“ไปไหนมา ทำไมหายไปนานจัง”
รันทัก หลังจากคนรักหายตัวไป ‘เข้าห้องน้ำ’ เกือบชั่วโมง เห็นใบหน้าคมเข้มดูเหนื่อยอ่อนกว่าปกติ สายตาคมไวตามแบบฉบับของแพทย์ที่ฝึกฝนมาอย่างดีทำให้สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติได้ทันทีในแวบแรก
“แขนไปโดนอะไรมาน่ะ แดงเลย...เหมือนรอยอะไรข่วน” ดิมเหลือบมองตามแล้วดึงแขนเสื้อลงมาปิด ตอบเสียงปกติ
“โดนหนามต้นไม้มันเกี่ยวเอา ขอโทษทีพอดีผม...ท้องเสีย เลยกลับมาช้า”
“อ้าว แล้วเป็นยังไงบ้าง กินยาหรือยัง ท้องเสียแบบไหน กี่รอบแล้ว...”
“เดี๋ยวใจเย็นๆคุณหมอ อย่าเพิ่งซักผม หึๆ ผมกินยาแล้วเรียบร้อย ไม่ต้องเป็นห่วง”
“แล้วตอนนี้ยังปวดท้องอยู่ไหม หน้าซีดจัง รันว่าต้องเป็นเพราะอาหารทะเลเมื่อหัวค่ำแน่เลย นั่งก่อน เดี๋ยวไปหาน้ำเกลือแร่มาให้ดีไหม” คุณหมอเด็กกระวีกระวาดลุกขึ้น แต่ว่าเขายึดข้อมือเอาไว้
“ไม่ต้องหรอก โธ่ ผมไม่ใช่คนไข้เด็กของคุณนะ ผมดูแลตัวเองได้น่า” รดิศพูดแกมหัวเราะ แล้วฉุดข้อมือของอีกคนลงนั่งข้างตัว เอื้อมมือไปหยิบกีต้าร์ขึ้นมาถือเอาไว้อีกครั้ง
“มา เมื่อกี้ติดเพลงไหนเอาไว้ มาร้องต่อดีกว่า”
คนพูดทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ทว่าหลังจากหยิบกีต้าร์ขึ้นมาถือเอาไว้ สายตาคู่นั้นก็กลับเลื่อยลอย คล้ายกับว่ากำลังระลึกถึงอะไรสักอย่างที่รันมั่นใจว่าไม่ใช่เนื้อเพลงแน่ๆ
“ดิม....” ทั้งเพื่อนสนิทและคนรักเรียกชื่อของเขาเบาๆ คุณหมอหัวใจหันไปเลิกคิ้ว ฝ่ายนั้นกลับถอนหายใจออกมา
“รันง่วงแล้ว เรากลับห้องกันเถอะนะ”
กุมารแพทย์หนุ่มพูดเสียงเบา แล้วลุกขึ้นยืน ก้มลงเก็บรวบรวมข้าวของมาถือเอาไว้ รดิศมองตามอย่างไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้เขาก็ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะเข้าใจอะไรทั้งสิ้น
ความรู้สึกนุ่มละมุน หอมหวานยังคงติดอยู่ในฆานประสาท ชวนให้ถวิลหาแม้ว่าจะพยายามหักห้ามใจเพียงใดก็ตาม
แค่เผลอคิดแวบเดียว หัวใจก็กลับเต้นแรงขึ้นมาอีก
ความคิดถึงใครคนหนึ่งมีผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจคนเรามากขนาดนี้เชียวหรือ เป็นหมอผ่าตัดหัวใจมาเป็นร้อยดวง แต่กลับไม่เคยรู้ทฤษฎีนี้มาก่อนเลย..
ยกมือขึ้นลูบรอยเล็บแสบๆคันๆที่อีกฝ่ายฝากเอาไว้ให้ตอนที่เขากอดจูบจนขึ้นเป็นแนวยาวที่ท่อนเเขน รู้สึกผิดที่ต้องโกหกแฟนว่าถูกต้นไม้เกี่ยวเอา โชคดีรันดูเหมือนจะไม่ได้สงสัยอะไรมากมาย ไม่อย่างนั้นเขาคงจะหาทางแก้ตัวไม่ถูกเหมือนกัน หวังว่าเรื่องเมื่อครู่นี้จะไม่มีใครแพร่งพรายไปถึงหูรันหรอกนะ
วิรัลลอบมองคนข้างๆที่เดินคู่มาเงียบๆ แล้วเม้มปาก....เมื่อกี้นี้เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกันแน่ เขาไม่เชื่อหรอก ว่าอีกฝ่ายจะแค่ ท้องเสีย อย่างที่กล่าวอ้าง รอยข่วนนั่นก็เหมือนกัน ไม่ต้องให้หมอมาพิสูจน์บาดแผลก็ดูออกว่าหาใช่รอยต้นไม้เกี่ยวไม่
รอยเล็บคนชัดๆ แต่ประเด็นมันอยู่ที่…ใครกัน?
อาการเหม่อลอยเหมือนคนตกอยู่ในภวังค์นั่นก็อีก ดิมคิดเรื่องอะไรอยู่ แล้วเขาจะหาทางสืบรู้ความจริงได้อย่างไร...
"ดิมอาบน้ำก่อนได้เลยนะ รันขอนอนเล่นก่อน” เขาแกล้งพูดเมื่อกลับถึงห้องพัก แอบเห็นท่าทางพะว้าพะวังของอีกฝ่ายนิดหน่อย ตอนที่ออกจากลิฟต์ รดิศทำท่าเหมือนจะเดินไปอีกฝั่งหนึ่ง ดีที่เขาเรียกเอาไว้ทันจึงหันกลับมา
“ตกลงครับ”
คำตอบห้วนๆสั้นๆนั่นก็อีก ถ้าเป็นดิมคนเดิมจะต้องไม่ตอบแค่นี้แน่ เขาจะต้องเข้ามากอด หรือไม่ก็อุ้มพาเข้าไปอาบน้ำด้วยกัน ไม่ใช่คว้าผ้าเช็ดตัวได้ก็เดินใจลอยเข้าห้องน้ำไปแบบนี้
สายตาเหลือบไปเห็นตลับกลมๆเล็กที่อีกฝ่ายวางทิ้งเอาไว้ข้างกระเป๋าเสื้อผ้า ลุกขึ้นไปหยิบมาพิจารณาดูใกล้ๆ
ยาหม่อง? ดิมพกอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ
หรือว่าเขาจะท้องเสียจริงๆจนจะเป็นลมในห้องน้ำ ก็เลยพกเอาไว้นะ...
คนในห้องน้ำไม่รับรู้ถึงความว้าวุ่นใจของคนด้านนอกเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้ในหัวของเขามีแต่ภาพเหตุการณ์เมื่อชั่วโมงก่อนที่เล่นซ้ำไปซ้ำมา ใบหน้าเรียวหวานหลับตาพริ้มก่อนที่เขาจะจากมา....ไม่รู้ว่าป่านนี้จะฟื้นหรือยังนะ แต่มีคนดูแลอย่างใกล้ชิดซะขนาดนั้น คงจะดีวันดีคืนล่ะสิไม่ว่า
เขาไม่เชื่อหรอกว่า ความสัมพันธ์ของคนคู่นั้นจะเป็นแค่ เจ้านาย-ลูกน้อง อย่างที่บอกมา ทำเป็นอ้างว่ามาทำงาน เหอะ เชื่อก็โง่แล้ว เขาไม่ใช่เด็กอนุบาลสองนะ จะได้ดูไม่ออกว่าระหว่างคนมา ‘ทำงาน’ กับมา ‘ทำอย่างอื่น’ มันต่างกัน อย่างน้อยท่าทางที่เห็นมันก็ชัดจนเกินพอ แค่แกล้งสะกิดนิดหน่อย นายภาคย์อะไรนั่นก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ คงโมโหที่ถูกจับไต๋ได้
หึ ตอนเที่ยงก็ทำงานเป็นล่าม ตอนกลางคืนก็ทำงานเหมือนกัน แต่เป็นอย่างอื่น...
ว่าแต่จะแก้ตัวกับ ‘เจ้านาย’ ว่าอย่างไรนะ
ยิ่งคิดก็ยิ่งสนุก ตอนนี้ผู้ชายคนนั้นคงจะคิดจนหัวแทบแตกเพื่อจะหาเหตุผลมาอธิบายอีกฝ่ายแน่ๆ แล้วเหตุผลอะไรกันนะที่เตจะยกขึ้นมาอ้าง
จะกล้าบอกว่าเขาเป็นแฟนเก่าไหม...ไม่น่าจะกล้าหรอก ขนาดต่อหน้ายังทำเป็นเหมือนไม่เคยรู้จักกันมาก่อนซะขนาดนี้ จู่ๆจะสารภาพ ก็คงไม่
หรือว่าจะบอกว่าโดนเขาปล้ำบังคับ...คิดมาถึงตรงนี้ก็เผลอยิ้ม ยังจำสัมผัสจากฝ่ามือนุ่มอุ่นที่แหวกเส้นผมที่ท้ายทอยของเขาได้ ขณะที่อีกมือหนึ่งก็เกร็งจิกที่ท่อนแขนของเขาเอาไว้อย่างวาบหวาม....
ฝืนใจงั้นหรือ ตอนแรกอาจจะใช่ แต่ตอนหลังนี่สิ เรียกว่า ยิ่งกว่าเต็มใจเสียอีก ไหนจะอาการตอบรับรอยจูบของเขา ราวกับย้อนเวลากลับไปเมื่อครั้งนั้นอีกครั้ง ...ลองบอกว่าถูกบังคับดูสิ พ่อจะจับจูบโชว์ต่อหน้าไอ้ตี๋นั่นเลยล่ะ จะได้รู้ไปชัดๆเลย
คิดอย่างครึ้มใจได้ครู่เดียว แล้วก็ต้องดึงสติกลับมา
ไม่ได้สิ ทำอย่างนั้นไม่ได้ ถ้าเรื่องถึงหูรันเข้า เขานี่แหละจะแย่เอา เรามีแฟนอยู่แล้วนะ ออกจะน่ารักแสนดีที่หนึ่ง จะมัวไปใส่ใจกับ ‘ของเก่า’ ที่เขาโละแล้วทำไม แถมยังเป็นเรื่องที่ขัดต่อศีลธรรมแบบนั้น แค่คิดเขาก็ขนลุกด้วยความรู้สึกขยะแขยง
เขากระแทกขวดแชมพูลงกับขอบอ่างอาบน้ำแรงๆ ...คนพรรค์นั้น เขาไม่กลับไปคิดให้เปลืองสมองหรอก
...
“คุณเต...ดีขึ้นหรือยังครับ ยังเวียนหัวอยู่ไหม”
ชายหนุ่มลุกขึ้นมานั่งบนเตียง ส่ายหน้าเบาๆ รับผ้าจากเจ้านายมาซับใบหน้า เหงื่อที่ไม่รู้มาจากไหนมากมายแตกพลั่กเหมือนเขื่อนแตก
ภาคย์ทรุดลงนั่งข้างๆตัวจนเตียงยวบ ยกมือขึ้นมาอังที่หน้าผากของเขา ติณธรเอียงหน้าหลบอย่างอัตโนมัติ
“ผมดีขึ้นแล้วครับ ไม่มีอะไร” พูดจบก็เงียบไปอีก ฝ่ายนั้นก็ไม่พูดอะไรเหมือนกัน กลับนั่งจ้องหน้าเขาเฉยๆ
รู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที ทำเป็นหันซ้ายขวาแต่ก็หลบไม่พ้นสายตาคมที่มองมาอย่างพิจารณาปนกับความครุ่นคิดสงสัย และคำถาม...ที่เขาไม่อยากตอบ
“คุณหมอรดิศกลับไปแล้วครับ...เห็นบอกว่าคุณหมอวิรัลรออยู่” ภาคย์พูด เห็นอีกฝ่ายสะดุ้งน้อยๆเมื่อได้ยินชื่อของผู้ชายคนนั้นก็เม้มปาก
“ครับ” เตตอบด้วยถ้อยคำที่ไม่มีความหมาย ไม่ขยายความ ไม่มีคำอธิบายใดๆหลุดออกมาจากริมฝีปากอิ่มเต็มที่บวมแดงคู่นั้น
และเขาก็ยังไม่กล้าพอที่จะถามละลาบละล้วง ถึงจะอยากรู้แค่ไหนก็ตามเถอะ แต่จะให้เขาทำยังไงล่ะ ถามออกไปตรงๆเหมือนคนโง่งั้นหรือ
ทางเดียวทีเหลืออยู่....ในเมื่อเตไม่เล่า เขาก็คงต้องปล่อยไปก่อน ยังมีเวลาเหลืออยู่สำหรับเขาแน่นอน คุณหมอคนนั้นก็ยังมีคนรักอยู่ทั้งคน คงไม่ง่ายที่จะมาแย่งชิงเอาหัวใจของคนตรงหน้าไปได้
เว้นเสียแต่ว่า เค้าจะได้มันไปครองตั้งนานแล้ว
“คุณเตรู้จักคุณหมอดิมมาก่อนหรือครับ” กลั้นใจลองถามอ้อมๆ อยากรู้ว่าจะตอบตรงกันไหม
“ก็รู้จักตอนที่ไปสัมภาษณ์เค้าครับ” เตตอบ ไม่ยอมสบตาเขา
“เมื่อสองอาทิตย์ก่อน?” ถามย้ำอีกทีเพื่อความแน่ใจ ฝ่ายนั้นพยักหน้ารับ ภาคย์นิ่งไปครู่ใหญ่ มองอีกฝ่ายที่นั่งก้มหน้ามองมือของตัวเอง สายตาเศร้าสร้อย คล้ายกับคนที่กำลังระลึกถึงเรื่องที่เจ็บช้ำน้ำใจที่สุด ก็ทำให้เขารู้สึกสงสาร
เอื้อมมือออกไปกุมมือที่เย็นชืดของฝ่ายนั้นเอาไว้ เตสะดุ้งจะดึงหนีแต่แล้วก็ยินยอมให้ตกอยู่ในอุ้งมือใหญ่ของเขา บีบเอาไว้แน่นราวกับจะถ่ายทอดความอบอุ่นไปให้
“คุณเต...มีอะไรอยากเล่าให้ผมฟังไหม”
“..................”
“คิดเสียว่าผมเป็นพี่ชายของคุณก็ได้” ทอดเสียงนุ่ม
ติณธรนิ่งไปนานจนเขาเกือบถอดใจ แต่แล้วน้ำตาหยดหนึ่งก็หยดลงมาบนหลังมือของเขา ก่อนจะตามมาด้วยหยดที่สอง สาม สี่... ทว่าไม่มีเสียงสะอื้นหลุดออกมาสักนิดเดียว ริมฝีปากคู่นั้นเม้มแน่นเหมือนพยายามจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ แต่ก็ไม่สำเร็จ
เขาจับมือของลูกน้องเอาไว้แน่น ไม่ได้พูดคำใดออกไป เพียงแต่นั่งมองอีกฝ่ายร้องไห้อยู่เงียบๆ ลอบถอนหายใจอย่างสะท้อนสะท้าน บอกตัวเองว่า เคยเห็นน้ำตาของใครต่อใครมาแล้วมากมาย แต่ไม่เคยมีใครทำให้เขา ‘รู้สึก’ ได้ถึงเพียงนี้เลย
เตร้องไห้เหมือนคนที่กักเก็บน้ำตาเอาไว้มาเนิ่นนาน ราวกับน้ำที่อยู่ในเขื่อนจนกระทั่งวันหนึ่งมันล้นทะลักออกมา ความเศร้าเสียใจที่เขาเองก็ไม่เคยรู้ว่า ผู้ชายหน้าหวาน ยิ้มง่ายคนนี้จะเก็บอารมณ์อัดอั้นเอาไว้ขนาดนั้น จนเมื่อมันระเบิดออกมาต่อหน้าเขา
ภาคย์กัดกรามแน่น ความสะเทือนใจของอีกฝ่าย ทำให้เขา ‘สะเทือน’ ลึกเข้าไปถึงกลางใจ รับเอาความเจ็บปวดเข้ามาในหัวใจของเขาด้วยอย่างไม่รู้ตัว พร้อมๆกับความโกรธที่ทะลักท่วมขึ้นมาอีกครั้ง
ใครกัน ใจร้ายพอที่จะทำร้ายหัวใจของคนๆนี้ ไอ้หมอหน้าเข้มคนนั้นใช่มั้ย โอ...มันทำให้เตเสียใจถึงเพียงนี้เชียวหรือ
เขาดึงตัวของอีกคนเข้ามากอดเอาไว้ เตซุกหน้าลงกับหัวไหล่ของเขา ตัวสั่นน้อยๆเหมือนหนาวจัด เขายกมือขึ้นลูบหลังไหล่เบาๆ
“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร” พูดปลอบออกไป โดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายร้องไห้เพราะอะไร แต่ก็ดูเหมือนจะเป็นสิ่งเดียวที่เขาจะทำได้ในตอนนี้
ความรู้สึกที่สับสนมาตลอดว่า เขารู้สึกอย่างไรกับผู้ชายคนนี้กันแน่ เพิ่งจะมาแน่ชัดเอาในตอนนี้เอง ตอนที่อีกฝ่ายซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขา ร้องไห้จนอกเสื้อของเขาเปียกด้วยหยาดน้ำตา ความอบอุ่น ความเป็นห่วงกังวลไปสารพัดที่พุ่งขึ้นมาในหัวใจ ทำให้เขารู้คำตอบแล้ว
ทำไมถึงต้องคอยเฝ้าตามติดอีกฝ่าย ทำไมต้องออกอุบายหาทางให้เขามาด้วย ทำไมถึงอยากใกล้ชิดนัก ไม่ใช่แค่ถูกชะตา ไม่ใช่แค่ชอบ มันยิ่งกว่านั้น อ่อนหวานและลึกล้ำกว่านั้นมากนัก
เป็นความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนจนบรรยายออกมาไม่ถูก รู้แต่ว่าเขาไม่ต้องการให้คนๆนี้เป็นทุกข์เลยแม้แต่สักเสี้ยววินาทีเดียว เขาต้องการปกป้องคนๆนี้จากทุกอย่าง เก็บเอาไว้ใกล้หัวใจอย่างหวงแหนไม่ให้ใครหรืออะไรมาล่วงล้ำ
มันคือความรู้สึกอะไร ตอนนี้เขารู้แล้ว...
ครู่ใหญ่ทีเดียว กว่าเตจะสงบลง ดันตัวออกจากวงแขนของเขา ถอยกลับไปนั่งอยู่ที่เดิม นัยน์ตาแดงก่ำบวมช้ำมองมาที่เขาบอกแววขอบคุณ
“โอเคขึ้นไหม”
ฝ่ายนั้นพยักหน้ารับ
“ทีนี้จะเล่าได้หรือยัง ว่ามันเกิดอะไรขึ้น...เขาทำอะไรคุณ” เขาในที่นี้ หมายถึงคุณหมอหนุ่มคนนั้น ดูเหมือนเตจะเข้าใจ เพราะใบหน้าที่แดงจากการร้องไห้ กลับมีสีเลือดซับขึ้นอีก
“....................” ไม่มีคำตอบหลุดออกมาจากนักเขียนหนุ่ม คนเป็นห่วงถอนใจ ลุกขึ้นยืนก้มหน้าลงมองนิ่งๆแล้ว พูดแกมหัวเราะ
“วันนี้คุณอาจจะยังไม่ไว้ใจผมพอที่จะยอมเล่าอะไรๆให้ฟัง แต่สักวันหนึ่ง ผมเชื่อว่า...ผมจะมีวันนั้น วันที่คุณจะไว้ใจผมมากที่สุด เพียงแค่คนเดียว....” ประโยคสุดท้ายเขาลดเสียงลงเหลือแค่พูดกับตัวเอง ภาคย์ยิ้มให้ ยกมือขึ้นตบเบาๆที่หลังมือของตั้งเต แล้วหันหลังเดินออกจากห้องพักไปแบบไม่เหลียวหลัง
เตมองตาม มือกำผ้าห่มแน่น รอยสัมผัสที่ริมฝีปากและซอกคอยังร้อนผ่าวอยู่ในความรู้สึก ทุกสีหน้าแววตาและการกระทำของคุณหมอคนนั้น แค่คิดน้ำตาร้อนๆก็ไหลออกมาอีก กลั้นเอาไว้เท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จ เขากัดริมฝีปากด้านในของตัวเองจนรู้สึกถึงรสเลือด
เจ็บ...แต่ยังไม่เท่าที่เจ็บใจตัวเอง
ทำไมผู้ชายคนนั้นถึงทำให้เขาอ่อนแอได้ถึงขนาดนี้ เวลาก็ผ่านไปตั้งนานแล้ว ทำไมความรู้สึกของเขาถึงดื้อด้าน ไม่ยอมเปลี่ยนเลย
ทั้งที่เขามีพันธะ มีทั้งลูกและภรรยาที่น่ารัก ถึงจะเพียงแค่ในนาม แต่เธอก็คือภรรยาในนามของเขา คนที่เขาตัดสินใจแล้วว่าจะปกป้องและเลี้ยงดูไปตลอดชีวิต นั่นคือสิ่งที่ตนตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่วันที่ตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกับเธอ
จากนั้นเขาก็รักษาจิตใจของตัวเองให้มั่นคงมาตลอด ไม่หวั่นไหววอกแวกไปกับใครที่เข้ามา แม้แต่คุณภาคย์คนนั้น ซึ่งเขารู้ดีว่าฝ่ายนั้นต้องการอะไร รู้สึกอย่างไร ความอ่อนโยนและห่วงใยอย่างเสมอต้นเสมอปลายอาจจะทำให้เขารู้สึกดีด้วย แต่ก็เป็นคนละอย่างกับความรัก
ความรักที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ความรักครั้งแรกของเขา เริ่มต้นอย่างหอมหวานและจบลงอย่างข่มขื่น ทิ้งแผลเป็นเอาไว้ในหัวใจของเขา
แผลที่เขาเฝ้าหลอกตัวเองมาหลายปีว่ามันสมานกันสนิทแทบไม่เหลือรอย จนกระทั่งได้พบหน้าเค้าอีกครั้ง และเกิดเหตุการณ์เมื่อสักครู่ขึ้น....ความใกล้ชิดที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกคุณหมอคนนั้นหยิบมีดมากรีดที่หัวใจ ซ้ำที่รอยเดิม เพื่อที่จะพบว่ามันยังไม่หายดี และกลัดหนองเรื้อรังอยู่ข้างใต้มานานจนเป็นโพรงลึก
แล้วนี่เขาจะทำอย่างไรดีกับความรู้สึกของตัวเองที่เกิดขึ้น ทำไมถึงต้องเป็นแบบนี้ด้วย เค้าลืมเราไปหมดแล้วแท้ๆ แต่เรากลับยังจำเค้าได้ ทุกคำพูด ทุกอิริยาบถ เจ็บใจนัก เจ็บใจจริงๆ
รอยจูบของเค้ายังให้ความรู้สึกหวิวหวามเหมือนเมื่อหลายปีก่อน ทำให้ใจเต้นแรงและวูบโหวงในช่องท้อง เหมือนมีผีเสื้อเป็นร้อยตัวกระพือปีกพร้อมๆกันในนั้น และสิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาด้วยก็คือความรู้สึกโหยหา
คิดถึงเหลือเกิน ถ้าหากย้อนเวลากลับไปได้....
ชายหนุ่มสั่นหัวแรงๆ ...จะบ้าเหรอ เรื่องมันเกิดขึ้นและจบลงตั้งนานแล้ว นึกถึงเรื่องปัจจุบันดีกว่า ตอนนี้ผู้ชายคนนั้นคงจะเข้าใจว่าเขามีอะไรกับเจ้านายแน่ๆ แววยิ้มเยาะในดวงตาคมเข้มคู่นั้นบอกชัด
เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายเข้าใจผิด เพราะมันเสื่อมเสียมาถึงเจ้านาย และลูกภรรยาของเขาด้วย ตั้งเตบอกตัวเอง พยายามไม่สนใจเสียงเล็กๆในหัวใจที่กระซิบว่า
ความจริงแล้วที่กลัวอีกฝ่ายเข้าใจผิด เป็นเพราะยังมีเยื่อใยอยู่ตะหาก
..............................................................................................
มาต่อค่ะ ขอบคุณมากนะคะที่ติดตามเรื่องนี้
เห็นเม้นท์เเล้วมีกำลังใจเขียนต่อมากเลย
