำของศิฑากลับมาที่บ้าน ระหว่างทางเขากุมมือผมมาตลอดโดยไม่พูดอะไร แต่ชายหนุ่มสัญญาว่าจะเล่าทุกอย่างให้ผมฟังโดยไม่มีข้อแม้ ผมโทรบอกพี่จิ๊บว่าตกลงกับศิฑาเรียบร้อยแล้ว ไม่มีปัญหา การที่ผมกลับไปอยู่กับเขาเป็นความเต็มใจของตัวเองทุกประการ และรอยแผลที่ข้อมือที่พี่จิ๊บเข้าใจว่าเป็นฝีมือของนักธุรกิจหนุ่มก็ไม่ใช่ ผมขอพี่จิ๊บว่าไม่อยากพูดถึงเรื่องคืนนั้นอีกเพราะไม่อยากให้พี่สาวต้องมีปัญหากับปีเตอร์เรื่องคนสนิท
เจตต์เอารถไปเก็บในลานจอด ผมกับศิฑาเดินกลับเข้ามาในตัวบ้านลำพัง เขาเลือกห้องนอนสำหรับเจรจา ให้ผมนั่งบนเตียง ส่วนตัวเองนั่งลงบนโซฟาที่ตั้งห่างออกไป
“นาย...คิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างคุณจิ๊บกับพี่เขยนายเป็นยังไง”
“ทำไมมาถามผมล่ะ”
“มันเกี่ยวกับเรื่องที่ฉันจะเล่าต่อไปนี้” ศิฑาไม่โอ้เอ้ เขาลุกไปหยิบกุญแจในลิ้นชักหน้าโต๊ะกระจกมาให้ เป็นกุญแจรถยุโรปที่ศิฑาไม่เคยหยิบมาใช้ “ในโรงรถมีรถอีกหลายคัน นายก็เห็น”
“แล้ว?”
“ฉันไม่อยากให้นายขับสวิฟต์ของตัวเองไปไหนมาไหน ไม่ว่าจะคนเดียว หรือมีคนติดตามไปด้วย”
“ผมไม่เข้าใจ”
“คันนี้เป็นเบนซ์ ซีคลาส กันกระสุน หลังจากนายรู้เรื่องนี้ หรืออย่างน้อยมีคนรู้ว่านายรู้เรื่องนี้ ชีวิตนายอาจจะไม่ปลอดภัย ฉันสั่งให้เปลี่ยนรถ หรือไม่ก็ไม่ต้องฟังอะไรจากฉัน”
“ผมเปลี่ยนรถก็ได้” คว้าหมับเอากุญแจมาถือไว้ ผมไม่เข้าใจว่าเรื่องเลวร้ายขนาดไหน และมันคอขาดบาดตายเพราะอะไร ศิฑาพรูลมหายใจออกทางจมูก ตบมือกับกระเป๋ากางเกง ควานหาบุหรี่ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจเพราะเขาไม่ชอบให้มีกลิ่นนิโคตินติดกับผ้าม่านหรือเตียงนอน
“ส่วนเรื่องพี่จิ๊บ ผมว่ามันยากที่พี่สาวผมจะเข้ากับทางบ้านนั้นได้ ต่อให้ปีเตอร์จะยินดีก็ตาม ญาติฝั่งนั้นเขาไม่ชอบพี่จิ๊บ ปีเตอร์ก็เลยคิดแผนสอง คือการมาตั้งรกรากที่ไทย”
“กับธุรกิจที่ไม่ต้องแชร์ส่วนแบ่งให้ญาติคนอื่นๆ”
“อยู่โน่นเขาก็เป็นใหญ่สุด ต่อให้แชร์ไปก็ยังได้เงินมากกว่าทำที่ไทยเลยด้วยซ้ำ” ผมเถียงแทนพี่เขย แต่ศิฑาไม่คิดแบบนั้น
“อยู่โน่นได้ไม่คุ้มเสีย กับการมีเมียยังต้องอยู่ใต้อำนาจของผู้หลักผู้ใหญ่ ปีเตอร์เป็นพี่ชายคนโตของบ้านก็จริง แต่การที่เขาพาคุณจิ๊บไปอยู่ด้วยไม่ได้นั่นก็ชัดแล้วว่าเจ้าตัวไม่ได้มีสิทธิ์เสียงเต็มที่นัก เจตนารมณ์ของเขาคือไทย เพราะฉะนั้นเขาเลยต้องแต่งงานกับผู้หญิงไทย”
ผมเริ่มฉุน ศิฑากล่าวเหมือนว่าร้ายให้พี่เขยผมใช้พี่จิ๊บเป็นทางผ่านในการเข้ามาอาศัยที่ไทย “ปีเตอร์รักพี่จิ๊บ”
“เขามีเมียน้อย”
“คุณอาจจะเกลียดทศพล แต่ไม่จำเป็นต้องใส่ความพี่เขยผมไปด้วย ผมกำลังถามถึงเรื่องสิน ไม่ใช่ให้ไล่บี้เอาพี่เขยผมมาพูดถึงในทางไม่ดี”
“เมียน้อยของปีเตอร์ คือเมียของสิน”
ศิฑาพูดด้วยสีหน้านิ่งสนิท ไม่เจือแววล้อเล่น ผมอ้าปากค้าง กำลังจะเถียงแต่ชายหนุ่มก็ให้เหตผลแทรกเสียก่อน “ผลดีเอ็นเอของอลันไม่ตรงกับสิน แต่ตรงกับปีเตอร์”
“ไม่มีทาง...” สำหรับผมแล้วแม้ไม่สนิทสนมกับปีเตอร์มากนักแต่ก็ไม่เชื่อว่าคนอย่างเขาจะทำลง ปีเตอร์เป็นคนรักครอบครัว รักพี่จิ๊บ ทำทุกอย่างเพื่อครอบครัวมาเสมอ
คนเล่าถอนหายใจยาวเหยียด เขาเปลี่ยนตำแหน่งที่อยู่มายืนตรงหน้า วางมือบนศีรษะผมเพื่อปลอบประโลม แต่ไม่ว่าอะไรก็ไม่สามารถยี้อรั้งความรู้สึกที่กระจัดกระจายตอนนี้ไปได้
แอร์คอนดิชั่นทำงานหนัก อากาศในห้องนอนเย็นเยียบ เหลือเพียงเสียงลมหายใจของเราเมื่อศิฑาไม่พูดอะไรต่อ หัวใจผมเต้นหน่วง สับสน อย่างไรก็ตาม ปีเตอร์นับว่าเป็นคนในครอบครัวผม เขาเป็นสามีที่ดีของพี่จิ๊บมาตลอด
“นอกจากนั้น...ฉันเพิ่งได้ข้อมูลใหม่ว่าพี่เขยนายไม่ได้มีแค่หลินคนเดียว มาร์ที่ดูแลหุ้นของสินก็เป็นเมียน้อยเขาเหมือนกัน ทั้งสามคนร่วมมือกันยักยอกทรัพย์สินของสิน ทุกอย่างจะสมบูรณ์ถ้าเขาอ้างว่าต้องบริหารร้านต่อคนเดียวเลยบังคับซื้อหุ้นจากหลินมาในราคาถูก แต่แม้ว่าจะถูกยังไง ก็อัฐยายซื้อขนมยาย มันแค่เป็นการเปลี่ยนเงินจากกระเป๋าซ้ายเข้ากระเป๋าขวา เขากล้าทำแบบนี้เพราะหลินตั้งท้อง ผู้หญิงคนนั้นจะซื่อสัตย์กับเขาเพราะเธอไม่สามารถเลี้ยงลูกได้เพียงลำพัง แต่เมื่อฉันปรากฏตัวในฐานะคนรักของนาย ปีเตอร์ก็ตัดช่องน้อย ไม่ซื้อหุ้นตัดหน้าให้มีพิรุธ แต่มายุให้ฉันซื้อหุ้นคืนแทน ยังไงเขาก็ได้กำไรมากพอจะตั้งต้นชีวิตที่ไทยได้ภายในปีนี้”
ผมไม่เข้าใจที่ศิฑาพูด “ถ้ามาร์ของสิน กับเมียของสินต่างเป็นเมียน้อยของปีเตอร์เขาจะร่วมกันยักยอกเงินทำไม ในเมื่อต้องไม่ถูกกันแท้ๆ อีกอย่าง มันบังเอิญเกินไป”
“เจม...ปีเตอร์วางแผนเรื่องนี้มาหลายปี สองคนนั้นเจอกันในบ่อน แนะนำให้สินเล่นหุ้นโดยที่ตัวเองเป็นคนแนะนำมาร์ไปให้รู้จัก เขารู้อยู่แล้วว่าน้องสาวนัชชา หรือหลินเป็นไซด์ไลน์ เขาเข้าไปตีสนิทหลิน เลี้ยงดู และแนะนำให้สินรู้จักอีกที ส่วนที่ถามว่าทำไมผู้หญิงสองคนนั้นยอมร่วมมือกับปีเตอร์อย่างว่าง่ายแบบนี้นายคงต้องไปถามพี่สาวนายว่าทำไมถึงเชื่อว่าปีเตอร์รักตัวเองผู้เดียว รักหมดใจ”
ผมมองหน้าศิฑา รู้สึกถึงความอึดอัดแผ่ซ่านออกมา เขาปลอบประโลมผม ขณะที่ตัวเองเดือดพล่านไปทั้งตัว
“สินถูกฆาตรกรรม เรื่องนี้ตำรวจและนิติเวชก็รู้ ผลทางนิติเวชไม่โกหก รถคันนั้นแทบไม่เป็นอะไรเลยแต่สินคอหักอยู่หลังพวงมาลัย วันนั้นเขาไม่ได้ดื่ม สินไม่ชอบขับรถเร็ว เขาเป็นพวกกินลมชมวิว แต่ไม่มีใครทำอะไรเพราะมีมือใหญ่มาสั่งปิดคดีเสียก่อนจะเป็นข่าวใหญ่โต”
ผมก้มหน้าลง กำมือกับหน้าตัก “คุณสงสัยปีเตอร์ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เขาเป็นคนแรกที่ฉันสงสัย”
“ถ้าอย่างนั้นแล้ว ผมขอถามอะไรที่มันงี่เง่าหน่อยได้หรือเปล่า” ผมยอมรับว่าตัวเองก็เจ็บปวดกับเรื่องที่พี่เขยตกเป็นผู้ต้องสงสัย และหลักฐานทุกอย่างชี้ตัวไปที่เขาหมด แต่สิ่งที่ปวดหนึบอยู่ในใจขณะนี้คือสถานะของตัวเอง “วันที่คุณเข้ามาหาผมในร้านนั่น มันเป็นเรื่องบังเอิญ หรือคุณจงใจมาเพื่อใช้ผมใกล้ชิดกับปีเตอร์ ตามที่ทศพลบอกจริงๆ”
ผมสบตากับเขา ก่อนชายหนุ่มจะเป็นฝ่ายหลบตา มือที่วางบนหัวเย็นเยียบขึ้นมาถนัด ผมเห็นลูกกระเดือกของอีกฝ่ายขยับขึ้นลงแทนคำตอบ
“ถ้านายอยากให้คุณจิ๊บหย่าขาดกับปีเตอร์ ฉันจะส่งหลักฐานเรื่องเมียน้อยให้”
“คุณตอบคำถามผมก่อนได้ไหม”
ร่างสูงขยับถอยเพื่อมีพื้นที่มากพอสำหรับนั่งคุกเข่าตรงหน้า เขาวางมือทั้งสองข้างบนหน้าผม ใช้นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยแก้มเบาๆ “ฉันแค่รู้มาว่าน้องเขยของปีเตอร์ไปที่ร้านนั้นบ่อย”
“คุณเลยไปตามหาเขา”
“ฉันไม่คิดว่าเป็นนาย”
“พอเป็นผมแล้วยังไงต่อ มันง่ายสำหรับคุณมากใช่ไหม”
“เจเรมี่” ศิฑาข่มเสียงต่ำ เขามองผมด้วยแววตาที่อ่อนโยน แต่ผมไม่รู้ว่าสามารถเชื่อมันได้มากแค่ไหน หัวใจผมบีบจนเจ็บไปหมด เจ็บปวดยิ่งกว่ารักครั้งใดที่เคยมี
สุดท้ายแล้ว ผมก็เป็นเพียงเครื่องมือ แถมยังถูกใช้ร่างกายสนองตัณหาของอีกฝ่ายมาตลอด อยากถามศิฑาว่าเคยรักกันบ้างไหม หากแต่กลับกลัวคำตอบที่ตรงกันข้ามจากคำที่ต้องการ
ผมเม้มปากเข้าหากัน ละสายตาจากอีกฝ่ายอย่างยอมจำนน ผมอยากจะเกรี้ยวกราดให้มากกว่านี้ อยากอาละวาด อยากโวยวายให้บ้านแตก แต่ที่ทำกลับเป็นเพียงปล่อยให้น้ำตามันรินไหลอยู่ภายในจนหัวใจมันฉ่ำไปด้วยความเสียใจ และยอมเป็นหมากตัวหนึ่งให้ศิฑาใช้เดิน
“ผมขอร้องอย่างหนึ่ง อย่าฆ่าปีเตอร์ได้ไหม” มือคู่นั้นประคองแก้มผมไม่ปล่อย รู้สึกรักศิฑาที่อ่อนโยนแบบนี้ ปรารถนาให้เขาเป็นเพียงนักธุรกิจมือสะอาดต่อไป “ผมไม่อยากให้คุณเปื้อนเลือด คุณยังต้องใช้สองมือนี้เลี้ยงดูปุณณ์ คุณต้องใช้มันจับมือกับผม...ใช่ไหม”
เกิดความเงียบเป็นมวลขนาดใหญ่ ศิฑาโน้มตัวลงมาใช้หน้าผากวางบนหัวไหล่ของผม
“ฉันจะไม่เป็นคนลงมือเอง”
อย่างน้อย แค่ศิฑารับปากอย่างนั้นก็ยังดี
ดนตรีสดขึ้นเล่นเลทกว่ากำหนดสิบห้านาที ผมมาที่ร้านตามเวลาปกติ สามทุ่มตรงแขกประจำที่หายหน้าไปพักใหญ่ก็แวะเวียนมาเยี่ยม แซคเดินเข้ามาลำพัง กระโดดขึ้นนั่งเก้าอี้ทรงสูงหน้าบาร์แล้วสั่งเบียร์สดหนึ่งเหยือกสำหรับคืนนี้
“พี่ธามไม่อยู่เหรอ” ผมถามถึงคนรักของพี่ชายคนสนิท แซคยักไหล่ ผมก็สุ่มถามเอาอีกรอบ “ทะเลาะอะไรกันมา”
“ผิดทั้งคู่”
“ไหงโผล่มานี่ได้”
“คิดถึงน้อง”
“ตอแหล” ผมพูดเสียงชัดเจน ยกสะโพกขึ้นนั่งฝั่งตรงข้ามตากล้องหนุ่มมาดเซอร์ เสียงดนตรีเริ่มบรรเลงจากเพลงป๊อบ ฟังสบาย คู่สนทนาดื่มเบียร์ไปหนึ่งแก้วก่อนเข้าประเด็นที่แท้จริง
“พี่จิ๊บบอกว่าศิฑาไปง้อมึงที่บ้าน”
“อือ”
“กลับไปอยู่กับมันแล้วเหรอ”
“อือ” ผมตอบแต่ไม่สบตา แย่งถั่วแระฟรีของลูกค้ากิตติมศักดิ์ไปพลาง
“สรุปจะเล่าให้กูฟังได้หรือยังว่าทะเลาะอะไรกัน แล้วถึงขั้นลงไม้ลงมือเลยเหรอ แขนถึงช้ำขนาดนั้นไปที่บ้าน”
“แขนอะ ไม่ใช่ศิทำ ผมก็บอกแล้ว ไม่เชื่อกันบ้าง”
“ไม่ใช่มันแล้วใครวะ อย่ามาออกรับหน้าแทนหน่อยเลยไอ้เจม”
“ผู้ชายที่ยูมาเจอที่ลานจอดรถวันนั้นไง ก็เห็นอยู่ว่าโดนล็อกแขน โง่ชะมัด”
“เดี๋ยวจะโดนเบิ๊ดกะโหลก” แซคพูดเสียงขรม ผมทำหน้าเซ็งใส่อีกฝ่าย ขี้เกียจจะอธิบายซ้ำซาก แต่เมื่อเห็นสายตามุ่งร้ายจากอีกฝ่ายแล้วก็ยอมเล่าเรื่องที่เกิดในคืนนั้นให้พี่ชายคนสนิทฟัง
“คนที่ยูเจอที่ลานจอดรถชื่อทศพล เขาเป็นคนสนิทกับปีเตอร์ ผมเคยนอนกับเขาแต่แบบ...ไม่ได้จริงจัง”
“กูว่าแล้ว”
“เออ อย่าเพิ่งขัดน่า จะฟังไหม”
แซคทำท่ารูดปากฉับ ว่านอนสอนง่ายขึ้นมาทันที คืนนั้นหลังจากออกจากบ้านของศิฑา ผมก็สิ้นไร้หนทาง กังวลว่าหากกลับบ้านกลางดึกคงต้องเล่าให้พี่จิ๊บฟังทั้งหมด และยิ่งปีเตอร์อยู่ด้วยแล้ว เรื่องราวที่ผมโกรธเคืองศิฑาซึ่งเกี่ยวข้องกับพี่เขยโดยตรงต้องถูกเค้นคอให้พูดจนหมด เวลานั้นผมมีเงินติดกระเป๋าไม่มาก กับโทรศัพท์หนึ่งเครื่อง ขับสวิฟต์สีเปลือกมังคุดของตัวเองแบกหน้ามาหารุ่นพี่คนสนิทแม้ว่ารู้อยู่เต็มอกว่าเป็นการรบกวนชีวิตส่วนตัวของอีกฝ่ายก็ตาม
ผมกดออด สุนัขพันทางสีเหลืองทองกระโดดเหยง หมามันจำผมได้ เห่าสลับครางงี้ดๆ จนเจ้าบ้านมาเปิดประตูให้แต่ไม่ใช่พี่แซค พี่ธามมองผมนิ่ง รอให้เป็นฝ่ายขอความช่วยเหลือก่อน เขาพาผมเข้ามาด้านในและเรียกคนรักให้ลงมาคุย บ้านใหม่ของแซคมีหลายห้องนอน แม้ไม่ได้ทำความสะอาดเตรียมไว้แต่ก็พออยู่ได้สำหรับคืนหนึ่ง ผมไม่ปริปากพูดอะไร ปล่อยให้น้ำตาหยดไหลลงมาโดยปราศจากเสียงสะอื้น
แซคไม่เซ้าซี้ผมในคืนนั้น
แต่กลับมาคาดคั้นด้วยสายตาดุในคืนนี้แทน
“เขาไม่พอใจที่ผมคบกับศิ ก็เลยมาหาเรื่องช่วงที่ศิไม่อยู่ พูดว่าศิเข้าหาผมเพราะผลประโยชน์”
“ร้านอาหารเล็กๆ ที่มีเหล้าไม่กี่อย่างของมึงมีประโยชน์อะไรให้ศิฑาด้วยเหรอวะ”
“ไม่ใช่เรื่องนั้น” ผมพรูลมหายใจออกยาว เคาะปลายนิ้วกับเคาน์เตอร์ไม้ มองล่องลอยไปยังวงดนตรีที่เล่นเพลงเสียงนุ่มก่อนพูดต่อ “น้องชายศิฑาตายเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ชื่อศุภสิน เจ้าของผับ The beast”
ร้านนั้นเป็นร้านที่ดังที่สุดในพัทยา ผมมานึกขึ้นได้ว่าลงหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งไปหนึ่งวันเต็มๆ
“คนนั้นเป็นน้องของศิฑาเรอะ ไม่เคยรู้”
“ผมก็เพิ่งรู้...ประเด็นคือเขาไม่คิดว่ามันเป็นอุบัติเหตุ”
แซคเม้มปากเข้าหากัน ขมวดคิ้วลงฉับ รอให้ผมเรียบเรียงประโยคทั้งหมดออกมาอย่างใจเย็น
“ศิฑาคิดว่าปีเตอร์เป็นคนบงการ”
“เดี๋ยว ใช่เหรอวะ ไหนว่าเพื่อนกัน”
“ศุภสินมีเมีย และตอนนี้เมียของเขาเพิ่งคลอดลูก ผมไม่รู้ว่าศิทำยังไง แต่เขาตรวจผลดีเอ็นเอมาเด็กคนนั้นเป็นลูกของปีเตอร์”
เกิดความเงียบระหว่างเรา ดวงตาของพี่แซคเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยก่อนสบถ “ฉิบหาย”
“ผมไม่อยากจะเชื่อ แต่เขามีหลักฐาน ทุกอย่างรอบตัวศุภสินเป็นการแนะนำของปีเตอร์ ทั้งเล่นหุ้น เปิดร้านเหล้า เมีย มาร์ แล้วก็ใช้อำนาจของภรรยาเก่าศิฑาในการเจรจากับเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ ตอนนี้ธุรกิจลงตัวแล้ว ศุภสินไม่มีประโยชน์กับปีเตอร์ เขาวางแผนไว้แล้วว่าจะย้ายรกรากมาอยู่ที่ไทยในปีนี้ เขาถ่ายงานให้น้องชาย หวังจะมีธุรกิจเฟื่องฟูที่นี่”
เราสบตากัน ภายใต้แสงสีสลัว ผมดื่มเบียร์แก้วเดียวกับแซค ชะรอยว่ามื้อนี้ตัวเองจะเป็นคนจ่าย ผมสับสนไปหมด ไม่รู้ว่าควรเกรี้ยวกราดกับเรื่องของตัวเองก่อน หรือควรกังวลเรื่องพี่จิ๊บมากกว่า ชีวิตธรรมดาสามัญของผม เจ้าของร้านอาหารเล็กๆ ที่แม้แต่ลานจอดรถก็ต้องเช่าจากร้านค้าที่เปิดในตอนกลางวันอื่นๆ ไม่สงบสุขอีกต่อไป ผมประสานมือตรงหน้า จับจ้องมันเนิ่นนานเพื่อตกตะกอนความคิดที่ขุ่นฟุ้งอยู่ในใจ
“ถึงเขาจะบอกว่าไม่ได้ใช้ผมเป็นเครื่องมือ ผมก็คิดแบบนั้นอยู่ดี”
“แหง ใครจะไม่คิดบ้าง”
แซคยกเบียร์ขึ้นดื่มแล้วเติมลงแก้วใบเดิม เขาหันไปสั่งไอ้เป๊กให้เปลี่ยนจากเบียร์เหยือกเป็นทาวเวอร์ สั่งกับแกล้มเพิ่มอีกอย่างระหว่างที่ผมยังนิ่งงันหาทางไปไม่เจอ
“แล้วมึงคุยกับมันว่ายังไง”
“ผมไม่ได้บอกว่าผมรู้สึกอะไร ไม่สิ ผมไม่ได้บอกว่าผมยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่สะพาน เป็นแค่หมากตัวหนึ่งของศิฑา ผมทำเป็นว่ารับมันได้ แต่ผมเจ็บมากเลยว่ะแซค”
เงยหน้าสบตาอีกฝ่าย น้อยครั้งเหลือเกินที่ผมจะยอมปล่อยให้ตัวเองเป็นคนอ่อนแอ อย่างน้อยก็ต่อหน้าคนอื่น
“เจม มันเป็นเรื่องปกติเว้ยที่เราจะร้องไห้ มึงไม่ต้องอดทนขนาดนั้น”
ผมไม่ตอบ พี่แซครินเบียร์ให้ผมดื่ม เขาหันไปสั่งไอ้เป๊กอีกครั้ง คราวนี้เป็นน้ำเปล่า “คืนนี้มึงดื่มไปเถอะ เดี๋ยวกูพากลับบ้าน”
“ศิเจอยูคงโกรธอีก”
“คิดว่ากูจะไปส่งมึงคืนมันหรือไง ทำกับน้องกูแบบนี้” พี่ชายคนสนิทแสดงออกชัดเจนว่าฉุนเฉียว ไม่พอใจ แต่ผมไม่มีเจตนาจะดื้อดึงต่อศิฑา ยิ่งเมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นประโยชน์ให้กับอีกฝ่ายก็ยิ่งหวั่นใจครามครันว่าเมื่อไหร่ที่หมดประโยชน์แล้วจะถูกทิ้งอย่างไม่ใยดี
ไม่เคยคิดว่าการเปิดใจอีกครั้ง และเจ็บกลับมาอีกหนจะทรมานขนาดนี้ เหมือนคนใกล้ตายที่ยังไม่ตาย แต่โดนคว้านเอาหัวใจมาบีบบี้ และยัดมันกลับไปที่เดิมรอให้ผมหมดลมไปเอง
กระนั้นหากได้ต่อเวลาหายใจอีกเสี้ยวนาที ผมก็ยังอยากมีชีวิตอยู่
“ผมไม่อยากให้ศิรู้ว่าผมเสียใจ”
“ไอ้เจม”
“ผมจะทำอย่างทีเขาอยากให้ทำทุกอย่าง ผมยังไม่พร้อมจะตัดใจตอนนี้ แซค”
ตากล้องหนุ่มมองดุ ถอนหายใจด้วยความหงุดหงิด เขาเสยผมไปด้านหลัง แล้วถอนหายใจอีกครั้ง “กูบอกมึงแล้วว่ามันอันตราย ไอ้เวรนั่น มึงก็ไม่เชื่อกู สุดท้ายพอถูกมันทำเรื่องไม่ดีด้วยก็ถอนตัวออกมาไม่ได้จนได้”
“ก็ผมรักเขาไปแล้ว”
ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ตั้งการ์ดมีป้อมปราการแน่นหนา รู้ตัวอีกทีก็อยากเป็นคนที่ศิฑาให้ความสำคัญมากที่สุด ผมเกลียดตัวเองที่ร้องไห้ เกลียดตัวเองที่อ่อนแอ เอาหัวใจไปทิ้งขว้างเป็นของเล่นของคนอื่น ผมเกลียดทุกอย่างที่ผมเป็นอยู่ตอนนี้
“ทำยังไงกับเรื่องพี่จิ๊บต่อไปดี”
“จัดการเรื่องมึงให้ได้ก่อน เจเรมี่”
“ผมจัดการอยู่”
“ด้วยการจงรักภักดีกับมันเหมือนเดิม”
“เป็นทางเลือกเดียวของผม”
คู่สนทนาหงุดหงิดงุ่นง่าน เขาไม่พอใจกับคำตอบนั่น มันเป็นความโง่เง่าของคนที่ตกอยู่ในห้วงความรักเท่านั้นที่รู้ เหมือนคนเสพยาที่รู้แก่ใจว่ามันไม่ดี แต่ก็หักดิบไม่ได้ ตัดใจไม่ลง สภาพของผมในเวลานี้คงไม่ต่างกัน
ผมเกลียดความรัก
แต่ผมก็รัก...
รักหมดแล้วทั้งใจ
“ถ้าเรื่องเจ้ เดี๋ยวค่อยๆ หาทางบอกเจ๊ให้เอาตัวออกห่างจากปีเตอร์ คนที่ฆ่าคนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขตัวเองได้ไม่ควรเก็บไว้ใกล้ตัว อันตรายเกินไป ไหนจะเรื่องที่หักหลังเจ้อีก แม่งเป็นผู้ชายตอแหลฉิบหาย กูก็คิดว่ารักกันดี”
ผมเห็นด้วย เรื่องนี้ก็น่าผิดหวังไม่ต่างกัน
“ส่วนมึง เจม รู้ใช่ไหมต้องทำยังไง”
“I know what to do, but how?”
ผมกระดกเบียร์ขึ้นดื่ม วางแก้วเปล่าลงหน้าก๊อกเล็กๆ ใต้ทาวเวอร์เบียร์ กรอกมันจนเต็มแก้วแล้วดื่มอีกครั้ง พี่แซคไม่ปราม เขาปล่อยให้ผมกินจนสาแก่ใจโดยที่ตัวเองดื่มแต่น้ำเปล่า
“เจม”
มือหยาบวางเหนือศีรษะ ผมนอนแนบหน้าลงบนบาร์ ประสานมือใช้แทนหมอนหนุน ซ่อนรอยน้ำตาไว้ใต้ข้อศอก สัมผัสของพี่แซคอ่อนโยนเหมือนเคย แต่ผมกลับต้องการแค่สัมผัสของคนเพียงคนเดียว
คนที่ผมไม่อาจมั่นใจว่า หัวใจของเขาเคยมีผมอยู่ในนั้นบ้างหรือไม่...
TBC
ในมุมมองของแต่ละคน ต่างมีเรื่องที่เก็บเอาไว้ ไม่ได้พูดออกไป ในตัวละครเราที่เป็นคนนอกก็คิดว่าพูดออกไปสิๆ เรื่องจะได้จบๆ ฮ่า แต่บางทีคำพูดก็ไม่ได้ตอบทุกโจทย์เนอะ
อย่างศิเนี่ย ก็คิดว่าชัดเจนในมุมของศิ แต่สำหรับเจเรมี่ อะไรคือชัดเจนนน
อิพี่แซคอยากฆ่าศิจะแย่แล้ว อาทิตย์นี้ #ทีมพี่แซค กันค่ะ แงงง