*^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61  (อ่าน 96046 ครั้ง)

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
เพราะหัวใจบอกว่า...หวง

 

 

 

 

            “อย่า!!   อย่าทำพี่ดิมนะ  หยุดนะ  หยุดสิโว้ย!”

          เขาได้ยินเสียงคุ้นหูดังแว่วๆอยู่ข้างสนามฟุตบอล ขณะที่กำลังตะลุมบอนกันอยู่อย่างไม่รู้ว่าใครเป็นใคร  เหตุเกิดจากการที่นักกีฬาทั้งสองฝั่งเกิดไปต้องตาต้องใจเชียร์ลีดเดอร์สาวสวยคนเดียวกัน  พูดจาหยอกล้อแซวกันไปแซวกันมา เกิดไม่ถูกหูกันเข้า  ก็เลยเกิดการปรับทัศนคติแบบลูกผู้ชายขึ้น

          ส่วนเขาผู้มิรู้อิโหน่อิเหน่ใดๆ เพียงแต่ร่วมซ้อมฟุตบอลอยู่ด้วยเท่านั้น กลับโดนลากเข้าไปในวงวิวาทครั้งนี้ด้วย  ได้แต่ยกมือยกเข่าขึ้นป้องกันตัว  พยายามหาทางหลบออกมาจากกลางวง

          ชะเง้อคอมองหาต้นเสียง ก็เห็นร่างเล็กบางของคนรักกำลังตรงเข้ามาร่วมวงด้วย

          “เตอย่าเข้ามา   รออยู่ตรงนั้นแหละ”  ตะโกนบอก แล้วก็หันไปรับหมัดจากฝ่ายอริอีกคนที่ตัวใหญ่กว่า   เห็นใครบางคนโผล่แวบมาข้างหลังท่ามกลางความชุลมุน  เงื้อมือขึ้นสูง  เขาพยายามจะเอี้ยวตัวหลบทว่าไม่ทันแล้ว

          โผละ!

          ร่างสูงใหญ่ของคนที่กำลังจะฟาดกำปั้นใส่เขา ล้มลงไปกองที่พื้นด้วยฝีมือของเด็กหนุ่มหัวหยิกที่ถือรองเท้าผ้าใบในมือ  เตกระโจนตามเข้าไปขึ้นคร่อม  ยกรองเท้าในมือตบเข้าที่ใบหน้าและลำตัวของอีกฝ่ายไม่ยั้ง

          “นี่แน่ะ  จะต่อยพี่เดิมรอะ  หนอยแน่ะมึง”

          ทั้งเขาและคนที่กำลังสู้กันนัวต่างหันไปมองร่างเล็กอย่างอึ้งๆ  นึกสยองขึ้นมาแทนคนที่กำลังถูกเต ‘ยำ’  ไม่นึกว่าตัวแค่นี้จะสามารถปราบคนตัวใหญ่กว่าเกือบเท่าตัวลงไปนอนที่พื้นแบบหมดทางสู้ได้แต่ปัดป้อง

          “โหดฉิบ”  คู่ต่อสู้ของเขาครางแล้วผละออกไป  ได้ยินเสียงนกหวีดดังแว่วเข้ามา เป็นสัญญาณว่า ถึงเวลาตัวใครตัวมันแล้ว         

รดิศรีบกระโจนเข้าไปลากข้อมือของร่างเล็กบางที่กำลังเมามันนั้นให้ผละออกมา  ดึงให้ออกแรงวิ่งไปยังอีกทางหนึ่งของสนามฟุตบอล   ทุกคนที่ร่วมวงกันเมื่อสักครู่ต่างแยกย้ายสลายตัวกันอย่างรวดเร็ว รู้งาน

พวกเขาวิ่งออกมาจากสนาม  ดิมฉุดข้อมือให้วิ่งต่อออกมาจากจนเกือบถึงถนนใหญ่

“โอย  พี่ดิม พอก่อน  เตเจ็บเท้า”

เด็กหนุ่มร้องโอยครวญ  ฉุดมือเขาเอาไว้หอบแฮก   ดิมนึกขึ้นได้ หันกลับมามองก็เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสภาพเท้าเปล่าหนึ่งข้าง  เพราะรองเท้าได้กลายเป็นอาวุธไปเสียแล้วเมื่อครู่

“แล้วก็ไม่รีบบอก  เอ้า ขึ้นหลัง”

“ห้ะ  อะไรนะ”  เด็กหนุ่มร้องอย่างตกใจ   เขาไม่พูดซ้ำ หักหลังย่อตัวลง

“เร็วๆสิ  เดี๋ยวอาจารย์ก็ตามมาทันหรอก”  เขาร้องเร่งอีกที  ตั้งเตจึงรีบเข้ามาเกาะหลังเขาเอาไว้  ออกแรงดันตัวขึ้น แล้วก็แบกเด็กหนุ่มออกวิ่งต่อ

เตกระชับวงแขนที่โอบรัดรอบลำคอของเขาแน่นเข้า  คงจะกลัวตก

“บอกแล้วว่าวันนี้อย่ามาซ้อมๆ ก็ไม่เชื่อ”  คนที่เกาะอยู่บนหลังพูดกรอกอยู่ข้างหูดังๆ

“ก็นายมาซ้อม พี่ก็อยากมาซ้อมด้วยน่ะสิ” เขาหมายถึงอีกฝ่ายที่ได้เป็นผู้นำเชียร์ของคณะและมีซ้อมวันนี้ เช่นเดียวกับเขาที่เป็นนักกีฬาฟุตบอลของคณะ

“ก็วันนี้มีลีดมาซ้อมด้วยไง  มันก็ตีกันทุกทีล่ะ”

“แล้วนี่นายซ้อมเสร็จแล้วเหรอ”

“ยังหรอก  พอเห็นท่าไม่ดีก็เลยเลิกซ้อมกันไปก่อน  เลยมาดูทางนี้กะแล้วว่าพี่ต้องร่วมวงด้วย”

“เออ  มันตกบันไดพลอยโจนนี่หว่า  ว่าแต่นายเถอะ บอกว่าให้รออยู่ข้างสนาม เข้ามาทำไม” เขาพูดเสียงเข้ม   พาเดินมาใกล้ถึงถนนใหญ่

“ก็เห็นพี่โดนรุมอ่ะ    ผมเลยทนไม่ไหว”  ตั้งเตพูดแกมหัวเราะ  กระชับแขนแน่นเข้ามาอีก  คนฟังรู้สึกหัวใจพองโต เรียกว่าแทบจะลืมความเจ็บปวดที่ถูกชกได้เป็นปลิดทิ้ง

“พอแล้ว  เดี๋ยวผมเดินเองได้แล้วล่ะ”

“เดินยังไงมีรองเท้าข้างเดียวเนี่ยนะ  ให้พี่ไปส่งที่หอเถอะ”

“ฮื้อ  ถึงถนนใหญ่แล้ว  ให้ผมขี่หลังแบบนี้  ไม่หนักเหรอ”

“โธ่  ตัวกระเปี๊ยกเดียวจะไปหนักอะไร”  เขาพูดตามที่คิด  ความจริงต่อให้แบกไปจนสุดเขตแดนสยามก็ยังไหว ขอแค่คนขี่เป็นเด็กผู้ชายหน้าหวานผมหยิกคนนี้เท่านั้น

“งั้นก็แบกไปส่งให้ถึงที่เลยนะ  ห้ามบ่น  ห้ามทิ้งไว้กลางทางด้วย”

“น่ารักแบบนี้  ทิ้งก็โง่แล้ว”  เขาพึมพำกับตัวเอง  ประทับใจน้ำใจของอีกฝ่ายที่ตรงเข้ามาช่วยเขาแบบไม่ลังเล  ไม่สนใจขนาดตัว ไม่กลัวว่าตัวเองจะต้องเจ็บตัวไปด้วยเลยสักนิด

....จะหาแบบนี้ได้ที่ไหนอีกล่ะ….

เดินมาจนถึงหน้าหอของติณธร    เขาย่อตัวลงให้อีกฝ่ายลงยืนที่พื้น   เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วนิ่งไปนิด  ยกมือขึ้นแตะที่โหนกแก้มของเขาเบาๆ

ความรู้สึกเจ็บแปลบทำให้เขาสะดุ้งเบือนหน้าหนี

“เจ็บเหรอ   ช้ำเลยอ่ะ  พรุ่งนี้ต้องม่วงแหงๆ  แตกด้วยแฮะ  จะเป็นรอยแผลเป็นมั้ยเนี่ยคุณหมอ  เดี๋ยวหมดหล่อล่ะแย่เลย”

“ถ้าพี่หมดหล่อแล้วเตยังจะรักพี่มั้ย”  เขาถาม  จับมือของฝ่ายนั้นเอาไว้มั่น

“รักมากกว่าเดิมสิบเท่าเลยล่ะ  ดีเสียอีก ได้ไม่ต้องมีใครๆมาสนใจพี่ดิมของผมด้วย” พูดตวัดเสียงด้วยท่าทางน่ารักจนเขาอยากจะตวัดเอาร่างของฝ่ายนั้นมากอดเอาไว้แนบอก  แต่ก็ยั้งใจไว้

 “โห  จะดีใจดีไหมเนี่ย”

“ทำไมล่ะ  ต้องดีใจสิ   ผมหวงพี่มากนะ ใครกล้ามาแหยม ผมจะ ..ฉึบๆ”  ตั้งเตกำหมัดแล้วต่อยวื้ดๆในอากาศ ราวกับเล็งเป้าหมายเอาไว้

คนฟังหัวเราะ  จับมือของอีกฝ่ายเอาไว้ทั้งสองข้าง

“โอ๊ย  แค่เขาเห็นฝีมือนายกระโดดคร่อมวันนี้เค้าก็กลัวกันกระเจิงแล้ว  ไม่กล้ามาแหยมด้วยหรอก  คนอะไร ตัวนิดเดียวโหดจริงๆ” 

“หึๆ  วันนี้แค่เบาะๆ  คนอื่นมาแหยมน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นพี่ดิมเป็นฝ่ายวอแวเองล่ะก็....อย่าหาว่าไม่เตือนนะ”   พูดขู่เสียงเข้ม  ทำหน้าเคร่งขรึม แต่ดูอย่างไรก็น่าเอ็นดู  ไม่มีความน่ากลัวเลยสักนิด  ตรงข้ามกับฝีมือในการบู๊ที่ได้เห็นวันนี้เสียจริง

“กลัวแล้วจ้ะ  แค่นี้พี่ก็กลัวตั้งเตจะแย่อยู่แล้ว  วันก่อนรันยังทักพี่เลยว่า  มากินข้าวแค่นี้ ต้องโทรรายงานน้องเตก่อนด้วยเหรอ  ฮ่าๆ”

“จริงๆผมก็ไม่ได้จะให้พี่รายงานตัวตลอด 24 ชั่วโมงเสียหน่อย  แค่เป็นห่วงเฉยๆ กลัวพี่เอาแต่เรียน ไม่ยอมกินข้าว”  เด็กหนุ่มพูด  หน้าตาจริงจัง  แล้วก็ก้มลงเปิดหาของในกระเป๋าที่สะพายไหล่ของตัวเอง

“รอเดี๋ยวนะพี่ดิม ผมมียา เอาไปทาก่อนจะได้ไม่บวมมาก”  ขมวดคิ้วรูดซิปเปิดหาในกระเป๋าวุ่นวายจนเขาต้องจับมือเอาไว้

“ไม่เป็นไร  พี่จะกลับแล้ว  เดี๋ยวจะไปหายาทาเอง”

“เหอะ  พี่น่ะเหรอจะไปหายาทาเอง  ไม่มีทาง ผมรู้นิสัยพี่หรอก เดี๋ยวกลับไปพี่ก็อาบน้ำนอนแล้ว   เรียนหมอมาแทบตายไม่ได้ใช้เลย    อ้อ นี่ไง”  เด็กหนุ่มล้วงเอาตลับยาอันเล็กๆขึ้นมาจากซอกกระเป๋า  ส่งให้เขา

นักศึกษาแพทย์ก้มลงอ่านฉลากดังๆ

“ยาหม่อง?  โธ่เต  นึกว่าอะไร  ที่แท้ก็ยาหม่องนี่เอง  เอากลับไปเถอะ เดี๋ยวพี่ไปหาน้ำแข็งมาประคบเอง  เดี๋ยวก็หาย”

“โธ่  ดูถูก  ยาหม่องนี่แหละ  สารพัดประโยชน์นะ ผม พกติดตัวตลอด แก้ได้ตั้งแต่แมลงสัตว์กัดต่อยไปจนถึงฟกช้ำดำเขียว เอาไว้ดมชื่นใจก็ได้  นี่ไง  นี่แน่ะ”  เตควักยาขึ้นมาป้ายจมูกของเขา  กลิ่นหอมเอียนๆทำให้เขาเบือนหน้าหลบ

“ก็ได้ๆ  เอ้า ทาก็ทา  พอแล้วอย่ามาป้ายจมูกพี่อีก มันเหม็น”   เขาเอียงหน้าให้อีกฝ่ายทายาให้บางๆ  ตั้งเตบรรจงแตะยาหนืดๆเหนียวๆให้ที่โหนกแก้มของเขาอย่างเบามือ

เสร็จแล้วก็เป่าลมใส่แรงๆ

“ฟู่ๆ  หายแล้ว เพี้ยง”  หัวเราะชอบอกชอบใจ   เขาเหล่ตาดูอย่างหมั่นเขี้ยว  ชักรู้สึกว่ากำลังโดนหลอกเล่นอยู่อย่างไรชอบกล

“เป็นอะไร  ยังเจ็บอยู่เหรอ  เดี๋ยวก็หายนะ”  คนทาให้ยังหัวเราะไม่หยุด

เขาเหลียวซ้ายมองขวา เห็นจังหวะปลอดคนก็เอื้อมมือไปรั้งเอวของคนที่ยืนตรงหน้าเข้ามาชิด แล้วกดปลายจมูกลงไปบนแก้มนวลเนียนของฝ่ายนั้น สูดหายใจเข้าปอดฟอดใหญ่

“ชื่นใจที่สุด....หายเจ็บแล้ว”

“บ้า”  คนถูกขโมยหอมแก้มร้องออกมาคำเดียว ก็หันหลังวิ่งเข้าไปภายในหอพัก  เขาหัวเราะลั่น  ทันเห็นใบหน้าซับสีเลือดนั้นแวบเดียวก่อนจะลับหายเข้าไปภายในอาคาร

รู้สึกถึงของแข็งในมือ  ก้มลงดูพบว่าตลับยาหม่องอันเล็กนั่นยังคงอยู่ที่เขา   แต่เจ้าของหายลับไปแล้ว  คงลืมเสียสนิท

โคลงศีรษะนิดๆ อดยิ้มกว้างไม่ได้  เขาเปิดตลับออกดมๆดูอีกรอบแล้วย่นจมูก

“เหม็นขนาดนี้ ใครจะไปยอมทากันล่ะ”  ถ้าไม่ใช่เจ้าของมือนุ่มๆหอมๆนั่นล่ะก็   ไอ้ยาหนืดๆนี่ไม่มีวันได้สัมผัสผิวหน้าของเขาหรอก



****************



ศัลยแพทย์หนุ่มพลิกตลับยาหม่องในมือเล่น   ลูบคลำไปตามฝาโค้งมนของมันอย่างใจลอยเหมือนตกอยู่ในห้วงคำนึงที่ห่างจากปัจจุบันไปไกลแสนไกล  ไม่รับรู้ภาพคู่สนทนาที่กำลังจับจ้องอยู่อย่างพินิจพิเคราะห์

จนกระทั่งภาคย์ทนไม่ไหว ตัดสินใจถามซ้ำอีกครั้ง  ปลุกอีกฝ่ายให้กลับมายังปัจจุบัน  ที่พวกเขาสองคนกำลังยืนคุย ‘ตัวต่อตัว’ กันอยู่ที่ริมระเบียงห้องพักแห่งนั้น โดยมีร่างของตั้งเตนอนพักอยู่ในห้องด้านใน

“คุณหมอ...คงจะเคยรู้จักคุณเตมาก่อน”  ถึงจะอยากถามตรงๆมากแค่ไหน  แต่ว่าความเกรงใจในอาชีพและท่าทางถือตัวของอีกฝ่ายก็ทำให้เขาต้องยั้งตัวเองเอาไว้  เลี่ยงไปถามเรื่องอื่นก่อนแทน   คนฟังเลิกคิ้วเข้มขึ้นนิดๆ

“ครับ  เราเคยพบกันมาแล้ว”  ตอบสั้นๆไว้เชิง  ทั้งที่ความจริงเขารู้สึกเสียหน้ามากที่ถูกอีกฝ่ายพบเข้าขณะที่กำลัง ‘เผลอ’ นัวเนียกับคนในห้อง   ใช่แล้ว  เขาใช้คำว่า เผลอ  เพราะมันเกิดจากความพลาดพลั้งเผลอไปชั่วครู่  หาได้เกิดจากความรู้สึกข้างในจิตใจไม่ 

ก็แค่สันดานผู้ชาย  เวลาถูกกระตุ้นเข้าหน่อย  มันก็อด....ไม่ได้  ก็เท่านั้น   คุณหมอหนุ่มคิดในใจ  แต่ก็อดหมั่นไส้ท่าทางเป็นเจ้าเข้าเจ้าของของไอ้หมอนี่ไม่ได้ 

ทำตัวราวกับจะมาสืบสวนเขา ทั้งที่ตัวเองก็ผิดเต็มประตู   พา ‘สามี’ ของผู้หญิงคนหนึ่งมาพักค้างคืนกันสองต่อสอง   เหอะ....คิดว่าฉันไม่รู้ทันงั้นหรือ

“คงเป็นตอนที่คุณให้สัมภาษณ์กับนิตยสารของเราสินะครับ ....อ้อ แล้วนี่คุณหมอมาพักกับใครหรือครับ”  ภาคย์พยายามตะล่อมถามอีกฝ่ายอย่างใจเย็น   ตอนนี้ความโกรธของเขามันลดระดับลงมามากแล้ว  เหลือแต่เพียงความสงสัยในความสัมพันธ์ของทั้งสองเท่านั้น

และถ้าจำไม่ผิด   คุณหมอคนนี้มีแฟนอยู่แล้วด้วย...คุณหมอเด็กคนนั้นไง  หรือว่าไม่ใช่?

“ผมมากับหมอรันครับ   มาพักผ่อนสุดสัปดาห์  คุณก็คงเหมือนกันสิน่ะฮะ”  ย้อนถามอีกฝ่ายกลับยิ้มๆ

“ผมมาทำงานครับ  ประชุมนานาชาติเรื่องสื่อสิ่งพิมพ์  สามวัน  เอ  คุณเตไม่ได้เล่าให้คุณฟังเหรอครับ  ว่าเค้ามาเป็นล่ามให้ผมในงานนี้”  ภาคย์ถามกลับ   

ทำเอาคุณหมอหนุ่มชะงักไปนิดหนึ่ง แต่ก็เก็บเอาการเอาไว้ได้อย่างแนบเนียน

“อ้อ  เตเก่งเรื่องภาษามากครับ  คุณภาคย์คงจะไม่ผิดหวัง”

“ครับ  ผมถึงได้พาเขาไปด้วยเสมอเวลามีงานหรือต้องพบปะลูกค้า  เค้าช่วยผมได้มากทีเดียว   ไม่ทราบว่าคุณหมอรู้จักคุณเตมานานเท่าไหร่แล้วหรือครับ”

“ก็เกือบสิบ....สองอาทิตย์ครับ”   รดิศชะงัก  เปลี่ยนคำตอบทันควัน

“ผมรู้จักคุณเตมาเกือบสองปี   ตั้งแต่ผมมารับช่วงต่อจากคุณพ่อดูเรื่องสำนักพิมพ์  ก็เลยสนิทกับคุณเตไปด้วย  เขาเป็นคอลัมนิสต์ที่อนาคตไกลมากนะฮะ”  คนฟังพยักหน้ารับเนิบๆ

ภาคย์ลอบถอนหายใจอย่างหนักอก  อีกฝ่ายบอกว่าเพิ่งรู้จักได้สองอาทิตย์เท่านั้น   ทว่าทำไมถึงได้เข้ามาใกล้ชิดกับลูกน้องของเขาได้ถึงเพียงนี้  ขนาดที่ว่าติณธรเปิดประตูยอมให้เข้ามาในห้องพักงั้นหรือ

ท่าทางของอีกฝ่ายไม่บอกว่าจู่โจมบุกรุกเข้ามาเองแน่ๆ  ถ้าเป็นอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ต้องขัดขืนหรือดิ้นรนอะไรบ้างสิ  ไม่ใช่ยินยอมพร้อมใจ  แถมยังห้ามไม่ให้เขาจัดการไอ้คุณหมอหน้าหยกนี่อีก

ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้ม  หรือว่าช่วงสองอาทิตย์ที่ผ่านมานี้เขาพลาดอะไรไป   แล้วคุณหมอวิรัลที่เป็นคนรักของคนตรงหน้านี้อีกล่ะ

โอ  ทำไมมันช่างซับซ้อนเช่นนี้

“ขอโทษนะคุณหมอ  ผมคงต้องถามตรงๆแล้วล่ะ  คุณมีความสัมพันธ์อย่างไรกับคุณเตไม่ทราบ”   เขาตัดสินใจดับเครื่องชน   ถ้าอีกฝ่ายยังมีความเป็นสุภาพบุรุษพอ ก็ควรจะตอบตรงๆ

“ผมคงต้องถามคุณก่อนว่าคุณเป็นอะไรกับคุณติณธร”  คุณหมอย้อนถามกลับ

“ผม...ก็เป็นเจ้านายของคุณเตไงล่ะ”  เขารีบตอบป้องกันตัวเอง

“ถ้าอย่างนั้นผมก็ไม่มีความจำเป็นอะไรจะต้องตอบคุณ  เพราะเจ้านายอย่างคุณคงไม่ต้องรู้เรื่องส่วนตัวของลูกน้องทุกเรื่องกระมังครับ  นอกเสียจากว่า คุณเป็นมากกว่านั้น...” ทอดเสียงอ่อนราวกับจะเยาะ  คุณหมอหนุ่มยิ้มมุมปาก  เมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งอึ้ง

          ภาคย์หันออกไปมองด้านนอกระเบียง  ครุ่นคิดอย่างหนักหน่วง   ถ้าเขาคาดคั้นอีกฝ่ายมากกว่านี้ ก็เท่ากับว่ายอมรับว่าคิดอะไรกับผู้ชายคนนั้นมากกว่าสถานะ เจ้านาย-ลูกน้อง ดังที่อีกฝ่ายชิงดักคอเอาไว้ตั้งแต่แรก  แต่ถ้าจะไม่ถาม  มันก็จะยิ่งกลายเป็นเสี้ยนคาอยู่ในใจ ....เจ็บใจนัก

          ศัลยแพทย์หนุ่มลอบยิ้มมุมปาก    เคาะตลับยาหม่องลงบนราวระเบียงเบาๆ เกิดเป็นเสียงขึ้น ดังเป็นจังหวะ   เห็นอีกฝ่ายเงียบ  ไม่พูดอะไรอีกก็ขยับตัว   

            “คิดว่าเตคงจะฟื้นแล้ว  เข้าไปดูเสียหน่อยไหมครับ”  กึ่งถามกึ่งชวน แล้วเจ้าตัวก็เปิดประตูกระจกกลับเข้าไปภายในห้อง

            คนบนเตียงยังนอนนิ่งสนิท  รดิศเม้มปากนิดหนึ่ง   เดินตรงเข้าไป ยกมือขึ้นแตะที่หน้าผากของเค้าเบาๆ  สังเกตเห็นปลายขนตายาวงอนที่หลับพริ้มขยับนิดหนึ่งก็คลายใจ

            ....หลับเอาเชิงล่ะสิ   น่าจะฟื้นตั้งนานแล้ว  คงจะนอนฟังอยู่ล่ะสิท่า  ว่าแล้วเชียว....

            “เดี๋ยวสักพักก็คงตื่น  ไม่เป็นอะไรหรอกครับ  ผมคงต้องขอตัวก่อน”  พูดเรียบๆ  พลางหันไปก้มหัวให้ร่างสูงที่เดินมาหยุดยืนด้านหลัง 

            ภาคย์พยักหน้ารับ  เขาเดินตามไปส่งอีกฝ่ายที่หน้าประตู

            “เดี๋ยวก่อน คุณหมอ”  เรียกเอาไว้  นิ่งไปครู่  คนฟังหยุดรอ เลิกคิ้วน้อยๆ  ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง

            “ผม...จะไม่ยอมให้ใครมาทำให้คุณเตเสียใจหรอกนะ    ผมจะปกป้องเค้าเอาไว้ทุกวิถีทาง  ฉะนั้น  ถ้าคุณคิดจะ  ‘เล่นๆ’ กับคุณเต  ผมจะไม่ยอมเป็นอันขาด”  ชายหนุ่มพูดเสียงเข้ม  ดวงตาบอกชัดว่าจริงจังในทุกคำที่พูดออกไป

            “ผู้ชายคนนั้นเค้ามีค่าขนาดนั้นเลยเหรอ”  คำพูดที่เหมือนปรารภกับตัวเองของอีกฝ่าย ทำให้ภาคย์นึกโกรธขึ้นมาวูบ

            “คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง   คุณดูถูกคุณเตหรือ”  คนฟังยักไหล่ ท่าทางกวนประสาทจนเขาเผลอกำหมัดแน่น

          “ผมจะเตือนคุณหมอเอาไว้นะ  ว่าคุณเตมีลูกภรรยาแล้ว  อย่ามายุ่งกับเค้าอีก  ถ้าไม่อยากมีปัญหา”  พูดห้วนๆ นึกอยากชกหน้าของไอ้หมอนี่ขึ้นมาเต็มแก่

           รดิศยิ้มพราย

            “ผมว่าคุณเก็บประโยคนี้เอาไว้เตือนใจตัวเองดีกว่านะครับ   เพราะผมคงจะไม่มา ‘ยุ่ง’ กับเค้าแล้วล่ะ  นอกเสียจากว่า....เค้าเต็มใจมาเอง”

            ยิ้มมุมปากให้อีกฝ่ายนิดหนึ่ง แล้วก็หันหลังเดินผละจากไป

            ภาคย์มองตามหลัง  รู้สึกถึงไฟแห่งโทสะที่พุ่งขึ้นมาอีกครั้ง เพราะนัยที่อีกฝ่ายตอบกลับมา มันหมายความว่า อีกฝ่ายก็รู้ทันเขาไม่แพ้กัน   เผลอๆอาจจะเดาได้ด้วยซ้ำ ถึงเจตนาที่หาเรื่องพาติณธรมาถึงที่นี่  นอกจากนั้นยังตอกกลับอย่างนุ่มนวลปนกับความเย้ยหยันว่าเค้าเต็มใจมาหาเอง  ไม่เหมือนเขาที่ต้องหาอุบายมา

            โธ่เว้ย  มันไม่จบง่ายๆแบบนี้แน่ ไอ้หมอหน้าหล่อ  ลงหยามกันถึงขนาดนี้แล้วล่ะก็

            ....................................................

มาต่อนะคะขอบคุณมากที่กดเข้ามาอ่านค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-01-2017 23:40:00 โดย ็Hollyk »

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
อะไรกันๆ จะจีบน้องเตจริงๆรึคุณภาคย์

เรื่องวุ่นๆต้องเกิดขึ้นแน่ๆ ทำใจไว้เลยน้องเต อิอิ


ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
รวดเดียวเออ(แอบ)น่าติดตามดี อิอิ!! //ก็เข้าใจดิมนะ จบ+จากกันแบบนั้น กลับมาเจอแบบนี้อีกที โกรธโมโหแค้นอยากประชดอารมณ์มาเต็ม ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง เพราะอะไรทำไมถึง...........??มันใช่หรอ?เป็นแบบนั้นหรอ?อย่างนั้นสินะ? อ่าาา **ความไม่เข้าใจนั้นเรารอดูไปด้วยกันค่ะหมอดิม** ว่ามันเพราะใครอะไรยังไงทั้งที่รักกันมากมายขนาดนั้น ยังทำได้ลง?? ดิมเพราะด้วยอยากรู้เหตุผลที่ยังคงอยู่ติดค้างในใจหรือป่าวถึงยังไม่ยอมตัดใจลืมได้สักที แต่มันก็หลายปีนะ ไม่ม้าง คงเพราะ :L1: แต่เตนั้นรู้เหตุผลดีแต่ก็ยังไม่ตัดใจ นั่นเพราะรักจริงๆ แต่ก็นะ โลกมันกลมเว้ยยย คิกๆ //งานนี้ งานหมั่นไส้ประชดงี่เง่าไม่ยอมเคลียร์มาเต็ม (มั้ง) 55555555 //แฟนเก่าก็ยังรัก แฟนใหม่ก็ไม่ยอมปล่อย ไหนจะคนมาจีบเพิ่มอีก เออเอาเข้าไป จับไปปล้ำเลยเหอะหมอดิม ปล้ำแล้วต้องเคลียร์ตัวเองนะเว้ย บอกเลยอีกนาน นี้มันเพิ่งเริ่มต้น 55555555 //เฮ้ยๆน่าติดตามค่ะ มาค่ะมาต่อ รอตอนต่อไป F5ๆ  :katai4: :katai2-1: //ใครๆ ใครบงการให้เตทำแบบนั้น เผยตัวออกมาซะ จับหั่นซะเลย ถึงอย่างนั้นเขารักกันจริงนะเออ มึงค่ะ เข้าใจป่ะ อินในบท 55555 //แต่ว่านะ จากจูบครั้งนี้ ดิมน่าจะเอะใจว่าทำไมเตถึงยอมแล้วยังปกป้องอีก ทั้งที่มีเมียมีลูกแล้ว รึว่าจะแอบรู้สึกเหมือนตัวเองที่เป็นอยู่ตอนนี้ คือยัง.....อย่าพยายามหลอกตัวเองเลยน๊า 555 พอคิดเอะใจแบบนี้ถ้ายังไม่แน่ใจ ลองลวนลามแอบๆ รอดูปฎิกิริยา อิอิ แล้วค่อยสืบหาต่อไป เออน่าคิดนะว่าม่ะดิม???? //แล้วก็นะ อะไรคือผู้แพ้ รัน หรือว่าเตไปได้ยินหรือใครมาพูดให้เข้าใจผิดแล้วเตลิดเลิกไปแบบนั้น โอ๊ยยยพอๆ รอค่อยๆเดาดีกว่า เดารวบรัด เพลีย 55555 รอไรท์มาต่อดีก่าเนาะ!!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-01-2017 03:51:32 โดย blove »

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk




            “ไปไหนมา   ทำไมหายไปนานจัง”

            รันทัก หลังจากคนรักหายตัวไป ‘เข้าห้องน้ำ’ เกือบชั่วโมง   เห็นใบหน้าคมเข้มดูเหนื่อยอ่อนกว่าปกติ   สายตาคมไวตามแบบฉบับของแพทย์ที่ฝึกฝนมาอย่างดีทำให้สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติได้ทันทีในแวบแรก

            “แขนไปโดนอะไรมาน่ะ   แดงเลย...เหมือนรอยอะไรข่วน”  ดิมเหลือบมองตามแล้วดึงแขนเสื้อลงมาปิด  ตอบเสียงปกติ

            “โดนหนามต้นไม้มันเกี่ยวเอา   ขอโทษทีพอดีผม...ท้องเสีย เลยกลับมาช้า”

            “อ้าว  แล้วเป็นยังไงบ้าง กินยาหรือยัง ท้องเสียแบบไหน  กี่รอบแล้ว...”

          “เดี๋ยวใจเย็นๆคุณหมอ  อย่าเพิ่งซักผม  หึๆ ผมกินยาแล้วเรียบร้อย  ไม่ต้องเป็นห่วง”

          “แล้วตอนนี้ยังปวดท้องอยู่ไหม  หน้าซีดจัง   รันว่าต้องเป็นเพราะอาหารทะเลเมื่อหัวค่ำแน่เลย  นั่งก่อน เดี๋ยวไปหาน้ำเกลือแร่มาให้ดีไหม”   คุณหมอเด็กกระวีกระวาดลุกขึ้น แต่ว่าเขายึดข้อมือเอาไว้

            “ไม่ต้องหรอก  โธ่  ผมไม่ใช่คนไข้เด็กของคุณนะ   ผมดูแลตัวเองได้น่า”  รดิศพูดแกมหัวเราะ แล้วฉุดข้อมือของอีกคนลงนั่งข้างตัว  เอื้อมมือไปหยิบกีต้าร์ขึ้นมาถือเอาไว้อีกครั้ง

            “มา  เมื่อกี้ติดเพลงไหนเอาไว้  มาร้องต่อดีกว่า” 

            คนพูดทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  แต่ทว่าหลังจากหยิบกีต้าร์ขึ้นมาถือเอาไว้  สายตาคู่นั้นก็กลับเลื่อยลอย คล้ายกับว่ากำลังระลึกถึงอะไรสักอย่างที่รันมั่นใจว่าไม่ใช่เนื้อเพลงแน่ๆ

            “ดิม....”   ทั้งเพื่อนสนิทและคนรักเรียกชื่อของเขาเบาๆ  คุณหมอหัวใจหันไปเลิกคิ้ว   ฝ่ายนั้นกลับถอนหายใจออกมา

            “รันง่วงแล้ว  เรากลับห้องกันเถอะนะ”

            กุมารแพทย์หนุ่มพูดเสียงเบา  แล้วลุกขึ้นยืน  ก้มลงเก็บรวบรวมข้าวของมาถือเอาไว้   รดิศมองตามอย่างไม่เข้าใจ  แต่ตอนนี้เขาก็ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะเข้าใจอะไรทั้งสิ้น

            ความรู้สึกนุ่มละมุน หอมหวานยังคงติดอยู่ในฆานประสาท  ชวนให้ถวิลหาแม้ว่าจะพยายามหักห้ามใจเพียงใดก็ตาม

            แค่เผลอคิดแวบเดียว  หัวใจก็กลับเต้นแรงขึ้นมาอีก

            ความคิดถึงใครคนหนึ่งมีผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจคนเรามากขนาดนี้เชียวหรือ   เป็นหมอผ่าตัดหัวใจมาเป็นร้อยดวง  แต่กลับไม่เคยรู้ทฤษฎีนี้มาก่อนเลย..

            ยกมือขึ้นลูบรอยเล็บแสบๆคันๆที่อีกฝ่ายฝากเอาไว้ให้ตอนที่เขากอดจูบจนขึ้นเป็นแนวยาวที่ท่อนเเขน  รู้สึกผิดที่ต้องโกหกแฟนว่าถูกต้นไม้เกี่ยวเอา   โชคดีรันดูเหมือนจะไม่ได้สงสัยอะไรมากมาย   ไม่อย่างนั้นเขาคงจะหาทางแก้ตัวไม่ถูกเหมือนกัน    หวังว่าเรื่องเมื่อครู่นี้จะไม่มีใครแพร่งพรายไปถึงหูรันหรอกนะ

            วิรัลลอบมองคนข้างๆที่เดินคู่มาเงียบๆ แล้วเม้มปาก....เมื่อกี้นี้เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกันแน่   เขาไม่เชื่อหรอก ว่าอีกฝ่ายจะแค่ ท้องเสีย อย่างที่กล่าวอ้าง  รอยข่วนนั่นก็เหมือนกัน   ไม่ต้องให้หมอมาพิสูจน์บาดแผลก็ดูออกว่าหาใช่รอยต้นไม้เกี่ยวไม่

            รอยเล็บคนชัดๆ  แต่ประเด็นมันอยู่ที่…ใครกัน?

          อาการเหม่อลอยเหมือนคนตกอยู่ในภวังค์นั่นก็อีก  ดิมคิดเรื่องอะไรอยู่  แล้วเขาจะหาทางสืบรู้ความจริงได้อย่างไร...

           "ดิมอาบน้ำก่อนได้เลยนะ  รันขอนอนเล่นก่อน”   เขาแกล้งพูดเมื่อกลับถึงห้องพัก   แอบเห็นท่าทางพะว้าพะวังของอีกฝ่ายนิดหน่อย ตอนที่ออกจากลิฟต์   รดิศทำท่าเหมือนจะเดินไปอีกฝั่งหนึ่ง  ดีที่เขาเรียกเอาไว้ทันจึงหันกลับมา   

          “ตกลงครับ”

            คำตอบห้วนๆสั้นๆนั่นก็อีก   ถ้าเป็นดิมคนเดิมจะต้องไม่ตอบแค่นี้แน่   เขาจะต้องเข้ามากอด หรือไม่ก็อุ้มพาเข้าไปอาบน้ำด้วยกัน  ไม่ใช่คว้าผ้าเช็ดตัวได้ก็เดินใจลอยเข้าห้องน้ำไปแบบนี้

            สายตาเหลือบไปเห็นตลับกลมๆเล็กที่อีกฝ่ายวางทิ้งเอาไว้ข้างกระเป๋าเสื้อผ้า   ลุกขึ้นไปหยิบมาพิจารณาดูใกล้ๆ

            ยาหม่อง?   ดิมพกอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ

            หรือว่าเขาจะท้องเสียจริงๆจนจะเป็นลมในห้องน้ำ ก็เลยพกเอาไว้นะ...

            คนในห้องน้ำไม่รับรู้ถึงความว้าวุ่นใจของคนด้านนอกเลยแม้แต่น้อย   ตอนนี้ในหัวของเขามีแต่ภาพเหตุการณ์เมื่อชั่วโมงก่อนที่เล่นซ้ำไปซ้ำมา   ใบหน้าเรียวหวานหลับตาพริ้มก่อนที่เขาจะจากมา....ไม่รู้ว่าป่านนี้จะฟื้นหรือยังนะ  แต่มีคนดูแลอย่างใกล้ชิดซะขนาดนั้น คงจะดีวันดีคืนล่ะสิไม่ว่า



            เขาไม่เชื่อหรอกว่า ความสัมพันธ์ของคนคู่นั้นจะเป็นแค่ เจ้านาย-ลูกน้อง อย่างที่บอกมา  ทำเป็นอ้างว่ามาทำงาน  เหอะ   เชื่อก็โง่แล้ว   เขาไม่ใช่เด็กอนุบาลสองนะ จะได้ดูไม่ออกว่าระหว่างคนมา ‘ทำงาน’ กับมา ‘ทำอย่างอื่น’  มันต่างกัน   อย่างน้อยท่าทางที่เห็นมันก็ชัดจนเกินพอ  แค่แกล้งสะกิดนิดหน่อย  นายภาคย์อะไรนั่นก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ คงโมโหที่ถูกจับไต๋ได้

            หึ  ตอนเที่ยงก็ทำงานเป็นล่าม  ตอนกลางคืนก็ทำงานเหมือนกัน แต่เป็นอย่างอื่น...

            ว่าแต่จะแก้ตัวกับ ‘เจ้านาย’ ว่าอย่างไรนะ

            ยิ่งคิดก็ยิ่งสนุก  ตอนนี้ผู้ชายคนนั้นคงจะคิดจนหัวแทบแตกเพื่อจะหาเหตุผลมาอธิบายอีกฝ่ายแน่ๆ  แล้วเหตุผลอะไรกันนะที่เตจะยกขึ้นมาอ้าง

            จะกล้าบอกว่าเขาเป็นแฟนเก่าไหม...ไม่น่าจะกล้าหรอก   ขนาดต่อหน้ายังทำเป็นเหมือนไม่เคยรู้จักกันมาก่อนซะขนาดนี้  จู่ๆจะสารภาพ ก็คงไม่

            หรือว่าจะบอกว่าโดนเขาปล้ำบังคับ...คิดมาถึงตรงนี้ก็เผลอยิ้ม  ยังจำสัมผัสจากฝ่ามือนุ่มอุ่นที่แหวกเส้นผมที่ท้ายทอยของเขาได้   ขณะที่อีกมือหนึ่งก็เกร็งจิกที่ท่อนแขนของเขาเอาไว้อย่างวาบหวาม....

            ฝืนใจงั้นหรือ   ตอนแรกอาจจะใช่  แต่ตอนหลังนี่สิ  เรียกว่า ยิ่งกว่าเต็มใจเสียอีก   ไหนจะอาการตอบรับรอยจูบของเขา   ราวกับย้อนเวลากลับไปเมื่อครั้งนั้นอีกครั้ง ...ลองบอกว่าถูกบังคับดูสิ   พ่อจะจับจูบโชว์ต่อหน้าไอ้ตี๋นั่นเลยล่ะ  จะได้รู้ไปชัดๆเลย

            คิดอย่างครึ้มใจได้ครู่เดียว แล้วก็ต้องดึงสติกลับมา

            ไม่ได้สิ  ทำอย่างนั้นไม่ได้   ถ้าเรื่องถึงหูรันเข้า  เขานี่แหละจะแย่เอา  เรามีแฟนอยู่แล้วนะ   ออกจะน่ารักแสนดีที่หนึ่ง  จะมัวไปใส่ใจกับ ‘ของเก่า’ ที่เขาโละแล้วทำไม  แถมยังเป็นเรื่องที่ขัดต่อศีลธรรมแบบนั้น  แค่คิดเขาก็ขนลุกด้วยความรู้สึกขยะแขยง

          เขากระแทกขวดแชมพูลงกับขอบอ่างอาบน้ำแรงๆ  ...คนพรรค์นั้น เขาไม่กลับไปคิดให้เปลืองสมองหรอก

            ...

            “คุณเต...ดีขึ้นหรือยังครับ  ยังเวียนหัวอยู่ไหม”

          ชายหนุ่มลุกขึ้นมานั่งบนเตียง  ส่ายหน้าเบาๆ  รับผ้าจากเจ้านายมาซับใบหน้า   เหงื่อที่ไม่รู้มาจากไหนมากมายแตกพลั่กเหมือนเขื่อนแตก

            ภาคย์ทรุดลงนั่งข้างๆตัวจนเตียงยวบ   ยกมือขึ้นมาอังที่หน้าผากของเขา  ติณธรเอียงหน้าหลบอย่างอัตโนมัติ

            “ผมดีขึ้นแล้วครับ   ไม่มีอะไร”  พูดจบก็เงียบไปอีก  ฝ่ายนั้นก็ไม่พูดอะไรเหมือนกัน  กลับนั่งจ้องหน้าเขาเฉยๆ

            รู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที   ทำเป็นหันซ้ายขวาแต่ก็หลบไม่พ้นสายตาคมที่มองมาอย่างพิจารณาปนกับความครุ่นคิดสงสัย  และคำถาม...ที่เขาไม่อยากตอบ

            “คุณหมอรดิศกลับไปแล้วครับ...เห็นบอกว่าคุณหมอวิรัลรออยู่”   ภาคย์พูด   เห็นอีกฝ่ายสะดุ้งน้อยๆเมื่อได้ยินชื่อของผู้ชายคนนั้นก็เม้มปาก

            “ครับ”  เตตอบด้วยถ้อยคำที่ไม่มีความหมาย   ไม่ขยายความ   ไม่มีคำอธิบายใดๆหลุดออกมาจากริมฝีปากอิ่มเต็มที่บวมแดงคู่นั้น   

            และเขาก็ยังไม่กล้าพอที่จะถามละลาบละล้วง   ถึงจะอยากรู้แค่ไหนก็ตามเถอะ   แต่จะให้เขาทำยังไงล่ะ  ถามออกไปตรงๆเหมือนคนโง่งั้นหรือ

            ทางเดียวทีเหลืออยู่....ในเมื่อเตไม่เล่า   เขาก็คงต้องปล่อยไปก่อน  ยังมีเวลาเหลืออยู่สำหรับเขาแน่นอน  คุณหมอคนนั้นก็ยังมีคนรักอยู่ทั้งคน    คงไม่ง่ายที่จะมาแย่งชิงเอาหัวใจของคนตรงหน้าไปได้

            เว้นเสียแต่ว่า เค้าจะได้มันไปครองตั้งนานแล้ว

            “คุณเตรู้จักคุณหมอดิมมาก่อนหรือครับ”  กลั้นใจลองถามอ้อมๆ   อยากรู้ว่าจะตอบตรงกันไหม

            “ก็รู้จักตอนที่ไปสัมภาษณ์เค้าครับ”   เตตอบ  ไม่ยอมสบตาเขา 

            “เมื่อสองอาทิตย์ก่อน?”  ถามย้ำอีกทีเพื่อความแน่ใจ   ฝ่ายนั้นพยักหน้ารับ    ภาคย์นิ่งไปครู่ใหญ่   มองอีกฝ่ายที่นั่งก้มหน้ามองมือของตัวเอง    สายตาเศร้าสร้อย คล้ายกับคนที่กำลังระลึกถึงเรื่องที่เจ็บช้ำน้ำใจที่สุด ก็ทำให้เขารู้สึกสงสาร

            เอื้อมมือออกไปกุมมือที่เย็นชืดของฝ่ายนั้นเอาไว้  เตสะดุ้งจะดึงหนีแต่แล้วก็ยินยอมให้ตกอยู่ในอุ้งมือใหญ่ของเขา   บีบเอาไว้แน่นราวกับจะถ่ายทอดความอบอุ่นไปให้

            “คุณเต...มีอะไรอยากเล่าให้ผมฟังไหม”

            “..................”

            “คิดเสียว่าผมเป็นพี่ชายของคุณก็ได้”  ทอดเสียงนุ่ม 

            ติณธรนิ่งไปนานจนเขาเกือบถอดใจ  แต่แล้วน้ำตาหยดหนึ่งก็หยดลงมาบนหลังมือของเขา ก่อนจะตามมาด้วยหยดที่สอง สาม สี่...  ทว่าไม่มีเสียงสะอื้นหลุดออกมาสักนิดเดียว  ริมฝีปากคู่นั้นเม้มแน่นเหมือนพยายามจะกลั้นน้ำตาเอาไว้  แต่ก็ไม่สำเร็จ

            เขาจับมือของลูกน้องเอาไว้แน่น   ไม่ได้พูดคำใดออกไป   เพียงแต่นั่งมองอีกฝ่ายร้องไห้อยู่เงียบๆ  ลอบถอนหายใจอย่างสะท้อนสะท้าน     บอกตัวเองว่า เคยเห็นน้ำตาของใครต่อใครมาแล้วมากมาย แต่ไม่เคยมีใครทำให้เขา ‘รู้สึก’  ได้ถึงเพียงนี้เลย

            เตร้องไห้เหมือนคนที่กักเก็บน้ำตาเอาไว้มาเนิ่นนาน  ราวกับน้ำที่อยู่ในเขื่อนจนกระทั่งวันหนึ่งมันล้นทะลักออกมา   ความเศร้าเสียใจที่เขาเองก็ไม่เคยรู้ว่า ผู้ชายหน้าหวาน ยิ้มง่ายคนนี้จะเก็บอารมณ์อัดอั้นเอาไว้ขนาดนั้น จนเมื่อมันระเบิดออกมาต่อหน้าเขา

            ภาคย์กัดกรามแน่น   ความสะเทือนใจของอีกฝ่าย ทำให้เขา ‘สะเทือน’ ลึกเข้าไปถึงกลางใจ  รับเอาความเจ็บปวดเข้ามาในหัวใจของเขาด้วยอย่างไม่รู้ตัว   พร้อมๆกับความโกรธที่ทะลักท่วมขึ้นมาอีกครั้ง

            ใครกัน ใจร้ายพอที่จะทำร้ายหัวใจของคนๆนี้  ไอ้หมอหน้าเข้มคนนั้นใช่มั้ย    โอ...มันทำให้เตเสียใจถึงเพียงนี้เชียวหรือ

            เขาดึงตัวของอีกคนเข้ามากอดเอาไว้   เตซุกหน้าลงกับหัวไหล่ของเขา   ตัวสั่นน้อยๆเหมือนหนาวจัด  เขายกมือขึ้นลูบหลังไหล่เบาๆ

            “ไม่เป็นไรนะ  ไม่เป็นไร”  พูดปลอบออกไป โดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายร้องไห้เพราะอะไร    แต่ก็ดูเหมือนจะเป็นสิ่งเดียวที่เขาจะทำได้ในตอนนี้

            ความรู้สึกที่สับสนมาตลอดว่า เขารู้สึกอย่างไรกับผู้ชายคนนี้กันแน่  เพิ่งจะมาแน่ชัดเอาในตอนนี้เอง   ตอนที่อีกฝ่ายซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขา  ร้องไห้จนอกเสื้อของเขาเปียกด้วยหยาดน้ำตา  ความอบอุ่น ความเป็นห่วงกังวลไปสารพัดที่พุ่งขึ้นมาในหัวใจ    ทำให้เขารู้คำตอบแล้ว

            ทำไมถึงต้องคอยเฝ้าตามติดอีกฝ่าย  ทำไมต้องออกอุบายหาทางให้เขามาด้วย  ทำไมถึงอยากใกล้ชิดนัก   ไม่ใช่แค่ถูกชะตา  ไม่ใช่แค่ชอบ  มันยิ่งกว่านั้น   อ่อนหวานและลึกล้ำกว่านั้นมากนัก

            เป็นความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนจนบรรยายออกมาไม่ถูก  รู้แต่ว่าเขาไม่ต้องการให้คนๆนี้เป็นทุกข์เลยแม้แต่สักเสี้ยววินาทีเดียว   เขาต้องการปกป้องคนๆนี้จากทุกอย่าง   เก็บเอาไว้ใกล้หัวใจอย่างหวงแหนไม่ให้ใครหรืออะไรมาล่วงล้ำ

            มันคือความรู้สึกอะไร  ตอนนี้เขารู้แล้ว...

            ครู่ใหญ่ทีเดียว กว่าเตจะสงบลง   ดันตัวออกจากวงแขนของเขา ถอยกลับไปนั่งอยู่ที่เดิม   นัยน์ตาแดงก่ำบวมช้ำมองมาที่เขาบอกแววขอบคุณ

            “โอเคขึ้นไหม” 

            ฝ่ายนั้นพยักหน้ารับ   

            “ทีนี้จะเล่าได้หรือยัง  ว่ามันเกิดอะไรขึ้น...เขาทำอะไรคุณ”  เขาในที่นี้ หมายถึงคุณหมอหนุ่มคนนั้น   ดูเหมือนเตจะเข้าใจ เพราะใบหน้าที่แดงจากการร้องไห้ กลับมีสีเลือดซับขึ้นอีก

            “....................”  ไม่มีคำตอบหลุดออกมาจากนักเขียนหนุ่ม   คนเป็นห่วงถอนใจ   ลุกขึ้นยืนก้มหน้าลงมองนิ่งๆแล้ว พูดแกมหัวเราะ

            “วันนี้คุณอาจจะยังไม่ไว้ใจผมพอที่จะยอมเล่าอะไรๆให้ฟัง  แต่สักวันหนึ่ง  ผมเชื่อว่า...ผมจะมีวันนั้น  วันที่คุณจะไว้ใจผมมากที่สุด   เพียงแค่คนเดียว....”  ประโยคสุดท้ายเขาลดเสียงลงเหลือแค่พูดกับตัวเอง  ภาคย์ยิ้มให้ ยกมือขึ้นตบเบาๆที่หลังมือของตั้งเต  แล้วหันหลังเดินออกจากห้องพักไปแบบไม่เหลียวหลัง

            เตมองตาม  มือกำผ้าห่มแน่น    รอยสัมผัสที่ริมฝีปากและซอกคอยังร้อนผ่าวอยู่ในความรู้สึก  ทุกสีหน้าแววตาและการกระทำของคุณหมอคนนั้น   แค่คิดน้ำตาร้อนๆก็ไหลออกมาอีก   กลั้นเอาไว้เท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จ  เขากัดริมฝีปากด้านในของตัวเองจนรู้สึกถึงรสเลือด

เจ็บ...แต่ยังไม่เท่าที่เจ็บใจตัวเอง 

            ทำไมผู้ชายคนนั้นถึงทำให้เขาอ่อนแอได้ถึงขนาดนี้   เวลาก็ผ่านไปตั้งนานแล้ว  ทำไมความรู้สึกของเขาถึงดื้อด้าน ไม่ยอมเปลี่ยนเลย

            ทั้งที่เขามีพันธะ  มีทั้งลูกและภรรยาที่น่ารัก ถึงจะเพียงแค่ในนาม แต่เธอก็คือภรรยาในนามของเขา  คนที่เขาตัดสินใจแล้วว่าจะปกป้องและเลี้ยงดูไปตลอดชีวิต   นั่นคือสิ่งที่ตนตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่วันที่ตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกับเธอ

            จากนั้นเขาก็รักษาจิตใจของตัวเองให้มั่นคงมาตลอด ไม่หวั่นไหววอกแวกไปกับใครที่เข้ามา แม้แต่คุณภาคย์คนนั้น ซึ่งเขารู้ดีว่าฝ่ายนั้นต้องการอะไร  รู้สึกอย่างไร  ความอ่อนโยนและห่วงใยอย่างเสมอต้นเสมอปลายอาจจะทำให้เขารู้สึกดีด้วย แต่ก็เป็นคนละอย่างกับความรัก

            ความรักที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน   ความรักครั้งแรกของเขา   เริ่มต้นอย่างหอมหวานและจบลงอย่างข่มขื่น  ทิ้งแผลเป็นเอาไว้ในหัวใจของเขา 

            แผลที่เขาเฝ้าหลอกตัวเองมาหลายปีว่ามันสมานกันสนิทแทบไม่เหลือรอย     จนกระทั่งได้พบหน้าเค้าอีกครั้ง   และเกิดเหตุการณ์เมื่อสักครู่ขึ้น....ความใกล้ชิดที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกคุณหมอคนนั้นหยิบมีดมากรีดที่หัวใจ ซ้ำที่รอยเดิม เพื่อที่จะพบว่ามันยังไม่หายดี   และกลัดหนองเรื้อรังอยู่ข้างใต้มานานจนเป็นโพรงลึก

            แล้วนี่เขาจะทำอย่างไรดีกับความรู้สึกของตัวเองที่เกิดขึ้น   ทำไมถึงต้องเป็นแบบนี้ด้วย   เค้าลืมเราไปหมดแล้วแท้ๆ   แต่เรากลับยังจำเค้าได้  ทุกคำพูด  ทุกอิริยาบถ  เจ็บใจนัก   เจ็บใจจริงๆ

            รอยจูบของเค้ายังให้ความรู้สึกหวิวหวามเหมือนเมื่อหลายปีก่อน  ทำให้ใจเต้นแรงและวูบโหวงในช่องท้อง  เหมือนมีผีเสื้อเป็นร้อยตัวกระพือปีกพร้อมๆกันในนั้น   และสิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาด้วยก็คือความรู้สึกโหยหา

          คิดถึงเหลือเกิน  ถ้าหากย้อนเวลากลับไปได้....

            ชายหนุ่มสั่นหัวแรงๆ ...จะบ้าเหรอ เรื่องมันเกิดขึ้นและจบลงตั้งนานแล้ว   นึกถึงเรื่องปัจจุบันดีกว่า   ตอนนี้ผู้ชายคนนั้นคงจะเข้าใจว่าเขามีอะไรกับเจ้านายแน่ๆ   แววยิ้มเยาะในดวงตาคมเข้มคู่นั้นบอกชัด 

            เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายเข้าใจผิด เพราะมันเสื่อมเสียมาถึงเจ้านาย และลูกภรรยาของเขาด้วย   ตั้งเตบอกตัวเอง  พยายามไม่สนใจเสียงเล็กๆในหัวใจที่กระซิบว่า

            ความจริงแล้วที่กลัวอีกฝ่ายเข้าใจผิด  เป็นเพราะยังมีเยื่อใยอยู่ตะหาก


            ..............................................................................................

มาต่อค่ะ  ขอบคุณมากนะคะที่ติดตามเรื่องนี้
เห็นเม้นท์เเล้วมีกำลังใจเขียนต่อมากเลย :katai2-1:

ออฟไลน์ nixnix

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 61
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อ่านจนถึงปัจจุบันแล้ว ติดตามตอนต่อไป

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
เตทนไม่ไหวแล้วสินะ ดีแล้วล่ะร้องไห้ออกมาบ้างมันช่วยได้  เป็นกำลังใจให้เต

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
จะหลบเลี่ยงเสียงเรียกร้องในใจยังไงกันละทีนี้ ความคิดถึงและโหยหามันมีอานุภาพที่พร้อมจะระเบิดอยู่รอมร่อ 555 หลบหน้าหรือว่าประชด แต่ยังไงก็เถอะ พลังโหยหาของทั้งคู่มันมีเยอะ ดิมก็ตามวอแวเต เดี๋ยวก็ดอดไปหาเขาอี๊ก เตก็แบบแอบยอมๆไรงี้ ดีใจซะอีก 55 ว๊ายยยเอาเลยจ๊ะแอบนัวกันหลังฉาก 55555555555 จะเป็นยังไงต่อละนี้ รอๆตอนต่อไปค่ะ F5ๆ //แล้วเมื่อไหร่จะรู้ความจริงกันซะทีนะ ดิมอย่ามัวเล่น(กับใจ+ความรู้สึก)เยอะ พิสูจน์ใจอะไรสักอย่าง(ว่ายังมีเยื่อใย)แล้วตามหาความจริงบ้าง ไม่งั้นไม่รู้นะเออว่าทำไมอะไรยังไงถึงทำกับฉันด้ายยยย~~ 5555 สนุกค่ะสนุก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-01-2017 10:54:53 โดย blove »

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
เพราะหัวใจบอกว่า...ไม่จริง

 

 

 



 

 

            “อ้าว คุณเต มาพักผ่อนเหมือนกันหรือครับ”   กุมารแพทย์หนุ่มทักผู้ชายสองคนที่เดินคู่กันมาที่ลิฟต์อย่างแปลกใจ     ขณะที่กำลังรอลิฟต์เพื่อลงไปรับประทานอาหารเช้าที่บุฟเฟ่ต์โรงแรมด้านล่าง   

            เตสะดุ้ง  หันไปเจอคุณหมอเด็กยืนอยู่ข้างๆก็ยิ้มให้เจื่อนๆ  รีบตวัดสายตามองรอบๆทันที กลัวว่าจะเจอเข้ากับผู้ชายคนนั้น   ซึ่งเขายังไม่พร้อมที่จะพบหน้าตอนนี้   พอไม่เห็นคนหน้าเข้มก็ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก 

            “ครับ  สวัสดีครับหมอรัน”  ตอบไปสั้นๆ นึกอึดอัดขึ้นมาเต็มทน จึงแกล้งหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเล่น

            คุณหมอหนุ่มเม้มปาก  อาการเหลียวมองลอกแลกของอีกฝ่ายไม่สามารถลอดสายตาของเขาไปได้    พอหายตกใจ   หัวสมองก็เริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว  สังเกตเห็นอีกฝ่ายก้มหน้าก้มตาเหมือนไม่อยากคุยด้วย แต่ความข้องใจของเขามันมากเกินกว่าจะยอมปล่อยไปง่ายๆ  เขาจึงหันไปหาชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนนิ่งๆอยู่ข้างๆแทน  ส่งยิ้มให้

            “คุณภาคย์...ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งครับ”  ภาคย์ก้มศีรษะให้นิดหนึ่ง แต่ไม่ตอบ

“แล้วนี่น้องเต้มาด้วยหรือเปล่าครับ”  หันไปถามพ่อของเด็กเสียงซื่อไม่แพ้ใบหน้า   คนฟังอยากถอนหายใจอีกสักครั้ง...ถามเหมือนกันเลยนะ  มาแนวนี้อีกแล้ว

            “เต้ไม่ได้มาครับ  คราวนี้ผมมาทำงาน”  ติณธรเลือกตอบให้สั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้ 

            “อ้อ..ครับ”คุณหมอหนุ่มพยักหน้ารับเนิบๆ   ปรายตามองชายหนุ่มร่างสูงอีกครั้ง   เห็นฝ่ายนั้นขยับตัวอย่างอึดอัด   แล้วพูดเสริมมาว่า

            “งานประชุมสื่อสิงพิมพ์นานาชาติน่ะครับ  คุณเตมาเป็นล่ามส่วนตัวให้ผม”   ภาคย์ขยายความนิดหนึ่ง เพราะเห็นสายตาแปลกๆจากคุณหมอตัวเล็กแล้วเขารู้สึกไม่สบายใจชอบกล

            ลอบมองคนตัวเล็กข้างๆ ก็เห็นดวงตาที่ยังมีความบวมช้ำเหลืออยู่ให้เห็นบ้างหลบมองไปทางอื่น ไม่ยอมสบตาใครเลย   ท่าทางเตเหมือนอยากหนีไปจากตรงนี้เต็มทน    เป็นเพราะอะไรกันนะ   เพราะว่าคุณหมอเด็กคนนี้เป็นคนรักของไอ้หมอนั่นหรือ?

            ครุ่นคิดอยู่ครู่  ชายหนุ่มก็เปลี่ยนท่าที  หันไปชวนคุณหมอคุยอย่างเป็นกันเอง

            “แล้วคุณหมอมากับใครเหรอครับ  กับครอบครัวกระมัง”  ถามยิ้มๆ   ฝ่ายนั้นก็ส่งยิ้มตอบกลับมาอย่างเต็มอกเต็มใจราวกับรอจังหวะอยู่แล้ว

            “มากับหมอดิมครับ   นานๆทีจะว่างตรงกันทั้งสองคน ก็เลยถือโอกาสมาพักผ่อนเสียหน่อย”

          “อ้อ   เรียกว่ามาเติมความหวานใช่ไหมครับ”  พูดเย้าไป   คนฟังหัวเราะ  หน้าแดงขึ้นมานิดหนึ่ง

            “ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ”

          “แล้วเมื่อไหร่จะมีข่าวดีล่ะครับ”   ภาคย์แกล้งถามต่อ ไม่รู้ไม่ชี้   หางตาเห็นคนข้างๆหน้าเผือดซีดลงทันควัน    ตรงข้ามกับคนถูกถามที่หัวเราะออกมาอย่างเขินอาย 

            “ที่คุยๆกันก็หน้าจะไม่เกินสิ้นปีนี้ครับ  รอฤกษ์และก็ให้เคลียร์งานกันเรียบร้อยลงตัวก่อน  นี่ผมถือโอกาสนี้ชวนคุณล่วงหน้าเลยล่ะกันนะ    คุณเตด้วย  เอ้อ...”  ริทชะงักไปนิด  คล้ายกับเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายเป็นแฟนเก่าของคนรัก   เขาจึงหยุดพูด  มองไปทางเตท่าทางเกรงใจ

            ภาคย์จับสังเกตได้ทันที  เขาหันไปมองลูกน้องแวบหนึ่ง

            “ยินดีด้วยครับ    แล้วนี่คุณหมอรดิศไปไหนหรือ”   เสียงเตถามเรียบๆ  ท่าทางปกติ มีแค่ดวงหน้าที่ซีดเผือดลงเล็กน้อยเท่านั้นให้เห็น   วิรัลยิ้ม....ท่าทางฉงนระคนสงสัยของภาคย์ทำให้เขาเดาว่าเตคงไม่ได้เล่าให้ ‘คู่ขา’ ฟังถึงเรื่องในอดีต ซึ่งก็ควรจะเป็นอย่างนั้น เพราะตอนนี้ฝ่ายนั้นยังเข้าใจว่าดิมจำตนเองไม่ได้

            “หมอดิมลงไปก่อนแล้วครับ  รออยู่ที่ห้องอาหาร   เชิญคุณเตกับคุณภาคย์นั่งด้วยกันไหมครับ  หรือว่าจะต้องนั่งกับคณะที่มาประชุม”   คุณหมอหนุ่มพูดยิ้มๆ

            “ยินดีครับผม”  ลูกน้องที่กำลังจะปฏิเสธ อ้าปากค้าง พูดไม่ออก เพราะเจ้านายชิงตกลงไปก่อนแล้ว   เขามองภาคย์เป็นเชิงขอร้อง แต่อีกฝ่ายกลับทำเป็นมองไม่เห็นเสียอย่างนั้น

            นี่เจ้านายของเขาต้องการจะทำอะไรกันแน่...ตั้งเตคิดอยู่ในใจอย่างว้าวุ่น  จ้องมองตัวเลขในลิฟต์ นับถอยหลังลงไปเรื่อย รู้สึกเหมือนเข้าสู่แดนประหาร   ใจเต้นตึกตัก  ไม่ได้ยินเสียงสนทนาระหว่างเจ้านายกับคุณหมอเด็กอีก 

            ในที่สุดก็มาถึงห้องอาหารของโรงแรมจนได้  ติณธรสะกดใจทำสีหน้าเรียบเฉยเดินคู่เจ้านายตามหลังคุณหมอหนุ่มเข้าไปภายใน   กวาดตามองแวบเดียวก็เห็นคนหน้าเข้มนั่งอยู่ที่ริมสุดของห้อง   เขาเดินตามเข้าไปเงียบๆ

            “ดิม  รอนานไหม...ดูสิรันเจอใคร   คุณเตกับคุณภาคย์ล่ะ”  วิรัลเดินเข้าไปเกาะไหล่ของฝ่ายนั้นเอาไว้ ก้มลงพูดแกมหัวเราะ

            สายตาคมเข้มคู่นั้นตวัดมามองหน้านักเขียนหนุ่มทันที  ก่อนที่จะมีแววพราวระยับขึ้นมา แฝงด้วยนัยบางอย่างที่ทำให้เตหน้าร้อนวาบ  สะกดใจเมินหลบไปทางอื่นอย่างสงบ

            “สวัสดีครับ   ทานข้าวด้วยกันสิครับ  เชิญนั่ง”   ศัลยแพทย์ทรวงอกออกปากเชิญเองก่อนที่คนรักจะเอ่ยปากด้วยซ้ำ   รันแอบมองใบหน้าคนพูดก็เห็นแต่แววยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

            ราวกับว่า ผู้ชายร่างเล็กตรงหน้า ไม่ใช่อดีตคนรักเก่าที่เขาเคยจะเป็นจะตายตอนที่ถูกบอกเลิก

            หรือว่าเราจะคิดมากไปเอง....บางที  มันอาจจะไม่มีอะไรเลยก็เป็นได้

            “ผมจะไปตักอาหารให้  คุณเตทานอะไรดีครับ”  ภาคย์ลุกขึ้นยืน  หันไปถามคนที่นั่งข้างๆ  ตั้งเตเงยหน้าขึ้น เจอดวงตาคมเข้มที่มองมาจากฝั่งตรงข้ามก็เบือนหลับ  หันไปตอบอีกฝ่ายว่า

            “ไม่เป็นไรครับ  เดี๋ยวผมไปตักเอง”  ขยับเก้าอี้จะลุก  แต่เจ้านายกลับจับเอาไว้  พูดแกมหัวเราะ

            “ไม่เป็นไร คุณนั่งเถอะ  ผมบริการเอง  ประเดี๋ยวคุณต้องคอยแปลนู่นนี่ให้ผมอีกทั้งวัน   ขอผมตอบแทนคุณบ้างดีกว่า   เมื่อวานคุณก็ไม่สบายด้วย”

          “อ้าว  คุณเตป่วยเหรอครับ”

          “แน่ะ  อยู่กับคุณหมอตั้งสองคน  ให้เขาตรวจหน่อยล่ะกัน   ไม่รู้เป็นอะไรครับ  ดื้อเงียบ  พูดอะไรไม่ค่อยฟัง  เดี๋ยวตัดเงินเดือนเสียเลย... ”   ภาคย์ขู่ เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะลุกขึ้นอีกครั้ง  ตั้งเตทรุดลงนั่งตามเดิมอย่างจำยอม   มองตามร่างสูงที่เดินไปที่โต๊ะจัดอาหารกลางห้อง

            “เป็นเจ้านายที่น่ารักจังเลยนะครับ  ดูแลลูกน้องดี๊ดี”  รดิศเคาะ   เห็นท่าทางสนิทสนมกันแล้วหมั่นไส้พิลึก    ยิ่งคนที่นั่งตรงข้ามเขาทำท่าเชื่อฟังไอ้ตี๋นั่นก็ยิ่งหงุดหงิด

            ...ทำไมต้องให้อีกฝ่ายบริการให้ด้วย  ไม่มีขาเดินเองหรือไง...

            “คุณภาคย์เป็นคนแบบนี้ล่ะครับ  ใส่ใจกับลูกน้องทุกคน”  เตเน้นคำว่า ‘ทุกคน’ ลงไปนิดหนึ่ง   คนฟังเลิกคิ้ว

            “อ้อ   เหรอครับ  คุณเตคงจะรู้จักคุณภาคย์ดีมาก เพราะทำงานใกล้ชิดกันมานาน  กี่ปีแล้วนะครับ”  แขวะกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มๆ

            “สองปีครับ”

          “อืม  มินาล่ะ....”  ทอดเสียงยาวอย่างมีเลศนัย   เช่นเดียวกับสายตา  ตั้งเตเม้มปากแน่น   พยายามไม่ต่อปากต่อคำอีกฝ่ายต่อ   เขามองหน้า ‘พี่ดิม’ อย่างผิดหวัง

            พี่ดิมคนเดิมไม่เคยใช้น้ำเสียงค่อนขอดเขาแบบนี้เลย  พี่ดิมเป็นคนใจเย็นและเป็นสุภาพบุรุษที่สุด  ถึงจะโกรธเขา โมโหอย่างไรก็จะถามไถ่กันดีๆ   ไม่ประชดแดกดันราวกับเป็นผู้หญิงเช่นนี้หรอก

            สายตาของนักเขียนหนุ่มทำให้คุณหมอผ่าหัวใจชะงักไป  ยอมยุติการสนทนาเอาไว้เพียงแค่นั้น ...เขาไม่ชอบสายตาแบบนั้นเลย  มันทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองทำผิด   ทำให้ฝ่ายนั้นผิดหวัง   เขาเกลียดสายตาผิดหวังแบบนี้

            รดิศหันไปทางคนรักแทน   ถามยิ้มๆ

            “รันนั่งรออยู่นี่ล่ะกัน  เดี๋ยวผมไปตักมาให้”

          “รู้หรือว่ารันอยากกินอะไร”   กุมารแพทย์หนุ่มถามกลับ  แวววิบหวานในดวงตามองเห็นได้ชัด แม้จะนั่งสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ   ดิมหัวเราะ ลุกขึ้นจากเก้าอี้  ก้มลงไปกระซิบอะไรสักอย่างที่ข้างหูของวิรัล  ติณธรไม่ได้ยินว่าเขาพูดว่าอะไร  แต่พอจะเดาได้จากดวงหน้าของคุณหมอเด็กที่เปลี่ยนเป็นสีชมพู

            .....เรื่องหยอดแบบนี้ พี่ดิมถนัดนักล่ะ....เผลอวางแก้วน้ำแรงไปนิดจนเกิดเสียงกระแทกกับโต๊ะ รันหันกลับมา  แก้มยังแดงเรื่อ

            “เอ้อ  ขอโทษด้วยนะครับ คุณเต..”  เหลือเพียงสองคนในโต๊ะ  สองคนที่รู้เรื่องราวในอดีต  และไม่จำเป็นต้องเสแสร้งแกล้งทำเป็นไม่รู้จักกันมาก่อนอีกต่อไป  เพราะตัวกลางได้เดินออกไปตักอาหารแล้ว  ส่วนคนนอกอย่างภาคย์ก็ยังไม่กลับมา

            เตยิ้มนิดๆ

            “ไม่เป็นไรหรอก  เรื่องมันผ่านมาตั้งนานแล้ว.....ผมยินดีกับคุณรันด้วยจริงๆนะครับ....ถ้าจะมีใครดูแลพี่ดิมได้ดี ก็คงจะเป็นคุณรันนั่นแหละครับ”   

          “ผมเสียใจด้วยจริงๆนะครับ  เอ่อ ถ้าคุณเตอึดอัดหรือยังไงรีบบอกนะครับ  ผมก็ไม่ทันคิดจริงๆตอนที่ชวนทานข้าวด้วยกัน  ”

          “ไม่เป็นไรหรอกครับ  เรื่องมันผ่านไปนานมากแล้ว”   เสียงแหบลึกทำให้รันเหลือบมองหน้าคนพูด  แต่ก็เห็นสีหน้าของเตปกติ

            “แล้วคุณเตเป็นอย่างไรบ้าง  ผมไม่ได้ข่าวคุณเลย จนกระทั่งคุณพาลูกมาหาผมนี่แหละ ถึงรู้ว่าคุณแต่งงาน   ทราบว่าตอนนั้นคุณป้าคุณลุงของคุณเสีย เลยเดาว่าคุณคงยุ่งๆอยู่แน่   เพราะผมติดต่อคุณไม่ได้  ตอนที่พี่ดิมเข้าโรงพยาบาล  ผมเลยฝากเพื่อนไปบอกอีกที  แล้วทีนี้พออาการหนักต้องส่งตัวไปรักษาต่อที่โน่น  ก็เลยขาดการติดต่อกับคุณไปเลย  ผมขอโทษนะครับ”  รันพูด  ท่าทางเห็นอกเห็นใจ

            “ไม่เป็นไรหรอกครับ  ความจริงถึงผมไปเยี่ยม มันอาจจะยุ่งยากกว่าเดิมก็ได้  แถมไม่มีประโยชน์ด้วย ต้องขอบคุณคุณรันมากกว่าที่ส่งข่าวมาถึง”

          “คุณเตคงจะเสียใจมาก..ผมไม่รู้ว่าทำไมพวกคุณถึงเลิกกัน  แต่ผมไม่อยากจะเชื่อเลย  พวกคุณดูรักกันมาก”  วิรัลปรารภ

          ‘เพราะเราไม่ใช่คู่กันไงครับ’   เตตอบในใจแต่ไม่ได้พูดออกไป เพราะผู้ชายสองคนเดินกลับมาที่โต๊ะพร้อมกันพอดี   

            เงยหน้าขึ้นบอกขอบคุณเจ้านาย  สบตากับรดิศแวบเดียว  ต่างคนต่างก็เมินมองไปทางอื่น

            อาหารมื้อนั่นผ่านไปอย่างอึดอัดในความรู้สึกของเต  เขาพยายามที่จะใส่ใจกับอาหารตรงหน้า และคำพูดชวนคุยของภาคย์เท่านั้น  แต่หูเจ้ากรรมก็คอยแต่จะได้ยินเสียงห้าวๆที่พูดโต้ตอบอยู่กับแฟนตลอด  จนเขาไม่มีสมาธิ

            “คุณหมอกลับกันวันนี้หรือครับ  ค้างคืนเดียวเองเหรอ”   ในตอนหนึ่งที่ภาคย์พูดขึ้นมากลางวง

            “ครับ  ลาได้แค่นี้เอง  นี่ดิมก็ต้องกลับไปเตรียมผ่าตัดต่อ  เขาคิวทองมากครับ  ยิ่งกว่าซุปตาร์เสียอีก”  รันเย้า  รดิศหัวเราะ

            “คุณก็พูดไป  เดี๋ยวสรรพากรมาเก็บภาษีผมตาย  แล้วคุณภาคย์กับคุณเตล่ะครับ  กลับวันนี้พร้อมกันหรือเปล่า”

          “เรากลับวันพรุ่งนี้ครับ  เพราะคืนนี้ผมต้องอยู่ร่วมงานเลี้ยงก่อน”  ภาคย์ตอบ   ยิ้มมุมปากเมื่อสังเกตเห็นแววขุ่นวาบปรากฏขึ้นในดวงตาของคนถามทันที   หลังจากรู้ว่าเขาจะค้างคืนที่นี่อีกคืน...กับติณธร

            ...เหอะ  อย่ามาทำนิสัยเป็นหมาหวงก้างแถวนี้นะคุณหมอ  แฟนคุณก็นั่งอยู่ตรงนี้ทั้งคน.....

            “แบบนี้น้องเต้คิดถึงพ่อแย่เลย”  กุมารแพทย์หนุ่มพูดยิ้มๆ   เขาแอบมองใบหน้าของแฟนที่เปลี่ยนเป็นถมึงทึง หลังจากที่รู้ว่านักเขียนหนุ่มจะค้างที่นี่อีกคืนกับเจ้านายสุดหล่อคนนั้น....หรือว่าดิมจะ..หึง?  ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่สบายใจ   รู้สึกคิดผิดที่ชวนคนทั้งสองมาร่วมโต๊ะด้วย    จากตอนแรกที่หวังเอาไว้ว่าเตจะเป็นฝ่ายหลุดท่าทีใดๆออกมาให้เห็น กลับกลายเป็นคนของเขาเองที่เริ่มเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่

            “ลูกชายของคุณเตคงจะชินแล้วมั้ง   หรือยังไงครับ?”  ดิมยังแขวะไม่เลิก   ไม่สนใจว่าสีหน้าใครจะเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง 

            “ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะครับ”  เตย้อนถามนิ่งๆ

            “ก็...ผมเดาเอาว่านักเขียนอย่างคุณคงต้องทำงานนอกสถานที่บ่อยๆ  เจอคนนั้นคนนู้นเยอะแยะ ก็เลยไม่ได้กลับบ้าน”

            “ส่วนใหญ่ผมก็ทำงานที่บ้านครับ  เพราะผมเขียนอย่างเดียว  ไม่ได้เป็นคนสัมภาษณ์แล้ว   นอกจากเป็นงานที่จำเป็นจริงๆ เลี่ยงไม่ได้ถึงจะไป   ...ไม่ค่อยชอบออกไปไหนฮะ   เบื่อคนมากๆ  เพราะบางคนก็ทำให้เสียสุขภาพจิตจริงๆ  สู้อยู่กับบ้าน เล่นกับลูกไม่ได้”  ตั้งเตพูดเนิบๆ  ใครบางคนขยับตัวอย่างอึดอัด...เสียสุขภาพจิต?  หมายถึงใครกัน

          “จริงครับ  ผมก็เป็น  บางวันอยากอยู่เฉยๆคนเดียว ไม่อยากเจอใครให้วุ่นวาย”  ภาคย์พูด

            “คุณเตโชคดีจังเลยนะครับ  น้องเต้ก็น่ารักมาก ไม่ทราบว่าคุณแต่งงานมากี่ปีแล้วหรือครับ”  คุณหมอเด็กถามยิ้มๆ

            “ปีนี้ครบรอบ 8 ปีแล้วครับ”

          “โห  แบบนี้ก็...โทษนะครับ  นี่คุณแต่งงานตั้งแต่เรียนจบเลยเหรอ”   รดิศที่นั่งฟังอยู่หันมาถาม  สบตาคนตอบอย่างจงใจ   ทว่าฝ่ายนั้นก็เบือนหนีสายตาของเขาไปอีก  ตั้งแต่มานั่งร่วมโต๊ะกัน   นักเขียนคนนั้นไม่ยอมสบตาเขาตรงๆเลยแม้แต่แวบเดียว

            “ครับ”  อีกฝ่ายรับคำสั้นๆ  ไม่พูดต่อ  คนฟังเม้มปาก

            .....พอบอกเลิกเราอย่างโหดร้าย  เค้าก็หนีไปแต่งงานเลยงั้นเรอะ  ช่างใจคอโหดเหี้ยมเสียจริงๆ....

            “แปลว่าคุณคบกับแฟนมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้วหรือครับ”  วิรัลถามต่อ   เป็นคำถามที่ตรงใจใครหลายๆคน  รดิศเหลือบมองเตนิดหนึ่ง  เห็นเขาขยับตัว  ดูออกว่าไม่อยากตอบคำถามนี้สักเท่าไหร่           

          “เรารู้จักกันมานานแล้วครับ”

          .....รู้จักกันมานานแล้ว?  ตอนไหนกัน  เขาเชื่อว่าตัวเองคือคนที่ใกล้ชิดตั้งเตมากที่สุดในเวลานั้นแท้ๆ ทำไมกลับไม่เคยรู้จักหรือระแคะระคายเลย  ว่าอีกฝ่ายมีผู้หญิงอีกคนในชีวิต   แบบนี้ก็แปลว่าตลอดเวลาที่คบกัน  เตคบคนอื่นซ้อนด้วยงั้นหรือ  แล้วสุดท้ายก็เลือกเธอคนนั้น?  หรือยังไง?.... คุณหมอหนุ่มคิดในใจอย่างเดือดดาล

            “รู้จักกันตอนเรียนหรือครับ   คงเหมือนคู่ของเรา...เอ  แล้วคุณจัดงานที่ไหนหรือครับ   ขอโทษด้วยนะครับที่ดูจะถามเยอะไปหน่อย  พอดีว่าเรากำลังจะจัดงานครับ ก็เลยอยากรู้ว่าคู่อื่นเขาทำยังไงบ้าง”  รันออกตัว  เอื้อมมือไปจับมือของคนรักกุมเอาไว้  รู้สึกได้ว่ามือของฝ่ายนั้นชื้นเหงื่อผิดปกติก็เหลือบมองหน้าแวบหนึ่ง   เห็นแววตาคู่นั้นลุกวาวจับจ้องไปที่คนที่นั่งตรงข้าม  ไม่เหลือบแลมาทางเขาที่กุมมืออยู่เลยสักนิด

            “ยินดีครับ  ถ้าคุณหมอสนใจไว้ผมแนะนำให้”  ตั้งเตตอบ ยิ้มให้รันนิดหนึ่ง รวบช้อนเป็นจังหวะเดียวกับที่คนตรงข้ามรวบช้อนพอดีเช่นกัน

            “ดิมอิ่มแล้วหรือ  กินน้อยจัง”   รันเขย่ามือข้างนั้นเบาๆ  จนคนรักรู้สึกตัว  รดิศหันมามองหน้าเขา  แววขุ่นข้องในดวงตายังไม่จางหายไป  แต่ก็เอื้อมมือมากุมซ้อนทับบนหลังมือของเขา  พูดแกมหัวเราะ

            “ผมไม่หิวข้าวเท่าไหร่   เพราะอิ่ม...อย่างอื่นแล้ว”   เว้นช่วงนิดหนึ่งอย่างมีเลศนัย  พลางเหลือบตาขึ้นมองหน้าแฟนที่ใบหน้ากลายเป็นสีชมพู  ก่อนจะค่อยๆเบือนไปสบตาผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงข้าม   จ้องมองไปที่ริมฝีปากอิ่มเต็มที่เม้มแน่นคู่นั้นอย่างอ้อยอิ่ง

            เตเขยับตัวอย่างอึดอัดอีกครั้ง  สายตาคมคู่นั้นมีแววโลมเลียมอย่างไม่เกรงใจ  ทำให้เขาร้อนวูบวาบทั้งตัว  รีบลุกขึ้นจากเก้าอี้

            “ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ”   พูดแบบไม่มองหน้าใครทั้งสิ้น  แล้วจ้ำออกมาจากห้องอาหาร  หนีบรรยากาศที่เขารู้สึกสุดจะทน....ทำไมเขาจะต้องมานั่งให้ถูกแขวะเอาไม่เลิกด้วย  ไม่ใช่เรื่องเลยจริงๆ




[เดี๋ยวมาต่อดึกๆนะคะ]

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -

ออฟไลน์ polkadot

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
รำคาญภาค สั้นๆ คำเดียวจบ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
ค้างงงงงงงงงงงง

อยากอ่านแล้วค่ะ

หมอรัล ดูร้ายลึกนะ

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
ต่อนะคะ



             

             ชายหนุ่มก้มลงล้างหน้าแรงๆที่หน้าอ่างล้างหน้า  ไล่ความหงุดหงิดที่ก่อตัวขึ้น  ซึ่งเขาเดาเอาว่าคงจะเกิดจากสองคนนั้นถามมากเกินไป

            “ขอโทษครับ ขอหยิบทิชชูหน่อย”  ล้างหน้าเสร็จก็หันมาจะเอื้อมหยิบกระดาษทิชชูมาเช็ดใบหน้า  แต่ติดตรงที่มีร่างของใครบางคนยืนบังอยู่หน้ากล่องที่ติดอยู่ตรงผนัง

            ติณธรไล่สายตาจากช่วงบ่าตึงแน่นขึ้นไปถึงปลายคางเขียวครึ้มและหยุดที่นัยน์ตาคมเข้มคู่นั้น   สบตากันนิ่งๆแวบหนึ่ง  เขาก็เป็นฝ่ายเบือนหลบอีกตามเคย

            คุณหมอหนุ่มหันไปดึงกระดาษทิชชูมายื่นส่งให้สองสามแผ่น  เขาเม้มปากนิดหนึ่ง  ไม่ยอมรับน้ำใจจากฝ่ายนั้น แต่เอื้อมมือไปหยิบมาเองสามแผ่น  ยกขึ้นซับใบหน้าและซอกคอช้าๆ

            “แค่ทิชชูแค่นี้   ไม่กล้ารับจากมือผมเลยหรือ”

          “คุณหมอเก็บเอาไว้ใช้เองเถอะ  ขอบคุณมาก”

          “ดูคุณจะไม่ยอมรับความหวังดีจากผมเลยนะ  ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม”   คุณหมอหนุ่มพูดยิ้มๆ  ทว่าแววตาไม่ได้ยิ้มตามไปด้วย   เขาเดินเข้ามาใกล้แล้วเปิดก๊อกน้ำก้มลงล้างมือช้าๆ

            สบตากันผ่านกระจกเงาที่ติดอยู่กำแพง   ติณธรก้าวถอยหลังไปทางประตู 

            “ผมไม่กล้ารับความหวังดีของคุณหมอหรอกครับ....โอ๊ย!”

          ยังพูดไม่จบประโยคก็เปลี่ยนเป็นเสียงอุทานด้วยความเจ็บปวดแทน เพราะจู่ๆฝ่ายนั้นก็หยุดล้างมือแล้วหันมาคว้าต้นแขนทั้งสองข้างของเขาเอาไว้  เหวี่ยงทีเดียวไปกระแทกกำแพงแล้วตามเข้ามาประชิด

            แผ่นหลังของเตแนบกับผนังกระเบื้องเย็นๆภายในห้องน้ำโรงแรมที่ไร้ผู้คนอย่างน่าประหลาดใจ  ต้นแขนทั้งสองข้างถูกมือของผู้ชายคนนั้นบีบเอาไว้แน่น  รู้สึกได้ถึงหยดน้ำที่ฝ่ามือของฝ่ายนั้นซึมผ่านเสื้อจนเปียกชุ่ม

            สายตาสองคู่ปะทะกัน  คราวนี้ไม่มีใครยอมหลบก่อน

          “ปล่อยผม  ถ้าคุณไม่อยากเดือดร้อน”  กลั้นใจพูดเสียงแข็ง   หัวใจเต้นถี่รัว

          “ถ้าผมอยากเดือดร้อนล่ะ.....ช่วยทำให้ผมรู้สึก ‘ร้อน’  แบบที่ทำกับนายภาคย์นั่นบ้างจะได้มั้ย” ตอบกลับพลางก้มลงสูดความหอมหวานของซีกแก้มด้านนั้น  ตั้งเตเอียงตัวหนี  ยกแขนขึ้นมายันอกกว้างเอาไว้  แต่มือแข็งแรงที่บีบกระชับอยู่ที่ต้นแขนจนรู้สึกเจ็บบังคับให้เขาทำอะไรได้ไม่ถนัดนัก

            จะยกเข่าขึ้นจัดการกล่องดวงใจ  ฝ่ายนั้นก็เขยิบเข้ามาใกล้จนช่วงล่างแนบประชิดกันราวกับรู้ทัน  ลมหายใจร้อนผ่าวรินรดอยู่แถวซีกแก้มและซอกคอ ขณะที่เขาพยายามจะหันหน้าหนีการสัมผัสนั้น  แต่ดูเหมือนว่าจะหนีเท่าไหร่ก็หนีไม่พ้น  เพราะไม่ว่าจะเบือนหน้าหนีไปทางใดก็พบว่ามีปลายจมูกและริมฝีปากของฝ่ายนั้นดักรอจังหวะอยู่แล้วทั้งสิ้น

สุดท้ายเขาไม่หลบแต่จ้องตากลับ   รดิศชะงักไป

“ปล่อยผมเถอะ  ก่อนที่ผมจะผิดหวังในตัวคุณหมอมากไปกว่านี้”  ประโยคเรียบๆจากฝ่ายนั้น แทนที่จะทำให้อีกฝ่ายใจเย็นลง กลับยิ่งทวีความโกรธมากขึ้นไปอีก   รดิศบีบแขนเขาแรงขึ้นถามเสียงดังเกือบจะเป็นตะคอก

“ทำไม  เกิดกลัวบาปขึ้นมางั้นเหรอ ทีมาค้างคืนกับไปไอ้หมอนั่นสองต่อสองกลับไม่กลัว  หรือว่าผมมันไม่เร้าใจเท่าไอ้หน้าตี๋นั่น”  เตเม้มปาก  จ้องหน้า ‘พี่ดิม’ กลับ  ทั้งผิดหวังทั้งน้อยใจ ไหนจะโมโหอีก...ความรู้สึกเฉยชาแกมเศร้าที่เคยเป็นมาช้านานเริ่มถูกอารมณ์บางอย่างกลับเข้ามาแทนที่  เตรู้สึกเหมือนวิญญาณของเด็กหนุ่มอายุ 20 คนเดิมถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง  เขาเงยหน้าขึ้นลอยหน้าพูดกลับอย่างท้าทาย

“คุณรู้ตัวก็ดีแล้วนี่  แบบคุณน่ะเหรอ...เหอะ  ผมล่ะสงสารหมอรันแฟนคุณจริงๆ”

คราวนี้คนฟังโกรธจนควันออกหู  ประโยคไม่ไว้หน้าของอีกฝ่ายทำให้เลือดในกายเขาร้อนจนแทบจะระเหยกลายเป็นไอได้

“ผมก็สงสารภรรยาของคุณเหมือนกัน  หรือว่าเธอจะชินแล้วที่ถูกสามีสวมเขาให้”  สวนกลับอย่างเผ็ดร้อนพอกัน  ตั้งเตกำหมัดแน่น

“อย่าลามปามถึงภรรยาผม   คุณไม่มีสิทธิ”

            “แล้วใครมีสิทธิ  ชู้รักของคุณหรือไง  ถ้าอย่างนั้นขอผมเป็นด้วยคนได้ไหมล่ะ”  คนฟังสะบัดเเขนอย่างเเรงจนหลุดจากการเกาะกุมและ


            ผลั๊วะ!

          ใบหน้าหล่อเหลาของคุณหมอหนุ่มหันไปตามแรงหมัดของอีกฝ่ายที่สัมผัสครึ่งปากครึ่งจมูกเข้าเต็มๆ  รู้สึกถึงรสเลือดที่มุมปากทันที  เขายกมือขึ้นแตะดู ความเจ็บแปลบๆ จากรอยแผลยังไม่เท่าความเจ็บทั้งหมดที่เขาเคยได้รับ

“คนอย่างคุณไม่มีสิทธิอะไรทั้งนั้นแหละ    เพราะตัวคุณยังไม่เคารพสิทธิของคนอื่นเลย”  เตสวนกลับ  แววตาลุกโชติช่วงจนคุณหมอหนุ่มอึ้งไป  ความเจ็บปวดที่มุมปากยิ่งทำให้เดือดดาล

“ผมละเมิดสิทธิของคุณตรงไหน  หรือคุณจะบอกว่าผมไม่มีสิทธิจะเตือนคุณเรื่องการ ‘เป็นชู้กับเจ้านาย’ ผมว่าผมมีสิทธินะ”

“ใช่  คุณมีสิทธิเตือน แต่ไม่มีสิทธิจะมาว่าผมเสียๆหายๆแบบนี้  ต่อให้ผมเป็นชู้กับใครอีกกี่ร้อยคนก็ตาม  มันก็เป็นสิทธิของผม  คุณเป็นคนนอก  คนเดียวที่มีสิทธิก็คือ  ภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของผม”   เตพูดฉอดๆ คนฟังกัดฟันกรอดใบหน้าชา   ราวกับว่าอีกฝ่ายกำลังด่าเขาตรงๆว่า อย่ามาสอใส่เกือกกับเรื่องของเขา

“นอกจากคุณอยากจะ  ‘มีสิทธิ’ กับผมจริงๆ  ...ก็อาจจะได้...หน้าตาอย่างคุณผมอาจจะรับพิจารณาเอาไว้  แต่บอกไว้ก่อนว่าอย่าตั้งความหวังเอาไว้มาก  เพราะผมก็ ‘เลือก’ เหมือนกัน”

ติณธรพูดออกไปจนหมด  สะใจที่เห็นอีกฝ่ายใบหน้าแดงซ่านแล้วเปลี่ยนเป็นซีดเผือด  เลือดออกที่มุมปากตรงที่โดนเขาต่อย   นึกแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกันที่จู่ๆก็เกิด ‘กล้า’ ที่จะตอบโต้ขึ้นมา  ไม่เป็นฝ่ายยอมเงียบเหมือนทุกครั้ง อาจจะเป็นเพราะความอดทนของเขามีขีดจำกัดก็เป็นได้

แล้วมันก็ถูกทำลายด้วยพฤติกรรมที่น่าผิดหวังของคนตรงหน้า

ดิมเงียบไปครู่ใหญ่  คนพูดยิ้มนิดๆ  ขยับจะเดินหลีกไปที่ประตู  แต่ติดตรงที่ถูกมือแข็งแรงของอีกฝ่ายรั้งเอาไว้อีกครั้ง  เขาหันมาเผชิญหน้า  คุณหมอยกมือขึ้นลูบที่แผลมุมปากอีกครั้ง

“คุณคิดว่าทำผมเจ็บตัวแล้วผมจะปล่อยให้คุณกลับออกไปง่ายๆงั้นหรือ”  นัยน์ตาคมดุจ้องอย่างเอาเรื่อง  เตบิดตัวหลุดจากการเกาะกุม

“ถ้าคุณไม่ปล่อยผม   คุณนั้นแหละที่จะเดือดร้อน  เพราะเรื่องนี้จะถึงหูหมอรันแน่” นักเขียนหนุ่มยกเอาแฟนของฝ่ายนั้นขึ้นมาขู่

คนฟังยักไหล่

“คิดว่ารันจะเชื่อใคร ระหว่างผมกับคุณ  เอ...แล้วจะให้ผมบอกคุณภาคย์ว่าอะไร ถ้าเขาถามว่าเราหายเข้ามาทำอะไรกันในห้องน้ำนานขนาดนี้”

ตั้งเตใจหายวาบ  เขาลืมเรื่องเวลาไปเสียสนิท  เหลือบดูนาฬิกาเร็วๆก็เห็นผ่านมาหลายสิบนาทีแล้ว  ป่านนี้คนที่โต๊ะคงจะสงสัยเป็นแน่

“…………………..”

“ไม่ต้องกังวลหรอกน่า  ผมรับรองว่าจะอธิบายอย่างละเอียดเลย  ว่าเราทำอะไรกันบ้าง  เหมือนเมื่อคืนเป็นไง” ดิมพูดด้วยท่าทางยียวนกวนประสาทแกมยิ้มเยาะ

“คุณพูดอะไรกับคุณภาคย์”  เตตกใจ  เขารู้สึกตัวตอนที่อีกฝ่ายคุยกัน    ได้ยินแว่วๆ แต่จับใจความไม่ได้  หรือว่านี่จะเป็นเหตุผลที่ภาคย์ดูมีท่าทีแปลกไป

“ก็....อธิบายว่าคุณ จูบผมยังไงบ้างไงล่ะ”

“คุณมัน....ผมไม่นึกเลยว่าคุณจะเป็นคนแบบนี้”

          “ผมก็เป็นของผมแบบนี้มาตั้งนานแล้ว  แต่อย่างว่า...คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ  รู้จักกันมาหลายปี ความจริงอาจจะไม่เคยรู้จักกันเลยก็ได้  ผมเคยเจอมาแล้ว  พวกหน้าเนื้อใจเสือ ทิ้งกันได้อย่างเลือดเย็น” กระแทกเสียงหนักตามอารมณ์ที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ  เขาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเวลาอยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้ถึงไม่เคยควบคุมอารมณ์ตัวเองได้เลย

          อาจจะเป็นเพราะท่าทีของอีกฝ่ายที่ดูเดือดเนื้อร้อนใจกับความคิดของชู้รักหน้าตี๋เสียเหลือเกิน!

            “คุณหมายถึงใคร”  เตเอะใจ  อีกฝ่ายยิ้มเยาะ

            “ก็หมายถึงคนทั่วๆไป   พวกที่แต่ก่อนรักกันจะเป็นจะตาย สุดท้ายก็ทิ้งไปแต่งงานกับคนอื่นหน้าตาเฉย   พอกลับมาเจอหน้ากันอีกที  ทำเป็นไม่รู้จัก  เหอะ  ตลกดีมั้ยล่ะ”

          ติณธรถอยหลังไปสองก้าว   จ้องใบหน้าของเขาเหมือนราวกับเห็นผี

            “ไม่จริง...”

          “อะไรที่ไม่จริง  เรื่องจริงทั้งนั้นแหละที่ผมพูดมาน่ะ  ทำไมล่ะ ทนฟังไม่ได้เหรอ  ไม่ใช่เรื่องของคุณเสียหน่อยนี่นะ”

          “พี่ดิม...”

          “พี่ดิม อืม...แต่ก่อนก็มีคนเคยเรียกผมแบบนี้เหมือนกัน  นานมากแล้วล่ะ หลายปีแล้ว  พี่ดิมอย่างนู้นพี่ดิมอย่างนี้  แล้วเป็นไงล่ะ  อ้าว  คุณเป็นอะไรไป  หน้าซีดเชียว  จะเป็นลมหรือครับ  ให้ผมช่วยเป่าปากให้เอาไหม”  พูดแกมเยาะอย่างสะใจที่เห็นอีกฝ่ายหน้าซีดแทบไม่มีสีเลือด ตัวสั่นน้อยๆราวกับจับไข้

            “ไม่ใช่   คุณไม่ใช่พี่ดิมคนนั้น”

          “พี่ดิมคนไหนล่ะ  คุณยังจำได้ด้วยหรือ”

          “เขาเป็นคนดีที่สุดเท่าที่ผมเคยพบมา”  ตั้งเตตอบเสียงแหบพร่า

          “เหรอ  แล้วโง่ที่สุดด้วยหรือเปล่า”   รดิศเลิกคิ้วถามกลับ  เขารู้สึกเหมือนตัวเองเบรกแตก  ก่อนหน้านี้ที่เคยคิดหมั่นไส้ว่าอีกฝ่ายทำเป็นไม่รู้จักกันมาก่อนดีนัก   งั้นเขาก็จะทำเป็นไม่รู้จักเช่นกัน  ความคิดนั้นได้ถูกลืมไปเสียสิ้น   ตอนนี้เขารู้สึกสาแก่ใจเหลือเกินที่อีกฝ่ายจ้องหน้า แทบจะอ้าปากค้างเช่นนี้

            ....ตกใจมากสินะ  ที่จู่ๆเขาก็ขุดเรื่องอดีตขึ้นมาพูด หึ คิดว่าจะสามารถทำเป็นลืมๆแล้วเรื่องก็จะหายไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นหรือไง...

            “ไม่ใช่แบบนั้น”

          “แล้วแบบไหน  แบบที่คุณทิ้งเขาเอาไว้กลางถนน  แต่เขาก็ยังคงพร่ำเพ้อหาแต่คุณใช่มั้ย   แบบนั้นยังไม่เรียกว่าโง่อีกเหรอ”

          “จริงเหรอ  ผมไม่เคยรู้เลย” ฝ่ายนั้นพูดเสียงเบา

          “คุณไม่รู้เพราะคุณไม่เคยมาเยี่ยม ‘พี่ดิม’ ของคุณเลยตะหากล่ะ  คุณทิ้งเขาไปเสวยสุขแล้วนี่  จะผลักให้ใครลงนรกไปบ้างยังไงคุณก็ไม่สนใจหรอก”  ดิมพูดอย่างเผ็ดร้อน

            ชายหนุ่มร่างเล็กมองเขาอย่างตะลึงงัน

            “คุณว่าผมไปบอกไอ้ตี๋หน้าโง่ เหยื่อรายต่อไปของคุณดีไหม  ว่าเราเคยเป็นอะไรกันมาแล้วบ้าง  แล้วผมเคยโดนคุณทิ้งมาก่อนยังไง เผื่อว่ามันจะได้ระวังตัวเอาไว้  เอ  หรือว่าผมควรจะเห็นแก่ความหลังครั้งเก่าของเราดีล่ะ คุณคิดว่ายังไง?”

          “พะ...พี่จำได้?  มะ...ไม่ได้ความจำเสื่อมงั้นหรือ”  เตพูดตะกุกตะกัก

          “ความจำเสื่อม?  ใคร  ผม?  หรือว่าคุณกันแน่ที่ความจำเสื่อม  ผมยังจำได้ทุกบททุกตอนนั่นแหละ แม้แต่แววตาสุดท้ายที่คุณมองผมก่อนจะวิ่งหายไป ทิ้งให้ผมนอนจมกองเลือดอยู่ที่พื้นถนนนั่นน่ะ”

คนฟังรู้สึกถึงกระแสเย็นเฉียบที่วิ่งจากศีรษะผ่านกระดูกสันหลังไปยังปลายเท้า แล้วตีกลับขึ้นมาในทรวงอกจนแน่นไปหมด    สมองพร่าเบลอเหมือนมีใครมาปาระเบิดใส่

“นี่พี่จำได้...ตลอดมาแล้วทำไม?..”

“ผมไม่ได้ลืมง่ายเหมือนคุณหรอกคุณตั้งเต  จะได้แกล้งทำเป็นไม่รู้จักกัน”   ดิมกระแทกเสียงกลับ  หัวใจเต้นแรง หลังจากได้พูดออกไปหมดแล้ว  เขาก็รู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อย

แปลกใจที่อีกฝ่ายทำท่าราวกับแปลกใจเสียเต็มประดาที่เห็นเขาจำได้หมดทุดอย่าง?

            ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

            เสียงเคาะประตูถี่รัวที่หน้าประตูห้องน้ำ ทำให้คนในห้องชะงัก  ทั้งคู่หันไปมองที่ประตูพร้อมกัน   คุณหมอหนุ่มเดินผ่านอดีตคนรักไปปลดล็อคลูกบิดที่เขากดล็อคเอาไว้เองตั้งแต่ตามเตเข้ามา

            เปิดประตูออก  เจอชายหนุ่มร่างสูงเจ้านายของเตยืนอยู่หน้าประตูท่าทางร้อนรน  ถัดไปด้านหลังมีคนรักของเขายืนอยู่ด้วย  ดิมเผลอหลบตารันโดยไม่ตั้งใจ

            “พวกคุณทำอะไร   ทำไมประตูถึงเปิดไม่ได้   คุณเตอยู่ที่ไหน?”ภาคย์ถามทันที  อีกฝ่ายเเค่ยักไหล่  ไม่ตอบแต่เดินผ่านไปจับมือของรันเอาไว้  พาจูงให้เดินห่างออกมาจากห้องน้ำแห่งนั้น  ชะงักนิดเดียวเมื่อได้ยินเสียงของผู้ชายหน้าตี๋ร้องเรียกชื่อคนข้างในเสียงดังลั่น  ทว่าเขาก็บังคับตัวเองไม่หันกลับไปมองได้สำเร็จ

            “คุณเต  คุณเต  เป็นอะไรหรือเปล่า?”

……………………………………………………………

มาต่อจบตอนค่ะ   ขอบคุณมากนะคะที่กดเข้ามาอ่าน จะพยายามมาอัพทุกวันค่ะ
มีคนสังเกตว่าเตดูเป็นลมบ่อย ไม่ค่อยเเข็งเเรงด้วย อิอิ :katai2-1:

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
พี่ดิมระเบิดอารมณ์และความรู้สึกออกมาแล้วสินะ โล่งใจใช่ไหมคะ? กลับกันในด้านของเตนั้น อึ้ง!!! เตเหมือนโดนหลอกอยู่ฝ่ายเดียว มันต้องมีความลับอะไรสักอย่างแน่ๆ.


รอตอนต่อไปแทบจะไม่ไหวแล้ววววสอยากรู้เรื่องเตกับดีมมากกว่านี้

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
โอ๊ะ!! เฮ้ย!! อ้าวว!! เผยตัวซะแล้ว ตามจริงแอบยังอยากให้หมอดิมแกล้งจำเสื่อมแล้วรวนไปอีกนิดนะ 5555  แล้วเอาไงละทีนี้ รู้กันแล้วว่าจำได้ทั้งสองคน ตอนนี้ต่างคนก็ต่างไม่รู้ว่ายังมีเยื่อใยให้กันหรือเปล่า ซึ่งต่างคนต่างมี พร้อมจะประทุผุดๆ 555 ดิมพูดไรเยอะว่ะ จับจูบจับกดแม่งเลย 5555 //เผยตัวตนก่อน แล้วยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาอีกมาก มีแววว่าจะแพ้ก่อน จุ๊ๆ!!!  //บางทีก็แอบหมั่นไส้เตนะ คือตอนนี้ยังไม่รู้ความจริงไง เลยอยู่ทีมหมอดิม ยังโกรธโมโมแค้นอยู่ เจอทิ้งไว้แบบนั้น แล้วยิ่งอะไรๆมันก็ทำให้ดิมคิดไปสะระตะอีกเช่นว่า คบซ้อนตอนเลิกกัน เรียนจบแต่งงานเลยงี้ กูพลาดตรงไหน เพิ่มความเข้าใจผิดมีน้ำโหเข้าไปอีก เป็นเราก็อาจจะเป็นแบบนีี้ (แต่จริงๆแล้วเรา จบคือจบ) แต่นี้อินกับเรื่องนี้ไง 555555 ยังไงซะก็รอมาต่อตอนต่อไปค่ะ F5 ทุกวัน //***คนที่ไม่รู้อะไรเลยคือดิมต่างหาก ช่างน่า....!!!!*** >> รึเปล่า????????? ควรจะสงสารใครดี 555555555

ออฟไลน์ myapril

  • Tomorrow
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-3
จะสงสารใครดี ?
ความจำเป็นอะไรที่ทำให้เตต้องแต่งงาน

ออฟไลน์ polkadot

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
มันต้องมีปมอะไรสักอย่างแน่

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
เพราะหัวใจบอกว่า...เลือก

 

 

 

 

 

            “ดิม  เรากลับไปดูคุณเตหน่อยเถอะ  ไม่รู้เป็นอะไรหรือเปล่า”

          วิรัลกระตุกมือของคนรักเบาๆ  ฝ่ายนั้นชะลอฝีเท้าลงนิดหนึ่ง แต่ก็ยังคงจูงเขาเดินห่างออกมาจากห้องน้ำอยู่ดี

            “เค้าไม่เป็นอะไรหรอก  อย่าเป็นห่วงนักเลย  มีคนดูแลอยู่ทั้งคน คงไม่ปล่อยให้ตายอยู่กลางห้องน้ำหรอกน่ะ” ดิมกระแทกเสียงตอบอย่างหงุดหงิด   คนฟังเม้มปากหยุดเดิน  ฉุดข้อมือเขาเอาไว้

            “ไม่ได้  เราเป็นหมอนะดิม  ทำอย่างนั้นได้ยังไง  ไม่รู้แหละ รันจะกลับไปดูว่าเตเป็นอะไร   ถ้าดิมรีบมากก็กลับไปก่อนเลย”  กุมารแพทย์หนุ่มปลดมือของเขาที่กุมอยู่ออก  แล้วหันหลังเดินย้อนกลับไปทางเดิม

            รดิศมองตามหลังคนรัก...อะไรกันนักหนา   ไม่ได้เป็นอะไรหรอก เชื่อสิ  อย่างมากก็แค่เป็นลม  มุขเก่าเล่าใหม่ เอาไว้ออดอ้อนออเซาะ เรียกร้องความเห็นใจจากพวกที่ไม่รู้เท่าทัน   เหอะ....ความรู้สึกโกรธต่อสู้กับมโนธรรมในใจ สุดท้ายฝ่ายหลังก็เป็นฝ่ายชนะ   เขาเดินแกมวิ่งตามหลังคนรักกลับเข้าไปภายในห้องอาหารของโรงแรม  ทันเห็นฝ่ายนั้นช่วยภาคย์พยุงนักเขียนหนุ่มออกมาจากห้องน้ำพอดี   

ตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นชายหนุ่มร่างเล็กที่ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ช้าๆ มีใบหน้าซีดเผือดจนเกือบเขียว  หายใจหอบถี่ มือจีบเกร็งเข้าหากัน  หมอรันก้มตัวอย่างตรงหน้าติณธร  พูดช้าๆเป็นจังหวะ

            “หายใจเข้าช้าๆครับ  ตามจังหวะที่ผมบอก  เข้า—ออก—เข้า—ออก---เข้า---ออก  ดีมากครับ  ช้าๆนะครับ  เข้า---ออก---เข้า---ออก  ไม่ต้องกลัวครับ  ไม่เป็นอะไรแล้ว  ใจเย็นๆครับ  เข้า---ออก---เข้า---ออก---เข้า---ออก---เข้า---ออก.....”  คุณหมอเด็กพูดช้าๆให้เตทำตามจนอาการเริ่มดีขึ้น หลังจากผ่านไปหลายนาที การหายใจช้าลง  มือที่จีบเกร็งอยู่ในตอนแรกค่อยๆคลายออกเล็กน้อย

             คนที่เฝ้าจับตามองอยู่ห่างๆถอนหายใจยาว

            “ดีขึ้นไหมครั้บ คุณเต”  นักเขียนหนุ่มพยักหน้าช้าๆ  ภาคย์เอื้อมมือไปจับมือลูกน้องมากุมเอาไว้แน่น  หันไปถามคุณหมอด้วยเสียงเป็นกังวล

            “คุณเตเป็นอะไรไปครับ ตอนผมเข้าไปเห็นเขาหายใจเร็วๆมากแล้วก็เกร็งไปหมดทั้งตัวเลย  ผมตกใจหมดทำอะไรไม่ถูก  โชคดีที่คุณหมอกลับเข้ามาพอดี”

            “คุณเตเป็นโรค Hyperventilation syndrome ครับ หรือโรคหอบจากอารมณ์  มักจะเกิดจากภาวะกดดันทางจิตใจทำให้หายใจเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัวนะครับ  แล้วก็จะเกิดอาการตามมาอย่างที่เห็น เช่น เกร็ง  ปากชา มีมือจีบได้  แต่ไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิตนะฮะ  ไม่ต้องกังวลครับ  คุณเตเคยเป็นมาก่อนหรือเปล่าครับ”

          คนไข้สั่นศีรษะ

            “แล้วเมื่อครู่นี้ คุณเครียด หรือว่ามีอะไรมากระทบใจหรือเปล่า”  ประโยคคำถามนั้นทำให้ผู้ฟังหน้าเคร่งขึ้นนิดหนึ่ง  ตั้งเตเหลือบมองไปทางร่างนั้นแวบเดียว  แล้วก็ตอบเรียบๆ

            “มีเรื่องตกใจนิดหน่อยครับ” ไม่ขยายความต่อ  อีกฝ่ายก็ไม่เซ้าซี้ พยักหน้าเนิบๆ

          “ถ้าอย่างนั้นก็คงเป็นโรคนี้แหละครับ”  หมอวิรัลสรุป

            “แล้วต้องรักษายังไงครับ”

          “วิธีรักษาก็คือฝึกหายใจครับ  แต่ก่อนหมอจะบอกว่าให้เอาถุงมาครอบเอาไว้แล้วหายใจในถุง  แต่ผลการวิจัยหลังๆออกมาแล้ว พบว่าไม่ช่วยนะครับ  ถ้าเกิดอาการขึ้นก็ให้หายใจช้าๆครับ  แล้วก็จะดีขึ้นเอง  ทางที่ดีก็คืออย่าเครียดมาครับ”  กุมารแพทย์หนุ่มพูดยิ้มๆ เหลือบมองคนรักที่ยืนอยู่ไม่ห่าง แต่ก็ไม่ยอมเข้ามาใกล้แวบหนึ่ง  ใบหน้าคมเครียดเคร่งเหมือนกำลังโกรธใครอยู่

            ไม่มีใครรู้หรอกว่าคนที่เจ้าตัวโกรธ ไม่ใช่ใครอื่น แต่กลับเป็นตัวเอง ...เขาน่าจะสังเกตเห็นความผิดปกติของเต  ถ้าไม่มัวแต่คิดจะทำร้ายอีกฝ่ายด้วยคำพูดให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้แบบนั้น   เขาใจร้ายมากเกินไปแล้ว   นายภาคย์ก็คงไม่รู้จักโรคนี้ด้วยซ้ำ  ถ้ารันกลับมาไม่ทันล่ะ  ถ้าไม่มีใครช่วยเหลือและดูแลตั้งเตได้ล่ะ  ป่านนี้น้องก็คงจะยังหอบอยู่อย่างนั้น  ดีไม่ดีอาจจะหมดสติไปเลยก็ได้

            บ้าชิบ  เกิดเตเป็นอะไรขึ้นมา จะทำยังไง

            วูบหนึ่งที่เขาลืมไปสนิทว่าตนเองรู้สึกเกลียดผู้ชายร่างเล็กหน้าหวานคนนี้ขนาดไหน  เหลือแต่เพียงความห่วงกังวลในใจที่แทบจะปิดบังแววตาไม่มิด

            เตสามารถรับรู้กระแสห่วงใยที่ส่งออกมาจากนัยน์ตาคมเข้มคู่นั้นได้ชั่วขณะ   ก่อนที่มันจะแปรเปลี่ยนเป็นแววเยาะหยันน้อยๆตามเดิมอย่างรวดเร็วราวกับตาฝาดไป

เมื่อครู่นี้ตอนที่เขาเหนื่อยแทบขาดใจ  แค่เห็นร่างของผู้ชายคนนั้นที่เดินเข้ามาหยุดยืนห่างๆ  ถึงจะไม่ยอมเข้ามาแตะต้องตัวของเขาเลย  แต่เขากลับรู้สึกอุ่นใจขึ้นอย่างประหลาด

            ทั้งที่ต้นเหตุของอาการทั้งหมดก็มาจากเค้านั่นแหละ

            ....พี่ดิม....

            เป็นความจริงหรือเปล่าที่พี่ดิมไม่เคยลืมเรา  พี่ดิมไม่เคยลืมเรื่องระหว่างเราเลย  จริงหรือเปล่า... ท่ามกลางความประหลาดใจถึงขีดสุด ละอองไอบางๆของความปลื้มปิติที่รู้ว่าอีกฝ่ายยังจำตนเองได้อยู่ค่อยๆแทรกเข้ามาทีละน้อยแทนที่ความเศร้าหมองที่ครองอยู่เดิม

            เตหัวใจเต้นแรงขึ้น  เขาสบตาคมเข้มคู่นั้นแน่วแน่ไม่ยอมหลบ  นึกอยากให้เหลือเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นในตอนนี้  เพื่อที่ว่าเขาจะได้ถามอีกฝ่ายให้กระจ่างแจ้งไป ว่าเรื่องทั้งหมดมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

            ทำไมพี่ดิมต้องทำเป็นจำเขาไม่ได้ด้วย...

            “แล้วต้องพาไปโรงพยาบาลไหมครับหมอ”  ภาคย์ถาม

            “ไปก็ดีครับแต่ไม่ไปก็ได้เพราะอาการดีขึ้นแล้ว  ให้พักผ่อนเสียหน่อยจะดีกว่าครับ”

            “ถ้าอย่างนั้น เห็นทีวันนี้คุณเตคงจะมาช่วยผมเป็นล่ามไม่ได้แล้วล่ะครับ  ขึ้นไปพักก่อนดีกว่า..”

          “ผมดีขึ้นแล้วครับ  คุณภาคย์”  เตพูด แล้วลุกขึ้นยืน  ทว่ารู้สึกวูบจนเซลงไปอีก  โชคดีที่หมอรันช่วยพยุงเอาไว้ทัน

            “ผมว่าไม่ไหวนะครับ  เอ  แปลกแฮะ....คุณเต  คุณตัวร้อนนี่ครับ  ไม่สบายหรือเปล่า  ผมว่าคุณไข้ขึ้นนะ”  มือที่จับแขนช่วยพยุงในตอนแรกเปลี่ยนไปอังที่หน้าผากและซอกคอของนักเขียนที่เปลี่ยนสภาพกลายเป็นคนไข้

            ใบหน้าเรียวที่เผือดซีด เริ่มกลายเป็นสีแดง  ..เตยกมือขึ้นจับที่ซอกคอของตัวเอง

            “ไม่เป็นอะไรครับ  เดี๋ยวกินพาราฯก็หายแล้ว”

            “ผมว่าคุณไปโรงพยาบาลดีกว่า   ไปให้หมอเขาตรวจหน่อย”  เจ้านายหนุ่มพูดอย่างกังวล  เขาชักไม่แน่ใจอาการของลูกน้องว่าเป็นอะไรกันแน่  ที่แน่ๆคือหมอที่ยืนเก้กอยู่นั่น เขาทำอะไรเต? เตถึงได้มีอาการแปลกไปเช่นนี้

            “ถ้าอย่างนั้นติดรถพวกเรากลับกรุงเทพฯไหมล่ะครับ  ยังไงเราก็ต้องกลับไปโรงพยาบาลอยู่แล้ว”  รันเสนอ  เตรีบปฏิเสธทันที

            “ไม่ต้องรบกวนหรอกครับ  เกรงใจ  ผมหายาทานเองได้ครับ  หรือไม่ก็ไปคลินิกแถวๆนี้ น่าจะมีอยู่แล้ว”

          “นั่นสิครับ  เดี๋ยวผมให้รถของบริษัทขับไปส่งได้ครับ   ต้องขอบคุณน้ำใจของคุณหมอมากนะครับ” ภาคย์รีบตอบ  เขาไม่อยากให้ติณธรนั่งรถไปกับไอ้หมอนั่น  ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม  ต้องให้อยู่ห่างๆกันเข้าไว้

            “ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจเขาเถอะรัน...เราต้องรีบกลับแล้วนะ  เพราะผมเซ็ทเคสผ่าเอาไว้ตอนบ่าย”   รดิศพูดห้วนๆ  จบก็ก้มหัวให้ทั้งสองคนนิดหนึ่งเป็นเชิงอำลา  แล้วเดินจากไปเสียอย่างนั้น

            เตมองตามจนร่างนั้นลับสายตา   แววตาละห้อยบอกแววอาวรณ์ฉายชัดจนคนทั้งสองที่ยืนอยู่ด้วยสังเกตเห็นพร้อมกัน   แต่ก็ต่างไม่พูดอะไรออกมา  รันบอกลาคนทั้งสอง  กำชับให้เตไปพบแพทย์แล้วแยกจากมา

            ระหว่างทางที่นั่งอยู่ในรถคู่กับคนขับก็ครุ่นคิดไปด้วยเงียบๆ  ความจริงแล้วสิ่งที่เขาอยากรู้มากที่สุดตอนนี้ ไม่ใช่เตรู้สึกอย่างไรกับดิม แต่เป็นดิมรู้สึกอย่างไรกับเตตะหาก   อารมณ์ปริศนาที่เขาเดาไม่ออก...แววตาของดิมและการกระทำที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา  วูบหนึ่งเหมือนจะหึงฝ่ายนั้น แต่อีกวูบหนึ่งก็กลับเฉยชา เยาะหยัน

            เหมือนจะเป็นห่วง  แต่กลับไม่เข้าไปช่วยเหลือใดๆ ยืนดูอยู่ห่างๆราวกับไม่สนใจทว่าสายตาคู่นั้นกลับไปละไปจากร่างเล็กบางของผู้ชายคนนั้นเลย

            ดิมคิดอะไรอยู่กันแน่  แล้วเหตุการณ์ภายในห้องน้ำเมื่อครู่นี้  มันเกิดอะไรขึ้น  ต้องเป็นอะไรสักอย่างที่ทำให้เตเกิดอาการขึ้นมาได้ .....เรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจ....สภาวะที่ทำให้รู้สึกกดดันถึงขีดสุด?

          “เมื่อกี้ในห้องน้ำนั่น ดิมได้คุยอะไรกับคุณเตหรือเปล่า”  เขาตัดสินใจถามตรงๆ

            คนขับที่สวมแว่นกันแดดสีดำบดบังแววตามิดชิด เห็นเพียงมุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อยเงียบไปครู่แล้วก็ตอบกลับมา

            “ไม่ได้พูดอะไร”

          “แล้วตอนนั้นคุณเตปกติดีไหม”

            “ก็ปกติดีนี่”  เขานึกถึงใบหน้าแดงซ่านยามที่ถูกเขาสัมผัส  คิ้วเรียวขมวดมุ่นขณะพยายามเบี่ยงตัวหนีริมฝีปากของเขา   ทว่าหนีเท่าไหร่ก็หนีไม่พ้น

            “เหรอ....ถ้างั้นก็ไม่รู้ว่าอาการของคุณเตเกิดจากอะไรกันแน่  เห้อ...แล้วก็มาไข้ขึ้นอีก”

          “รันเป็นห่วงมากก็กลับไปพาเขาไปโรงพยาบาลสิ”

          “เอ๊ะ  ดิมจะมารวนเราทำไม  รันว่ามันก็เป็นน้ำใจมั้ย  นี่เผลอๆคุณเตก็ไม่ได้ไปโรงพยาบาลหรอก  คงจะหาซื้อยากินเองนั่นแหละ  รันล่ะกลัวว่าจะเป็นอะไรหนักขึ้นมาทีหลังจะลำบาก  แถวนั้นไม่มีโรงพยาบาลใหญ่เลยด้วย”

          “คุณก็พูดซะเวอร์  คุณเตนั่นอายุเกินยี่สิบมาหลายปีแล้วนะครับ  ไม่ใช่อายุสองขวบแปดเดือนอย่างคนไข้เบบี๋ของคุณเสียหน่อย  เป็นไข้แค่นี้ ไม่ทำให้ถึงกับตายหรอกน่ะ  เดี๋ยวถ้าเป็นอะไรมาก เจ้านายเขาก็ดูแลกันเองแหละ”

            คนฟังเงียบไป  ไม่พูดอะไรอีก  ส่วนคนพูด พูดจบก็กลับนึกกังวลขึ้นมาแทน  ครุ่นคิดตามคำพูดของคนรัก...จริงด้วยนะ  แถวนั้นไม่มีโรงพยาบาลเลย   แล้วเกิดอาการหนักขึ้นมาล่ะจะทำอย่างไร  เจ้าเด็กนั่นยิ่งเป็นพวกดื้อ ไม่ยอมกินยาอยู่ด้วย  แถมกลัวการไปโรงพยาบาลอย่างกับอะไรดี   ถ้ามันเป็นอย่างที่รันพูดล่ะ

            ถึงจะเป็นผู้ใหญ่แล้วก็เถอะ  ก็ถ้าเกิดติดเชื้อ ไข้ขึ้นสูงมากๆ มันก็ช็อคได้เหมือนกันนี่หว่า...

            รดิศคิดอย่างว้าวุ่นไปตลอดทางจนกระทั่งถึงโรงพยาบาล  ร่ำลาคนรักเสร็จ   วิรัลแยกกลับไปเอารถขับกลับบ้านไปแล้ว  แต่เขายังคงนั่งอยู่หลังพวงมาลัยคนขับ

            มองไปที่ประตูกระจกของโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำนิ่งๆ  นาฬิกาข้อมือบอกว่า ถึงเวลาที่เขาจะต้องเข้าไปเตรียมตัวผ่าตัดแล้ว

            นั่งอยู่ในความเงียบครู่ใหญ่  รดิศก็ตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดโทรหาแพทย์รุ่นน้องที่จะเข้าช่วยเขาผ่าตัด

            “ฮัลโหล  ผมรดิศเองนะ...ขอเลื่อนเคสไปวันพรุ่งนี้ก่อน  ไม่เร่งด่วนอะไรไม่ใช่หรือ  ใช่...แทรกเอาไว้ช่วงบ่ายวันพรุ่งนี้ก็ได้   ผมติดธุระด่วนจริงๆ ผ่าไม่ได้....”

          พูดกับรุ่นน้องอีกสองสามคำจนเข้าใจตรงกัน ก็วางสาย  ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ขณะที่ถอยรถออกมาจากที่จอดรถเพื่อขับย้อนทางเดิมกลับไป

            บอกตัวเองว่าที่ทำลงไปทั้งหมดเพราะว่าเขารู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุ ให้อีกฝ่ายต้องเกิดอาการนู่นนี่นั่นหรอกนะ  มโนธรรมในใจล้วนๆ ไม่มีความรู้สึกอื่นใดเกี่ยวข้อง

            เพราะเขาไม่ใช่พวกใจคอโหดร้ายอำมหิตอย่างฝ่ายนั้น ที่ปล่อยคนเจ็บนอนจมกองเลือดได้ตะหากล่ะ

            ***********************

          “ฮัลโหล  เต...เป็นอะไรไป  พี่เพิ่งรู้จากเพื่อนนายว่าวันนี้ไม่มาเรียน  เป็นอะไรหรือเปล่า” เขายืนอยู่ที่ใต้หอพักของแฟน  ความจริงเป็นเวลาที่เขาควรจะอยู่ในห้องเลคเชอร์แล้ว  แต่บังเอิญเจอเพื่อนของอีกฝ่ายเข้า เลยรู้ว่าตั้งเตไม่มาเรียน  แต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร

          เป็นห่วงจนทนเรียนต่อไม่ไหว เลยโดดเลคเชอร์ออกมากลางคัน ขึ้นรถเมล์มาหอของน้องเพื่อดูให้ชัดว่าเป็นอะไรกันแน่

          “ไม่สบายนิดหน่อยน่ะพี่ดิม  ไม่ต้องเป็นห่วง....เอ๊ะ  นี่พี่ควรจะเรียนอยู่ไม่ใช่เหรอ”  เสียงแหบตอบกลับมา และเปลี่ยนเป็นสูงขึ้นเล็กน้อย  เขาเผลอทำคอหดลงนิดหน่อย  ตอบกลับเสียงหวาน

          “ก็พี่เป็นห่วงเรานี่  ขอพี่ขึ้นไปดูหน่อยได้ไหม”

          “ก็ได้  แล้วต้องรีบกลับไปเรียนนะ”  ตั้งเตอนุญาต แต่ไม่วายกำชับราวกับเป็นคนที่เรียนหมอเสียเอง...เตเป็นแบบนี้เสมอ  เห็นเรื่องเรียนของเขาสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด

          เขาขึ้นบันไดมายังชั้น 3 หยุดยืนที่หน้าห้องของแฟนที่จำหมายเลขห้องได้ดี แม้ว่าจะเคยมาแค่ 2 ครั้งเท่านั้น เพราะส่วนใหญ่เตจะเป็นฝ่ายไปหาเขาที่หอเองมากกว่า  และเตก็ไม่ค่อยอนุญาตให้ใคร แม้แต่คนรักเข้าไปในห้องด้วยถ้าไม่จำเป็น...คงเป็นอาการของพวกโลกส่วนตัวสูงที่บางทีเขาก็เข้าไม่ถึง

          เขาเคาะประตูห้องเบาๆ  ครู่หนึ่งประตูก็เปิดออก  ใบหน้าเล็กๆแดงก่ำด้วยพิษไข้โผล่ออกมาแวบหนึ่งแล้วก็ลับหายเข้าไปในห้อง  เขาเดินตามเข้าไป ปิดประตูตามหลัง

          ภายในห้องขนาดเล็กที่เตอาศัยอยู่กับน้องชาย ตกแต่งด้วยโทนสีฟ้าอ่อนสดใส สมบุคลิกของเจ้าตัว  มีตุ๊กตาโดเรม่อนวางเอาไว้ตามมุมต่างๆ ของทุกอย่างจัดวางอย่างเรียบร้อย เป็นระเบียบราวกับห้องของผู้หญิง

          เจ้าของห้องกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงเดี่ยวสองชั้น เดาเอาว่าชั้นบนคงจะเป็นของน้องชาย  รอบตัวมีม้วนทิชชูวางอยู่ รวมถึงซองยา และแก้วน้ำเปล่า

          “เป็นยังไงบ้าง  ตัวร้อนจัง  กินยาไปหรือยัง”  เขาตรงเข้าไปทรุดตัวลงนั่งข้างๆ  ยกมือขึ้นอังหน้าผากรู้สึกได้ถึงไอร้อนที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวของฝ่ายนั้น

          ตั้งเตยิ้มให้เซียวๆ  ตาแดงๆ

          “กินแล้ว”  ตอบอู้อี้ แล้วก็หันไปคว้าทิชชู่ขึ้นมาสั่งน้ำมูกอีกครั้ง

          “กินไปเมื่อไหร่”  เขาซัก  ฝ่ายนั้นอึกอักทันที มองนาฬิกาแวบหนึ่ง

          “สัก....สองสามชั่วโมงก่อน”

          “เอาความจริง”

          “ก็..ประมาณ ตีสอง”  เตตอบอ้อมแอ้ม

          เขาคำนวณเวลาอยู่อึดใจ  ก็คว้าซองยาขึ้นมาเลือก แกะเอาเม็ดยาออกมาวางเรียงเอาไว้เต็มฝ่ามือ

          “เอ้า  กินเดี๋ยวนี้  กินให้เห็นตอนนี้ล่ะ”

          เด็กหัวหยิกหยองหยิบเม็ดยาขึ้นมาจากมือเขาอย่างเสียไม่ได้  ดิมหันไปเทน้ำส่งให้   ฝ่ายนั้นนั่งเพ่งกสิณไปที่เม็ดยาอยู่ครู่ใหญ่ ไม่ยอมกินเข้าไปเสียที

          “กินสิครับคุณตั้งเต ไม่กินยามันจะหายไหมล่ะ”  เขาดุ

          “จริงๆมันก็เริ่มดีขึ้นแล้ว”  เตตอบเสียงอ่อย จ้องไปที่เม็ดยาเหล่านั้นแล้วก็กลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดๆ

          “จะกินดีๆ หรือว่าจะให้พี่ป้อน....แต่พี่ป้อนด้วยปากนะเตือนไว้ก่อน” เขาขู่  ได้ผลเพราะฝ่ายนั้นทำตาโต รีบรับแก้วน้ำจากเขาไปถือเอาไว้  กลั้นใจส่งยาเม็ดแรกเข้าไปปากแล้วกลืนน้ำลงคอ ท่าทางยากลำบากจนอีกฝ่ายเหนื่อยแทน

          “เร็ว อีกสองเม็ดเอง”  เตถอนหายใจนิดหน่อย ก่อนจะหยิบเม็ดที่เหลือขึ้นมาส่งเข้าปากอย่างไม่เต็มใจ  หลังจากกลืนลงคอไปได้สำเร็จก็ถอนหายใจยาวทั้งคนกินและคนที่จับตามองอยู่

          “อ้าปากซิ”

          “โธ่  กลืนลงไปแล้วน่า  ขมติดลิ้นเลยอ่ะ อี๋”  ว่าแล้วก็หยิบน้ำขึ้นดื่มอีกหลายอึก

          “อายุเท่าไหร่แล้วเราน่ะ   แล้วนี่เป็นยังไงบ้าง  ทำไมไม่สบายไม่บอกพี่  นี่ถ้าพี่ไม่บังเอิญเจอดีดี้พี่จะรู้ไหม”

          “ก็ผมไม่อยากให้พี่เป็นห่วง  เออ จริงสิ  พี่กลับไปเรียนตอนนี้ทันไหม   ผมไม่เป็นไรหรอก กินยาแล้วเดี๋ยวก็หาย”

          “กลับไปไม่ทันหรอก  ไม่เป็นไรฝากเพื่อนจดให้แล้ว  ว่าแต่นายเถอะ  ป่วยอยู่ในห้องคนเดียวแบบนี้ พี่ไม่สบายใจเลย  ไปหาหมอดีกว่ามั้ย”

          “พี่ก็เป็นหมอไม่ใช่เหรอ พี่ก็ตรวจผมสิ  ไม่ต้องไปรพ.หรอก”

          “ฉันเป็นแค่นักศึกษาแพทย์โว้ย  ปี 3 เองด้วย ยังไม่ขึ้นคลินิกเสียหน่อย จะตรวจได้ยังไงเล่า  เอาอย่างนี้ ถ้าอีกสักพักไข้นายไม่ลดลงต้องไปรพ.กับพี่นะ”

          อีกฝ่ายพยักหน้าเรียบๆ เขาเขยิบให้เตล้มตัวลงนอน ห่มผ้าห่มคลุมให้เรียบร้อย  หยิบถุงขนมขบเคี้ยวออกจากข้างตัวของฝ่ายนั้น

          “ป่วยยังจะกินขนมอีก  มันแห้งรู้มั้ยมันจะทำให้ไอ  เออ ไอ้เด็กคนนี้นี่มันรู้เรื่องอะไรกับเค้าไหมเนี่ย” เตหน้าม่อยลงเล็กน้อย รีบหลับตาปี๋  ดิมหัวเราะเบาๆ

          ช่วยเก็บข้าวของจนเรียบร้อยก็กลับมานั่งข้างเตียง  จับตัวน้องดูเห็นยังร้อนอยู่....คงต้องเช็ดตัวลดไข้

          มองซ้ายขวา เห็นกะละมังวางเอาไว้ ก็ไปค้นหาผ้าขนหนูมาได้ผืนหนึ่ง  ยกกะละมังใส่น้ำมาวางข้างตัวคนป่วย

          “เต...เดี๋ยวพี่เช็ดตัวให้นะ  ได้ไข้ลดเร็วๆ”

          “อืม”  อีกฝ่ายพึมพำแล้วก็หลับตา

          เขาจึงลงมือเช็ดตัวตามหลักที่ร่ำเรียนมา(แต่ในตำรา)  ความจริงแล้วเขาไม่เคยเช็ดตัวให้ใครมาก่อนเลยในชีวิตนี้ ลูบผ้าขนหนูบิดหมาดๆไปตามใบหน้า   ลงมาที่หยุดพักที่ซอกคอ  ไล่ไปถึงท่อนแขนเรียว ย้อนกลับเข้าหาหัวใจเพื่อเปิดรูขุมขน  จะได้ระบายความร้อนได้ดี  หยุดพักที่ข้อพับครู่หนึ่ง

          ....เอาไงต่อดีล่ะ...เช็ดตัวมันก็ต้องถอดเสื้อสิจริงไหม?....

          เผลอยิ้มออกมานิดหนึ่ง โชคดีที่อีกฝ่ายหลับตาอยู่เลยไม่เห็น  เอื้อมมือไปแกะกระดุมเม็ดแรกที่ยอดอกของอีกฝ่ายช้าๆ  กระดุมหลุดออก เผยให้เห็นผิวขาวนวลเนียนชวนหัวใจเต้น

          ดิมเอื้อมมือไปแตะที่กระดุมเม็ดที่สอง  ยังไม่ทันได้แกะ  มือเรียวร้อนผะผ่าวก็คว้าหมับเข้าที่ข้อมือของเขา

          “ทำอะไรน่ะ”  เตรู้ตัวเสียแล้วสิ

          “พี่จะเช็ดตัวให้ไง”  เขาแก้ตัวเสียงอ่อย  สายตาของอีกฝ่ายบอกชัดว่าไม่เชื่อเลยสักนิด

          “ไม่เป็นไร  แค่นี้พอแล้ว  ขอบคุณมากครับ”  แววตารู้ทันของเตทำให้อีกฝ่ายจ๋อย  ลุกขึ้นมาเอากะละมังไปเก็บ  สักพักก็กลับมานั่งพิงที่เดิม    ลมจากหน้าต่างพัดเข้ามาเบาๆ  บรรยากาศภายในห้องเงียบสงบจนเขาอยากจะทำอะไรสักอย่าง....

          “พี่ดิม...พี่ดิมตื่นหน่อย”

          นักศึกษาแพทย์ปี 3 สะดุ้งพรวด ลุกขึ้นมานั่งอย่างตกใจ  กวาดสายตามองไปรอบห้องเห็นเจ้าของห้องนอนอยู่บนเตียง  ใบหน้าซีดเซียวหันมาทางเขา

          “เป็นอะไรเต  โทษทีพี่เผลอหลับไป”

          “ผมรู้สึกคลื่นไส้อ่ะพี่  เหมือนจะอ้วก”  สิ้นสุดคำว่าอ้วกเท่านั้น  เจ้าตัวก็อาเจียนออกมาทันที  ดิมหันไปคว้าถุงพลาสติกมาส่งให้แต่ไม่ทัน  เปื้อนที่นอนไปนิดหนึ่ง

          ตั้งเตก้มหน้าลงอาเจียนอยู่ครู่ใหญ่ เขาเอื้อมมือไปลูบหลังเบาๆ  รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายยังตัวร้อนผ่าวอยู่  ยิ่งพออาเจียนออกมา  ใบหน้าก็ยิ่งซีดเซียวมากขึ้นกว่าเดิม

          “เต  พี่ว่าไปโรงพยาบาลดีกว่านะ  ไข้ไม่ลดเลย แถมอาเจียนด้วย”

          “อ้วกไปแล้ว เดี๋ยวก็หาย”

          “ความเชื่อที่ไหนกันเล่า โธ่  ไปโรงพยาบาลเหอะ  ให้หมอเขาดูหน่อย”  เขาคะยั้นคะยอ  อีกฝ่ายส่ายหัว

          “ไม่ไป  นอนนี่แหละ”  พูดจบก็ล้มตัวลงนอนอีก  ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมถึงคอ

          “ตั้งเต ไปเหอะน่า อย่าดื้อได้มั้ย แค่ไปโรงพยาบาลเอง  เป็นอะไรก็ไม่รู้...เอ๊ะ  หรือว่า...จะท้อง”

          “บ้า!”  คนป่วยเขวี้ยงหมอนข้างใส่เขา

          “ล้อเล่นน่า  ไปเถอะ  เร็ว  นับหนึ่งถึงสาม  ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้  ไม่งั้นพี่จะอุ้มไปนะ”  เขาขู่  อีกฝ่ายยกผ้าห่มขึ้นคลุมโปงเฉย  ทำเป็นไม่สนใจ

          “หนึ่ง....สอง...สะ”  เขาพูดพลางขยับเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้นเรื่อยๆ

          ไม่ทันสาม  เตก็ลดผ้าห่มลงมา  ขยับลุกขึ้นเอง ทำหน้าบึ้งใส่เขา

          “ไปก็ได้  แค่นี้ไม่เห็นจะต้องขู่กันเลย”

          ตวัดเสียงใส่นิดหนึ่ง  ดิมหัวเราะ  เข้าไปช่วยพยุงตัวลุกขึ้นยืน

          หลังจากนั้นเขาก็ต้องทั้งขู่ทั้งปลอบไปตลอดทาง กว่าจะพาคนป่วยไปถึงโรงพยาบาลได้ เพราะเจ้าตัวจะกลับท่าเดียว   แถมพอหมอบอกให้นอนรพ. 1 คืน ก็ไม่ยอมนอน ต่อรองกับหมอจนเหลือแค่ฉีดยาเข็มเดียวแล้วกลับบ้าน

         อิดเอื้อนอยู่นาน กว่าจะยอมฉีด เล่นเอาทั้งคนพามาทั้งหมอพยาบาลเหนื่อยไปตามๆกัน 

          “กลัวหมอกลัวรพ. กินยาก็ยากแบบนี้ ไม่สมเป็นแฟนหมอเลยนะ”

          “ว่าที่หมอตะหากล่ะ ไข้หวัดธรรมดาแค่นี้  ทำไมรักษาไม่ได้ฮึ  ไม่เห็นต้องถ่อมารพ.ให้เสียตังค์เลย”

          “แหม  รักษาอ่ะมันได้  ง่ายจะตาย  ก็นอนพักก็หายเองแหละ  แต่ที่อยากให้มาเพราะเป็นห่วงไง  กลัวเป็นอะไรขึ้นมา   พี่ไม่แย่เลยเหรอ”

          “ถ้าผมเป็นอะไรขึ้นมา มันก็ตัวผมเองนี่ พี่ไม่เกี่ยวซักหน่อย”

          “ไม่เกี่ยวได้ไง  ก็นายเป็นหัวใจพี่เลยนะ  ถ้าหัวใจเป็นอะไรขึ้นมา  พี่จะอยู่ยังไงอ่ะ ก็ตายอ่ะดิ”

          “อี๋ เสี่ยวสุดๆ”  เตย่นหน้า  ใบหน้าซีดเซียวเริ่มมีสีเลือดขึ้นมาบ้าง 

          “เสี่ยวแล้วรักไหมล่ะ”

          “ไม่...รักก็บ้าแล้ว  ฮ่าๆ  ขอบคุณนะครับ พี่ดิมที่ดูแลผม”  เจ้าตัวเข้ามากอดแขนของเขาเอาไว้  ซบหน้าลงกับหัวไหล่ของเขา ทำเอาคนถูกอ้อนใจเต้นแรงอย่างไม่ทันตั้งตัว

          “ไม่ดูแลนาย แล้วจะไปดูแลใครล่ะ  ก็บอกแล้วไงว่านายเป็นหัวใจของพี่เลยนะ พี่ก็ต้องดูแลให้ดีสิ” เขายกมือขึ้นลูบศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมหยิกสลวยนั้นเบาๆ

          “งั้นพี่เป็นหมอหัวใจเลยดีไหม จะได้ดูแลผมได้ดีๆไงล่ะ”  เตพูดแกมหัวเราะ

          “หมอหัวใจเหรอ  หึๆ  ไอเดียดีแฮะ  ตกลง พี่จะเป็นหมอหัวใจที่เก่งที่สุดในโลกเลยดีไหม จะได้ดูแลนายได้ดีที่สุดไง”

          “ขี้โม้ชะมัด  เอาปีสามให้ผ่านไปแบบสวยๆก่อนเหอะ”  ตั้งเตย่นจมูกใส่

          “โธ่  อย่าเอาความจริงอันโหดร้ายมาพูดสิ กำลังฝันเลย....เออ  เตรู้ไหมว่า เรียนผ่าหัวใจน่ะยากที่สุดเลยนะ  รู้มั้ยทำไม”

          “ทำไมเหรอ”  เด็กหนุ่มหันมาถามอย่างสนใจ  เขากลั้นยิ้มอยู่ในหน้า ตอบกลับไปอย่างจริงจัง

          “เพราะตัดใจมันยากไงล่ะ” 

          เตนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ยกมือขึ้นทุบไหล่เขาแรงๆ   ดิมหัวเราะออกมาดังๆ  จูงมือเด็กน้อยของเขาเดินเข้าไปส่งในหอ

          เห็นเตยิ้มได้ ทุบเขาไหวก็โล่งอกโล่งใจ กลับบ้านนอนหลับได้แล้วล่ะ



            ********************

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-01-2017 22:58:51 โดย ็Hollyk »

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
ต่อนะคะ



            ชายหนุ่มนอนมองเพดานห้องอยู่นานแล้ว  ถึงแม้ว่าเขาจะปวดศีรษะมากจนเหมือนมันจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แต่ว่าเขากลับไม่สามารถหลับตาลงได้เลยแม้สักวินาทีเดียว

            เพราะภาพใบหน้าคมเข้มของผู้ชายคนนั้นยังติดตา   คำพูดทุกถ้อยคำที่ได้ยินยังแว่วอยู่ริมหูซ้ำไปซ้ำมา 

            ....พี่ดิมจำเราได้  เขาไม่เคยลืมเราเลยสินะ   เป็นความผิดของเราเองที่ทิ้งพี่เขาไปแบบนั้น   แต่มันก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนั้นไม่ใช่หรืออย่างไร    เราเคยสัญญากับตัวเองไปแล้วไม่ใช่หรือ  ว่าจะไม่มีวันเสียใจกับสิ่งที่ตัดสินใจไปแล้ว....ใช่  เราเคยคิดแบบนั้น  สุดท้ายมันก็เป็นแค่ความคิดแบบเด็กๆที่ไม่เคยรู้จักความผิดหวังและทรมานจากความรักมาก่อน  จนกระทั่งได้ลิ้มรสชาติมันเข้าอย่างสาแก่ใจ

            เมื่อหลายปีก่อน เขาเคยคิดง่ายๆว่าจะสามารถตัดใจจากผู้ชายคนที่เป็นรักครั้งแรกได้  คงจะใช้เวลาไม่นานที่เขาจะลืมเรื่องราวระหว่างกันและกันหมดสิ้น  ทว่าความจริงมันตรงข้าม  นอกจากลืมไม่ได้สักเรื่องเดียวแล้ว  กลับยังโหยหา ทั้งอาลัยอาวรณ์อยากย้อนเวลากลับไปแก้ไขใหม่

            ใช้เวลานานหลายปี กว่าไฟในใจจะเริ่มมอดลงบ้าง  กว่าจะพอทำใจได้ว่า เรื่องที่ผ่านมาแล้วเป็นเพียงอดีตก็นานโข  แล้วเคราะห์กรรมอะไรทำให้พวกเขาต้องกลับมาเจอกันอีก

            เหมือนตะกอนที่นอนก้นถูกกวนขึ้นมาลอยฟุ้งอีกครั้ง

            ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาดีใจ...ดีใจมากที่อีกฝ่ายยังจำเขาได้อยู่   ก่อนหน้านี้ถึงจะบอกตัวเองว่าดีแล้วที่พี่ดิมลืมเรื่องทั้งหมดไปเสีย จะได้ไม่เสียใจ  แต่เขารู้ตัวดีว่าเป็นการหลอกตัวเอง   ลึกๆแล้วเขาอยากให้พี่ดิมจำได้   ไม่มีใครอยากให้คนรักลืมตัวเองหรอก  ต่อให้เป็นคนเคยรักก็เถอะ

            แม้ว่าพี่ดิมจะยังโกรธเขาอยู่  แต่เชื่อว่าถ้าเขาได้อธิบายให้ฟังถึงเหตุผลทั้งหมดแล้ว  ฝ่ายนั้นจะต้องเข้าใจ และก็ยกโทษให้เขา  เพราะสิ่งที่เขาทำลงไป  ไม่ได้เพื่อตัวเองเลย  แต่เพื่อคนที่เขารักทั้งสองคน

            คงถึงเวลาที่จะต้องเล่าเรื่องทั้งหมดให้พี่ดิมฟังแล้วล่ะ  ไม่คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะต้องกลับมารักกันเหมือนเดิม  เพราะมันคงเป็นไปไม่ได้แล้ว  เค้ามีคนรักที่สมบูรณ์แบบ  ส่วนเขาก็มีครอบครัวที่อบอุ่น   เรื่องรักใคร่คงเหลือเป็นแค่ความทรงจำ  ตอนนี้เขาจะเปลี่ยนความโกรธเคืองของพี่ดิมให้กลายเป็นความเข้าใจและให้อภัย  หลังจากนั้นเราก็จะจากกันแบบดีๆ  ไม่เหมือนหลายปีก่อนที่เต็มไปด้วยคราบเลือดและหยาดน้ำตา

            รอให้กลับกรุงเทพฯก่อน  เขาจะไปหา  ไปอธิบายให้เค้าคนนั้นฟัง

            ชายหนุ่มกลั้นใจหลับตาลงอีกครั้ง   ทว่าเสียงเคาะประตูดังขึ้นเสียก่อน

..................................................................................

..................



          นายแพทย์รดิศแอบมองผ่านประตูเข้าไปภายในห้องจัดเลี้ยงของโรงแรม ครู่หนึ่งก็มองเห็นร่างสูงโดดเด่นของเจ้านายของเตยืนอยู่กลางวงล้อมของสาวสวยหลายคน  ท่าทางกำลังพูดคุยกันอยู่สนุกสนานติดพัน

            กวาดตาไปรอบๆ ไม่ยักเห็นร่างโปร่งบางของใครอีกคนที่ทำหน้าที่ล่าม   เขาจึงทำทีจะเดินเข้างาน  ติดที่พนักงานที่อยู่ที่โต๊ะข้างหน้าห้องจัดงานร้องถามเสียก่อน

            “เชิญลงทะเบียนก่อนนะคะ คุณ  ขอบัตรเชิญด้วยค่ะ”

          “ผม...จะขอพบคนในงานหน่อยครับ  ธุระสำคัญ”  ชายหนุ่มหน้าเข้มหันไปตอบอย่างสุภาพ

            “ขอพบคุณอะไรคะ”

            “คุณติณธรครับ  ตำแหน่งล่ามของบริษัท...เอ่อ.. ของคุณภาคย์น่ะครับ”  ดิมลืมชื่อบริษัทของไอ้หมอนั่นเสียสนิท  โชคดีที่พนักงานต้อนรับสาวสวยดูเหมือนจะรู้จัก

            “อ๋อ  ใช่คุณเตหรือเปล่าคะ”

            “ใช่ครับ  นั่นแหละ”  เขารีบพูด  นึกสงสัยนิดหน่อยว่าสาวตรงหน้าไปรู้จักมักจี่กับผู้ชายคนนั้นขนาดเรียกชื่อเล่นกันอย่างคุ้นเคยเช่นนี้ได้อย่างไร

            “คุณเตไม่ได้มาร่วมงานเลี้ยงค่ะ”

          “อ้าว  ทำไมล่ะครับ”  เขาแกล้งถาม

            “ดิฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ”  เธอปฏิเสธ  ชายหนุ่มจึงขอบคุณเธออย่างสุภาพแล้วเดินแยกจากมา   ระหว่างทางก็ครุ่นคิดไปด้วย

            ...ไม่ลงมาเพราะอะไร  เพราะป่วยหนักลงมาไม่ไหวใช่ไหม  เฮอะ...นึกถึงท่าทางยิ้มระรื่นท่ามกลางสาวๆของเจ้านายหน้าตี๋ในห้องจัดเลี้ยงนั่น   นี่ถ้าตั้งเตนอนซมอยู่จริงๆอย่างที่คิดล่ะก็ เขาจะหัวเราะด้วยความสมน้ำหน้าให้ฟันหักกันไปข้างเลย...

            ขึ้นลิฟต์มาจนถึงชั้นที่นักเขียนหนุ่มพักอยู่  เดินตรงดิ่งไปหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องพักของฝ่ายนั้น  เคาะประตูดังๆอย่างไม่ลังเล   ครู่เดียวประตูก็เปิดออก

            ใบหน้าเรียวแดงก่ำด้วยพิษไข้โผล่ออกมา  มองหน้าเขานิ่งค้างราวกับงงงันแล้วยกมือขึ้นขยี้ตาแดงฉ่ำแรงๆ

            “พี่ดิม?”

          “ใช่  ผมเอง  ขอเข้าไปหน่อย”  ชายหนุ่มพูด แล้วเอามือดันบานประตูให้เปิดออกแล้วก้าวเข้าไปภายในห้องพักห้องเดิม   เจ้าของห้องมองตาม ท่าทางมึนๆงงๆ สายตาจับจ้องมาที่เขามีทั้งความสงสัยและหวาดระแวง ทว่ามีความดีใจแฝงอยู่ด้วย

            ดิมกวาดตามองร่างที่อยู่ในชุดนอนคลุมด้วยผ้าห่มอีกชั้น  ผมหยิกยุ่งเหยิงล้อมกรอบใบหน้าเซียว ปากแดงเผยอนิดๆเพื่อหอบหายใจ  เจ้าตัวถอยไปนั่งบนเตียงกลางห้อง  สูดน้ำมูกฟืดฟาด ...เหอะ  ไข้ขึ้นเสียงอม

            “ไปหาหมอมารึยัง”  เขาถามเรียบๆ

            “ยัง”  ตอบสั้นๆ แล้วหลบตาเขาไปทางอื่น

            “แล้วกินยาอะไรไปบ้าง”

          “พาราฯ”  คนฟังเลิกคิ้ว  เอื้อมมือไปหยิบซองยาที่โต๊ะหัวเตียงขึ้นมาดู  เห็นเม็ดยาที่ถูกหักเหลือเอาไว้ครึ่งหนึ่งสอดอยู่ในห่อลวกๆก็นึกรู้ได้ทันที ว่าอีกฝ่ายคงจะกินเข้าไปแค่ครึ่งเม็ด ตามนิสัยกินยายากเป็นแน่

            “กินไปเท่าไหร่”

            “ครึ่งเม็ด...ก็มันไม่ได้เป็นไรมาก”  อีกฝ่ายอ้อมแอ้ม

          “ต้องให้บอกกี่รอบว่าถ้ากินไม่ครบโดส ก็เหมือนไม่ได้กินนั่นแหละ”

            “ก็มัน...ฮึ”  ขยับปากเหมือนจะเถียง แต่สุดท้ายก็พ่นลมออกมา  หันไปทางอื่น 

            “ทำไมไม่ยอมไปหาหมอ  หรือว่าเขาไม่พาไป”   รดิศเดินเข้าไปทรุดตัวลงนั่งข้างๆอีกฝ่าย  น้ำหนักตัวทำให้เตียงยวบลงเล็กน้อย  คนป่วยดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมถึงคอ 

            “ผมไม่ได้เป็นอะไรมากขนาดนั้น”  เตตอบ เสียงแหบแห้ง  คนฟังถอนหายใจออกมาแรงๆ  ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ดึงโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดฟังก์ชั่นไฟฉาย สั่งเรียบๆ

            “อ้าปาก”

            “............” 

            เตไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ว่าเหตุใดจึงยอมอ้าปากให้ฝ่ายนั้นส่องไฟตรวจคอให้แต่โดยดี คงเป็นเพราะมาดคุณหมอจอมโหดที่ฝ่ายนั้นแสดงอยู่อย่างแนบเนียนกระมัง

            ดิมลดไฟลง  ยกมือขึ้นจับที่ข้อมือของเขา  เตตกใจจะดึงมือกลับ แต่ถูกมือแข็งแรงยึดเอาไว้มั่น

            “จับชีพจร  อยู่นิ่งๆ”  พูดเสียงดุใส่ แล้วก็ก้มลงมองนาฬิกา

            ติณธรจับตามองคุณหมออยู่เงียบๆ....พี่ดิมจะรู้หรือเปล่า ว่าหัวใจของเขามันเต้นเร็วขึ้นกว่าเมื่อกี้มาก  ไม่ใช่เพราะพิษไข้หรอก  แต่เพราะฝีมือหมอตรวจอย่างใกล้ชิดนี่แหละ....ผ่านไปครู่หนึ่งอีกฝ่ายก็ปล่อยข้อมือของเขาเป็นอิสระ

            “มีปรอทไหม”  คนฟังส่ายหน้า

            คนตรวจถอนหายใจอีกรอบ ยกหลังมือขึ้นอังที่บริเวณหน้าผากและซอกคอ  กระแสเลือดวิ่งซู่ขึ้นมารวมกันที่ใบหน้าจนเตมั่นใจว่ามันคงจะแดงยิ่งกว่าก่อนตรวจแน่นอน

            “นอนพักบนนี้ก่อน  ผมจะลงไปซื้อยา”

            ศัลยแพทย์หนุ่มลุกขึ้นยืน พูดห้วนๆ  แล้วเดินกลับออกมาจากห้อง   คนป่วยมองตามหลังอย่างงงๆ  เขาไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่  พี่ดิมกลับมาจริงหรือว่าเขากำลังฝันไป?

          ถ้าอย่างนั้นจะทำแบบนี้เพื่ออะไรกันล่ะ  สายตาที่บอกว่าห่วงใย  สองมือที่สัมผัสอย่างอ่อนโยนแผ่วเบาคล้ายกลัวว่าเขาจะเจ็บ  ช่างตรงข้ามกับผู้ชายในห้องน้ำเมื่อตอนเช้าราวกับเป็นคนละคน  เตน้ำตาคลอโดยไม่รู้ตัว  ไม่รู้เลยว่าคนที่ก้าวเข้าไปในร้านขายยา สั่งซื้อยาที่ต้องการเรียบร้อยแล้วกลับเข้ามาในลิฟต์นั้น กำลังถามตัวเองอยู่เช่นกัน

            ...นี่เรากำลังทำบ้าอะไรเนี่ย  แคนเซิลเคสผ่าตัดทั้งหมดเพื่อบึ่งรถกลับมาดูผู้ชายคนนั้นเนี่ยนะ   แถมลงมาซื้อยาให้ราวกับเป็นอะไรกันงั้นแหละ  ขนาดตอนรันป่วยเขายังไม่เคยทำให้ขนาดนี้เลยด้วยซ้ำ  อ้อ เพราะรันเป็นหมอ ดูแลตัวเองได้  ไม่เหมือนรายนี้ที่ขนาดกินพาราฯยังกินแค่ครึ่งเม็ดเลย

            ใช่  เพราะเขาเป็นหมอไง  จิตวิญญาณของคนในชุดกาวน์มันบังคับทำให้เขานิ่งดูดายเห็นคนป่วยไม่ได้  ต้องเข้ามาช่วยเหลือ   ใช่แล้ว  เพราะแบบนั้นนั่นเอง ... ประตูลิฟต์เปิดออก  เขาก้าวออกมา เดินไปตามทางเดิน  ชะงักเมื่อเห็นร่างสูงของเจ้านายหน้าตี๋ยืนอยู่หน้าห้องของเต

            เขาเห็นประตูห้องเปิดออก  ก่อนที่คนข้างในจะโผล่หน้าออกมา  พูดอะไรบางอย่างที่ทำให้อีกฝ่ายยกมือขึ้นลูบที่ซีกแก้มนั้นเบาๆ

คนแอบมองกำถุงยาในมือแน่น  เม้มปากจนแทบจะกลายเป็นเส้นตรง  ยืนมองผู้ชายสองคนนั้นถอยกลับเข้าไปภายในห้องเงียบๆ

รดิศกลับลงมาที่รถได้อย่างไร เจ้าตัวก็ไม่รู้เหมือนกัน  รู้แต่ว่าในหัวของเขามันขาวโพลน  ก้าวเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัยนิ่งๆครู่ใหญ่   เพิ่งนึกได้ว่าในมือยังกำถุงยาเอาไว้แน่น  เขาเขวี้ยงมันลงกับเบาะข้างๆ  ซองยาข้างในตกกระจายลงบนพื้นรถ  แต่เขาไม่สนใจ

เหอะ...มีคนดูแลอยู่แล้วนี่   นายมันโง่ ไม่รู้จักจำ นายดิม  เห็นหน้าซีดๆเข้าหน่อยก็ใจอ่อนตลอด  โธ่เว้ย! ชายหนุ่มฟาดมือลงกับพวงมาลัยแรงๆ ระบายอารมณ์หงุดหงิดพลุ่งพล่าน

เขารู้สึกพ่ายแพ้  รู้สึกพลาดที่ตัดสินใจกลับมา   ภาพที่เห็นเมื่อครู่นี้มันทำให้เขาโกรธตัวเอง   และอับอาย

ทั้งที่บอกตัวเองไม่รู้กี่รอบว่าเขาแค้นเด็กหนุ่มคนนั้น   เป็นความเคียดแค้นที่ไม่อาจให้อภัยได้  แต่ทุกครั้งที่เห็นหน้าของหมอนั่น เขาเป็นต้องลืมเรื่องราวต่างๆนานาที่ฝ่ายนั้นทำเอาไว้ทุกที  ขณะที่ตอนนั้นเขาเจ็บจะเป็นจะตาย  ฝ่ายนั้นก็แต่งงาน แฮปปี้มีความสุขดี  ขณะที่เขาบอกตัวเองว่าแค้นอีกฝ่ายที่ทิ้งเขาไว้อย่างโหดร้าย  แค้นจนไม่อยากเห็นหน้ากันอีกแล้ว  แต่ตัวเองกลับรีบบึ่งรถกลับมาหาเพราะเป็นห่วง  แถมฝ่ายนั้นก็ใช่ว่าจะมองเห็น   กลับมีคนดูแลอยู่แล้วแท้ๆ...มันน่าเจ็บใจนัก!

คุณหมอหนุ่มสตาร์ทรถแล้วขับปราดออกไปจากที่จอดรถอย่างเร็วด้วยความโมโห   ไม่ทันสังเกตเห็นว่ามีรถเก๋งที่วิ่งตรงมาด้วยความเร็วสูงไม่แพ้กัน  เสียงบีบแตรดังลั่น

รดิศหันกลับไปมองในวินาทีนั้น    ภาพสุดท้ายที่เห็นคือดวงไฟกลมๆหน้ารถสองดวงสาดแสงเข้ามาที่ตาทั้งสองข้างของเขาจนพร่าเบลอ  ตามด้วยเสียงดังโครมใหญ่  รู้สึกถึงแรงกระแทกอย่างแรงจนสะเทือนลึกเข้าไปถึงกระดูก  จากนั้นเขาก็ไม่รับรู้อะไรอีก

...



มาต่อจนจบตอนค่ะ  ขอบคุณมากนะคะที่ติดตามกันมา
เจอกันตอนหน้านะคะ   :mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-01-2017 11:27:37 โดย ็Hollyk »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5

ออฟไลน์ Duangjai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 658
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
หมอดิมเจออุบัติเหตุสองซ้ำสองซ้อน

จริงๆแล้วสงสารพี่ดิมมากกว่าน้องเตนะ

โดนบอกเลิก ถูกทิ้งตอนที่เจ็บตัว เจ็บทั้งตัวเจ็บทั้งใจ

ก้อไม่แปลกนะที่จะแค้นเต

อือออ. ทั้งรักทั้งแค้น

 :z3:   :z3:   :z3:   :z3:   :z3:

..

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
พี่ดิม!!!!!!!!!!!
จะเป็นอะไรมากไหมล่ะนั่น สงสารพี่หมอมากเลย

ต่างคนก็ต่างรักกัน //ตอนนี้พี่หมอเจ็บกว่าเตเยอะเลย อุบัติเหตุครั้งนี้จะพรากความทรงจำไปหมดเลยรึป่าวนะ ?

ออฟไลน์ เจเจจัง

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
คิดว่าเตคงมีเหตุผลที่ต้องเลิกกับหมอ น่าจะเพราะน้องชายทำผู้หญิงท้อง แล้วเตเลยต้องรับเป็นลูก แต่งงานในนาม แต่กำลังสงสัยว่าหมอรันอาจมีส่วนกับเรื่องนี้ด้วยหรือเป่ล่า ดูท่าหมอรันน่าจะชอบดิมมาตั้งแต่ตอนเป็นเพื่อนกันแล้ว

ออฟไลน์ myapril

  • Tomorrow
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-3
ความแค้นบดบังเหตุผลทุกอย่าง
ไม่ถามอะไรน้องเลย ทั้งรักทั้งแค้นสินะ

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
รถชนเพราะคนๆเดียวตั้ง 2 ครั้ง เป็นแมวเก้าชีวิตหรอ 55555 จะความจำเสื่อมจริงๆหรือแค่สีข้างถลอกล่ะ 555 อย่างนี้ละน๊าจะได้ฟังความจริงอยู่รำไร ไยต้องมาเจอแบบนี้ด้วย นกค่ะ!! 55 อ้าววแล้วจะเป็นไงต่อละเนี้ย ความทรงจำอันหอมหวานและขมขื่นเตดิมจะยังมีอยู่ไหม ก็หวังว่าคงไม่เป็นไรนะ ชนครั้งนี้ รอๆตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
   เพิ่งมาอ่านคับ สนุกมากๆ อ่านๆไปทำให้เกิดหลากหลายอารมณ์มากๆ ทั้งหวานจากอดีต ทั้งหงุดหงิดเตที่มีบุคคลิกเป็นผู้ชายที่อ่อนมากๆ และสะใจฉากพระเอกหึง หวงเตทั้งๆที่บอกตัวเองว่าเกลียดเตมากๆเพราะยังไม่รู้ความจริง เห้อออ หมอจะตายเพราะโกรธคนรักเก่านี่ล่ะมั้ง  รออ่านตอนต่อไปคับ อ่านแล้วสะใจตัวละครมากๆ

ออฟไลน์ milky way

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 495
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-1
พระเอก? โดนรถชนอีกละ หวังว่าคงจะไท่เป็นอะไรมากนะพี่
เต น่าจะมีอะไรในอดีตที่ทำให้ต้องทิ้งคนรักไป น่าสงสาร จนถึงปัจจุบัน แต่ทำไมทไม่ปฏิเสธเวลา โดนเจ้านายเจ้าชู้ใส่ ดูปล่อยชีวิตเกินไป อยากให้ เตสู้มากกว่านี้หน่อยนึง

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
สนุกมากกกกกกก
จัดเต็ม ครบทุกรสชาติ

ถ้ามันใช่ ก็ต้องเจอ คนที่ใช่
ถ้าไม่ใช่ ถึงจะเจอ ก็เมินหมาง
คนที่ใช่ กับไม่ใช่ ใจสวนทาง
ร้องครวญคราง ไม่ว่างเว้น เห็นคนรัก

ถูกใจ เอาไป +1 เลย
ขอบคุณฮับ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด