*^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61  (อ่าน 96221 ครั้ง)

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
เห้อออ ทำงานงกๆต้องมานอนโรงบาลทั้งผัวทั้งเมีย สงสารเต้อะ

ออฟไลน์ Naam3

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :mew6: :mew6: :mew1: :mew1: :heaven :heaven มาต่อๆๆน่าๆๆๆเตไม่เป็นไรน่าๆ :L2: :3123: :กอด1:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
เตเป็นมะเร็งหรือเปล่า เดาจากอาการเอาอะ อ่านๆไปเริ่มคิดแล้วว่าอาจจะแบดเอนด์ก็ได้ แบบต่างคนต่างแยกทางกันเดินไรงี้

ออฟไลน์ wutwit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
มารอคู่นี้ อ่านรวดเดียวจนจบ ค้างคาน้ำตาไหลพราก

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
จบแบบ happy ได้ไหม หน่วงมาทั้งเรื่องขอตอนจบ happy ก็ได้ สงสารดิมกับเต ได้โปรด

ออฟไลน์ มาม่าหมูสับ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
อ่านรวดเดียว เรื่องนี้สนุกมาก หน่วงกับตัวละครหลายๆตัวเลย ติดตามนะคะ

ออฟไลน์ wutwit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
ยังไม่มาหรอคับ มาปักรอหมอดิมกับเต ยอให้สมหวังซักทีเถอะ เจ็บปวดกันมามากพอแล้ว

ออฟไลน์ Duangjai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
ครบเดือนละนะ. หายไปนานเลย

อาการของเต ดูแล้วจะดราม่าไหมนะ.

ชีวิตจริงมันก้อโหดร้ายอยู่แล้ว. อย่าให้ชีวิตในจินตนาการมันเศร้าลึกเลย

แต่ก้ออ่ะ.... เตรียมใจไว้ละ.  มาต่อเถอะ ตามพล๊อตที่วางไว้นั่นแหละ

รอ รอ รอ

...

 :katai4:   :katai4:   :katai4:   :katai4:   :katai4:

..


ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
เรื่องนี้ สุดท้ายแล้ว หมอรัลคือชนะเลิศทุกสิ่ง
ใช่ไหม คนแต่ง

ดิมเต เศร้ากันไปสองคนเนอะ

แต่คนสมหวังกลับเป็นหมอรัลไปซะ
โอ้วววววววว..บาปกรรม ไม่มีจริง
มีแต่หมาไน ไฮยีน่า อย่างเดียวเลย

..กาซิก..

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Naam3

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :mew1: :katai4: :katai5: :katai5:มารออๆๆๆน่าๆๆๆมาต่อๆๆๆๆๆๆคิดถึงๆๆๆ :กอด1: :L2:

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
เพราะหัวใจบอกว่า...เป็น

 

 

 

 

            ไม่ใช่คืนแรกที่ชายหนุ่มนอนไม่หลับ  แต่เป็นคืนแรกที่เขาไม่พยายามฝืนตัวเองให้หลับตาลง  หรือว่าหยิบยานอนหลับโยนใส่ปากเข้าไปสักเม็ดสองเม็ด  เพื่อสยบความทรมานที่ประสบอยู่

            เขาไม่แน่ใจว่าคนทั่วไปเค้ามีวิธีการสงบสติอารมณ์ไม่ให้คิดฟุ้งซ่านในยามค่ำคืนกันอย่างไรบ้าง  จะลุกขึ้นมาสวดมนต์นั่งสมาธิ มันก็ไม่ใช่ตัวเขาเท่าไหร่  ครั้นจะออกไปท่องราตรีหาใครสักคนมาช่วยให้คืนนี้ผ่านพ้นไปได้แบบไม่ต้องคิดอะไรมาก   เขาก็ไม่ใช่ผู้ชายมักง่ายประเภทนั้น

นายแพทย์หนุ่มที่เคยเชื่อว่าตัวเองประสบความสำเร็จในชีวิตตั้งแต่อายุเพิ่งสามสิบ  มีหน้าที่การงานที่ดี  มีเงินทองกองท่วมหัว  มีคนรักที่เข้าใจเขา...ต้องเปลี่ยนความคิดเมื่อได้พบว่าแท้จริงแล้วตนเองยังไม่เคยเข้าใกล้ความสำเร็จเลยด้วยซ้ำ  ถ้าความสำเร็จที่ว่า..หมายถึงความสุขในชีวิตละก็   เขายังห่างไกล  บางที...อาจจะอีกนานถึงจะมีวันนั้น

          ถอนหายใจยาว   ชายหนุ่มลุกจากเตียงเดินมาหยุดที่ริมหน้าต่าง  มองลอดม่านออกไปจากระเบียงคอนโดเห็นพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวลอยอยู่กลางท้องฟ้า  รูปทรงคล้ายคนที่กำลังทำหน้าบึ้ง  ปากเบะคว่ำใส่เขาราวกับกำลังไม่พอใจ  หรือไม่ก็โกรธ

            แม้แต่พระจันทร์ก็ยังโกรธเขา...ก็คงไม่เท่าเขาที่กำลังโกรธตัวเองหรอก

            เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น....ดึกป่านนี้แล้ว  คงจะเป็นรุ่นน้องแพทย์สักคนโทรมาขอปรึกษาอีกตามเคย...ชายหนุ่มถอยกลับไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงขึ้นมา  ชื่อที่หน้าจอทำให้เขาชะงักไปครู่  ก่อนจะกดรับ

            “สวัสดีครับ...คุณแม่”

          “ดิม...ยังไม่นอนจริงๆด้วย  แม่ลองเสี่ยงโทรมาดู...เป็นอย่างไรบ้าง  เสียงดูเหนื่อยๆชอบกล  งานหนักเหรอ”  เสียงของผู้หญิงคนเดียวในชีวิตของเขาเจื้อยแจ้วมาตามสาย

            “นิดหน่อยครับ....”  เขาพูดไม่ออก   ความรู้สึกภายในใจมันขัดแย้งกัน  ทั้งที่อยากเล่าเรื่องที่ประสบมาทั้งหมดให้เธอฟังแท้ๆ  แต่เสี้ยวหนึ่งในใจก็ยังมีความโกรธแฝงอยู่  จากความจริงที่ได้รับรู้ว่าเธอเองก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เรื่องระหว่างเขากับเตต้องกลายเป็นเช่นนี้

            “พักผ่อนบ้างนะจ้ะ  เราน่ะชอบหักโหม  ไม่ค่อยดูแลตัวเองเลย...แล้วเราโอเคมั้ย..เรื่องรัน”  ไม่แปลกที่มารดาของเขาจะรู้เรื่องแล้ว   แต่ที่แปลกคือคำถามว่า เขาโอเคหรือเปล่า นี่ล่ะ   คำพูดนี้ทำให้ขอบตาร้อนผ่าว  ไม่ใช่เรื่อง ‘รัน’ หรอกที่ทำให้เขารู้สึกแบบนี้   เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก...เรื่องที่เกี่ยวเนื่องและส่งผลต่อหัวใจเขาโดยตรง

เรื่องที่เธอไม่เคยถามความรู้สึกของเขาเลยสักครั้ง

            “................”

          “แม่เข้าใจ  คงต้องใช้เวลาหน่อย...แต่แม่ก็รู้ว่าดิมจะผ่านไปได้นะจ้ะ  ลูกแม่เข้มแข็งแค่ไหนแม่รู้ดี...ถ้ายังไง  บินมาเยี่ยมแม่หน่อยก็ดีนะ   ที่นี่อากาศกำลังเย็นสบายน่าเที่ยว”  น้ำเสียงของมารดา...วี่แววบางอย่างในน้ำเสียงที่คล้ายกับความเหงาทำให้หัวใจของเขาที่แข็งกระด้างขึ้นมาชั่วขณะอ่อนลงได้

          “ขอบคุณครับแม่  แล้วผมจะไปเยี่ยม...เร็วๆนี้”  อึกอักเล็กน้อยคล้ายคนที่ยังตัดสินใจไม่เด็ดขาด   แม่ของเขาหัวเราะ

            “แม่จะรอนะจ้ะ....ดิม...คราวนี้ไม่ว่าลูกจะตัดสินใจยังไง  จะเลือกทางไหน   แม่จะไม่ขัดและก็จะสนับสนุนเต็มที่นะ” เธอเว้นจังหวะไปครู่ “...แม่รู้ว่าเมื่อ 8 ปีก่อน แม่ทำผิด   แม่อยากแก้ตัวนะจ้ะ”

          “คุณแม่?”  ลูกชายอุทานอย่างแปลกใจ   จู่ๆมารดาของเขาก็พูดเรื่องเมื่อหลายปีก่อนขึ้นมา ทั้งๆที่เธอไม่เคยเอ่ยถึงมานานมากแล้ว   เผลอกำมือเข้าหากันแน่น  รู้ว่าเหตุการณ์คราวนั้นแม่ทำเพราะรักเขามาก   เข้าใจเหตุผลของเธอทุกอย่าง   แต่มันก็ยังยากสำหรับเขาอยู่ดี...

แล้วการที่แม่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาหมายความว่าอย่างไร  แม่รู้เรื่องของเตแล้วใช่มั้ย?

            “แม่อยากให้ลูกมีความสุขนะ  เรื่องอื่นก็..ช่างมันเถอะ    มีอะไรอยากให้แม่ช่วยมั้ย”  มีหลายอย่าง...แต่แม่ก็คงช่วยเขาไม่ได้   ไม่มีใครช่วยเขาได้  นอกจากพระพรหมจะเห็นใจช่วยลิขิตชะตาชีวิตให้เขาเสียใหม่

            แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้  เวลาล่วงเลยมาจนป่านนี้แล้ว  ชายหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งปลายเตียงประคองโทรศัพท์เอาไว้แนบหู  ทอดสายตามองนาฬิกาติดผนังเรือนใหญ่นิ่งๆ  เข็มวินาทียังคงเดินต่อไปตามกลไกที่ถูกกำหนดเอาไว้  ได้ยินเสียงติ๊ก ติ๊ก เบาๆเป็นจังหวะ

...ไม่มีใครย้อนเวลาได้   มีแต่ต้องก้าวเดินต่อไปข้างหน้าเท่านั้น   โดยทิ้งอดีตเอาไว้เบื้องหลัง

ความคิดนี้ทำให้เขารู้สึกหนาวขึ้นมาฉับพลันจนเผลอห่อไหล่   เขายังไม่พร้อมที่จะออกเดินทางไปไหนทั้งนั้น   เขาต้องรอก่อน...ใช่แล้ว   ผลการส่องกล้องนั่น   การผ่าตัดขอข้าวมาตัง  ไหนจะงานวิจัยของเขาอีก   คงไม่ง่ายนักที่จะทิ้งทุกอย่างแล้วไปจากที่นี่ตามที่ปากว่าเอาไว้   คงต้องใช้เวลาอีกสักพัก

          “ดิมลูก...ฟังอยู่หรือเปล่า”  แม่ทักขึ้นมาหลังจากที่เขาเงียบไปนาน   รดิศถอนหายใจเฮือก...เปล่าประโยชน์ที่จะมาขึ้งโกรธคนที่ปรารถนาดีต่อเราอย่างจริงใจ   และอาจเป็นคนสุดท้ายที่พร้อมจะเคียงข้างเขาทุกกรณี

            “ผมอยากกลับไปกอดแม่  นอนหนุนตักแม่อีกครั้ง”  ตอบเสียงแหบพร่า  ในยามที่เขารู้สึกคล้ายเหลือตัวคนเดียวในโลก  ความจริงแล้วยังมีใครอีกคนหนึ่งที่อยู่เคียงข้างเขาอยู่เสมอแม้เขาจะมองไม่เห็นตัว 

            “ไม่เป็นไรนะลูก  แล้วมันจะผ่านไป  ดิมของแม่เก่งอยู่แล้ว   แม่เชื่อในตัวของลูก”  ชายหนุ่มนึกอยากให้ตัวเองอยู่ต่อหน้าผู้หญิงคนนี้เสียเดี๋ยวนั้น   เพื่อที่เขาจะได้ขอกำลังใจจากเธอมาเติมเต็มช่องว่างๆกลางอกที่ว่างเปล่าของเขา

            แม่พูดปลอบมาอีกสองสามประโยคก็วางสายไป...ดิมเชื่อว่าแม่คงรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว  อาจจะจากรัน  หรือไม่ก็จากเพื่อนๆของเขาที่แม่รู้จักทุกคน...แม่คงรู้ว่าเขากำลังเจ็บหนัก  ก็เลยโทรมาปลอบใจ   ทั้งๆที่แม่ไม่พูดถึงชื่อของเตเลยสักคำ   แต่สำหรับคนที่รู้จักเธอมาตลอดชีวิต  เขารู้ว่าแม่รู้สึกผิดต่อเต

            เกือบรุ่งเช้าพอดี...เขาตัดสินใจอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแทนที่จะล้มตัวลงนอนอีกสักสองชั่วโมง  รู้ตัวเองดีว่าฝืนอย่างไรก็คงจะนอนไม่หลับ    ชายหนุ่มมาถึงโรงพยาบาลเช้ากว่าทุกวัน 

            หยุดยืนด้านหน้าห้องพักของคนไข้ของตนที่มีกำหนดจะผ่าตัดวันพรุ่งนี้   ยกมือขึ้นเคาะเบาๆ

            “คุณดาวประดับ  ตื่นแล้วเหรอครับ  เป็นอย่างไรบ้าง”  เข้าไปตรวจร่างกายของเธอ  หญิงสาวส่งยิ้มอ่อนๆมาให้เหมือนยังไม่ตื่นดีนัก   ข้างๆกันนั้นมีร่างกลมป้อมของเด็กชายเต้นอนหลับสนิทอยู่

            “คุณหมอ  มาเช้าจังค่ะ”   คนป่วยพูด  เขายิ้มรับ

            “เช้านี้คุณภาคย์ติดธุระนะครับ  ไปส่งน้องเต้ไม่ได้”   บอกยิ้มๆ  ฝ่ายคุณแม่เลิกคิ้วงงๆ ตั้งตัวไม่ทัน   หลังจากประมวลผลครู่หนึ่งเธอก็พยักหน้า   พูดเนิบๆ

            “ถ้าอย่างนั้น ตังขอรบกวนคุณหมอได้ไหมคะ   แต่ถ้าคุณหมอไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรนะคะ   หยุดโรงเรียนสักวันคงไม่เป็นอะไร”   ในเมื่อมารดาของเด็กพูดเสียอย่างนี้แล้ว   จะให้เขาตอบอย่างไรได้

            “ไม่รบกวนหรอกครับ  เดี๋ยวผมไปส่งน้องเต้ให้เอง”

            หญิงสาวพึมพำว่าเกรงใจ  แล้วหันไปเขย่าตัวลูกชายที่นอนอยู่เตียงเสริมข้างๆให้ตื่นขึ้น  ใช้เวลาไม่นาน เด็กชายก็อยู่ในชุดนักเรียนพร้อมไปโรงเรียนได้   เขาไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกับเด็กสักเท่าไหร่   นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะได้พาเด็กคนหนึ่งไปส่งที่โรงเรียนตอนเช้า

            ประหลาดใจอยู่เหมือนกันที่ตัวเองสามารถนั่งรอเด็กชายคนหนึ่งนั่งทานอาหารเช้าจนเสร็จ  ทั้งๆที่เป็นคนขี้รำคาญ      นอกจากรันแล้ว เขาไม่เคยอดทนรอใครกินข้าวได้นาน  รวมถึงการแวะซื้อขนมโตเกียวหน้าโรงเรียนก่อนที่จะถึงเวลาเข้าแถวหน้าเสาธง   เขาก็ยืนรอเป็นเพื่อนเจ้าเต้ได้โดยไม่นึกหงุดหงิดอย่างที่ควรจะเป็น

            คงเป็นเพราะเต้เป็นเด็กฉลาดและมีมารยาท  ทำให้เขาไม่อึดอัดและรำคาญอย่างเด็กทั่วไปกระมัง..

            “ลุงกลับก่อนนะครับ  นี่เงินค่าขนม..ลุงให้เพิ่มเผื่อซื้อไอติมตอนเย็นนะ   อ้อ  แล้วเย็นนี้ถ้าลุงไม่ได้มารับ ก็เป็นลุงภาคย์มารับเหมือนเดิม  ไม่มีคนอื่นมานะ  เข้าใจไหมเต้”  เขาย่อตัวลง  ล้วงธนบัตรสีเขียวมาส่งให้เด็กน้อยที่ตาโตรีบพนมมือรับทันที

            “ครับ  เต้ไปก่อนนะฮะ  คุณลุง”  พูดจบ เด็กชายเต้ก็ชะโงกหน้าเข้ามาแตะปลายจมูกกับริมฝีปากเล็กๆนั่นที่ข้างแก้มของเขาทีนึงด้วยท่าทางเคยคุ้น  ก่อนจะวิ่งออกไปรวมกับเพื่อนๆคนอื่น   ไม่ลืมหันมาโบกมือให้เขาอีกที

            คุณหมอหนุ่มยกมือขึ้นลูบแก้มที่ถูกเด็กหอมอย่างแปลกใจ  ความรู้สึกบางอย่างอุ่นวาบค่อยๆไหลรินเข้ามาเติมเต็มในใจ  เขาโบกมือกลับ ยิ้มกว้างเป็นครั้งแรกในรอบอาทิตย์

            “เย็นนี้ลุงมารับนะ”  ตะโกนเสียงดัง   เห็นเต้พยักหน้ารับก็โบกมือให้อีกทีแล้วค่อยกลับไปที่รถ   ระหว่างทางที่เขากลับมายังโรงพยาบาล   ความคิดอย่างหนึ่งก็แวบเข้ามา...มันเลวร้ายจนเข้าสะดุ้ง  ต้องรีบปัดความคิดชั่วร้ายและแสนเห็นแก่ตัวนั้นออกไปทันที

            ...จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าการผ่าตัดของข้าวตังไม่สำเร็จ...ด้วยฝีมือของเขา?

          ...........................................................................................

            เวลาผ่านไปเชื่องช้าเหลือเกินในความรู้สึกของคนรอ  ในที่สุดร่างโปร่งบางจนเกือบติดเตียงก็ถูกเข็นออกมาจากห้องส่องกล้อง   รดิศกวาดตามองสำรวจเห็นอีกฝ่ายเรียบร้อยดี  เปลือกตาหลับพริ้มเพราะความอ่อนเพลียนั้นขยับน้อยๆเหมือนจะลืมตาขึ้นมา ก็รีบถอยไปหลบอีกมุมหนึ่ง   เจอรุ่นพี่แพทย์สาวเดินสวนออกมาพอดี

            “พี่ส้ม  เป็นไงบ้าง?”

            “ดิม?  วันนี้ไม่มีผ่าหรอ?”  หญิงสาวถามงงๆ  เมื่อเห็นหนุ่มรุ่นน้องที่คิวแน่นยิ่งกว่าดารามาปรากฎตัวที่ระเบียงทางเดินหน้าห้องส่องกล้องของเธอได้

            “ไม่มี  ....พี่ส้ม  ว่าอย่างไรบ้าง”  เขาถามซ้ำ  ท่าทางของหญิงสาวดูลำบากใจชอบกลคล้ายกับไม่อยากพูดถึง

            “ดิม  จริงๆแล้วมันเป็นความลับของคนไข้นะ  พี่คงยังบอกเธอไม่ได้ตอนนี้  ขอโทษด้วยนะ”  เธอพูดแค่นั้น  โดยไม่สบตาเขา  “พี่ขอตัวก่อนนะ มีอีกสองเคสรออยู่”  พูดจบพี่ส้มก็เดินเลี่ยงเข้าไปอีกห้องทันที  ทิ้งให้เขายืนงง ทำความเข้าใจกับคำว่า ‘ความลับของคนไข้’ อยู่นาน   

          ความลับของคนไข้อะไรกัน ..ที่ผ่านมาเขาก็รับรู้อาการของเตมาตลอด  พี่ส้มเป็นคนพาเข้าไปตรวจเลยด้วยซ้ำ แล้วทำไมจู่ๆ เธอถึงเอาเรื่องนั้นมาอ้างล่ะ  หมายความว่าอย่างไร

            ชายหนุ่มขยับจะเข้าไปถามให้รู้เรื่อง  แต่ถูกโทรตามตัวจากแพทย์รุ่นน้องให้เข้าไปช่วยกู้สถานการณ์ฉุกเฉินในห้องผ่าตัด    ซึ่งเป็นเคสที่เหนื่อยยากเอาการ ดึงทั้งแรงและเวลาไปจากเขาจนเกือบหมดวัน กว่าทุกอย่างจะสำเร็จเสร็จสิ้น   

            รดิศกลับห้องทำงานอย่างหมดแรง   เขาอยากล้มตัวลงนอนสักงีบแต่ก็ต้องลุกขึ้นเดินไปตรวจคนไข้ของตัวเองที่นอนอยู่    แวะห้องของดาวประดับเป็นห้องสุดท้าย  เด็กชายเต้นั่งดูดโค้กอยู่กลางห้อง กำลังดูการ์ตูนในโทรทัศน์  ส่วนคนไข้ของเขากึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง  สีหน้าค่อนข้างสดชื่นกว่าทุกวัน

“คุณลุงมาแล้ว  ไหนบอกจะไปรับเต้ไม่เห็นมาเลย...เต้ก็รอ”  เด็กชายเต้ทักเขาพร้อมบ่นหงุงหงิง

คุณลุงยิ้มกว้าง  ยกมือขึ้นลูบศีรษะของเด็กน้อย

“ขอโทษด้วยครับ  ลุงติดธุระจริงๆเลยออกไปรับไม่ได้  แล้วใครไปรับครับเนี่ย”  รดิศรู้สึกผิดขึ้นมาหน่อยๆที่ปล่อยให้เด็กรอ    แต่เขาก็ออกมาจากห้องผ่าตัดขณะนั้นไม่ได้จริงๆ  ได้แต่ฝากนางพยาบาลมาบอกคุณแม่ของเต้ให้ว่าเขาไปรับไม่ได้

“คุณภาคย์แวะไปรับแล้วพามาส่งให้ค่ะ”  มารดาของเต้ หรือคนไข้ของเขาตอบแทน   นายแพทย์หนุ่มลุกขึ้นยืนเดินไปหาคนไข้ที่จะต้องผ่าตัดในวันพรุ่งนี้  รอพยาบาลหยิบอุปกรณ์เข้ามาให้ จึงลงมือตรวจอย่างละเอียด

“พรุ่งนี้แล้วสินะคะคุณหมอ  ตื่นเต้นจังค่ะ”   หญิงสาวพึมพำ

“ทำใจสบายๆครับ  ไม่ต้องกังวล  คืนนี้นอนหลับให้สนิท  พรุ่งนี้... ผมจะทำเต็มที่ไม่ต้องห่วงนะครับ”   เขาให้ความมั่นใจกับคนไข้เหมือนทุกที  ทว่าคราวนี้อะไรอย่างหนึ่งในใจมันต่างออกไป  คล้ายกับว่าเขาพูดได้ไม่ค่อยเต็มปากเท่าที่ควร  ว่าจะทำ ‘เต็มที่’

“คุณหมอ....ตังมีเรื่องอยากขออย่างหนึ่งได้ไหมคะ”   สีหน้าและแววตาของหญิงสาวทำให้เขาเผลอขมวดคิ้ว

“อะไรเหรอครับ”

สิ่งที่เธอตอบกลับมาด้วยเสียงกระซิบ ทำเอาเขามือเย็นเฉียบ...ราวกับเธอผู้นี้มีญาณทิพย์ ล่วงรู้ความในใจของเขาได้หมดสิ้น  หัวใจเต้นแรงคล้ายจะโลดออกมานอกอก

รดิศกลับออกมาจากห้องของหญิงสาว   สวนกับร่างโปร่งบางของใครคนหนึ่งที่เขากำลังคิดถึงอยู่พอดี   คนที่ประจันหน้ากันโดยบังเอิญทั้งสองยืนสบตากันนิ่งไปครู่ คล้ายกับทำตัวไม่ถูก  ก่อนที่คุณหมอจะเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน

“เต...เป็นไงบ้าง  ยังปวดท้องอยู่หรือเปล่า”  อยากถามผลจากเจ้าตัว  ทว่าอีกใจหนึ่งเขาก็เกิดความกลัวขึ้นมา   เกิดมันไม่ได้ ‘ดี’ อย่างที่อยากให้เป็น  แล้วเขาจะทำอย่างไร  ลอบสังเกตสีหน้าของอีกฝ่ายก็เห็นใบหน้าเรียวซีดน้อยๆ ใต้ตาดำคล้ำอย่างคนพักผ่อนไม่เพียงพอ

“ไม่ค่อยปวดแล้ว  ขอบคุณนะครับที่ไปส่งเต้ให้เมื่อเช้า”  เสียงแหบตอบกลับมา  ทำท่าจะเลี่ยงเข้าไปในห้องพักของภรรยา

“เอ้อ....ผลส่องกล้องเป็นอย่างไรบ้าง”  เขาหลุดปากถามออกมาจนได้  แล้วก็ใจเต้นระทึกลุ้นกับคำตอบ

“ยังไม่รู้ผลเลย  หมอส้มบอกว่าต้องรอผลชิ้นเนื้อก่อนครับ”

          “อ้อ  เหรอ”  ดิมเลิกคิ้ว  ประหลาดใจเต็มทน  ทุกอย่างมันผิดแผลกจากปกติไปหมด  สังหรณ์ของเขาบอกว่ามันคงไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ๆ  พี่ส้มถึงได้บ่ายเบี่ยงไม่ยอมบอกแบบนั้น   คงต้องไปเค้นถามด้วยตัวเอง..

“....เอ้อ  คุณหมอ   พรุ่งนี้...ผมขอฝากภรรยาของผมด้วย   ผมเชื่อมือของคุณหมอนะครับ”

คุณหมอ!  คุณหมอ!  คุณหมอ!  เรียกว่าคุณหมอทุกคำเลยนะ  ก็รู้หรอกว่าอีกฝ่ายให้เกียรติ  แต่มันคงจะรื่นหู...คงจะชุ่มชื่นหัวใจกว่านี้  ถ้าเปลี่ยนเป็นคำว่า  พี่ดิม  แทนเหมือนทุกครั้ง

หยุดคิดไร้สาระแบบนั้นได้แล้ว...เสียงหนึ่งตวาดอย่างเฉียบขาดออกมาจากซอกหนึ่งของสมอง   รดิศพยายามส่งยิ้มที่ดูคล้ายมุมปากกระตุกไปให้ครั้งหนึ่ง   ค้นหาเสียงตัวเองจนเจอในที่สุด

“ผมจะพยายามเต็มที่  ไม่ต้องเป็นห่วง....”    อยากพูดต่อ  ทว่าเปลี่ยนใจ   สิ่งที่เขาพูดคุยกับภรรยาของอีกฝ่ายเป็นความลับระหว่างเขากับเธอ   ถึงจะเกี่ยวเนื่องกับเตโดยตรงแต่เขาก็ไม่สามารถเปิดปากพูดออกไปได้

 “ขอตัวก่อนนะครับ”   นักเขียนหนุ่มพูดพึมพำ ไม่สบตาเขา แล้วเบี่ยงตัวเข้าไปในห้อง  รดิศมองตามหลังจนลับสายตา จึงค่อยตรงไปยังห้องทำงาน  ไม่ใช่ของเขา  แต่เป็นของพี่ส้ม

ไฟในห้องยังเปิดสว่างอยู่  เขายกมือขึ้นเคาะ  ได้ยินเสียงคล้ายคนในห้องหยุดสนทนากันชั่วขณะ

“เข้ามาเลย  ไม่ได้ล็อคจ้ะ”  ชายหนุ่มบิดลูกบิดประตู  เปิดเข้าไปภายในห้อง  เห็นร่างของหญิงสาวเจ้าของห้องยังคงนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยหนังสือและแฟ้มกระดาษเต็มแน่นไปหมดจนไม่เหลือพื้นที่ว่าง

“เจ้ส้ม  ผมอยากมาถามผลส่องกล้องของ...”  เสียงของเขาขาดหายไปชั่วขณะ  เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นร่างของแขกอีกคนภายในห้องของรุ่นพี่

คนๆนั้นนั่งอยู่ที่โซฟารับแขกอีกด้านของห้อง   เขาก็เลยไม่ทันสังเกตเห็นแต่ทีแรก  เค้าลุกขึ้นยืนแล้วมาหยุดที่ตรงหน้าของเขา

“รัน...กลับมาแล้วเหรอ?”  บอกไม่ถูกว่าความรู้สึกของเขาตอนนี้มันเป็นอย่างไรกันแน่  ที่รู้คือ ไม่ใช่ความยินดีที่ได้เห็นคนที่เป็นทั้งเพื่อนและคนรักเก่ากลับมาเจอกันอีกครั้งอย่างที่ควรจะเป็น   วิรัลไม่ยิ้มเลยตอนที่ทักเขา

“อ้อ  ดิม  ไม่เจอกันนาน”  คล้ายกับจะหมดคำพูดไปแล้ว 

หลังจากเหตุการณ์ในห้องทำงานของเขาที่อีกฝ่ายระเบิดอารมณ์ทั้งหมดออกมา  เขาก็ไม่ได้พบกับรันอีกเลย  รันขอพักงานและไปต่างประเทศในวันรุ่งขึ้น   ไม่มีการติดต่อ  ไม่รู้ความเคลื่อนไหวใดๆ  หรือเป็นความผิดของเขาเองด้วยที่ไม่สนใจก็ไม่รู้   ราวกับความรักที่เคยคิดว่ามีให้อีกฝ่ายจนเต็มเปี่ยมถึงขั้นคุกเข่าขอแต่งงานได้  มันกลับเหือดหายไปคล้ายกับไม่เคยมีอยู่จริง...

“รันเพิ่งกลับมาจากอังกฤษ  พอดีแวะมาหาพี่ก่อน  ว่าจะบอกเธออยู่เหมือนกัน ..พวกเราไปหาอะไรดื่มกันหน่อยมั้ย  รื้อฟื้นความหลังไง  นานๆจะได้กลับมาเจอกันพร้อมหน้าพร้อมตา”    เจ้าของห้องพยายามแก้ไขสถานการณ์ที่น่าอึดอัดให้ดีขึ้น   ทว่ามันกลับแย่ลงในความรู้สึกของคนมาใหม่

“ผมต้องกลับบ้าน  ขอโทษด้วยครับ”  รันพูด   เดาว่าคงรู้สึกไม่ต่างกันเท่าไหร่  กุมารแพทย์หนุ่มถอยกลับไปหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพาย  เหลือบตามองอดีตคนรักแวบเดียวตอนที่พูดขอตัวลาเจ้าของห้องออกมา

ดิมมองตาม

“ไม่ไปคุยกับเขาหน่อยหรอ   พี่ว่าเขาตั้งใจแวะมาหาเธอนะ”  รุ่นพี่พูดลอยๆ  เห็นรุ่นน้องหน้าเข้มเม้มปากแน่นยืนนิ่ง   สุดท้ายก็ขยับเดินตามหลังร่างของอดีตคนรักไปทันกันที่หน้าลิฟต์

วิรัลหันมามอง  ท่าทางไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่เห็นอีกคนเดินตามมา





ต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk






            “รัน  ผมขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม”   คนฟังพยักหน้ารับ  เดินแยกออกมายืนที่ระเบียงริมหน้าต่าง  รันเพิ่งสังเกตว่ามันเป็นที่เดียวกันกับตอนที่เขาบังเอิญเดินผ่านมาเห็นคนรักยืนกอดกับแฟนเก่าอยู่ตำตาในคืนนั้น

            ดูเหมือนดิมจะไม่ทันสังเกต

            “ผมขอโทษนะ”   จู่ๆคนตรงหน้าก็โพล่งออกมา รันไม่อยากเชื่อว่าอีกคนจะเป็นฝ่ายขอโทษเขาก่อน  ทั้งๆที่ความจริงแล้วควรจะเป็นเขามากกว่าที่จะต้อง ‘ขอโทษ’

            “เรื่องอะไร   ดิมไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก   รันเองต่างหากที่ผิด...หลงรักดิมจนขาดสติ”  เสียงเขาแผ่วลงเหมือนพูดกับตัวเอง  เวลาที่ได้พักทบทวนเรื่องราวต่างๆ ทำให้เขามองเห็นตัวเองชัดขึ้น  ได้เห็นว่าตัวเองทำอะไรลงไปบ้างโดยไม่เคยยั้งคิดถึงผลที่ตามมาเลยสักครั้ง  ไม่เคยสนว่ามันจะกระทบใคร  สิ่งที่เขาทำกับเต  ไม่ต่างอะไรกับการแทงข้างหลัง  ทั้งๆที่เขามั่นใจว่าตัวเองอยู่เหนือชายหนุ่มผู้นั้นมาตลอดแท้ๆ  ทว่าเขากลับต้องใช้กลโกง  ใช้เล่ห์เหลี่ยมกับคนแบบนั้น  มันทำให้เขารู้สึกแย่กับตัวเอง 

ทำไมเขาถึงต้องลงทุนขนาดนั้น  ยอมทำทุกอย่างเพียงเพื่อให้ได้ ‘ใจ’ ของคนตรงหน้ามาครอง

            เพื่อที่สุดท้ายแล้วจึงได้รู้ว่า  สิ่งที่เขาได้มานั้นมีแต่เปลือกชั้นนอกสุดที่ห่อหุ้มหัวใจของอีกฝ่ายเอาไว้เท่านั้น  เขาไม่เคยได้เข้าไปอยู่ในหัวใจของดิมเลย

            มันยิ่งกว่าความเจ็บปวด  เพราะเขาเหมือนคนที่ทุ่มเทลงไปทั้งหมดใจ  ไม่เหลืออะไรเก็บเอาไว้กับตัวเลยสักอย่างเดียว แม้แต่ศักดิ์ศรี

            คนตรงหน้าเอื้อมมือมารวบมือของเขาทั้งสองข้างไปกุมเอาไว้  มือใหญ่แข็งแรงนั้นอุ่นจัด

            “เป็นเพราะผมเองด้วยรัน ผมหลอกตัวเอง...หลอกคุณด้วย”  หลอกตัวเองว่ารัก...การหลอกที่ไม่เคยสำเร็จจริงสักครั้ง   

            “จริงๆรันไม่ได้จะกลับมาเพื่อยอมแพ้หรอกนะ  ริรันทอยากกลับมาขอโอกาสจากดิม  แต่ว่าเรื่องที่รันเพิ่งได้รู้มา  มันทำให้รันตัดใจได้เด็ดขาด”  คุณหมอเด็กถอนหายใจแผ่วเบา   “เมื่อตอนบ่าย  รันแวะไปเยี่ยมคุณตังมา   ก็เลยได้รู้ความจริงบางอย่างเพิ่มขึ้น”

คนฟังขมวดคิ้ว  มาตังไม่ได้เล่าเลยสักคำว่าชายหนุ่มไปเยี่ยม

            “ความจริงอะไรหรือ”

          “ความจริงที่ว่าเต้ไม่ใช่ลูกแท้ๆของคุณเต  แต่เป็นลูกของน้องสาว... ดิมรู้เรื่องนี้อยู่แล้วหรือเปล่า?”   ชายหนุ่มพยักหน้ารับ

          “รันไม่รู้มาก่อน  รันก็เลยยอมแพ้....แพ้หัวใจของคุณเต  รันสู้ไม่ได้จริงๆ  ไม่มีทางสู้เลย”   เขาจะเอาอะไรไปสู้กับคนใจเพชรคนนั้น...คนที่มีหัวใจเอาไว้เพื่อคนอื่นอยู่เสมอ  คนที่คิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเอง....กับเขาที่คิดถึงตัวเอง  ทำเพื่อตัวเอง...มันไม่มีทางเทียบกันได้เลย 

            ความคิดที่เคยใช้อ้างตัวเองตลอดมาว่า  ชายหนุ่มผู้นั้นก็ทิ้งอีกฝ่ายไปแต่งงานมีลูกมีเต้าไปแล้ว  ไม่ได้อาลัยอาวรณ์อะไรคนของเขานักหรอกนั้น  ไม่สามารถนำมาใช้ได้อีก  เขาเพิ่งเข้าใจและอดทึ่งกับความกล้าหาญที่จะเผชิญความเจ็บปวดอย่างเด็ดเดี่ยวของคนๆนั้นไม่ได้

            ขณะเดียวกันก็ละอายกับความคิดในแง่ลบที่เคยมีต่อฝ่ายนั้นตลอดมา   

            เงยหน้าขึ้นพิศดูใบหน้าคมเข้มของอดีตคนรัก  เห็นแต่ความซูบและหมองคล้ำตรงตามที่พี่ส้มบอก   ว่าดิมไม่ดูแลตัวเองเหมือนอย่างเคย  อยากยกมือขึ้นแนบประคองใบหน้านั้นเอาไว้อีกสักครั้งแล้วปลอบใจ

....อีกสักครั้ง  จะผิดมากมั้ย...

            “อย่าคิดมากเลย   เรื่องมันผ่านไปแล้ว   ผมดีใจที่รันกลับมา...ถึงอย่างไรรันก็เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผม” 

            “ถึงอย่างไร?  หมายถึงว่า ถึงรันจะเลวแค่ไหน   รันก็ยังจะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของดิมใช่มั้ย  หึๆ”  หมอเด็กพูดแกมหัวเราะ  รดิศยิ้ม

          ริทหงายมือขึ้น  แล้วเป็นฝ่ายกุมมือใหญ่ของเขาเอาไว้เสียเอง  ดวงตาคู่นั้นมีแววที่เขาอ่านไปไม่ออกแฝงอยู่ 

            “ดิม...ความจริงแล้วมีอีกเรื่องหนึ่ง  ที่รันรู้มาโดยบังเอิญ”

          “เรื่องอะไรเหรอ”   วิรัลเงียบไป คล้ายคนที่กำลังตัดสินใจ  แล้วเขาก็บอกออกมาในที่สุด   ประโยคที่ทำให้คนฟังหัวใจหยุดเต้นไปชั่วครู่  แล้วก็กลับมาเต้นใหม่ด้วยจังหวะที่รัวแรงกว่าเดิม  ขณะที่เดินเร็วๆย้อนกลับไปยังห้องทำงานของอายุรแพทย์หญิง

            ‘เรื่องที่คุณเตป่วย....  รันไม่รู้รายละเอียดมาก  รู้แค่ว่า...ดิมเตรียมใจไว้หน่อยก็ดีนะ’

            กุมารแพทย์หนุ่มมองตามหลังร่างสมส่วนในชุดกาวน์ยาวที่ขอตัวผละจากเขาไปดื้อๆ  รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปาก  คำพูดของตัวเองเมื่อครู่ย้อนกลับมาในความคิด

            ...ถึงรันจะเลวแค่ไหน   รันก็ยังจะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของดิม...ใช่มั้ย?...

            ................................................................................................

            ‘พี่ก็ยังบอกอะไรไม่ได้มากนักหรอก  ยังไงก็ต้องรอผลชิ้นเนื้อก่อนอีก 2 อาทิตย์’  พี่ส้มพูดกับเขา  ความหมายชัดเจนอยู่ในตัวว่าต้องการเลี่ยง  ท่าทางของเธอไม่อยากพูดเรื่องนี้และกำลังหาทางตัดบทเพื่อไล่เขาออกจากห้อง

            ‘พี่พูดออกมาตรงๆเลยดีกว่า   ผมรับได้’   เขาจ้องหน้าเธอเขม็ง

            ‘แน่ใจเหรอว่าเธอจะรับได้จริงๆ’  หญิงสาวตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงกระซิบ   ทำเอาใจหล่นวาบ...อย่าบอกนะว่าสิ่งที่เขาคิดจะเป็นเรื่องจริง

            สายตาของพี่ส้มทำให้เขาพูดไม่ออก  ความเป็นห่วงและความสงสารของเธอที่ส่งออกมาผ่านแววตา และอากัปกิริยาทอดถอนลมหายใจนั้น ยิ่งทำให้หัวใจของเขาหดเล็กลงไปอีก

            ‘ผมไม่เชื่อ   ต้องมีอะไรผิดพลาดสักอย่าง’  ถึงปากจะบอกว่าไม่เชื่อ   แต่ความจริงเชื่อไปแล้วเกิน 70 เปอร์เซ็นต์     ชายหนุ่มเดินกลับไปกลับมาภายในห้องของแพทย์หญิงรุ่นพี่ราวกับเสือติดจั่น   มือกำแน่นโดยไม่รู้ตัว

            ‘รอผลให้ชัวร์ก่อนดีกว่ากัน’  พี่ส้มพูดเสียงอ่อนอย่างปลอบใจ

            ‘ยังรักษาได้ทันใช่มั้ย    แล้วต้องใช้เวลารักษานานเท่าไหร่   จริงสิ  ต้องให้คีโมหรือเปล่า ...แล้ว... เขาจะอยู่ได้อีกนาน...ใช่มั้ย?’  คำถามที่หลุดออกมาขาดเป็นห้วงๆ ไม่ปะติดปะต่อ เพราะเจ้าตัวเรียบเรียงความคิดไม่ทัน   คำถามอีกมากมายค้างอยู่ที่ริมฝีปาก

            หญิงสาวเจ้าของห้องมองหน้าเขานิ่งไปนานจนเขาเกือบจะเปลี่ยนใจเดินออกจากห้อง   จนกระทั่งได้ยินประโยคสุดท้ายจากเธอ  ตอบคำถามท้ายสุดของเขาเพียงคำถามเดียว

            ‘เหลือเวลาไม่มากแล้วล่ะ...ดิม’

            ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจช้าๆ หวังว่ามันจะช่วยคลายความอึดอัดในอกได้บ้าง   ครุ่นคิดถึงคำพูดของพี่ส้มในห้องทำงานเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนนั้นอีกครั้ง   สิ่งที่แพทย์รุ่นพี่พูด...ถึงเธอจะไม่ได้บอกออกมาตรงๆ ทว่าในฐานะแพทย์ด้วยกัน...เขาก็เข้าใจได้

            เตกำลังป่วยหนักและคราวนี้ก็อาจจะไม่รอด

            เหลือเวลาไม่มากแล้ว?   ไม่มากที่ว่ามันแค่ไหนกันล่ะ  3 เดือน  6 เดือน  หรือว่า 5 ปี  เมื่อกี้ก็มัวแต่ตกใจเลยลืมถาม   แต่จะเท่าไหนก็แล้วแต่....ทำไมสวรรค์ถึงได้ใจร้ายกับคนๆนึงได้ขนาดนี้

            คนที่เสียสละความสุขของตัวเองทุกอย่าง  เขาควรจะได้พบความสงบสุขในบั้นปลายมิใช่หรือ  เหตุใดจึงตอบแทนเขาด้วยโรคร้ายและความทุกข์ทรมานไม่มีที่สิ้นสุดเช่นนี้...   

            หรือเป็นเพราะแบกรับความทุกข์เอาไว้มากมาย ก็เลยกลายเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดโรคโดยไม่รู้ตัว   แบบนี้เขาก็มีส่วนทำให้ฝ่ายนั้นป่วยน่ะสิ?

            นายแพทย์หนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่  ลุกขึ้นจากโซฟาที่ทิ้งตัวนอนเหยียดยาวตั้งแต่กลับถึงที่พัก   เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดออกกำลังกาย  สวมรองเท้ากีฬาเพื่อลงไปออกกำลังที่ฟิตเนส   อย่างน้อยก็คงดีกว่าปล่อยตัวเองให้นอนจมปลักอยู่ท่ามกลางหนทางตัน 

            โชคดีที่ฟิตเนสของที่นี่เปิดยาวนานถึงเที่ยงคืน เพื่อรองรับทุกไลฟ์สไตล์ของคนที่พักอาศัย   ดึกจนใกล้ปิดทำการเต็มทีแล้ว  พนักงานหญิงนั่งสัปหงกอยู่ที่เคาท์เตอร์  ภายในห้องกว้างๆของฟิตเนสมีเครื่องออกกำลังกายชนิดต่างๆวางแยกอยู่เป็นสัดส่วน  เทรนเนอร์คนหนึ่งส่งยิ้มมาให้เขาอย่างคุ้นหน้า  แต่ไม่ได้เข้ามารบกวน

เขาเลือกวิ่งสายพาน   การวิ่งเป็นสิ่งที่เขาชอบมากที่สุด   ปกติเขาจะพยายามหาเวลามาวิ่งเสมอยามว่าง   เหมือนได้ก้าวเข้าไปในอีกโลกหนึ่งที่มีเพียงเสียงลมหายใจเข้า – ออกของตัวเองกับเสียงฝีเท้าที่กระทบกับสายพานเป็นจังหวะ   ไม่มีใครมารบกวน   ไม่ต้องคิดอะไรวุ่นวาย  แค่ปล่อยให้เท้าก้าวตามไปเรื่อยๆตามเส้นทางตรงแน่วของสายพาน  ไม่คดเคี้ยววกวน  ไม่ขรุขระ  ด้วยความเร็วที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว

เขาอยากให้ชีวิตของตัวเองราบรื่นเหมือนเวลาที่กำลังวิ่งอยู่บนสายพานตอนนี้   ไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ  ไม่ต้องนึกถึงอดีต  ไม่ต้องกังวลอนาคต  ไม่ต้องคิดถึง....

รู้ว่าตัวเองเป็นคนคิดมาก  ชอบวางแผนระยะยาว   ตอนเรียนมัธยมปลายก็คิดเสมอว่าจะเรียนมหาวิทยาลัยอะไร  เรียนคณะไหน  พอเอนท์ติดได้เรียนสมใจก็วางแผนล่วงหน้าอีก   จะเรียนอะไรต่อ  จบไปจะทำงานที่ไหน เงินเดือนเท่าไหร่  แม่จะอยู่ที่ไหน  ครั้นพอมีแฟน...ก็ยิ่งอดไม่ได้ที่จะวาดฝันถึงอนาคตร่วมกัน

มันถึงเจ็บปวดมากที่ฝันนั้นต้องพังทลายลงทั้งที่ยังไปไม่ถึงครึ่งทางเลยด้วยซ้ำ   ทั้งเจ็บใจทั้งแค้นใจจนกระทั่งได้กลับมาเจอกันอีก...แล้วเขาก็วางแผนอีกครั้งตามนิสัย   ทว่าคราวนี้ตั้งใจเต็มที่ที่จะมาเอาคืน   และมันต้อง ‘สำเร็จ’

สุดท้าย   ผู้ชายคนเดิมที่เขาตั้งใจไว้ว่าจะ ‘ฟันแล้วทิ้ง’ อย่างเลือดเย็นที่สุด   ก็เป็นฝ่าย ‘ทิ้ง’ เขาเป็นครั้งที่สอง ด้วยเหตุผลที่เขาต้องยอมรับอย่างจำใจ  และคนที่เจ็บปวดก็คือตัวเขาเอง

มันเจ็บมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ  เพราะเขาได้สร้างความผูกพันเพิ่มขึ้นมาใหม่  ฟั่นเกลียวความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งคู่ให้แน่นเข้าโดยไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังจะรัดคอตนเองทีละน้อย   กว่าจะรู้ตัวก็เริ่มหายใจไม่ออก   ยิ่งพยายามดิ้นรนแก้  ปมก็ยิ่งรัดแน่น

นัยน์ตาเรียวหวานแกมโศกคู่นั้นกลับเข้ามาในความคิดโดยไม่ต้องใช้ความพยายาม...คนๆนั้นคงยังไม่รู้หรอก  ว่าตนเองกำลังเผชิญกับอะไร   เขารู้ว่าฝ่ายนั้นมีเลือดของนักสู้เต็มตัว   ภายใต้ท่าทางนิ่มนวลนั้นมีหัวใจที่แข็งแกร่งซ่อนอยู่  ไม่อย่างนั้นก็คงไม่สามารถก้าวผ่านเรื่องราวในอดีตมาได้  แต่ว่าครั้งนี้มันต่างออกไป

คนที่กล้าเลิกกับเขาหน้าตาเฉยทั้งๆที่รักมาก   กล้ารับลูกของน้องสาวมาเป็นลูกตัว เลี้ยงดูเสมือนเป็นพ่อแท้ๆ   คนที่กล้าเสียสละอนาคตของตนเองเพื่อคนที่รัก....คนแบบนี้  ถ้าได้รับรู้ว่าตนเองกำลังจะตาย   เขาจะกล้าทำอะไร หรือ  ไม่กล้าทำอะไรบ้างหนอ

แล้วเขาล่ะ   จะกล้าทำอะไรได้บ้าง

เสียงหวานใสแวบกลับเข้ามาในความทรงจำ

‘ถ้าพรุ่งนี้ตังเป็นอะไรไป....ขอฝากเต้ด้วยนะคะ’  จำได้ว่าตัวเองจ้องมองคนไข้บนเตียงอย่างตกตะลึง

เธอรู้!  เธอรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่.... แค่คำพูดฝากฝังไม่กี่คำ กับแววตาของเธอที่มองมาที่เขา  ทั้งรู้ทัน   ยอมรับและขอร้องอ้อนวอนในเวลาเดียวกัน   มันทำให้เขาจุกแน่นพูดอะไรไม่ออก   ความละอายใจแล่นวาบจนไม่อาจทนสบตาเธอต่อไปได้

‘ตังขอแค่นี้.....คุณหมอคงรับฝากนะคะ’

            สีหน้าของหญิงสาวติดตาเขาจนถึงบัดนี้   รอยยิ้มน้อยๆที่แต้มอยู่ที่ริมฝีปากคล้ายคนที่ปลงตก   ความหมายของกระแสตาของเธอบอกเขาว่า

          ...ไม่ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น  เธอพร้อมยอมรับ  และจะไม่โทษเขา...

            เธอเปิดทางให้เขาแล้ว  แต่ตัวเขาเองนี่สิ   ถ้ายังคิดจะใช้อาชีพของตนเองเพื่อทำตามใจที่เห็นแก่ตัว  ก็ไม่สมควรจะเป็นแพทย์ต่อ  ไม่สิ....ไม่สมควรจะเป็นมนุษย์ด้วยซ้ำ

            ...แต่ถ้าเธอผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่   คนๆนั้นก็ไม่มีวันยอมละทิ้งเธอกับหลานชายให้อยู่กันเพียงลำพังแน่นอน   ไม่มีวันที่เขาจะสมหวัง   ในขณะที่เวลาของฝ่ายนั้นก็เหลือน้อยลงทุกที 

            นานมาแล้วที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่งใกล้มหาวิทยาลัย   เขาแอบสะกดรอยตามหลังร่างโปร่งบางอยู่เงียบๆ  เพราะประทับใจตั้งแต่แรกเห็น  เพราะอยากทำความรู้จัก  จึงสู้ดั้นด้นสืบหาหนทางเข้าใกล้ฝ่ายนั้น

            ใช้การ ‘วิ่ง’ เชื่อมสัมพันธ์ไมตรี   มิตรภาพที่ค่อยๆงอกเงยขึ้นมาจากความประทับใจซึ่งกันและกัน  ก่อให้เกิดเป็นความผูกพันที่ลึกซึ้ง  หยั่งรากลึกลงกลางใจยากจะไถ่ถอน

            รอยยิ้มหวานๆ  รับกับดวงตาวิบวับมีชีวิตชีวาคู่นั้น  เสียงแหบเสน่ห์ที่เวลาหัวเราะทีไรก็พลอยทำให้คนรอบข้างอดหัวเราะตามไปด้วยไม่ได้  เส้นผมหยักสลวยทั้งศีรษะที่เขารู้ดีว่ามันอ่อนนุ่มเพียงใด  ริมฝีปากอิ่มเต็มและร่างกายนุ่มนิ่มหอมกรุ่นไปทั้งเนื้อทั้งตัว

ท่าทางเขินอายยามที่เราสัมผัสกัน...

ถึงเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน   ถึงต่อให้ตอนนี้เตไม่เหลือเค้าเด็กหนุ่มคนเดิมอีก   เขาก็ยังคงจดจำและหลงรักคนๆนี้อยู่ดี   เพราะตัวตนข้างในก็ยังคงเป็นเตคนเดิม   

ทุกอย่างกำลังจะหมดไป   เขายอมรับได้ถ้าเตต้องไปจากเขาเพราะความรับผิดชอบที่มีต่อผู้หญิงและเด็กคนหนึ่งที่เตรัก   แต่เขาทำใจยอมรับไม่ได้ ถ้าเขาต้องเสียอีกฝ่ายไปเพราะสิ่งที่เขาไม่อาจป้องกันแก้ไขอะไรได้

ตอนนั้นเขาเข้าใจผิดเพราะไม่รู้   แต่ตอนนี้ ทั้งที่รู้แล้วเต็มอก  ทว่าบางทีมันก็อาจจะสายเกินไป....เขาที่เป็นหมอแท้ๆ  รักษาคนเจ็บให้รอดตายมานักต่อนัก   กลับไม่อาจตรวจพบสิ่งผิดปกติในตัวของเตได้   ทั้งๆที่หลายเดือนมานี้  เขาก็เป็นคนหนึ่งที่ใกล้ชิดกับเต  ได้รู้เห็นอาการของเตมาตลอด....ท่าทางอ่อนเพลียง่าย  เบื่ออาหาร น้ำหนักลดฮวบฮาบ  อาการปวดท้องนั่น...

เขากลับไม่เคยเอะใจ  ไม่เคยคิดว่านั่นคือสัญญาณเตือน   เขาชะล่าใจเกินไป  ขณะที่มุ่งแต่จะแก้แค้น  จะเอาชนะ   อยากให้อีกฝ่ายเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด   เขาลืมไปว่าอีกฝ่ายก็แค่คนธรรมดาๆคนหนึ่ง    เมื่อหัวใจร้าวหนัก...ร่างกายก็ย่อมทรุดตาม   

คิดแล้วมันยิ่งเจ็บใจ...เจ็บใจตัวเอง

            มันควรจะเป็นเขา...

 

เหงื่อเค็มๆไหลเข้าตาจนแสบไปหมด  ชายหนุ่มยกมือขึ้นเช็ดลวกๆ  หากยิ่งเช็ด เหงื่อก็ยิ่งไหลออกมามากขึ้นทุกทีจนมองตัวเลขบอกระยะทางและความเร็วที่แผงหน้าจอเบื้องหน้าไม่เห็นอีกต่อไป

สองขายังคงก้าวต่อไปไม่ยอมหยุด  แม้จะมองไม่เห็นทาง  ออกแรงสาวเท้าไปบนลู่วิ่งอย่างบ้าคลั่ง   รู้สึกเจ็บร้าวที่กล้ามเนื้อต้นขา   และปวดแปลบที่น่องทั้งสองข้างแต่เขาไม่คิดจะหยุด 

หัวใจเต้นรัวราวกับตีกลอง  ได้ยินเสียงตึก  ตึก  ดังก้องอยู่ในอก  ...ไม่ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นในห้องผ่าตัด  สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ก็คือ   เขาจะต้องสูญเสียสิ่งที่รักที่สุดไปอยู่ดี

 

          เต...เตของพี่...

            ...



มาต่อแล้วจร้าาา  หายไปนาน แหะๆๆ  สลับๆกันอัพหลายๆเรื่องเนอะ  เปลี่ยนบรรยากาศกันบ้าง

ตอนนี้ค่อนข้างดรามาหนักหน่วง   มีใครรอเรื่องนี้อยู่บ้างคะ  แสดงตัวหน่อยเร็ว

ใครชอบเรื่องนี้อย่าลืมเม้นต์หรือโหวตน้าา  เป็นกำลังใจให้กับคนเขียนนะคะ 

ใครเล่นทวิต เจอกันใน #ดิมเต

ใครเล่นเฟสบุ๊ค  อย่าฃืมไลค์เพจเรานะ

ปล.พรุ่งนี้อ่านเรื่องอะไรกันดีคะ :katai2-1:

Melenalike

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
สนุก  เข้มข้นเช่นเคย 
ลุ้น ว่าเต  จะเป็นไรไหม  ห้ามให้เตตายนะ
เตควรจะมีความสุขกับใครๆเขาบ้างนะ

ออฟไลน์ Naam3

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
มาบ่อยๆๆๆๆๆน่าๆๆๆๆๆรอๆๆๆๆๆสงสารเตๆๆๆๆไม่เศร้าๆๆๆๆอยากให้เตสมหวังจังๆๆๆไรท์มาต่อน่าาๆๆๆ :katai4: :กอด1: :กอด1: :L2: :3123: :pig4: :pig4: :mew4: :mew1:

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
รออ่านเรื่องนี้นานมากๆ ชอบเรื่องนี้มากๆ ตอนต่อไปมาเร็วๆนะ ค้าง
สงสาร เจ็ดลิน ทั้ง ตัง ทั้งเต จะจากไปเพราะโรคร้าย

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
หนักหน่วงจริงๆ ตลอดเรื่องเลย

จะเกิดอะไรขึ้นก็ตามแต่ ขออย่างเดียวอย่าให้ดิมละทิ้งจรรยาบรรณแพทย์แล้วทำอย่างที่คิด อันนั้นรับไม่ได้จริงๆ แค่มีความคิดนี้ก็รู้สึกว่าดิมไม่เหมาะจะเป็นพระเอกแล้ว

ส่วนเรื่องเต ทรมานมาเยอะขนาดนี้ยังไม่หมดอีกเหรอ แต่แอบเห็นอะไรลางๆ ขึ้นมา หวังว่าจะเป็นอย่างที่คิด

ออฟไลน์ Naam3

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
รออยู่น่าาาๆๆๆคิดถึงๆๆมาต่อน่าาๆๆ :ling1: :hao7: :กอด1: :L2: :katai2-1: :call: :L2: :กอด1:

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
เพราะหัวใจบอกว่า...จริง

 

 

 

 

 

            ชายหนุ่มร่างโปร่งบางเดินกลับไปกลับมาด้านหน้าห้องผ่าตัดที่ภรรยาของเขาเพิ่งหายลับเข้าไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง   ยกมือขึ้นเสยผมหยิกให้ยุ่งเหยิงหนักขึ้นกว่าเดิมโดยไม่รู้ตัว  มันเป็นกิริยายามเผลอตัวที่เขาชอบทำเวลาเก้อเขินหรือกังวลใจ  ซึ่งในตอนนี้เป็นเพราะเหตุผลอันหลัง

            “มานั่งเถอะ คุณเต   คงอีกนานกว่าจะผ่าตัดเสร็จ  คุณเดินแบบนั้นเดี๋ยวก็เป็นลมหรอก”  ชายหนุ่มร่างสูงอีกคนพูดขึ้นมา  เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ที่วางเรียงเป็นแนวยาวเอาไว้สำหรับญาติของคนไข้โดยเฉพาะ

            นักเขียนหนุ่มถอนหายใจเฮือก  ยอมเดินกลับมาทิ้งตัวลงนั่งข้างๆอีกฝ่าย  บีบมือของตนเองเข้าหากันแน่น

            “เอาหนังสืออ่านเล่นๆมั้ย   หรืออะไรรองท้องหน่อยเป็นไง   เมื่อเช้าคุณทานไปนิดเดียวเองนี่  เอาไหมผมจะไปซื้อมาให้”  เจ้านายของเขาที่วันนี้ยอมเข้าที่ทำงานสายเพื่อมาอยู่เป็นเพื่อนเขาก่อนเสนอขึ้นมาอีก   มองมาด้วยแววตาเป็นห่วง

            “ไม่เป็นไรครับ  ผมไม่หิวเลย   ง่า...คุณภาคย์รีบกลับไปทำงานเถอะ  ผมอยู่คนเดียวได้”  เตพูดอย่างเกรงใจ

            “ผมจะนั่งรอเป็นเพื่อนคุณอีกสักพัก”  อีกฝ่ายตอบ  เหยียดขายาวเต็มพื้นที่  ยกมือขึ้นกอดอก  ท่าทางบอกชัดว่าคงจะปักหลักอยู่ข้างๆเขาอีกนาน

            ติณธรรับหนังสืออ่านเล่นของภาคย์มาพลิกอ่าน  กวาดสายตามองผ่านตัวอักษรที่เรียงรายอยู่บนหน้ากระดาษ  เผื่อว่ามันจะช่วยลดความวิตกกังวลของตัวเองลงไปได้บ้าง   เวลาก็ช่างเดินช้าเสียจริง  หนึ่งนาทียาวนานราวกับหนึ่งชั่วโมง...

            ‘คืนนี้พี่เตนั่งข้างๆตังไปเรื่อยๆได้มั้ยคะ   ตังอยากนั่งคุย  ไม่อยากนอนเลยค่ะ’  เมื่อคืนหญิงสาวพูดกับเขา พลางรั้งมือของเขาเอาไว้   ใบหน้ารูปหัวใจมีความเศร้าหมองปนอยู่  ยามที่สบตากัน เขามองเห็นแววอาลัยอาวรณ์ในดวงตาของเธอ

            ชายหนุ่มลากเก้าอี้มานั่งข้างๆเธอ   ยกมือขึ้นลูบศีรษะของเธออย่างแผ่วเบา  ยิ้มให้

            ‘พี่จะนั่งอยู่ตรงนี้จนตังหลับแล้วกัน  นอนเถอะ  พรุ่งนี้จะได้สดชื่นมีแรง’

            ‘ตังกลัวจังค่ะ  เหมือนกับว่า  ถ้าตังหลับตาลงไปแล้ว  ตังจะไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีก’  เธอพึมพำคล้ายพูดกับตัวเอง

            ‘ตังคิดมากไปเอง   ไม่มีอะไรหรอก  เดี๋ยวมันก็ผ่านไปแล้ว’  พี่ชายตอบ

            ‘พี่เตคิดอย่างนี้เสมอไหมคะ  เวลาที่เจอเรื่องร้ายๆ....เดี๋ยวมันก็ผ่านไป...’  จู่ๆเธอก็ถามขึ้นมาหลังจากเงียบไปนานจนเขาเกือบนึกว่าเธอหลับไปแล้ว   ดวงตาคู่นั้นมีหยาดน้ำคลออยู่บางๆ

            ‘พี่เคยคิดปลอบใจตัวเองแบบนั้น   มันก็ได้ผลนะ   อย่างน้อยเราก็ยังมีความหวังอะไรอยู่บ้าง’  สบตาเธอแวบเดียวเขาก็เมินไปมองหน้าต่าง   ผ้าม่านหนาหนักปิดทึบทำให้บรรยากาศในห้องดูทึบทึมและเศร้าหมองกว่าปกติ   ‘แต่สำหรับน้องสาวของพี่  พี่เชื่อว่ามันจะต้องผ่านไปด้วยดีแน่นอนจ้ะ’  เขาเบือนหน้ากลับมาส่งยิ้มให้เธอ  หญิงสาวส่งยิ้มบางๆตอบกลับมา

            ‘ผลส่องกล้องของพี่เตเป็นอย่างไรบ้างคะ  ตังก็ว่าจะถามตั้งแต่เมื่อบ่ายแล้ว’  ข้าวตังวกกลับมายังเรื่องที่ชายหนุ่มกำลังกังวลอยู่พอดี

            ‘หมอบอกว่าต้องรอผลชิ้นเนื้อก่อน  อีกสองอาทิตย์น่ะ  ไม่ต้องทำหน้าอย่างนั้นหรอก  พี่ไม่ได้เป็นอะไร  กินยาเดี๋ยวก็หายน่า   ถ้าเป็นหนักหมอเขาก็บอกมาแล้วสิ’   เขาตอบ  อดคิดแวบกลับไปถึงบทสนทนาระหว่างตนเองกับแพทย์หญิงคนนั้นไม่ได้...

            ‘ค่อยยังชั่วหน่อย  ตังก็เป็นห่วง ถ้าพี่เตเป็นอะไรไปอีกคน  เจ้าเต้คงแย่เลย’  ประโยคท้ายทำให้คิ้วเรียวเข้มขมวดเข้าหากัน  เหลือบมองหน้าคนพูดอย่างสงสัย   ‘ตังหมายความว่า  ระหว่างที่ตังพักฟื้นอยู่  จะไม่มีใครดูแลรับส่งเต้น่ะค่ะ’  หญิงสาวรีบพูดแก้ ก่อนที่พี่ชายจะเข้าใจผิด

            เงียบกันไปทั้งคู่  คล้ายกับว่าต่างคนต่างก็มีเรื่องที่ต้องครุ่นคิดและปิดบังจากอีกคนอยู่   แม้จะด้วยจุดประสงค์เดียวกันก็คือไม่อยากให้อีกฝ่ายกังวล ไม่สบายใจก็ตาม

            ปลายนิ้วเรียวที่มีเล็บตัดสะอาดลูบไล้บนหลังมือของหญิงสาวเล่นอย่างใจลอย   สลับกับการถอนหายใจแผ่วเบา  ขณะที่คนบนเตียงมองหยดน้ำเกลือในขวดที่หยดลงมาทีละหยด...ทีละหยด

            ‘พี่เต....ถ้าพรุ่งนี้ตังเป็นอะไรไปขึ้นมา...ฝากเต้ด้วยนะพี่’  เป็นหญิงสาวที่ทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน   คนฟังหันมามองอย่างตกใจ

            ‘พูดอะไรอย่างนั้นตัง  พี่เคยบอกแล้วไงว่าเธอต้องรอด’  เขาเอ็ดเสียงเข้ม

            ‘ตังรู้  แต่ตังก็อดคิดไม่ได้  ตังขอเถอะ....’

          ‘พี่ไม่ฟัง  ถ้าเธอพูด  พี่จะลุกจากตรงนี้’  ติณธรยื่นคำขาด    ทำให้หญิงสาวต้องเงียบไปอีกครั้ง   ‘พรุ่งนี้พี่สัญญากับเธอเอาไว้  ว่าพอเธอฟื้น   พี่จะทำตามที่เธอขอร้องอย่างนึง  ยังจำได้หรือเปล่า’  เขาทวนความจำ

            คนฟังพยักหน้า

            ‘ถ้าอย่างนั้น   ก็ช่วยอยู่ทวงคำขอของเธอด้วย   อย่าให้สัญญาของพี่กลายเป็นลมปากไม่มีความหมาย’  ตั้งเตพูดห้วนๆ  เขารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเพราะท่าทางของน้องสาวที่ทำเหมือนว่าจะไม่มีวันพรุ่งนี้อีกต่อไป

            ‘พี่เตเป็นคนเข้มแข็ง...ตังอยากทำได้แบบพี่บ้าง  สักครึ่งนึงก็ยังดี’

            ‘พี่น่ะเหรอเข้มแข็ง...หึ’  เขาหัวเราะในลำคอ  ....ถ้าเข้มแข็งจริงก็คงไม่ต้องทนรับความเจ็บปวดอยู่แบบนี้หรอก   เขาไม่ใช่คนเข้มแข็งเลย   ไม่อย่างนั้นก็คงตัดใจได้ไปนานแล้ว

            ‘ตังรู้นะคะว่าพี่เสียสละอะไรเพื่อตังบ้าง   ตังอยากขอโทษพี่นะ  ที่ทำให้ชีวิตของพี่ต้องมาติดแหงกอยู่กับตัง แทนที่จะได้ทำตามความฝันที่พี่อยากเป็น....รวมถึงความรักของพี่ด้วย’

            เตเลิกคิ้ว  เขาไม่ประหลาดใจที่น้องสาวรู้เรื่องราวความรักของเขา  แต่แปลกใจที่เธอพูดถึงมันขึ้นมาในคืนนี้

            ‘ความรักของพี่มันมารวมอยู่ที่เต้กับเธอแล้ว มาตัง’   หากความรักของคนเราแบ่งได้เป็นหลายส่วน  เขาก็ไม่ผิดที่จะพูดเช่นนั้น   แม้ว่าจะรู้แก่ใจดีว่าความรัก ‘ส่วนที่เหลือ’ นั้นไปตกอยู่กับใคร   จะแปลกอะไรในเมื่อมีเพียงตัวเขาเองที่รู้อยู่ในใจ

            บางทีอาจจะไม่ใช่เขาคนเดียว.....เตเปลี่ยนความคิดเมื่อสบสายตารู้ทันของน้องสาว

            ‘ขอบคุณค่ะพี่เต 8 ปีที่ผ่านมาตังมีความสุข...มากกว่าที่ตังจะเคยคิดเอาไว้เสียอีก   จนบางทีตังก็รู้สึกว่าตัวเองเห็นแก่ตัวไปหรือเปล่า’

          ‘มนุษย์ทุกคนมีความเห็นแก่ตัวอยู่แล้ว  มันเป็นสัญชาตญาณแห่งการเอาตัวรอด....เธออย่าไปคิดอะไรมากเลย   พี่ว่าช่วงนี้เธอคิดอะไรมากไป จนพี่ก็ตามความคิดของเธอไม่ทัน....คงเป็นเพราะนอนอยู่ที่นี่ไม่ได้ออกไปไหนกระมัง   ไว้หายดีแล้ว เราไปเที่ยวทะเลกันดีไหม  หรือตังอยากไปไหน พี่จะพาไป’  เขาค่อยๆเปลี่ยนเรื่อง   อีกฝ่ายก็ยอมโอนอ่อนผ่อนตาม

            ‘ตังอยากกลับบ้านก่อนค่ะ   มานอนโรงพยาบาลเสียนาน คิดถึงบ้านจัง....อีกสองเดือนเจ้าเต้ก็จะปิดเทอมแล้ว  ตังคงแข็งแรงมากพอ   เราค่อยคิดอีกทีว่าจะไปไหนดีมั้ยคะ’

            ‘สองเดือนเลยเหรอ   ไปพักตากอากาศเสียหน่อยดีกว่ามั้ย  จะได้ฟื้นตัวเร็วขึ้น’   เขาอยากไปจากกรุงเทพฯเต็มที  เบื่อบรรยากาศเดิมๆ  เบื่อมลภาวะ   เบื่อคน  เบื่อทุกสิ่งทุกอย่าง...อยากไปไหนสักที่ไกลๆ  ที่ๆเขาจะสามารถพัก ‘หัวใจ’ ได้อย่างแท้จริง   เขาเหนื่อยมามากเกินไปแล้ว

            ‘ไว้เราค่อยคิดก็แล้วกันนะคะ’  เธอบอก

            เตนึกมาถึงตรงนี้แล้วก็สะดุ้งเพราะฝ่ามือของใครคนหนึ่งตบเบาๆที่หัวเข่า   เขาละสายตาจากตัวหนังสือที่ไม่ได้ผ่านเข้าหัวสมอง  หันไปมองเจ้าของมืออย่างงุนงง

            “คุณอ่านหน้านี้มาเกือบสี่สิบนาทีแล้วนะ”  ภาคย์พูดแกมหัวเราะ   คนโดนทักยิ้มออกมาได้   ส่ายหน้ากับตัวเอง

            “ผมก็มัวแต่คิดอะไรเพลิน   เอ๊ะนี่มันเกือบสิบเอ็ดโมงแล้วนี่ครับ  ไม่รีบไปประชุมหรอ”  เขาดูนาฬิกาข้อมือ....ดาวประดับหายเข้าไปในห้องผ่าตัดเกือบ 2 ชั่วโมงแล้ว  ส่วนคนข้างๆเขาก็ไม่มีท่าทีจะขยับตัวไปไหน

            “ผมไม่ไปแล้ว  เปลี่ยนใจอยู่เป็นเพื่อนคุณดีกว่า”  ภาคย์พูดง่ายๆ....เขาเห็นท่าทางของชายหนุ่มนั่งเหม่อลอย  ดวงตาลึกโหลจ้องไปยังกระดาษอย่างว่างเปล่าแล้วก็ตัดใจทิ้งไปไม่ลง 

            .....ผู้ชายคนนี้น่าสงสารเกินไป   แล้วเหตุใดเขาต้องมารักปักอกปักใจกับคนที่ไม่เคยมีหัวใจให้ใครอื่น แม้แต่ตัวเอง แบบคนๆนี้ด้วยนะ  หรือเพราะอีกฝ่ายเป็นคนแบบนี้  เขาถึงได้รัก?....เจ้าของสำนักพิมพ์คิดในใจ

            นักเขียนของเขาไม่ตอบ  แต่ส่งยิ้มบางๆที่มีความหมายว่า ขอบคุณ  อยู่ในนั้นมาให้แทน

            แค่นี้ก็คงเพียงพอแล้ว  มากที่สุดเท่าที่เขาจะสามารถทำได้   แค่นั่งข้างๆอยู่แบบนี้....เป็นความรู้สึกกึ่งๆเจ็บปวดกึ่งๆมีความสุข  จำแนกไม่ถูก 

            เข็มนาฬิกาเดินต่อไปเรื่อยๆ เตยังคงนั่งอยู่ที่เดิม   ไม่ยอมทานข้าวแม้ว่าภาคย์จะขอร้องอ้อนวอนอย่างไรก็ตาม จนสุดท้ายต้องให้คุณหมอส้ม (ที่เผอิญเดินผ่านมาพอดี) มาขอร้องแกมบังคับให้กินข้าว  นั่นแหละ  ถึงได้ยอมทาน

            “นี่คุณข้าวตังเข้าไปนานเท่าไหร่แล้วคะ”  หมอส้มถาม

            “เกือบสี่ชั่วโมงแล้วครับคุณหมอ  ทำไมนานแบบนี้ก็ไม่รู้”  ภาคย์เป็นฝ่ายตอบให้แทนญาติตัวจริงที่เริ่มร้อนใจจนนั่งไม่ติด  ลุกขึ้นเดินกลับไปกลับมาอีกครั้ง

            “ผ่าตัดใหญ่ก็แบบนี้แหละค่ะ  อดทนรออีกสักนิดนะคะ  หมอว่าน่าจะใกล้เสร็จแล้ว”  หมอส้มปลอบใจ ก่อนจะขอตัวจากไป

            เวลาล่วงเลยผ่านไปเกือบห้าชั่วโมง  ในที่สุดร่างของนายแพทย์ผู้ทำการผ่าตัดก็ปรากฏตัวที่ด้านหน้าห้อง   เขาชะงักไปเล็กน้อยเมื่อมองมาเห็นคนสองคนที่นั่งรออยู่ด้วยท่าทางกระวนกระวายใจ   ติณธรหันมาเห็นเข้าพอดีจึงรีบลุกขึ้นยืนและก้าวเข้ามาหา  ใบหน้าเรียวซูบเซียวเต็มไปด้วยความร้อนรนเห็นได้ชัดในสายตาของศัลยแพทย์ที่เพิ่งออกมา

            5 ชั่วโมงแห่งความกดดัน  ไม่ใช่แค่คนข้างนอกหรอกที่กังวล...เขาที่เป็นคนลงมีด กรีดลงไปบนผิวหนังของหญิงสาวผู้นั้น  ตัดกระดูกสันอกและเปิดผ่านสิ่งที่ห่อหุ้มหัวใจของเธอลงไปทีละชั้น   จนกระทั่งแลเห็นอวัยวะที่มีไว้สูบฉีดเลือดขนาดใหญ่กว่ากำมือกำลังเต้นเป็นจังหวะอยู่ต่อหน้าเขา

วินาทีที่ต้องหยุดการเต้นของหัวใจชั่วคราวโดยใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียมเพื่อทำการผ่าตัดภายในหัวใจ   ชั่วเสี้ยววินาทีที่เขาเกิดความคิดขึ้นมา....ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้ทุกขั้นตอน   เหตุสุดวิสัยที่ใครๆก็ต้องเข้าใจว่าเกิดได้เพราะเป็นการผ่าตัดใหญ่   คนไข้ทุกคนต้องยอมรับความเสี่ยงนี้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ 

จะไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ในห้องผ่าตัดแห่งนี้   จะเป็นอย่างไรถ้าหัวใจดวงนี้ไม่กลับมาเต้นอีก  จะดีหรือไม่ถ้ามันหยุดเต้นไปตลอดกาล...

เพื่อที่เขาจะได้เป็นคนดูแลเตได้ตลอดไป....

‘ไม่ดูแลนายแล้วจะให้ไปดูแลใครล่ะ  นายเป็นหัวใจของพี่เลยนะ  ก็ต้องดูแลให้ดีๆสิ’

‘งั้นพี่เป็นหมอหัวใจเลยดีไหม  จะได้ดูแลผมได้ดีๆไง’

‘หมอหัวใจเหรอ?  ไอเดียดีแฮะ  ตกลง พี่จะเป็นหมอหัวใจที่เก่งที่สุดในโลกเลย  จะได้ดูแลนายได้ดีที่สุด’

เสียงของตัวเอง พูดโต้ตอบกับเตแว่วขึ้นมาในหูโดยไม่รู้ตัว   นานแล้วตั้งแต่วันนั้น ที่เขาตั้งมั่นที่จะเรียนผ่าตัดหัวใจเรื่อยมาไม่เปลี่ยนแปลง   จนวันนี้...เขาได้ชื่อว่าเป็นศัลยแพทย์ทรวงอกและหัวใจอย่างเต็มภาคภูมิ 

ก้มลงมองมีดในมือนิ่งๆ  เหงื่อเริ่มซึมตามไรผมที่ใส่หมวกคลุมเอาไว้  แว่นและหน้ากากที่คาดอยู่ช่วยพรางสีหน้าและแววตาของเขาจากแพทย์ผู้ช่วยและพยาบาลที่ยืนอยู่ใกล้ๆ  ทุกคนต่างมองมาที่เขาเป็นตาเดียวเมื่อเห็นแพทย์มือหนึ่งนิ่งไปเสียอย่างนั้น

“เกิดปัญหาอะไรหรือเปล่าครับพี่”  แพทย์รุ่นน้องถามอย่างขลาดๆ  ใครๆก็รู้ว่าในห้องผ่าตัดแล้ว คนหน้าเข้มขึ้นชื่อเรื่องความดุและความเด็ดขาดแค่ไหน

เหมือนสวรรค์จงใจแกล้งเขา   ชีวิตของผู้หญิงคนนี้อยู่ในกำมือของเขาเพียงคนเดียว...

‘.....นายรู้ไหม  ว่าเรียนผ่าหัวใจน่ะมันยากสุดๆเลยนะ   รู้มั้ยว่าทำไม....เพราะตัดใจมันยากไงล่ะ’  รอยยิ้มขวยเขินของเด็กหนุ่มยังคงติดอยู่ในความทรงจำ  รู้สึกเจ็บนิดๆที่หัวไหล่ราวกับเจ้าตัวเพิ่งเงื้อมือขึ้นทุบเขาเมื่อครู่นี้เอง

รดิศสูดลมหายใจเข้า  ขยับมีดในมือแน่น...

 

            เขาเบือนหน้ากลับมาสบตาคนตรงหน้าอีกครั้ง 

            “ข้าวตังเป็นอย่างไรบ้าง   การผ่าตัดสำเร็จด้วยดีมั้ยครับ”   คนเฝ้ารอถามรัวเร็ว  และจ้องมาที่แพทย์อย่างรอคำตอบ    ความเป็นห่วงทำให้วางเรื่องระหว่างกันไปชั่วขณะ

            ใบหน้าของรดิศสงบนิ่งราวกับใส่หน้ากาก  นิ่งไปนานเหลือเกินในความรู้สึกของคนรอฟัง

            “การผ่าตัดเป็นไปด้วยดีครับ  เราได้ผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจให้กับคุณดาวประดับใหม่สำเร็จเรียบร้อย  ระหว่างการผ่าตัดไม่มีปัญหาอะไรติดขัด  ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี  ตอนนี้คนไข้ถูกย้ายไปที่ CCU เพื่อพักฟื้นและรอดูอาการหลังผ่าตัดนะครับ  ญาติสามารถเข้าไปเยี่ยมได้ตามเวลา...มีอะไรสงสัยอยากถามมั้ยครับ”

            ติณธรส่ายหน้า  พูดไม่ออก  เขาดีใจและโล่งใจจนแทบจะร้องไห้ออกมา   หันไปกอดเจ้านายที่เดินมาหยุดอยู่ข้างๆ ซบหน้ากับแผ่นอกกว้างนิ่งนาน 

...ข้าวตังปลอดภัย...นั่นคือสิ่งที่เขาต้องการที่จะได้ยินมากที่สุดแล้ว

ภาคย์สบตากับคุณหมอหนุ่มที่ยืนมองอยู่เงียบๆ   เขามองเห็นแววตาวูบไหวอัดแน่นด้วยอารมณ์หลากหลายในดวงตาคมเข้มคู่นั้นยามที่มองมายังคนที่กำลังกอดเขาอยู่  ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นหม่นเศร้า  คุณหมอทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างออกมา  แต่สุดท้ายเขาก็เพียงแต่ก้มศีรษะให้นิดหนึ่งแล้วเดินผ่านไปเสียเฉยๆ

เตเงยหน้าขึ้น หยาดน้ำตายังคลอครองอยู่ในหน่วยตาเรียวยาวมันขลับ   เพิ่งรู้สึกตัวว่ากำลังกอดคนข้างอยู่จึงรีบคลายอ้อมแขนผละออกจากร่างสูงอย่างเก้อๆ  ภาคย์ไม่แสดงท่าทางอะไรผิดปกตินอกจากแสดงความยินดีกับเขาจากใจ

“โล่งใจไปทีนะคุณเต  คุณตังปลอดภัยแล้ว”  คนฟังพยักหน้ารับคล้ายยังพูดอะไรไม่ถูก  เขาเลยเอ่ยชวน  “เราไปเยี่ยมคุณตังกันดีกว่า”

ภาพคนทั้งคู่เดินเคียงกันหายลับเข้าไปในลิฟต์ทำให้คนที่แอบมองอยู่เงียบๆถอนหายใจยาว   ศัลยแพทย์หนุ่มบิดตัวไล่ความเมื่อยขบจากการยืนผ่าตัดเป็นเวลายาวนานจนได้ยินเสียงกระดูกลั่น 

ความจริงเมื่อครู่เขาอยากจะแสดงความยินดีกับเต   พูดอะไรสักอย่างที่สื่อว่าเขาดีใจที่การผ่าตัดสำเร็จลงด้วยดี  ทว่าเขาก็พูดไม่ออก   ความรู้สึกที่เขาพยายามกดกักเอาไว้ตลอดการผ่าตัดห้าชั่วโมงมันกลับพุ่งขึ้นมาเสียเฉยๆ จนทำให้เขาไม่อยากฝืนความต้องการของตัวเองอีก

แค่นี้ก็มากเกินพอแล้ว

เขาคงจะเลวเกินกว่าที่จะเรียกตัวเองว่า หมอ  แต่ว่าหมอก็คือ มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่มีรักโลภโกรธหลง มีกิเลสตัณหาอยู่ไม่ใช่หรือ   แค่อาชีพบังคับให้ต้องมีเมตตา  ต้องรักษาเพื่อนมนุษย์ทุกคนด้วยจรรยาบรรณที่ควรมีและรักษาเอาไว้

รดิศถอนหายใจยาว....เขาไม่ได้ทำผิด   สุดท้ายมโนธรรมในใจก็เป็นฝ่ายชนะความเห็นแก่ตัวจนได้   ไม่สิ  สุดท้ายคนที่รั้งเขาเอาไว้ได้ก็คือผู้ชายคนนั้นอีกตามเคย

ช่างเป็นคนที่มีอิทธิพลต่อหัวใจและชีวิตของเขาอย่างที่ไม่มีใครทำได้   น่าสมเพชเหลือเกินที่เขา...ศัลยแพทย์หัวใจมือหนึ่งคนนี้ต้องเกือบจะสูญเสียความภาคภูมิใจอาชีพและความภาคภูมิใจในตัวเองไป เพียงเพราะอารมณ์ฝ่ายต่ำที่เกิดขึ้นจากความรักและต้องการครอบครอง  รวมถึงความผิดหวังที่พลาดจากรัก

เดินกลับห้องทำงานช้าๆ  แวะเยี่ยมตรวจคนไข้ของตนเองตามปกติเหมือนทุกวัน   คุณลุงคนหนึ่งทักเขาว่าเขาดูเหน็ดเหนื่อยเกินไป  ควรจะพักผ่อนดูแลตัวเองบ้าง   เขาออกจะเห็นด้วยกับคนไข้ของตัวเองอยู่เหมือนกัน   ได้แต่ยิ้มรับเจื่อนๆ

กลับมาถึงห้องทำงานของตน  เขายังเหลือข้าวตังที่ยังไม่ได้ไปเยี่ยม   แต่เดี๋ยวก่อนก็ได้   ถ้าไปตอนนี้เกรงว่าจะเก็บสีหน้าเอาไว้ไม่ไหว    กวาดตามองแฟ้มหนาหลายเล่มที่วางอย่างเป็นระเบียบอยู่บนโต๊ะทำงาน   ใบทำเรื่องขอลาออกยังคงวางทิ้งเอาไว้อย่างนั้น   แม้ว่าความคิดเรื่องการกลับอเมริกาจะเลือนหายไปแล้วตั้งแต่รู้ว่าอดีตคนรักป่วยก็ตาม

ไม่ว่าอย่างไร  เขาก็ยังอยากอยู่ดูแลเต 

คิดถึงเรื่องนี้ทีไรก็ไม่วายวูบโหวงในอก    คนๆนั้นคงจะยังไม่รู้เรื่องอาการป่วยของตนเอง   ถ้าเค้ารู้...จะเสียกำลังใจมากแค่ไหน  จะเศร้า จะกังวลมากมั้ย  จะร้องไห้หรือเปล่า?

ขนาดเขายังทำใจไม่ได้เลย

คนที่กำลังอยู่ในความคิดคำนึงของรดิศในตอนนี้กำลังยืนนิ่งมองหน้าหญิงสาวคนเดียวในชีวิตอยู่ตามลำพัง   ภาคย์กลับไปแล้ว  อาสาจะไปรับเจ้าเต้มาส่งให้ด้วย   ทิ้งให้เขาอยู่คนเดียวภายในห้องที่ซอยออกเป็นสัดส่วนของ CCU  มีผ้าม่านกั้นอยู่บางๆระหว่างห้องพัก  แวดล้อมด้วยเครื่องอะไรต่อมิอะไรส่งเสียงติ้ดๆเป็นจังหวะอยู่เต็มไปหมด  เช่นเดียวกับสายน้ำเกลือที่ระโยงระยางอยู่

ดาวประดับกำลังหลับสนิท   จะเพราะฤทธิ์ยาหรือความอ่อนเพลียเขาก็ไม่อาจทราบได้   ทรวงอกที่มีผ้าพันแผลปิดทับหลายชั้นขยับขึ้นลงน้อยๆแทบมองไม่เห็น   แต่อย่างน้อย....เธอก็ยังหายใจ   น้องสาวของเขาที่ผ่านอะไรมามากมายด้วยกัน  เขาอยากให้เธอลืมตาตื่นขึ้นมาเสียที  เพิ่งรู้ว่าตัวเองรักน้องสาวมากขนาดไหนก็ตอนนี้เอง

ภาคย์พาเต้มาส่งที่โรงพยาบาล   คนป่วยยังไม่ตื่นและห้องตรงนี้ก็ไม่สามารถนอนเฝ้าได้   พอหมดเวลาเยี่ยมพวกเขาก็ต้องเดินออกมา  ทิ้งให้หญิงสาวนอนอยู่ที่นั่นคนเดียวท่ามกลางคนไข้คนอื่นและพยาบาล

เตอยากเฝ้าเธอต่อ  เขาเลือกปักหลักยังเก้าอี้ที่วางเรียงรายอยู่ด้านนอกนั้น  ตัดสินใจจะเฝ้าอยู่ตรงนี้ กลัวว่าเธอจะเป็นอะไรไปตอนที่ตนไม่อยู่  แต่สภาพของเขาทำให้ภาคย์ขอร้องแกมบังคับให้กลับไปอาบน้ำ กินข้าวกินยาเสียก่อน

“ไม่มีประโยชน์อะไรที่คุณจะมานั่งหลังขดหลังแข็งอยู่ตรงนี้   ในเมื่อข้างในนั้นมีคุณพยาบาลที่ดูแลอย่างดี 24 ชั่วโมงอยู่แล้ว   ทำแบบนี้มีแต่ตัวคุณที่จะป่วยไปด้วยอีกคน”  เจ้านายพูดเสียงเข้ม  บีบต้นแขนของเขาแน่น เป็นเชิงบังคับให้ลุกขึ้นยืน

“ผมอยากอยู่  เธอไม่มีใครเลย  อย่างน้อยมีอะไรผมจะได้เข้าไปทัน”

“ไม่จำเป็นเลย  ผมให้เบอร์โทรศัพท์กับคุณพยาบาลไปแล้ว  เกิดอะไรขึ้นเขาก็จะโทรตาม   คุณลงไปนอนที่ห้องพักเดิมเถอะ   อย่างน้อยก็คิดถึงเจ้าเต้ด้วย   ไม่งั้นคุณจะให้เต้นั่งตากยุงอยู่ตรงนี้เป็นเพื่อนคุณทั้งคืนด้วยก็ตามใจ”  เตเพิ่งนึกขึ้นได้  หันไปเห็นหลานชายยืนหน้าจ๋อยอยู่ข้างๆก็โอบไหล่เล็กๆนั่นเข้ามากอดแนบตัว

“เต้  หิวข้าวแย่แล้วใช่มั้ยลูก   พ่อขอโทษทีนะ  เราไปหาอะไรกินกันเถอะ”   ชายหนุ่มจูงมือเด็กชายเข้าไปในลิฟต์แต่โดยดี  ภาคย์ลอบยิ้มมุมปาก...ตัวเองแทบจะยืนไม่ไหวอยู่แล้ว  ยังจะดื้ออีก...

          คืนนั้นผ่านไปด้วยดี   เขากับเต้กลับไปนอนพักที่ห้องเดิมที่ยังเป็นชื่อของหญิงสาวอยู่  เช้าวันถัดมาก็กลับขึ้นไปเยี่ยมหญิงสาวที่ CCU  เธอตื่นแล้ว  สีหน้าค่อนข้างสดใสแม้ว่าจะยังซีดเซียวอยู่บ้าง

            “พี่เต...ดีใจจังค่ะ”  เสียงของเธอยังแหบอยู่  มีคนบอกว่าเพราะการใส่ท่อช่วยหายใจจากการผ่าตัดเมื่อวาน   มือเล็กบางยกขึ้นเพื่อจับมือเขา  บีบแน่น  ส่วนอีกฝั่งหนึ่งก็จับแก้มใสของลูกชายเอาไว้

            “คุณแม่  หายแล้วใช่มั้ยครับ”  เด็กชายเต้ถาม   คนป่วยยิ้มชื่นใจ

            “เต้ของแม่...แม่หายแล้วจ้ะ”  เธอตอบ





ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
   






             อาการของหญิงสาวค่อยๆดีขึ้นตามลำดับ   เธอฟื้นตัวได้เร็วทีเดียวคงเป็นเพราะมีกำลังใจดี   ไม่กี่วันหลังจากนั้นก็สามารถย้ายออกจากห้อง CCU กลับมายังห้องพักพิเศษเดิมได้   ติณธรแทบไม่ได้เจอหน้าแพทย์เจ้าของไข้ตรงๆเลยสักครั้ง   มักจะสวนกันไปสวนกันมาเสมอ   แม้ว่าอีกฝ่ายจะมาเยี่ยมคนไข้เป็นประจำก็ตาม

            วันนี้ก็เช่นเดียวกัน...พอเขามาถึงห้องพักพร้อมเด็กชายเต้หลังจากที่เขาไปรับที่โรงเรียน  อีกฝ่ายก็เปิดประตูสวนกลับออกมา

          “คุณลุง  สวัสดีครับ”  ลูกชายยกมือไหว้อย่างไม่ต้องให้ใครบอก  คนเป็นพ่อก็เผลอยกมือขึ้นไหว้อีกฝ่ายด้วยเช่นกัน  นายแพทย์หนุ่มรับไหว้แล้วยิ้มกว้างก้มลงไปหาเด็กน้อยโดยไม่มองหน้าเขาเลยด้วยซ้ำ..เตรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาวูบ

            “ไงเรา  อยากกินไอติมมั้ยล่ะ  ลุงเลี้ยง”  เต้เบิกตากว้างเมื่อถูกล่อด้วยขนมถูกใจ   เขาพยักหน้ารับทันที หันไปกระตุกมือบิดา

            “กินคับ   คุณพ่อฮะ   เต้ขอไปกินไอติมกับคุณลุงแปบนึงได้มั้ยฮะ”   เตสบตา ‘คุณลุง’ แวบหนึ่งแล้วก็เบือนหลบ

            “ไม่เอาน่ะลูก  อย่าไปรบกวนคุณลุงหมอเลย   ขอบคุณมากนะครับ  แต่ไม่ต้องหรอกฮะเกรงใจ”  ประโยคสุดท้ายเขาเงยหน้าขึ้นพูดกับอีกฝ่ายตรงๆแบบไม่มองหน้า  จำกัดสายตาตนเองอยู่ที่ลำคอแข็งแรงคล้ำแดดที่พ้นปกเสื้อขึ้นมากับปลายคางเขียวครึ้มนั้นแทน

            “ไม่รบกวนอะไรเลย  สบายมาก  คุณก็อย่าซีเรียสมากนักเลยน่า   ผมไม่วางยาลูกคุณแล้วเอาไปขายหรอก”  พูดแกมหัวเราะ  “หรือถ้าคุณกลัว ก็ไม่เป็นไรหรอก  ไว้คราวหน้าแล้วกันนะเต้”  ลูกชายหน้าจ๋อยทันตาเห็น  คนเป็นพ่อเม้มปาก

            “คุณพ่อคับ  ให้เต้ไปเถอะ”  ท่าทางของเด็กน้อยดูเป็นผู้ใหญ่เกินตัว  สุดท้ายนักเขียนหนุ่มก็ใจอ่อนอีกตามเคย

            “ไปกินที่ไหน”  ถามลอยๆ

            “ชั้นล่างของตึกนี้เอง มีร้านอยู่  ไปด้วยกันมั้ยล่ะ”  เอ่ยชวนลอยๆเช่นกัน   แน่นอนว่าคำตอบคือ..

            “ไม่เป็นไร...เต้ไปกับคุณลุงเถอะ   แล้วรีบกลับมานะลูก”  เสียงแข็งแล้วก็อ่อนลง   มองตามหลังร่างเล็กของเด็กชายกับแผ่นหลังกว้างของผู้ชายคนนั้น เดินจากไปด้วยหัวใจที่ยังเจ็บแปลบ

            ....ถ้ายังต้องพบปะ เจอหน้ากันแบบนี้  แล้วอีกนานแค่ไหนกัน  เขาถึงจะตัดใจได้เสียที....อาการปวดท้องนิดๆเริ่มกลับมารังควาน    เหมือนทุกครั้งที่เผลอคิดเรื่องคนๆนั้นขึ้นมา   เตปัดความคิดทิ้ง ผลักบานประตูเปิดเข้าไปภายใน   น้องสาวของเขากึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง   เธอส่งยิ้มให้เขา

            “พี่เต  เสียดายเมื่อครู่คุณหมอเพิ่งกลับไปพอดี   หมอดิมบอกว่าลิ้นหัวใจที่เปลี่ยนให้ใหม่ใช้งานได้ดีมากๆเลยค่ะ  เหลือแค่รอให้แผลหายดีและก็กินยาต้านการแข็งตัวของเลือดต่อเท่านั้น  อีกไม่กี่วันก็น่าจะออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว...ตังดีใจจัง”

เขายิ้มกว้าง ดีใจกับเธอ...ในที่สุดเธอก็จะหายเป็นปกติเสียทีหลังจากที่นอนรักษาตัวมานาน  คราวนี้พวกเราก็จะได้กลับบ้าน  เริ่มต้นชีวิตครอบครัวกันใหม่อีกครั้ง

“ได้กลับบ้านเสียทีนะตัง”  ยกมือขึ้นลูบศีรษะของเธอแผ่วเบา   หญิงสาวจับมือของเขาเอาไว้ ดึงขึ้นไปแนบแก้ม    ชายหนุ่มก็เลยทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงนั้นเอง   

บรรยากาศภายในห้องพักดูสดใสขึ้นมากจากดอกไม้สีชมพูและขาวที่ภาคย์ซื้อมาเยี่ยม   แสงไฟฟ้าจากด้านนอกส่องผ่านผ้าม่านที่ถูกรูดค้างเอาไว้ครึ่งหนึ่ง   กลิ่นหอมอ่อนๆที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของโรงพยาบาลไม่ทำให้รู้สึกหดหู่อีกต่อไป  คงเป็นเพราะความเคยชิน  และข่าวดีของน้องสาว

“พี่เตมีนัดฟังผลส่องกล้องเมื่อตอนบ่ายวันนี้ใช่มั้ยคะ”  หญิงสาวทวนความจำอย่างแม่นยำ   อีกฝ่ายพยักหน้ารับ

“ใช่จ้ะ  พี่ไปฟังผลมาแล้วเมื่อบ่ายก่อนไปรับเต้ที่โรงเรียน”  เขารักษาน้ำเสียงให้ฟังดูสบายๆ  ซ่อนความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ในน้ำเสียง

“แล้วผลเป็นอย่างไรบ้างคะ”  เธอถามเสียงเบา  มองหน้าเขาอย่างไม่แน่ใจ  ชายหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่ง   เขาลุกขึ้นเดินไปหยิบแอปเปิ้ลสองลูกมานั่งปอกใส่จานให้น้องสาว   ข้าวตังอยากจะนึกว่าเขาจงใจหลบตาเธอหรือเปล่า  ตอนที่ตอบว่า

“ไม่ได้เป็นอะไรมาก  แค่เป็นแผลในกระเพาะอาหารเฉยๆ  กินยาก็หาย  ผลชิ้นเนื้อไม่เจอเนื้อร้าย...”  เตตอบเรียบๆ  ส่งจานบรรจุผลไม้ให้เธอรับมาทาน   หญิงสาวถอนหายใจยาว

“ค่อยยังช่วยหน่อยค่ะ  แล้วต้องทานยาไปอีกนานแค่ไหนถึงจะหายคะ”

“ก็กินยาต่อเนื่องสักพัก....พี่ต้องมารับยาพร้อมกับเธอด้วยในนัดครั้งหน้า   ก็ดีเหมือนกันจะได้มาโรงพยาบาลทีเดียว”   คิ้วเรียวเข้มขมวดมุ่นคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง   ข้าวตังรู้สึกเหมือนเธอกำลังถูกปิดบังความจริง   มีบางอย่างรบกวนจิตใจของอีกฝ่ายอยู่ 

อะไรกัน?

หญิงสาวเก็บความสงสัยเอาไว้   นายแพทย์ประจำตัวกลับมาที่ห้องพร้อมกับพาลูกชายของเธอมาส่งพอดี  เต้หันไปหอมแก้มคุณหมอรดิศก่อนจากกันราวกับเป็นสิ่งที่ทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน   ผู้ใหญ่อีกสองคนในห้องนั้นต่างเมินมองภาพนั้นไปคนละทาง   ต่างคนต่างก็มีความคิดซ่อนอยู่ในใจ

“เจอกันพรุ่งนี้นะครับ  หนุ่มน้อย...  เอ้อ  คุณเต...มีใบยาของคุณตังที่คุณจะต้องเซ็นลงนามรับรู้ความเสี่ยงด้วยครับ”   ศัลยแพทย์หนุ่มหันมาพูดกับเขาโดยตรง  ตาคมเข้มจ้องเขม็งไม่ยอมให้ปฏิเสธ

“ได้ครับ....ไหนล่ะฮะ”

นายแพทย์นรดิศทำท่าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้   เขาเหลียวซ้ายแลขวาแล้วก็ครางออกมา

“ผมลืมเอาเข้ามาด้วย    คงวางอยู่ที่เคาท์เตอร์ข้างนอก”    พูดจบก็หันหลังเดินออกไปจากห้อง    ทิ้งให้คนในห้องมองหน้ากันอย่างงุนงง   เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง  นายแพทย์หนุ่มยังไม่กลับมา

“ตามไปมั้ยคะ  จะได้เซ็นไปเลย  คุณหมอได้ไม่ต้องย้อนกลับไปกลับมา”   คนป่วยเสนอ   เตออกจะเห็นด้วยจึงเดินตามออกไปบ้าง   เขาเห็นแผ่นหลังที่คุ้นเคยวอบแวบอยู่แถวๆเคาท์เตอร์พยาบาล   จึงเดินตามเข้าไป

“อ้อ  รอนิดนึงนะ  ผมไม่รู้เอาไปวางไว้ไหน หาไม่เจอ  กำลังจะให้เขาปริ้นซ์ให้ใหม่อยู่”   คนหน้าเข้มหันมาบอก   สบตากันแวบเดียวก็เบือนหลบ   เตไม่พูดอะไร ถอยไปยืนรอเงียบๆ

            “ในนี้ปริ้นซ์ไม่ได้ค่ะหมอ  ต้องไปปริ้นท์ข้างบนค่ะ”  ผ่านไปหลายนาที สุดท้ายคุณพยาบาลก็หันมาบอก   รดิศถอนหายใจยาวท่าทางหงุดหงิด   เขาบอกขอบคุณแล้วผละออกมาโดยมีชายหนุ่มร่างโปร่งบางเหมือนจะปลิวลมเดินตามมาข้างหลัง

            “เอาไว้เซ็นพรุ่งนี้ก็ได้  ผมต้องไปพิมพ์ใหม่ก่อน  ขอโทษด้วยที่ทำให้เสียเวลา”  จู่ๆคนเดินนำก็หยุดเดิน  แล้วหันกลับมาจ้องหน้าคนที่เดินตามหลัง   “คุยกันหน่อยได้มั้ย....เต”

          เสียงที่เรียกชื่อของเขานุ่มนวลแฝงด้วยพลังที่เขาไม่สามารถปฏิเสธได้  ....เหมือน ‘พี่ดิม’ คนเดิม   เตไม่ตอบ...สบตากันครู่หนึ่ง  พี่ดิมก็หันหลังออกเดินนำเข้าไปในลิฟต์คล้ายมั่นใจว่าถึงอย่างไรเขาจะต้องเดินตามไปแน่นอน   ติณธรรีรอเพียงนิดเดียวสุดท้ายก็เดินตามเข้าไป   เค้าพาขึ้นมายังห้องทำงานส่วนตัวที่อยู่อีกชั้นหนึ่ง

            เตเคยเข้ามาภายในห้องทำงานแห่งนี้แล้ว   ตั้งแต่วันแรกที่เขาขอเข้ามาสัมภาษณ์นายแพทย์หนุ่มเมื่อหลายเดือนก่อน   ยังจำความรู้สึกในครั้งนั้นได้อยู่ราวกับเพิ่งผ่านไปได้ไม่กี่วัน   ตอนนั้นเขาดีใจที่ได้พบอีกฝ่ายก็จริง  ขณะเดียวกันก็เสียใจเพราะรู้ดีว่าคนตรงหน้าไม่เหลือความทรงจำเกี่ยวกับตัวเขาและเรื่องของเราเอาไว้เลย

            ในครั้งนี้มันต่างกันออกไป   เรื่องราวระหว่างเราย้อนกลับมาราวกับกระแสน้ำอันเชี่ยวกราก  ผลักเขาให้ตกลงไปในวังวนของความคิดสับสนวุ่นวาย   รู้สึกมือไม้เกะกะไม่รู้จะเอาไปเก็บเอาไว้ตรงไหน   ได้แต่หยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูห้อง  ไม่กล้าเดินเข้าไป

            กลัวอะไร?....เขาก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าตนเองกำลังกลัวอะไรอยู่

            “เข้ามาสิ....นั่งก่อน”   เจ้าของห้องเลื่อนเก้าอี้ด้านหน้าโต๊ะทำงานตัวเดิมให้   เตเดินเข้ามาทรุดตัวลงนั่งช้าๆ   อีกฝ่ายถอยกลับเข้าไปประจำที่ด้านหลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ที่กั้นเราไว้....ไม่ใช่แค่โต๊ะทำงานตัวนี้หรอก ...กำแพงบางอย่างที่มองไม่เห็น  หรือบางทีมันอาจจะเป็นทิฐิของเขาเอง ที่แบ่งแยกเราทั้งสองเอาไว้....อย่างที่ควรจะเป็น

            “วันนี้นายไปฟังผลมาแล้วใช่มั้ย  หมอส้มพูดว่าอย่างไรบ้าง”  ดิมถามเสียงเรียบ  เผลอกลับไปใช้สรรพนามแทนกันเหมือนเดิมยามที่ไม่มีบุคคลที่สามอยู่ด้วย

          “ขอโทษด้วย  แต่มันเป็นเรื่องส่วนตัวของผม”  เตตอบ  บีบมือที่วางอยู่บนตักแน่น  เห็นคิ้วคมเข้มขมวดฉับ...คงหงุดหงิดกับคำตอบของเขา 

            “ผมถามเพราะผมเป็นห่วงคุณ....และผมก็เป็นหมอ   คุณไม่คิดบ้างเหรอว่าผมอาจช่วยคุณได้”  เขากลับไปใช้สรรพนามที่ห่างเหินอีกครั้งคล้ายประชด

            “ขอบคุณมาก  ผมดูแลตัวเองได้   คงไม่ต้องรบกวนคุณหมอหรอกครับ”   พูดจบก็เตรียมจะขยับตัวลุกขึ้นยืน  ทว่าสายตาเหลือบเห็นกรอบรูปที่วางเอาไว้บนโต๊ะทำงานตัวนั้นในมุมที่เจ้าของจะมองเห็นได้ชัดเสียก่อน   เขาชะงักไปนิดหนึ่ง

            รดิศจับสายตาของอีกฝ่าย  เขามองตาม แล้วจับกรอบรูปกรอบนั้นคว่ำลงกับโต๊ะ  คล้ายไม่ต้องการให้ใครเห็น....แขกเม้มปากแน่นสนิท  ลุกขึ้นยืนหันหลังให้

            “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว  ผมขอตัวก่อน”  รู้สึกเสียงของตนเองแหบพร่ากว่าทุกครั้ง   นักเขียนหนุ่มจิกปลายเล็บลงไปในฝ่ามือของตนเองที่กำแน่นจนรู้สึกถึงความเจ็บแปลบที่แล่นขึ้น   แต่นั่นยังไม่เท่ากับความเจ็บปวดในใจ…

            “เต....พี่รู้แล้วว่านายเป็นอะไร  พี่ส้มบอกพี่”  ประโยคนั้นดังมาจากเบื้องหลัง  รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายลุกจากเก้าอี้แล้วขยับตัวเข้ามาใกล้  กระไอตัวจากคนข้างหลังกระทบกับตัวเขาเบาๆ  “พี่ขอดูแลนาย..จะได้มั้ย”  รดิศต่อประโยคจนจบ  เขาก้าวเข้าไปหาร่างโปร่งบางที่ยืนนิ่งจนแผ่นอกแนบไปกับแผ่นหลังของอีกฝ่าย   กลิ่นหอมอ่อนๆโชยมากระทบจมูก   อดไม่ได้ที่จะสูดกลิ่นนั้นเข้าปอดด้วยความคิดถึง

            “ผมไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรง  ไม่จำเป็นต้องมีคนมาดูแล   ขอบคุณมากที่หวังดี”   ตั้งเตแทบจะเค้นแรงกายแรงใจทั้งหมดออกมาเพื่อพูดประโยคนั้น  ทั้งที่ใจอ่อนยวบไปหมดแล้วตั้งแต่อีกฝ่ายเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงแบบที่เขาไม่เคยต้านทานได้เลย....ขยับขาจะก้าวออกเดิน ก็ถูกวงแขนแข็งแรงโอบรัดจากด้านหลังรั้งเอาไว้แนบอก   ไอตัวจากอีกฝ่ายเริ่มทำให้เขารู้สึกร้อน   

            “นี่ไม่ใช่เวลาจะมาดื้อดึงนะ   นายก็รู้ดีว่ามันต้องใช้เวลารักษานานแค่ไหน   ต้องผ่าตัด  ไหนจะต้องคีโมอีก.....”

            “ผมรู้  ก็บอกแล้วไงว่าผมดูแลตัวเองได้”   เตสะบัดตัว  ทว่าอีกฝ่ายไม่ยอมปล่อย  “ปล่อยผม   เราจบกันไปแล้วไง  พี่จำไม่ได้เหรอ”

          “พี่ปล่อยนายไปไม่ได้  ....เดี๋ยวก่อน  หันมาฟังกันดีๆ  ตั้งเต....”  รดิศพยายามรั้งตัวอีกฝ่ายเอาไว้เต็มที่  วงแขนสอดรัดเอวบางเอาไว้แน่น   “ตอนแรกพี่ก็จะปล่อยนายไป  แต่พี่ทำไม่ได้  ยิ่งรู้ว่านายป่วย พี่ก็ยิ่งปล่อยนายไปไม่ได้  เต....ให้พี่อยู่ดูแล....”

            “พี่ก็ยังมีคู่หมั้นอยู่ทั้งคน  ก็ไปดูแลเสียสิ  มายุ่งอะไรกับผม  ปล่อย!”  เขาพูดหลังจากดึงความรู้สึกของตัวเองกลับมาได้อีกครั้ง   สะบัดตัวอย่างแรง แม้ว่าจะไม่เป็นผลสำเร็จ  แว่วเสียงหัวเราะแผ่วเบาดังทุ้มอยู่ข้างหู  ราวกับอีกฝ่ายอารมณ์ดีขึ้นฉับพลัน

            “พี่กับรัน....เราเลิกกันแล้ว”  รดิศพูด   แตะริมฝีปากลงไปที่ซีกแก้มที่ใกล้ที่สุด   ไล่เลยไปยังซอกหูและลำคอ   คนในอ้อมแขนของเขาชะงักไปนิดหนึ่ง   เตหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากันโดยที่เขายังไม่ยอมปล่อยมือจากเอวที่รวบเอาไว้...ใบหน้าเราห่างกันเพียงคืบ

            “ทีนี้ยอมให้พี่ดูแลนายได้หรือยัง”  รดิศกระซิบกับจมูกโด่งสวยนั้น

         ติณธรหยุดดิ้น   เขายืนนิ่งๆในอ้อมแขนของอีกฝ่าย  เม้มปากแน่น  ดวงตาเรียวยาวดำขลับคู่นั้นมีแววไม่แน่ใจแฝงอยู่

          “ไม่ได้....เพราะผมต้องดูแลตังและเต้”

          “พี่ก็ไม่ได้ห้ามนายไปดูแลใครนี่”  คราวนี้ตั้งเตเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างงุนงง ดิมยิ้ม “พี่แค่ขอดูแลนายบ้าง  แค่ดูๆแลๆ ไม่ทำให้นายสึกหรอหรอก”  พูดเหมือนจะเย้า  “พี่ขอแค่ดูแล....แบบห่างๆก็ได้   จะไม่เข้าไปวุ่นวาย  ไม่ยุ่งเกี่ยวหรือทำให้คุณข้าวตังไม่สบายใจเด็ดขาด  ได้หรือเปล่า?”

            คนฟังเงียบไปนาน  นึกถึงคำพูดของแพทย์หญิงที่เขาเพิ่งไปพบเมื่อบ่ายวันนี้ขึ้นมา

            ‘ทำไมเรื่องมันวุ่นวายได้ขนาดนี้นะ   เต..พี่เห็นใจเธอมากจริงๆ  ตอนนั้นดิมก็ทำเกินไป...คราวนี้พี่ถึงช่วยให้ดิมได้รู้สึกตัวเสียบ้าง  แต่ว่า...พี่ก็อดสงสารมันไม่ได้   ในฐานะที่พี่เห็นดิมมาตลอดตั้งแต่เกิดเรื่องจนถึงตอนนี้  พี่บอกได้เลยว่าไม่เคยเห็นใครทุ่มเทให้ความรักมากขนาดนี้มาก่อนเลย    เต...พี่ขอร้องให้เธอยกโทษให้ดิมมันหน่อยได้มั้ย  ดิมเสียใจมากนะ  เขาอยู่กับความรู้สึกสูญเสียมาตลอด’

          ‘ผมไม่ได้โกรธอะไรเค้า  ระหว่างผมกับเค้าไม่มีอะไรติดค้างกันอีกแล้ว’

          ‘ถ้าเป็นแบบนั้นจริง  เธอจะขอไม่ให้พี่บอกผลการตรวจ ‘ของจริง’ ของเธอทำไมกันล่ะ  ในเมื่อเธอก็รู้อยู่แล้วว่าดิมเป็นห่วงเธอมากแค่ไหน....ทั้งหมดนี่ไม่ใช่เพราะเธอต้องการเอาคืนดิมหรอกหรือ’

          ‘ผมไม่ได้ต้องการเอาคืนเค้าหรืออะไรทั้งนั้น  ผมไม่รู้ว่าพี่ส้มช่วยผมแบบนั้นด้วยซ้ำ’  ได้ยินเสียงตัวเองตอบแพทย์สาวไปเสียงแข็ง

‘ดิมกังวลมากนะ  เขาเสียใจเพราะเข้าใจว่าเธอป่วยเพราะเขา   ตอนแรกเขาตั้งใจจะกลับอเมริกาเพื่อจะได้ลืมเธอ  แต่พอเข้าใจว่าเธอป่วย  เขาก็ล้มเลิกทั้งหมดเพื่ออยู่ที่นี่ต่อ   เต  เขาเป็นห่วงเธอมากจริงๆ  เธอยังทรมานเขาไม่พออีกเหรอ’

‘ผมก็ไม่เห็นว่าเขาจะเป็นอะไรนี่’

‘แล้วเธอจะทรมานตัวเองทำไม   ถึงผลส่องกล้องจะออกมาปกติ แต่ความจริงแล้วเธอป่วย   อาการปวดท้องของเธอมันเป็นของจริง... ที่พี่ส่งเธอไปพบจิตแพทย์เขาก็วิเคราะห์มาแล้วว่าเธอจะปวดท้องทุกครั้งที่คิดถึงการต้องพรากจากกันไม่ใช่หรือ   ถ้าเธอทำแบบนี้ต่อไป โรคปวดท้องของเธอก็จะไม่มีวันหาย เพราะมันไม่ได้เกิดจากร่างกาย แต่เกิดเพราะใจเธอ’

‘ผมมีลูกกับภรรยาที่ต้องดูแล’

‘นั่นเป็นข้ออ้างของเธอ   เธอคิดหรือว่าภรรยาของเธอจะมีความสุข  ถ้ารู้ว่าสามีของเขานอกใจ ....เธออย่าทำเป็นไม่รู้ดีกว่า   ว่าน้องสาวของเธอคิดอย่างไรกับเธอกันแน่  ขนาดพี่เพิ่งพบยังดูออกเลย’

‘ข้าวตังเป็นน้องสาวของผม  โปรดอย่าพูดถึงเธออย่างนั้น’

‘...เต  ถ้าเธอยังดื้อดึงแบบนี้  คนที่เจ็บจะไม่ได้มีแค่ดิมคนเดียวหรอกนะ  แต่คนที่เธอพยายามปกป้อง  อย่างน้องสาวของเธอก็จะพลอยเจ็บปวดไปด้วย  และสุดท้ายคนที่ไม่มีความสุขก็คือเธอเอง’

‘ความสุขของผมมันหมดไปนานแล้ว’   นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่เขาพูดกับพี่ส้ม ก่อนที่จะจากมา


 

คนตรงหน้าจ้องมองมาที่เขาอย่างรอคอย   ดวงตาเข้มเต็มไปด้วยความหวังที่เตรู้ดีว่าไม่มีทางเป็นจริงไปได้   ใบหน้าคมตอบลงเล็กน้อย  ใต้ตาดำคล้ำเหมือนคนนอนไม่พอ   เมื่อเทียบกับเมื่อตอนที่เราได้พบกันใหม่ๆแล้ว  เขาโทรมลงไปมากพอดู

‘เธอยังทรมานเขาไม่พออีกเหรอ’  เสียงของพี่ส้มแวบขึ้นมาอีกครั้ง...

พี่ดิมรัดเอวของเขาแน่น   สบตาอย่างไม่แน่ใจอีกครั้งคล้ายต้องการค้นหาคำตอบอื่นที่ซ่อนอยู่   ครั้นเมื่อไม่พบเข้าจริงๆ  แววโทมนัสก็ผุดขึ้นในดวงตาของเขา

“นายจะไม่ให้โอกาสพี่เลยใช่มั้ย...เต”

“..................”

“พี่เคยคิดว่านายเป็นคนใจแข็ง  แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย...นายเป็นคนใจร้ายตะหาก   ใจร้ายแม้แต่กับตัวเอง   เพื่ออะไรล่ะเต  ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร  ฝืนความรู้สึกตัวเองไปทำไม” ดิมยกมือขึ้นจับที่ต้นแขนทั้งสองข้างของเตเอาไว้  บีบแน่นตามแรงอารมณ์ที่พุ่งสูงขึ้น

“นายรู้อยู่แก่ใจพอๆกับที่พี่รู้...เหมือนที่เราต่างคนต่างรู้   เหมือนที่คืนนั้นนายกอดพี่เอาไว้แล้วบอกว่าไม่อยากให้พี่ไปไหน   นายยังจำได้อยู่ใช่มั้ยเต  คืนนั้นที่ริมทะเล...”

          เผี๊ยะ!!

          มือของคนฟังยกขึ้นสะบัดลงไปบนใบหน้าคมเข้มเต็มแรงจนหน้าหัน   รู้สึกฝ่ามือชา  แต่คงไม่เท่าความเจ็บปวดที่อีกคนได้รับ   เพราะอีกฝ่ายยอมปล่อยเขาเป็นอิสระทันที   แววตาคู่นั้นสั่นไหวรุนแรงคล้ายไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะถูกเขาทำร้ายเอาเช่นนี้ 

            เตไม่อยากเชื่อมือของตัวเองเหมือนกัน

            “ขอโทษ...”  หลุดปากออกมาด้วยน้ำเสียงเบาหวิว  รอยนิ้วปรากฏบนซีกแก้มคล้ำข้างนั้นแดงก่ำทันตาเห็น  “เราอย่าข้องเกี่ยวกันอีกเลยดีกว่า   ส่วนเรื่องคืนนั้น...”  พูดยังไม่ทันจบ  ข้อมือของเขาก็ถูกอีกฝ่ายกระชากเข้าหาตัวอย่างแรง   แววตาของรดิศวาวจ้าเหมือนมีไฟลุกโพลงอยู่ในนั้น

            “นายจะทำแบบนี้ให้มันได้อะไรขึ้นมา  ในเมื่อนายก็ยังรักพี่อยู่ ฮึ เต หรือว่านายจะปฏิเสธ?”  เขากดริมฝีปากบดเบียดลงมาทันที   ไม่เปิดโอกาสให้คนในวงแขนดิ้นหนี   ตั้งเตสำลักนิดหนึ่งเพราะตั้งตัวไม่ทัน   พยายามเบือนหน้าหนีทว่าไม่พ้น  เพราะอีกฝ่ายใช้ฝ่ามือแข็งๆบีบที่คาง บังคับให้เงยหน้าขึ้นจนเขาเจ็บ    รู้สึกเหมือนถูกอีกฝ่ายดูดกลืนลมหายใจออกจากปอดจนหมดสิ้น   เขาหอบน้อยๆเมื่อพี่ดิมถอนปากออก  เตยกหลังมือขึ้นปาดริมฝีปากที่ยังรู้สึกอุ่นร้อนอยู่นั้นราวกับต้องการลบรอยสัมผัสเมื่อครู่ทิ้ง   แววยอกแสยงผุดขึ้นในดวงตาคมเข้มที่สานสบอยู่

            “ส่วนเรื่องคืนนั้น....” ตั้งเตพูดประโยคเดิมที่ค้างเอาไว้ต่อคล้ายกับเมื่อครู่ไม่มีอะไรขัดจังหวะ  “ผมขอให้คุณลืมมันไปเสียเถอะ   เหมือนที่ผมตั้งใจจะลืมมันเหมือนกัน”  แววตาของคนพูดเปลี่ยนเป็นเฉยเมยจนคนมองใจหาย  “ผมไม่อยากรื้อฟื้นอะไรอีก คุณหมอช่วยผ่าตัดให้ภรรยาผมจนหายดี...ผมต้องขอขอบคุณคุณหมอมาก   ส่วนเรื่องอาการป่วยของผม   ผมดูแลตัวเองได้ครับ   ไม่ต้องห่วง” 

เตปัดมือที่จับต้นแขนของเขาอยู่ออกจากตัว  ก้มศีรษะให้นิดหนึ่งตามมารยาท    เขาไม่สบตาอีกฝ่าย  เดินออกจากห้องทำงานของศัลยแพทย์โดยไม่เหลียวหันไปมอง   ทิ้งให้เจ้าของห้องยืนนิ่งอยู่เบื้องหลังเหมือนถูกสาป

            ....คนใจร้ายงั้นหรือ?  หึ  เตหัวเราะแค่นๆ  เดินกลับห้องพักของภรรยาอย่างใจลอย  ...เข้าใจเลือกคำพูดนี่พี่ดิม...ถูกต้องที่สุดเลยล่ะ  ในเมื่อตอนนี้ผมไม่ต้องห่วงเรื่องข้าวตังอีกต่อไป  ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ผมจะต้องยอมอ่อนให้เพราะต้องพึ่งพี่อีก   ก็ถึงเวลาที่เรื่องของเราจะต้องถูกชำระล้าง   ผมยังไม่ลืมหรอกนะ   ว่าพี่เคยจงใจ ‘เหยียบย่ำ’ ความรักของผมยังไง   ถึงจะเป็นเพราะตอนนั้นพี่ยังไม่รู้ความจริงก็เถอะ   แต่พี่ไม่เคยรอฟังความจริงจากปากของผมเลย   พี่ไม่เคยเชื่อในความรักของผม...

            พี่คิดว่าทุกอย่างจะกลับมาดีเหมือนเดิม  ง่ายดายเหมือนการค้นเอารูปเก่าๆของเรามาใส่กรอบใหม่งั้นหรือ   ความรู้สึกของผมที่เสียไปเพราะผลของการกระทำของพี่....ความรู้สึกที่ผมเคยอยากทุ่มเทให้พี่   อยาก ‘แก้ตัว’ ใหม่อีกครั้ง  อยากตั้งต้นความสัมพันธ์ครั้งใหม่   ความรักที่หอมหวานและเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ ...พี่ทำลายความไว้วางใจของผมจนหมด   และมันยากที่จะเอากลับคืนมาได้ง่ายๆเพียงแค่คำพูดไม่กี่คำ

หัวใจของผมมันเจ็บเสียจนชาชิน  จะเจ็บอีกนิดคงไม่เป็นไร  ....อย่างที่ผมบอกตั้งแต่แรก   ทุกอย่างมันสายเกินไป...ตั้งแต่ที่พี่ทิ้งผมเอาไว้ที่บ้านพักริมทะเลนั่นคนเดียว   ตั้งแต่ที่บอกผมว่าเรื่องของเรามันจบไปตั้งแต่ 8 ปีก่อน 

            ผมจะทำให้มันจบจริงๆ


            ............................................................................. 

มาต่อกันครัช  มีใครรออ่านเรื่องนี้อยู่บ้างมั้ยเอ่ย
บอกเลยว่ากว่าจะอัพได้ คิดกลับไปกลับมาหลายรอบมาก  คนอ่านจะเข้าใจเตมั้ย  จะคิดว่าเตงี่เง่าหรือเปล่า  แล้วพี่ดิมล่ะจะทำไงต่อ โอ๊ย ปวดหัวมากค่ะ  ตอนที่ยังเป็นพล็อตก็คิดง่ายเนอะ พอมาเขียนจริงแล้วแบบ...มันได้ป่าววะ  มันโอมั้ยอ่ะ   เกิดความไม่มั่นใจ5555  หวังว่าทุกคนคงเข้าใจ  เเค้นนี้ยังไม่ชำระ  ใครลืมเรื่อง กลับไปอ่านตั้งเเต่ตอน เพราะ...รัก ใหม่อีกรอบ  เนื่องจากโดนช่วงที่ข้าวตังผ่าตัดเข้ามาคั่น  เข้าใจว่าหลายคนอาจจะลืมพล็อตหลักได้55555
ส่วนใครที่เล่นทวิตเด้อ เจอกันใน #ดิมเต
ใครเล่นเฟส อย่าลืมไปกดไลค์แฟนเพจเค้านะ
Melenalike

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Duangjai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
เตใจแข็ง เตเจ็บแล้วจำ เตสตรองพอ

แต่เต..จะลืมรักนี้ได้หรือ จะอยู่กับความเจ็บปวดตลอดไปหรือ

เตคิดหน่อย คิดสิ  คิด คิด ....

 :z3:  :z13:  :z3:  :z13:  :z3:  :z13:

...



ออฟไลน์ godofhill

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
คิดว่าให้ดิมโดนรถชนอีกสักรอบน่าจะดีกว่า เหมือนได้กลับไปเริ่มต้นจากเรื่องทั้งหมด

ออฟไลน์ anga

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-1
 :angry2:รำคาญ!!!นังเต หมอดิมกลับอเมริกาไปเลย ปล่อยให้นังเตจมอยู่กับความเสียใจไปคนเดียวเลย :serius2:

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
ไม่เข้าใจ เตเป็นมาโซใช่ไหม
ถึงได้ทำร้ายตัวเอง ทำร้ายคนอื่นอย่างนี้
ถึงจะโดนกดดันด้วยสารพัดเรื่องก็เถอะ แต่ตอนนั้นเตเป็นคนตัดสินใจทิ้งดิมไปเอง ความเจ็บปวดของดิมก็เป็นของจริง แก้แค้นกันไปแก้แค้นกันมา เมื่อไหร่จะยอมให้ตัวเองมีความสุข

ออฟไลน์ P_Methayot

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 108
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-0

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
เพราะหัวใจบอกว่า...หรือ

 

 

 

 

            “เป็นไงบ้างคะ เรียบร้อยไหม”  ข้าวตังถามเขาทันทีที่เขาเปิดประตูเข้าไปภายในห้องพัก  เธอคงรู้สึกผิดสังเกตอยู่บ้างเพราะเขาหายออกไป ‘เซ็นเอกสาร’ นานทีเดียว  ชายหนุ่มคิด ขณะที่วางหน้าเฉยเดินเข้าไปนั่งข้างเตียงเธอ  อันเป็นที่ประจำของเขา

            “คุณหมอต้องขึ้นไปปริ้นท์เอกสารใหม่น่ะ  ก็เลยรอนาน”  หันไปหยิบหนังสือที่อ่านค้างเอาไว้ขึ้นมาถือในมือ  พูดอย่างไม่ใส่ใจ  “เธอนอนก่อนเถอะ  เดี๋ยวพี่พาเจ้าเต้เข้านอนเอง”  หางตาเห็นเจ้าลูกชายตัวดีนั่งดูโทรทัศน์อยู่ไม่ไกล   ร่างกลมป้อมยังอยู่ในชุดนักเรียนเหมือนเดิม  แสดงว่าตั้งแต่กลับมาจากทานไอศกรีม เจ้าตัวก็ยังไม่ขยับเขยื้อนไปจากหน้าโทรทัศน์เลย

            ติณธรวางหนังสือ  ลุกขึ้นยืน  เดินไปหาเด็กชาย

            “เต้  ดูอะไรอยู่ครับ”

          “ดูดราก้อนบอลฮะ  คุณพ่อ... เดี๋ยวดูจบเต้ค่อยไปอาบน้ำ  นะฮะ”  ราวกับจะรู้ว่ากำลังจะโดนดุ  เด็กน้อยรีบพูดออกมาเองด้วยความฉลาด   ดวงตาเรียวยาวดำขลับมองมาที่เขาอย่างอ้อนวอนนิดๆแวบหนึ่ง ก่อนจะหันไปจ้องหน้าจอสี่เหลี่ยมต่อ

            คนเป็นพ่อถอนหายใจยาว   ยกมือขึ้นขยี้เส้นผมอ่อนสลวยที่คลุมศีรษะเล็กๆนั้นอย่างหมั่นเขี้ยวปนเอ็นดู   กับเต้แล้วเขาเป็นต้องใจอ่อนตลอด   คงเป็นเพราะความสงสารที่มีให้นอกเหนือจากความรัก   เด็กที่พ่อแท้ๆไม่ต้องการ  แม่ก็ล้มป่วยออดๆแอดๆ  เหลือแค่ลุงอย่างเขา  ที่รายได้ไม่มากมายอะไร   มีพอแค่ใช้จ่ายภายในบ้านต่อเดือนเท่านั้น   ไม่สามารถฟุ่มเฟือย  ซื้อของนู่นนี่ปรนเปรอหลานรักคนเดียวได้อย่างที่ต้องการ   หลายครั้งที่เขารู้สึกว่าตนเองไม่สามารถ ‘ให้’ ได้เท่าที่ควร   กลัวเหมือนกันว่าหลานจะรู้สึก ‘ขาด’ หรือเปล่า       

          “วันนี้ไปกินไอติมอะไรมา  ยังไม่เห็นเล่าให้พ่อฟังเลย”  เขาทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาข้างลูกชาย   รอจนถึงช่วงโฆษณาจึงค่อยถามเด็กชาย

            “ลุงหมอพาไปกินไอติมช็อคโกแลตมาฮะ  ทำเป็นลูกบอลหลายๆลูก   มีครีมหวานๆด้วย  เต้ชอบ ลุงหมอใจดีจังฮะ ให้เต้เบิ้ลด้วย”

            ตั้งเตฟังยิ้มๆ  ยกมือขึ้นดึงแก้มยุ้ยๆนั้นแรงๆ

            “นี่แหนะ กินแต่ขนมจนจะกลิ้งได้แล้วเรา   พ่อบอกว่ายังไง  ให้ลดๆลงหน่อยไม่ใช่เหรอ”

          “ก็คุณลุงบอกว่า  กินได้ตามสบายเลยนี่ฮะ  ลุงยังบอกเลยว่าเต้ไม่อ้วนซักหน่อย”  ดูเหมือนเด็กน้อยจะปลื้มกับผู้ใหญ่เจ้าเล่ห์คนนั้นมากพอดู.....ไม่อ้วนงั้นเหรอ  แล้วไอ้ลูกกลมๆที่ดันเสื้อแทบระเบิดออกมานี่มันคืออะไร

            “เต้อยากหล่อมั้ย”  เขาเปลี่ยนคำถาม  นึกหาทางตะล่อมหลอกเด็กให้เพลาๆการกินลงบ้าง

          “อยากฮะ เต้อยากหล่อแบบคุณลุงหมอ หล่อเท่ที่ซู้ดเลย”  พ่อเต้คิ้วกระตุก  นึกฉุนขึ้นมาวูบหนึ่ง   หลานใครเนี่ย  กินขนมฟรีเข้าหน่อย  ถึงกับแปรพักตร์เลยเรอะ

            “เออนั่นแหละ  คุณลุงหมอหล่อใช่มั้ยล่ะ   แล้วเต้อยากหล่อแบบลุงหมอมั้ย”

            “อยากครับ  เต้อยากใส่ชุดขาวๆ  อยากรักษาคุณแม่ได้แบบคุณลุงด้วย”  ก็น่าดีใจอยู่หรอกนะ ที่ลูกชายดันประทับใจอาชีพแพทย์เข้าให้  ถึงจะเป็นเพราะผู้ชายคนนั้นก็เถอะ

            “ถ้างั้นก็ต้องเริ่มที่การลดพุงก่อนครับ   เห็นไหมว่าคุณลุงไม่มีพุงเลย”

          “คุณลุงไม่มีพุงแบบเต้เลยหรือครับ”  เจ้าตัวพูด พลางเอามือจับพุงตัวเอง แล้วหันมามองหน้าเขาตาแป๋ว   จู่ๆผู้ใหญ่ก็หน้าร้อนขึ้นมาซะอย่างนั้น   เมื่อเผลอนึกภาพตามที่เด็กถามด้วยความไร้เดียงสา

            หน้าท้องแข็งแรง มีลอนกล้ามเนื้อเรียงตัวอยู่สวยงามจนน่าอิจฉา  ไรขนอ่อนจากสะดือไล่ลงไปจนถึง....

            “ไม่มีครับ   เต้อยากหุ่นดีแบบคุณหมอมั้ยล่ะ”  นักเขียนหนุ่มรีบดึงความคิดกลับมายังเด็กน้อยตรงหน้า

            “ก็อยาก...”  เริ่มเสียงอ่อย  เพราะรู้ดีว่าบิดากำลังจะขอให้ตัวเองทำอะไร   ซึ่งเป็นเรื่องที่พูดกันมาหลายรอบแล้วตั้งแต่น้ำหนักยังน้อยกว่านี้10กิโลกรัม

            “งั้นก็เชื่อพ่อ   เลิกกินโค้กตอนเย็นได้แล้ว  ไอติมก็เหลืออาทิตย์ละครั้งพอ   แล้วพ่อจะพาเต้ไปสมัครคอร์สว่ายน้ำด้วยวันเสาร์อาทิตย์   เต้จะได้มีอะไรทำสนุกๆ  ไม่ร้อนด้วย ดีไหมลูก”  เขาคิดว่าการว่ายน้ำเป็นสิ่งจำเป็น   อย่างน้อยก็ช่วยชีวิตตัวเองได้ถ้าเกิดอะไรขึ้น

          “ก็ได้ฮะ”  ลูกชายรับคำเสียงเบา    เต้เป็นผู้ใหญ่กว่าอายุ และพูดรู้เรื่องมากกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน   เป็นเพราะการเลี้ยงดูของเขาและข้าวตังกระมัง   ยกเว้นเรื่องเดียวที่ขอกันเท่าไหร่ก็ไม่เคยสำเร็จก็คือเรื่องการกินนี่ล่ะ

            ตั้งเตนั่งคุยกับลูกชายอยู่อีกพักใหญ่ก็ไล่ให้ไปอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวเข้านอน    ข้าวตังหลับไปแล้ว  เขายืนรอจนเด็กชายปีนขึ้นเตียงเสริมที่ตั้งอยู่ข้างเตียงของมารดา  ห่มผ้าให้เรียบร้อย   จึงกลับไปนั่งที่โต๊ะกินข้าวที่ถูกเปลี่ยนเป็นโต๊ะทำงานมาตลอดช่วงเวลาเกือบ 1 เดือนที่ผ่านมา

            เปิดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คขึ้นทำงานต่อ ยังเหลืออีกหลายจุดที่เขาจะต้องแก้ไขเพิ่มเติมในบทความ...ใกล้จะถึงเวลารวมเล่มอีกแล้ว  เขาจะต้องเร่งมืออีกครั้ง

            ปลายนิ้วพรมรัวบนแป้นพิมพ์เป็นจังหวะสม่ำเสมอตามความคิดที่แล่นออกมาลื่นไหลราวกับสายน้ำ   ความเงียบสงบภายในห้องพักผู้ป่วยทำให้เขามีสมาธิกับงานเขียนที่เขารัก

            ‘นายจะไม่ให้โอกาสพี่เลยหรือเต’   เสียงนุ่มเบาดังขึ้นในความเงียบ   ชายหนุ่มชะงักนิดหนึ่ง  แต่แล้วก็พิมพ์ต่อไป  พยายามไม่ใส่ใจกับเสียงที่ไร้ที่มา

            ‘แล้วคืนนั้นที่ริมทะเล  นายยังจำได้อยู่ใช่มั้ย’

          เตหยุดทำงาน   ลุกขึ้นไปเปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำดื่มเย็นจัดมาดื่มแก้คอแห้งกะทันหัน   เขาถือแก้วน้ำเดินกลับมานั่งที่เดิม  จ้องมองตัวอักษรเรียงพรืดบนหน้าจอคอมพิวเตอร์นิ่ง

            จากนั้นเขาก็ซบใบหน้าลงกับท่อนแขนที่ประสานกันเอาไว้บนโต๊ะ  อยู่ในท่านั้นเนิ่นนานในสายตาที่เฝ้ามองอยู่ของหญิงสาวคนเดียวในห้อง    เธอลอบถอนหายใจยาวอย่างหนักหน่วง  ทุกความเคลื่อนไหว...ทุกอารมณ์ของผู้ชายคนนั้นแสดงออกมาหมดทั้งทางสีหน้าและท่าทาง  โดยเฉพาะเวลาที่เขานึกว่าอยู่คนเดียว ไม่มีใครเห็น

             พี่เตไม่มีความสุข  เธอรู้....เขาอดทนเพื่อเธอ...เธอก็รู้อีก   เขาต้องการปกป้องเธอ  รวมถึงปกป้องหัวใจของตัวเองด้วย  พี่เตเป็นคนแบบนี้เอง   เขาชอบคิดคนเดียว  ทำคนเดียว   และสุดท้ายก็มักจะเจ็บเองคนเดียว

            ไม่สิ....ครั้งนี้อาจจะไม่ใช่คนเดียว

            แววตาเศร้าหมองของใครอีกคนผุดขึ้นมาในความคิด ...คนที่เธอเพิ่งได้พบเมื่อตอนบ่าย   คุณหมอรดิศคนนั้น....ท่าทางอิดโรยที่พยายามซ่อนเอาไว้ของคุณหมอไม่อาจรอดพ้นสายตาของเธอไปได้   ความเสียใจมันคล้ายจะแผ่ซ่านออกมาจากเนื้อตัวภายใต้เสื้อกาวน์สีขาวของคนๆนั้น  มากมายจนแทบสัมผัสได้ 

            ‘ขอบคุณคุณหมอมากนะคะ   ที่ให้ชีวิตใหม่กับตังอีกครั้ง’  ประโยคแรกที่เธอพูดกับเขา  ตั้งแต่นายแพทย์หนุ่มเปิดประตูเดินเข้ามาในห้อง 

            รอมยิ้มบนดวงหน้านั้นดูราวกับคนสวมหน้ากาก

            ‘เป็นหน้าที่ของผมที่ต้องรักษาคุณอยู่แล้วครับ’   ชายหนุ่มตอบสั้นๆ  ซักถามอาการของเธออีกเล็กน้อยแล้วก็ลงมือตรวจร่างกายอย่างละเอียด   ตลอดเวลานั้นเขาแทบไม่เงยหน้าขึ้นสบตาเธอเลย

            ‘เรียบร้อยแล้วครับ   ลิ้นที่เปลี่ยนให้ใหม่ทำหน้าที่ได้ดีมาก  หลังจากนี้จะเป็นช่วงพักฟื้นตัว   ขอให้คุณตังปฏิบัติตัวตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัดนะครับ   จะได้หายเร็วๆและไม่มีผลแทรกซ้อนตามมา’

          ‘แล้วจะกลับบ้านได้เมื่อไหร่คะ’

          ‘วันจันทร์หน้า  ถ้าไม่มีอะไร  น่าจะกลับได้แล้วครับ’  เขาทำท่าจะขอตัว  แต่เธอรั้งเอาไว้เสียก่อน

            ‘เดี๋ยวค่ะ ....ตังมีเรื่องขอคุยกับคุณหมอ...ได้ไหมคะ’

          ‘เรื่องอะไรหรือครับ’  คิ้วเข้มขมวดน้อยๆ  ดวงตาคมกริบมองมาที่เธอคล้ายต้องการมองให้ลึกลงไปถึงก้นบึ้งในจิตใจ     จำได้ว่าเธอเงียบไปนานทีเดียว  กว่าจะพูดออกมา

            ‘เรื่องการผ่าตัดครั้งนี้น่ะค่ะ.....ตังรู้ว่ามันยากสำหรับคุณหมอ    สิ่งที่คุณหมอทำมันพิสูจน์หัวใจของคุณหมอให้ตังเห็นแล้วว่า คุณหมอเป็นคนที่ดีจริงๆ  ตังนับถือหัวใจของคุณหมอมากนะคะ....ถ้าจะมีใครที่มีหัวใจแข็งแกร่งเทียบเท่าคุณหมอ....ก็เห็นจะมีพี่เตคนเดียว’

            ‘คุณหมายความว่าอะไร’   คนฟังถามกลับมาด้วยน้ำเสียงกระซิบ

            ‘การที่ตังยังมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้  ทั้งที่ตังเคยนึกว่าตังคงจะตายแน่แล้ว....มันทำให้ตังรู้สึกละอายต่อคุณหมอมากๆ   ตังรู้ว่าคุณหมอช่วยตังเต็มที่  แม้ว่ามัน....’ เสียงของเธอสะดุดนิดๆ  คล้ายเจ้าตัวเปลี่ยนใจ ‘....ตังอยากตอบแทนคุณหมอค่ะ’

          ‘ทางเดียวที่คุณจะตอบแทนผมได้ก็คือ  คุณสองคน  ไม่สิ สามคน  รวมเจ้าเต้ด้วย....ดูแลซึ่งกันและกันไปให้ดีที่สุด  เท่านั้นแหละ   นั่นคือสิ่งที่ผมต้องการ’

          ‘คุณหมอต้องการแค่นั้นจริงหรือคะ’   คำถามย้ำของเธอทำให้อีกฝ่ายชะงักไปนิดหนึ่ง   แต่แล้วเขาก็สามารถเก็บอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว 

            ดวงตาคมเข้มสบตาเธอนิ่งนานคล้ายต้องการค้นหาความหมายที่ซ่อนอยู่ในระหว่างบรรทัด   สุดท้ายเขาก็ก้มศีรษะรับอย่างสงบ

            ‘ครับ   ผมต้องการแค่นั้น’  ไม่ต้องพูดกันตรงๆให้หมองใจกันเสียเปล่า   แววตาของเขาบอกชัดว่าสิ่งที่เขาต้องการ มันตรงข้ามกับคำตอบที่ออกมาจากริมฝีปากคู่นั้นอย่างสิ้นเชิง

            ‘ตังจะช่วยคุณเองค่ะ’    นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่เธอพูดกับเขา   หลังจากที่เงียบไปนาน  ชายหนุ่มก้มศีรษะรับ ไม่พูดว่าอะไรอีก   แต่เธอมองเห็นแววขอบคุณอาบอยู่ในดวงตาคู่นั้น

            ใช่...มันถึงเวลาแล้วล่ะ.... เธอขโมยเวลาแห่งความสุขมาจากผู้ชายคนนี้มานานแค่ไหนแล้ว

            .............................................................................................

            “จะได้กลับบ้านแล้ว  ดีใจไหมครับ”   นายแพทย์หนุ่มในชุดกาวน์ยาวสีขาวสะอาดตา รับกับใบหน้าที่วันนี้โกนหนวดเคราเรียบร้อยเกลี้ยงเกลาแปลกตาไปจากทุกวัน  ก้มลงถามเด็กชายวัย 8 ขวบที่ยืนหอบถุงขนมสองถุงใหญ่เอาไว้ในอ้อมแขนอย่างหวงแหนนั้นยิ้มๆ

            “ดีใจฮะ  แต่แบบนี้ผมก็จะไม่ได้เจอคุณลุงแล้วสิ”  ท่าทางหงอยๆนั้นเรียกความเอ็นดูจากทุกคนได้เป็นอย่างดี   ไม่เว้นแม้แต่คนที่ไม่เคยรักเอ็นดูเด็กที่ไหนเลยอย่างรดิศ

            เขายกมือขึ้นโยกศีรษะทุยสวยไปมา

            “อยากเจอลุงเหรอ   ถ้างั้นลุงไปเยี่ยมที่โรงเรียนดีไหม”

          “ลุงไปที่บ้านเต้ไม่ได้เหรอฮะ   นะฮะ  เต้อยากอวดหุ่นที่เต้สะสมด้วย”  เด็กชายพูด   ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองผู้ปกครองสองคนเป็นเชิงขออนุญาต

            “ไม่เอาน่ะเต้  รบกวนคุณลุงหมอแบบนั้นได้ยังไง  ขอโทษด้วยครับ”  คนเป็นพ่อบอกเรียบๆ 

            “ไม่รบกวนหรอกครับ  ผมอยากเจอ...น้องเต้”  ทอดเสียงเรียกเด็กชายอย่างนุ่มนวลอ่อนโยน   ทำเอาผู้ใหญ่อีกคนใจกระตุกแบบไม่ทันตั้งตัว

            “ถ้าอย่างนั้น  ตังว่าเรียนเชิญคุณหมอมารับประทานอาหารเย็นที่บ้านดีไหมคะ   ตังอยากเลี้ยงขอบคุณคุณหมอด้วย”

          “โอ้ย  ไม่เป็นไรหรอกครับ  คุณตังจะเหนื่อยน่ะสิครับ”

          “ไม่เหนื่อยหรอกค่ะ  เดี๋ยวตังใช้วิธีสั่งอาหารเอา   นะคะคุณหมอ  ให้ตังได้ตอบแทนคุณหมอนะคะ”  คนป่วยที่วันนี้หน้าตาสดใส ผิดไปจากวันแรกที่เข้ามานอนในโรงพยาบาลเป็นคนละคน เอ่ยชวนเสียงใส คะยั้นคะยอมาอีกหลายคำ  คุณหมอเจ้าของไข้เหลือบมองหน้าชายหนุ่มอีกคนที่ยืนเม้มปากเงียบสนิทอยู่ข้างๆภรรยาแวบหนึ่ง

            สบตากันแวบเดียวแล้วก็ต่างเมินมองไปคนละทาง

            “ตกลงครับ”

          “คุณหมอสะดวกวันไหนคะ”   จัดการนัดหมายกันเรียบร้อย   ก็พอดีภาคย์ขับรถมาจอดที่ด้านหน้าพอดี    ล่ำลากันอีกครู่ใหญ่  ครอบครัวเล็กๆพ่อแม่ลูกก็ขึ้นมานั่งบนรถยนต์ของเจ้านายของเต   

            “วันศุกร์นี้เรียนเชิญคุณภาคย์ด้วยนะคะ   ตังจะเลี้ยงขอบคุณทุกคน”   คนป่วยที่เพิ่งหายหมาดๆพูดทันทีที่ขึ้นมานั่ง    เธอรู้ว่าพี่ชายไม่พอใจที่เธอชวนรดิศ  เธอก็เลยชวนชายหนุ่มผู้นี้อีกคนด้วย

            “คุณเพิ่งออกจากโรงพยาบาล   มันจะไม่หนักเกินเหรอครับ  ผมว่าอย่าดีกว่า”  ภาคย์ท้วง

            “หนักอะไรกันคะ  ตังจะสั่งมากิน  แค่เทใส่จานเองไม่เหนื่อยหรอกค่ะ” 

            แน่นอนว่าภาคย์รับคำ    ติณธรนั่งฟังคนทั้งคู่คุยกันผ่านหูไปโดยไม่ได้รับรู้ถึงเนื้อหา ว่าพวกเขาคุยอะไรกันบ้าง   ความคิดคำนึงของเขายังคงหยุดอยู่ที่หน้าโรงพยาบาลนั้นเอง

            หรือจะพูดให้ถูกก็คือ   มันหยุดอยู่ที่ผู้ชายหน้าเข้มคนนั้นนั่นแหละ

            หลังจากที่พูดกันในห้องทำงานวันนั้น   พวกเราก็ไม่ได้คุยอะไรกันเป็นการส่วนตัวอีกเลย    ความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคนคล้ายจะกลายเป็นอดีตที่ถูกลืมเข้าจริงๆ    พี่ดิมทำเหมือนเขาเป็นแค่คนรู้จัก  ...ในฐานะแพทย์...ในฐานะสามีของคนไข้   ก็เท่านั้น   ไม่มีอะไรพิเศษ   ไม่มีแววตาโหยหา  ไม่มีความอาลัยอาวรณ์หลงเหลือให้เห็น

            หรืออีกฝ่ายจะทำใจได้แล้ว  ภายในเวลาไม่กี่วัน?

          ขณะที่ความสัมพันธ์ของเราค่อยๆจางหาย  ความสัมพันธ์ระหว่างนายแพทย์กับลูกชายของเขากลับค่อยๆแนบแน่นมากขึ้นทุกที จนเขาอดนึกแปลกใจไม่ได้ 

            ดูเหมือนว่าพี่ดิมจะรักเจ้าเต้เข้าจริงๆจังๆ 

            “พี่เต...พี่เตคะ...ตกลงเราไปด้วยกันดีไหมคะ”  หญิงสาวยกมือขึ้นสะกิดที่หัวเข่าของเขา   เตสะดุ้งตื่นจากภวังค์  หันมายิ้มให้น้องสาวงงๆ

            “คุณภาคย์กำลังเล่าเรื่องที่จะทำเรื่องอนุรักษ์พันธ์ุปะการังน่ะค่ะ  แล้วก็จะพานางแบบไปถ่ายปกด้วยที่เกาะ...อีกประมาณสามอาทิตย์แน่ะค่ะ   เป็นช่วงที่ได้หยุดยาวพอดี    เราไปเที่ยวกันดีไหมคะ”

          “เธอจะไปไหวหรือ”   เขาติง  รอยแผลผ่าตัดยังอยู่ที่แผ่นอกของเธออยู่เลย

            “ไหวค่ะ   นะคะ  พี่เตเคยบอกว่าเปลี่ยนบรรยากาศแล้วจะได้ฟื้นตัวเร็วไงคะ”

          “ไปมั้ยครับ  ทริปนี้เราไปกันหลายคน  มีเจ้าหน้าที่พยาบาลไปด้วยครับ  ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่มีคนดูแล    คุณเตก็ไม่ได้ไปเที่ยวไหนนานแล้วไม่ใช่หรือ  ถือซะว่าเป็นการไปพักผ่อน  ฉลองที่คุณตังหายดีด้วยไงครับ”

          ติณธรไม่มีทางปฏิเสธ   เขาพยักหน้ารับ แม้จะเป็นห่วงอาการของน้องสาวมากก็ตาม   ถึงวันใกล้ๆแล้วค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกัน

            กลับมาถึงบ้าน   เขาแวบกลับมาทำความสะอาดเอาไว้แล้ว  จัดห้องนอนให้น้องสาวใหม่ที่ชั้นล่างของบ้าน  ตกแต่งเองอย่างที่คิดว่าจะออกมาสวยถูกใจน้องสาวที่สุด    และย้ายโต๊ะทำงานของตนลงมาชั้นล่างด้วย  เพื่อที่จะได้นั่งทำงานเป็นเพื่อนน้องสาวตอนกลางคืน   

            อาการของหญิงสาวค่อยๆดีขึ้นตามลำดับ  ค่อนข้างเร็วกว่าที่เขาคิดเอาไว้ด้วยซ้ำ  เธอเกือบจะดูเหมือนคนปกติภายในไม่กี่วันหลังจากกลับบ้าน   ตอนนี้เธอสามารถช่วยเขาทำงานบ้านเบาๆบางอย่างได้แล้ว 

            “พี่เตขา  วันนี้รีบไปรับเจ้าเต้ก่อนนะคะ  ลืมหรือเปล่าเอ่ยว่าวันนี้เรานัดคุณหมอกับคุณภาคย์มาทานข้าวที่บ้าน”   เสียงของหญิงสาวในชุดผ้ากันเปื้อนเจื้อยแจ้วมาจากห้องครัว   ชายหนุ่มลดหนังสือในมือลง

            ...จริงสิ  วันนี้แล้วสินะ   ไม่ได้เจอกันเกือบสองอาทิตย์แล้ว   ถึงแม้ว่าหลายครั้งเวลาที่เขาไปรับลูกชาย จะได้ยินเต้เล่าให้ฟังว่า วันนี้คุณลุงหมอแวะมาหาที่โรงเรียน ซื้อขนมมาให้อย่างโน้นอย่างนี้  ทว่าไม่มีครั้งใดเลยที่เขาจะได้พบหน้าผู้ชายคนนั้น

            หลบหน้ากันงั้นหรือ   หรือว่าไม่อยากเจอหน้ากันอีกต่อไปแล้ว? ....ชายหนุ่มกระแทกหนังสือในมือลงกับโต๊ะทำงานอย่างแรง   รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมากะทันหัน  กับความคิดที่ว่า อีกฝ่ายคงลืมเขาไปจริงๆ

            ก็ไหนว่าเป็นห่วง   ไหนบอกว่าจะขอดูแลไง?  ....แล้วทำไมเขาจะต้องมานั่งคิดเรื่องนี้ให้เสียเวลาด้วย..

            “พี่เตเป็นอะไรหรือเปล่า   หรือว่าปวดท้องอีก  หน้านิ่วคิ้วขมวดเชียว”   ข้าวตังเดินเข้ามาใกล้  มองหน้าพี่ชายอย่างสงสัย    ช่วงนี้อารมณ์ของพี่ชายแปรปรวนยิ่งกว่าตอนเธอท้องเสียอีก   บางทีเธอก็ตามความคิดของเขาไม่ทันเหมือนกัน

            “หืม?  เปล่านี่  แค่หงุดหงิดเรื่องงานน่ะ”  เขาบอกปัดเธออีกตามเคย

            “รองท้องด้วยนมสดก่อนแล้วกันนะคะ”   

            “ขอบใจจ้ะ”   นักเขียนหนุ่มรับแก้วมาดื่มจนหมด   แค่นี้เธอก็พอใจแล้ว   อย่างน้อยพี่เตก็ยังรับประทานอาหารและยาตรงเวลา   เพราะเธอขู่เอาไว้ว่าถ้าเขาไม่กินยา  เธอก็จะไม่กินเหมือนกัน   เลยเหมือนเป็นการมัดมือชกทางอ้อม   ถึงอย่างไรพี่เตก็เป็นห่วงสุขภาพของเธอที่สุดอยู่ดี

            “พี่ไปรับเต้ล่ะ  ตังรออาหารมาส่งนะ  ไม่ต้องจัดใส่จานอะไรทั้งนั้น เดี๋ยวพี่กลับมาจัดการเอง  เข้าใจไหม”  เขากำชับอีกรอบ   กลัวว่าเธอจะเหนื่อยมากเกินไป

            “โธ่   ตังจะหายดีอยู่แล้ว  ไม่เชื่อเดี๋ยวให้หมอดิมคอนเฟิร์มได้เลย”  รอยยิ้มของคนฟังลดลงนิดหนึ่งจนคนพูดนึกเสียใจ

            “จ้า  ระวังด้วยล่ะกัน  มีอะไรก็รีบโทรมานะ”   ตั้งเตตัดบท   เขากลับออกมาจากบ้านเพื่อไปรับลูกชายที่โรงเรียนตอนเย็น    นั่งรถโดยสารประจำทางเพราะรายได้เริ่มไม่พอกับรายจ่าย   พอข้าวตังป่วยเธอก็ต้องหยุดงานยาว  ทำให้ขาดรายได้ไป  เหลือแค่จากเขาคนเดียว   

            ....บางทีอาจจะต้องหางานพิเศษทำเพิ่ม   อาจจะต้องรับแปลชิ้นงานเหมือนที่เคยทำสมัยเรียน   แน่นอนว่าเขาก็จะต้องเหนื่อยขึ้นอีก 

            มาถึงโรงเรียน   เด็กชายเต้นั่งรออยู่แล้วที่ด้านหน้าห้องพักครู    เขาพาเต้กลับมาถึงบ้านเห็นรถยนต์คันใหญ่คุ้นตาจอดเทียบอยู่หน้าบ้าน    เจ้าของรถเพิ่งจะเปิดประตูลงมา   ร่างสูงสมส่วนดูดีในชุดกึ่งลำลอง   ซ่อนดวงตาคมเข้มเอาไว้เบื้องหลังแว่นกันแดดสีชา

            คนๆนั้นมองมาที่เขาอย่างเพ่งพิศ   ตั้งแต่ที่เขาจูงมือลูกพาลงจากรถโดยสารประจำทางหน้าปากซอยเลยทีเดียว

            “ไม่มีรถไปรับทำไมไม่บอก”  ประโยคแรกที่เขาได้ยิน  เสียงนุ่มเข้มขึ้นเล็กน้อย   ตั้งเตยักไหล่

            “ทำไมต้องบอก   ผมยังไปรับไปส่งลูกผมได้  ไม่เดือดร้อนอะไร”  เขาตอบ    เห็นคิ้วเข้มขมวดนิดๆ แล้วก็คลายออกเมื่อเด็กชายเต้ยกมือขึ้นไหว้

            “คุณลุง  วันนี้มากินข้าวบ้านเต้  ดีใจจังฮะ   เดี๋ยวเต้จะอวดหุ่นกันดั้มของเต้ให้ดู....”  เต้พูดไม่หยุดปาก  ขณะที่อีกฝ่ายก็ก้มลงไป เอียงคอน้อยๆท่าทางตั้งอกตั้งใจฟังเสียเต็มประดา  ไม่สนใจคนที่ยืนเป็นหัวหลักหัวตออยู่ตรงนี้อีกเลย

            “เข้าไปคุยในบ้านเถอะ  เต้”  หันไปพูดกับลูกเสียงดุแทน  แล้วตัวเองก็ก้าวฉับๆเข้าไปในบ้านโดยไม่รอคู่หูอีกสองคนที่เดินคุยกันอย่างอารมณ์ดี

            นักเขียนหนุ่มเดินเลยเข้าไปภายในห้องครัว  สวนกับน้องสาวที่ออกไปต้อนรับคุณหมอ  พร้อมกับขนมน้ำเต็มอัตราศึก   ได้ยินเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะนุ่มๆดังในห้องนั่งเล่นมาจนถึงห้องครัวที่เขานั่งเตรียมอาหารอยู่

            ร้านอาหารมาส่งให้พร้อมแล้ว  เหลือแค่ไข่เจียวหอมแดงที่เขาทำเพิ่มเองเท่านั้น

            ชายหนุ่มลงมือซอยหอมแดง    รู้สึกแสบนัยน์ตาทันควัน   น้ำตาร้อนๆไหลออกมาจากสองตาเป็นทางยาว   ตั้งเตยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดลวก  ทว่ายิ่งเช็ดก็ดูเหมือนจะยิ่งแสบมากขึ้น

           






ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk




            “มือคุณยังเปื้อนอยู่แบบนั้น  เอาไปป้ายตามันก็ยิ่งแสบสิ”   เสียงนุ่มๆพูดแกมหัวเราะอยู่ไม่ไกลนัก   เจ้าของบ้านพยายามลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก  เห็นเงาของร่างสูงสมส่วนอยู่ที่หน้าประตูห้องครัว

            “คุณออกไปนั่งรอข้างนอกเถอะ”  พูดห้วนๆ  น้ำตาไหลพรากจนลืมตาไม่ขึ้น   เขาคลำทางไปที่อ่างล้างมือด้วยความเคยชิน   เปิดก๊อกน้ำก้มลงไปวักน้ำล้างหน้าล้างตาและมือจนค่อยรู้สึกดีขึ้น

            พอหันกลับมาก็เกือบสะดุ้งเพราะคนที่เขาเพิ่งไล่ให้ออกไปนั่งรอข้างนอกตามประสาแขก กลับยืนจังก้าอยู่เบื้องหน้าเขา   จ้องเขม็งมาแบบไม่ยอมให้หลบไปทางไหน

            “ออกไปรอข้างนอก”  พูดซ้ำอีกรอบ    อีกฝ่ายกลับก้าวเข้ามาใกล้มากขึ้นจนเกือบประชิด    เตถอยหลังโดยไม่รู้ตัว   แต่ติดขอบอ่างล้างมือด้านหลัง 

            ลมหายใจของเตเริ่มจะติดขัด   หัวใจเต้นแรง  ได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆจากอีกฝ่ายโชยมาจางๆ

            “ถอยออกไป”   กัดฟันพูดคำเดิม   นานจนเหมือนเป็นชั่วโมง  กว่าอีกคนจะยอมถอยหลังออกไปยืนที่หน้าประตูตามเดิม  ทว่าไม่ยอมละสายตาไปจากเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียว

            “คุณทำไข่เจียวหอมแดงหรอ?”   รดิศถามเรียบๆ

            “ใช่    ผมอยากกิน”  ติณธรตอบ   ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตนเองต้องขยายความต่อท้ายด้วย   อีกฝ่ายจะคิดว่าอย่างไรมันก็ไม่สำคัญกับเขาเลยสักนิด

            “ของโปรดผม ....สงสัยเราคงจะใจตรงกัน”  รอยยิ้มบางอย่างพาดผ่านในดวงตาคมกริบคู่นั้นคล้ายกับว่าเจ้าตัวกำลังสนุกไม่น้อยที่ได้เย้าเขาเล่นเช่นนี้

            “บังเอิญจริงๆที่เป็นของโปรดของคุณภาคย์ด้วย”   เตตอบ   คนฟังเลิกคิ้ว

            “ดูเหมือนว่าคุณภาคย์จะชอบทานอะไรหลายๆอย่างเหมือนผมเลยนะ”   รดิศพูด  กวาดสายตามองกับข้าวอีกหลายอย่างที่จัดใส่จานเอาไว้เรียบร้อย   คนฟังเม้มปาก   

            “ไม่แปลกอะไรนี่  ของอร่อยใครๆก็ต้องชอบ”

          “นั่นสิ  ยิ่งถ้าได้ชิมมาแล้ว ก็ยิ่งอยากลิ้มรสชาติของมันอีก ซ้ำๆ..”   ปากพูดถึงอาหาร แต่สายตากลับมองอ้อยอิ่งอยู่ที่ริมฝีปากของเขา   เจ้าของบ้านกำมือแน่น

            “บางคนชั่วชีวิตนี้ก็มีโอกาสได้กินของดีๆแค่หนเดียวเท่านั้น”

          “จริง...แบบนั้นมันยิ่งรู้สึกโหยหานะว่ามั้ย    เหมือนมันยังไม่พอไง”    คุณหมอหนุ่มตอบกลั้วหัวเราะ   ราวกับกำลังเบิกบานเหลือเกิน

          “แต่บางอย่าง กินหนเดียวก็แทบอ้วกแล้ว  แค่คิดถึงก็ขยะแขยง” 

            แววตาของคนฟังเข้มขึ้นจนคนพูดเริ่มกลัว   ตั้งเตก้าวถอยหลังไปอีกก้าว  ทำท่าจะเบี่ยงหลบไปข้างๆ  ติดที่อีกฝ่ายก้าวพราวเดียวเข้ามาประชิดตัวเขา   แขนล่ำสันยกขึ้นเท้ากับกำแพงกักตัวเขาเอาไว้ในวงแขนของอีกฝ่ายกลายๆ

“ขยะแขยงมากงั้นหรือ”  แขกผู้มาเยือนถามเสียงต่ำลึก    ใบหน้าทั้งสองอยู่ห่างกันเพียงชั่วลัดนิ้วมือ    เตกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัวเมื่อใบหน้าคมเข้มโน้มลงมาใกล้กว่าเดิม   หัวใจเต้นแรงอยู่ใต้ทรวงอก   อยากยกมือขึ้นดันตัวอีกฝ่ายออกไปแต่ร่างกายกลับไม่ขยับตาม  เขายืนนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น

            “เคยได้ยินโบราณว่าไว้ไหม  ว่าเกลียดอย่างไหนได้อย่างนั้น..” พี่ดิมกระซิบกับริมฝีปากที่เม้มแน่นของเขา   ใกล้เข้ามาอีกจนเขามองหน้าอีกฝ่ายไม่ชัดอีกต่อไป    ร่างสมส่วนเบียดเข้ามาชิดจนแทบไม่เหลือที่ว่างระหว่างกัน

            ติณธรเผลอหลับตาปี๋ 

            คุณหมอชะงักนิ่งไปอึดใจ  ก่อนที่จะเบี่ยงปลายจมูกโด่งนิดเดียวไปสัมผัสกับซีกแก้มของคนในวงแขนแผ่วเบา    เตรู้สึกถึงไรหนวดสากระคายอยู่ที่ริมหูพร้อมกับสัมผัสนุ่มอุ่นที่แนบลงมา   เสียงคุ้นเคยกระซิบข้างหูปนกับเสียงทอดถอนลมหายใจ

            “คิดถึง...”   คนฟังลืมตาขึ้นอย่างงุนงง   พูดจบรดิศก็ยกมือขึ้นปัดเส้นผมที่ลงมาปรกใบหน้าให้เขาอย่างอ่อนโยน   จากนั้นจึงถอยออกไปยืนห่างๆ   ยิ้มมุมปากนิดหนึ่งให้คนที่ยังยืนนิ่งงัน

            ....ไม่มีความดุดันก้าวร้าวใดๆอย่างที่เตคิดว่าจะได้รับเมื่อทำให้อีกฝ่ายโกรธเกรี้ยว   ไม่มีคำพูดเชือดเฉือนฟาดฟัน  มีเพียงการกระทำและประโยคบอกความรู้สึกในใจง่ายๆสั้นๆ...ประโยคที่ไม่สัมพันธ์กับบทสนทนาตั้งแต่ต้นเลยแม้แต่น้อย  แต่ให้ตายเถอะ....มันทำให้เขาใจสั่นเสียยิ่งกว่าถูกพี่ดิมบังคับรุนแรงเสียอีก

            “ผมจะรอกินไข่เจียวฝีมือคุณนะ”   คุณหมอหนุ่มพูด แล้วเดินออกจากห้องครัวไปอย่างรวดเร็วไร้เสียงพอๆกับขามา    เจ้าของบ้านใช้เวลาพักหนึ่งจึงจะนึกออกว่าตนเองควรจะตอบโต้กลับไปอย่างไร   ทว่าอีกฝ่ายก็เดินหนีไปเสียแล้ว

            รดิศกำมือแน่นขณะที่เดินผละจากมา   เตคงไม่รู้หรอกว่าเขาต้องใช้พลังใจเท่าไหร่ จึงจะสามารถอดกลั้นความต้องการที่แทบจะล้นออกมานอกอก   สะกดความเห็นแก่ตัวและความรู้สึกเบื้องต่ำลงไป   กลั่นออกมาเพียงประโยคแทนใจสั้นๆห้วนๆเท่านั้น   เขาอยากพูดมากกว่านี้   มีอะไรอีกหลายอย่างที่เขาอยากบอกผู้ชายคนนั้น   กับหลายวันที่ผ่านมาที่เราไม่ได้พบหน้ากัน   

            คิดถึงใจจะขาด...

            “คุณหมอ   หาห้องน้ำเจอไหมคะ”  เขาสะดุ้งเล็กน้อย   เมื่อเดินเลี้ยวมุมออกมาพบกับเจ้าของบ้านฝ่ายหญิงเข้า  เธอถามอย่างเป็นห่วง คงเห็นว่าเขาหายไปเข้าห้องน้ำนาน    แขกยิ้มรับ   ปรับสีหน้ารวดเร็วราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

            “เจอแล้วครับ   ขอบคุณมาก   คุณตังมีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ”   เปลี่ยนเรื่องแล้วก็ชวนคุยเรื่องอื่นไปเรื่อยๆตามสไตล์   เขาซักถามอาการของเธออย่างละเอียด  ลงมือตรวจร่างกายเล็กๆน้อยๆเท่าที่จะทำได้เป็นการฆ่าเวลาระหว่างรออาหาร 

            เสียงรถยนต์มาจอดอยู่หน้าบ้าน   ต่อให้ไม่ออกไปดู  เขาก็รู้ว่าใครมา

            “คุณภาคย์มาแล้วค่ะ  เดี๋ยวตังขอออกไปเปิดประตูก่อนนะคะ”   หญิงสาวพูด  ลุกขึ้นเดินออกไป  ชายหนุ่มมองตาม  อดนึกหงุดหงิดขึ้นมาไม่ได้เมื่อเห็นร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มอีกคนที่เป็นเจ้านายของเต   ถึงจะรู้อยู่ในใจว่าอีกฝ่ายเลือกที่จะยอมถอยให้เขาแล้วก็ตาม    เขาก็ยังไม่ไว้ใจอยู่ดี....

            ติณธรเดินออกมาจากห้องครัว  ยิ้มรับชายหนุ่มผู้มาใหม่  ท่าทางดีอกดีใจราวกับไม่ได้เจอกันมาแรมปี จนคนที่แอบมองอยู่ห่างๆเกือบจะเบ้ปาก   ปลายนิ้วเรียวยาวยกขึ้นเคาะโต๊ะกระจกเป็นจังหวะ  แบบที่เขาชอบทำเวลาที่รู้สึกขัดใจ

            ภาคย์หันมามองเขา  ทำท่าเหมือนเพิ่งเห็น....หึ

            “คุณหมอดิม สวัสดีครับ   ยินดีที่ได้พบคุณอีก”

          “ยินดีเช่นกันครับ”  พูดตอบตามมารยาทแบบถูกต้องตามหนังสือสมบัติผู้ดีแล้ว ต่างคนต่างก็ฉีกยิ้มกว้างให้แบบจริงใจที่สุด(เท่าที่จะกัดฟันทำไหว)   

            ดาวประดับรับรู้ถึงบรรยากาศอึมครึมบางอย่างระหว่างผู้ชายสองคนนี้   แทบทุกครั้งที่ทั้งสองคนเผชิญหน้ากัน   เป็นต้องเกิดบรรยากาศชวนอึดอัดแบบนี้ขึ้นทุกที   เหลือบมองไปที่คนกลางที่ยังคาดผ้ากันเปื้อนยืนอยู่ข้างคุณภาคย์แล้วก็อยากถอนหายใจยาว 

            บางทีเธอก็อดรู้สึกหนักใจแทนพี่เตไม่ได้

            ความรักและความหึงหวงฉันท์คนรักไม่หลงเหลืออยู่อีกแล้ว  สายใยแห่งความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับพี่เตได้ค่อยๆแปรเปลี่ยนไปกลายเป็นความรักแบบน้องสาวที่มีต่อพี่ชายคนสนิทเพียงคนเดียวอย่างที่ควรจะเป็น   ด้วยฝีมือของเธอเอง   ถึงแรกๆจะตัดใจยากหน่อย  ทว่าวันนี้เธอกลับรู้สึกว่าหัวใจของเธอสงบลงมากแล้ว 

            พี่เตคือพี่ชายของเธอ....เขาเสียสละให้เธอมากเกินพอแล้วสำหรับชั่วชีวิตนี้

          “เหลืออะไรอีกบ้างคะพี่เต  ให้ตังเข้าไปช่วยดีกว่า  ตังเป็นคนอยากเลี้ยงแท้ๆกลับให้พี่เตหัวหมุนอยู่คนเดียวเลย  แย่จริงๆ”  เธอพูด

            “หยุดเลยตัง  เธอไปนั่งพักเถอะ   หน้าเริ่มซีดแล้วเนี่ย   เอ่อ...คุณภาคย์ฮะ  ผมขอฝากดูข้าวตังสักครู่นะครับ  ขอเข้าไปจัดการในครัวต่ออีกนิดหน่อย”   เขาทำเหมือนแขกอีกคนเป็นอากาศธาตุ   ภาคย์พยักหน้ารับ ขณะที่คนโดนเมินพูดขึ้นบ้าง

            “งั้นขอฝากคนไข้ผมด้วยนะครับ  ผมจะเข้าไปช่วยคุณเตจัดจานเอง  จะได้เสร็จไวๆ”    คนชื่อเตพูดไม่ออก   มองอีกฝ่ายเดินเข้าไปครัว  ยกจานอาหารที่จัดเสร็จแล้วออกมาวางเรียงเอาไว้  ท่าทางคุ้นเคยราวกับเป็นเจ้าของบ้านเสียเอง

            แว่วเสียงหัวเราะขลุกขลักดังออกมากจากในลำคอของใครบางคน   นักเขียนหนุ่มเม้มปากแน่นจนเกือบเป็นเส้นตรง   เขาอยากกระแทกเท้าแรงๆระบายอารมณ์ แต่สู้อดกลั้นเอาไว้   เสียงเจ้าลูกชายตัวดีวิ่งลงบันไดลงมาทักทายคุณลุงภาคย์ดังลั่น

            อาหารมื้อนั้นผ่านไปอย่างอึดอัดในความรู้สึกของเจ้าของบ้านฝ่ายชาย  เขานั่งติดกับคุณหมอหนุ่มอย่างจำใจ   เผลอเกร็งตัวทุกครั้งที่ท่อนแขนแข็งแรงขยับมาชนโดยไม่ตั้งใจ 

            คนที่ควบคุมการสนทนาบนโต๊ะคือหญิงสาวหนึ่งเดียว   เธอกลับมาเป็นข้าวตังที่สดใสอีกครั้งโดยเฉพาะในระยะหลังๆมานี้   เขาสังเกตเห็นว่าเธอยิ้มง่ายขึ้น  หัวเราะง่ายขึ้น   แววตาของเธอดูมีความหวังบางอย่าง....อย่างที่เขาไม่ได้เห็นมานานหลายปีแล้ว 

            รวมถึงสายตาของเธอเวลาที่มองมายังเขา  มันไม่มีแววเจ็บปวดแฝงอยู่อีกต่อไป....

            “ตังไปได้ไหมคะคุณหมอ   ตังสัญญาว่าจะดูแลตัวเองอย่างดีเลย  นะคะ”   เสียงหวานใสถามย้ำเรื่องไปเที่ยวกับแพทย์เจ้าของไข้   เตตื่นจากภวังค์ หันไปมองรดิศงงๆ  สบตากันชั่วครู่อีกฝ่ายก็เมินหลบไปอย่างสงบ

            “ผมว่ารอก่อนดีกว่า   อย่าเพิ่งไปไหนไกลๆเลยครับ  พักผ่อนให้ร่างกายฟื้นเต็มที่ก่อน”   นายแพทย์พูด

            “แต่ตังก็หายจนเกือบเป็นปกติแล้วไม่ใช่หรือคะ  เมื่อกี้คุณหมอยังบอกตังเองเลยว่าตังฟื้นตัวเร็วดีมาก  แล้วนี่อีกตั้งสามอาทิตย์  ตอนนั้นตังก็แข็งแรงกว่านี้เสียอีก”   เธออ้าง

            “ผมบอกว่าคุณฟื้นตัวเร็วก็จริง  แต่ไม่ได้บอกว่าคุณหายสนิทเป็นปลิดทิ้งนี่ฮะ   เชื่อผมเถอะ  อย่าเพิ่งไปเลย”   คราวนี้สายตาคมเข้มเหลือบมองมาทาง ‘สามี’ ของผู้ป่วยเป็นเชิงขอความช่วยเหลือ

            “ผมจะดูแลเธออย่างดีที่สุดเองครับ   อนุญาตให้เธอไปเถอะ   เธอไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนมานานแล้ว  นับตั้งแต่....”  ประโยคสุดท้ายหายไปในลำคอคล้ายคนพูดเกิดความสะเทือนใจขึ้นมาอย่างฉับพลัน 

            แววตาของหญิงสาวเกิดละอองไอขึ้นมาเป็นฝ้าแวบหนึ่งแล้วก็เลือนหายไป    ...บางเหตุการณ์ก็กลายเป็นหนามแหลมเสียดแทงอยู่ในใจทุกครั้งที่นึกถึง  แม้จะคิดว่าตนเองสามารถทำใจได้แล้วก็ตาม   มันเป็นความผิดพลาดในชีวิตที่ไม่อยากจดจำ  ทว่าไม่อาจลืม

            “ถ้าอย่างนั้นคุณหมอไปด้วยกันเสียเลย  ดีไหมครับ   จะได้ดูแลคุณตังด้วย  และก็ถือโอกาสนี้พักผ่อนเสียหน่อย”   ภาคย์พูดขึ้นมาท่ามกลางความแปลกใจของทุกคน    คุณหมอหันไปสบตาคนพูดแวบหนึ่ง  ความนัยบางอย่างที่ส่งมาทำให้ดิมเผลอขมวดคิ้ว   แล้วก็คลายออก

            “ผมยืนยันคำเดิมว่าผมยังไม่อยากให้คุณไปไหนไกลๆ  ส่วนเรื่องที่ชวนผม   ผมต้องกลับไปเช็คตารางงานของผมก่อนเลยยังตอบคุณไม่ได้  ขอโทษด้วยนะครับ”

          เป็นอันว่าจบหัวข้อนี้ไปโดยปริยาย     หลังจากนั้นนักเขียนหนุ่มก็ไม่ค่อยได้ฟังเท่าไหร่ว่าใครพูดอะไรบ้าง   เขาตักข้าวเข้าปากอย่างแกนๆ  ทั้งที่เป็นเมนูโปรด    ความอยากอาหารมันหายไปเสียดื้อๆ

            รับประทานอาหารเสร็จแขกทั้งสองคนก็ช่วยเขาลำเลียงจานกลับเข้าไปในครัว   เจ้าของบ้านปฏิเสธอย่างแข็งแรงว่าไม่ยอมให้แขกล้างจานให้  ทำให้ชายหนุ่มทั้งสองคนต้องล่าถอยกลับไปยังห้องรับแขกแทน   สักพักเตก็กลับออกมาจากห้องครัว   เขาพบว่าในห้องรับแขกเหลือน้องสาวนั่งเอนหลังอยู่คนเดียว

            “อ้าว  คุณภาคย์กับคุณหมอไปไหนแล้วละตัง”   เขาถามงงๆ  หญิงสาวพยักพเยิดออกไปด้านนอกบ้านแทน  เขาชะเง้อมองผ่านหน้าต่างก็เห็นร่างของชายหนุ่มสองกับเด็กอีกหนึ่งกำลังเตะลูกบอลกันอย่างสนุกสนาน   

            “เล่นกันสนุกเลยค่ะ  ไม่ยักรู้ว่าคุณหมอก็เตะบอลเก่ง”

          “เค้าเคยเป็นนักกีฬาฟุตบอลของคณะฯมาก่อนน่ะ”  ตั้งเตเผลอตอบออกไป  ก่อนจะนึกขึ้นได้   เหลือบมองหน้าคนฟังก็เห็นคนฟังมีสีหน้าเฉยๆ  ไม่ได้แปลกใจอะไร

            “ตังก็ว่าแล้วเชียว   เล่นเก่ง   คุณภาคย์ก็ไม่เบานะคะ   ท่าทางคล่องแคล่วทีเดียว”  หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “พี่เตออกไปเล่นด้วยสิคะ  ไม่ต้องห่วงตังหรอก  ตังนั่งๆนอนๆอยู่ตรงนี้แหละ”

          ชายหนุ่มส่ายศีรษะ พูดแกมหัวเราะ

            “ไม่ล่ะ  ตังก็รู้ว่าพี่เล่นไม่เป็น  ขืนออกไปร่วมสนามด้วยมีหวังได้กลายเป็นลูกบอลให้สามคนนั้นเตะแน่  ฮ่าๆ”   คนฟังยิ้ม  ปรารภต่อ

          “คนเราก็แปลกดีนะคะ  ลูกบอลลูกเดียว...แย่งกันอยู่ได้”

          “เอ้าเธอ  ก็มันเป็นกีฬา  เล่นสนุกๆไง”  เตพูด  ก้มลงช่วยห่มผ้าคลุมให้น้องสาว   พลางหันไปปลอกแอปเปิ้ลให้อย่างเอาใจ

          “ค่ะ ตังรู้   แต่เห็นแล้วตังก็อดคิดไม่ได้เวลาดูบอลทีไร  อยากซื้อลูกบอลแจกให้เสียเลยคนละลูก”

          “ถ้าทุกคนมี  ก็ไม่ต้องแย่งกันอีก  มันก็ไม่สนุกสิตัง”

            “จริงค่ะ  แย่งกันไปแย่งกันมา... บางทีถ้าลูกบอลพูดได้   มันอาจจะอยากบอกก็ได้นะคะ  ว่าอยากเลือกไปอยู่ที่ตรงไหนของสนาม”   

            ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ   ยกมือขึ้นลูบศีรษะน้องสาวเบาๆ  เขาจัดการเก็บของจนเรียบร้อยจึงค่อยเดินออกมาสมทบกับสามหนุ่มด้านนอกบ้าน   ภาคย์ส่งบอลมาให้เขา   ลูกบอลกลิ้งมาหยุดอยู่ที่ปลายเท้า

            นักเขียนหนุ่มก้มลงหยิบขึ้นมาถือเอาไว้ในมือ

            “มาเล่นด้วยกันสิคุณเต  เตะมาเลย”  เจ้านายของเขาพูด  กวักมือเรียก   ขณะที่คุณหมอเดินตรงเข้ามาหาเขา 

            “ถ้าไม่เล่นก็อยู่เชียร์ข้างสนามก็ได้....เหมือนที่เคยไง”  ผู้ชายหน้าเข้มพูด  ยิ้มนิดๆมุมปาก  รับลูกบอลไปจากมือของเขา   มือต่อมือสัมผัสกันแวบหนึ่ง   กระแสอุ่นวาบกระทบจนเกือบเผลอชักมือออก

            ....เหมือนเคยงั้นหรือ....นานแค่ไหนแล้วหนอที่เขาเคยหาโอกาสทำทีไปเดินรอบสนามฟุตบอลของมหาวิทยาลัยตอนเย็นเพื่อมองหาใครคนหนึ่ง   คนที่เขารู้ว่าจะต้องมาซ้อมเตะทุกวันที่นี่   เพียงเห็นร่างคล้ำสมส่วนในชุดนักกีฬา   เห็นรอยยิ้มกว้างจนลักยิ้มบุ๋มลึกข้างแก้ม....ดวงตาคมเข้มแพรวพราวหวานราวกับจะหยดยามที่เราสบตากันริมสนามคล้ายไม่ตั้งใจ 

แค่นั้นก็ทำเอาตัวลอยๆเบาๆ  หาทางกลับบ้านแทบจะไม่ถูกแล้ว

ภาพนักกีฬาคณะฯในความทรงจำทับซ้อนขึ้นมากับภาพผู้ชายหน้าคมเคร่งในปัจจุบัน  สิ่งที่แตกต่างออกไปเห็นจะมีเพียงริ้วรอยระหว่างวัยและช่วงลำตัวที่หนาขึ้นเท่านั้น....อ้อ   และความรู้สึกของเราด้วย

หยดน้ำตาคลอขึ้นมาแวบหนึ่ง   เตรีบกระพริบไล่ความพร่ามัวออกไปอย่างรวดเร็ว   เขาไม่อยากให้ใครคนนั้นรู้ว่าเขายังคงคิดถึงช่วงเวลาในอดีตเหล่านั้นอยู่เช่นกัน

เต้วิ่งเข้ามาหาเขา  พูดปนหอบ

“คุณพ่อครับ  เต้ขอกินโค้กได้มั้ย  วันนี้เต้ออกกำลังแล้วนะ  ลุงหมอบอกว่าเต้กินได้”   ลูกชายรีบพูด  เอาชื่อคุณลุงหมอมาอ้างเพราะรู้ดีว่าน้ำอัดลมเป็นต้องห้ามสำหรับบ้านนี้    บิดาขมวดคิ้ว

“บ้านเราไม่มีโค้กแล้วเต้  พ่อทิ้งไปหมดแล้ว”  เต้มีสีหน้าเจ็บปวดเมื่อได้ยินเข้า

“งั้นเดี๋ยวลุงภาคย์พาไปซื้อหน้าปากซอย  ดีไหมครับ”  ภาคย์ที่สิ่งเข้ามาร่วมวงด้วยเสนอ   เด็กชายยิ้มกว้าง  ทำเอาคนเป็นพ่อปฏิเสธไม่ออก  ได้แต่พูดตามหลังเสียงอ่อยว่าอย่ากินเยอะนะ   มองชายหนุ่มร่างสูงโปร่งจูงมือพาเด็กน้อยเดินออกจากบ้านไปปากซอย

แว่วเสียงหัวเราะในลำคอแผ่วเบา จากอีกคนที่ยังยืนอยู่ใกล้ๆ   เตเหลือบมองทางหางตา  เห็นแขกที่เหลือกำลังยืนมองนกที่เกาะอยู่บนกิ่งมะม่วงใกล้ๆรางกับเพลิดเพลินเสียเต็มประดา

“หัวเราะอะไร”  เจ้าของบ้านถาม

“เห็นนกมันทำหน้าบูดบึ้งตลกดี  ก็เลยหัวเราะ ...ถามกลับบ้างนะ  ร้องไห้ทำไม?”  โดนถามกลับแบบไม่ทันตั้งตัว  นักเขียนหนุ่มชะงักหันไปมองหน้าคนถามขวับ

“ใครร้อง  ไม่ได้ร้อง”

“แล้วที่ยืนน้ำตาคลอเมื่อกี้คืออะไร”  รู้สึกใบหน้าเห่อร้อนขึ้นมาดื้อๆ  แปลว่าทุกอิริยาบถของเขาไม่อาจรอดพ้นสายตาคมไวของอีกฝ่ายไปได้เลยสินะ

“ฝุ่นมันเข้าตา”   ตอบกลับไปห้วนๆ  ยกมือขึ้นขยี้ตาแรงๆให้ดูเป็นการยืนยันอีกรอบ 

“อ้อ..”   รดิศรับคำ น้ำเสียงไม่มีความเชื่อถืออยู่เลยแม้แต่น้อย   “กลับมาเรื่องที่จะไปเที่ยวก่อนนะ  ผมยังไม่อยากให้ไปเที่ยวไหนไกลๆนะ  โดยเฉพาะเกาะไกลๆที่ไม่มีสถานพยาบาลใหญ่แบบเกาะ....ที่พวกคุณจะไปด้วย”   นายแพทย์หนุ่มเปลี่ยนเรื่อง    คนฟังเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว

“ไม่ใช่ว่าผมไม่ได้คิดเรื่องนี้นะ   ผมก็เป็นห่วงภรรยาของผมอยู่แล้ว   แต่การฟื้นตัวนอกจากทางร่างกายแล้ว ทางจิตใจก็สำคัญไม่แพ้กัน  ผมอยากให้เธอได้พักจริงๆบ้าง  ไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาพ้นจากบรรยากาศเก่าๆ...”

“ใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายอยากไปจริงๆ  เพราะเหตุผลนั่น...คุณหรือว่าคุณตังกันแน่”  รดิศถาม  คนฟังชะงัก  เม้มปากแน่น   เขาจึงพูดต่อ  “ถ้าคุณไม่ยอมตอบ ก็...”  ยักไหล่ด้วยท่าทางคล้ายจะบอกว่า ช่วยไม่ได้ “แต่ผมจะบอกเหตุผลของผม  ที่ผมไม่อยากให้คุณไป...”

นายแพทย์หนุ่มก้าวเข้ามาใกล้มากขึ้น   

“เพราะผมเป็นห่วงคุณ....สารภาพตามตรงว่าห่วงคุณมากกว่าห่วงคนไข้ของผมเสียอีก...เต   คุณเป็นยังไงบ้าง   ยังปวดท้องอยู่มั้ย    เห็นกินข้าวนิดเดียวเอง  ผอมลงไปหรือเปล่า?”  ดิมเอื้อมมือมาเหมือนจะจับตัวอีกฝ่าย  หากแต่ยั้งเอาไว้ 

สายตาที่มองมาแฝงด้วยความห่วงใยเต็มเปี่ยมจนคนถูกมองรับไม่ไหว   เตเบือนหน้าหนี   ตอบเสียงอู้อี้ขึ้นจมูก

          “ผมสบายดีแล้ว   คุณไม่ต้องมาห่วงผม”  เขาย้ำประโยคเดิมเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็คร้านจะจำ    สีหน้าของอีกฝ่ายทำให้เตมั่นใจว่าอีกฝ่ายยังคงคิดว่าเขาป่วยเป็นโรคร้ายอยู่   และแน่นอนว่า พี่ดิมกำลังโทษตัวเองว่าเป็นสาเหตุของส่วนหนึ่งด้วย  ที่ทำให้อาการของเขาทรุด

          เงียบกันไปทั้งคู่   เสียกนกน้อยร้องจิ้บๆอยู่ไม่ไกล....ไม่ได้ช่วยให้บรรยากาศขุ่นข้นดีขึ้นเลยสักนิด

            “เต   พี่ขอร้อง   อย่าทำแบบนี้เลยนะ  ถึงนายจะไม่ยอมให้พี่ยุ่งด้วย  แต่พี่ขอให้นายดูแลตัวเองบ้าง   พี่รู้มาจากพี่ส้มว่านายไม่ยอมไปหาหมอตามนัดมาสองครั้งแล้ว   ทำไมล่ะ”   เขากลับไปใช้สรรพนามเดิมที่เคยชิน  ใบหน้าเรียวหวานของคนที่เขาหลงรัก   ต่อให้ต้องผจญกับความเจ็บปวดมากมายแค่ไหน   ก็บอกตัวเองว่าไม่ยอมตัดใจนั้น  ซูบเซียวลงอีก   ช่วงตัวบางซ่อนอยู่ใต้เสื้อยืดเนื้อนิ่ม ยิ่งส่งให้รูปร่างดูผอมกว่าความเป็นจริง 

 

..............................

 

            ‘ดิม   พี่มีเรื่องจะฟ้อง   คนไข้พี่ไม่ยอมมาตรวจตามนัดเลยกัน   ดิมก็รู้ว่าโรคนี้ยิ่งรักษาเร็วเท่าไหร่  ยิ่งดีเท่านั้น’   เสียงพี่ส้มดังขึ้นในความเงียบ  ตามด้วยแสงไฟในห้องทำงานของเขาถูกกดเปิดสว่างจ้า 

          ‘นั่งอยู่ทำไมมืดๆ ฮึ ดิม  ตายแล้ว   นี่ได้นอนบ้างมั้ยเนี่ย ถามจริง’    เขายกมือขึ้นลูบใบหน้าอย่างอ่อนล้า

          ‘ได้สิเจ้  ก็ผมกำลังนอนอยู่เนี่ย  เจ้ก็เปิดประตูพรวดเข้ามา’

          ‘จ้า  เชื่อจ้า  อีกหน่อยคงย้ายไปอยู่กับช่วงช่วงหลินฮุ่ยได้แล้วล่ะ   กลับมาเรื่องคนไข้พี่ก่อน   ดื้อเหลือเกิน  นัดก็ไม่ยอมมาตรวจ  ทีภรรยาตัวเองล่ะพามาพบหมอซะดีเชียว   เธอไปล็อคตัวพามาพบพี่เลยได้ไหม’

          ‘จะไปได้อย่างไรเล่าเจ้ส้ม  เขาบอกปาวๆว่าไม่อยากให้ผมยุ่งเกี่ยวอะไรกับเรื่องของเค้าอีก’

          ‘แล้วเธอทำได้เสียที่ไหนล่ะ  ไหนดูซิ  นี่อะไร   กำลังค้นอะไรอยู่.....’  เธอหยิบกองกระดาษที่เขาวางสุมๆเอาไว้ข้างโน๊คบุ๊คขึ้นมาอ่าน   ชายหนุ่มไม่มีแรงจะขยับตัวไปแย่งคืนมา  จึงปล่อยให้เธอสำรวจดูตามสบาย

          ‘มีแต่เรื่องมะเร็งทั้งนั้น  ดิม...พี่ว่าเธอเข้าไปคุยกับเตให้รู้เรื่องเลยดีกว่า  หรือให้พี่ไปคุยให้   เตจะได้รู้ไงว่ามีใครห่วงเขาจะเป็นจะตายขนาดนี้’   พี่ส้มสะบัดเสียง 

          เธอทิ้งตัวลงนั่งตรงข้ามเขา   จ้องมองเขาเงียบๆครู่หนึ่ง  ก็ยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลมาให้

          ‘ผลชิ้นเนื้อของเต....ผลการตรวจ   ประวัติการรักษาทุกอย่าง....ที่ตอนแรกพี่ไม่ยอมให้เธอไปเพราะว่าเตขอเอาไว้   แต่ตอนนี้พี่กลัวว่าจะมีคนตายเสียก่อน  ก็เลยเอามาให้’  หญิงสาวพูดจบก็ลุกขึ้นเดินจากไป

          ชายหนุ่มเหลือบมองซองกระดาษบนโต๊ะกระจกตรงหน้านิ่งนาน   จริงอยู่ว่านั่นคือสิ่งที่เขาอยากได้ที่สุด  เพื่อที่จะได้ช่วยเหลือตั้งเตได้อย่างตรงจุดกว่าเดิม   แต่ถ้าความจริงที่อยู่ในนั้น....มันเลวร้ายเกินกว่าที่เขาคาดคิดเอาไว้ล่ะ   เขาจะทำอย่างไร....

          รดิศปวดหนึบที่หัวใจ....ถ้าเลือกได้....ถ้าเปลี่ยนเป็นเขาแทน...จะได้ไหม?


…………………………..


มาอัพต่อนะคะ  คิดถึงเรื่องนี้กันมั้ยค้าาา
เรื่องราวกำลังยุ่งเหยิง  บางทีความรู้สึกของคนเรามันก็ซับซ้อน  เข้าใจยากแบบนี้ล่ะค่ะ 
ฝากเรื่องนี้เอาไว้หน่อยนะคะ
ใครเล่นทวิต #ดิมเต
เจอกันตอนหน้านะคะ
อย่าลืมเม้นท์โหวตเป็นกำลังใจให้คนเขียนด้วยนะคะ
Melenalike

ออฟไลน์ onlyplease

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
 เคยทำให้เจ็บปวด ใครจะอยากกลับไป เปลี่ยนพระเอกมั้ย55555 :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
มาเม้นท์เป็นกำลังใจให้นักเขียนก่อนค่ะ เรื่องนี้เราคงรอให้จบก่อนแล้วค่อยอ่านทีเดียวเลยดีกว่า

ออฟไลน์ mareya.no7

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ต่างคนต่างเดินเถอะ ถ้ามันลำบากขนาดนี้ เอาจริงเราเริ่มรำคาญนายเอกมาสักพัก ไม่รักตัวเองแถมยังรั้น คงรออ่านบทสรุปเลย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด