*^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61  (อ่าน 96053 ครั้ง)

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
เพราะหัวใจบอกว่า...กลัว

 

 

 

 

         

            “ระวัง!!!”

          เขาตะโกนออกไปสุดเสียง  แต่ไม่ทัน รถยนต์คันนั้นกระแทกร่างของพี่ดิมอย่างแรงจนลอยหวือขึ้นทั้งตัว  แล้วตกลงมากระแทกเข้ากับกระจกหน้ารถ ก่อนจะกลิ้งลงมากองกับพื้น

            รถยนต์คันหลังเบรกกันเป็นแถว  มีเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจจากผู้ที่เห็นเหตุการณ์รอบด้าน  หลายคนยกมือขึ้นปิดปากอย่างลืมตัว เช่นเดียวกับเขา

            ขาแข็งจนแทบก้าวไม่ออก  เขายืนมองร่างของชายหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายที่นอนอยู่กลางถนน  เลือดไหลออกมามากมายเสียจนเสื้อนักศึกษาสีขาวกลายเป็นสีแดงชุ่มโชก  หัวใจของเขาเต้นรัวเร็วอยู่ในอก  รู้สึกหน้ามืดเหมือนจะเป็นลม  แต่ก็แข็งใจเดินตรงเข้าไปหา  ทรุดตัวลงนั่งที่พื้นถนนขรุขระ เอื้อมมือไปเขย่าตัวร่างนั้นเบาๆ

            “พี่ดิม ...”  เขาพูดไม่ออก  มือสั่น

            ใบหน้าคมเข้มซีดเผือด  ค่อยๆหันกลับมามองเขาช้าๆ  เลือดสีแดงสดไหลลงมาตามขมับจนเปื้อนหลังมือของเขาที่ประคองใบหน้าของฝ่ายนั้นอยู่  ริมฝีปากแห้งผากพูดเสียงเบาจนเขาต้องเงี่ยหูฟังจนชิด

          “....................”  เสียงกระซิบแผ่วเบาจนเขาไม่ได้ยิน   ตอนนี้น้ำตาเริ่มจะเอ่อท้นขึ้นมา ทำให้ใบหน้าของคนเจ็บพร่ามัว

            “พี่พูดว่าอะไร.... ใครก็ได้  ช่วยด้วย  ช่วยพี่ดิมที  ช่วยพี่ดิมด้วย”

          เขาหันไปร้องตะโกนบอกรอบด้าน  น่าแปลกที่กลับไม่พบใครเลย  ทั้งที่เมื่อสักครู่นี้มีคนอยู่เต็มถนนแท้ๆ  ทว่าตอนนี้กลับเหลือเพียงแค่เขากับพี่ดิมที่นอนจมกองเลือดอยู่เพียงแค่สองคน

            “ช่วยด้วย   ช่วยพวกเราด้วย  ขอร้องล่ะ  ช่วยพี่ดิมที  ฮือ…”  ก้อนสะอื้นแล่นมาจุกอยู่ที่คอ  พร้อมกับน้ำตาที่พรั่งพรูออกมา  เขาตะโกนซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเสียงแหบแห้ง  แต่ก็ไม่มีใครมาช่วย

ถนนทั้งสายโล่งและว่างเปล่า

พี่ดิมหอบหายใจหนักๆหลายครั้ง  เลือดจำนวนมากทะลักออกมาจากบาดแผลบริเวณท้องและที่ศีรษะ  ไหลอาบพื้นถนนและกางเกงของเขาที่คุกเข่าอยู่ข้างๆจนกลายเป็นสีแดงฉาน  ในความเงียบได้ยินเพียงเสียงหอบหายใจและเสียงสะอื้นของตัวเองเท่านั้น

เขาจับมือที่เย็นชืดของคนเจ็บขึ้นมาแนบแก้ม

            “พี่ดิมทำใจดีๆเอาไว้   พี่ต้องไม่เป็นอะไรนะ  ถ้าพี่เป็นอะไรไป  ผม..คงทนอยู่ไม่ไหว”  เขาพูดละล่ำละลัก  แต่อีกฝ่ายไม่ตอบ   เลือดยังคงไหลเนืองนองออกมาราวกับเขื่อนแตก  เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากเอามืออุดกั้นที่บาดแผลเอาไว้อย่างนั้น   ท่าทางคนเจ็บเหมือนต้องการจะพูดอะไรกับเขาสักอย่าง  ที่เขาไม่ได้ยิน

            “พี่อย่าเพิ่งพูดอะไร  รอก่อนนะ  รออยู่ที่นี่ก่อน ผมจะไปตามหมอ”  เขาตัดสินใจเด็ดขาด  ปล่อยมือข้างนั้นลงวางแนบลำตัวของคนเจ็บ  แล้วลุกขึ้นยืน

            ถ้าขืนยังเอาแต่นั่งรอความช่วยเหลืออยู่แบบนี้ ก็ไม่ต่างกับการนั่งรอความตาย  ในเมื่อไม่มีใครมาช่วย  เขาก็จะออกไปหาความช่วยเหลือเอง  คงจะมีโรงพยาบาลหรือใครสักคนที่จะช่วยเขาได้

            คิดได้ดังนั้น เขาก็รีบออกวิ่งไปตามถนนที่โล่งไร้ผู้คน   เพิ่งรู้ตัวว่าตนเองไม่ได้ใส่รองเท้า  พื้นถนนที่ขรุขระบาดฝ่าเท้าของเขาทุกย่างก้าว  แต่เขาแทบไม่รู้สึกเจ็บ  เพราะใจมัวแต่พะวงถึงใครอีกคนที่นอนรอความช่วยเหลืออยู่เบื้องหลัง

            วิ่งเท้าเปล่ามาจนถึงตึกสี่เหลี่ยมคุ้นตา  จำได้ทันทีว่าคือตึกเรียนของเขาเองตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย  ไม่รอช้ารีบวิ่งตรงขึ้นไปบนตึก  ผ่านระเบียงที่พี่ดิมชอบมานั่งรอรับเขาตอนเย็นหลังเลิกเรียนเป็นประจำ

            “ช่วยด้วยครับ  มีใครอยู่บ้างไหม  มีคนเจ็บ  ช่วยด้วย”   

            ข้างบนตึกเงียบสงัด   โต๊ะเรียนและห้องเลคเชอร์ว่างเปล่า  ไม่มีเสียงพูดคุยอย่างเคย   เกิดอะไรขึ้น  หายไปไหนกันหมด...เขาวิ่งลงมาจากตึกเรียน  ข้างนอกนั่นกลับเป็นสวนสาธารณะที่เขาชอบมาวิ่งออกกำลังกายเป็นประจำ  มองไปเห็นร่างของผู้ชายคนหนึ่งกำลังวิ่งเหยาะๆอยู่ไกลๆ

            เขาเร่งฝีเท้ามากขึ้นเพื่อจะได้ตามหลังผู้ชายคนนั้นได้ทัน  ทว่ายิ่งเร่งฝีเท้ามากขึ้นเท่าไหร่  ร่างนั้นกลับยิ่งไกลห่างไปมากกว่าเดิมเท่านั้น

            “คุณครับ  เดี๋ยวสิ  รอก่อน  ช่วยผมด้วย”  ตะโกนเรียกหลายครั้ง แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมหันกลับมา   ได้แต่ออกแรงวิ่งไปเรื่อยๆจนจำไม่ได้ว่ามันผ่านมานานแค่ไหนแล้ว   ราวกับว่าทางมันทอดยาวออกไปไม่มีที่สิ้นสุด  เหมือนกับเขากำลังวิ่งเป็นวงกลมอยู่โดยไม่พบทางออก

            แต่จะหยุดวิ่งก็ไม่ได้ เพราะทางรอดเดียวของเขาก็คือผู้ชายที่เห็นหลังไวๆข้างหน้าคนนั้น  เขารู้ว่าอีกฝ่ายจะช่วยพี่ดิมได้  เขามั่นใจ...เหงื่อไหลซึมลงมาเข้าตา ปนกับหยาดน้ำตา  ได้ยินแต่เสียงหายใจของตัวเองกับเสียงฝีเท้าที่กระทบพื้น  หัวใจเต้นแรง   เขาเหนื่อยจนแทบขาดใจ

            เหนื่อย...เหนื่อยเหลือเกิน  ทำไมวิ่งตามเท่าไหร่ก็ไม่ถึงสักที 

            “คุณ   หยุดก่อน  รอผมด้วย”  ร้องบอกอีกครั้ง  เหมือนเดิม ฝ่ายนั้นไม่ยอมหยุดรอ  เป็นเขาที่เหนื่อยจนก้าวต่อไปไม่ไหวแล้ว  จำต้องหยุดยืนอยู่กับที่เพื่อหอบหายใจ

            เพิ่งสังเกตว่าตนเองวิ่งออกมาจากสวนสาธารณะตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้  มาหยุดยืนอยู่กลางสี่แยก ที่พี่ดิมถูกรถชน  ทว่าตอนนี้กลับไม่มีร่างของคนเจ็บนอนรอความช่วยเหลืออยู่อย่างที่ควรจะเป็น

            พี่ดิมหายไปไหน

            “พี่ดิม   พี่ดิมอยู่ที่ไหน  ตอบเตหน่อย”

            เขาตะโกนจนเสียงแห้ง  แต่ไม่มีเสียงตอบรับมาจากที่ไหนบนถนนโล่งๆ  ออกแรงวิ่งอีกครั้ง เพื่อค้นหา

             ...หาเท่าไหร่ก็หาไม่พบ   คล้ายกับว่าอีกฝ่ายได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย  แม้แต่คราบเลือดบนพื้นถนนก็ยังหายไปด้วย   หรือว่าเขาจะตาฝาด  ไม่มีทาง เพราะคราบเลือดที่ฝ่ามือของเขายังติดแน่นอยู่เต็มฝ่ามือทั้งสองข้าง  บ่งบอกว่าเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นจริง

“พี่ดิม  ผมขอโทษ  พี่กลับมาเถอะ”

หัวใจเต้นเร็วแรงเริ่มอ่อนช้าลงตามเวลาที่ผ่านไป   เช่นเดียวกับฝีเท้าที่ผ่อนลงจนหยุดนิ่งอยู่กับที่

            สุดท้ายก็เหลือเขาเพียงคนเดียวอีกแล้ว  เหมือนที่เคยเป็นมา และจะเป็นต่อไป  สุดท้ายก็ไม่เหลือใคร  พี่ดิมจากไปแล้ว  ไม่รู้เหมือนกันว่าไปที่ไหน  ไม่รู้ว่าจะไปตามได้จากที่ไหน  รู้แต่ว่าคงจะไม่มีวันได้เจอกันอีก ความรู้สึกข้างในลึกๆมันบอกอย่างนั้น   เหตุการณ์เมื่อครู่นี้คือการพบกันครั้งสุดท้ายของเราสองคน

....แว่วเสียงสะอื้นดังออกมาจากซอกลึกที่สุดของหัวใจ

มันดังก้องสะท้อนกลับไปกลับมาจนเข้าหูตัวเอง

ชายหนุ่มสะดุ้งตื่น ลุกขึ้นมานั่งหอบหายใจบนที่นอน  น้ำตายังคงไหลรินเป็นสายอาบแก้ม  ใจสั่นไหววูบอย่างรุนแรงจนต้องยกมือขึ้นกดหน้าอกของตัวเองเอาไว้   เหงื่อไหลชุ่มเนื้อตัว....นี่มันอะไรกัน  เมื่อกี้เราฝันไปหรอกหรือ 

ภาพชายหนุ่มที่นอนบนพื้น ร่างอาบเลือดไม่กระดุกกระดิกยังคงติดตา   มันเป็นความทรงจำที่เลวร้ายที่สุดที่เขาพยายามจะลืม  แต่มันก็ไม่เคยลืมได้สำเร็จสักที  และกลายเป็นฝันร้ายทุกครั้งที่เขาเผลอหลับไปเองโดยไม่พึ่งยานอนหลับ ทำให้เขาต้องสะดุ้งตื่นกลางดึก  ใจเต้นตุบๆ  รู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปในเหตุการณ์วันนั้นอีกครั้ง

ถ้าวันนั้นเรากลับไปช่วย...ถ้าเราไม่ตัดสินใจผละออกมา  ผลลัพธ์ในวันนี้มันจะเป็นอย่างไรหนอ

            คำถามที่ไม่มีใครตอบได้ ...ชายหนุ่มถอนหายใจยาว  หันกลับไปมองนาฬิกาพรายน้ำบอกว่าเกือบเที่ยงคืนแล้ว เขาเขยิบตัวลงจากเตียง   รู้สึกอาการไข้ดีขึ้นมากแล้ว  คงเป็นเพราะยาที่ภาคย์ลงไปหาซื้อมาให้

นึกสงสัยเหมือนกันว่าคุณหมอหน้าเข้มคนนั้นหายไปไหน   แต่ช่างเถอะ  เขาคงจะมีงานด่วนกระมัง  หรือไม่ก็เปลี่ยนใจตามนิสัยลมเพลมพัด เอาแน่เอานอนไม่ได้

มองไปเห็นเงาตะคุ่มของใครคนหนึ่งทอดยาวอยู่บนโซฟาหน้าโทรทัศน์  เดาว่าคงจะเป็นเจ้านายของตน   เขาจึงลดฝีเท้าลง  ก้าวเข้าไปใกล้  เห็นฝ่ายนั้นนอนหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ราวกับกำลังทะเลาะกับใครสักคนในความฝัน 

ขยับเข้าไปใกล้อีกนิด  ก้มลงจับผ้าห่มที่ยับย่นดึงขึ้นมาคลุมให้เรียบร้อยเหมือนเดิม  ยังไม่ทันดึงมือกลับ  มือแข็งแรงของคนนอนหลับก็คว้าหมับเข้าที่ข้อมือของเขา

เตตกใจ  สบตาเรียวเล็กของเจ้านายที่มองมาที่เขานิ่ง

“ตื่นแล้วหรือ คุณเต  ดีขึ้นหรือยัง”  ภาคย์ถาม

“ดีขึ้นมากแล้วครับ  ขอบคุณคุณภาคย์มากที่ช่วยดูแลผม”

“มันก็เป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว  ที่จะต้องดูแลคุณให้ดี  ในฐานะ..ลูกน้อง”  อีกฝ่ายสะดุดนิดหน่อย  คนฟังยิ้มนิดๆ มองที่มือของเขาที่จับข้อมือเล็กบางอยู่  เขาจึงปล่อย

“ขอโทษที่ทำให้คุณตื่น”  เตบอก หลบตาอีกฝ่าย  เสไปมองทางอื่น   ภาคย์มองตามสายตาที่เบือนหลบอย่างไร้จุดหมายนั้น   เห็นซองยาวางอยู่บนโต๊ะ  ก็เอื้อมมือไปหยิบขึ้นมาดู

“ไม่เป็นไร  ผมว่าคุณยังตัวรุมๆอยู่  คุณทานยาลดไข้แล้วไปนอนต่อเถอะ”  เขาถือวิสาสะยกมือขึ้นอังที่หน้าผากและซอกคอของคนป่วย   เตพยักหน้ารับถุงยาไปถือเอาไว้

“พรุ่งนี้ผมว่าคุณแวะโรงพยาบาลไม่ก็คลินิกก่อนกลับบ้านดีกว่านะ  ให้หมอเขาตรวจดูหน่อย”

“โธ่  ผมไม่เป็นอะไรหรอก  เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าก็หายแล้วครับ  อุ้ย”  นักเขียนหนุ่มอุทานเบาๆ เมื่อเจ้านายยกมือขึ้นเคาะที่ศีรษะทุย ปกคลุมด้วยเส้นผมหยิกหยักศกนั้นไม่เบานัก

“อืม  กะโหลกแข็งใช้ได้  ไม่เป็นอะไรมากหรอก”

“ไม่ต้องเขกหัวกันก็ได้ โธ่”  ภาคย์ยิ้มอย่างเอ็นดู ที่เห็นคนตัวเล็กกว่ายกมือขึ้นคลำศีรษะตัวเองป้อยๆ  จับที่ปลายคางเรียวแหลมของอีกฝ่าย เชยขึ้นให้สบตากันในระยะใกล้

“ผมเป็นห่วงคุณนะ  ถ้าคุณเป็นอะไรไป ผมคงนอนไม่หลับไปอีกนาน”  คนฟังหน้าแดงขึ้นน้อยๆ เบือนหน้าหลบมือของฝ่ายนั้น

“ขอบคุณมากครับ”  เตพึมพำแบบไม่มองหน้า แล้วรีบขอตัวเดินเลี่ยงออกมาทันทีเป็นการตัดบท   รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายมองตามด้วยสายตาตัดพ้อ   แต่จะทำอย่างไรได้  ในเมื่อเขารู้สึกอึดอัดมากว่าจะวาบหวามไปกับคำพูดของผู้ชายคนนั้น  และคิดว่าคงจะไม่มีวันนั้นด้วย  ถ้าเขายังคงฝันร้ายถึงผู้ชายในอดีตอยู่แบบนี้

ติณธรครุ่นคิด  ความกังวลบางอย่างยังคงติดอยู่ในใจอย่างไม่รู้สาเหตุ   เอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำที่วางอยู่บนชั้นขึ้นมา รินน้ำลงไปค่อนแก้ว  แล้วหันไปหยิบซองยาขึ้นมาแกะเม็ดยาออกมา  ย่นหน้านิดหนึ่ง แอบหักยาแบ่งเป็นสองซีก...แค่ครึ่งเม็ดก็พอแล้วมั้ง

หันกลับมาหยิบแก้วน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะ   

เพล้ง!

หูของแก้วน้ำเซรามิคเกิดลื่นหลุดมือ ทำให้แก้วน้ำใบนั้นร่วงลงพื้น แตกเป็นเสี่ยงๆ  น้ำเปล่าหกเลอะเต็มพื้น   ภาคย์อุทานรีบลุกเดินมาดูอย่างตกใจ

“เป็นอะไรหรือเปล่า คุณเต”

“เปล่าครับ  แก้วมันหลุดมือเฉยๆ  อย่าเพิ่งเข้ามาฮะ  เดี๋ยวโดนเศษแก้วบาด”  เตรีบพูด  เดินเร็วๆไปหยิบไม้กวาดกับที่ตัดผงมาจัดการเศษแก้วที่แตก

“เดี๋ยวผมทำให้ คุณเตไปพักเถอะ  ประเดี๋ยวหน้ามืด”  ภาคย์บอกอย่างเป็นห่วง แต่อีกฝ่ายส่ายหน้า   ย่อตัวลงเก็บเศษแก้วทีละชิ้นมารวมกัน

“ไม่เป็นไรครับ นิดเดียวเอง”  ปากพูดไป มือก็เก็บอย่างว่องไว  ทว่าภายใจในของเขากลับเต้นแรงด้วยสังหรณ์ประหลาด คล้ายกับว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้น

บางสิ่งที่ไม่ดีเอามากๆ ...อะไรกันนะ


............................................................................................


ชายหนุ่มร่างเล็กเดินกลับไปกลับมาหน้าห้องผ่าตัดอยู่นานแล้ว ตั้งแต่ที่ได้ข่าวว่าคนรักประสบอุบัติเหตุรถชน  เขาก็แทบล้มทั้งยืนด้วยความตกใจ  บึ่งรถจากกรุงเทพฯมาที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดที่นำส่งผู้บาดเจ็บ   ถามจนได้ความว่าอีกฝ่ายอาการหนักพอดู ต้องเข้าห้องผ่าตัดโดยด่วน   เช่นเดียวกับคู่กรณี  ก็ใจหายได้แต่สวดมนต์ภาวนา

ในที่สุดประตูห้องผ่าตัดก็เปิดออก

“คนไข้อาการเป็นอย่างไรบ้างครับคุณหมอ”   เขารีบถามนายแพทย์ที่เดินออกมาจากห้องทันที  ฝ่ายนั้นหันมา เห็นว่าเป็นรุ่นน้องแพทย์ด้วยกันก็จำได้  ลดหน้ากากลง

“อ้าว  รันใช่ไหม  ไม่เจอกันนาน”

          “สวัสดีครับพี่วิน  ไม่รู้ว่าพี่มาใช้ทุนที่นี่  เดี๋ยวก่อนฮะ แล้วคนเจ็บข้างใน....หมอกันน่ะครับ เป็นอย่างไรบ้าง”  วิรัลถามอย่างร้อนใจ

            “อืม  bleedเยอะหน่อย   แต่ไม่ต้องห่วง ใจเย็นๆ  นี่พี่ออกมาตามเลือดเข้าไปให้   เราจะเข้าไปดูด้วยกันไหมล่ะ”  เขาชวน   ยังไม่ทันขาดคำ

            เสียงสัญญาณเตือนดังลั่นออกมาจากข้างในห้องผ่าตัด  พยาบาลคนหนึ่งเปิดประตูออกมา  ร้องบอกหมอวินเสียงดังว่า

            “หมอคะ คนไข้arrest”

          รันใจหายวาบ  เขารีบตามคุณหมอรุ่นพี่กลับเข้าไปด้านในห้องผ่าตัด  ภาวนาด้วยความกลัวแทบขาดใจ  ได้แต่ยืนตัวแข็ง ทำอะไรไม่ถูก  ทั้งที่เคยช่วยชีวิตคนมานักต่อนักแล้ว  แต่เมื่อคนๆนั้นกลายเป็นคนที่เขารักที่สุด  สมองกลับพร่าเบลอ คิดอะไรไม่ออก นอกจาก

            ...อย่าเพิ่งนะดิม  อดทนไว้  อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะ..

            น้ำหูน้ำตากลบตาจนมองภาพวุ่นวายเบื้องหน้าแทบไม่เห็น   

            ...อย่าทิ้งเรานะ  เข้าใจไหม รดิศ...

           ...........................................................................

            เปลือกตาที่ประดับด้วยขนตาหนายาวเป็นแพค่อยๆขยับทีละน้อยจนกระทั่งลืมตาขึ้น    ชายหนุ่มขมวดคิ้วจ้องมองเพดานของห้องพักผู้ป่วยที่แปลกตา   นิ่วหน้าน้อยๆเมื่อรู้สึกเจ็บตึงที่บริเวณแขนข้างซ้ายและสะโพก   ได้ยินเสียงพูดคุยดังอยู่ข้างๆ จึงเงี่ยหูฟัง

            “ตื่นแล้วหรือ ดิม”  น้ำเสียงคุ้นเคยพร้อมกับใบหน้าของคนรักชะโงกอยู่ข้างตัว   รดิศค่อยๆหันไปมองช้าๆ ส่งยิ้มให้หน่อยนึง 

            “ตื่นแล้ว  คุณได้นอนบ้างหรือเปล่ารัน”  คนเจ็บถามกลับอย่างเป็นห่วง เพราะใต้ตาหมองคล้ำ แถมบวมช้ำจากการร้องไห้อย่างหนัก รวมถึงสีหน้าอิดโรยของอีกฝ่ายบอกชัดว่าคงจะอยู่เฝ้าเขาทั้งคืน ไม่ได้หลับได้นอน

            รันส่ายหน้าน้อยๆ

            “ไม่เป็นไรหรอก  ว่าแต่ดิมเถอะ  รู้สึกยังไรบ้าง  เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

            คนเจ็บก้มลงมองตัวเอง  เห็นเฝือกอ่อนที่ดามเอาไว้ที่หัวไหล่เพียงอย่างเดียว  นอกจากนั้นก็เป็นแผลฟกช้ำดำเขียวตามตัวที่มีผ้าพันแผลเอาไว้เต็มตัว

            “ปวดนิดหน่อย แต่ไม่เป็นไรมาก  ขอน้ำผมกินหน่อยได้มั้ย  คอแห้งเหลือเกิน”

          “ได้ ค่อยๆจิบนะ”  อีกฝ่ายกุลีกุจอเข้ามาช่วยปรับเตียง  ดันศีรษะของเขาขึ้นมา จ่อปลายหลอดเข้าที่ปาก  รอจนอีกฝ่ายได้ดื่มน้ำแก้กระหาย

            “ดีนะแค่แขนหักกับไหล่หลุด  ตอนรันรู้ข่าวแทบเป็นลมเลย  บุญแค่ไหนแล้วที่ไม่เป็นอะไรไปมากกว่านั้น เห็นสภาพรถแล้วแบบ....ใจหายใจคว่ำ  เป็นห่วงแทบตาย”

            “รู้แล้วล่ะ  ไม่งั้นคงไม่ยืนร้องไห้อยู่กลางห้องฉุกเฉินหรอกใช่มั้ย  หึๆ”  คนเจ็บพูดแกมหัวเราะ   คนฟังค้อนนิดหนึ่ง หน้าแดงแต่แล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ ยกมือขึ้นชี้หน้าคนรักเป็นเชิงคาดโทษ

            “ยังจะมาหัวเราะอีก  คนเค้าเป็นห่วงตลกหรือไง  แค่ได้ยินว่าarrestนี่ก็ใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มแล้ว  วิ่งเข้ามาเห็นกำลังCPR กันวุ่นเลย  รันก็ทำอะไรไม่ถูก   ใครจะไปรู้ล่ะว่าดิมอยู่อีกห้องนึง”  เขาหมายถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ที่หลังจากวิ่งตามนายแพทย์รุ่นพี่เข้ามาแล้ว  เขาก็ยืนร้องไห้โฮเพราะนึกว่าคนไข้คนนั้นคือคนรักของตน  ทว่าที่แท้ดิมกลับอยู่อีกห้องหนึ่งข้างๆตะหาก  กว่าจะรู้ก็จนกระทั่งมีพยาบาลเดินมาถามเขานั่นแหละ ว่าเป็นญาติของคนไข้ชื่ออำนวยใช่หรือไม่  ถึงได้รู้ว่าผิดคน

            อายก็อาย แต่ความโล่งใจมีมากกว่ามากมายนัก   ยิ่งได้เห็นว่าอีกคนไม่ได้เป็นอะไรมากอย่างที่คาดเอาไว้ นอกจากเลือดตกยางออกและกระดูกแขนหักที่ต้องเข้าผ่าตัดเพื่อดามกระดูก   นับว่าอีกฝ่ายทำบุญมาดีทีเดียว   ส่วนคู่กรณีก็บาดเจ็บไม่มากนักเช่นกัน

            “แต่ผมก็ดีใจนะ ที่เห็นรันเป็นห่วงผมมากขนาดนี้”  ศัลยแพทย์หัวใจพูดยิ้มๆ เอื้อมมือข้างที่ยังดีอยู่ไปกุมมือของอีกฝ่ายเอาไว้

            “ไม่เป็นห่วงดิม แล้วจะให้รันไปห่วงใครล่ะ  ว่าแต่ดิมเถอะ  ทำไมถึงมาเกิดอุบัติเหตุที่นี่ได้  ดิมควรจะอยู่ในห้องผ่าตัดแล้วไม่ใช่หรือ”  ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจถามเรื่องที่รบกวนจิตใจของตนมากที่สุด ไม่แพ้อาการบาดเจ็บของอีกฝ่าย   คำถามที่เขาเฝ้าถามตัวเองมาตลอดคืน ระหว่างที่นั่งเฝ้าอีกฝ่ายก็คาดเดาคำตอบไปวุ่นวาย

            ใจเต้นแรงขึ้นมาขณะที่รอคำตอบ   เขายอมรับกับตัวเองว่าเขากลัว....กลัวมากว่าคำตอบจะเป็นไปตามที่ตนเองคาดเอาไว้   และนั่นหมายความว่าความรักระหว่างพวกเรากำลังสั่นคลอน

            “ผม...ลืมของเอาไว้  ก็เลยต้องกลับมาเอา”

            “ของอะไรหรือ”  สำคัญมากขนาดที่ต้องแคนเซิลเคสคนไข้  ขับรถมาจากกรุงเทพฯสองชั่วโมง เพื่อกลับมาเอาเลยหรอ  คุณหมอเด็กถามต่อในใจ

            อีกฝ่ายหลบตา  เมินมองไปทางหน้าต่างที่มีผ้าม่านสีฟ้ารูดปิดสนิท

            “................”  ไม่มีคำตอบหลุดออกมาจากริมฝีปากบางที่แห้งผากและเม้มแน่น

            คนที่รอคำตอบอยู่อย่างใจจดใจจ่อลอบถอนหายใจยาว 

            “ดิม...มีอะไรก็เล่ามาเถอะ  จำไม่ได้เหรอ  สมัยที่เราเรียนด้วยกันที่คลีฟแลนด์  เราสัญญากันว่าจะไม่มีความลับไง  จำได้มั้ย   ดิมอย่าเก็บเอาไว้คนเดียวเลย   หรือว่าไม่ไว้ใจรันแล้ว”  เขายกไม้ตายขึ้นมาอ้าง   อีกฝ่ายหันกลับมาทันที

            “ไม่ใช่อย่างนั้น”

          “แล้วอย่างไหน   เล่าให้ฟังได้มั้ยว่ามันเกิดอะไรขึ้น   รันสัญญาว่าจะไม่โกรธ  ไม่โวยวาย โอเคมั้ย” เขายกมือขึ้นชูสามนิ้วเหมือนเป็นสัญญา   คนเจ็บหัวเราะออกมาเบาๆ

            “รู้ตัวเหมือนกันเหรอว่าชอบโวยวาย”

          “ก็พอรู้อยู่บ้าง  แน่ะ อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง  เล่ามาหน่อยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่   ดิมลืมอะไรเอาไว้...ใช่อย่างที่รันคิดหรือเปล่า?”

          “รันคิดว่าอะไรล่ะ”  ดิมย้อนถาม   ถ่วงเวลาเอาไว้ขณะที่เขานึกหาคำตอบเหมาะๆ  คงจะไม่ดีแน่ถ้าจะบอกความจริงออกไป

            “ก็อย่างเช่น....ลืมแฟนเก่าเอาไว้?”  หมอวิรัลตัดสินใจดับเครื่องชน  สังเกตเห็นชัดว่าอีกฝ่ายสะดุ้งนิดหนึ่ง แต่พยายามกลบเกลื่อนด้วยการหัวเราะ

            “แฟนเก่าก็คือแฟนเก่า  เรื่องเก่าๆผมลืมไปหมดแล้ว  ไม่ใช่หรอก  คุณก็เดาอะไรไม่รู้ หึๆ  ผมลืม Ipad เอาไว้ตะหากล่ะ  เลยต้องกลับไปเอา”   เขาปดซึ่งหน้า  อีกฝ่ายทำท่าไม่เชื่อเท่าไหร่ 

            “จริงหรือ”

            “เอ้า จริงสิ  ไม่เชื่อกลับไปถามเจ้าหน้าที่โรงแรมเขาดูก็ได้ ว่าผมกลับไปถามหาจริงไหม”  แววตาใสซื่อของคุณหมอหัวใจ ทำให้อีกฝ่ายชักจะเอนเอียง...หรือว่าเราจะคิดมากไปเอง  บางทีรดิศอาจจะไม่ได้กลับไปหาติณธรอย่างที่คิดก็ได้นี่   ถ้าเค้าพูดความจริงล่ะ

            เดี๋ยวก่อน  แล้วเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นที่ห้องน้ำโรงแรมเมื่อเช้าวันก่อนล่ะ  ที่ดิมหายเข้าไปในห้องน้ำกับเตสองคนเป็นเวลานาน    จากนั้นเตก็หอบ....มันไม่มีอะไรจริงๆเหรอ

            “รัน คุณกลัวผมจะกลับไปหาเตใช่ไหม”  จู่ๆรดิศก็พูดขึ้นมาตรงๆ  วิรัลอึ้งไปไม่ตอบ  มือแข็งแรงที่จับมือของเขาอยู่บีบกระชับแน่นขึ้น

            “ผมไม่ได้รักเค้าแล้ว  คุณเชื่อผมไหม”  รดิศพูดด้วยน้ำเสียงต่ำลึกจริงจัง เช่นเดียวกับสีหน้า แววขี้เล่นหยอกเย้าหายไปหมดสิ้น   ทั้งคู่สบตากันตรงๆ นิ่งไปครู่ใหญ่

            คนเจ็บผ่อนลมหายใจยาว  เขาถอนสายตาออก  มองตรงไปเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย  คล้ายคนที่กำลังรำลึกถึงเรื่องราวแต่หนหลังอีกครั้ง 

            “ผมยอมรับว่าก่อนหน้านี้  ผมเคยรักเค้ามาก...”  ดิมขึ้นต้นเสียงเนิบๆ เว้นระยะนิดหนึ่งแล้วก็พูดต่อ  “และนั่นทำให้ผมผิดหวังมากเช่นกัน เมื่อถูกเขาบอกเลิก  ผมเคยคิดว่าผมคงไม่มีวันลืมเขาได้  แต่รันรู้ไหมว่าผมคิดผิด...ตั้งแต่ที่ผมไปอเมริกากับรัน   หัวใจของรันช่วยเยียวยารักษาแผลในใจผม  จนในที่สุดผมก็ลืมเขาได้สำเร็จ ไม่เหลือร่องรอยอีก...”

          คนฟังนั่งเงียบ

            “คุณอาจจะระแวงว่าผมกับเค้ายังมีเยื่อใยอะไรกันอยู่หรือเปล่า...ไม่ผิดหรอกที่รันจะระแวง  แต่รันคงจำได้ว่ากว่าผมจะหายอกหักครั้งนั้นก็แทบตาย  คุณคิดว่าผมจะทิ้งคนที่คอยยืนเคียงข้างผมตลอดเวลา แล้วกลับไปหาคนที่เขาไม่เคยเห็นค่าอะไรผมเลยหรือ  รัน  ถึงผมจะงี่เง่านิดหน่อย  แต่ผมก็ไม่โง่ทิ้งแก้วในมือไปหรอกนะ   อีกอย่าง เค้าก็มีครอบครัวแล้วด้วย   คราวนี้เข้าใจหรือยัง   เรื่องระหว่างผมกับเตมัน..ไม่มีอะไรเลย”   

            รันพลิกมือขึ้นมาเป็นฝ่ายกุมมือของดิมเอาไว้  เงยหน้าขึ้นมองนัยน์ตาคมเข้มคู่นั้น  พูดช้าๆ

            “ดิมรู้มั้ย   เมื่อวานนี้..รันกลัวมาก  กลัวที่สุดในชีวิต...กลัวว่าดิมจะเป็นอะไรไป   จริงๆแล้วรันไม่สนใจหรอกว่าดิมจะกลับมาที่นี่เพราะอะไร  รันแกล้งถามไปอย่างนั้นเอง ....ดิมจำที่รันเคยบอกสมัยที่เราเริ่มคบกันใหม่ๆได้มั้ย   ที่รันบอกว่ารันรู้...ว่าในใจของดิมยังมีใครอยู่ แต่รันก็รอได้  รันจะรอวันที่ใจของดิมมีแค่รันคนเดียว   แล้วรันก็อดทนรอมาตลอด....”  น้ำตาเริ่มเอ่อท้นขอบตาคู่นั้น   วิรัลพูดต่อไปด้วยเสียงที่สั่นพร่า

            “รอมาจนถึงวันนี้   รันไม่แน่ใจหรอกว่าดิมมีรันคนเดียวในใจหรือยัง  หรือว่ายังรักใครคนนั้นอยู่  แต่มันก็ไม่สำคัญ เพราะยังไงรันก็ยังรักดิมเหมือนเดิมอยู่ดี”

          รดิศรู้สึกสะเทือนลึกเข้าไปในอก  น้ำตาของรันทำให้เขาใจสั่นไหว   เขาเอื้อมมือไปโอบไหล่เล็กบางของคนรักเอาไว้ ดึงเข้ามาซบที่ทรวงอกของตนเอง   รันสะอื้นจนตัวโยน  กอดตอบเขาแน่น

            “ผมขอโทษนะ..”  ดิมกระซิบที่ข้างหู  แตะริมฝีปากลงกับซีกแก้มข้างนั้น    ศีรษะนั้นส่ายไปมา

            “ไม่ต้องขอโทษหรอก  ดิมไม่ได้ผิดอะไร  รัน...ฮึก...ผิดเองที่รักดิมมากไป”

           




ต่อด้านล่างนะคะ

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
 
ศัลยแพทย์หนุ่มจูบที่เส้นผมนุ่มสลวยที่ซบอยู่ที่ทรวงอก   รู้สึกผิดต่อคนรักขึ้นมาเต็มหัวใจ....เขาทำอะไรลงไป  นี่เขาทำให้รันต้องเจ็บปวดขนาดนี้เลยหรือ   เป็นเพราะเขาเองที่เจ็บแต่ไม่ยอมจบ  กลับพยายามต่อความยาวสาวความยืดกับอดีตคนรักต่อ  จนทำให้คนรักในปัจจุบันของเขาต้องเสียใจ

            “รัน  ชู่ว  ไม่เอาน่ะ  ร้องไห้จนตาบวมแทบปิดแล้ว  เมื่อคืนก็ร้องทั้งคืน พอแล้วนะ  อย่าทำให้ผมต้องรู้สึกผิดกับคุณมากไปกว่านี้เลย  นิ่งเสียคนดี”  เสียงนุ่มๆของอีกฝ่ายยิ่งทำให้คุณหมอเด็กร้องไห้หนักขึ้นกว่าเดิม

            “รัน   ฟังผมนะ  ผมไม่ได้รักเตแล้ว  ผมมีแค่รัน... คนเดียวที่ผมรัก และต้องการจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยไปตลอด ก็คือ วิรัล คุณคนเดียวเท่านั้น   จะกี่ร้อยกี่พันเตก็ไม่มีความหมายอะไรกับผมเลย  เมื่อเทียบกับคุณ  ชัดเจนพอไหม  เลิกร้องไห้ได้แล้ว  หืม  ขี้แยจัง  ร้องเก่งกว่าคนไข้ตัวเองแล้วเนี่ย”   ตอนหลังเขาพูดกลั้วหัวเราะในลำคอ   อีกฝ่ายค่อยยิ้มออกมาได้  เงยหน้าขึ้น

            “ขอโทษ ก็มันอดร้องไม่ได้นี่นา  รันเชื่อดิมนะ  เชื่อเสมอ....ได้ยินแบบนี้ก็ค่อยสบายใจ   ความจริงรันกลัวอะไรรู้ไหม”

          “อะไร? กลัวอะไรเยอะแยะจริง”  เขายิ้มเอ็นดู

          “โธ่  ดิมล่ะก็..รันกลัวอีกอย่างนึงก็คือ  ถ้าดิมยังรักคุณเตอยู่  ดิมก็จะเสียใจอีก  รันกลัวดิมเสียใจ  ก็แค่นั้นเอง”

          “ถ้าผมยังรักเตอยู่ แล้วทำไมจะต้องเสียใจ  เพราะเขามีลูกเมียแล้วอย่างนั้นหรือ”

          “อืม…ก็  ประมาณนั้นแหละ”  รันอ้อมแอ้ม

          “มีอะไรหรือเปล่า  เล่ามาเถอะ   ก็บอกแล้วไงว่าผมไม่ได้อะไรกับเขาแล้ว  เขาจะเป็นยังไงก็ไม่กระเทือนผมหรอก อย่างมากก็แค่แปลกใจเท่านั้น”

“จริงๆมันก็ไม่ใช่ความผิดของเขาหรอกนะ  แต่ว่าเมื่อคืนตอนที่ดิมเกิดเรื่องน่ะ  รันพยายามติดต่อกลับมาที่คุณเต  โทรไปหา เล่าเรื่องให้เขาฟัง  อยากจะขอให้เขาช่วยไปดูดิมให้หน่อยระหว่างที่รันกำลังขับรถมาหา  ไหนๆเขาก็อยู่ใกล้โรงพยาบาลมากที่สุดแล้ว  คือรันก็เข้าใจนะว่ามันก็ดึกมากแล้วล่ะ เค้าคงไม่สะดวกที่จะออกมา แต่...ไม่รู้สิ  เค้าดูไม่...อะไรเลย  อย่างน้อยในฐานะคนเคยรู้จักกัน ก็น่าจะแบบ...ช่วยอะไรบ้างอ่ะ  รันเลยรู้สึกว่าเขา...”

            คนฟังพยักหน้าเนิบๆ

            “เขาก็เป็นแบบนี้อยู่แล้วล่ะ   ก็เหมือนเมื่อแปดปีก่อนที่เขาทิ้งให้ผมนอนอยู่กลางถนนไง  รันจำไม่ได้เหรอ   ยิ่งมาตอนนี้  ผมยิ่งไม่มีความหมายกับเขาหรอก  หึๆ”  หัวเราะแค่นๆออกมานิดหนึ่ง  คนฟังขมวดคิ้ว ดิมเลยส่งยิ้มให้

            “รันไม่มีทางเข้าใจคนใจดำแบบนั้นแน่ เพราะรันไม่ใช่คนที่จะนิ่งดูดายถ้าเห็นคนเจ็บอยู่ตรงหน้า  อาจเป็นเพราะเราเป็นหมอด้วยมั้ง   แต่ไม่หรอก  จริงๆมันก็เป็นสิ่งที่คนทั่วไปควรจะช่วย ถ้าไม่เหลือบากกว่าแรงมากนัก   เฮ้อ...มันอาจจะไม่น่าเชื่อนะ แต่มันก็มีคนประเภทนี้อยู่จริงๆ    โชคดีแค่ไหนแล้วที่ผมรอดพ้นเค้ามาได้  เลยมาเจอคนใจดีอย่างรันไง”  รอยหวานระยับเริ่มแพรวพราวขึ้นมาในตาคมกริบ     ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่ยังค้างอยู่ที่สองข้างแก้มของคนรักให้อย่างอ่อนโยน     แล้วประคองใบหน้านั้นเอาไว้ด้วยมือข้างเดียว

            “ผมรู้ตัวว่าผมเป็นคนโชคดีที่สุดในโลกที่ได้มาเจอรัน   และผมก็จะรักษาความโชคดีนี้เอาไว้..  ผมขอโทษสำหรับทุกอย่างที่เคยทำให้รันเสียใจ   ต่อไปนี้ผมจะไม่ทำให้รันต้องเสียน้ำตาอีก” 

            “แค่พูดอย่างเดียวไม่พอหรอก”  ฝ่ายนั้นพึมพำ

            “ถ้าอย่างนั้นให้ผมพิสูจน์นะ   เอ  ไม่รู้ว่าวันนี้ผมจะขอกลับบ้านได้หรือเปล่า?”

          “จะรีบไปไหน  นอนพักอยู่ที่นี่แหละ  รีบกลับไป ดิมก็ผ่าตัดไม่ได้อยู่ดี   ดูท่าคงจะต้องพักยาวเลยล่ะ”  วิรัลพูดพลางก้มลงมองดูแขนที่เข้าเฝือกเอาไว้คล้องสายอยู่ที่รอบลำคอหนา

“เฮ้อ...แย่จังแฮะ  เสียดายจังที่เราต้องติดแหงกอยู่ที่นี่ในวันนี้  แผนก็เลยเสียหมดเลย”  ดิมชำเลืองดูอีกคนนิดหนึ่ง เห็นฝ่ายนั้นใบหน้าเริ่มเป็นสีชมพูระเรื่อ

“ทำไมล่ะ วันนี้มันสำคัญตรงไหน”  คุณหมอเด็กแกล้งถามไม่รู้ไม่ชี้   สุดท้ายคนหน้าเข้มก็หัวเราะเสียงดัง

“ทำเป็นไก๋  จำไม่ได้จริงๆเหรอว่าวันนี้วันอะไร?”

“ไม่รู้  จำไม่ได้”  รันเบือนหน้าหนี  แม้ว่าในใจจะเต้นเเรงด้วยความดีใจที่อีกคนไม่ลืมวันสำคัญของเรา

         ดิมอาศัยทีเผลอ ชะโงกหน้าเข้าไปจูบเร็วๆที่ซีกแก้มข้างนั้น   วิรัลสะดุ้งเฮือก หันมาผลักใบหน้าของเขาออก  เสียงหัวเราะก้องไปทั่วทั้งห้อง   จนทำให้คนที่เคาะประตูแล้วเปิดเข้ามาภายในห้องชะงักไปนิดหนึ่งแล้วยิ้มออกมา

            หญิงวัยกลางคน แต่งกายภูมิฐานส่งยิ้มให้แก่คุณหมอทั้งสองคนที่หันขวับมามองพร้อมกันอย่างตกใจ  คนเจ็บบนเตียงพอเห็นผู้มาใหม่ถนัดก็ร้องออกมาอย่างยินดี

            “คุณแม่!?!  รู้ได้ไงว่าผมอยู่ที่นี่”


            .........................................................................


 “พ่อกลับมาแล้ว  ว่าอย่างไรเจ้าเต้  อยู่กับคุณแม่ไม่ดื้อไม่ซนใช่ไหม”  ชายหนุ่มก้มลงกอดลูกชายที่วิ่งออกมาหาแนบแน่น ให้สมกับที่ไม่ได้เจอหน้ามาหลายวัน   หอมแก้มยุ้ยๆฟอดใหญ่  เด็กชายเต้หัวเราะ ยกมือสวัสดีแขกของบิดาโดยไม่ต้องให้บอก  ภาคย์รับไหว้  ยกมือขึ้นลูบที่ศีรษะทุยเล็กนั้นเบาๆ

            “เป็นเด็กดีอยู่แล้ว  ใช่ไหมเรา ...คุณเต  ถ้าอย่างนั้นผมกลับก่อนนะครับ  ขอบคุณมากที่ช่วยไปเป็นล่ามให้ผมที่งานนี้   อ้อ แล้วถ้าไข้กลับล่ะก็รีบไปหมอนะฮะ  โทรหาผมก็ได้ เดี๋ยวผมมารับ”

          “ครับ  ขอบคุณมากครับ คุณภาคย์  ขับรถกลับบ้านปลอดภัยนะครับ”  นักเขียนหนุ่มเจ้าของบ้านร่ำลาเจ้านายที่อุตส่าห์ขับรถมาส่งจนถึงบ้านอย่างเรียบร้อย   แถมคอยดูแลอย่างดีมาตลอดทริปอย่างเกรงใจ    ยืนส่งจนรถคันนั้นพ้นหน้าปากซอยก็ปิดประตูบ้าน

            “คุณแม่ไปไหนหรือ  เต้  ทำไมไม่เห็นเลย”   คุณพ่อจูงมือเด็กชายเข้าไปในบ้าน

            “คุณแม่นอนอยู่ฮะ”

          เตก้มลงมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือนิดหนึ่ง  บ่ายสาม?  ปกติข้าวตังไม่นอนกลางวันนี่นะ  แปลกจัง  คิดได้ดังนั้นก็เดินขึ้นไปชั้นบนพร้อมกับลูก   เคาะประตูห้องนอนของหญิงสาวเบาๆ  มีเสียงตอบรับให้เข้าไปได้เลย

            “พี่เต กลับมาแล้วเหรอคะ”  หญิงสาวเจ้าของห้องกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง  ใบหน้าของเธอซีดกว่าปกตินิดหน่อย  หายใจหอบน้อยๆ

            “กลับมาแล้วจ้ะ  ตังเป็นอะไรหรือเปล่า  ทำไมดูเหนื่อยๆ  ไม่สบายตรงไหนหรือ”  เขาค่อนข้างตกใจ  หญิงสาวสั่นศีรษะ

            “เปล่าค่ะ  ไม่ได้เป็นอะไร   เมื่อคืนนอนดึกไปหน่อย วันนี้เลยรีบกลับบ้านมานอน  พี่เตไปทำงานมาเป็นอย่างไรบ้างคะ  รู้สึกว่าซูบลงไปนิดนึง”

          “ซูบอะไรล่ะ กางเกงเอวคับแล้ว   ที่งานเขาเลี้ยงดีมาก  พี่ยังนึกเลยว่าคราวหน้าพวกเราไปเที่ยวทะเลที่นู่นกันดีกว่า  โรงแรมเขาก็ใช้ได้ทีเดียว  เป็นส่วนตัวดี”

          “พี่เตพาเต้ไปเถอะ  ตังขออยู่ที่นี่ เฝ้าบ้านดีกว่า”

          “โธ่  ทำไมเป็นงั้นล่ะ   ไม่เอาน่า   ไหนลุกได้แล้ว  เอาอย่างนี้ดีกว่า เดี๋ยวพี่ออกไปซื้อของมาทำกับข้าวให้กิน ดีไหม  วันนี้ขอโชว์ฝีมือเสียหน่อย”  ตั้งเตพูดยิ้มๆ  สังเกตเห็นว่าน้องสาวของตนดูเหน็ดเหนื่อยผิดปกติมากทีเดียว เพียงแค่เธอฝืนเอาไว้

            “ตกลงค่ะ  ถ้าอย่างนั้นตังรออยู่นี่นะ”

          “จ้ะ   ไปเจ้าเต้  ไปช่วยพ่อจ่ายตลาดหน่อยเร็ว”  เขาลากลูกชายออกมาด้วย เพื่อให้เธอได้พักผ่อน   ครุ่นคิดไประหว่างทางที่เดินไปยังตลาดเล็กๆหน้าปากซอย

            ข้าวตังเป็นอะไรหรือเปล่า  เขารู้ดีว่าเธอมีโรคประจำตัวอะไร   ถึงจะทำเป็นไม่รู้เพื่อให้เจ้าตัวสบายใจก็เถอะ   พักหลังมานี้เธอทำงานหนักขึ้น เขารู้  เป็นเพราะการย้ายโรงเรียนของลูกชายหัวแก้วหัวแหวนด้วย  คงจะทำให้เธอเหนื่อยเกินไปจนไม่มีเวลาพักผ่อนเพียงพอ  ยิ่งเขาไปทำงานที่ต่างจังหวัดด้วยอีก  เธอเลยต้องควบตำแหน่งดูแลลูกคนเดียว

            บางทีมันอาจจะทำให้อาการกำเริบก็เป็นได้   หรือไม่เขาก็คิดมากไปเอง

          ..............................................................................

            นักเขียนหนุ่มกระชับแฟ้มในมือที่บรรจุต้นฉบับที่เขียนเสร็จเรียบร้อยเอาไว้แน่น  สูดหายใจเข้าลึกๆหลายที แล้วค่อยเดินตรงไปที่เคาท์เตอร์พยาบาลด้านหน้าห้องตรวจของคุณหมอโรคหัวใจ   รีรอนิดหนึ่งจนกระทั่งเธอเงยหน้าขึ้นมองอย่างสงสัย

            “ติดต่ออะไรคะ”

“เอ่อ  ผมมาขอพบคุณหมอรดิศครับ  หน่วยศัลยกรรมทรวงอกและหัวใจ”

            “คุณหมอรดิศลาพักนะคะ  ไม่ได้ออกตรวจค่ะ”  พยาบาลสาวสวยตอบยิ้มๆ  คนฟังใจแป้วลงเล็กน้อย

            “แล้วพรุ่งนี้จะมาไหมครับ”

          “ไม่ค่ะ   คุณหมอลาพัก 1 เดือน”  คำตอบของเธอทำให้เขาแปลกใจมาก

            “เอ่อ พอทราบไหมครับว่าคุณหมอลาไปไหน”  คราวนี้พยาบาลสาวเขม้นมองหน้าเขาเขม็ง  ราวกับระแวงสงสัย  กวาดตามองเครื่องแต่งกายและแฟ้มในมือของเขาอีกรอบ 

            “ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ  คุณจะมานัดตรวจหรือเปล่าคะ”

            “เปล่าครับ  ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมาก”

          รีบถอยออกมาจากเคาท์เตอร์พยาบาล  ท่าทางเธอจะเข้าใจผิดว่าเขาคงจะเป็นดีเทลยาหรือไม่ก็พวกสืบสวนราชการลับกระมัง   แต่เรื่องนั้นช่างเถอะ....ว่าแต่คุณหมอดิมเขาลาพักไปไหนกันนะ ตั้ง 1 เดือน   ติดงาน ไปเรียนต่อ ประชุมต่างจังหวัด หรือว่าไปเที่ยวกับแฟน

            ล้วงโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเบอร์โทรศัพท์ที่เขาจำได้แม่นยำตั้งแต่วันแรกที่ได้เบอร์มา   รอสายครู่หนึ่งก็มีคนกดรับ

            “สวัสดีครับ”   ไม่ใช่เสียงของคนหน้าเข้มนี่   ใครกัน?

          “สวัสดีครับ ใช่เบอร์ของคุณหมอรดิศหรือเปล่าครับ”

          “ใช่ครับ  นั่นคุณเตใช่ไหม   ผมวิรัลนะ”  ใจกระตุกวูบหนึ่ง  อ๋อ  ที่แท้ก็แฟนรับให้นั่นเอง

            “ครับ   ขอเรียนสายกับคุณหมอรดิศได้ไหมครับ”

          “หมอดิมไม่สะดวกคุยตอนนี้ครับ  ขอโทษด้วย มีอะไรฝากเอาไว้ที่ผมก่อนก็ได้ แล้วผมจะบอกให้”  คนฟังเม้มปากนิดหนึ่ง

            “ถ้าอย่างนั้นฝากหมอรันบอกคุณหมอรดิศด้วยว่า ผมเอาต้นฉบับมาให้แล้ว  ฝากเอาไว้ที่เคาท์เตอร์พยาบาลนะครับ  ถ้ามีอะไรแก้ไขเพิ่มเติมตรงไหน บอกได้เลยครับ”

          “อ่อ  ได้ครับ  ผมจะบอกหมอดิมให้  แค่นี้ใช่ไหมครับ”

          “เดี๋ยวครับ  ทราบว่าคุณหมอรดิศลาพัก 1 เดือน  ไม่ทราบว่าป่วยหรือว่าติดธุระอะไรหรือครับ”

          “ติดธุระส่วนตัวครับ  ไม่มีอะไรแล้วใช่ไหมครับ  ถ้าอย่างนั้น แค่นี้นะครับ สวัสดีครับ”  วิรัลวางสายอย่างรวดเร็ว  ไม่รอให้อีกฝ่ายถามต่อ  พอดีกับที่คนรักของเขา...เจ้าของโทรศัพท์เดินออกมาจากห้องน้ำ   รันรีบกระวีกระวาดเข้าไปช่วยพยุงแล้วจับเสาน้ำเกลือให้

            “ใครโทรมานะรัน  ได้ยินแว่วๆ"

          “คุณเตโทรมา  บอกว่าฝากต้นฉบับเอาไว้ที่เคาท์เตอร์พยาบาล  ถ้าดิมอ่านแล้วอยากแก้ไขตรงไหนก็บอก”  คนฟังเลิกคิ้วน้อยๆ

            “แค่นี้หรือ   เขาไม่ถามหน่อยเรอะว่าผมเป็นอย่างไรบ้าง  ตายหรือยัง”  ดิมสะบัดเสียง

          “เขาก็ไม่ได้พูดอะไรนะ   หึ  เขาคงรู้อยู่แล้วมั้งว่าดิมไม่ได้เป็นอะไร  ถ้าเป็นอะไรขึ้นมาจริง รันคงบอกเขาตั้งแต่แรกแล้ว”  คุณหมอเด็กพูด ช่วยพยุงอีกฝ่ายให้กลับมานั่งบนเตียงเรียบร้อย  ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้ถึงอก 

            “หึ คนพรรค์นั้น  ไม่คิดถึงใครนอกจากตัวเองหรอก...”  คนป่วยพูดพึมพำในลำคอ   อีกฝ่ายได้ยิน แต่ไม่เสริมต่อ  นิ่งเงียบเอาไว้ในใจ 

            ...ถูกต้องแล้ว  ดิมควรจะรู้ได้แล้วว่าใครกันแน่ที่คอยอยู่เคียงข้างกันมาตลอด  ไม่ใช่เด็กคนนั้น  แต่เป็นเราต่างหากล่ะ ที่เหมาะสม ควรคู่กับดิมมากที่สุด...นึกถึงคำพูดที่มารดาของอีกฝ่ายพูดกับเขาเมื่อวานนี้....ขอบคุณมากนะหมอรัน  ดิมเฉียดตายมาสองครั้งแล้ว  ทั้งสองครั้งถ้าไม่ได้หมอรันช่วยเอาไว้ ก็คงจะตายแน่  แม่ไม่รู้จะขอบใจหมอรันยังไง ให้สมกับที่ได้ช่วยเอาไว้  นอกจากแม่ยินดีที่หมอรันจะมาเป็นลูกชายของแม่อีกคนนะลูก....

            ก็แน่ล่ะ  ที่ดิมมีวันนี้ได้ก็เพราะบารมีของคุณพ่อของเขาที่เป็นนายแพทย์ใหญ่ ทำให้ได้ทุนไปรักษาตัวต่อที่ต่างประเทศเมื่อหลายปีก่อน แถมยังได้ทุนเรียนต่อเฉพาะทางที่ว่ายากนักยากหนาอีก   จนกระทั่งดิมเรียนจบ มีรายได้หลักล้านบาทต่อเดือน ทำให้สามารถพามารดาของตนไปใช้ชีวิตที่ต่างแดนได้อย่างสุขสบาย   ไม่เหมือนสมัยก่อนที่แสนจะลำบากยากแค้น  แล้วจะไม่ให้แม่ของดิมมองเขาเป็นเทวดา  เต็มใจรับเขาเป็นลูกชายอีกคนได้อย่างไร

            นึกถึงผู้ชายอีกคน...แฟนเก่าของคนรัก แล้วแอบเบ้ปาก  จนถึงตอนนี้เตก็ยังเหมือนเดิม   ย่ำเท้าอยู่กับที่  ถึงจะกลายเป็นนักเขียนฝีมือดี แต่ก็ไม่มีทางเทียบชั้นกับเขาได้แน่นอน   เหมือนสมัยที่ยังเรียนอยู่นั่นล่ะ



******************



          “พี่ดิมไม่ไปจริงเหรอ  ทำไมล่ะ  ใครๆก็ไปกันทั้งนั้น”  เขาถามเพื่อนรุ่นพี่ ที่แม้จะเรียนรุ่นเดียวกัน แต่อีกฝ่ายก็แก่กว่าเขาเพราะเคยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนมาก่อนที่จะกลับมาเรียนต่อ  ทุกคนในรุ่นเลยพร้อมใจกันเรียกว่า ‘พี่ดิม’  และด้วยหน้าตาที่หล่อเหลา  เรียนเก่งกว่าใครๆ จึงไม่แปลกที่ชื่อของ'รดิศ'จะหอมฟุ้งทวนลม มีแต่คนหมายปอง ทั้งในและนอกคณะ  จนกระทั่งต้องอกหักกันเป็นแถว เมื่อเจ้าตัวเปิดตัว ‘แฟน’ หนุ่มน้อยเฟรชชี่เดือนคณะอักษรฯ คนนั้น

          “ไม่เอาหรอก  นายไปเถอะ   พี่อยากอยู่ที่นี่มากกว่า”

          “พี่กลัวห่างกับแฟนใช่มั้ยล่ะ  โธ่  ไปแค่เดือนเดียวเองนะ  ไปเถอะ  ถือว่าไปหาประสบการณ์  อย่างพี่ถ้ายื่นขอทุนไปต้องได้แน่ๆ  ไปด้วยกันเถอะนะ”

          “อยากให้พี่ไปด้วยเหรอ”  ถึงจะเป็นประโยคคำถามเรียบๆ แต่กลับทำให้เขาหัวใจกระตุกไปแวบหนึ่ง หรือจะเป็นเพราะเผลอสบนัยน์ตาคมเข้มคู่นั้นก็เป็นได้

          “อยากสิ  ใครๆก็อยากให้พี่ไปด้วยทั้งนั้นล่ะ  พี่ทำงานเก่ง  ภาษาก็ดี จะได้เป็นที่พึ่งของพวกผมไง” คนฟังหัวเราะเบาๆ ด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม อบอุ่นจับใจ

          “เอาไว้ครั้งหน้าแล้วกันนะรัน  มันยังจัดเรื่อยๆอีกหลายครั้งนั่นแหละ  พอดีเดือนหน้าแฟนพี่มันปิดเทอมพอดีเหมือนกัน อยากพามันไปเที่ยวหน่อย   เดือนนี้สอบตลอด ไม่ค่อยได้เจอกันเลย  มันบ่นจะตายอยู่แล้ว  ขืนพี่ทิ้งมันอีกเดือนนึง มีหวังกลับมาพี่ได้กำพร้าแฟนแหงๆ”  ดิมพูดแกมหัวเราะอย่างอารมณ์ดี   คำพูดที่พูดถึงคนรักอย่างเอ็นดูล้นใจทำให้เขารู้สึกอิจฉา....

          รดิศลุกขึ้นยืนเต็มตัว ก้มลงดูนาฬิกานิดหนึ่งแล้วก็พูดยิ้มๆ

          “วันนี้พี่กลับก่อนนะ คงไม่ได้ไปกินกับพวกนายด้วย  ขอโทษด้วยล่ะกัน”

          “จะรีบไปรับแฟนก็บอกมาเถอะ  หมั่นไส้วุ้ย พวกหลงแฟนไม่ลืมหูลืมตา  เด็กอักษรฯ นี่มันมีดีตรงไหนนะอยากรู้จริง”  เสียงแหลมดังมาจาก พี่ส้ม  พี่สาวประจำกลุ่มค่อนขอดมา เพราะอีกฝ่ายมักจะหายหน้าหายตาไปทุกครั้งตอนเย็น ไม่ว่าจะติดภารกิจอะไรอยู่ก็ต้องวางลงก่อน  เป็นอันรู้กันว่าต้องรีบไปส่ง ‘เด็ก’ กลับบ้าน

          ดิมไม่ตอบ แต่ยักคิ้วให้พร้อมกับรอยยิ้มอย่างมีเลศนัย แต่ก็มีเสน่ห์เหลือร้ายในความคิดของคนมองอย่างเขา  ที่เฝ้าดูอีกคนเดินแกมวิ่งออกไปจากตึกเรียน

          “ชอบมันก็จีบเลยสิ  มัวแต่เก็บเอาไว้ในใจ  มันจะไปรู้ได้ยังไง”  เขาสะดุ้ง เมื่อจู่ๆพี่ส้มก็พูดโพล่งขึ้นมาลอยๆ เพื่อนในกลุ่มอีกสองสามคน หันมามองเขาเป็นตาเดียว  รู้สึกหน้าเห่อร้อนขึ้นมาทันที  รีบปฏิเสธทันควัน

          “เห้ย  ไม่ใช่แล้วพี่  พูดอะไรไม่รู้”  พี่ส้มยิ้ม

          “สายตาแกน่ะ  ถ้าไม่ตาบอดก็ดูออกทั้งนั้นแหละน่ะ  แต่ดิมมันคงดูไม่ออกหรอก เพราะมันซื่อบื้อ”

          “พี่ดิมเค้ามีแฟนแล้ว” เขาอ้อมแอ้ม

          “เห้ย  ชั้นเชียร์แกมากกว่าไอ้เด็กอักษรฯนั่นนะ  เดี๋ยวมันก็เลิกกัน คอยดูสิ ยิ่งปีหน้าขึ้นคลินิกแล้วด้วย ยิ่งไม่มีเวลาให้หรอก  รับรองได้ ไม่เกินสิ้นปี เลิกกันแน่ๆ  เห็นมาเยอะแล้ว มีแฟนนอกคณะเนี่ย ไม่รอดสักราย” พี่ส้มพูด  ยกมือขึ้นตบที่ไหล่ของเบาๆ

          “ใจเย็นๆ รอไปก่อน เดี๋ยวเจ้ช่วยเอง”  จบประโยคพร้อมกับหัวเราะ

          เวลาผ่านมาอีกสองปี  ความสัมพันธ์ของสองคนนั้นก็ดูจะยิ่งกระชับแนบแน่นมากขึ้น ไม่มีทีท่าว่าจะเลิกรากันไปอย่างที่พี่ส้มเคยพูดเอาไว้  จนคนพูดเองก็ถอดใจ ยอมรับ ‘แฟน’ ของดิมเข้ากลุ่มอย่างจำยอม ลืมไปเสียสนิทว่าเคยบอกว่าจะช่วยเขาอย่างไร

          สุดท้ายก็เหลือแต่เขา  ที่ต้องช่วยตัวเอง...เวลาที่ผ่านมาบอกว่า ในเมื่อพี่ดิมไม่เคยหันมาเห็นเขา  เพราะมีเด็กหนุ่มหัวหยิก  หน้าตาบ้านๆคนนั้นบดบังสายตาอยู่  มันก็เป็นหน้าที่ของเขา ที่จะต้องจัดการ ‘เขี่ย’ ผงในตาของพี่ดิมออกให้ด้วยตัวเอง

          แล้วพี่ดิมจะต้องขอบใจเขา 

          เพราะไม่มีใครเหมาะสมกับพี่ดิม  เท่าวิรัลอีกเเล้ว



                        **********************



มาต่อจบตอนนะคะ  ขอบคุณมากนะคะที่ติดตามกัน
เจอกันตอนหน้าค่ะ :mew1:

ออฟไลน์ polkadot

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
นั่นไงละ ว่าแล้วว่ารันมันต้องสร้างเรื่องให้คนแตกแยกกัน ทำไมซื้อหวยไม่เคยเดาถูกอย่างนี้บ้างนะ

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
เกลียดหมอรัลค่ะ


ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
ผิดเพราะรัก ถึงทำผิด ไม่คิดมาก
เคยลำบาก เพียงไหน ใจโหยหา
ทุกหนทาง ที่ย่างทำ ทุกคราวครา
เพื่อได้มา คนที่รัก ให้พักใจ

ช่วยไม่ได้ ใครให้โง่ เชื่อโป้ปด
ช่วยไม่ได้ ไม่ละลด อดสงสัย
ช่วยไม่ได้ ฉลาดน้อย บ่อยเกินไป
ช่วยไม่ได้ เป็นเหยื่อให้ เลิกลากัน


หมอรันเป็นคนสร้างเรื่อง
แต่หมอดิมกับเต
ก็เชื่อหมดทุกอย่าง

พระเอกกับนายเอกเรื่องนี้
หุหุ ถ้าสมน้ำหน้า..จะมีใครว่าเราไหม

โง่หนิ
 :katai2-1:
หึหึ

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
  ว่าล่ะหมอรันต้องเป็นต้นเหตุที่ทำให้เตบอกเลิกดิม ตอนนี้อ่านแบบสงสารเต แฟนเก่าเข้าใจผิด แต่ก็อดใจเอาไว้สะใจตอนเตเล่าความจริงที่บอกเลิกดิมดีกว่า
  รออ่านตอนต่อไปคับ

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
ผิดเพราะรัก ถึงทำผิด ไม่คิดมาก
เคยลำบาก เพียงไหน ใจโหยหา
ทุกหนทาง ที่ย่างทำ ทุกคราวครา
เพื่อได้มา คนที่รัก ให้พักใจ

ช่วยไม่ได้ ใครให้โง่ เชื่อโป้ปด
ช่วยไม่ได้ ไม่ละลด อดสงสัย
ช่วยไม่ได้ ฉลาดน้อย บ่อยเกินไป
ช่วยไม่ได้ เป็นเหยื่อให้ เลิกลากัน


หมอรันเป็นคนสร้างเรื่อง
แต่หมอดิมกับเต
ก็เชื่อหมดทุกอย่าง

พระเอกกับนายเอกเรื่องนี้
หุหุ ถ้าสมน้ำหน้า..จะมีใครว่าเราไหม

โง่หนิ
 :katai2-1:
หึหึ


ใข่เลย ไม่ต้องพูดไรแล้ว 55555 //แต่ก็นะบางทีเราก็มีเผลอโง่ ความจำไม่เสื่อม แล้วงี้เตจะยังบอกความจริงอยู่ไหม บอกไปให้ความโง่สั่นคลอนบ้างเถอะ ใครพูดจริงใครตอแหล ตอนนี้ไม่เชื่อใจใคร ก็ตามหาความจริงเอง เบ้ยยย 555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-01-2017 00:51:17 โดย blove »

ออฟไลน์ myapril

  • Tomorrow
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-3
หมอรัล จัดการได้ทั้งสองฝ่าย เอ่ออ...
+1 ค่ะ

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
ผิดเพราะรัก ถึงทำผิด ไม่คิดมาก
เคยลำบาก เพียงไหน ใจโหยหา
ทุกหนทาง ที่ย่างทำ ทุกคราวครา
เพื่อได้มา คนที่รัก ให้พักใจ

ช่วยไม่ได้ ใครให้โง่ เชื่อโป้ปด
ช่วยไม่ได้ ไม่ละลด อดสงสัย
ช่วยไม่ได้ ฉลาดน้อย บ่อยเกินไป
ช่วยไม่ได้ เป็นเหยื่อให้ เลิกลากัน


หมอรันเป็นคนสร้างเรื่อง
แต่หมอดิมกับเต
ก็เชื่อหมดทุกอย่าง

พระเอกกับนายเอกเรื่องนี้
หุหุ ถ้าสมน้ำหน้า..จะมีใครว่าเราไหม

โง่หนิ
 :katai2-1:
หึหึ


โดนใจ

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
ต่อเร็ววว เอาความกากของพระเอกมาอ่านหน่อย
สงสารเต เหมือนเมียอาการหนัก อีกไม่นานคงดีพมาก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
เกลียดหมอรัน  ชิส์ 
ดราม่าอีกหลายตอนเลยไหมเนี่ย  แต่รออ่านนะจ๊ะ
ชอบค่ะ  เข้มข้นมาก

ออฟไลน์ oilzaza001

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
เตก็โง่ ดิมก็โง่ สุดท้ายก็เลยโดนรันปั่นหัวกันทั้งคู่ อมก. ดิมควรจะคู่กับรันคนฉลาดถูกละค่ะ จะได้ถูกควบคุมได้ง่ายๆ โง่ดี 55555 ส่วนเต ก็ปล่อยให้นางมีลูกมีเมียไป เห็นมั้ยย จบ happy end เย้เย้  o18  :pig4:

ออฟไลน์ 205arr

  • เราคงอยู่ไกลกันเป็นพันหมื่นลี้
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
ลุ้นมากๆ เมื่อไหร่จะรู้ความจริงกันหนอพี่ดิม น้องเต :ling1: :ling1:
หมั่นไส้หมอรันจริงๆ  :beat: :beat:

ออฟไลน์ Duangjai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 658
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
หลงสงสารนางไปเก้าบท มาเจอบทที่สิบ นางเป็นตัวร้ายนี่หน่า

กลับมาคู่กันเนอะพี่ดิม_เต

 :a5:  :a5:  :a5:   :a5:

  :katai5:  :katai5:  :katai5:   :katai5:  :katai5:

..

ออฟไลน์ เจเจจัง

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ไรทีคะ คือรัลทำขนาดนี้นางจะได้รับผลกรรมมั้ยอ่ะ. อย่าบอกนะว่านางจะมีความสุข. สมหวังในรัก

ว่าแต่ทั้งดิมทั้งเตไหงโง่มากมายเดินตามเกมรัลอยู่ได้. ดิมคบเตมาตั้งนานไม่รู้นิสัยเตเหรอว่าเป็นคนยังงัยไม่คิดหาเหตุผลที่เตขอเลิกหน่อยเหรอ. แล้วเชื่อรัลมากไปไหม. เมื่อไหร่ดิมจะฉลาดสงสัยรัลเสียที

เตก็เหมือนกันมีอะไรก็บอกดิมไปตรงๆ. ว่าทำไมต้องเลิก ประชดกันไปมา. เข้าทางรัลเลย

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
เพราะหัวใจบอกว่า...หวัง

 

 

 

 

            ชายหนุ่มหน้าคมเข้มกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟาหนังแท้ขนาดใหญ่  จับตามองไปที่เจ้าของบ้านที่กำลังเดินกลับไปกลับมาระหว่างห้องครัวกับห้องอาหารวุ่นวาย เพื่อเตรียมจัดโต๊ะอาหารมื้อกลางวันให้แก่เขา

            “ให้ผมช่วยดีกว่านะ”  ดิมพูดพลางขยับลุกขึ้นยืน แต่อีกฝ่ายรีบหันมาห้ามเอาไว้

            “ไม่ต้องหรอกจะเสร็จแล้วเนี่ย  แขนเดี้ยงแบบนั้นจะมาช่วยยังไง  เดี๋ยวทำจานรันตกแตกยุ่งหนักกว่าเดิมอีก”

          “แหม ดูถูก  ถึงแขนซ้ายง่อยก็ยังเหลือแขนขวาล่ะน่า”  คนเจ็บพึมพำกับตัวเอง  แต่ก็ยอมทรุดตัวลงนั่งที่เดิมแต่โดยดี   ครู่เดียวคนรักก็เดินเข้ามาหา

            “เสร็จแล้วเจ้านาย ไปกินข้าวได้”  พูดแกมหัวเราะร่าเริง   เข้ามาจับแขนเขาพาไปที่โต๊ะอาหาร ที่มีกับข้าวง่ายๆสองสามอย่างและข้าวสวยร้อนๆควันฉุย

            “โห  น่ากินจัง  ไหนชิมหน่อยสิ  อื้อหืม...”  แขกตักน้ำแกงจืดเข้าปาก

          “อื้อหืออะไร  อร่อยไหม อย่าเงียบสิ”  คนทำชักกังวล  ปกติเขาไม่ค่อยมีเวลาได้เข้าครัว ทำอาหารเองซะเท่าไหร่  ส่วนใหญ่อาศัยร้านอาหารนอกบ้าน  ไม่ก็อาหารในโรงพยาบาล

            “หมอรันทำทั้งที  อร่อยสิครับแหม”  พูดกลั้วหัวเราะ แล้วก็ใช้มือข้างเดียวตักอาหารข้าวสวยเข้าปาก   พ่อครัวค่อยยิ้มออก  เอื้อมมือไปตักกับข้าวใส่จานให้อย่างเอาอกเอาใจ  เห็นอีกฝ่ายตักเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆก็ยิ่งปลื้ม

            ดิมย้ายมาพักที่บ้านของเขาชั่วคราวมาเกือบอาทิตย์หนึ่งแล้ว  หลังจากที่หมอให้ออกจากโรงพยาบาลได้   เขาเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่หายดี   เหลือแขนข้างเดียวคงไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ถนัด จึงเสนอว่าให้เขาย้ายไปพักที่คอนโดของดิมหรือไม่ดิมก็ย้ายมาอยู่บ้านของเขาก่อน  ซึ่งตกลงกันเลือกอย่างหลัง

            อาการของคนเจ็บดีขึ้นเรื่อยๆ  เจ้าตัวบ่นอุบว่าอยากกลับไปทำงานต่อแล้ว ตามประสาคนบ้างาน  ติดที่แขนที่ใส่เฝือกอยู่ยังไม่หายดี และต้องทำกายภาพบำบัดอีก กว่าจะกลับมาใช้งานได้สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ พร้อมที่จะกลับไปผ่าตัดคนไข้ต่อได้  รวมๆก็อีกเกือบเดือน 

            ปัญหามันอยู่ที่อาทิตย์หน้าเขาจะต้องไปดูงานที่ต่างประเทศนานเกือบสามอาทิตย์นี่สิ    แล้วใครจะดูแลดิมล่ะ

            “กินฝีมือตัวเองไม่ลงเหรอ”  สะดุ้งนิดหน่อย เพระมัวคิดเพลิน เห็นอีกฝ่ายวางช้อนจ้องหน้าเขาอยู่นานแล้ว กุมารแพทย์สั่นศีรษะ

            “เปล่าหรอก  กำลังคิดว่าอาทิตย์หน้าจะเอาอย่างไรดี   ไปบราซิลกับรันไหมล่ะ  ดิมยังไม่เคยไปเลยไม่ใช่เหรอ จะได้ถือว่าไปเที่ยวด้วยไง”

          “ไม่เอาหรอก  ผมไปก็ไปทำให้คุณลำบากเปล่าๆ  ไปดูงานก็เหนื่อยอยู่แล้ว  ไม่ต้องห่วงหรอกน่า  ผมดูแลตัวเองได้ มือขวาก็ยังใช้การได้อยู่   ทำนู่นทำนี่ได้อยู่แล้ว”  รดิศบอก  เขาไม่อยากให้คนรักต้องมาเสียเวลาคอยดูแลเขา  แทนที่จะได้เรียนรู้ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้ได้มากที่สุด

            “จ้างพยาบาลมาดูไหมล่ะ”

          “ก็ดีนะ  ขอขาวๆน่ารักๆหน่อย”  รดิศแกล้งยั่ว  นัยน์ตาพราว

            “ไม่เอาดีกว่า  ชักไม่ไว้ใจ   เดี๋ยวพอรันกลับมา  ดิมก็มีแฟนใหม่ไปแล้วเรียบร้อยงี้  ไม่เอาๆ  ขอคิดดูก่อน”  คนฟังหัวเราะลั่น

            “คิดมากจัง ผมไม่ใช่คนเจ้าชู้เสียหน่อย  ผมรักเดียวใจเดียวจะตายไป”  คนฟังปรายตามองเล็กน้อย

            “นั่นแหละ  พูดแบบนี้รันยิ่งกลัวใหญ่เลย  รู้แล้ว เดี๋ยวโทรหาเจ๊ส้ม ขอพยาบาลอาวุโสมาช่วยดูแลกันดีกว่า”

            “อาวุโสเลยเรอะ   โหย  ใจร้ายจัง”  ดิมบ่นพึมพำ  แต่ดูเหมือนว่าคนรักของเขาจะตัดสินใจไปแล้ว  เพราะชายหนุ่มลุกจากเก้าอี้เดินไปยกหูโทรศัพท์ขึ้นทันที ตามนิสัยคิดไวทำไว   ดิมจับตามองยิ้มๆ รู้สึกอุ่นใจอย่างประหลาด  เขารู้ว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงเขามากแค่ไหน  หลายวันที่ผ่านมา วิรัลดูแลเขาอย่างดี ทั้งที่ตัวเองก็งานยุ่งแสนยุ่ง แต่ก็ยังหาเวลาปลีกตัวกลับบ้านมาดูเขาจนได้

            ต้องขอบคุณอะไรหลายๆอย่างที่ทำให้เราได้มาเจอกันจริงๆ  ไม่อย่างนั้นเขาก็คงจะมัวแต่หลงจมปลักอยู่กับ...แค่คิดถึงก็เผลอเบ้ปาก ...พวกใจดำอำมหิตยิ่งกว่าน้ำในคลองแสนแสบ  ดูสิ เมื่อวันก่อนก็โทรมาหาเขาอีก ถามเรื่องต้นฉบับที่อยากให้แก้ไข   รันเป็นคนรับโทรศัพท์ให้เขา บอกว่าอีกฝ่ายไม่ถามสักคำว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง  สนใจแค่งานของตัวเองเท่านั้น

            เหอะ  เตก็เป็นแบบนี้ล่ะ  เป็นมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่ว่าตอนนั้นความรักมันบังตาอยู่ ก็เลยมองข้ามจุดนี้ไป


                                   **********************

          “โธ่เต  พี่อยู่เวรพอดี จะออกไปได้ยังไงล่ะ”  เขาพลิกนาฬิกาดูเวลา อุตส่าห์ปลีกตัวมาโทรหาแฟนให้หายคิดถึงเสียหน่อยแท้ๆ  ดันทำท่าว่าจะทะเลาะกันเสียได้

          “ไหนตอนแรกพี่ดิมบอกว่าไม่ได้อยู่เวรวันนี้ไงล่ะ”  เสียงตั้งเตบ่นมาตามสาย

          “ตอนแรกไม่ได้อยู่ แต่เพื่อนมันขอแลกเวรไง มันติดธุระสำคัญจริงๆ  พี่ก็เลยย้ายมาอยู่วันนี้แทน”

“แล้วที่พี่นัดกับผม มันไม่สำคัญหรือไง  พี่ก็เป็นแบบนี้เรื่อย ใจอ่อนตลอด  แล้วทำไมพี่ไม่บอกผมก่อน นี่ผมรออยู่ที่ร้านนานแล้วเนี่ย”   เตหมายถึงร้านอาหารที่เราสองคนตกลงจะไปกินด้วยกัน

“พี่บอกเตไปแล้วเมื่อวันก่อน  ตอนที่นั่งอยู่ใต้คณะฯ...นายมัวแต่ทำรายงาน ไม่ฟังพี่เองน่ะสิ”

          “ตอนไหน ผมไม่เห็นได้ยิน ...เออ ช่างเถอะ  สรุปวันนี้พี่มาหาผมไม่ได้ใช่ป่ะ” หางเสียงตวัดเล็กน้อย บอกว่าเจ้าตัวหงุดหงิด

          “ไม่ได้จริงๆ  ไว้พรุ่งนี้พี่ค่อยไปรับที่หอตอนเช้านะ”  อีกฝ่ายเงียบไปครู่นึง แล้วก็ตอบกลับมา

          “ก็ได้  งั้นแค่นี้ก่อน  อย่าลืมหาอะไรกินด้วยนะ”  จบประโยคสุดท้าย ปลายสายก็ตัดไป  ดิมถอนหายใจออกมาเบาๆ  พักนี้เขาไม่ค่อยได้เจอหน้าแฟนเลย  เป็นเพราะตอนนี้เขาเรียนอยู่ชั้นคลินิกแล้ว  ต้องขึ้นวอร์ด ดูแลคนไข้จริงๆ ทำให้เรียนหนักขึ้นจนแทบไม่มีเวลาให้เตเหมือนเดิม  แถมยังมีขึ้นเวรอีก  บางวันกว่าจะเลิกก็ห้าทุ่ม เที่ยงคืน  แค่เดินลงจากวอร์ดก็หมดแรง อย่าว่าแต่จะไปหาใครที่ไหนเลย

          ห่ออาหารห่อหนึ่งวางลงตรงหน้าเขา  ดิมเงยหน้าขึ้นมอง  เห็นเพื่อนรุ่นน้องในกลุ่มยืนยิ้มอยู่ข้างๆ

          “ยังไม่ได้กินข้าวล่ะสิ  ผมซื้อบะหมี่หน้าโรงพยาบาลมาฝาก  เจ้านี้อร่อยมากเลยนะ  รีบกินเร็ว”  วิรัลพูดยิ้มๆ  แล้วเข้ามานั่งข้างๆเขา วางห่อบะหมี่หมูแดงของตัวเองลงบนโต๊ะ   

          “ขอบคุณมาก....เย็นแล้ว ทำไมไม่รีบกลับบ้านล่ะ”  เขาถามอย่างสงสัย เพราะเย็นวันศุกร์แบบนี้  พอราวน์เสร็จก็ต่างรีบลงจากวอร์ดกันทั้งนั้น  ถ้าไม่ติดว่าอยู่เวรอย่างเขาล่ะก็  ส่วนใหญ่บินปร๋อไปเดินเที่ยว หาอะไรอร่อยๆกินแล้ว

          “ผมอยู่เขียนรายงานน่ะ  ยังซักประวัติคนไข้ไม่เสร็จเลย”   อีกฝ่ายพูด  ขณะที่ก้มหน้าก้มตาใช้ตะเกียบคีบบะหมี่ในห่อขึ้นมาใส่ปาก

          “อ้อ...” เขาพยักหน้ารับ  ไม่ได้พูดอะไรต่อ  ก้มลงรับประทานอาหารของตนเองบ้าง นึกขอบคุณความมีน้ำใจของอีกฝ่ายอยู่ในใจ

          รุ่นน้องคนนี้ถึงจะอยู่กลุ่มเดียวกับเขา  แต่ก็ไม่ได้สนิทกันมากนัก  เพราะอีกฝ่ายค่อนข้างเงียบๆ  ไม่ค่อยมีปากมีเสียงเท่าไหร่ในกลุ่ม  แต่สามารถพึ่งพาอาศัยได้เสมอ

          “ให้พี่ช่วยอะไรไหมล่ะ  หมายถึงรายงานน่ะ เขียนถึงไหนแล้ว”  เขาอาสาช่วยเหลืออีกฝ่ายเป็นการตอบแทน  รันยิ้มกว้าง รีบดึงกระดาษรายงานปึกใหญ่ พร้อมกับชีทและหนังสือเรียนขึ้นมาเปิดกางเต็มโต๊ะ   พร้อมกับลิสต์คำถามยาวเป็นหางว่าว

          ทำให้เขาพอจะเริ่มรู้ทันอยู่บ้างว่าจุดประสงค์หลักของอีกฝ่ายคงต้องการให้เขาติวให้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วนั่นแหละ  หึๆ

          ผ่านไปเกือบสองชั่วโมง  เขาถูกตามไปดูคนไข้สองครั้ง  กลับมาก็ยังเจอเพื่อนรุ่นน้องนั่งรออยู่ที่เดิมไม่ไปไหน  เผลอมองใบหน้าหวาน สวมแว่นตากรอบใหญ่ทำให้เห็นดวงตาคู่นั้นกลมโตยิ่งกว่าเดิม  คิ้วเรียวยาวขมวดมุ่น ปลายนิ้วไล่ไปตามตัวอักษรที่เรียงรายอยู่อน่างขะมักเขม้น

          “ยังไม่เข้าใจตรงไหนอีก หืม  ทำหน้าเครียดซะขนาดนั้น  อย่าย่นคิ้วมากสิ  เดี๋ยวหน้าย่นก่อนวัยหรอก”  เขาพูดแกมหัวเราะ  ทรุดลงนั่งข้างๆที่เดิม  เอื้อมมือไปดึงหนังสือเรียนเล่มหนาจากมืออีกฝ่ายมาดู

          “ตรงนี้อ่ะ  พี่ดิม  ผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องให้ทาง IV ด้วย ให้ Oral ไม่ได้เหรอ...”

          เวรของเขาหมดไปกับการสอนรุ่นน้องคนนี้    เขาพบว่าอีกฝ่ายก็พูดเก่งพอดู  แถมมีความสนใจในหลายๆเรื่องที่คล้ายๆกัน ทำให้คุยกันถูกคอมากขึ้น   นึกแปลกใจเหมือนกันว่ารู้จักกันมาตั้งเกือบสี่ปี ทำไมถึงไม่เคยคุยกันแบบนี้เลย

          กว่าจะเลิกเวรวันนั้น ก็เกือบเที่ยงคืน  ฝนตกปรอยๆ ตอนที่เขาสองคนเดินกลับหอพักไปด้วยกัน  เสียงหวานๆยังพูดจ้อยๆอย่างร่าเริง  ดูเหมือนวิรัลจะอารมณ์ดีมากกว่าทุกครั้งที่เคยเห็น

          “พี่ดิม  รู้ป่ะว่าข้างหน้าโรงพยาบาลตอนตีห้า จะมีโจ้กเจ้านึงมาขาย อร่อยมากเลยนะพี่  สนใจไปตื่นไปกินด้วยกันมั้ย  พรุ่งนี้”

          “โจ้กเหรอ  กำลังอยากกินเลย แต่ตีห้าจะตื่นไหวไหมเนี่ย ฮ่าๆ”

          “เดี๋ยวผมซื้อมาฝากไหมล่ะ” รันอาสาอีกตามเคย

          “ไม่เอาหรอก เกรงใจ  เอาอย่างนี้ นายมาเคาะเรียกพี่หน่อยได้ไหมตอนเช้า พี่จะไปด้วย”   ดิมพูด  เห็นอีกฝ่ายยิ้มกว้าง รับคำเป็นมั่นเหมาะ

          เช้าวันถัดมา เขาก็เลยได้เปลี่ยนบรรยากาศ ลงไปกินโจ้กที่หน้าโรงพยาบาลตอนเช้าๆ โจ้กอร่อยสมกับที่คนพามากินคุยอวดเอาไว้   เขาก็เลยซื้ออีกถุงนึงจะแวะเอาไปฝากเต

          “โอ้โห  พี่จะกินสามชามเลยเหรอ”  ริทอุทาน  หลังจากที่เขาฟาดเรียบไปสองชามใหญ่

          “เปล่าหรอก พี่จะซื้อไปฝากเตมันหน่อย  อร่อยดี”  เขาตอบตามตรง  รู้สึกเขินนิดหน่อยที่เห็นสายตาของฝ่ายนั้นมองมา

          “เทคแคร์ดีขนาดนี้  ใครๆคงอิจฉาน้องเตแย่เลย”  เขายกมือขึ้นเกาแก้ม

          “ไม่ขนาดนั้นหรอก  เมื่อวานเข้าใจผิดกันนิดหน่อย เลยโดนงอน  วันนี้ต้องไปง้อสักหน่อย”  พูดไปก็มองนาฬิกาไป  เกือบหกโมงเช้าแล้ว  ป่านนี้เตน่าจะใกล้ตื่นนอนแล้วล่ะ  รีบขึ้นไปอาบน้ำบนหอแล้วไปเอาโจ้กไปฝากดีกว่า  ติดอยู่ตรงที่อีกฝ่ายยังกินไม่เสร็จนี่ล่ะ

          “ไปก่อนก็ได้พี่  ผมจะรอกินปาท่องโก๋ต่อน่ะ  ป้าเขาทอดอยู่” รันพูดยิ้มๆ  คงดูออกว่าเขาอยากไปหาแฟนแล้ว  หันไปมองกระทะปาท่องโก๋ที่เพิ่งเริ่มตั้งไฟ...คงต้องขอบาย

          “งั้นขอโทษด้วยนะ  พี่ขอไปก่อน ไว้วันหลังจะอยู่กินปาท่องโก๋ น้ำเต้าหู้ด้วย  วันนี้รีบหน่อย  กลัวเตมันไปทำงานเสียก่อน”  รันโบกมือให้  เขารีบลุกขึ้นเดินขึ้นหอเร็วๆ  อาบน้ำแต่งตัวจนเสร็จก็รีบเผ่นไปหาเด็กหนุ่มทันที

          พอตั้งเตเห็นโจ้กที่เจ้าตัวบ่นอยากกินมาหลายวันก็หายงอนเขาเป็นปลิดทิ้ง   หลังจากวันนั้นเขาก็ลงมากินอาหารเช้ากับรันด้วยเกือบทุกวัน กลายเป็นลูกค้าประจำของป้ากับอาซิ้มขายกาแฟหน้าโรงพยาบาลไปโดยปริยาย

                         *****************



            “รันยังกินช้าอยู่เหมือนเดิมเลยนะ  ผมจำได้ว่าแต่ก่อนต้องนั่งรอคุณละเลียดโจ้กกับน้ำเต้าหู้ประจำ   กว่าจะหมดชามได้”  จู่ๆรดิศก็พูดขึ้นมา   วิรัลเงยหน้าขึ้น  นึกตามครู่เดียวก็นึกออก

            “โห เรื่องตั้งนานแล้ว  เดี๋ยวนี้รันพัฒนา กินเร็วกว่าดิมอีก ดูสิ”    คุณหมอเด็กอวดจานข้าวที่สะอาดเกลี้ยงเกลา ตรงข้ามกับอีกฝ่ายที่ยังมีข้าวเหลืออยู่ครึ่งจาน เพราะทานไม่ถนัด

          “แบบนี้เขาไม่เรียกกินเร็ว  เขาเรียกกินน้อยตะหาก  ตักน้อยก็ต้องหมดก่อนสิ”  ดิมพูด  รวบช้อนเข้าไว้ด้วยกัน  รู้สึกอิ่มขึ้นมาอย่างประหลาด

            “อ้าว  ทำไมอิ่มเร็วจัง  ทานอีกหน่อยสิ”  คนทำคะยั้นคะยอ  แต่เขาส่ายหน้า

            “พอแล้ว  อิ่มแล้วล่ะ  รันรีบไปทำงานเถอะ  ใกล้บ่ายโมงแล้ว  เดี๋ยวผมจัดการที่เหลือเอง”  คนพูดลุกขึ้นยืน  ใช้มือข้างเดียวรวบจานมากองรวมกันเอาไว้อย่างคล่องแคล่ว  แต่เจ้าของบ้านรีบห้าม

          “จัดการอะไรล่ะ  ไม่ต้องเลยนะ  เอางี้  ช่วยยกไปไว้ในอ่างล้างจานก็พอ  เดี๋ยวรันกลับบ้านมาล้างเอง  ให้ดิมทำมีหวังตกแตกหมด”   

            ศัลยแพทย์หนุ่มหัวเราะในคอ  ยอมทำตามที่คนรักบอกแต่โดยดี

            วิรัลมองตามหลังร่างสูงได้สัดส่วนที่เดินเข้าไปในครัว   แอบยิ้มกับตัวเอง...ช่วงเวลาเกือบสองอาทิตย์ที่เขาได้ดูแลดิมอย่างใกล้ชิด ทำให้เขามีความสุขมาก  รู้สึกเหมือนความมั่นใจที่หดหายไปตอนที่รู้ว่าอีกฝ่ายได้พบกับแฟนเก่าเริ่มกลับคืนมาอีกครั้ง   ถึงแม้ว่าจะยังมีบางครั้งที่เขาสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายเหม่อลอยไปบ้างก็ตาม

            เอาเถอะน่ะ   ช้าๆได้พร้าเล่มงาม  ท่องเตือนใจเอาไว้เหมือนที่เขาท่องมาตลอด 7 ปี เฝ้ารอกว่าคนคู่นั้นจะเลิกกัน  ในเมื่อตอนนั้นรักกันปานจะกลืนกิน เขายังสามารถทำให้พวกเค้าแยกกันได้  ตอนนี้มันไม่ยิ่งง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยหรอกหรือ   ดิมเชื่อใจ ไว้ใจเขามากกว่าเมื่อหลายปีก่อนหลายเท่า  แค่หาทางกันไม่ให้พวกเขาเจอกันก็จบแล้ว

            แต่สามอาทิตย์ที่เขาจะไม่อยู่เมืองไทยนี่สิ....

            “คิดอะไรอยู่ ทำหน้าซีเรียสเชียว” สะดุ้งน้อยๆ เมื่ออีกฝ่ายออกจากห้องครัวมายืนกอดออกอยู่ข้างๆ หันไปยิ้มรับ รีบลุกขึ้นยืน  หยิบกระเป๋าเอกสารมาถือเอาไว้

            “คิดเรื่องเคสวันนี้นิดหน่อย  รันไปก่อนนะ  เดี๋ยวเย็นนี้เจอกัน”

          ดิมขยับเข้ามาหอมแก้มเขาเหมือนเช่นเคย...ทุกครั้งก่อนไปทำงาน   ไม่อยากบอกเลยว่ามันทำให้เขารู้สึกดีจนไม่อยากจะออกจากบ้าน  ไม่อยากอยู่ห่างกันเลย และคงทนไม่ได้แน่นอนถ้าวันหนึ่งดิมจะต้องจากเขาไป ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด

            แต่ถ้าอีกฝ่ายต้องจากเขาไปจริงๆ  มันต้องไม่ใช่เพราะเด็กหนุ่มหน้าหวานผมหยิกคนนั้นแน่ 

----------------------------------------------------------------------------

“เต  บ่ายนี้ออกไปข้างนอกกับพี่หน่อยนะ  พี่จะไปเยี่ยมหมอดิม  ออกจากโรงพยาบาลเกือบอาทิตย์แล้ว ไม่ได้ไปเยี่ยมเลย”   เสียงบรรณาธิการรุ่นพี่ของเขาพูดมาตามสาย   นักเขียนหนุ่มขมวดคิ้วนิดๆ ถามกลับงงๆ

            “ออกจากโรงพยาบาล?  เอ  หมายถึงที่หมอดิมลาพัก 1 เดือนหรือครับ”

            “ใช่แล้ว  ไม่รู้เป็นไงบ้าง แต่ตัวเองเป็นหมอ แถมมีแฟนเป็นหมอด้วยกันอีก ก็คงดูแลกันดีแหละ  แต่เรารู้ว่าเขาเจ็บก็ต้องไปเยี่ยมหน่อยตามมารยาท เขาอุตส่าห์ให้เราสัมภาษณ์งานนะเต”  หางเสียงเริ่มมีแววตำหนิหน่อยๆ เพราะนึกว่ารุ่นน้องหาทางโยกโย้ ไม่อยากไป

          “หมอดิมเป็นอะไรหรือครับ” เตรีบถาม  เสียงสั่นน้อยๆ

            “อ้าว  ก็ที่รถชนไง  นอนรพ.ตั้งนาน  นี่นายไม่รู้หรอกหรือ”  อีกฝ่ายถามกลับอย่างงุงงง   นึกแปลกใจว่าทำไมรุ่นน้องถึงไม่รู้ข่าวนี้   เขารู้ตั้งแต่วันแรกที่เกิดเรื่องทีเดียว  เพราะหมอส้มที่สนิทกันโทรมาเล่าให้ฟัง

            รถชน! คนฟังอุทานก้องอยู่ในใจ  มือที่จับโทรศัพท์อยู่เริ่มสั่นอย่างควบคุมไม่ได้    ถามต่อละล่ำละลัก

            “แล้วหมอดิมบาดเจ็บตรงไหนบ้างครับ  ปลอดภัยดีใช่มั้ย”

          “ก็ต้องปลอดภัยสิ  ไม่งั้นจะกลับบ้านได้ยังไง  นี่นายได้ไปติดต่อต้นฉบับจริงหรือเปล่าเนี่ย  ทำไมไม่รู้เรื่อง” หางเสียงเจ้านายชักสงสัย

            “ผมโทรไปแล้วครับ  ไม่เห็นมีใครบอกเลย  หมอรันรับสายก็ไม่เห็นแกพูดอะไร”

          “คงนึกว่านายรู้เรื่องแล้วล่ะมั้ง  เออ ช่างเหอะ  ไม่เป็นไร เอาเป็นว่าบ่ายโมงเจอกันที่บริษัทก่อนนะ  จะเอารถบริษัทไป”

          “ออกจากโรงพยาบาลได้ ก็แปลว่าอาการดีขึ้นมากแล้วใช่ไหมครับ”  พยายามสะกดเสียงไม่ให้ดูอยากรู้มากเกินไป 

            “น่าจะหายแล้วนะ ไม่รู้ว่ะ  ไว้วันนี้เจอก็รู้เอง”  โดมพูดอีกสองสามคำก็ตัดบทวางสายไป

            ตั้งเตทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ทำงานภายในห้องส่วนตัวที่บ้านของตนเองช้าๆ  เอนหลังพิงพนัก  ยกมือขึ้นวางที่หน้าอก บริเวณเหนือหัวใจ  รู้สึกได้ว่าใจสั่น....รถชน?  ตอนไหน? เป็นอะไรมากมั้ย? นอนรพ.ตั้งนานงั้นหรือ?  ทำไมเขาไม่รู้เรื่องเลยล่ะ?  ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง? แล้วใครดูแล?....

            คำถามเป็นสิบเรียงเข้ามาในหัว    จู่ๆก็เกิดความกลัวขึ้นมาจับใจ  เหมือนเหลือเกิน..เมื่อหลายปีก่อนนั่น   ตอนที่เขาตัดสินใจทิ้งพี่ดิมให้นอนอยู่ตรงนั้น เพื่อที่จะไปหาใครอีกคนที่น่าเป็นห่วงกว่า   แล้วก็รู้สึกผิดอย่างรุนแรงทุกครั้งที่นึกถึง

            เพิ่งรู้ว่าความรู้สึกผิดมันทรมานใจยิ่งนัก  ก็ตอนที่เวลามันผ่านมาเนิ่นนานแต่ความทรงจำอันเลวร้ายกลับไม่เคยจางหายไปตามกาลเวลา  ถึงเขาจะเค้นหาเหตุผลร้อยแปดมาหักล้างเท่าใด  ก็ไม่สามารถลบความรู้สึกที่ว่า  เราทำผิดกับคนหนึ่งๆเอาไว้ได้เลย  และเหตุผลที่ใช้อ้างกับตัวเองในตอนนั้น ก็ดูจะอ่อนเสียเหลือเกินในความคิดตอนนี้

            เขาเคยถามตัวเองหลายครั้งว่า ถ้าได้เจอคนๆนั้นอีก  เขาจะทำอย่างไร  จะเข้าไปขอโทษแล้วยอมรับผิดตรงๆ หรือว่าจะทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น  ถามกลับไปกลับมากับตัวเองหลายรอบ แต่ก็ไม่เคยได้คำตอบที่น่าพอใจ

            เวลาผ่านไปเร็วอย่างน่าประหลาด  ใกล้จะบ่ายโมงแล้ว  เขาลืมอาหารกลางวันไปเสียสนิท  ช่างเถอะ ไม่สำคัญหรอก  ไม่อยากกินด้วย...

            ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ที่นั่งจมอยู่กับความคิดตัวเองอยู่นาน  เปลี่ยนชุดให้เรียบร้อย พร้อมออกไปข้างนอก  ชะงักนิดหน่อยเมื่อหยิบนาฬิกาเรือนโปรดคู่ใจขึ้นมาใส่  เขาเม้มปากครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ถอดนาฬิกาที่ใส่ประจำเรือนนั้นออก  เดินไปเปิดลิ้นชักที่โต๊ะทำงาน  ล้วงเข้าไปด้านใน ซอกลึกสุดของโต๊ะ  หยิบเอากล่องเล็กๆติดมือออกมา

            เปิดออก ภายในเป็นนาฬิกาอีกเรือนหนึ่ง...ที่เขาหวงแหนมากที่สุด  การดูแลอย่างดีทำให้มันยังดูค่อนข้างใหม่ เมื่อเทียบกับอายุของมัน  พลิกดูด้านหลังที่เรือนโลหะ มีตัวอักษรสลักอยู่

            ‘DT4EVER’

          ถ้าใครมาเห็นเข้าก็คงจะนึกว่าเป็นรหัสของนาฬิกา หรือไม่ก็เป็นชื่อย่อของรุ่น   มีเพียงเขาและคนให้เท่านั้นที่รู้ความหมายที่ซ่อนอยู่

            เตหยิบนาฬิกาเรือนนั้นขึ้นมา ลูบไล้ที่สายหนังสีน้ำตาลเข้มเบาๆอย่างทะนุถนอม...ไม่รู้ว่าคนให้จะยังจำมันได้มั้ย  แต่ว่าเขาก็อยากใส่  เผื่อว่าฝ่ายนั้นจะรับรู้ได้ว่า..ที่ผ่านมาเขารู้สึกอย่างไร

 

            มาถึงที่หน้าบริษัทตอนบ่ายโมงพอดี  บก.หนุ่มร่างอ้วนยืนรออยู่ก่อนแล้ว ในมือมีกระเช้าซุปไก่  บนรถมีตะกร้าผลไม้อีกอย่าง  ตามธรรมเนียมของการไปเยี่ยมไข้ครบครัน

            “รีบไปกันเถอะ  บอกหมอดิมเอาไว้บ่ายสองโมง ไม่รู้รถจะติดไหม”  เขาไม่ได้พูดอะไร รีบขึ้นรถตู้ของบริษัทตามขึ้นไป  เห็นนิตยสารเซเลปรายเดือนฉบับของเดือนนี้วางอยู่บนคอนโซลรถ  หน้าปกเป็นพระเอกดังคนหนึ่ง ก็หยิบขึ้นมาดู

            “อ้าว  เสร็จแล้วเหรอครับ  ทำไมเดือนนี้เร็วจัง”  ว่าที่รองบรรณาธิการถามงงๆ  เพราะปกติกว่าจะได้รูปเล่มออกมาอย่างสมบูรณ์ต้องใช้เวลานานกว่านี้สักสองสามวัน

            โดมยิ้มกริ่ม

            “พี่ขอมาก่อนน่ะ  จะเอาไปให้หมอดิมดู”

          คนฟังพยักหน้ารับ  ไม่อยากพูดอะไรต่อ เพราะเขาไม่อยากแสดงให้อีกฝ่ายรู้ว่าตัวเองกำลังกังวลมากแค่ไหน

            “หมอดิมคงใกล้จะกลับมาทำงานได้แล้วใช่ไหมครับ เห็นว่าลาแค่เดือนเดียว นี่ก็อีกอาทิตย์เดียวเอง”  อดไม่ได้ที่จะถามอยู่ดี  โดมเงยหน้าขึ้นจากหนังสือเล่มเล็กในมือ  ตอบเรื่อยๆ

            “เห็นว่าขอลาเพิ่มอีกเดือนนะ  ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม อาจจะยังไม่หายดี”  ใจหายวาบ  รีบถามต่อ

          “เป็นอะไรมากหรือครับ  พี่พอจะรู้ไหม”

          “เห็นว่ากระดูกหัก ไหล่เคลื่อนหรืออะไรนี่แหละ  พี่ก็ฟังภาษาหมอไม่ค่อยเข้าใจ  ไม่ต้องทำหน้าอย่างงั้นหรอก  จริงๆพี่ว่าเขารอดมาได้ก็ปาฏิหาริย์แล้วนะ  พี่เห็นรูปสภาพรถที่เพื่อนส่งมาให้ดูแล้วแบบโห เยินมากอ่ะ  ไม่ตายก็คางเหลือง   นี่เรียกว่าโชคดีแล้ว”

          “เขารถชนที่ไหนหรอพี่  ผมไม่รู้เรื่องเลย”  ประโยคสุดท้ายแผ่วลงเหมือนพูดกับตัวเอง

            “หัวหิน  เห็นว่าไปเที่ยวกับแฟน...หมอรันน่ะ   แต่โชคดีหมอรันไม่เป็นอะไรเลย”

            ชื่อคุณหมออีกคน ทำให้เขาเผลอถอนหายใจยาว

            พี่โดมพูดอะไรสักอย่างมาอีกหลายประโยค แต่เขาไม่ได้ฟัง   นั่งหันหน้ามองออกนอกหน้าต่าง   ฝนเริ่มตกพรำอีกแล้ว  เพราะเข้าฤดูฝน   หยดน้ำเกาะอยู่ที่ริมกระจกรถจนกลายเป็นฝ้าพร่ามัว   รู้สึกหนาวจนเผลอห่อไหล่

 

*********************


มาต่อค่ะ ขอบคุณนะคะ 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-01-2017 18:07:38 โดย ็Hollyk »

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
ต่อนะคะ




พักนี้พี่ดิมไม่มาหาเขาเหมือนเคย   ถ้าเป็นวันธรรมดาก็รู้หรอกนะว่าไม่ว่าง ติดเรียน ต้องราวน์ตอนเช้าตั้งแต่ไก่โห่ แต่นี่แม้แต่วันหยุดเสาร์อาทิตย์ที่เค้าเคยปลีกตัวมาหาได้ตลอด ก็กลับไม่มา

พอเขาไปหาที่คณะฯก็คุยได้ครู่เดียว ก็ต้องไปเรียนต่อแล้ว  มันจะเรียนอะไรกันนักกันหนา  ไม่พักผ่อนบ้างหรือไง  ไม่เชื่อหรอกว่าพี่ดิมจะไม่มีเวลาขนาดนั้น   เป็นไปได้ไหมว่าเค้าเอาเวลาไปทำอย่างอื่น?

แล้วจะรู้ได้ไงล่ะ  อยู่คนคณะฯ จะไปเฝ้าก็น่าเกลียด  ดูเกาะติดเกินไป ไม่ชอบเลย  แต่ถ้าไม่ไป เขาก็ไม่มาหา   มันเกิดอะไรขึ้นกันนะ...

“ไงเต นั่งคิดอะไรอยู่ หน้ามุ่ยเชียว  ขอชั้นทายนะ แฟนหมอไม่มาหาล่ะสิ”  เจ้กิ่ง  เพื่อนรุ่นพี่ประจำแก๊งค์ของเขาหรี่ตาลง มองเขาอย่างจับสังเกต  เขาหลบตาไปทางอื่น ตอบปฏิเสธไปแบบไม่ต้องคิด

“เปล่าสักหน่อย  ว่าแต่พี่กิ่งเถอะ  หนุ่มผมยาวคนนั้นไปไหนเสียแล้วล่ะ เห็นมาตามรับตามส่งอยู่ไม่กี่วัน เผ่นแน่บแล้วเหรอ” เปลี่ยนเรื่องเป็นเรื่องของฝ่ายนั้นแทน  หญิงสาวร่างเล็กหัวเราะ

“เจอชั้นด่า ไม่เผ่นให้มันรู้ไป  หนอย มีเมียอยู่แล้วยังจะมีหน้ามาบอกว่าโสด นึกว่าชั้นไม่รู้หรือไง” ตอบตวัดเสียง คงฟังตาโต

“อ้าว  แล้วรู้ได้ไงล่ะเจ๊ว่าเขามีเมียแล้ว”

“โถ ง่ายมาก  ชั้นมีสายสืบอยู่ทุกสารทิศ แค่โทรถามกริ้งเดียวรู้หมดใครเป็นใคร  ว่าแต่เราเถอะ  รู้บ้างหรือเปล่า”  จู่ๆเธอก็หันมามองหน้าเขาเขม็ง  เหมือนจะสื่ออะไรบางอย่าง

“รู้อะไรหรือพี่”  มองตอบแบบงงๆ  ฝ่ายนั้นเม้มปาก เงียบไปครู่ก็สั่นศีรษะ

“เปล่าหรอก ไม่มีอะไร  แล้ววันเสาร์แบบนี้แกไม่ไปเที่ยวไหนเหรอ  ทุกทีไม่เคยอยู่ติดหอนี่นะ ต้องมีโปรแกรมนู่นนี่ตลอด”  เขาเผลอถอนหายใจออกมาเฮือก

“คนพาไปไม่ว่างอ่ะพี่  ติดธุระ”

“ติดธุระหรือว่าติด...อะไร ดูดีๆให้แน่นะเว้ย แล้วเดี๋ยวจะหาว่าเจ๊ไม่เตือน”  หญิงสาวพูดแกมหัวเราะ ทำท่าจะเดินผละไป แต่เด็กหนุ่มรีบคว้าแขนดึงเอาไว้เสียก่อน

“เดี๋ยวสิเจ๊  หมายความว่าอะไร  เจ๊ไปรู้อะไรมาหรือเปล่า  บอกน้องเถอะ” พูดเร็วปรื๋อ  เพื่อนสาวรุนพี่หัวเราะอีกครั้ง  ปลดมือของเขาออกอย่างนุ่มนวล

“ไม่มีอะไรหรอกน่า ชั้นก็พูดเตือนแกไปเรื่อยเปื่อยงั้นแหละ  เอางี้ถ้าวันนี้แกว่าง เดี๋ยวเที่ยงๆเราไปหาอะไรอร่อยๆกินกัน เดินชอปปิ้งสักพักค่อยกลับดีไหม”

เด็กหนุ่มนึกถึงคนรักที่หายเงียบไปสามวันแล้วก็พยักหน้ารับ  ตอบตกลงที่จะไปเที่ยวด้วย

ไม่นึกเลยว่าเพราะการตอบตกลงไปเที่ยวเจ๊กิ่งในวันนั้น  จะทำให้เขาได้รู้อะไรดีๆ  หรือไม่บางทีก็อาจจะเป็นความต้องการของเจ๊กิ่งอยู่แล้วก็ได้ ที่จงใจพาเขาไปที่นั่นในวันนั้น

“ว๊าย  ฝนตกแล้วแก หาที่หลบฝนก่อน  อ้าวไอ้ดี้เผ่นไปไหนแล้ว  เตแกเป็นหวัดง่ายอยู่รีบวิ่งเข้าร้านไอติมข้างหน้านั่นก่อนแล้วกันนะ  เดี๋ยวชั้นตามไป”

เขาพยักหน้ารับ  เพราะขืนรอเจ๊กิ่งต่อราคารองเท้าอย่างดุเดือดต่อมีหวังคงเปียกฝนไปครึ่งตัวเป็นแน่   ส่งร่มคันเล็กในมือให้หญิงสาวรับไป แล้วตัวเองก็รีบวิ่งเข้าร้านไอศกรีมที่อยู่ข้างๆแผงรองเท้าทันที

ภายในร้านคนแน่นพอสมควร  เขามองหาที่นั่งอยู่นานก็เจอโต๊ะเล็กๆพอสำหรับสามคนอยู่สุดมุมร้าน  จึงรีบตรงเข้าไปนั่งจองเอาไว้ก่อน   ระหว่างรอเพื่อนอีกสองคน ก็กวาดตาสำรวจร้านไปด้วย...ตกแต่งสวยเหมือนกันแฮะ  ไว้วันหลังต้องพาพี่ดิมมาด้วย  คงจะชอบ..

          ร่างของใครคนหนึ่งที่ดูคุ้นตาอย่างน่าประหลาดผลักบานประตูกระจกเข้ามาภายในร้าน  หมวกที่สวมอยู่ทำให้มองไม่เห็นใบหน้านั้นได้ถนัด  เขาเบี่ยงตัวให้สาวน้อยที่เดินเข้ามาทีหลังเข้าไปภายใน  เธอเดินตรงมาทางที่เด็กหนุ่มนั่งอยู่พอดี

          เห็นใบหน้าสวยน่ารักนั้นเต็มตา   ตั้งเตก็ใจหาบวูบ...น้องเกรซคนนั้น หรือว่า...

          มองไปที่ผู้ชายที่เดินตามเข้ามาติดๆแล้วก็รู้สึกร้อนผ่าวในอก ใบหน้าคมเข้มคุ้นตาเสียเหลือเกิน จนไม่สามารถจะหลอกตัวเองได้ว่ามองผิดไป

          คนทั้งคู่เดินหาที่นั่งมาเรื่อยๆจนกระทั่งมาหยุดตรงหน้าโต๊ะของเขาพอดี

          พี่ดิมจ้องมองมาที่เขาอย่างตะลึงงัน  ท่าทางตกอกตกใจของอีกฝ่ายยิ่งทำให้เขามั่นใจมากขึ้นไปอีก

          “เต?  เดี๋ยวก่อนนะ  มันไม่ใช่อย่างนั้น”

          จำได้ว่าตอนนั้น เขาไม่ได้พูดออกไปเลยแม้แต่คำเดียว แต่ผุดลุกขึ้นยืน มองหน้าพี่ดิมแวบเดียวด้วยสายตาผิดหวัง  กระบอกตาร้อนผ่าว แต่ก็สะกดกลั้นเอาไว้ ไม่ปล่อยโฮออกมากลางร้านให้อายใคร แล้วก็รีบรุดออกมาจากร้านโดยไม่หันไปมองใครหน้าไหนอีกทั้งนั้น

          ได้ยินเสียงพี่ดิมเรียกอยู่ข้างหลังแว่วๆ  แต่เขาไม่หันกลับไปมอง

          ฝนเม็ดใหญ่ๆตกกระทบเนื้อตัวครู่เดียวก็เปียกโชกไปหมดทั้งตัว  น้ำตาที่กลั้นเอาไว้ไหลปะปนออกมากับหยาดฝนจนแยกไม่ออก  รู้แต่ว่าเขาเดินร้องไห้ออกมาดังๆกลางสายฝน

          เสียใจชะมัด  ทำไมพี่ดิมต้องทำแบบนี้ด้วย  พี่ไม่มาหาเราเพราะมีคนใหม่ใช่ไหม?  น้องรหัสคนสวยคนนั้น

          เสียงของเจ๊กิ่งแว่วขึ้นมาในหู

          ‘ดูดีๆให้แน่นะเว้ย แล้วเดี๋ยวจะหาว่าเจ๊ไม่เตือน’

          ใช่แน่แล้ว  พี่กิ่งคงจะรู้อะไรมาก่อนก็เลยหาทางพูดอ้อมๆเป็นนัยๆให้เขาคิด  สุดท้ายก็เลยพามาให้เห็นกับตาเสียเลยให้รู้แล้วรู้รอดไป 

          เจ็บใจชะมัด  ทั้งๆที่วันพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันครบรอบ 2 ปี ของเราสองคนแท้ๆ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้

          “น้องเต?  ทำไมมาเดินตากฝนอยู่แบบนี้ล่ะครับ”  เขาเงยหน้าขึ้นมองคนทัก  เห็นชายหนุ่มร่างเล็กหน้าหวานที่เขาจำได้ว่าเป็นเพื่อนในกลุ่มของพี่ดิม ยืนถือร่มสีเขียวอยู่ตรงหน้า  มองมาที่เขาด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก

          “พี่รัน? ผม...ลืมเอาร่มมาเฉยๆครับ”  เขาบอกปัดไป  ทำท่าจะเดินเลี่ยง  แต่อีกฝ่ายกลับเดินเข้ามาใกล้ ให้เขาได้อยู่ในร่มคันเดียวกันด้วย  พี่รันส่งยิ้มให้กับเขาบางๆอย่างเป็นมิตร

          “จะไปไหนล่ะ เดี๋ยวพี่ไปส่ง”  ว่าที่คุณหมออาสาอย่างมีน้ำใจ   ทำให้เขาอึกอัก

          “ไม่เป็นไรครับ  รบกวนพี่เปล่าๆ  ผมเดินไปอีกนิดเดียวเอง”

          “ถ้านิดเดียวก็ไม่รบกวนหรอก”  ฝ่ายนั้นพูดยิ้มๆ  พาเขาเดินไปยังป้ายรถเมล์ที่ต้องการ   ระหว่างหยุดยืนรอรถเมล์อยู่ข้างกันเงียบๆ ท่ามกลางสายฝน  ว่าที่คุณหมอก็ถามขึ้นมาตรงๆ

          “ทะเลาะกับพี่ดิมมาเหรอ”  เขาอึ้งไป  มองหน้าอีกฝ่าย  แต่การไม่พูดก็เหมือนเป็นการตอบรับไปในตัว

          “เรื่องน้องเกรซใช่มั้ย  พี่ว่าเตเข้าใจผิดนะ”  คนฟังเม้มปาก แทบจะหันหน้าหนี   นึกรู้ขึ้นมาทันทีว่าอีกฝ่ายคงจะถูกพี่ดิมส่งมาเพื่อมาอธิบาย

          “พี่ดิมไม่ได้ส่งพี่มาหรอก  พอดีพี่เห็นเหตุการณ์ก็เลยอยากช่วย เท่านั้นเอง”  พี่วิรัลพูดราวกับรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่  สบดวงตากลมดำขลับที่เต็มไปด้วยคำถามนั้นครู่หนึ่งก็พูดต่อ

          “วันนี้พวกพี่นัดเลี้ยงน้องปี 1 กัน  พอดีมันกะทันหัน เพราะพี่ส้มจะไปเที่ยวต่างประเทศมะรืนนี้  ก็เลยเพิ่งนัดเมื่อวาน   กว่าจะนัดกันลงตัวก็เกือบเที่ยงคืน พี่ดิมเห็นว่ามันดึกแล้วก็เลยไม่ได้ไปบอกเต   พอตอนเช้าไปหาที่หอ เขาบอกเตออกไปแล้ว ก็เลยยังไม่ได้บอก  ไม่คิดว่าจะมาเจอกันที่นี่”

          “อ้อ”  คนฟังหลุดมาคำเดียว แล้วก็เงียบไปอีก  รันถอนหายใจ

          “พี่ไม่ได้จะมาแก้ตัวแทนพี่ดิมนะ  แต่เห็นว่าเตเข้าใจผิด ก็เลยอยากจะมาเล่าความจริงให้ฟังเฉยๆ เตมีสิทธิจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้  แต่พี่บอกเอาไว้ตรงนี้ได้เลยว่า พี่ยังไม่เคยเห็นพี่ดิมคิดนอกใจเตเลยสักครั้ง”  แววตาจริงใจของฝ่ายนั้นทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาหน่อยนึง

          “เตต้องใจเย็นๆนะ พี่รู้ว่าช่วงหลังมานี่ดิมมันไม่ค่อยมีเวลา  แต่พอว่างทีไร เค้าก็รีบไปหาเตตลอด  ขนาดเรียนหนักแทบไม่ได้นอน ก็ยังอุตสาห์ตื่นแต่เช้าเพื่อไปหาเตเลย   เห็นใจเค้าหน่อยเถอะ   เค้าต้องการกำลังใจจากเตมากเลยนะรู้ตัวบ้างไหม”   รันพูดต่อเสียงอ่อนๆ  เห็นท่าทีของอีกฝ่ายเริ่มอ่อนลงมากก็ส่งยิ้มให้

          “อย่าระแวงอะไรที่ทำให้บาดหมางใจกันไปเปล่าๆเลย  เสียเวลา เชื่อพี่เถอะนะ”

          “ขอบคุณมากนะครับ  ผมเข้าใจแล้ว...พี่ดิมโชคดีที่มีเพื่อนดีๆอย่างพี่”  เขาพูดออกมาในที่สุด  ว่าที่คุณหมอหนุ่มยิ้มกว้าง  รถเมล์แล่นมาจอดเทียบที่ฟุตบาทพอดี   รันพยักเพยิดไปทางข้างหลัง

          “โน่น พี่ดิมของเตเขาเดินมาโน่นแล้ว  เตมีทางเลือกสองทาง ว่าจะขึ้นรถเมล์หนีกลับไป หรือว่าอยู่คุยกับเขาก่อน...พี่ว่าเตอยู่คุยก่อนดีกว่านะ  เพราะพี่จะได้ดีใจว่าทำหน้าที่ได้สำเร็จ”  คนพูดๆจบก็เป็นฝ่ายกระโดดขึ้นไปยืนบนรถเมล์เสียเอง  โบกมือให้ทั้งเขาและชายหนุ่มที่เดินตามหลังมาไม่ไกล  รถเมล์คันนั้นเคลื่อนออกจากป้าย

          เด็กหนุ่มผมหยิกหัวเราะ   โบกมือตอบ แล้วหันไปมองคนรักที่เดินมาหยุดตรงหน้า  ใบหน้าคมเข้มมีรอยกังวลฉาบอยู่บางๆ

          “เป็นอย่างไรบ้าง  เข้าใจหมดทุกอย่างหรือยัง?” ฝ่ายนั้นถาม

          “เข้าใจอะไร  ไม่เห็นรู้เรื่อง”  เขาแกล้งตอบ

          “ว้า  ไม่ได้ผลเหรอ อุตส่าห์ส่งคนมาเป็นทัพหน้าก่อนแล้วนะ”

          “นั่นไง  ไหนเมื่อกี้พี่รันบอก อยากมาอธิบายให้ผมฟังเอง  ตกลงมันแผนพี่ชัดๆ”  พี่ดิมยักไหล่ ดูกวนประสาทที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา

          “พี่ก็ไม่ได้ส่งเขามาหรอก  เขาอาสาจะช่วยพี่เอง  มีเพื่อนดีก็สบายไปแปดอย่างเนอะ”

          “นั่นสิ ผมว่าพี่รันน่ารักกว่าพี่ตั้งเยอะ”  คนฟังตาเขียวขึ้นมาทันที

          “ห้ามชมใครหน้าไหนต่อหน้าพี่เด็ดขาด  นี่เป็นกฎ  เข้าใจ๊”  เขายักไหล่เลียนแบบอีกฝ่ายเมื่อครู่นี้บ้าง

          “ช่วยไม่ได้  เอางี้สิ  ผมขอตั้งกฎบ้างได้มั้ยล่ะ  ห้ามพี่ทำให้ผมเข้าใจผิดอีก  อ้อ  ห้ามไปไหนโดยไม่รายงานก่อนด้วย”

          “ขี้โกงนี่หว่า  นี่มันสองข้อแน่ะ”

          “มีปัญหาเหรอ?” เขาหันไปถามเสียงดุ  อีกฝ่ายหัวเราะ โอบแขนไปรอบไหล่ของเขา พาเดินกลับเข้ามาภายในหลังคาของร้านขายกระเป๋า  เด็กสาวสองคนลอบมองมาที่พวกเขาแล้วแอบยิ้ม  แต่เขาทำเป็นมองไม่เห็น  ทั้งที่ใบหน้าชักร้อน

          “เปล่าครับ  ยินดีครับคุณ  แหม  นี่รู้มั้ยว่าเพื่อนพี่มันล้อพี่กันใหญ่เลยว่ากลัวนายเข้าไส้  ตอนที่พี่เห็นนายในร้านไอติมนั่นพี่แทบช็อค  ใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มแน่ะ”

          “เวอร์จริงๆ” พูดพลางเบี่ยงตัวออกจากวงแขนที่พาดอยู่บนไหล่

          “ไม่ได้เวอร์นะ  ตอนนั้นนายทำหน้าเหมือนจะกินหัวพี่แน่ะ ฮ่าๆ  นึกแล้วก็ตลกดี”

          “เดี๋ยวนะ  สรุปพี่ไม่ได้มากันแค่สองคนใช่ป่ะ  แต่มาเลี้ยงน้องกันทั้งกลุ่ม  ผมเข้าใจถูกไหม”

          “ถูกต้องนะคร้าบ  หลังจากนายเดินงอนตุ้บป่องออกจากร้านไปแบบไม่ดูตาม้าตาเรือนั่นแหละ  เพื่อนพี่อีกขโยงก็เข้ามาในร้าน  ทันเห็นพี่วิ่งตามนายออกมาพอดี”

          “ไม่ดูตาม้าตาเรือ? เฮอะ”  เสียงขึ้นจมูกนิดหน่อย  พี่ดิมเขยิบเข้ามาใกล้เขาอีกนิด

          “ยังไม่หายงอนอีกเหรอ  นี่พี่ทิ้งน้องรหัสออกมาง้อนายนะเนี่ย”  คนฟังหันกลับไปมองอย่างตกใจ

          “อ้าว  แล้วแบบนี้น้องเขาจะอยู่กับใครล่ะ  ทำแบบนี้ไม่ถูกนะ  รีบกลับไปที่ร้านเลย”  เขาคว้าข้อมือของชายหนุ่มดึงให้ออกแรงเดินกลับไปที่ร้านไอศกรีมแห่งนั้น  ปากก็บ่นพึมพำ  กลัวว่าน้องรหัสของฝ่ายนั้นจะรู้สึกว่ามีพี่รหัสไม่ได้เรื่อง เทคแคร์ไม่ดี

          “ทีหลังถ้าจะงอน ก็อย่าเดินหนีออกมาไกลนักสิ  ออกมารอนอกร้านก็พอ  พี่จะได้ออกมาตามง่ายๆหน่อย”  พี่ดิมกระซิบข้างหู เมื่อเดินมาหยุดที่หน้าร้านไอศกรีมแห่งนั้น  เจอพี่กิ่งกับดีดี้ที่หน้าร้านพอดี  เธอมองมาที่พวกเขายิ้มๆ แล้วก็พยักเพยิดเป็นเชิงว่าขอกลับก่อน  ตั้งเตพยักหน้ารับ  แล้วมองเข้าไปภายในร้านเห็นเพื่อนของพี่ดิมนั่งกันอยู่เป็นกลุ่มใหญ่

          เขารีบปล่อยมือจากพี่ดิมทันที  แต่อีกฝ่ายกลับคว้ามือของเขาไปกุมเอาไว้มั่น  เปิดประตูร้าน จูงมือพาเดินเข้าไปด้านใน  ตรงเข้าไปหาโต๊ะที่เพื่อนๆของเขานั่งกันอยู่  ทุกคนมองมาที่พวกเขาเป็นตาเดียว

          หน้าร้อนซู่ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เตรู้สึกอยากจะมุดหน้าลงใต้โต๊ะด้วยความอาย

          “ขอโทษทุกคนด้วยครับที่มาช้า” พี่ดิมพูดยิ้มๆ  ผู้หญิงร่างสูงผิวเข้มที่เขาจำได้ว่าชื่อส้ม เลื่อนเก้าอี้ใกล้ๆเข้ามาให้พวกเขานั่ง

          “คืนดีกันแล้วใช่ไหมล่ะ  ยิ้มแป้นมาเชียว”  เธอพูด  มองมาที่พวกเขาสองคน

          พี่ดิมไม่ตอบ แต่หันไปทางน้องรหัสสาวสวยที่นั่งมองเขาอยู่ด้วยนัยน์ตาไม่เป็นมิตรนัก

          “นี่แฟนพี่เอง  ชื่อเต  ถือโอกาสนี้แนะนำอย่างเป็นทางการเสียทีนะครับ”   เตส่งยิ้มให้สาวน้อยนิดหนึ่ง  เธอยิ้มตอบกลับมาแล้วก็ไม่สนใจอีก   ดิมเลื่อนเก้าอี้ให้เขานั่งรวมกลุ่มด้วย   แล้วก็หันไปสนทนากับเพื่อนๆต่อด้วยภาษาที่เขาฟังไม่รู้เรื่องเหมือนมาจากดาวอังคาร

          “ทำเป็นเล่นไป  วันก่อนเจอ @$@^$%&&#%&&$#@ ด้วยล่ะ รู้ไหมว่าผมตอบไปว่าไง  ผมตอบไปว่า #$^^^%#%#$@%^*%ล่ะ  พี่แกเงิบไปเลย”  เสียงหัวเราะครืนใหญ่ดังขึ้นเมื่อพี่ดิมเล่าจบ

          แต่เขาได้แต่นั่งมองคนนั้นคนนี้กลับไปกลับมาเพราะไม่เข้าใจมุขที่เขาเล่นกัน  มีผู้ชายอีกสองคนพูดต่อมุขของพี่ดิมอย่างครื้นเครง

          จู่ๆเตก็รู้สึกว่า เขาไม่เข้าพวกกับคนพวกนี้เลย  คนที่เล่นมุขกันด้วยภาษาที่เข้าใจกันเอง  ถึงเขาจะแวะไปที่หอพักของพี่ดิมบ่อยๆ  แต่ก็แทบไม่เคยคุยรวมกลุ่มกับเพื่อนๆของพี่ดิมเลยสักคน  อ้อ ยกเว้นพี่รันคนเดียวมั้ง   แต่เวลาอยู่กับพี่ดิม เขาก็ไม่เคยเล่นมุขหรือพูดด้วยภาษาที่เขาไม่เข้าใจแบบนี้

          ชายหนุ่มหน้าตาดีที่นั่งอยู่ถัดไปจากเขาหันมาพูดทักทายแล้วชวนเขาคุยอย่างอัธยาศัยดี  สักพักก็ส่งแก้วเครื่องดื่มคล้ายน้ำหวานมาให้เขา

          “น้องเตทานเลยครับ  ไม่ต้องไปสนใจไอ้ดิมมันหรอก ให้มัน @#%%#$%3$%ไปเลย”  เพื่อนของพี่ดิมอีกคนที่เขาจำได้เลาๆว่าชื่อ วินบอกแกมหัวเราะ คะยั้นคะยอให้เขาดื่มเครื่องดื่มในแก้วสีสวยที่ส่งให้ แล้วพูดอะไรที่เขาฟังไม่ทันมาอีก   แต่พี่ดิมตาเขียวปั้ดรีบคว้าแก้วใบนั้นออกจากมือของเขา  หันไปจ้องหน้าพี่วินอย่างเอาเรื่อง  ทุกคนในโต๊ะเงียบกริบ มองมาที่พวกเขาเป็นตาเดียว

          “หยุดเลยนะไอ้วิน  อย่ามาทำให้น้องกูเสียคน   ไปดีกว่า  เรากลับกันเถอะเต   น้องเกรซ พี่ขอตัวกลับก่อนนะครับ”

          “เห้ย มันโกรธแล้วเว้ย ไปล้อแฟนมัน  โธ่  ไม่ได้ตั้งใจเลย  ทำตัวเป็นพวก @$@%#% ไปได้น่า  อย่างนี้มันต้อง #$@$@%%$”  เพื่อนฝูงในกลุ่มพี่กันพูดมาอีกหลายคำ แต่พี่ดิมกลับคว้าข้อมือของเขา บีบแน่นแล้วพาเดินออกมาจากร้าน  ดวงตาของพี่ดิมวาวโรจน์แบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน  ดูเหมือนพี่ดิมจะโกรธจัดทีเดียว

          “เกิดอะไรขึ้นหรอพี่   ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ  พี่คลายมือหน่อยได้ไหม เตเจ็บ”   พี่ดิมรู้สึกตัว  ผ่อนมือที่กำรอบข้อมือของเขาแน่นลง

          พี่ดิมเม้มปากนิดหนึ่ง  หันมามองที่เขาเงียบไปครู่ ก็พูดแกมหัวเราะ  แบบที่เขาดูออกทันทีว่าอีกฝ่ายยังไม่ปกตินัก

          “ไม่มีอะไรหรอก  พี่ขอโทษนะเต  เจ็บมากหรือเปล่า”  เขาก้มลงดูรอยแดงรอบข้อมือของเด็กหนุ่มแล้วจับมือยกขึ้นมาเป่าเบาๆ  ทำเอาเจ้าของมือหน้าแดง

          “ไม่เป็นไรแล้วพี่   พี่ดิม...เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ  ผมไม่เข้าใจ”  เขาตัดสินใจถามอีกรอบ

          “พวกนั้น...มัน..ไปเรื่อยน่ะ  ไม่มีอะไรหรอก” พี่ดิมบอกปัด  ไม่ยอมเล่าให้เขาฟังอยู่ดี

          “วันหลังถ้าเจอก็ไม่ต้องทักหรอกนะ  พี่ก็ไม่ค่อยสนิทกับพวกมันมากนักหรอก ทีนี้มันมาเลี้ยงด้วยกันเพราะเป็นสายรหัสโคกันไง  คนที่คุยได้ก็มีพี่ส้ม พี่ผู้หญิงผิวเข้มๆคนนั้นแหละ กับรันที่โอเค”

          “ผมชอบพี่รัน  หมายถึงพี่เขาดูเป็นกันเอง  ท่าทางใจดี”  เขารีบขยายความ เพราะอีกฝ่ายหันขวับมามองหน้าเมื่อเขาเผลอชมคนอื่นต่อหน้าต่อตา

          “อืม  รันเป็นคนมีน้ำใจมาก พี่ก็ชอบเขาเหมือนกัน” พี่ดิมดูผ่อนคลายขึ้นเมื่อเอ่ยถึงพี่รัน  พวกเขาเดินออกมาไกลพอสมควรแล้ว  สุดท้ายเย็นวันนั้นพี่ดิมก็ไปส่งเขาที่หอเหมือนเคย  ระหว่างทางก็เล่าเรื่องของคนในคณะฯหลายคนให้ฟัง รวมถึงพี่รันคนนั้นด้วย

          ใครจะรู้ว่าอนาคตของเขากับว่าที่คุณหมอหนุ่มใจดีคนนั้นจะกลับตาลปัตรกันไปได้ถึงเพียงนี้


                   ************************

มาต่อจบตอนเเล้วนะคะ 
ขอบคุณมากๆที่ติดตามอ่านกัน
ทุกคนมีเหตุผลของตัวเองเนอะ5555
ทุกคอมเม้นท์ดูอิน  ดีใจจังค่ะ  :katai2-1:

ออฟไลน์ polkadot

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
เล่าอดีตเยอะจนเนื้อเรื่องตอนปัจจุบันไม่ขยับไปไหนเลยสักที เซ็ง :seng2ped:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-01-2017 12:20:27 โดย polkadot »

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
ต่อให้แลก ด้วยชีวิต ไม่คิดยั้ง
ไม่คำนึง ถึงหน้าหลัง พังฉิบหาย
ขอให้ได้ ขอให้อยู่ แนบเคียงกาย
วันพรุ่งนี้ ถึงจะตาย ก็ยังยอม
#หมอรัน

ใจสัตย์ซื่อ ยังถือมั่น นั่นคนรัก
แม้รู้จัก คนอื่นอื่น เป็นหมื่นแสน
แต่ขอมอบ ทั้งหัวใจ ไว้กับแฟน
รักแน่นแฟ้น แค่คนเดียว ไม่เหลียวใคร
#หมอดิม

มองเห็นโลก ไม่โชกโชน อ่อนโยนนัก
เพิ่งรู้จัก ความรักใส ไร้เดียงสา
มีแฟนเป็น คนรักแรก รักเดียวมา
มองเห็นว่า โลกใบนี้ ช่างดีจริง
#ตั้งเต

อ่านนิยายเรื่องนี้สนุกมาก
ยังกับติดยา เสพมากขึ้นเรื่อยๆ

+1 ฮับ
#คนแต่ง จุ๊บๆๆๆๆ

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
    สนุกมากๆคับ ยิ่งอ่านยิ่งรู้นิสัยรันมากขึ้น และก็ยิ่งอยากให้เตเล่าเรื่องที่บอกเลิกหมอดิมมากขึ้นไปด้วย คงจะสะใจมากจริงๆ
  รออ่านตอนต่อไปคับ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
ต่อให้แลก ด้วยชีวิต ไม่คิดยั้ง
ไม่คำนึง ถึงหน้าหลัง พังฉิบหาย
ขอให้ได้ ขอให้อยู่ แนบเคียงกาย
วันพรุ่งนี้ ถึงจะตาย ก็ยังยอม
#หมอรัน

ใจสัตย์ซื่อ ยังถือมั่น นั่นคนรัก
แม้รู้จัก คนอื่นอื่น เป็นหมื่นแสน
แต่ขอมอบ ทั้งหัวใจ ไว้กับแฟน
รักแน่นแฟ้น แค่คนเดียว ไม่เหลียวใคร
#หมอดิม

มองเห็นโลก ไม่โชกโชน อ่อนโยนนัก
เพิ่งรู้จัก ความรักใส ไร้เดียงสา
มีแฟนเป็น คนรักแรก รักเดียวมา
มองเห็นว่า โลกใบนี้ ช่างดีจริง
#ตั้งเต

อ่านนิยายเรื่องนี้สนุกมาก
ยังกับติดยา เสพมากขึ้นเรื่อยๆ

+1 ฮับ
#คนแต่ง จุ๊บๆๆๆๆ

มันใช่ มันใช่เลย 555 ชอบอ่ะ ตามนั้น อิอิ!!

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
รอลุ้นน้องเตนะเนี่ย    อยากเห็นสีหน้าท่าทางและความรู้สึกที่ดิมเห็นนาฬิกานั่น  TD4EVER
 ชอบเรื่องนี้มากเลยค่ะ



ออฟไลน์ myapril

  • Tomorrow
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-3
ทุกคนมีเหตุผลของตัวเอง?
 แล้วเหตุผลของรันที่โกหกเรื่องนั้นเรื่องนี้ของเตมาตลอด7ปีคือ?
 รักและอยากได้แฟนคนอื่น เพราะคิดว่าตัวเองเหมาะสมกว่าเหรอ. 555
 แบบนี้ก็ได้เหรอ 555
ตอนนี้ดีแล้วที่เตอยากเคลียร์


ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
เพราะหัวใจบอกว่า...ลอง

 

 

 

 

 

            “หมอรันเดินทางดีๆนะลูก  แม่เป็นห่วง  อยู่ที่โน่นก็ส่งข่าวมาหาแม่บ้างนะ  แม่คิดถึง”  หญิงวัยกลางคนแต่งกายสวยสมวัยลูบหลังคุณหมอหนุ่มรูปงามที่ก้มลงกราบที่อก   ปากก็ให้ศีลให้พรยาวเหยียด วนกลับไปกลับมาด้วยความเป็นห่วงบุคคลที่เธอรักเอ็นดูเหมือนลูกชายแท้ๆอีกคน

            “พอแล้วมั้ง  รันมันไม่ได้ไปอิรักนะครับแม่  เป็นห่วงผมที่ไม่มีคนดูแลดีกว่า”  ลูกชายตัวจริงควงแขนอีกข้างนึง พูดแกมหัวเราะ   วิรัลหัวเราะตาม

            “แหม  ดิมเก่งอยู่แล้วน่า  อ้อ ผมติดต่อพยาบาลให้แล้วด้วย  ไม่ลำบากหรอก”

          “เสียดายที่แม่ต้องตามจอร์จไปนิวยอร์ค ไม่งั้นคงได้อยู่ดูแลลูกแทนแล้ว”   เธอเอ่ยถึงสามีตาน้ำข้าวยิ้มๆ  ดิมยิ้มตอบ  เรื่องพ่อเลี้ยงไม่เป็นปัญหากับเขาแต่อย่างใด  เพราะเขาโตพอที่จะเข้าใจแล้ว และเขาก็เข้ากับสามีใหม่ของแม่ที่เป็นนักธุรกิจส่งออกได้เป็นอย่างดี  แม้ว่าจะไม่ค่อยได้มายุ่งเกี่ยว ข้องแวะกันเท่าไหร่ก็ตาม

            “ผมอยู่ได้ครับ  มือเดียวไหว ไม่เชื่อถามรันดู”  เขาแกล้งยั่วยิ้มๆ อย่างมีเลศนัย  รันหน้าแดง   ตอบสะบัด

            “ผมไปแล้วดีกว่า  ดิมอยู่ที่นี่ก็ดูแลตัวเองด้วยนะ  โทรหาทุกวันด้วย ไม่งั้นโกรธ   ไปแล้วครับ  ขอบคุณมากครับคุณแม่  อ้อ พี่ดิม  อย่าลืมนะว่าวันมะรืนนี้คุณโดมกับคุณเตจะมาเยี่ยมที่คอนโดตอนบ่ายสอง....ผมไปแล้วครับคุณแม่  ไปก่อนนะพี่ดิม  แล้วเจอกันครับอีกสามอาทิตย์”  กุมารแพทย์หนุ่มพูดยิ้มๆ  เอื้อมมือไปจับมือของคนรักเอาไว้ ประสานเอาไว้แน่น ดิมดึงตัวเข้ามากอดนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก็ปล่อย

            ไม่ลืมกระซิบที่ริมหูว่า “รักนะครับ”  ได้ยินเสียงตอบกลับมาจากคนที่กำลังจะไป ตอบกลับมาด้วยประโยคเดียวกัน

            รันร่ำลาญาติพี่น้องที่มาส่งอีกครู่ใหญ่ หันมาโบกมือให้เป็นครั้งสุดท้าย แล้วก็เดินหายเข้าไปในเกต

            ชายหนุ่มมองตามจนลับตา   เขาไม่อยากให้รันไปเลย  ในช่วงเวลาที่หัวใจของเขายังไม่มั่นคงเช่นนี้   อยากให้คนรักอยู่เป็นหลักในใจเขาเหลือเกิน 

            มือข้างหนึ่งวางบนไหล่ของเขา  ดิมสะดุ้งน้อยๆหันไปมอง เห็นมารดาของตนมองมายิ้มๆ

            “กลับกันเถอะลูก  แม่ต้องแวะตลาดก่อน  พรุ่งนี้จะขึ้นเครื่องกลับแล้ว  ยังซื้อของไม่ครบเลย”  เธอพูด  ควงแขนลูกชายพาเดินออกมาจากสนามบิน 

            เข้ามานั่งในรถเบนซ์คันใหญ่  วันนี้มีคนขับมาด้วยเพราะเขาเหลือมือที่ใช้การได้ข้างเดียว   นั่งอยู่เงียบๆข้างมารดาครู่  จู่ๆเธอก็ถามขึ้นมาเนิบๆ

            “คุณโดมกับคุณเตนี่ใครหรือลูก”   ชื่อนั้นทำให้สะดุ้งอยู่ในอกได้เสมอ  เขาเกร็งนิดหนึ่งขณะที่ตอบกลับไป

            “เป็นบรรณาธิการนิตยสารที่ผมให้สัมภาษณ์ครับ  เขาจะมาเยี่ยม”

          “อ้อ   นิตยสารเซเลปอะไรนั่นน่ะเหรอ...แล้วนี่แม่จะได้อ่านเมื่อไหร่ล่ะ  ดังใหญ่แล้วเรา”

“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับคุณแม่  เห็นเขาว่าจะเอาเล่มมาให้ผมดูวันมะรืนนี้แหละครับ เสียดายแม่กลับก่อน  ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมเมลล์ไปให้ถึงที่นู่นเลย ดีไหมครับ”

“ดีมาก อยากลืมส่งไปให้แม่ล่ะ แม่อยากอ่าน  แล้วใครเขียนให้.. คุณโดมคุณเตเนี่ยนะเหรอ”

“ครับ  คุณโดมเป็นบรรณาธิการ ส่วนคุณเตเป็นคอลัมนิสต์ที่สัมภาษณ์ผม”  ชายหนุ่มตอบอย่างระมัดระวัง  มารดาของเขาพยักหน้าเนิบๆ

“คุณเตที่ว่าเนี่ย...ใช่เตแฟนเก่าของเราหรือเปล่า”  ราวกับงูถูกตีขนดหาง เขาสะดุ้งอีกครั้ง  แปลกใจที่มารดาถามได้ตรงเป้าราวกับตาเห็น

            “แม่..ทราบได้อย่างไรครับ”  ถามอ้อมแอ้ม  ไม่สบตามารดา

            “แม่เค้นถามหมอรันเขาเองแหละ  ตั้งแต่วันที่แม่ไปเยี่ยมเราที่โรงพยาบาลน่ะ ...อะไรกัน ยังไม่เลิกราอีก จบกันไปแล้วไม่ใช่เหรอ”  แม่ของเขาขมวดคิ้วน้อยๆ

            “ไม่มีอะไรจริงๆครับ  มัน...จบไปนานแล้ว”  เขาพูดเรียบๆ  คราวนี้หันมาสบตามารดาโดยไม่เบือนหลบ   เธอเพ่งพิศอยู่อึดใจก็พยักหน้าเนิบๆ

            “ดีแล้ว  แม่ได้ยินจากปากดิมแบบนี้ก็ค่อยสบายใจ   อย่าลืมว่าตอนนี้เรามาไกลขนาดไหนแล้วนะลูก  คนที่ไม่หวังดี จ้องจะเกาะเราอยู่ก็มีเยอะ  อย่าประมาท”

          “ถ้าแม่หมายถึงเตล่ะก็  เขามีงานมีการทำ เป็นนักเขียนดังไปแล้วครับ  และก็แต่งงานมีลูกแล้วด้วย”

          “โอ๊ย  เรื่องแต่งงานมีลูกด้วยกันเนี่ย เอามาเป็นข้ออ้างไม่ได้หรอก  ดูอย่างพ่อแกสิ  ก็แต่งงานมีลูกตัวเบ้อเริ่ม ยังจะไปมีเมียน้อยได้เลย  มันไม่เกี่ยวหรอกกัน”  ชายหนุ่มเขยิบตัว วางศีรษะลงบนหน้าตักของมารดาอย่างเด็กขี้อ้อน

            “โธ่ เรื่องมันตั้งนานแล้ว แม่ยังไม่หายโกรธพ่ออีกเหรอครับ”

            “หายโกรธนานแล้ว  แต่มันก็ยังฝังใจอยู่ดี คนเคยรักกันมากนี่นะ  แม่ถึงกลัวว่าดิมจะตัดใจไม่ขาดไง   แบบแม่เองถ้าพ่อแกไม่ด่วนเสียไปเสียก่อน ก็ไม่แน่ว่าอาจจะกลับไปคืนดีอีกครั้งก็ได้”   แม่ของเขายกมือขึ้นลูบศีรษะของลูกชายเบาๆ มองเหม่อออกไปด้านนอกรถ

            “ความสัมพันธ์ของคนเรามันแปลกนะ  มันไม่ได้ง่ายๆเป็นเส้นตรงหรอก ..มันซับซ้อนกว่านั้นเยอะ  คนที่เคยรักกันมากๆแล้วเปลี่ยนมาเกลียดกันน่ะ  ต่อให้ปากบอกว่าเกลียดกันขนาดไม่เผาผียังไง    เอาเข้าจริงก็ยังอดนึกถึงไม่ได้อยู่ดี  ไม่เข้าใจเหมือนกัน”  รำพึงกับตัวเอง แล้วก็วกกลับมายังเรื่องที่เป็นห่วงอยู่

            “แม่ถึงกลัวว่าถ้าดิมเจอกับเตอีกครั้ง มันจะยุ่งน่ะสิ เพราะเด็กคนนั้นก็พิสูจน์แล้วว่าไม่ได้รักดิมจริง  แม่กลัวว่าดิมจะเจ็บอีก และคราวนี้จะไม่ใช่ลูกคนเดียวที่เจ็บ  แต่จะมีคนที่ไม่ได้ผิดอะไรด้วยเลยแบบรันที่จะต้องผิดหวังด้วยอีกคน”

          “โธ่  คิดไปไกลใหญ่แล้วคุณแม่  ผมไม่มีทางกลับไปหาเตหรอก  ก็แค่ติดต่อกันเรื่องงาน แค่นั้นจริงๆ”

          “ลูกอาจจะคิดอย่างนั้น  แต่ถ้าฝ่ายนั้นเขาไม่ได้คิดแบบลูกล่ะ  ถ้าเขาอยากกลับมาจะทำอย่างไง  นี่ดูสิ ไม่เจอกันตั้งหลายปี บทจะเจอกันก็ต้องมาวนเวียนเจอกันอีกตั้งกี่ครั้งแล้ว  แม่ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่หรือเปล่า  แม่เลยกลัวว่าดิมจะพลาด  ไม่ทันเขา”

          “ไม่มีวันหรอกครับ  ผมมั่นใจ”  เขาพูดเสียงหนักแน่น  “เรื่องระหว่างผมกับเขามันจบไปแล้วจริงๆ  ไม่มีความรู้สึกรักเหลืออยู่อีก  ถ้ายังเหลือก็คงจะเป็นความเจ็บใจบ้างเท่านั้น   แต่มันก็นานมาแล้ว  ไม่มีผลกับตอนนี้หรอกครับ  แม่ไม่ต้องห่วงหรอกว่าผมจะทิ้งรันกลับไปหาเต มัน...เป็นไปไม่ได้เลย”

          “ได้ยินดิมพูดแบบนี้แม่ยิ่งกลัว   อย่าประมาทนะลูก    เด็กคนนั้นไม่ใช่คนซื่อๆธรรมดาอย่างที่ลูกคิดหรอกนะ  แม่รู้พื้นหลังของเขาดี  ตอนนั้นแม่ก็เตือนดิมแล้วด้วยว่าเด็กคนนี้จะทำให้ดิมเป็นทุกข์ไม่รู้จบ แต่เราก็ไม่เชื่อแม่  ดึงดันจะคบให้ได้  แล้วเป็นไงล่ะ”

            “ผมรู้ซึ้งดีเลยล่ะ  บทจะไปเขาก็ทิ้งผมได้หน้าตาเฉย เหมือนทิ้งรองเท้าเก่าๆที่ไม่ใช้แล้วซักคู่”

          “ตอนนั้นลูกเป็นแค่หมอจบใหม่จนๆ อุดมด้วยหนี้สินนี่นะ  ลองมาตอนนี้สิ...แม่ก็อยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะทิ้งลูกเหมือนตอนนั้นไหม  ...แต่แม่พูดไปงั้นแหละ  ดิมไม่ต้องกลับไปยุ่งกับเด็กคนนั้นเลยนะ  แม่กลัว”

            “ครับ..ผมไม่ทำหรอก”  ชายหนุ่มพึมพำกับตักของมารดา แต่ดวงตากลับเปล่งประกายแวววามราวกับคิดอะไรบางอย่างได้

            ...อะไรอย่างนั้นคงเป็นสิ่งที่มารดาของเขาไม่ชอบใจเป็นแน่…

          ………………………………………………………………………………………………

 

รถตู้มาจอดที่หน้าคอนโดมิเนี่ยมสุดหรูใจกลางกรุงในเวลาบ่ายสองพอดี  บก.หนุ่มรีบลงจากรถ  เดินนำเข้าไปภายในอาคาร  ติดต่อกับประชาสัมพันธ์ด้านล่าง  ครู่ใหญ่ถึงได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปข้างบนได้  แต่ต้องมีการแลกบัตรตรวจกระเป๋าอย่างรัดกุม  เพื่อความปลอดภัย

            พวกเขาเข้ามาในลิฟต์  โดมกดที่ชั้นเกือบบนสุดของตึก  พอมาถึงชั้นที่ต้องการก็ก้าวออกมา   เดินผ่านระเบียงกระจกใสแจ๋ว   มองลงไปเห็นรถไฟฟ้ากำลังวิ่งตัดผ่านไป สมเป็นคอนโดย่านทำเลทอง  ติดรถไฟฟ้าและทางด่วน เดินทางสะดวก  แน่นอนว่าราคาต่อห้องคงจะสูงลิบ บอกรายได้ของผู้อยู่อาศัยได้เป็นอย่างดี

            “ห้องนี้ล่ะ 1169”  พี่โดมพูดพึมพำ หยุดอยู่ที่หน้าประตูบานใหญ่  เกือบสุดทางเดิน   เอื้อมมือไปกดกริ่งหน้าห้อง   หัวใจของนักเขียนหนุ่มรุ่นน้องเต้นแรงจนกลัวว่ารุ่นพี่จะได้ยินเข้า   เขาบอกไม่ถูกว่าตอนนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง  มันปะปนกันไปหมด ทั้งความกลัว ตื่นเต้น เป็นห่วง กังวล  แต่ก็พยายามเก็บอาการเอาไว้จนสุดความสามารถ อดทนรอครู่เดียวประตูก็ถูกเปิดออก

            ชายหนุ่มหน้าเข้มเจ้าของห้องอยู่ในชุดเสื้อฮาวายกับกางเกงขาสามส่วนง่ายๆแบบอยู่บ้าน  แต่ก็เรียบร้อยพร้อมรับแขก และดูดีเป็นบ้าในสายตาของแขกที่มองเห็น   ไม่เหลือเค้าของคนบาดเจ็บที่เพิ่งออกจากโรงพยาบาลเลย ถ้าไม่เหลือบเห็นเฝือกที่ใส่อยู่ที่แขนข้างซ้ายและคล้องอยู่ที่หัวไหล่   หัวใจของใครบางคนเต้นช้าลง ลอบถอนหายใจเบาๆด้วยความโล่งใจ

            “สวัสดีครับ  คุณหมอ  พวกผมมาเยี่ยม  เป็นอย่างไรบ้างครับ”  บรรณาธิการร่างอ้วนทักทายเสียงใส  ส่งกระเช้าของเยี่ยมในมือให้อีกฝ่าย  แต่เห็นว่าฝ่ายนั้นแขนเจ็บจึงถือเอาไว้เสียเอง

            เจ้าของบ้านยิ้มรับ เชื้อเชิญให้เข้ามาด้านในห้อง   สายตาคมเข้มไม่เหลือบแลมายังคนข้างหลังที่เดินตามเข้ามาด้วยเลยสักนิด  ประหนึ่งว่ามองไม่เห็น  หรือไม่ก็เห็นร่างโปร่งบางเป็นอากาศธาตุ

            เตเม้มปากนิดหน่อย  อดรู้สึกน้อยใจขึ้นมาแวบหนึ่งไม่ได้  เดินตามเจ้าของบ้านเข้าไปภายในห้องชุดที่ตกแต่งด้วยโทนสีเรียบขรึม คล้ายๆกับห้องทำงานที่โรงพยาบาลที่เขาเคยเห็น  ผนังห้องนั่งเล่นเหนือโซฟาหนังขนาดใหญ่มีรูปภาพประดับเอาไว้   เป็นรูปวาดของใบหน้าใครคนหนึ่งกำลังส่งยิ้มมาให้ใครก็ตามที่มองสบนัยน์ตากลมโตสดใส เป็นประกายร่าเริงคู่นั้น

            “รูปหมอรันใช่ไหมครับ  ลายเส้นคมดีจัง คุณหมอดิมวาดเองหรือเปล่าครับ”  พี่โดมทักขึ้นมาตรงกับใจเขา  รดิศมองไปที่รูปแล้วอมยิ้ม

            “ครับ ผมวาดเอง  ฝึกวาดตอนที่ไปเรียนที่นู่น”

            “สวยจริงๆ ผมว่าคุณหมอมีพรสวรรค์ด้านนี้นะครับเนี่ย  ดูจากการวาดกับแรเงาแล้ว  นายว่ามั้ยเต...เตเขามีความรู้ทางด้านนี้มากครับ เพราะตัวเขาก็ชอบวาดรูปเหมือนกัน”  โดมหันมาตบที่บ่าบอบบาง ทำเอาสะดุ้ง  ตั้งเตหันไปสบตากับเจ้าของห้องแวบหนึ่ง  เห็นฝ่ายนั้นมองมาที่เขานิ่งๆเฉยๆ ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ

            “ผมไม่ค่อยได้วาดรูปเหมือนเท่าไหร่ครับ ไม่ถนัด  แต่ดูจากลายเส้นแล้ว ถ้าคุณหมอมีเวลาว่าง วาดรูปขายเป็นอาชีพเสริมน่าจะรุ่งครับ”  เขาพูด   อีกฝ่ายหันมาสบตาเขาแวบหนึ่ง ราวกับว่าเพิ่งสังเกตว่ามีเขาอยู่ในห้องด้วยอีกคน  แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา  แววตาคู่นั้นคมลึก  อ่านไม่ออก

            “แต่ก่อนผมก็เคยคิดอยากวาดขายเหมือนกันครับ  แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาเลย  เพิ่งได้หยุดพักก็ตอนที่รถชนคราวนี้เอง  ถือเป็นโชคดีที่ได้หยุดพักผ่อนบ้างเสียที”  เจ้าของห้องหันไปพูดกับบรรณาธิการ แล้วชวนให้นั่งลงสนทนา

            ถามไปถามมาก็ได้ความว่าอีกฝ่ายออกจากโรงพยาบาลมาสักพักแล้ว  ย้ายไปอยู่กับแฟนหมอด้วยกันอาทิตย์หนึ่ง แต่ว่าตอนนี้หมอวิรัลต้องไปดูงานที่ต่างประเทศสามอาทิตย์ เขาก็เลยย้ายกลับมาอยู่ที่คอนโดโดยมีพยาบาลพิเศษมาคอยดูแลแล้วกลับไปในตอนค่ำ

            “แล้วนี่คุณพยาบาลเขาไปไหนเสียแล้วล่ะครับ”  โดมถาม  กวาดสายตามองไปรอบห้อง

          “เขาติดธุระช่วงบ่ายครับ ผมก็เลยอนุญาตให้กลับไปก่อน  พอดีพวกคุณมาด้วย  คงไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อน”  เจ้าของบ้านเอนหลังพิงพนัก  เหลือบมองร่างโปร่งบางที่นั่งกุมมือนิ่ง ไม่สบตาใครอยู่ข้างๆโดมก็คิดในใจ

            ....เพิ่งมาเอาตอนนี้  ไม่มาเอาชาติหน้าเลยล่ะ  ถ้าเกิดเขาตายไปล่ะก็...

            หงุดหงิดขึ้นมาวูบจึงต้องเสลุกขึ้นยืน  พูดยิ้มๆแบบเจ้าบ้านมารยาทดี

            “พวกคุณมาเหนื่อยๆ เดี๋ยวผมไปหาน้ำหาท่ามาต้อนรับก่อน  นั่งเล่นไปก่อนนะครับ”

          “อุ้ย ไม่เป็นไรครับผม ...เต ไปช่วยคุณหมอเขาสิ”  ปฏิเสธอย่างเกรงใจ แล้วหันไปกระซิบสั่งรุ่นน้องที่เงียบกริบให้เข้าไปช่วยเจ้าของบ้านที่เดินหายเข้าไปในครัว   

            ติณธรรับคำอย่างจำยอม  ลุกขึ้นเดินตามหลังเข้าไปในห้องที่ทำเป็นแพนทรีเล็กๆ เห็นร่างสูงได้สัดส่วนของเจ้าของบ้านยืนถือกาน้ำร้อนด้วยท่าทางเก้ๆกังๆ  อดไม่ได้ที่จะตรงเข้าไปช่วยทันทีตามนิสัย

            “ให้ผมช่วยเถอะ”  เตพูดแบบไม่มองหน้าอีกตามเคย   ดึงกาน้ำร้อนจากอีกฝ่ายมาถือเอาไว้เสียเอง  แล้วจัดการวางตั้งเอาไว้บนเตา

            “ที่นี่ไม่มีกระติกน้ำร้อนเหรอ”  ถามลอยๆเหมือนพูดคนเดียว  อีกฝ่ายก็ตอบกลับมาลอยๆเช่นกัน

            “เคยมี แต่เสียไปแล้ว”

          คนฟังพยักหน้านิดเดียวเป็นเชิงรับรู้  แล้วหยิบถุงชาออกมาจากกล่องที่อีกฝ่ายหยิบมาวางทิ้งเอาไว้บนเคาท์เตอร์  ใส่เอาไว้ในถ้วยแก้วเรียบร้อย  หันหลังให้อีกฝ่าย จ้องมองกาน้ำที่ตั้งอยู่บนเตาราวกับมันน่าสนใจเสียเต็มประดา  อย่างน้อยก็คงดีกว่ายืนจ้องหน้าผู้ชายคนนั้น

            ภายในห้องเงียบจนน่าแปลกใจ  ตั้งเตภาวนาให้น้ำมันเดือดเร็วๆ  จะได้ออกจากบรรยากาศที่แสนอึดอัดแบบนี้เสียที

            เสียงไอน้ำพวยพุ่งออกมาแหลมก้องในที่สุด   เขารีบปิดเตาไฟฟ้า  ยกกาน้ำลงมา เทใส่แก้วสามใบที่เตรียมเอาไว้จนครบ  เงยหน้าขึ้น  ผงะเล็กน้อยเมื่อเห็นอีกฝ่ายยืนอยู่เกือบชิด  นัยน์ตาคมกริบคู่นั้นจ้องมาที่ข้อมือของเขาเขม็ง

            เขามองตามสายตาของอีกฝ่าย ...นาฬิกาข้อมือเรือนนั้นนั่นเอง...

            “พี่ดิม....”  เผลอหลุดปากเรียกชื่ออีกฝ่ายออกไปตามความเคยชิน   ฝ่ายนั้นละสายตาจากข้อมือของเขา แล้วหันมาสบตาของเขาแทน

            หัวใจของนักเขียนหนุ่มเต้นผิดจังหวะไปวูบ  จ้องมองแววตาคมลึกที่มองมาที่เขานิ่งๆ พยายามค้นหาความหมายที่ซ่อนอยู่ภายในกระแสตาคู่นั้น

            ห้องเงียบเสียจนได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเองแผ่วเบา..

            “เชิญคุณด้านนอกดีกว่า  ขอบคุณมากที่เข้ามาช่วย”  เจ้าของบ้านขยับตัว แล้วพูดเรียบๆ  แววตาคู่นั้นกลับสงบนิ่งเหมือนทะเลที่ไร้คลื่นลม  มันสงบและเฉยชาจนคนฟังรู้สึกถึงคลื่นของความน้อยใจที่พุ่งขึ้นมาอย่างฉับพลัน แต่ก็กัดฟันแน่นกลั้นเอาไว้ในภายใน  ไม่แสดงออกมา  เขาพยักหน้ารับ ช่วยยกถาดที่ใส่ถ้วยน้ำชาเอาไว้ออกไปด้านนอก

            เจ้าของบ้านมองตาม  แล้วเม้มปากแน่น

...ตั้งเตใส่นาฬิกาเรือนนั้นมาทำไมกัน  ต้องการจะรื้อฟื้นความหลังระหว่างเรางั้นหรือ  หรือว่าเป็นเพียงแค่ความบังเอิญเท่านั้น   ไม่หรอก...เขาไม่เคยเชื่อความบังเอิญบนโลกใบนี้

ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตามออกมา  ปรับสีหน้าเป็นปกติ



            ติณธรนั่งฟังผู้ชายสองคนคุยกันอยู่พักใหญ่   จากเรื่องนู้นไปเรื่องนั้นเปลี่ยนหัวข้อไปเรื่อยๆอย่างน่าสนใจ  เขาพบว่าพี่ดิมก็ยังเป็นผู้รอบรู้สารพัดเรื่องเหมือนเดิม และมีความสามารถในการสนทนาอย่างหาตัวจับได้ยาก

            เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว  หันมองนาฬิกาอีกทีก็เย็นมากแล้ว  ในที่สุดพี่โดมก็ขอตัวลากลับจนได้  เขาส่งนิตยสารที่รวมเล่มเรียบร้อยให้พี่ดิมอ่าน  ท่าทางอีกฝ่ายพอใจมากทีเดียว

            “เขียนดีมากครับ  อ่านแล้วผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นพระเอกฮีโร่ที่มีตัวตนจริงๆ  อะไรเทือกนั้นเลย”  เป็นครั้งแรกที่เขาหันมาพูดกับนักเขียนหนุ่มตรงๆ ไม่ใช่พูดอ้อมๆลอยๆแบบทุกที

            คนฟังห้ามตัวเองไม่ทัน  รู้สึกดีใจขึ้นมาวูบ

            “ขอบคุณครับ” สะกดกลั้นอาการดีใจเอาไว้ในสีหน้า  รับคำอย่างสงบ   อีกฝ่ายยิ้มนิดๆ  ไม่ได้พูดอะไรต่อ เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น  เจ้าของบ้านเอื้อมมือไปกดรับ

            “ครับ...อ่าว...ไม่เป็นไรครับ  ผมอยู่ได้   ครับผม...ครับ  ไว้มะรืนนี้ก็ได้ครับ  สวัสดีครับ”   ท่าทางเขาไม่สบายใจเท่าใดนัก  โดมอดถามไม่ได้

            “มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ”

            “ไม่มีอะไรมากหรอกฮะ  พอดีพยาบาลพิเศษที่เขาดูแลผม..ลูกสาวเขาไม่สบาย ก็เลยขอลา”

          “อ้าว แล้วแบบนี้ใครจะช่วยดูแลคุณล่ะครับ”

          “ผมอยู่ได้ครับ สบายมาก  ยังเหลือมืออีกข้างนึงแน่ะ”  คุณหมอหนุ่มพูดตรงข้ามกับความกังวลในแววตา ที่แขกมองเห็นได้ชัด

            “เอาอย่างนี้ไหมฮะ  เดี๋ยวคุณหมอมีอะไรให้ช่วย  ที่มันต้องใช้มือสองข้างน่ะฮะ ก็รีบบอก เดี๋ยวพวกผมช่วยก่อน โอเคไหม”  โดมอาสาอย่างมีน้ำใจ

            “พี่มีนัดที่ร้าน....นะครับ อย่าลืม”  เตที่นิ่งฟังอยู่นานพูดเบาๆ

            “เออจริงซี  ลืมไปเลยแฮะ  เอาอย่างนี้ เต นายไม่ต้องไปหรอก อยู่ช่วยคุณหมอเขาก่อน ดีไหมครับ”

            “คุณหมอคงไม่อยากให้มีคนอื่นมาวุ่นวายในบ้านเขามั้งพี่…”  เตกระซิบตอบอย่างรวดเร็ว   รู้สึกว่าพี่โดมชักจะมีน้ำใจมากเกินขอบเขตไปหน่อยแล้ว   และคิดว่าเจ้าของบ้านคงจะปฏิเสธอย่างแน่นอน

            ทว่าเขาแทบอ้าปากค้าง  เพราะคุณหมอหนุ่มกลับรับคำยิ้มๆ

            “ถ้าไม่เป็นการรบกวนคุณเตมากเกินไป ผมก็จะยินดีมากครับ”

     “ไม่รบกวนเลยครับ  คุณหมอ  เต..นายอยู่ช่วยคุณหมอเขาหน่อยล่ะกันนะ  แล้วค่อยกลับ   ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องขอตัวก่อน   พอดีมีนัด”  พี่โดมพูดฉอดๆ คล่องแคล่วราวกับเตรียมมาแล้วอย่างงั้นแหละ   ไม่รอฟังความเห็นของเขาเลยสักนิด  ร่างอวบสมบูรณ์ก็ลุกขึ้น ร่ำลากับเจ้าของบ้าน  หันมากำชับเขาอีกที  แล้วก็ออกจากห้องไปดื้อๆ

            ....ทิ้งกันแบบนี้เลยเหรอ   ทำไมทำกันแบบนี้ล่ะ...  นักเขียนรุ่นน้องที่โดนทอดทิ้งอย่างไร้ความปราณีรำพึงอยู่ในใจ

            “คุณมีอะไรให้ผมช่วยบ้างล่ะ”   หันไปถามเจ้าของห้องห้วนๆ  อีกฝ่ายตอบกลับเรียบๆ  ไม่แสดงความรู้สึกอีกตามเคย

            “ไม่มีหรอก  คุณกลับไปเถอะ”

          …เอ้า  แล้วเมื่อกี้ให้อยู่ทำไมไม่ทราบ...เขาคิด  เริ่มไม่พอใจขึ้นมากรุ่นๆ

            อีกฝ่ายไม่สนใจเขาอีก   ก้มลงยกถาดน้ำชาด้วยมือข้างเดียว...ท่าทางทุลักทุเลทำให้คนมองต้องกระทืบเท้าเข้าไปช่วยด้วยความหงุดหงิด  คว้าถาดมาถือเอาไว้เสียเอง

            “ผมจะอยู่ช่วยล้างจาน  แค่นั้นนะ”  พูดสะบัดเสียง  แล้วถือถาดเดินกลับเข้าไปในห้องแพนทรี   ลงมือล้างอย่างว่องไว

            อีกฝ่ายเดินตามเข้ามา กอดอก พิงตู้เย็นเครื่องใหญ่  จับตามองมาที่เขานิ่งๆ

            “เหนื่อยมั้ย”  เสียงนุ่มถามลอยๆ   คนที่ล้างถ้วยชา แถมด้วยจานกองโตหันมามองแวบหนึ่งแล้วตอบ

            “ล้างจานแค่นี้ จะเหนื่อยอะไร”

            “เปล่า  ผมหมายถึงว่า..ที่คุณต้องฝืนใจตัวเอง ทำสิ่งที่ไม่อยากทำแบบนี้  มันเหนื่อยมั้ย”  คนที่ยืนอยู่หน้าอ่างล้างจานชะงัก  แล้วก้มลงเปิดน้ำก๊อก  เสียงน้ำไหลแรงกระทบจานทำลายความเงียบระหว่างที่เขากำลังคิดหาคำตอบ

            “ถ้ามันเป็นสิ่งที่ต้องทำ  ผมก็ไม่เหนื่อยหรอก”  เขาตอบช้าๆ  ยกจานที่ล้างสะอาดดีแล้วขึ้นสะบัดน้ำเบาๆ  วางเรียงเอาไว้บนชั้นอย่างเป็นระเบียบ   เจ้าของบ้านมองตามมือเรียวที่ขยับหยิบนู่นวางนี่คล่องแคล่วว่องไวอย่างพอใจ

            “อะไรบ้างที่คุณคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องทำ  ..อย่างเช่นการอยู่ดูแลผมแบบนี้  ใช่สิ่งที่ต้องทำหรือเปล่า”

          “ใช่ เพราะหัวหน้าสั่งผม  ผมก็ต้องทำ”

          “ถึงแม้จะฝืนใจทำก็ตาม?”  อีกฝ่ายไม่ตอบ แต่ยักไหล่ 

            “มีอะไรให้ผมช่วยทำอีกไหม?”  เจ้าของบ้านจับตามองมาที่เขานิ่งๆ นานจนเกือบจะอึดอัด

          “ไม่มีแล้ว  คุณกลับไปเถอะ”  เขาพูดในที่สุด  แล้วหันหลังเดินออกจากห้องครัว ตรงไปยังโต๊ะทำงานที่วางอยู่ที่มุมด้านหนึ่ง  กั้นด้วยตู้ดีไซน์เก๋ล้ำสมัยแยกออกจากห้องรับแขก และห้องนอนเป็นสัดส่วน

            แขกเดินตามออกมา  เห็นเจ้าของบ้านพยายามจะเปิดโน๊ตบุ๊คด้วยมือข้างเดียวก็ยืนมองเงียบๆ  อยากรู้เหมือนกันว่าจะทำอีท่าไหน

            หลังจากพยายามอยู่นาน  อีกฝ่ายก็ดูจะหมดความอดทน  เขาทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้แรงๆ  นักเขียนหนุ่มแอบหัวเราะอยู่ในใจ  เดินเข้าไปใกล้  ก้มลงเปิดฝาโน๊ตบุ๊คให้อย่างนิ่มนวล   คนหน้าเข้มเจ้าของโน๊ตบุ๊คไม่บอกขอบคุณสักคำ  แต่กลับเอื้อมมือมาจับที่ข้อมือของเขา ยึดเอาไว้เเล้วบีบอย่างแรงจนเตตกใจ

            คุณหมอหนุ่มลุกขึ้นยืน  จ้องดวงตาของคนตรงหน้าด้วยแววตาวาวโรจน์  ราวกับมีกองเพลิงหรืออะไรสักอย่างสุมอยู่ภายในจนมันร้อนแรงโชติช่วง

            “ทำแบบนี้ทำไม  หรือว่าอยากแก้ตัวงั้นหรือ”  เสียงที่ปกตินุ่มนวลน่าฟัง ในตอนนี้กลับห้วนสั้นกระด้าง 

            “ปล่อยนะ  ผมเจ็บ”  ติณธรตกใจกับอารมณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วของเจ้าของห้อง  พยายามบิดข้อมือของตนออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายแต่ไม่สำเร็จ  กลับยิ่งกระชับแน่นขึ้นอีก  นาฬิกาเรือนนั้นถูกมือแข็งแรงบีบกดแน่นกับข้อมือเรียวบางจนขึ้นรอยแดง

            “ทิ้งผมไปซ้ำสอง  ใช่สิ  ผมมันก็ยังเป็นไอ้โง่คนเดิม ถึงจะเรียนจบเมืองนอกกลับมา แต่สุดท้ายก็ยังโง่!  โง่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย!”   เขาตะคอกใส่หน้าเตดังๆ   รู้สึกถึงความพลุ่งพล่านภายในอกเหมือนอยากจะระเบิดออกมา ยิ่งมองเห็นคนตรงหน้าเบิกตาโต ทำหน้าตาตื่นราวกับไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วยแล้ว  ความโมโหยิ่งเพิ่มขึ้นอีก

            “พี่หมายถึงอะไร   ที่ผมบอกเลิกที่ใช่มั้ย...ผมบอกแล้วไงว่าผมขอโทษ”

          “ขอโทษที่พี่เป็นคนดีเกินไปใช่มั้ย”  เขาพูดทวนประโยคที่อีกฝ่ายเคยพูดเอาไว้เมื่อหลายปีก่อนและจำติดตาฝังหูด้วยความแค้นอย่างแม่นยำ  “เหมือนกับเมื่อสองอาทิตย์ก่อนที่ผมก็เป็นคนดีเกินไปอีก   วนรถกลับไปดูคุณ  จนถูกรถชนเกือบตาย  ทั้งที่คุณก็ไม่เคยมาสนใจไยดี เหลียวแลผมเลยด้วยซ้ำ  คราวนี้คุณจะขอโทษผม เพราะผมเป็นคนดีเกินไปอีกหรือเปล่า”  คนฟังอึ้ง  มองหน้าเขาอย่างงุนงง

            “วนรถกลับ?  ไม่สนใจไยดี?  พี่หมายถึงอะไร  ผมเพิ่งรู้ว่าพี่รถชนเข้ารพ.ก็วันนี้เองนะ”

          “เหอะ  นายมีปาก จะพูดอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ แต่ก็เปลี่ยนความจริงไม่ได้วันยังค่ำ  ถ้าวันหลังคิดจะแก้ตัวอะไรซึ่งๆหน้าก็หัดคิดให้มันรอบคอบมากกว่านี้หน่อยนะ   ลืมไปแล้วหรือไงว่านายโทรมาเรื่องต้นฉบับ  รันเขาบอกผมเอง”  คนพูดเปลี่ยนจากคำว่าคุณเป็นนาย  เผลอกลับไปใช้สรรพนามเดิมที่เคยเรียกอีกฝ่ายจนชินปาก 

            “หมอรันไม่ได้บอกอะไรผมเลย”  ตั้งเตพูด  ทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางเชื่อแน่นอน  ดูจากแววตาคู่นั้นก็รู้แล้ว  เพราะเขาได้ทำลายความเชื่อใจระหว่างกันไปหมดสิ้น ด้วยน้ำมือตนเองไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน

            “ช่างเถอะ   ผมก็ไม่ได้สนใจนักหรอก แต่ขอบอกตามตรงว่าผมหงุดหงิดมาก  ที่คุณทำเหมือนสำนึกผิดแบบนี้  ทั้งที่ไม่ได้รู้สึกเลย”

          “พี่รู้ได้ไงว่าผมไม่ได้รู้สึกอะไรเลย  พี่รู้หรือเปล่าว่ามันเจ็บแค่ไหนที่ต้องปล่อยมือคนที่เรารักที่สุดด้วยตัวเองอ่ะ”

          “คนที่รักที่สุดงั้นหรือ”  อีกฝ่ายทวนคำ แล้วหัวเราะในคอ  “ถ้ารักที่สุดก็คงไม่ทิ้งกันไปแต่งงาน เป็นแฮปปี้แฟมิลี่หรอกเนอะ  เอ..หรือว่าจะใช้คำว่าแฮปปี้ไม่ได้  เพราะดันมีฝ่ายนึงเล่นชู้เสียแล้ว”

          เผี๊ยะ!!

          ฝ่ามือที่พยายามดึงมือของอีกฝ่ายออก ยกขึ้นฟาดเข้าที่กึ่งปากกึ่งจมูกของคนพูดไม่เบานัก   ทำเอาหน้าชาไปครึ่งแถบ   มือแข็งแรงจึงบีบแน่นที่ข้อมือเล็กบาง กระชากอย่างแรงให้ยกสูงขึ้น  จ้องมองไปที่นาฬิกาข้อมือที่ถูกกดอยู่กับผิวหนัง

          “ทำไมล่ะ  พูดความจริงทำเป็นรับไม่ได้   ถามจริงเถอะ  ที่มาวันนี้นี่เพราะอะไร  อยากมาคืนดีกับผมเหรอ  ใส่นาฬิกามาด้วย  คิดว่าจะทำให้ผมใจอ่อนได้ไหมล่ะ”





ต่อด้านล่างนะคะ

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
 ต่อนะคะ




            ติณธรมองหน้าคนพูดอย่างผิดหวัง   นัยน์ตาแดงก่ำแต่ไม่มีน้ำตาสักหยด   เขาบิดมือออกจนเป็นอิสระจากการเกาะกุมได้ในที่สุด  แกะนาฬิกาเรือนนั้น กระชากมันออกจากข้อมืออย่างไม่ปรานีปราศรัย  และเหวี่ยงมันลงที่พื้นอย่างแรง...ไม่มีความเสียดายอยู่เลยในการกระทำนั้น 

            นาฬิกากระทบพื้นหินอ่อนดังเกร้ง  แล้วไถลนิดเดียวมาหยุดอยู่ที่ปลายเท้าของผู้เป็นเจ้าของห้อง

            รดิศโกรธจัดยิ่งกว่าเดิม  แต่เหนือกว่านั้นคือความรู้สึกวูบโหวงแปลกๆ  แต่เขาไม่สนใจ  จ้องหน้าอดีตคนรักที่ยืนหน้าซีดเผือดตรงหน้าเขม็ง

            เตจ้องกลับ  น้ำตาเริ่มคลอ พูดเสียงสั่น

            “ผมน่าจะรู้ตั้งนานแล้วว่าคุณเปลี่ยนไปแล้ว  ไม่ใช่พี่ดิมคนเดิมที่ผมรู้สึกผิดต่อเขา”

          “ใครมันจะไปดีเลิศเหมือนเจ้านายรูปหล่อของคุณล่ะ  ได้ทำงาน ‘พิเศษ’ ทุกสุดสัปดาห์ เงินเดือนคงจะงามสินะ    เคยสนใจบ้างหรือเปล่าว่ามีใครเจ็บปวดกับการกระทำเลวๆของตัวเองบ้าง”

          “คุณจะมายุ่งอะไรกับผมเรื่องนี้  หรือจะบอกว่าคุณเจ็บปวดที่เห็นผมไปไหนมาไหนกับใครเขา”  ตั้งเตพูด  มุมปากยกขึ้นนิดๆเป็นเชิงเยาะ  ตรงข้ามกับในหัวใจที่เริ่มร่ำร้องว่า พอแล้ว...อยากออกไปจากที่นี่เหลือเกิน

            คนฟังชะงักไปนิดหนึ่ง   นิดเดียวเท่านั้นสำหรับการคิดใคร่ครวญถึงผลได้ผลเสีย  รวมถึงอนาคตที่จะเกิดขึ้นซึ่งเกินกว่าที่เขาจะคาดการณ์ได้  ทว่าเขาไม่สนใจ   บอกตัวเองว่า...ถึงเวลาที่เขาจะต้องเอาคืนบ้างแล้ว

            ...ขอโทษนะครับคุณแม่ รัน  แต่ผมขอเวลาไม่นาน  แค่สามอาทิตย์ก็พอ   แล้วผมจะกลับไปเป็นคนใหม่ที่ไม่มีอะไรติดค้างอยู่กับผู้ชายคนนี้อีกแล้ว...ผมสัญญา

สำเนียงและแววตาตัดพ้อของอีกฝ่ายที่มองเห็นได้ชัดเจนทำให้รดิศยิ้มมุมปาก  แทบสังเกตไม่เห็น  แล้วตอบออกมาเสียงพร่าด้วยประโยคที่ทำให้อีกฝ่ายเงียบงัน

            “ถ้าผมบอกว่าใช่ล่ะ  คุณจะว่าอย่างไร”

            เตมองหน้าคนพูดเหมือนเห็นผี   ทั้งแปลกใจและตกใจ สับสนวุ่นวายกันไปหมด  ยิ่งเห็นแววตาของอีกฝ่ายที่มองมาด้วยนัยน์ตาเศร้าสร้อยแกมตัดพ้อต่อว่าอย่างที่เขาเคยเห็นเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่เขาบอกเลิก  ก็ยิ่งประหลาดใจเสียจนพูดไม่ออก

            ความรู้สึกที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอย่างรวดเร็วในดวงดำขลับเรียวยาวคู่นั้นที่คุณหมอหนุ่มสังเกตอยู่อย่างไม่ยอมให้คลาดสายตา   มีทั้งความสับสนวุ่นวายใจ และสิ่งหนึ่งที่แทรกอยู่อย่างลึกล้ำ ทว่าก็มองเห็นได้ก็คือความดีใจ 

            เตดีใจที่ได้ยินประโยคนี้จากเขางั้นหรือ?

          วูบหนึ่งที่เขารู้สึกดีใจขึ้นมาเช่นกัน แต่สะกดเอาไว้ภายใต้สีหน้าเศร้าสลด  เป็นความดีใจที่คนละความหมายของเตอย่างแน่นอน  แม้ว่าจะมีที่มาจากเรื่องเดียวกันก็เถอะ

            ไม่ปล่อยเวลาให้ตนเองใคร่ครวญซ้ำสอง  คุณหมอหนุ่มตัดสินใจทำสิ่งที่ตนเองเคยคิดเอาไว้  ..ถ้าเตยังรักเขาอยู่  บางทีเราอาจจะ...

            “เต...พี่ไม่เคยลืมนายเลยนะ”

            ประโยคเดียวที่ทำเอาสะเทือนไปทั้งหัวใจ  เหมือนมีใครมาจับตัวเขาเขย่าแรงๆจนหัวสั่นคลอน   เตยืนมองคนพูดอย่างงุนงง  เขาไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น   เมื่อครู่นี้อีกฝ่ายยังทำท่าเหมือนโกรธเขามาจากชาติปางก่อนอยู่เลย  แต่ตอนนี้นัยน์ตาคมหวานคู่นั้นกลับมองมาที่เขาอย่างอ่อนเศร้า

            “พี่ดิม..?”  เรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างไม่มีความหมาย   พี่ดิมขยับเข้ามาใกล้เขาอีกก้าวหนึ่ง

            “ความจริงแล้ว  สิ่งที่พี่อยากจะพูดกับนายมาตลอดก็คือ พี่ยังรักนายอยู่  ก็แค่นั้นเอง ที่พี่อยากบอก”  เหมือนหัวใจที่แห้งผากมานานเริ่มมีหยาดน้ำฝนเย็นชุ่มฉ่ำโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า  เตรู้สึกชื่นใจขึ้นมาอย่างประหลาด  กระนั้นมโนธรรมในใจก็ทำให้ต้องแย้งออกมา

          “แต่ว่ามัน...พี่มีหมอรันแล้ว...ผมก็มี..”

          “พี่ถึงรู้สึกผิดกับตัวเองอยู่นี่ไงล่ะ  ตั้งเต...มันยากจริงๆนะ  ยากมากจริงๆ  นายทำให้พี่เจ็บเจียนตายมาสองหน  พี่โกรธนาย แค้นนายเท่าไหร่ แต่พี่ก็ยัง...คิดถึง...นายอยู่ดี..ทำไงดีล่ะ”  ชายหนุ่มพูดเบาๆ  เงยหน้าขึ้นถามเขา  ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นราวกับหมดแรง  เตมองตาม  เห็นลำคอที่เคยตั้งตรงกลับก้มลงต่ำ   ไหล่ทั้งสองข้างลู่ลงหมดสง่าราศีคุณหมอหนุ่มที่เคยเห็น

            “แปลว่าที่ผ่านมา...พี่ดิม..”

            “...............”  ไม่มีคำตอบมาจากร่างที่เริ่มสั่นน้อยๆ

            ติณธรเม้มปากแน่น  เดินเข้ามาทรุดตัวลงนั่งจนชิด  โอบมือไปรอบไหล่ที่เริ่มสั่นอย่างควบคุมไม่ได้นั้น  ดิมเงยหน้าขึ้น เห็นดวงตาแดงก่ำมีเส้นเลือดขึ้นเป็นสาย   ดิมจ้องหน้าเตในระยะประชิด แล้วก็ปล่อยให้หยดน้ำตาหยดหนึ่งที่ฝืนกลั้นเอาไว้หล่นร่วงลงมาตามร่องแก้ม  เตใช้ปลายนิ้วปาดน้ำตาให้เบาๆ

            “ผมขอโทษนะพี่  ผมไม่นึกเลยว่าพี่จะยังเจ็บปวดอยู่มากขนาดนี้ ..ผม..” พูดต่อไม่ออก  ความรู้สึกที่มีต่อผู้ชายตรงหน้ามันปนกัน ตื้อขึ้นมาในอก

          เกือบสิบปีที่เขาเป็นทุกข์อยู่ฝ่ายเดียวเพราะคิดว่าอีกคนคงจะลืมเรื่องราวระหว่างกันไปหมดแล้ว  เหลือแต่เขาที่เอาแต่จดจำเอาไว้  ลืมไม่ได้สักที  จนได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง  จะเพราะอุบัติเหตุหรืออะไรก็ตามแต่   ในชั้นแรก เมื่อได้รู้ว่า ‘พี่ดิม’ ไม่เคยลืมเรื่องราวระหว่างกันเลย  สิ่งแรกที่รู้สึก คือความดีใจในส่วนลึก   แม้ว่าตอนนั้นเขาจะรู้ว่า ถึงอีกฝ่ายไม่ลืม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยังรักอยู่เหมือนเดิม

            ทว่าในตอนนี้  น้ำตาของรดิศเหมือนเป็นเครื่องยืนยันความเจ็บปวดที่ยังคงอยู่  ไม่จางหายไปตามกาลเวลา เช่นเดียวกับความรู้สึกในใจของเขา

          สบตากันในความเงียบอีกครั้ง         

          “เรา...กลับมาเป็นเหมือนเดิม..ไม่ได้แล้วใช่ไหม”  พี่ดิมพูดเสียงแหบๆ  เขาไม่ตอบแต่โอบศีรษะของอีกฝ่ายเข้าหาตัว   แปลกใจจนเกือบจะเรียกว่าอัศจรรย์ใจก็ได้  ไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายจะยัง..

            นี่มันคือเรื่องจริงหรือเปล่า  หรือว่าเขากำลังอยู่ในความฝัน   ฝันว่ามีพี่ดิมอยู่ในวงแขน   ฝันว่าพี่ดิมยังรัก ยังคิดถึงเขาอยู่  ไม่เคยลืม   ..ถ้านี่คือความฝัน เขาก็ไม่อยากตื่นขึ้นมาอีกเลย  เตบอกตัวเอง..

            “มันเป็นไปไม่ได้ พี่รู้”  พี่ดิมพูดอยู่ข้างหู 

            คนฟังสะท้อนในหัวอก   ถึงใจจะอยากตอบว่า ‘เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมกันเถอะ’ แต่นี่คือชีวิตจริง ไม่ใช่ความฝัน   มันไม่ง่ายขนาดนั้น   โลกใบนี้ไม่ได้มีเพียงเขาสองคนอย่างที่เคยเข้าใจเมื่อยามเป็นเด็ก   ยังมีเหตุผลและข้อจำกัดหลายอย่างที่ทำให้เราทั้งคู่ไม่สามารถย้อนกลับคืนไปได้ดังเดิม  อย่างน้อยในใจของเขาตอนนี้ก็บอกว่าไม่ได้  มันไม่ถูกต้อง

            “เราเดินมาไกลแล้วพี่ดิม  กลับไปไม่ได้แล้วล่ะ”   พูดได้แค่นั้นเอง   ทั้งที่ในใจของเขามีอะไรมากมายที่อยากบอก

พี่ดิมเงยหน้าขึ้นจากไหล่ของเขา   น้ำตาแห้งไปแล้ว 

             “พี่รู้...ว่าเวลาของเราสองคนมันผ่านไปแล้ว  แต่พี่ก็ยัง..เจ็บอยู่  ทุกครั้งที่เห็นหน้านาย”  พูดด้วยเสียงต่ำลึก

            “พี่ดิม  ผม...ขอโทษนะ  ขอโทษสำหรับสิ่งที่ผมทำไปเมื่อหลายปีก่อน   ผมไม่เคยมีความสุขจริงๆเลยสักครั้ง เมื่อต้องนึกว่าตอนนี้พี่จะเป็นยังไงบ้าง   แต่วันนั้นผมมีเหตุผลจริงๆนะ  ถ้าพี่อยากฟัง..”  หรือว่าเขาควรจะบอกเหตุผลที่แท้จริงทั้งหมด  ที่ทำให้เราต้องตัดสินใจแบบนั้นออกไปดี

…ถึงเวลาที่ต้องพูดแล้วใช่ไหม?

          “ชู่ว...”  คุณหมอหนุ่มยกมือขึ้นแตะที่ริมฝีปากของอีกฝ่ายเป็นเชิงห้าม  “พี่ยังไม่อยากฟังเหตุผลที่ทำให้เราต้องแยกจากกัน  ไว้วันหลังเถอะนะ  ให้พี่พร้อม..นายค่อยเล่าให้พี่ฟัง”

            ติณธรพยักหน้า ...เอาเถิด  รอให้พี่ดิมพร้อมที่จะฟัง  แล้ววันนั้นเค้าจะต้องเข้าใจ ถึงเหตุผลทั้งหมดที่เขาทำลงไป..

            รดิศเอื้อมมือไปหยิบนาฬิกาที่ตกอยู่บนพื้นตรงหน้าขึ้นมาดู  ลูบปลายนิ้วไปบนหน้าปัดแก้วที่มีรอยแตกร้าวเป็นทางเพราะตกกระทบพื้นอย่างแรง   แต่เข็มนาฬิกายังคงเดินอยู่  ได้ยินเสียงติ้กๆเบาๆ

            “ยังเก็บเอาไว้อีกเหรอ   นึกว่านายโยนทิ้งไปแล้วเสียอีก”  คนให้พูดเหมือนรำพึง   เพ่งมองกรอบสีเงินด้านหลัง สะท้อนแสงไฟวูบวาบ  ตัวอักษรที่เขาเป็นคนสั่งให้ช่างแกะสลักเอาไว้เอง ปรากฏขึ้นชัดเจน  ไม่จางหายไปเพราะมันถูกฝังลึกอยู่ในเนื้อโลหะ  เหมือนกับความเจ็บแค้นใจของเขา..ที่ยังฝังลึกอยู่ในเนื้อหัวใจเช่นกัน  ดิมบอกตัวเอง

            “ของที่พี่ให้ผม  ผมไม่เคยทิ้งเลยแม้แต่ชิ้นเดียว”  ตั้งเตพูดเสียงหนักแน่น

            ...ยกเว้นหัวใจของพี่ใช่ไหม  ที่นายทิ้งได้อย่างไม่ไยดี... รดิศพูดต่ออยู่ในใจ    พร้อมกับเผยยิ้มบางๆ

            “พี่ดีใจนะ   นาฬิกาเรือนนี้ พี่ให้ในวันครบรอบ 4 ปีของเราใช่ไหม  พี่จำได้”  เขากลับไปเรียกแทนตัวเองว่าพี่อีกครั้ง เหมือนเมื่อสมัยก่อน 

           เตน้ำตาคลอ   พยักหน้ารับ  ...สีหน้าของพี่ดิม แววตา  สัมผัสของปลายนิ้วที่ยกขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้ที่แก้มของเขา  แผ่วเบา อ่อนโยน  ช่างเหมือนเหลือเกิน...เหมือนพี่ดิมคนเดิมเมื่อ 8 ปีก่อน  เหมือนเมื่อวันที่พี่ดิมมอบนาฬิกาเรือนนี้ให้เป็นของขวัญแก่เขา

            หรือว่านี่จะไม่ใช่ความฝัน  พี่ดิมกลับมาแล้วจริงๆ?

          “พี่....หายโกรธผมแล้วใช่มั้ย”  กลั้นใจถาม   คำถามที่อยากรู้ตั้งแต่แรกเจอกันอีกครั้ง

            ศัลยแพทย์หนุ่มนิ่งไปนาน  มองหน้าเขาราวกับกำลังทบทวนความรู้สึกภายในจิตใจ   บรรยากาศเงียบลง  ชั่วขณะที่ตั้งเตรู้สึกกดดันเหมือนถูกอากาศรอบด้านกดลงมาระหว่างรอคอยคำตอบ

            “ยัง...แต่ก็คงจะหายดี ในไม่ช้านี้”  พี่ดิมตอบกลับมาช้าๆในที่สุด

            “แค่พี่ยอมพูดกับผมเหมือนเดิม  ผมก็ดีใจแล้ว”  เตพูด กลั่นออกมาจากใจจริง   เขาไม่คาดหวังอะไรมากไปกว่านี้หรอก...จริงหรือ?  เสียงเล็กๆจากซอกหลืบในหัวใจถามขึ้นมาเบาๆ

            จริง..จริงที่สุด  จะให้เขาหวังอะไรล่ะ  กลับมาคบกันเหมือนเดิมหรือ   เขามีข้าวตังกับเต้แล้ว  พี่ดิมก็มีหมอรัน  กำลังจะแต่งงานกันด้วย   จะให้กลับมาเหมือนเดิมได้อย่างไร ...เขาตะโกนตอบเสียงในใจนั้นไป   แล้วพูดกับพี่ดิมว่า

            “ผมไม่รู้จะพูดอะไร  เพราะมันจะเหมือนคำแก้ตัว  ที่พี่ก็คงจะไม่อยากฟัง...แต่ผมขอโทษ และรู้สึกผิดกับพี่จริงๆ  ถ้ามีอะไรที่ผมพอจะชดใช้ให้พี่ได้...ให้สมกับความผิดของผม  ที่ผมทำให้พี่ต้องเสียใจ  ผมก็อยากจะทำ”   

            วูบหนึ่งที่เขาเห็นรอยยิ้มเยาะพาดผ่านแววตาคมกริบลึกล้ำคู่นั้น  แต่เพียงวูบเดียวก็หายไป  กลับกลายเป็นแววอ่อนเศร้าเหมือนเดิม ...คงจะตาฝาด

            “นายพูดจริงหรือ   แล้วนายจะแก้ไขความผิดของนายได้อย่างไรล่ะ”  พี่ดิมถาม   คนฟังเม้มปาก

            “แล้วแต่พี่ก็แล้วกัน”   เขาตอบกลับมาในที่สุด

            รดิศรีบเบือนหน้าไปทางอื่น   เขากลัวว่าตนเองจะสะกดกลั้นแววตาลิงโลดเอาไว้ไม่ได้    เขาเสมองไปที่นาฬิกาที่หน้าปัดแตกร้าวเรือนนั้น

            ...นายพูดเองนะตั้งเต   พี่จะถือว่านี่เป็นคำอนุญาตจากนายก็แล้วกันนะ  ถ้าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้  ก็ถือซะว่าเป็นการ ‘ชดใช้’ ความผิดของนายที่ทำเอาไว้...

            “ถ้าอย่างนั้น  เราสงบศึกทุกอย่าง...ทุกอย่างที่เราเคยโกรธเคืองกัน   พี่จะลืมมันไปให้หมด  และนายก็ต้องลืมมันไปให้หมดเหมือนกัน   แล้วเรามาเริ่มต้นกันใหม่  โอเคไหม”

          “เริ่มต้น?”

          “ใช่  ในฐานะ ‘พี่น้อง’ ไม่ก็ ‘เพื่อนเก่า’ ที่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง”

          “แล้ววิธีนี้จะช่วยทำให้พี่..หายโกรธผมหรอ”  ดิมหัวเราะออกมา กับคำถามซื่อๆ ที่อีกฝ่ายถาม  แวบหนึ่งที่เขาเผลอนึกกลับไปถึงอดีต..เตมักจะมีคำถามที่ทำให้เขายิ้มได้เสมอ   ซื่อ..แต่ก็น่ารัก  แน่ละว่าคนซื่อๆใสๆแบบนี้เกือบทำให้เขาตายทั้งเป็นไปแล้วครั้งหนึ่ง

            “ได้สิ  อย่างน้อยพี่ก็อยากจะซึมซับความรู้สึกดีๆแบบนี้เอาไว้ ก่อนที่เรา..จะจากกันไป”  คนฟังขมวดคิ้ว           

            “หมายความว่าอะไร จากกัน?”

          “พี่หมายความว่า  จากกันแบบ...แยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง   แบบนายก็เป็นนักเขียน  แบบพี่...ต่อไปก็จะได้แต่งงานแต่งการกับเขาสักที...อย่างน้อยในเมื่อพรหมลิขิตให้เราได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง  พี่ก็อยากจะจัดการความรู้สึกของเราสองคนที่มันค้างคาอยู่  ...พี่จะได้รู้สึกว่าพี่ได้แก้ไขอดีต  จัดการกับแผลในใจของพี่แล้ว  และระหว่างเราไม่มีอะไรตกค้างกันอีกไงล่ะ”

          พี่ดิมอธิบายวกวนไปมา แต่เตก็รู้สึกว่าเขาเข้าใจสิ่งที่ฝ่ายนั้นต้องการจะสื่อ...พี่ดิมยังรู้สึก ‘ค้างคา’ กับเขาอยู่  แบบที่เขาก็ยังคงรู้สึกผิดติดค้างอยู่ใจ  ไม่รู้เหมือนกันว่าความรู้สึกค้างคาของฝ่ายนั้นมันเป็นความรู้สึกแบบไหน  จะเรียกว่ายังรักอยู่ได้หรือไม่..คงไม่หรอก เพราะเขาก็มีคนรักของเขาอยู่แล้ว  มันคงเป็นเหมือนความรู้สึกที่อยากจะเก็บกวาดห้องเก็บของให้สะอาด เพื่อที่จะได้พร้อมที่จะรับเอาสิ่งใหม่ๆเข้ามาแทนที่กระมัง

            คงจะไม่เป็นไร  ถ้าเขาจะช่วยอีกฝ่าย ‘เก็บกวาด’  พื้นที่ในหัวใจที่เขามีส่วนทำให้มัน ‘รก’ เอง     และก็คงจะดีกว่า ถ้าต่อไปภายหน้า เราจะจากกันแบบพี่น้องที่เหลือแต่ความรู้สึกดีๆ ให้แก่กัน  ไม่ใช่ความโกรธ เกลียดชัง หรือความไม่เข้าใจอย่างที่เคยเป็นมา

            “ตกลง  เรามาเริ่มกันใหม่”  เตพูดเบาๆ 

            รดิศยิ้มกว้างออกมาเป็นครั้งแรก  นับตั้งแต่ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง    รอยยิ้มที่ทำให้แก้มบุ๋มลึก และดวงตาแพรวพราว  หวานเหมือนจะหยด
         
            ..รอยยิ้มที่ทำให้เขาใจสั่นได้ทุกครั้ง

            พี่ดิมยกมือขึ้นเคาะที่หน้าผากของเรียบเนียนแล้วพูดเบาๆว่า

            “เซ็ตซีโร่”

            เตหัวเราะ  รู้สึกปลอดโปร่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน     รดิศหยิบนาฬิกาเรือนนั้นส่งคืนให้แก่เจ้าของ   เขาเพ่งพินิจไปที่รอยแตกร้าวเป็นทางยาวที่พาดผ่านหน้าปัดนาฬิกาสี่เหลี่ยมเรือนนั้น   

            “มันจะซ่อมได้ไหมนะ”  ดิมพูดคล้ายรำพึงกับตัวเองเบาๆ  เตใส่นาฬิกากลับเข้าที่เหมือนเดิม   เงยหน้าขึ้น พูดแกมหัวเราะ

            “น่าจะได้นะพี่  พรุ่งนี้ผมจะลองไปถามร้านนาฬิกาดู”

          คุณหมอหนุ่มพยักหน้า  ส่งยิ้มให้บางๆ  ฝ่ายนั้นไม่มีทางรู้ได้เลยว่า สิ่งที่เขาคิดนั้น  หาใช่รอยแตกที่นาฬิกาเรือนนั้นไม่  หากแต่เป็นรอยร้าวลึกในหัวใจที่เขาตั้งใจจะกรีดให้ฝ่ายนั้นด้วยตัวเองตะหาก

            ของที่มันเคยแตกร้าวไปแล้ว  จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อย่างไร  จริงไหม?


          ……………………………………………………………………………


มาต่อค่ะ  ขอบคุณนะคะสำหรับคอมเม้นท์
เรื่องนี้ยังอีกยาวไกล5555 นี่เพิ่งเริ่มต้น
ขอบคุณกลอนด้วย เพิ่งเคยได้รับกลอนจากผู้อ่านนี่เเหละ
เริศศศ :katai2-1:

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
ดราม่ากันต่อไป 

ออฟไลน์ myapril

  • Tomorrow
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-3
set zero ..ตามนั้นเลย

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
เอามันเข้าไป !!!!!!

ชอบจริงๆดราม่าแบบนี้เนี่ย มาต่อเร็วเข้า 5555

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
บวกเป็ด ด้วยรัก ส่งให้เต

ออฟไลน์ เจเจจัง

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
สรุปว่าดิมจะใชัโอกาสที่แฟนไม่อยู่ 3 อาทิตย์มาแก้แค้นเต  อาจหลอกให้รักแล้วทิ้งเหมือนที่เตเคยทำ 

สงสารเต  คือดิมก็น่าสงสารนะ แต่ดิมมีรันเป็นแฟนแล้วงัย ส่วนเตมีแต่เมียและลูกปลอม ๆ ยังรักดิมและรู้สึกผิดกับดิมมาก  ที่ดิมทำแบบนี้เตก็นึกว่าดิมให้อภัยตัวเองจริง ๆ อยากเป็นพี่น้องกันจริง ๆ แต่ดิมตั้งใจแก้แค้นงัย สรุปงานนี้เตก็เจ็บคนเดียวอีกแล้ว

รันลอยตัว ทำชั่วแย่งแฟนเตมาตั้งหลายปี ดิมมองว่าเป็นนางฟ้า เชื่อทุกอย่าง ในขณะที่เตเสียแฟน โดนดิมเข้าใจผิดตั้งหลายปี แถมกำลังจะโดนเตแก้แค้นทำร้ายจิตใจอีก

ไรท์ เรื่องนี้จบ happy ไหม ถ้าไม่ happy บอกก่อนได้ไหม เราทนอ่านไม่ไหวอ่ะ จิตตก ถ้า happy แม้จะหน่วงช่วงนี้ แต่เราอ่านได้

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด