ต่อนะคะ
ติณธรมองหน้าคนพูดอย่างผิดหวัง นัยน์ตาแดงก่ำแต่ไม่มีน้ำตาสักหยด เขาบิดมือออกจนเป็นอิสระจากการเกาะกุมได้ในที่สุด แกะนาฬิกาเรือนนั้น กระชากมันออกจากข้อมืออย่างไม่ปรานีปราศรัย และเหวี่ยงมันลงที่พื้นอย่างแรง...ไม่มีความเสียดายอยู่เลยในการกระทำนั้น
นาฬิกากระทบพื้นหินอ่อนดังเกร้ง แล้วไถลนิดเดียวมาหยุดอยู่ที่ปลายเท้าของผู้เป็นเจ้าของห้อง
รดิศโกรธจัดยิ่งกว่าเดิม แต่เหนือกว่านั้นคือความรู้สึกวูบโหวงแปลกๆ แต่เขาไม่สนใจ จ้องหน้าอดีตคนรักที่ยืนหน้าซีดเผือดตรงหน้าเขม็ง
เตจ้องกลับ น้ำตาเริ่มคลอ พูดเสียงสั่น
“ผมน่าจะรู้ตั้งนานแล้วว่าคุณเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่พี่ดิมคนเดิมที่ผมรู้สึกผิดต่อเขา”
“ใครมันจะไปดีเลิศเหมือนเจ้านายรูปหล่อของคุณล่ะ ได้ทำงาน ‘พิเศษ’ ทุกสุดสัปดาห์ เงินเดือนคงจะงามสินะ เคยสนใจบ้างหรือเปล่าว่ามีใครเจ็บปวดกับการกระทำเลวๆของตัวเองบ้าง”
“คุณจะมายุ่งอะไรกับผมเรื่องนี้ หรือจะบอกว่าคุณเจ็บปวดที่เห็นผมไปไหนมาไหนกับใครเขา” ตั้งเตพูด มุมปากยกขึ้นนิดๆเป็นเชิงเยาะ ตรงข้ามกับในหัวใจที่เริ่มร่ำร้องว่า พอแล้ว...อยากออกไปจากที่นี่เหลือเกิน
คนฟังชะงักไปนิดหนึ่ง นิดเดียวเท่านั้นสำหรับการคิดใคร่ครวญถึงผลได้ผลเสีย รวมถึงอนาคตที่จะเกิดขึ้นซึ่งเกินกว่าที่เขาจะคาดการณ์ได้ ทว่าเขาไม่สนใจ บอกตัวเองว่า...ถึงเวลาที่เขาจะต้องเอาคืนบ้างแล้ว
...ขอโทษนะครับคุณแม่ รัน แต่ผมขอเวลาไม่นาน แค่สามอาทิตย์ก็พอ แล้วผมจะกลับไปเป็นคนใหม่ที่ไม่มีอะไรติดค้างอยู่กับผู้ชายคนนี้อีกแล้ว...ผมสัญญา
สำเนียงและแววตาตัดพ้อของอีกฝ่ายที่มองเห็นได้ชัดเจนทำให้รดิศยิ้มมุมปาก แทบสังเกตไม่เห็น แล้วตอบออกมาเสียงพร่าด้วยประโยคที่ทำให้อีกฝ่ายเงียบงัน
“ถ้าผมบอกว่าใช่ล่ะ คุณจะว่าอย่างไร”
เตมองหน้าคนพูดเหมือนเห็นผี ทั้งแปลกใจและตกใจ สับสนวุ่นวายกันไปหมด ยิ่งเห็นแววตาของอีกฝ่ายที่มองมาด้วยนัยน์ตาเศร้าสร้อยแกมตัดพ้อต่อว่าอย่างที่เขาเคยเห็นเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่เขาบอกเลิก ก็ยิ่งประหลาดใจเสียจนพูดไม่ออก
ความรู้สึกที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอย่างรวดเร็วในดวงดำขลับเรียวยาวคู่นั้นที่คุณหมอหนุ่มสังเกตอยู่อย่างไม่ยอมให้คลาดสายตา มีทั้งความสับสนวุ่นวายใจ และสิ่งหนึ่งที่แทรกอยู่อย่างลึกล้ำ ทว่าก็มองเห็นได้ก็คือความดีใจ
เตดีใจที่ได้ยินประโยคนี้จากเขางั้นหรือ?
วูบหนึ่งที่เขารู้สึกดีใจขึ้นมาเช่นกัน แต่สะกดเอาไว้ภายใต้สีหน้าเศร้าสลด เป็นความดีใจที่คนละความหมายของเตอย่างแน่นอน แม้ว่าจะมีที่มาจากเรื่องเดียวกันก็เถอะ
ไม่ปล่อยเวลาให้ตนเองใคร่ครวญซ้ำสอง คุณหมอหนุ่มตัดสินใจทำสิ่งที่ตนเองเคยคิดเอาไว้ ..ถ้าเตยังรักเขาอยู่ บางทีเราอาจจะ...
“เต...พี่ไม่เคยลืมนายเลยนะ”
ประโยคเดียวที่ทำเอาสะเทือนไปทั้งหัวใจ เหมือนมีใครมาจับตัวเขาเขย่าแรงๆจนหัวสั่นคลอน เตยืนมองคนพูดอย่างงุนงง เขาไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น เมื่อครู่นี้อีกฝ่ายยังทำท่าเหมือนโกรธเขามาจากชาติปางก่อนอยู่เลย แต่ตอนนี้นัยน์ตาคมหวานคู่นั้นกลับมองมาที่เขาอย่างอ่อนเศร้า
“พี่ดิม..?” เรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างไม่มีความหมาย พี่ดิมขยับเข้ามาใกล้เขาอีกก้าวหนึ่ง
“ความจริงแล้ว สิ่งที่พี่อยากจะพูดกับนายมาตลอดก็คือ พี่ยังรักนายอยู่ ก็แค่นั้นเอง ที่พี่อยากบอก” เหมือนหัวใจที่แห้งผากมานานเริ่มมีหยาดน้ำฝนเย็นชุ่มฉ่ำโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า เตรู้สึกชื่นใจขึ้นมาอย่างประหลาด กระนั้นมโนธรรมในใจก็ทำให้ต้องแย้งออกมา
“แต่ว่ามัน...พี่มีหมอรันแล้ว...ผมก็มี..”
“พี่ถึงรู้สึกผิดกับตัวเองอยู่นี่ไงล่ะ ตั้งเต...มันยากจริงๆนะ ยากมากจริงๆ นายทำให้พี่เจ็บเจียนตายมาสองหน พี่โกรธนาย แค้นนายเท่าไหร่ แต่พี่ก็ยัง...คิดถึง...นายอยู่ดี..ทำไงดีล่ะ” ชายหนุ่มพูดเบาๆ เงยหน้าขึ้นถามเขา ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นราวกับหมดแรง เตมองตาม เห็นลำคอที่เคยตั้งตรงกลับก้มลงต่ำ ไหล่ทั้งสองข้างลู่ลงหมดสง่าราศีคุณหมอหนุ่มที่เคยเห็น
“แปลว่าที่ผ่านมา...พี่ดิม..”
“...............” ไม่มีคำตอบมาจากร่างที่เริ่มสั่นน้อยๆ
ติณธรเม้มปากแน่น เดินเข้ามาทรุดตัวลงนั่งจนชิด โอบมือไปรอบไหล่ที่เริ่มสั่นอย่างควบคุมไม่ได้นั้น ดิมเงยหน้าขึ้น เห็นดวงตาแดงก่ำมีเส้นเลือดขึ้นเป็นสาย ดิมจ้องหน้าเตในระยะประชิด แล้วก็ปล่อยให้หยดน้ำตาหยดหนึ่งที่ฝืนกลั้นเอาไว้หล่นร่วงลงมาตามร่องแก้ม เตใช้ปลายนิ้วปาดน้ำตาให้เบาๆ
“ผมขอโทษนะพี่ ผมไม่นึกเลยว่าพี่จะยังเจ็บปวดอยู่มากขนาดนี้ ..ผม..” พูดต่อไม่ออก ความรู้สึกที่มีต่อผู้ชายตรงหน้ามันปนกัน ตื้อขึ้นมาในอก
เกือบสิบปีที่เขาเป็นทุกข์อยู่ฝ่ายเดียวเพราะคิดว่าอีกคนคงจะลืมเรื่องราวระหว่างกันไปหมดแล้ว เหลือแต่เขาที่เอาแต่จดจำเอาไว้ ลืมไม่ได้สักที จนได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง จะเพราะอุบัติเหตุหรืออะไรก็ตามแต่ ในชั้นแรก เมื่อได้รู้ว่า ‘พี่ดิม’ ไม่เคยลืมเรื่องราวระหว่างกันเลย สิ่งแรกที่รู้สึก คือความดีใจในส่วนลึก แม้ว่าตอนนั้นเขาจะรู้ว่า ถึงอีกฝ่ายไม่ลืม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยังรักอยู่เหมือนเดิม
ทว่าในตอนนี้ น้ำตาของรดิศเหมือนเป็นเครื่องยืนยันความเจ็บปวดที่ยังคงอยู่ ไม่จางหายไปตามกาลเวลา เช่นเดียวกับความรู้สึกในใจของเขา
สบตากันในความเงียบอีกครั้ง
“เรา...กลับมาเป็นเหมือนเดิม..ไม่ได้แล้วใช่ไหม” พี่ดิมพูดเสียงแหบๆ เขาไม่ตอบแต่โอบศีรษะของอีกฝ่ายเข้าหาตัว แปลกใจจนเกือบจะเรียกว่าอัศจรรย์ใจก็ได้ ไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายจะยัง..
นี่มันคือเรื่องจริงหรือเปล่า หรือว่าเขากำลังอยู่ในความฝัน ฝันว่ามีพี่ดิมอยู่ในวงแขน ฝันว่าพี่ดิมยังรัก ยังคิดถึงเขาอยู่ ไม่เคยลืม ..ถ้านี่คือความฝัน เขาก็ไม่อยากตื่นขึ้นมาอีกเลย เตบอกตัวเอง..
“มันเป็นไปไม่ได้ พี่รู้” พี่ดิมพูดอยู่ข้างหู
คนฟังสะท้อนในหัวอก ถึงใจจะอยากตอบว่า ‘เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมกันเถอะ’ แต่นี่คือชีวิตจริง ไม่ใช่ความฝัน มันไม่ง่ายขนาดนั้น โลกใบนี้ไม่ได้มีเพียงเขาสองคนอย่างที่เคยเข้าใจเมื่อยามเป็นเด็ก ยังมีเหตุผลและข้อจำกัดหลายอย่างที่ทำให้เราทั้งคู่ไม่สามารถย้อนกลับคืนไปได้ดังเดิม อย่างน้อยในใจของเขาตอนนี้ก็บอกว่าไม่ได้ มันไม่ถูกต้อง
“เราเดินมาไกลแล้วพี่ดิม กลับไปไม่ได้แล้วล่ะ” พูดได้แค่นั้นเอง ทั้งที่ในใจของเขามีอะไรมากมายที่อยากบอก
พี่ดิมเงยหน้าขึ้นจากไหล่ของเขา น้ำตาแห้งไปแล้ว
“พี่รู้...ว่าเวลาของเราสองคนมันผ่านไปแล้ว แต่พี่ก็ยัง..เจ็บอยู่ ทุกครั้งที่เห็นหน้านาย” พูดด้วยเสียงต่ำลึก
“พี่ดิม ผม...ขอโทษนะ ขอโทษสำหรับสิ่งที่ผมทำไปเมื่อหลายปีก่อน ผมไม่เคยมีความสุขจริงๆเลยสักครั้ง เมื่อต้องนึกว่าตอนนี้พี่จะเป็นยังไงบ้าง แต่วันนั้นผมมีเหตุผลจริงๆนะ ถ้าพี่อยากฟัง..” หรือว่าเขาควรจะบอกเหตุผลที่แท้จริงทั้งหมด ที่ทำให้เราต้องตัดสินใจแบบนั้นออกไปดี
…ถึงเวลาที่ต้องพูดแล้วใช่ไหม?
“ชู่ว...” คุณหมอหนุ่มยกมือขึ้นแตะที่ริมฝีปากของอีกฝ่ายเป็นเชิงห้าม “พี่ยังไม่อยากฟังเหตุผลที่ทำให้เราต้องแยกจากกัน ไว้วันหลังเถอะนะ ให้พี่พร้อม..นายค่อยเล่าให้พี่ฟัง”
ติณธรพยักหน้า ...เอาเถิด รอให้พี่ดิมพร้อมที่จะฟัง แล้ววันนั้นเค้าจะต้องเข้าใจ ถึงเหตุผลทั้งหมดที่เขาทำลงไป..
รดิศเอื้อมมือไปหยิบนาฬิกาที่ตกอยู่บนพื้นตรงหน้าขึ้นมาดู ลูบปลายนิ้วไปบนหน้าปัดแก้วที่มีรอยแตกร้าวเป็นทางเพราะตกกระทบพื้นอย่างแรง แต่เข็มนาฬิกายังคงเดินอยู่ ได้ยินเสียงติ้กๆเบาๆ
“ยังเก็บเอาไว้อีกเหรอ นึกว่านายโยนทิ้งไปแล้วเสียอีก” คนให้พูดเหมือนรำพึง เพ่งมองกรอบสีเงินด้านหลัง สะท้อนแสงไฟวูบวาบ ตัวอักษรที่เขาเป็นคนสั่งให้ช่างแกะสลักเอาไว้เอง ปรากฏขึ้นชัดเจน ไม่จางหายไปเพราะมันถูกฝังลึกอยู่ในเนื้อโลหะ เหมือนกับความเจ็บแค้นใจของเขา..ที่ยังฝังลึกอยู่ในเนื้อหัวใจเช่นกัน ดิมบอกตัวเอง
“ของที่พี่ให้ผม ผมไม่เคยทิ้งเลยแม้แต่ชิ้นเดียว” ตั้งเตพูดเสียงหนักแน่น
...ยกเว้นหัวใจของพี่ใช่ไหม ที่นายทิ้งได้อย่างไม่ไยดี... รดิศพูดต่ออยู่ในใจ พร้อมกับเผยยิ้มบางๆ
“พี่ดีใจนะ นาฬิกาเรือนนี้ พี่ให้ในวันครบรอบ 4 ปีของเราใช่ไหม พี่จำได้” เขากลับไปเรียกแทนตัวเองว่าพี่อีกครั้ง เหมือนเมื่อสมัยก่อน
เตน้ำตาคลอ พยักหน้ารับ ...สีหน้าของพี่ดิม แววตา สัมผัสของปลายนิ้วที่ยกขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้ที่แก้มของเขา แผ่วเบา อ่อนโยน ช่างเหมือนเหลือเกิน...เหมือนพี่ดิมคนเดิมเมื่อ 8 ปีก่อน เหมือนเมื่อวันที่พี่ดิมมอบนาฬิกาเรือนนี้ให้เป็นของขวัญแก่เขา
หรือว่านี่จะไม่ใช่ความฝัน พี่ดิมกลับมาแล้วจริงๆ?
“พี่....หายโกรธผมแล้วใช่มั้ย” กลั้นใจถาม คำถามที่อยากรู้ตั้งแต่แรกเจอกันอีกครั้ง
ศัลยแพทย์หนุ่มนิ่งไปนาน มองหน้าเขาราวกับกำลังทบทวนความรู้สึกภายในจิตใจ บรรยากาศเงียบลง ชั่วขณะที่ตั้งเตรู้สึกกดดันเหมือนถูกอากาศรอบด้านกดลงมาระหว่างรอคอยคำตอบ
“ยัง...แต่ก็คงจะหายดี ในไม่ช้านี้” พี่ดิมตอบกลับมาช้าๆในที่สุด
“แค่พี่ยอมพูดกับผมเหมือนเดิม ผมก็ดีใจแล้ว” เตพูด กลั่นออกมาจากใจจริง เขาไม่คาดหวังอะไรมากไปกว่านี้หรอก...จริงหรือ? เสียงเล็กๆจากซอกหลืบในหัวใจถามขึ้นมาเบาๆ
จริง..จริงที่สุด จะให้เขาหวังอะไรล่ะ กลับมาคบกันเหมือนเดิมหรือ เขามีข้าวตังกับเต้แล้ว พี่ดิมก็มีหมอรัน กำลังจะแต่งงานกันด้วย จะให้กลับมาเหมือนเดิมได้อย่างไร ...เขาตะโกนตอบเสียงในใจนั้นไป แล้วพูดกับพี่ดิมว่า
“ผมไม่รู้จะพูดอะไร เพราะมันจะเหมือนคำแก้ตัว ที่พี่ก็คงจะไม่อยากฟัง...แต่ผมขอโทษ และรู้สึกผิดกับพี่จริงๆ ถ้ามีอะไรที่ผมพอจะชดใช้ให้พี่ได้...ให้สมกับความผิดของผม ที่ผมทำให้พี่ต้องเสียใจ ผมก็อยากจะทำ”
วูบหนึ่งที่เขาเห็นรอยยิ้มเยาะพาดผ่านแววตาคมกริบลึกล้ำคู่นั้น แต่เพียงวูบเดียวก็หายไป กลับกลายเป็นแววอ่อนเศร้าเหมือนเดิม ...คงจะตาฝาด
“นายพูดจริงหรือ แล้วนายจะแก้ไขความผิดของนายได้อย่างไรล่ะ” พี่ดิมถาม คนฟังเม้มปาก
“แล้วแต่พี่ก็แล้วกัน” เขาตอบกลับมาในที่สุด
รดิศรีบเบือนหน้าไปทางอื่น เขากลัวว่าตนเองจะสะกดกลั้นแววตาลิงโลดเอาไว้ไม่ได้ เขาเสมองไปที่นาฬิกาที่หน้าปัดแตกร้าวเรือนนั้น
...นายพูดเองนะตั้งเต พี่จะถือว่านี่เป็นคำอนุญาตจากนายก็แล้วกันนะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ ก็ถือซะว่าเป็นการ ‘ชดใช้’ ความผิดของนายที่ทำเอาไว้...
“ถ้าอย่างนั้น เราสงบศึกทุกอย่าง...ทุกอย่างที่เราเคยโกรธเคืองกัน พี่จะลืมมันไปให้หมด และนายก็ต้องลืมมันไปให้หมดเหมือนกัน แล้วเรามาเริ่มต้นกันใหม่ โอเคไหม”
“เริ่มต้น?”
“ใช่ ในฐานะ ‘พี่น้อง’ ไม่ก็ ‘เพื่อนเก่า’ ที่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง”
“แล้ววิธีนี้จะช่วยทำให้พี่..หายโกรธผมหรอ” ดิมหัวเราะออกมา กับคำถามซื่อๆ ที่อีกฝ่ายถาม แวบหนึ่งที่เขาเผลอนึกกลับไปถึงอดีต..เตมักจะมีคำถามที่ทำให้เขายิ้มได้เสมอ ซื่อ..แต่ก็น่ารัก แน่ละว่าคนซื่อๆใสๆแบบนี้เกือบทำให้เขาตายทั้งเป็นไปแล้วครั้งหนึ่ง
“ได้สิ อย่างน้อยพี่ก็อยากจะซึมซับความรู้สึกดีๆแบบนี้เอาไว้ ก่อนที่เรา..จะจากกันไป” คนฟังขมวดคิ้ว
“หมายความว่าอะไร จากกัน?”
“พี่หมายความว่า จากกันแบบ...แยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง แบบนายก็เป็นนักเขียน แบบพี่...ต่อไปก็จะได้แต่งงานแต่งการกับเขาสักที...อย่างน้อยในเมื่อพรหมลิขิตให้เราได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง พี่ก็อยากจะจัดการความรู้สึกของเราสองคนที่มันค้างคาอยู่ ...พี่จะได้รู้สึกว่าพี่ได้แก้ไขอดีต จัดการกับแผลในใจของพี่แล้ว และระหว่างเราไม่มีอะไรตกค้างกันอีกไงล่ะ”
พี่ดิมอธิบายวกวนไปมา แต่เตก็รู้สึกว่าเขาเข้าใจสิ่งที่ฝ่ายนั้นต้องการจะสื่อ...พี่ดิมยังรู้สึก ‘ค้างคา’ กับเขาอยู่ แบบที่เขาก็ยังคงรู้สึกผิดติดค้างอยู่ใจ ไม่รู้เหมือนกันว่าความรู้สึกค้างคาของฝ่ายนั้นมันเป็นความรู้สึกแบบไหน จะเรียกว่ายังรักอยู่ได้หรือไม่..คงไม่หรอก เพราะเขาก็มีคนรักของเขาอยู่แล้ว มันคงเป็นเหมือนความรู้สึกที่อยากจะเก็บกวาดห้องเก็บของให้สะอาด เพื่อที่จะได้พร้อมที่จะรับเอาสิ่งใหม่ๆเข้ามาแทนที่กระมัง
คงจะไม่เป็นไร ถ้าเขาจะช่วยอีกฝ่าย ‘เก็บกวาด’ พื้นที่ในหัวใจที่เขามีส่วนทำให้มัน ‘รก’ เอง และก็คงจะดีกว่า ถ้าต่อไปภายหน้า เราจะจากกันแบบพี่น้องที่เหลือแต่ความรู้สึกดีๆ ให้แก่กัน ไม่ใช่ความโกรธ เกลียดชัง หรือความไม่เข้าใจอย่างที่เคยเป็นมา
“ตกลง เรามาเริ่มกันใหม่” เตพูดเบาๆ
รดิศยิ้มกว้างออกมาเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง รอยยิ้มที่ทำให้แก้มบุ๋มลึก และดวงตาแพรวพราว หวานเหมือนจะหยด
..รอยยิ้มที่ทำให้เขาใจสั่นได้ทุกครั้ง
พี่ดิมยกมือขึ้นเคาะที่หน้าผากของเรียบเนียนแล้วพูดเบาๆว่า
“เซ็ตซีโร่”
เตหัวเราะ รู้สึกปลอดโปร่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รดิศหยิบนาฬิกาเรือนนั้นส่งคืนให้แก่เจ้าของ เขาเพ่งพินิจไปที่รอยแตกร้าวเป็นทางยาวที่พาดผ่านหน้าปัดนาฬิกาสี่เหลี่ยมเรือนนั้น
“มันจะซ่อมได้ไหมนะ” ดิมพูดคล้ายรำพึงกับตัวเองเบาๆ เตใส่นาฬิกากลับเข้าที่เหมือนเดิม เงยหน้าขึ้น พูดแกมหัวเราะ
“น่าจะได้นะพี่ พรุ่งนี้ผมจะลองไปถามร้านนาฬิกาดู”
คุณหมอหนุ่มพยักหน้า ส่งยิ้มให้บางๆ ฝ่ายนั้นไม่มีทางรู้ได้เลยว่า สิ่งที่เขาคิดนั้น หาใช่รอยแตกที่นาฬิกาเรือนนั้นไม่ หากแต่เป็นรอยร้าวลึกในหัวใจที่เขาตั้งใจจะกรีดให้ฝ่ายนั้นด้วยตัวเองตะหาก
ของที่มันเคยแตกร้าวไปแล้ว จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อย่างไร จริงไหม?
……………………………………………………………………………
มาต่อค่ะ ขอบคุณนะคะสำหรับคอมเม้นท์
เรื่องนี้ยังอีกยาวไกล5555 นี่เพิ่งเริ่มต้น
ขอบคุณกลอนด้วย เพิ่งเคยได้รับกลอนจากผู้อ่านนี่เเหละ
เริศศศ
