*^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61  (อ่าน 96019 ครั้ง)

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
รออ่านตอนต่อไป

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
เพราะต้องลอง เจ้าของใจ ไปมีอื่น
แสร้งหวานชื่น ยืนยิ้ม กระหยิ่มผัว
แต่จริงแล้ว ในใจ สั่นระรัว
กลัวความชั่ว จะรั่วไป ให้เขารู้
#หมอรัน


เพราะคิดลอง ข้องใจ ไอ่หน้าหวาน
ให้เบิกบาน หวานจริง จะทิ้งฝัน
แต่จริงแล้ว แก้แค้นเสร็จ สำเร็จพลัน
ทำไมใจ ยังอัดอั้น มั่นรักเดียว
#หมอดิม


เพราะอยากลอง เจ้าของใจ ที่ลืมยาก
ทนลำบาก มากปี ไม่มีเขา
แต่จริงแล้ว วกวน ใจคนเรา
ยังมัวเมา เขลาหนัก ยากหักใจ
#ตั้งเต


ป้อล่อ..มีข้อสงสัย
ตอนนั้นที่ดิมคบกับเต ถึงขั้นไหนอ่ะ ใสใสหรือใส่ฟิชเจอร์ริ่งกันแล้ว
ตอนนี้ดิมยังคงคบกับรันอยู่ อยู่เมืองนอกด้วยกันมาก็หลายปี
เป็นแฟนกันแบบไหน ใช่แบบอยู่กินกันเป็นผัวเมียกันเลยใช่เปล่า
ถ้าเป็นยังงี้ก็ฟิชเจอร์ริ่งกันจนเปื่อยแล้วดิ

หุหุ ที่สงสัยอ่ะ..ไม่ใช่อะไรหรอก
อยากจะเข้าใจความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง แบบว่าคนเป็นแค่แฟน กับเป็นถึงเมีย
มันต่างกันมากนะ มันจะเลิกกันง่ายๆ หรือเลิกกันยาก

แฟนกับเมีย เชี่ยะเอ้ย ไม่ต้องคิดเลยว่าดิมจะเลือกใคร
ง่ายม่อกกกกก ..ร้องไห้ กาซิกๆๆๆๆ..

 :กอด1:
+1 ฮับ

ออฟไลน์ polkadot

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
อ้ากกกกก พ่นไฟ เกลียดเต ขอสักที ไอ้โง่ :katai1:

ออฟไลน์ ปลายฝัน

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
รู้สึกจิตตกกับเรื่องนี้มากจริงๆ happy มั้ยค่ะ

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
เพราะหัวใจบอกว่า...เริ่ม

 

 

 

 

            ชายหนุ่มลืมตาตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่  รู้สึกสดชื่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาหลายปี  เป็นคืนแรกที่เขาหลับได้เองโดยไม่ต้องพึ่งยานอนหลับ  คงเป็นเพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนกระมัง

            ความรู้สึกผิดและกดดันที่เหมือนทับถมอยู่บนบ่าทั้งสองข้างมานาน   ในตอนนี้คล้ายกับว่าได้ถูกปลดเปลื้องออกไปแล้ว  ถึงจะยังไม่ทั้งหมด แต่อย่างน้อย  มันก็เป็นการเริ่มต้นที่ดี...อา  ใช่แล้ว 

            ‘เรามาเริ่มต้นกันใหม่อีกครั้งนะ เต’

          แค่คิดก็อดยิ้มกว้างออกมาไม่ได้ 

            เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ ตามด้วยร่างกลมป้อมของลูกชายคนเดียวผลุบเข้ามาในห้อง โดยไม่ต้องรอคำอนุญาต

            “คุณพ่อฮะ  คุณแม่บอกว่าวันนี้ให้คุณพ่อไปส่งเต้  เพราะคุณแม่ไม่สบาย  ลุกไม่ไหว” เด็กชายเต้ในชุดนักเรียนเรียบร้อยพูดเสียงดัง  คนฟังตกใจ รีบลุกขึ้นมาจากเตียงนอน

            “อ้าว  คุณแม่เป็นอะไรไป”  ไม่รอฟังคำตอบลูกชาย  เขารีบก้าวยาวๆออกจากห้องนอนไปยังห้องนอนฝั่งตรงข้ามของหญิงสาว  ที่ห่างกันเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น   เคาะประตูเป็นสัญญาณนิดหนึ่งก็ถือวิสาสะเปิดเข้าไปโดยเร็ว

            “ตัง  เป็นอะไร เต้บอกว่าลุกไม่ไหวหรือ”  เขาถาม  เดินตรงเข้าไปหา 

            หญิงสาวเจ้าของห้องกึ่งนั่งกึ่งนอน หนุนหมอนสูงหันมาทัก ‘สามี’ เสียงแผ่ว  ริมฝีปากซีดเช่นเดียวกับใบหน้าพูดช้าๆ

            “พี่เต...ตังไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกค่ะ  แค่..เหนื่อยๆ  พี่เตช่วยไปส่งเต้แทนตังทีนะคะวันนี้  ขอโทษด้วย..”  เธอหยุดพูด   ตั้งเตตกใจ กวาดตามองร่างของภรรยาทั่วตัว เห็นเพียงช่วงอกที่พ้นผ้าห่มออกมาเท่านั้น    เขายกมือขึ้นอังที่หน้าผากของเธอ

            “ตัวไม่ร้อนนี่  ออกจะเย็นด้วยซ้ำ  เป็นอะไรไปตัง  ไปโรงพยาบาลไหม”

          เธอสั่นศีรษะช้าๆ  ยิ้มออกมานิดหนึ่ง

            “ไม่เป็นไรค่ะพี่  พักเดี๋ยวเดียวก็หายแล้ว”  เธอหอบหายใจนิดหนึ่ง   ดูเหนื่อยกว่าปกติจนชายหนุ่มสังเกตได้

            “พี่ว่าตังไปโรงพยาบาลดีกว่า   เอาอย่างนี้ เดี๋ยวพี่โทรไปลางานให้...ตังเปลี่ยนเสื้อผ้าไหวมั้ย  ติดรถไปกับพี่เลย   ส่งเจ้าเต้เสร็จแล้วได้เลยไปโรงพยาบาล ให้หมอเขาดูหน่อย”  ชายหนุ่มพูด  วางแผนให้เสร็จสรรพ   ทว่าคนป่วยบนเตียงปฏิเสธอย่างหนักแน่น

            “ตังไม่ไปค่ะพี่เต   ตังไม่ได้เป็นอะไร   พี่เตรีบไปส่งเจ้าเต้เถอะ  ประเดี๋ยวจะสาย ไม่ทันเข้าแถว   ไม่ต้องห่วงตัง”

          “ไม่ห่วงได้ยังไง  เหนื่อยจนลุกไม่ไหวแล้ว  ตังอย่าดื้อกับพี่นะ  พี่บอกให้ไปก็ไป  ถ้าลุกไม่ไหวพี่จะอุ้มไปเอง   รอพี่ที่นี่แหละ  พี่ขอเวลาสิบนาที”

พี่เตดุเธอเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี  สีหน้าของเขาเครียดและกังวล ดูออกว่าเขาเป็นห่วงเธอมาก...มากกว่าที่เธอคิดเอาไว้   มาตังคิด  มองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่ผลุนผลันออกไปจากห้องนอนของเธออย่างรวดเร็ว...ถึงจะรู้ว่าเขาเป็นห่วงเธอในฐานะน้องสาวเท่านั้น  แต่เธอก็อดดีใจอยู่ลึกๆไม่ได้อยู่ดี

แข็งใจลุกขึ้นจากที่นอน   เวียนหัวเหมือนจะหน้ามืด  เหนื่อยแทบขาดใจ แต่เธอก็ต้องฝืนเก็บอาการเอาไว้   ข้อเท้าของเธอเริ่มบวมขึ้นมาแล้ว   โชคดีที่พี่เตคงจะไม่ทันเห็น...เธอถึงไม่อยากไปโรงพยาบาลพร้อมกับเขาเลย   เธอไม่อยากให้เขารู้ว่าตอนนี้ร่างกายของเธอ  มันเหมือนรถยนต์ที่ชำรุด

ไม่เกินสิบนาที พี่เตก็กลับเข้ามาช่วยพยุงเธอออกไปที่รถ   ลูกชายเข้ามากอดเธอเอาไว้แน่น  ใบหน้ากลมเล็กนั้นมีริ้วรอยกังวลอย่างชัดเจน  คิ้วขมวดมุ่นราวกับว่าเจ้าตัวเป็นผู้ใหญ่ที่มีหน้าที่รับผิดชอบ  ไม่ใช่เด็กอายุยังไม่ถึงสิบขวบด้วยซ้ำ

รถมาจอดส่งลูกที่หน้าโรงเรียนชั้นนำของกรุงเทพฯ ที่เธอทุ่มเทแรงใจแรงกายทำงานเพื่อส่งให้เขาได้เรียนในที่ๆดีๆ  แน่นอนว่าการทำงานหนักมากขึ้นก็คงจะเป็นตัวกระตุ้นอย่างหนึ่งที่ทำให้อาการของเธอกำเริบขึ้นมา

“โอเคไหม   ปรับเบาะเอนราบดีมั้ย”            พี่เตหันมาถามเธอ ระหว่างที่กำลังขับรถตรงไปยังโรงพยาบาล   เธอส่ายหน้า     

“ไม่เป็นไรค่ะ  นอนแล้วหายใจไม่ออก”  เธอตอบเรียบๆ คนขับหันมามองเธอแวบหนึ่ง เขาเอื้อมมือมากุมที่มือของเธอแล้วบีบเบาๆ  แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา

ข้าวตังหลับตาลงแล้วก็กลับลืมตาขึ้นมาใหม่ สายตาไปสะดุดเข้ากับนาฬิกาหนังสีน้ำตาลเข้ม  หน้าปัดแตกร้าวเป็นสองซีกที่อยู่บนข้อมือของคนขับเรือนนั้น  เธอขมวดคิ้ว  รู้สึกคุ้นตากับเครื่องประดับชิ้นนี้  แต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

“นาฬิกาเรือนนี้..หน้าปัดมันแตกแล้วนี่คะ  ทำไมยังเอามาใส่อยู่อีก”  เธอถามอ้อมๆ   ชายหนุ่มเหลือบมองนิดหนึ่ง   แล้วตอบเรื่อยๆ

“พี่ว่าจะเอาไปซ่อมน่ะ”

“เรือนนี้ซื้อที่ไหนเหรอคะ  ไม่เคยเห็นมาก่อน”  สามีของเธอชะงักไปนิดเดียว แล้วก็ตอบออกมา

“มีคนให้มาน่ะ  นานแล้ว”  เขาดูอึดอัดที่จะตอบคำถามของเธอ   ข้าวตังตั้งข้อสงสัยอยู่ในใจ แต่ไม่ถามต่อออกมาให้มากความไปมากกว่านั้น เกรงว่าอีกฝ่ายจะไม่พอใจ 

เพ่งมองนาฬิกาเรือนนั้นอยู่พักใหญ่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเห็นมาก่อนที่ไหน    ช่างเถอะ..

ติณธรลอบมองหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างตน   ท่าทางเธอคงจะสงสัย เพราะนาฬิกาเรือนนี้เขาเก็บมานาน ไม่เคยหยิบมาใช้อีกเลยนับตั้งแต่วันนั้น   คงจะไม่ดีแน่ถ้าเขาจะต้องบอกเหตุผลที่หยิบเอาเจ้านาฬิกาเก่าแก่เรือนนี้ออกมาใส่อีกครั้ง 

บรรยากาศภายในรถคันเล็กน่าอึดอัดชอบกล  เตแทบจะถอนหายใจออกมาดังๆเมื่อมาถึงโรงพยาบาลในที่สุด  ชายหนุ่มรีบเข้าไปติดต่อ  ครู่เดียวหญิงสาวก็ได้มานั่งรอตรวจอยู่ที่หน้าห้อง   โทรศัพท์มือถือสั่นของเขาขึ้นอีกครั้ง  หยิบขึ้นมาดู  แค่เห็นชื่อที่ขึ้นด้านหน้า  ใจก็อดเต้นแรงไม่ได้  รีบขอตัวลุกเดินแยกห่างออกมา

“พี่ดิม   มีอะไรหรือเปล่าครับ?”  กรอกเสียงถามลงไป  พยายามไม่ให้ดูกระตือรือร้นมากนัก

“เต  พี่....ง่า...วานอะไรหน่อยสิ  พอดีวันนี้พยาบาลที่ดูแลพี่เขาโทรมาลาอีกวันน่ะ  นายช่วยเข้ามาช่วยพี่นิดนึงได้มั้ย  แต่ถ้าติดธุระก็ไม่เป็นไรนะ”  เสียงนุ่มๆพูดมาตามสาย แนบชิดอยู่ที่ริมหู   เตยิ้ม

“ตอนนี้ผมติดธุระอยู่   ไว้บ่ายๆได้ไหม ผมจะแวะเข้าไป”  เขาตอบเสียงอ่อน   เหลือบดูข้าวตังนิดหนึ่ง เห็นเธอลุกเดินหายเข้าไปภายในห้องตรวจแพทย์

“ตกลง  พี่จะรอนะครับ”  ปลายสายตอบกลับมา มีแววยินดีอยู่ในน้ำเสียง  แล้วกดวางสายไป   เตมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือของตัวเองราวกับเป็นของแปลกที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

...ทำไมแค่ได้ยินเสียงแค่นี้   หัวใจของเขาถึงได้เต้นแรงขนาดนี้นะ...

เดินกลับเข้าไปนั่งรอภรรยาที่เดิม   พักใหญ่เธอก็เดินออกมา  ส่งยิ้มบางๆให้เขา

“หมอว่าอย่างไรบ้าง”

“ไม่ได้เป็นอะไร   แค่..พักผ่อนน้อยเฉยๆ”    เธอหลบตาเขา   ถ้าหากว่าเขาอยู่ในอารมณ์ปกติล่ะก็ คงจะสังเกตเห็นได้ไม่ยากถึงแววพิรุธในสีหน้าและแววตาคู่นั้น

ชายหนุ่มพาเธอไปจ่ายเงินเพื่อรับยา   ขมวดคิ้วนิดหน่อยเมื่อเห็นปริมาณและชนิดของยาที่หญิงสาวได้รับ

“พักผ่อนไม่พอแค่นี้ ต้องกินยาเยอะขนาดนี้เลยเหรอ”  ชายหนุ่มถามงงๆ  หยิบซองยาออกมาจากถุง  แต่ดาวประดับกลับดึงเอาไว้ แล้วเก็บใส่กระเป๋าถืออย่างรวดเร็ว

            “ยาบำรุงหัวใจน่ะค่ะ   พี่เตก็รู้ว่าหัวใจตังไม่ค่อยดีเท่าไหร่”

          “มัน...ไม่ได้เป็นอีกใช่ไหม  เหมือนเมื่อ 8 ปีก่อนนั่นน่ะ”  ชายหนุ่มถามด้วยเสียงกระซิบ   เอะใจขึ้นมาเพราะท่าทางของเธอดูพิกล    หญิงสาวหัวเราะ  เธอดูสดใสขึ้นมากหลังจากได้พบแพทย์

            “ไม่ใช่หรอกพี่เต  ไม่เชื่อเข้าไปถามหมอส้มดูก็ได้”

          “หมอส้ม?”  เขาทวนชื่อ

            “หมอสิริกานต์  หมอคนที่สวยๆคมๆ ที่ตังเคยมาหาเรื่องเวียนหัวไงคะ  อ้อ  วันนั้นพี่เตไม่ได้เจอ เพราะไปต่างจังหวัด”  คนฟังพยักหน้าเนิบๆ   เขารู้สึกคุ้นกับชื่อนี้ไม่น้อย  หวังว่าโลกคงจะไม่กลมถึงเพียงนั้น

            พาหญิงสาวกลับมาส่งที่บ้าน  ลังเลอยู่ครู่ใหญ่ว่าจะทิ้งเธอออกไปข้างนอกดีหรือไม่   แต่หญิงสาวยืนยันว่าเธอสามารถดูแลตัวเองได้แล้ว  ประกอบกับท่าทางเดินเหินและอาการเหนื่อยหอบที่ดีขึ้นจนเห็นได้ชัด

            “พี่เตไปทำงานเถอะ  ตังหายแล้ว”

          “ทำไมมันหายเร็วนักล่ะ  หมอเขาจะเก่งไปหน่อยแล้วมั้ง”  เขาไม่อยากเชื่อเท่าไหร่   ข้าวตังยืนยันมาอีกหลายคำ   เขาจึงตัดสินใจกลับออกมาข้างนอก หลังจากที่จัดการอาหารเที่ยงให้เธอเรียบร้อยแล้ว

            นั่งรถแท็กซี่มายังคอนโดของคุณหมอหนุ่ม   ผ่านหน้าเคาท์เตอร์ขึ้นไปได้อย่างราบรื่น เพราะพี่ดิมโทรลงมาบอกเอาไว้ก่อนแล้วล่วงหน้า    เขามาหยุดอยู่ที่หน้าห้องพักของรดิศ

            ยืนทำใจอยู่ครู่ใหญ่ ก็กดกริ่ง

            ประตูเปิดออก   พี่ดิมในชุดเสื้อยืดกางเกงบอลยืนยิ้มแฉ่งให้เขา

            “กำลังรออยู่เลย  มาช้าจัง”  ตั้งเตก้าวตามเจ้าของห้องเข้าไปภายใน

            “มีอะไรให้ผมช่วยหรือ” 

            “นายกินข้าวเที่ยงมาหรือยัง”   เจ้าของห้องกลับหันมาถามไปคนละเรื่อง  เตกระพริบตา

            “กินมาแล้ว  พี่ดิมล่ะ  กินหรือยัง”  เหลือบมองนาฬิกาก็เห็นเลยเที่ยงวันมาเกือบสองชั่วโมงแล้ว   ทว่าเจ้าของห้องกลับส่ายหน้า

            “ยัง...รอนายนั่นแหละ  นึกว่าจะมากินด้วยกัน”

          “รอทำไม  ก็ผมบอกแล้วไงว่าจะมาบ่ายๆ...แล้วแบบนี้ไม่หิวแย่เรอะ”   เขาพูด  ชักหงุดหงิดที่อีกฝ่ายยักไหล่เหมือนไม่สนใจเรื่องปากท้องของตัวเองเท่าไหร่

            ...เป็นแบบนี้อีกแล้ว   เป็นแบบนี้ตลอด   ตั้งแต่สมัยตอนเรียนแล้ว  ถ้าเขาไม่คอยเตือนให้กินข้าว    อีกฝ่ายก็ดูจะไม่ใส่ใจ ไม่สมกับเป็นหมอเอาเสียเลย...

          เดินตรงเข้าไปในห้องครัวเล็กๆของฝ่ายนั้น   เปิดตู้เย็นก้มๆเลยๆอยู่พักใหญ่  สำรวจวัตถุดิบเพื่อจะมาเปลี่ยนเป็นมื้อบ่ายของอีกคน    รดิศยืนล้วงกระเป๋ามองไปที่ร่างโปร่งบางยิ้มๆ  สีหน้าเอาจริงเอาจังนั่น...

            เตคงจะไม่รู้ตัวว่าตอนนี้น่ารักมากแค่ไหน

            “เหลือแต่พวกไข่ กับหมูหยอง  มีข้าวมั้ยครับ”   เตหันมาถามเขา  ดิมรีบขยับตัว

            “ไม่มีข้าวหรอก  ที่หุงเก็บเอาไว้หมดแล้ว ไม่ได้หุงเพิ่ม”  เขายกแขนที่ใส่เฝือกเอาไว้ขึ้นมา เป็นเชิงบอกว่า เพราะติดเฝือกอยู่ไง เลยทำอะไรไม่ได้....ช่วยไม่ได้เลยแฮะ

            ..มีเฝือกข้างเดียว เหมือนเป็นง่อยเลยนะ..  ตั้งเตคิดในใจ  แต่ไม่ได้พูดออกมา  หันไปจัดการหุงข้าวเรียบร้อย   ก่อนจะลงมือตั้งกระทะ ตอกไข่ใส่ชามตีเร็วๆ

            “กินไข่เจียวแล้วกัน ง่ายดี”  พี่ดิมเป็นคนไม่เรื่องมากเรื่องการกิน  เขารู้มานานแล้ว   จะกับข้าวง่ายๆแค่ไหน พี่ดิมก็สามารถกินได้อย่างเอร็ดอร่อย   ไม่เคยบ่น   แถมยังเป็นลูกมือที่ดีอีกด้วย


                                                         *****************

          “หิวจังเลยครับ  มีอะไรกินบ้าง”  น้ำเสียงออดอ้อนแบบนี้มีอยู่แค่คนเดียวอยู่แล้ว   เตคิดในใจ  ละสายตาจากทิวทัศน์หุบเขาสวยงามเบื้องหน้า  หันมามองชายหนุ่มที่เดินตรงเข้ามากอดเขาจากทางด้านหลัง

          ดิมซุกหน้าลงกับซอกคอของเขา แล้วสูดลมหายใจเข้าฟอดใหญ่

          “ชื่นใจจัง”

          ไอหมอกยามเช้าลอยระใบหน้า กลั่นตัวเป็นหยดน้ำเล็กๆชื้นๆอยู่ตามเส้นผมและแก้ม  อากาศหนาวจนต้องใส่เสื้อกันหนาวสองชั้น  ทว่าเตกลับไม่รู้สึกหนาวเลยสักนิด ...ออกจะอุ่นจนร้อนมากกว่า

          “อื้อ  เดี๋ยวพวกนั้นมาเห็นเข้า”   เขาบิดตัวออกจากวงแขนแข็งแรงของพี่ดิม  กลัวว่าเพื่อนที่มาค่ายอาสาพัฒนาชุมชนบนดอยด้วยกันจะมาเห็นแล้วเก็บเอาไปล้ออีก 

          “เช้าขนาดนี้ พวกนั้นยังไม่ตื่นหรอกน่า...ขอหอมอีกทีได้มั้ย”  พี่ดิมกระซิบ   เขาส่ายหน้า  หลุดออกจากวงแขนของอีกฝ่ายได้ก็รีบเดินกลับเข้าไปภายในเพิงที่ทำเป็นครัวแบบพื้นบ้าน

          พี่ดิมช่วยเขาจุดเตาถ่านอย่างขะมักเขม้น  เขาลอบมองใบหน้าคมเข้มเป็นระยะ  สีหน้าจริงจังประหนึ่งกำลังสอบนั้นดูน่าขัน แต่ก็น่าเอ็นดูในเวลาเดียวกัน 

          “ยิ้มอะไรตั้งเต”  นัยน์ตาคมเข้มตวัดขึ้นมามองที่เขา   ..ใครๆก็ว่าพี่ดิมเป็นคนตาดุ  ยิ่งเวลาโกรธล่ะก็  แววตาคู่นั้นจะเหมือนมีกองเพลิงไปจุดอยู่ภายในเลย    พี่ดิมเป็นคนขี้งอน  แต่ก็ไม่ใช่คนโกรธใครง่ายๆ  ทว่าถ้าลองได้โกรธเข้าล่ะก็ แปลว่าคงถึงที่สุดแล้วล่ะ   และคนๆนั้นก็มักจะเข้าหน้าพี่ดิมไม่ติดอีกเลย

          ยกเว้นอยู่คนเดียว  ที่ต่อให้ทำให้พี่ดิมโกรธถึงขนาดไหนก็ตาม   สุดท้ายพี่ก็จะให้อภัยเสมอ....ถึงจะต้องตามง้อแทบตายก็เถอะ

          “รักพี่ดิมจัง”  เตบอกยิ้มๆ 

          แก้มแดงปลั่งด้วยเลือดฝาดรับกับแววหวานในดวงตาดำขลับคู่นั้น...รดิศรู้สึกเหมือนจะละลายกลายเป็นไอน้ำเหมือนแม่คะนิ้งที่โดนแสงอาทิตย์สาดส่อง

          “พูดแบบนี้ อยากโดนดีใช่ไหม”  ดิมแกล้งขู่ไปอย่างงั้นเอง  เด็กตรงหน้ายิ่งยิ้มหวานมากขึ้นอีก  คงจะรู้ว่าเขาแพ้ทางรอยยิ้มหวานๆนั่น   ถึงจะเห็นมาจะเข้าปีที่สามแล้ว ก็ยังไม่ชินเลย ให้ตายเถอะ

          ใจมันอดเต้นแรงไม่ได้..

          “เช้านี้กินไข่เจียวก็แล้วกันนะพี่   ผมขี้เกียจทำอย่างอื่น”  เตพูด  แล้วหันไปจัดการเตรียมของง่วนอยู่คนเดียว..เขารู้ว่าเตชอบทำอาหารมาก  พอๆกับที่เขาชอบ   แตกต่างตรงที่ เวลาเขาอยู่กับเตแล้ว  สิ่งที่เขาชอบมากกว่าไม่ใช่การทำอาหารอีกต่อไป  แต่เป็นการ ‘ดู’ คนทำอาหารตะหาก

          เตไม่เคยรู้เรื่องที่เขาทำอาหารเก่ง  เพราะเขาไม่เคยบอก  กลัวว่าอีกฝ่ายจะเลิกทำให้กินน่ะซี   ขอเป็นลูกมืออยู่แบบนี้ดีกว่า   อีกเรื่องที่เขาชอบเป็นพิเศษ แต่เก็บเอาใช้เวลาที่เห็นอีกฝ่ายไม่สนใจก็คือการแกล้งลืมกินข้าว  ถึงจะพิลึก แลดูเป็นการทำร้ายตัวเองนิดหน่อย ทว่ามันคุ้มมากเวลาเห็นอีกฝ่ายกังวล คอยถามไถ่ถึงตลอดว่า เขาทานข้าวหรือยัง  ถ้ายังก็จะรีบหานู่นนี่มาให้เขารองท้องเอาไว้  พร้อมกับคำบ่นยืดยาวที่เขาไม่เคยเบื่อที่จะฟัง   รู้ดีว่ามันเกิดจากความเป็นห่วงล้วนๆ...น่ารักไหมล่ะ แฟนเขาเองแหละ

          “หั่นหอมแดงให้หน่อย”  ตั้งเตยื่นหอมแดงมาให้เขากำมือนึง

          “ได้คร้าบ  สุดแล้วแต่จะบัญชา”   เขายิ้มใส่ตาของเด็กน้อย  เห็นอีกฝ่ายออกอาการเขินนิดหน่อยก็มีความสุขแล้ว   จะเอาอะไรมากล่ะ  อุตส่าห์แอบโดดมาค่ายกับเตทั้งที นาทีทอง หยอดได้หยอด  กอดได้กอด  จูบได้จูบ...อิๆ  โชคดีที่เตยังไม่รู้ว่าเขาโดดเรียนเพื่อมาค่ายกับเค้า   โกหกนิดหน่อยว่าอาจารย์ให้หยุดเรียน   ก็แหม  ใครจะกล้าปล่อยเด็กน่ารักขนาดนี้มาค่ายบนเทือกเขาอันไตคนเดียวล่ะ  กะเหรี่ยง(ในค่าย)ที่จ้องเดือนคณะอักษรฯตาเป็นมันมีเยอะแยะ  เห็นหลายคนแล้ว ทำทีมาถามเรื่องเรียน  หนอย  คิดว่ารู้ไม่ทันเหรอ  มันต้องผ่านศพรดิศไปก่อนเฟ้ย

          เขาคิดไปก็หั่นหอมแดงไปด้วยอย่างเมามัน ลืมนึกไปว่ามันจะทำให้แสบตาจนน้ำตาไหลพรากลงมา  ยิ่งยกมือขึ้นเช็ด ก็ยิ่งแสบ น้ำหูน้ำตาไหลออกมาเละ  หมดสภาพพี่ดิมสุดหล่อจริงๆ

          “พี่อย่าไปป้ายตาสิ  เดี๋ยวๆ ใจเย็นๆ  มาตรงนี้”  เตจำต้องผละจากหน้ากระทะมาช่วยเขา จูงมือพาไปที่โอ่งน้ำข้างเพิง  ตักน้ำขึ้นมาเต็มขัน

          “พี่เอามือออกจากหน้าเลย  ผมล้างให้เอง”  เตบอกคนหน้าเข้มที่พยายามเอามือขึ้นมาป้ายที่ตาอยู่แล้วไม่รู้แล้ว   อีกฝ่ายพยักหน้า  ยอมเอามือออกแต่โดยดี 

          เขาค่อยๆวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าให้อีกคนอย่างระมัดระวัง  นิ้วมือไล้ไปตามเปลือกตาที่ประดับด้วยขนตางอนยาวน่ากรีดเล่น  ผ่านไปครู่ใหญ่  อีกฝ่ายก็อาการดีขึ้น   พี่ดิมลืมตาขึ้นมาจ้องหน้าเขาในระยะใกล้  ตาคมกริบตอนนี้แดงก่ำ

เขาชะงัก  รู้สึกวูบวาบแปลกๆกับแววตาที่อีกฝ่ายใช้มองมา   รู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองยืนชิดกับแผ่นอกกว้างนั้น แนบสนิทไม่มีช่องว่างเหลือ   วงแขนล่ำสันโอบอยู่รอบตัวแน่นกระชับ

“เอ้อ   หายแล้วก็ปล่อยผมเถอะ  จะได้กลับไปทำกับข้าวต่อ”  พูดงึมงำอยู่กับไหล่หนา   หลบตาอีกฝ่ายไม่ยอมเงยหน้าขึ้น    เขารู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆของฝ่ายนั้นที่เป่ารดอยู่ที่ริมหู   บรรยากาศรอบตัวสงบเงียบเหมือนมีแค่เราสองคน  ท่ามกลางระไอหมอกที่ยังไม่จางหายไปในยามสาย

เสียงหัวใจของเขาเต้นตึกตัก  ดังจนกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน

พี่ดิมโอบกอดเขาเอาไว้แน่นมาก   แน่นจนรู้สึกเหมือนเนื้อตัวของเขาจะจมหายเข้าไปในอกของอีกฝ่ายได้   เสื้อกันหนาวหนาๆยิ่งทำให้เขาอบอุ่นมากขึ้นไปอีก

เขาชอบเวลาพี่ดิมกอดแบบนี้  ชอบมากเลยล่ะ

พี่ดิมไม่ได้ทำอะไรมากกว่าการกอดกันแน่นๆ  ทั้งที่กระแสตาคู่นั้นของเค้าบอกชัดว่าคงจะอยากทำอะไรสักอย่างมากกว่าการกอดแน่ๆ

ทว่าพี่ดิมก็เพียงแต่ยิ้มใส่ตาเหมือนทุกครั้ง  แล้วพูดแกมหัวเราะก่อนที่จะปล่อยเขาออกจากวงแขนว่า

“เสียดายล่ะสิ”

เบื่อคนรู้ทันจริงๆเลย  บ้าชะมัด...เขาคิดอยู่ในใจ แต่ไม่พูด  วิ่งกลับเข้าไปในเพิงเพราะความเขิน
 

                                       ***********************




“ใส่หอมแดงด้วยได้มั้ย  อยากกิน”  พี่ดิมเข้ามายืนอยู่ใกล้เขาขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่   ตั้งเตกระพริบตา    เขยิบถอยหลังไปอัติโนมัติ 

...กำลังนึกถึงเรื่องราวในตอนนั้นอยู่พอดี  ตกใจหมดเลย..

“มีหอมแดงที่ไหนกันเล่า   ตู้เย็นบ้านพี่อย่างกับป่าช้าแน่ะ”  พูดแบบไม่มองหน้า  เพราะหัวใจยังทำงานไม่ปกติ  เห็นจากหางตาว่าพี่ดิมอมยิ้ม

“ถ้าอย่างนั้น ทานข้าวเสร็จแล้ว เตช่วยพาพี่ไปหาอะไรมาเติมตู้หน่อยได้มั้ย”  แขกพยักหน้ารับ  ก้มหน้าก้มตาเจียวไข่ให้เขา  ใบหน้าเรียวหวานแทบไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อหลายปีก่อนเลย  จะมีก็แต่ริ้วรอยบางๆตามกาลเวลา และท่าทางที่ ‘ดู’ สุขุมเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเท่านั้น 

ขอใช้คำว่าดู เพราะเขาพอจะดูออกอยู่บ้างว่า ภายใต้ท่าทีเคร่งขรึมนั้น  ยังมีตัวตนของตั้งเต  เฟรชชี่อักษรฯคนเดิมซ่อนอยู่อย่างมิดเม้น   และพร้อมที่จะเผยออกมาเมื่อเจ้าตัวเผลอ  อย่างเช่นเวลาอาย  เหมือนในตอนนี้

ไอ้ท่าสบตาแล้วรีบเบือนหลบ  แถมด้วยยิ้มเล็กๆที่มุมปากแบบนี้นี่มัน...น่า..ชะมัด    รดิศได้แต่คิดอยู่ในใจ   ..ไม่ได้  เขาต้องอดทนเอาไว้ก่อน  โบราณเรียก อดเปรี้ยวไว้กินหวาน   ประเดี๋ยวไก่ตื่นหมด แผนที่อุตส่าห์วางเอาไว้จะล่มเอา

“กินได้แล้ว  เอาหมูหยองด้วยไหม”

เจ้าของห้องสะดุ้ง  เพราะแขกจัดการกับโต๊ะอาหารได้ว่องไวเหลือเชื่อ   เขาเดินตามมานั่งที่โต๊ะที่มีจานข้าวสวยร้อนๆกับไข่เจียวหน้าตาน่ารับประทาน  กลิ่นหอมฟุ้งทำเอาท้องร้องขึ้นมาอีกรอบ แม้ว่าความจริงเขาจะกินอาหารเที่ยงก่อนที่เตจะมาแล้วก็ตาม

“พี่กินล่ะนะ”  ดิมหันไปบอก แล้วพยายามใช้ช้อนตักแบ่งไข่เจียวในจานด้วยมือเดียว   ท่าทางทุลักทุเลของเขาทำเอาคนที่เฝ้าดูอยู่เงียบๆชักทนไม่ไหว  ต้องคว้าช้อนอีกคันนึงมาช่วยตักแบ่งใส่จานให้

“ขอบคุณมากครับ”  เขาพูด  ตั้งเตยิ้มให้นิดหนึ่ง   จับตามองดูเขาตักอาหารเข้าปาก 

ท่าทางเอร็ดอร่อยของคนกินทำให้คนทำรู้สึก..ชื่นใจ

            ...ไม่ได้ทำอาหารให้พี่ดิมกินมานานเท่าไหร่แล้วนะ...

            “อร่อยเหมือนเดิม  พี่ไม่ได้กินฝีมือเตมานานเท่าไหร่แล้วนะ”  คนชื่อเตเกือบสะดุ้ง  เพราะอีกฝ่ายพูดออกมาตรงกับที่ใจคิดพอดิบพอดีราวกับได้ยินเสียงในหัวใจของเขารำพึง

            “ก็เกือบ..8 ปีได้มั้ง”  เตตอบเบาๆ   ไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้เท่าไหร่

            “เตรู้ไหม  ว่าแต่ก่อน...ก่อนที่จะเจอเต  พี่เกลียดหอมแดงมากเลยนะ  ไม่ชอบเลย  จนกระทั่งได้กินไข่เจียวหอมแดงฝีมือเตที่ค่ายพัฒนาฯดอยตอนนั้นนั่นแหละ  พี่ถึงเพิ่งรู้สึกว่า..เออ มันก็อร่อยเหมือนกันนี่หว่า ฮ่าๆ  คิดถึงตอนนั้นเนอะ  ที่เรานั่งล้อมกองไฟกันตอนกลางคืน   หนาวจนต้องนั่งเบียดกันเพื่อเพิ่มความอบอุ่น ...คืนนั้นท้องฟ้าสวยมากเลยล่ะ”   พี่ดิมพูดเสียงนุ่ม  สายตาทอดมองไปยังเบื้องหน้า  คล้ายกับว่ากำลังมองเห็นภาพอดีตย้อนกลับคืนมาตรงหน้าอีกครั้ง

            “ครับ  คืนนั้นดาวสวยมากจริงๆ”



               ********************
ต่อด้านล่างนาาจาา

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
ต่อนะคะ

                             ********************

 

“อยากบอกว่ารัก รักเธอเหลือเกิน

แม้วันคืนล่วงเลยพ้นเป็นปี

แต่คืนนี้จะบอกเธอนะคนดี

อยากให้เธอเชื่อฉันคนนี้ ฉันรักเธอ”

 

          เสียงกีต้าร์พลิ้วแทรกอยู่ในบรรยากาศ  เคล้าไปกับเสียงนุ่มๆของนักศึกษาแพทย์หนุ่มที่มองมาที่คนรักที่นั่งอยู่ข้างๆอย่างมีความหมาย  เสียงโห่แซวดังขึ้นขัดจังหวะจนเขาหงุดหงิด

          “อิจฉาคนมีความรักจังวุ้ย  ไปดีกว่าพวก  แถวนี้หนาวฉิบ  อย่างว่า คนไร้คู่อย่างพวกเรา  อยู่ไปก็เปลี่ยวเอกา   กูไปก่อนนะกัน  น้องเตระวังไอ้ดิมให้ดีๆนะ ฮ่าๆ  หนาวเนื้อเขาให้ห่มเนื้อ....”  เพื่อนร่วมค่ายหลายคนหัวเราะ  ร้องเพลงล้อแล้วต่างลุกขึ้นจากวงล้อมรอบกองไฟที่ใกล้มอดดับ

          รดิศจุ๊ปาก  โมโหไอ้เพื่อนตัวดี ที่บังอาจมาแซว  เดี๋ยวเตกลัว หนีเขากลับไปนอนขึ้นมาทำไงเล่า  ปั้ดธ่อ  นานๆจะได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองแบบนี้

          คนข้างกายเขายกมือขึ้นมาถูกันแรงๆ  ลมหนาวพัดมาวูบ

“หนาวเหรอเต”  เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ  เขาได้ที เขยิบเข้าไปนั่งจนชิด  เอื้อมมือไปโอบหลังของอีกฝ่ายเข้าหาตัวเอง

“กอดพี่แน่นๆ  จะได้หายหนาว”  กระซิบที่ริมหูของฝ่ายนั้น  เตขืนตัวเอาไว้เล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยอมแต่โดยดี   เค้าซุกหน้าลงกับอกของเขา  เหมือนลูกแมวที่หาไออุ่นจากเนื้อตัวของแม่  ตัวสั่นน้อยๆ

“กลับเข้าไปในห้องไหมล่ะ”  เขาเสนอ  ถึงจะอยากนั่งอยู่แบบนี้ต่อแค่ไหน แต่ถ้าน้องหนาวมาก เกิดป่วยขึ้นมามันก็ไม่คุ้มเหมือนกัน   ทว่าคนในอ้อมกอดของเขาส่ายหน้าแรงๆ

“ถ้าอย่างนั้น  นั่งอยู่แบบนี้สักพักได้มั้ย  แล้วค่อยเข้านอน”  เขากระซิบ  อีกคนพยักหน้ารับ  สวมกอดอีกฝ่ายแน่นกระชับมากขึ้น

          ลมหนาวพัดมาอีกวูบ  หอบเอากลิ่นหอมของดอกไม้ป่ามาด้วย  หอมตลบไปทั่วบริเวณ  แต่ก็ยังหอมสู้กลิ่นอ่อนๆเฉพาะตัวของคนในวงแขนของเขาไม่ได้  กลิ่นที่ชวนหลงใหล  ทำให้รู้สึกเคลิบเคลิ้ม  ล่องลอย...เขาไม่อยากให้เวลานี้ผ่านไปเลยจริงๆ  ให้ตายสิ  ดิมคิด

          “ดาวสวยจังนะ พี่ดิม”  เตพูด  เขาเลยเงยหน้าขึ้นมองตามสายตาของอีกฝ่าย  เห็นทางช้างเผือกทอดผ่านม่านราตรีที่ดำสนิทเบื้องบน  สวยงามที่สุด จริงอย่างที่น้องบอก   สวยอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนตอนที่อยู่ในเมืองกรุง

เปลี่ยนสายตาลงมาสบดวงตาดำสนิท แวววาวสะท้อนแสงดาวบนท้องฟ้าเป็นประกายระยับคู่นั้น  เขาบอกตัวเองว่าเขาเจอสิ่งที่สวยยิ่งกว่าดวงดาวบนท้องฟ้า

“สวยมาก  สวยจริงๆ”  พึมพำเหมือนละเมอ  ดวงตาคู่นั้นละจากดวงดาวเบื้องบน ลงมาสบตาเขาแทน  แววฉงนในตอนแรกเปลี่ยนเป็นไหวระริกเมื่อเจ้าตัวคงดูออก ถึงความหมายในสายตาของเขา 

ตาสบตาอีกครั้ง   ตั้งเตเบือนหลบแล้วส่งยิ้มอายๆให้เขา  ให้ตายเถอะ!  เขาใจสั่น  สั่นอย่างแรงชนิด 9.8 ริกเตอร์เลยล่ะ  ตั้งแต่เรียนหมอมาหลายปี รู้กลไกของระบบในร่างกายดี   เคยเรียนมาว่าอาการใจเต้นแรงเกิดจากการกระตุ้นระบบซิมพาเทติค   เกิดขึ้นเวลาที่เราตกใจ  กลัว  ตื่นเต้น หรือว่ามีสิ่งเร้า  ไม่นึกเลยว่า รอยยิ้มเคอะเขินของเด็กหนุ่มคนนี้จะเป็นหนึ่งในสิ่งเร้าด้วย

ใจสั่นแล้วเป็นอย่างไรต่อ ก็มือสั่นเหงื่อแตกสิแหม  รู้สึกต้องใช้แรงใจแรงกายมากกว่าปกติหลายเท่า ไม่ให้รวบตัวคนตรงหน้าเข้ามา ‘ฟัด’ ให้หายหมั่นเขี้ยว   แน่ะ  ยังมีหน้ามายิ้มอยู่อีก

“อย่ายิ้มแบบนี้”  กัดฟันพูดเสียงเข้ม  ตั้งใจว่าถ้าไม่ฟังกันล่ะก็ เห็นทีจะต้อง...

“ยิ้มยังไงหรอ”

ตั้งเตเอียงคอ  ถามกลับมาด้วยดวงตาใสแจ๋วปนกับแววฉงนเหมือนเด็กน้อย  น่าเอ็นดูเป็นที่สุด  ริมฝีปากอิ่มเต็มเผยอขึ้นน้อยๆ เป็นเชิงถาม

ไม่ไหวแล้วโว้ย...เขาตะโกนอยู่ในใจ  คงไม่ต้องบอกว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นกับเด็กหนุ่มคนนั้น  เอาเป็นว่าวันถัดมา เขาต้องคอยใส่หน้ากากปิดปากเอาไว้ตลอด เพื่อจะได้ไม่ต้องตอบคำถามใครต่อใคร ว่าริมฝีปากไปโดนอะไรมา ทำไมถึงได้บวมช้ำอย่างนั้น..

                          ********************




“หน้าเตมีอะไรติดอยู่เหรอครับ  พี่ดิม” 

คุณหมอหนุ่มสะดุ้งตื่นจากภวังค์  เพิ่งรู้สึกตัวว่าเผลอยืนจ้องหน้าอีกฝ่ายอยู่นาน  เห็นเตชูถุงบรรจุมะม่วงหลายลูกให้ดู  เขารับมาถือเอาไว้  พูดพึมพำไม่มองหน้าว่า

“พอแล้วล่ะ  เตไปนั่งพักเถอะ  เดี๋ยวที่เหลือพี่ซื้อต่อเอง”  หัวใจยังเต้นผิดปกติอยู่   เพราะดันเผลอนึกถึงเรื่องราวในวันวานขึ้นมา  โดยเฉพาะในคืนนั้น   ยังจำรสจูบหวานละมุนในตอนนั้นได้อยู่เลย...บ้าจริง! ทำไมต้องดันมานึกอะไรตอนนี้นะ

"ไม่เป็นไร  ให้เตช่วยเถอะ  จริงๆคนที่ควรจะไปพักคือพี่ดิมตะหาก"

“ไม่ได้หรอก  พี่จะปล่อยให้เตซื้อของเข้าบ้านคนเดียวได้ยังไงกันล่ะ”  ประโยคนี้ทำให้ความคิดของคนฟังกระเจิดกระเจิงไปไกล  แค่มาเดินซื้อของในซุปเปอร์มาเก็ตใกล้คอนโดด้วยกัน เตก็รู้สึกแปลกๆแล้ว  มันเหมือนเป็นอะไรที่คู่รักเขาทำด้วยกันเลยไม่ใช่หรือไง  ซื้อของเข้าบ้าน  ดูพี่ดิมพูดเข้าสิ

“เป็นอะไรหรือเปล่า  หน้าแดงๆ  ไม่สบายเหรอ  หรือว่าไข้ขึ้น?”  คุณหมอแกล้งถาม  เห็นหน้าของอีกฝ่ายแดงก่ำใกล้เคียงมะเขือเทศสุกเข้าทุกทีก็ยิ่งได้ใจ  ยกมือขึ้นทำทีจะแตะที่หน้าผากของฝ่ายนั้น  แต่เตเบือนหลบ  ใบหน้าซับสีเลือดมากกว่าเดิม

....ตั้งเตกำลังเขินเขาแน่ๆ   หึ  ก็ไม่แปลกหรอก  เล่นพามาซื้อกับข้าวด้วยกันซะขนาดนี้  เดินคู่กันในซุปเปอร์ฯ  ช่วยกันเลือกผักผลไม้  ไถ่ถามกันว่าเย็นนี้อยากกินอะไร  เหมือนพ่อบ้านหรือคู่รักข้าวใหม่ปลามันที่พากันมาซื้อของเข้าบ้านในช่วงสุดสัปดาห์   รอบด้านก็มีแต่พนักงานและแม่บ้านสาวๆที่ลอบมองมาที่พวกเขาสองคนยิ้มๆ  ถ้าเตไม่เขินสิแปลก

            ก็เขาตั้งใจนี่นะ..

            “ไม่ได้เป็นอะไร  พี่ดิมไปนั่งเถอะ  จริงๆ”

          กำลังจะหาโอกาสหยอดอีกซักนิดหน่อยให้ใจหวั่นไหว  เสียงโทรศัพท์ก็ดันดังขึ้นเสียก่อน   เขาหยิบขึ้นมาดู พอเห็นชื่อที่หน้าจอก็จำต้องขอตัวเดินแยกออกมาโดยดี   ตั้งเตมองตามมา  ท่าทางราวกับจะรู้ว่าใครที่โทรมา

            “สวัสดีครับ  คิดถึงคุณจัง”  พูดออกไปอัตโนมัติ  ปลายสายหัวเราะแผ่วเบา

            “คิดถึงแต่ไม่เห็นโทรมาเลยนะ...ทำอะไรอยู่ หืม?”   คนที่อยู่อีกซีกโลกหนึ่งถามกลับมา         

            “ไม่ได้ทำอะไรหรอก  วันๆก็คอยรับโทรศัพท์ที่พวกรุ่นน้องโทรมาconsult  นั่นแหละ  แล้รันเป็นอย่างไรบ้าง  เวลานี้คุณควรจะนอนแล้วไม่ใช่เหรอ  ทำไมไม่พักผ่อน”  ถามเสียงเข้ม  สายตาเหลือบมองคนในซุปเปอร์ที่กำลังเดินซื้อของอยู่อย่างเพลิดเพลินแวบหนึ่ง 

            “เพิ่งเสร็จจากเคสผ่าตัดของเด็ก  ที่นี่เขาผ่าแบบส่องกล้องหมดแล้วนะ  รันได้เข้าช่วยด้วยเลยเพิ่งเลิกน่ะ  เพลียๆนิดหน่อยแต่คิดถึงดิมมากกว่า เลยแวบออกมาโทรหา   แล้วดิมอยู่ที่นั่นเป็นยังไงบ้าง  พี่พยาบาลดูแลดีไหม  ขลุกขลักอะไรหรือเปล่า”  รดิศได้ยินแบบนั้นก็เลิกคิ้ว  ครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว

            “โอเคอยู่  ...อืม  คืออย่างนี้  พี่คนที่มาน่ะ ลูกสาวเขาไม่สบายก็เลยลาหยุดไป   วันนี้เขาก็ขอลาอีก พี่ก็เลยคิดว่าจะเปลี่ยนคนดีกว่า  จะได้ไม่ลำบากเค้าด้วย”

            “อ้าวเหรอ  แบบนี้พี่ก็อยู่คนเดียวน่ะเรอะ  ตายแล้ว งั้นเดี๋ยวรันติดต่อพี่ส้มให้ช่วยหาพยาบาลคนใหม่มาแทนดีกว่า”

          “ไม่ต้องๆ ไม่เป็นไร พี่อยู่ที่นี่เดี๋ยวพี่จัดการเองเรื่องพยาบาล  นายไม่ต้องลำบากหรอก   ว่าแต่ดูงานไปถึงไหนแล้ว  โปรเฟสเซอร์ที่นั่นเจ๋งสมคำร่ำลือมั้ย....”  เขารีบเปลี่ยนเรื่อง ชวนอีกฝ่ายคุยถึงการเรียน  การใช้ชีวิตยังต่างแดนแทน  ฟังคู่สนทนาเล่าจ๋อยๆ ถึงประสบการณ์ที่ได้พบเจอมาอยู่พักใหญ่  วิรัลก็เป็นฝ่ายตัดบทไปเอง  ไม่ลืมเตือนเขาเรื่องติดต่อเจ้ส้ม ก่อนจะวางสายไป

            รดิศถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่   เดินตามหลังร่างโปร่งบางที่เห็นอยู่แวบๆไกลๆเมื่อครู่ หายเข้าไปแถวชั้นวางปลากระป๋อง  กวาดสายตามองหาชายหนุ่มหัวหยิกหยอง  ทว่ากลับไม่พบ

            ...หายไปไหนของเค้านะ เร็วจริง  ก็ว่าจับตาดูอยู่ตลอดแล้วนะ...  พึมพำกับตัวเองเบาๆ จ้ำเท้าเดินไปตามชั้นที่วางสินค้าโชว์เอาไว้    ไล่ตั้งแต่ชั้นแรกไปจนถึงชั้นสุดท้าย  วนกลับมาที่โซนอาหารสดอีกครั้ง

            “ไปไหนเนี่ย  เผลอแวบเดียว”  ดิมชักหงุดหงิด  ล้วงโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรหาอีกฝ่าย  ฟังเสียงรอสายไปครบสามรอบ  ไม่รับสาย  เขากดวาง  ยิ่งหงุดหงิดมากกว่าเดิม

...มีโทรศัพท์เอาไว้ทำไม  ไม่เคยรับ  โดนตีหัวไปแล้วหรือไง  ปั้ดโธ่  กดโทรไปอีกรอบ   อดทนรอสายอีกครู่ใหญ๋  นั่นแหละ ปลายสายถึงได้กดรับ

            “อยู่ไหนแล้ว  โทรไปทำไมไม่รับ”  กรอกเสียงลงไปทันที

            “คิดตังค์อยู่  ออกมานั่งรอข้างนอกแล้ว”  ฝ่ายนั้นตอบกลับมา  เสียงห้วนพอกัน   คนฟังเม้มปาก เดินวกกลับออกมายังด้านนอกของซุปเปอร์มาเก็ต  เจอฝ่ายนั้นนั่งดูดน้ำปั่นอยู่ด้านหน้าร้านขายของ  ข้างๆมีรถเข็นที่มีถุงพลาสติกใส่ของบรรจุอยู่เต็ม

            “ออกมาก่อนทำไม  ทำไมไม่รอผม”  ศัลยแพทย์หนุ่มเดินตรงเข้ามาหา  เปิดฉากถามทันที  ฝ่ายนั้นไม่พูดพร่ำทำเพลง ยื่นแก้วน้ำปั่นที่ตัวเองกำลังดูดอยู่มาตรงหน้าเขา  ปลายหลอดยาวแทบทิ่มจมูก  ดิมเบือนหลบ

            “อะไร?”

          “กินน้ำก่อนได้ใจเย็นๆ”  เตพูด  จับปลายหลอดมาจ่อที่ริมฝีปากของเขา  แทบจะเรียกว่าป้อน   ดิมใจกระตุกไปวูบ   แต่ก็ยอมอ้าปากดูดน้ำปั่นหวานเย็นชื่นใจไปหลายอึก  รู้สึกได้ว่าใจเย็นลงจริงตามที่อีกฝ่ายว่าเอาไว้ 

            เตจับตามองยิ้มๆ  หัวเราะออกมาเมื่อคุณหมอหนุ่มที่ดูดน้ำปั่นของเขาไปเกือบครึ่งแก้ว ยกมือขึ้นมาชี้หน้า

            “มุขเดิมอีกแล้ว  คราวหน้าไม่สำเร็จหรอกนะ”

            ...หึ  เดี๋ยวก็รู้ว่าคราวหน้าจะสำเร็จไหม  มุขนี้ใช้มาตั้งแต่ปี 1 ยันตอนนี้ ก็ยังได้ผลอยู่เลย  คุณหมอหายโกรธเป็นปลิดทิ้ง ..จริงสิ  นี่เราเผลอนึกถึงเรื่องในอดีตอีกแล้วหรอ ...

            “เป็นอะไร ทำไมเงียบไป  พี่หายโกรธแล้วน่า”  พี่ดิมมองหน้าเขา

            “เปล่าหรอก  ขอโทษนะที่ออกมาก่อน  เห็นยังคุยไม่เสร็จเลยไม่อยากเร่ง”  เขาตอบยิ้มๆ  รู้อยู่แก่ใจดีว่าเค้าขอตัวไปคุยกับใคร

            อดรู้สึกผิดในใจขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้   ที่กำลังทำอยู่ตอนนี้ เหมือนเขากำลังลักลอบฉกชิงเอาความสุขที่ควรจะเป็นของผู้ชายคนนั้นมาไว้เสียเองหรือเปล่า   แล้วถ้า ‘ตัวจริง’ ของคนๆนั้นกลับมา  เขาจะอยู่ในสภาพไหนกัน  ถึงตอนนั้นจะทำใจ ‘ปล่อย’ ได้ไหม

            ขนาดเห็นเขาโทรหากัน ยังอดสะเทือนใจไม่ได้...ความจริงที่ว่าเขาสละสิทธิไปตั้งแต่ 8 ปีที่แล้ว มันก็ยังเป็นความจริงอยู่วันยันค่ำ 

            “คิดมากอะไรอยู่...ไม่ต้องคิดเยอะหรอกน่า  เดี๋ยวแก่เร็วไม่รู้ด้วยนะ”  พี่ดิมพูด  ยกปลายนิ้วขึ้นมาจิ้มที่หน้าผากของเขาแรงๆ  “หน้าผากย่นหมดแล้ว รู้ตัวหรือเปล่า”  เค้าใช้นิ้วโป้งเกลี่ยที่หน้าผากของเขาเบาๆ ราวกับต้องการจะลบร่องรอยที่ฝังลึกอยู่บนผิวของคนคิดมากให้

            ตั้งเตหัวเราะ  เบือนหน้าหลบ  เห็นสายตาของเด็กสาวๆในร้านลอบมองมาแล้วก้มลงยิ้มกันเป็นแถว ก็ชักเขิน  เสไปจับรถเข็นออกแรงเข็นนำออกมาจากซุปเปอร์มาเก็ตแทน 

            “ไปกันเถอะ   เดี๋ยวของสดเสียหมด”  พูดงึมงำ แล้วจ้ำไปที่รถคันใหญ่ของคุณหมอหนุ่ม  เก็บของใส่ท้ายรถอย่างว่องไวแล้วขึ้นไปประจำที่นั่งคนขับ

            รอเจ้าของรถที่เดินทอดน่องมาช้าๆ เปิดประตูขึ้นมานั่งบนรถ

            “วันนี้นายไม่มีธุระแล้วใช่ไหม  อยู่กินข้าวเย็นกับพี่หน่อยสิ  ซื้อของมาเยอะแยะแต่มีมือเดียว พี่จะทำกินเองได้ยังไง”

            เตสตาร์ทรถ

            “ผมซื้อข้าวเย็นสำเร็จรูปเอาไว้ให้พี่แล้ว   กินแล้วทิ้งจานไปเลยไม่ต้องล้าง  สะดวกดี”  ดิมเม้มปาก

            “อ้อ  เหรอ  แต่ยังไงพรุ่งนี้เช้าพี่ก็ต้องอยู่คนเดียวอยู่ดีนั่นแหละ”

          “พรุ่งนี้คุณพยาบาลที่มาดูแลพี่เขาก็จะมาแล้วไม่ใช่เหรอ”

            “เขาไม่ทำแล้ว   ลูกสาวเขาไม่สบายเลยต้องอยู่ดูแลยาวเลย   นี่พี่กำลังรออยู่  พี่ส้มบอกจะติดต่อพยาบาลพิเศษให้ แต่ต้องรอหน่อยสัก..สองสามวัน”  ดิมพูดช้าๆ  จับตาดูท่าทีของคนฟังก็เห็นฝ่ายนั้นเพียงแต่เลิกคิ้ว

            “หรอ  แย่จังแฮะ”  เสียงเตพึมพำ กลั้วหัวเราะน้อยๆในลำคอ   เหลือบมองคนนั่งข้างๆแวบหนึ่งอย่างรู้ทัน  เห็นฝ่ายนั้นทำหน้าจ๋อยเหมือนเด็กไม่ยอมโต

            “ใช่สิ  พี่มันโดนทิ้งตลอด..  ช่างเถอะ  อยู่คนเดียวก็ได้ ไม่เห็นต้องง้อเลย  มีมือเดียวก็ไม่ได้พิการซักหน่อยนี่  พี่ไม่รบกวนนายหรอก”

          “ก็ดีแล้ว  ฝึกเอาไว้  ไม่มีใครอยู่กับเราได้ตลอดหรอก  ต้องฝึกอยู่คนเดียวให้ได้”  เตพูด  ประโยคหลังเสียงแหบลึกราวกับพูดกับตัวเอง

            “แต่มันยังไม่ถึงเวลานั้นไม่ใช่เหรอ  พี่ยังไม่อยากอยู่คนเดียวตอนนี้นี่  นะตั้งเตนะ  อยู่กินข้าวเย็นกับพี่ก่อน แล้วค่อยกลับบ้าน”

            ติณธรรู้ตัวตั้งนานแล้ว  ตั้งแต่ตอนที่เพิ่งเริ่มคบกันใหม่ๆ ว่าเขาไม่เคยปฏิเสธพี่ดิมได้สำเร็จเลย  แค่สบสายตาเว้าวอนคู่นั้น  ไหนจะน้ำเสียงนุ่มๆอ้อนๆแบบนี้อีก  ใจก็พลอยอ่อนเป็นขี้ผึ้งถูกไฟลน   จะว่าไป..มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่เขาปฏิเสธพี่ดิมสำเร็จ....วันนั้นไงล่ะ  แต่ก็ต้องตัดใจวิ่งแบบไม่เหลียวหลัง จนกระทั่งพี่ดิมต้องได้รับอุบัติเหตุ

            ตั้งใจไว้ว่าจะไม่ยอมข้องแวะกันอีก  แล้วเป็นไงล่ะ  สุดท้าย เขาก็มานั่งขับรถให้อีกฝ่ายอยู่นี่ไง

            “ผมต้องไปรับลูกก่อน   พี่รอผมก่อนได้ไหม แล้วผมจะกลับมาตอนเย็นๆ”  นักเขียนหนุ่มพูดออกมาในที่สุด  เขาช่วยพี่ดิมหิ้วของขึ้นไปเก็บบนห้องเรียบร้อย   เจ้าของห้องส่งยิ้มให้เขา  ท่าทางดีใจเหมือนเด็กๆ...เหมือนพี่ดิมคนเดิม

            “ก็ได้  ว่าแต่นายจะไปรับลูกยังไง”

          “แท็กซี่”  ตอบสั้นๆ  พลิกนาฬิกาข้อมือดูเวลาเร็วๆ  เห็นใกล้ถึงเวลาที่โรงเรียนของเด็กชายเต้จะเลิกแล้ว

            “ถ้าอย่างนั้นเอารถพี่ไปดีกว่า  แล้วเดี๋ยวพี่ขอไปด้วย”

          “ไม่เป็นไร เกรงใจพี่  ผมต้องไปส่งลูกที่บ้านก่อน  พี่พักผ่อนเถอะ”  ถึงเขาจะพูดต้านทานมาอย่างไร พี่ดิมก็ไม่ฟัง  เขาส่งกุญแจรถให้แล้วเดินคู่ออกมาจากคอนโด  ยืนยันความตั้งใจว่าวันนี้เขาจะไปรับลูกชายของอีกฝ่ายที่โรงเรียนด้วย

            “อย่าคิดมากน่า  พี่ก็อยากเจอลูกชายของนายเหมือนกัน  ชื่ออะไรนะ  เต้ ใช่ไหม  ชื่อจริงว่าอะไร”  นายแพทย์หนุ่มชวนคุย   ท่าทางเขาสบายๆ ไม่เคร่งเครียดอย่างที่เตนึกกลัวเอาไว้ล่วงหน้า

            “ชื่อธีระ  แปลว่านักปราชญ์”

            “อายุกี่ขวบแล้วนะ”

          “ปีนี้เต็ม 8 ขวบ”

            ...8 ขวบงั้นเหรอ  งั้นก็เท่ากับเวลาที่เราเลิกกันเลยน่ะสิ... รดิศคำนวณเวลาอยู่อึดใจ   หรือว่านี่จะเป็นสาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายบอกเลิกเขาเมื่อตอนนั้น  เพราะหญิงสาวคนนั้นท้องงั้นหรือ?

          “ตอนนี้คงเรียนประถมแล้วสินะ....ตอนเจอนายอีกครั้งพี่ยังตกใจ ไม่นึกว่านายจะมีลูกโตจนวิ่งได้ขนาดนั้น   ไม่รู้ว่านายแต่งงานไปตอนไหน ไม่เห็นได้ข่าวเลย”  น้ำเสียงเรื่อยๆ ท่าทางเหมือนคุยกับเพื่อนเก่าที่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง  ทำให้เตคลายใจ  จนกล้าที่จะเล่าออกมาบ้าง

            “ผมเรียนจบก็แต่งงานเลย  ไม่มีใครรู้ข่าวหรอก เพราะผมไม่ได้บอกใคร  แม้แต่เพื่อนฝูงก็ไม่ได้บอก  มัน...ค่อนข้างกะทันหัน”

          “แล้วนายไปเจอแฟนนายที่ไหน”  ดิมหงุดหงิดกับคำว่า ‘แฟน’ ที่ต้องใช้เรียกแทนตัวของผู้หญิงคนนั้น แต่ช่วยไม่ได้  ในเมื่อเขาไม่มีคำอื่นที่เหมาะสมกว่านี้

            “เรารู้จักกันตั้งแต่เด็กแล้ว  ความจริงข้าวตังเป็นลูกสาวของคุณลุงคุณป้าที่เลี้ยงผมมาน่ะ  ไม่รู้พี่ดิมจำได้ไหม  สมัยก่อน  มีอยู่ปีนึงที่ลุงกับป้าลงมาเยี่ยมผมที่กรุงเทพฯ แล้วผมต้องไปดูแล..พี่คงจำไม่ได้”

          “จำได้สิ  คนที่เลี้ยงนายมาใช่ไหม  พี่จำได้ว่านายเคยเล่าให้ฟังว่าพอพ่อแม่ของนายประสบอุบัติเหตุ  ป้านายก็รับนายไปเลี้ยงจนนายเอนท์ติดเลยมาอยู่หอในเมือง  ใช่ไหม”  คุณหมอหนุ่มทวนความจำอย่างแม่นยำ  ตั้งเตไม่ค่อยเล่าถึงที่บ้านเท่าไหร่  เขารู้แค่อีกฝ่ายเป็นเด็กกำพร้า  อาศัยอยู่กับญาติๆ เท่านั้นเอง

            “ใช่”

          “แล้วทำไมพี่ไม่เคยเจอแฟนนายเลยล่ะ”

          “นานๆเขาจะมากรุงเทพฯสักที  ก็เลยไม่ค่อยได้เจอกัน”   คนฟังเงียบไปครู่ใหญ่   ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่ก็เปลี่ยนใจ  ไม่พูดอะไรออกมาอีก

            ขับรถมาจอดที่หน้าโรงเรียนของลูกชายตรงกับเวลาที่โรงเรียนเลิกพอดี   เด็กๆและผู้ปกครองเดินขวักไขว่เต็มลานหน้าโรงเรียนไปหมด  เตเปิดประตูออกไปยืนรออยู่ครู่หนึ่ง  เด็กชายเต้ก็สะพายกะเป๋าเดินตรงมาหา  ทำความเคารพบิดาและคุณหมอหน้าเข้มที่นั่งอยู่ในรถด้วยอย่างเด็กที่ถูกฝึกมาอย่างดี

            “สวัสดีครับ คุณพ่อ  ..คุณอา”

          “เรียกคุณลุงดีกว่าครับ  ถึงหน้าลุงจะเด็กกว่าพ่อเราก็เถอะ  หึๆ ยินดีที่ได้รู้จักครับ  น้องเต้”  ศัลยแพทย์หนุ่มทักทายเด็กน้อย  ท่าทางเคยคุ้นกับการคุยเล่นกับเด็ก  สมกับที่มีแฟนเป็นหมอเด็กจริงๆ

            “โอ้โหว  รถคันใหญ่จัง  นี่รถของคุณลุงหรอครับ”  เด็กชายมองรถเก๋งสีเงินคันใหญ่ด้วยดวงตาแวววาม  เอื้อมมือไปลูบๆคลำๆ ท่าทางตื่นเต้นจนคนเป็นพ่อต้องออกปากดุ

            “อย่าไปจับเล่นสิลูก  ขึ้นรถได้แล้วครับ  คุณแม่รออยู่ที่บ้านนะ”

          คำว่า ‘คุณแม่’ ดูจะได้ผล เพราะเด็กชายก้าวขึ้นไปนั่งในรถแต่โดยดี  เตขอนั่งข้างหน้าข้างๆบิดา  ดิมเลยสละที่ให้เด็กชายนั่งด้านหน้าแทนตัวเอง   ส่วนตัวเขาก้าวขึ้นไปนั่งด้านหลัง   

            เตเอื้อมมือไปคาดเข็มขัดนิรภัยให้ลูกชาย

            “เมื่อกี้ทำไมไม่คาดให้ผมมั่ง”  คนที่จับตามองอยู่ถามรวนๆ

            “ก็คุณอายุแปดขวบหรือเปล่าล่ะ”  อีกคนตอบกลับ  หันไปสตาร์ทรถ 

            “ผมเหลือมือเดียวนี่ ไม่เหมือนก็คล้ายๆนั่นแหละ”    คุณหมอหนุ่มพูด  แกล้งเขยิบตัวมาด้านหน้า  ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นวางพาดบนพนักที่นั่งของคนขับแล้วหันไปชวนเด็กชายคุย

            “อยู่ชั้นอะไรแล้วครับ”

          “ป.2/4 ครับ  คุณลุงล่ะครับ”

            “ลุงอยู่ชั้น....รักเธอ  โอ้ว  ชั้นรักเธอ  ก็เหมือนที่เธอเคยบอกว่าอยากได้ยินทุกวัน..”  ดิมร้องออกมาเป็นเพลง  เหลือบมองสีหน้าคนขับเห็นริมฝีปากอิ่มเต็มคู่นั้นพึมพำเบาๆว่า ‘คนบ้า’ ก็ยิ้มกริ่ม

          “มันคือชั้นอะไรเหรอครับ  เต้ไม่เข้าใจ”  เด็กชายหันมาถาม  คุณหมอหนุ่มปล่อยเสียงหัวเราะออกมาตอบยิ้มๆ

            “ลองถามคุณพ่อดูสิฮะ  พ่อหนูน่าจะเข้าใจนะ”

            “ไม่ต้องไปสนใจหรอกเต้  วันนี้มีการบ้านอะไรบ้างเล่าให้พ่อฟังซิ”   คุณพ่อเปลี่ยนเรื่อง  พยายามไม่สนใจเสียงหัวเราะปนอวดครวญของคนที่นั่งข้างหลัง   

            รดิศนั่งฟังพ่อลูกคุยกันอยู่พักใหญ่  ท่าทางตั้งเตจะสนิทกับลูกชายมาก  รู้จักเพื่อนทุกคนในห้องของลูก แถมยังจำได้แม่นยำทีเดียวว่าใครทำอะไรที่ไหน  พอกับคุณลูกชายที่ช่างเล่าช่างจำทุกรายละเอียดพอกัน

            “แล้วเต้ทำยังไงล่ะ  ให้เจ้าบิ้กเล่นด้วยเหรอ”

          “เต้ไม่ยอมหรอก   หุ่นนั่นมันเป็นของเต้  เต้มาก่อนก็ต้องเป็นของเต้สิ  บิ้กจะมาแย่งได้ยังไง”

          “แต่เต้ก็วางทิ้งเอาไว้ไม่ใช่เหรอ  ตอนที่ไปหยิบนมมาดื่มน่ะ”  คุณหมอหนุ่มที่นิ่งฟังอยู่นานถามแทรกขึ้นมายิ้มๆ  เด็กชายครุ่นคิดไปชั่วครู่ก็ตอบออกมา

            “เต้วางไว้ชั่วคราว ไม่ได้บอกว่าจะทิ้งเลยนี่คุณลุง”

          “อ้าว  ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่หยิบติดตัวไปด้วยตอนที่ไปรับนมล่ะ”

          “มันก็ไม่ถนัดสิ   แบบนั้นเต้ก็ต้องเหลือมือเดียว  เหมือนคุณลุงอ่ะ”    คุณลุงหัวเราะ  ถามต่อ

            “จริงๆลุงว่ามันเหมือนเต้สละสิทธิไปแล้วนะ  วันหลังเอาใหม่สิ  ถ้าไม่หยิบติดมือไป  ก็แสดงความเป็นเจ้าของไว้ก่อน”

          “ทำยังไงเหรอฮะ”

            “ลองถามคุณพ่อเขาดูสิ ว่าแสดงความเป็นเจ้าของนี่เขาทำกันยังไง”

          “พ่อไม่รู้หรอกลูก  ถ้าเป็นพ่อ ในเมื่อบิ้กเขาอยากเล่นก็ให้เขาเล่นสิ   เราก็ไปหาอะไรอย่างอื่นมาเล่นแทนก็ได้นี่ ในเมื่อเราเองก็เล่นหุ่นจนเบื่อแล้วไม่ใช่เหรอ”

          “เห้ยคุณ ทำไมสอนลูกให้ยอมคนแบบนั้นล่ะ”

          “เอ้า ก็เต้วางหุ่นทิ้งไว้ก็เหมือนสละสิทธิไปแล้วอย่างที่คุณบอกไง”

          “แต่คุณจะทิ้งไปเลยแบบนี้ได้ยังไง”

          “ก็เต้เบื่อแล้วไม่ใช่เหรอ  จะไปยื้อเอาไว้ทำไมล่ะ”

          “อ๋อ  เป็นเพราะคุณคิดแบบนี้ละสิ  ตอนนั้นถึงทิ้งผมไปอ่ะ  เพราะคุณเบื่อผมแล้วน่ะเหรอ”

          “เอ๊ะ ทำไมถึงวกกลับมาเรื่องนี้ได้น่ะ  ผมไม่ได้จะหมายความถึงเรื่องนี้เลยนะ”     เด็กชายดูผู้ใหญ่สองคนเถียงกันอย่างงุนงง  แล้วก็พูดแทรกขึ้นมาตามที่คิด

            “เต้ยังไม่เบื่อเล่นหุ่นนะ”

          “ผมก็ยังไม่เบื่อเหมือนกัน”  เตหลุดปากออกไปแล้วก็นึกขึ้นได้   ใบหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันตาเห็น  หันขวับกลับไปจ้องท้องถนนเบื้องหน้า ไม่ยอมสบตาคนนั่งหลังที่จ้องมาที่เขาอย่างเอาเป็นเอาตาย

            “เมื่อกี้พ่อหนูเขาพูดว่าไงนะเต้  ลุงฟังไม่ถนัด”

          “พ่อบอกว่า ยังไม่เบื่อครับ”  ลูกชายของเขาตอบเสียงใส 

            “ผมหมายถึงเต้น่ะ  ยังไม่เบื่อหุ่นน่ะ....อย่าเข้าใจผิด”  คนขับรถพูดห้วนๆ รู้สึกถึงเสียงหัวเราะนุ่มๆข้างหูและลมหายใจแผ่วเบาที่มากระทบด้านหลังต้นคอ

          “ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่   เอ  เพิ่งสังเกตว่าลูกชายคุณหน้าไม่ค่อยมีเค้าคุณเท่าไหร่เลย ขาวๆตี๋ๆ  แฟนคุณเขาออกคมๆไม่ใช่หรอ  แล้วเหมือนใครล่ะเนี่ย”  คนพูดเขยิบเข้ามาพิจารณาใบหน้าของเด็กน้อยเทียบกับผู้เป็นพ่อ  ลองมองดูใกล้ๆแล้ว ทั้งสองคนไม่เห็นมีส่วนคล้ายกันเลยสักนิด

          “เหมือนคุณลุงของผม  ท่านมีเชื้อจีน”  อีกฝ่ายพยักหน้ารับเนิบๆ ไม่ถามต่อ ทำให้คนตอบค่อยคลายใจ

            ...ยังก่อน   ยังไม่ถึงเวลาเล่า  เอาไว้ก่อน  แล้วเราค่อยเล่าให้ฟังก็แล้วกัน…เตคิดในใจ  ไม่มีใครพูดอะไรอีก  เด็กชายเต้ผล็อยหลับไปก่อนที่จะถึงบ้าน  จนคนเป็นพ่อต้องปลุกเรียก  แล้วหิ้วปีกพาหายเข้าไปในบ้าน 

            “พี่ดิม… จะเข้าไปในบ้านด้วยกันไหม”  รดิศส่ายหน้าอย่างไม่ต้องคิด

            “พี่ขอรออยู่ข้างนอกดีกว่า  ตามสบาย  ไม่ต้องรีบ”  เขายอมกลืนยาตายดีกว่าจะย่างเท้าเข้าไปภายในบ้านหลังนั้น   แค่เห็นตั้งเตกับลูกชายในวันนี้เขาก็รู้สึกเหมือนโดนเข็มทิ่มในอกแล้ว

            ครอบครัวของเตดูอบอุ่นเหลือเกิน    ช่วงเวลาที่ผ่านมาของเค้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของลูกชาย โดยมีภรรยาที่น่ารักเคียงข้าง  ส่วนเขาล่ะ..มีแต่อดีตอันแสนเจ็บปวดเท่านั้น  ทุกคืนผ่านไปอย่างยากลำบาก ราวกับกำลังว่ายน้ำตะกายอยู่กลางมหาสมุทรที่มองไม่เห็นฝั่ง

            ถึงจะมีรันเข้ามาช่วยพยุงเอาไว้  แต่เขาก็รู้อยู่แก่ใจดี ว่าบาดแผลลึกล้ำนั้นไม่อาจรักษาให้หายได้ง่ายๆด้วยฝีมือของคนอื่น  นอกจากคนที่ฝากรอยแผลเอาไว้เท่านั้น

            ตั้งเต...นายจะต้องชดใช้   หลังจากนี้ตะหาก ถึงจะเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่แท้จริงสำหรับเขา

            รอดูไปก่อน  อีกไม่นานหรอก หึ

            ......................................................................................


มาต่อจนจบตอนค่าาา  ขอบคุณมากนะคะที่ติดตามอ่าน
เรื่องตอนจบนั้น...บอกเลยว่าตั้งเเต่เขียนนิยายมานิยายของเราทุกเรื่องจบแฮปปี้เอนดิ้งหมดนะคะ5555
แต่ไม่ได้บอกว่าเรื่องนี้จะแฮปปี้นะคะ  ไม่อยากสปอยเด๋วไม่สนุก
เรื่องดร่าม่าเข้มค่ะ  เเละจะเข้มขึ้นอีกเรื่อยๆ
ชีวิตเตรันทดค่ะ  เลิกอ่านได้ไม่ว่ากัน  :mew4:

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
 :กอด1:
เราจะดราม่าไปด้วยกัน

ตั้งเต & หมอดิม ใครจะเจ็บมากกว่ากัน หรือเท่าๆกัน

ลุ้นกันยาวๆ 

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
หมอส้มจะมาช่วยคลี่คลายไหมอะ เห็นชื่อหลายรอบเเล้ว

ออฟไลน์ Duangjai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 658
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
ดราม่าเพราะรักกันที่สุด เรารับได้

มาม่ามาเถอะ จะกินให้สะใจกันไปเชียว

 :hao6:  :hao7: :hao6:  :hao7:   :hao6:  :hao7:

....


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ 205arr

  • เราคงอยู่ไกลกันเป็นพันหมื่นลี้
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
ทำไมไม่พยายามทำชีวิตตัวเองให้มีความสุขนะ พี่ดิม น้องเต
 :z3:

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
  อ้าว เป็นแผนหมอดิมเหรอเนี้ย ร้ายนะ แต่ไม่เป็นไรหมอทำไปเถอะ พอรู้ความจริงจากเตวันไหนหมอจะเจ็บใจมากกว่าอีก
  รออ่านตอนต่อไปคับ

ออฟไลน์ ceylon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 389
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ไหนๆก็แฮปปี้ทุกเรื่องแล้ว เรื่องนี้ก็แฮปปี้อีกซักเรื่องนะคะ 55555
แต่กว่าจะแฮปปี้นี่คงแบบ  :katai1:
สงสารเตอ่ะ เดาว่าตอนที่หมอดิมทิ้งน่าจะพร้อมภรรยาเสีย เจ็บหนักกันไปเลยทีเดียว แต่ก็เดาเฉ๊ยเฉยยยยยย
อ่านแล้วหยุดอ่านต่อไม่ได้เลย เหมือนโดนสาป 5555

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
เพราะหัวใจบอกว่า...คิด

 



 

 

 

            “ผมคงอยู่ได้ไม่นานนะพี่ดิม  ต้องรีบกลับบ้าน  แฟนไม่ค่อยสบาย”

            นักเขียนหนุ่มพูด  ช่วยเตรียมอาหารเย็นให้เจ้าของบ้าน  เขาทำอาหารง่ายๆแทนที่จะต้องทานอาหารสำเร็จรูป  รู้ดีว่าฝ่ายนั้นไม่ชอบกินพวกอาหารกล่องสักเท่าไหร่   เหมือนกันกับเขานั่นล่ะ

            “อ้าว  เป็นอะไร”  อดถามไม่ได้ ตามความเคยชิน เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายมีคนป่วยอยู่ที่บ้าน

            “ไม่รู้เป็นอะไร  เห็นบอกเหนื่อยๆ  วันนี้ผมพาไปหาหมอแล้วเมื่อเช้า  ก็ไม่เห็นว่าไง  บอกว่าพักผ่อนไม่พอ แล้วก็ให้ยาบำรุงมา”   เตตอบเรื่อยๆ  มือก็เริ่มผัดข้าวผัดไปด้วย  กลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วห้องครัวเล็กๆ

            “เหรอ  ไปตรวจกับคุณหมอที่ไหนหรือ”

            “เห็นบอกชื่อหมอส้ม ชื่อสิริกัญญาหรือสิริกานต์เนี่ยแหละ  โรงพยาบาล....”  เขาเอ่ยชื่อโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่อีกแห่งใกล้บ้าน

            าดิศขมวดคิ้ว...ทำไมโลกกลมจังแฮะ  เตพาแฟนไปตรวจกับเจ๊ส้ม  รุ่นพี่ที่เขาสนิทด้วยมากที่สุดงั้นหรือ...เดาว่าฝ่ายนั้นคงจะลืมไปแล้ว  ไม่อย่างนั้นคงจะถามแล้วล่ะว่าใช่คนเดียวกันหรือเปล่า

            “อืม  ดีแล้ว   ถ้ามีอะไรอยากให้ช่วยก็บอกนะ  ไม่ต้องเกรงใจพี่”  เขาพูด ยิ้มน้อยๆด้วยท่าทางของคนดี ที่พร้อมช่วยเหลือมวลมนุษยชาติ 

            ชายหนุ่มอีกคนพยักหน้ารับ  เขายกกระทะลงจากเตา   ตักใส่จานอาหารสองจานเรียบร้อย  เจ้าของบ้านช่วยยกจานออกมาวางเอาไว้ที่โต๊ะ  เขาเดินไปเปิดโทรทัศน์เครื่องใหญ่ยักษ์ที่ตั้งอยู่ในห้องรับแขก  หันมาชวนแขก

            “ดูหนังกันไหม  กินไปด้วยดูไปด้วย”

            เขารู้ว่าเตเป็นคนชอบดูหนัง  เช่นเดียวกันกับเขา  แต่ก่อนเราสองคนไปดูหนังด้วยกันบ่อย  โดยเฉพาะเวลาสอบเสร็จ   เขาชอบดูหนังผีมาก  ทั้งที่เป็นคนกลัวผีขึ้นสมองนี่แหละ  ตรงข้ามกับเตที่ไม่ชอบดูหนังผี  ทว่าไม่ได้กลัวผี 

            “เรื่องอะไรเหรอ”

            ฝ่ายนั้นถามกลับมา ท่าทางสนใจ ตรงกับที่เขาคิดเอาไว้เป๊ะ  ดิมหยิบแผ่นดีวีดีขึ้นมาโชว์ให้ดู  เป็นหนังผีที่เพิ่งออกจากโรงมาได้ไม่นานนัก   กระแสดี มีแต่คนวิจารณ์ว่าออกมาดีเกินคาด

            “หนังผีอีกแล้วเหรอ..เรื่องนี้เห็นเขาบอกว่าน่ากลัวมาก   พี่ดิมกล้าดูเหรอ  ไม่กลัวหรือไง”  เตถาม  รับแผ่นไปพลิกดู   รดิศหัวเราะ

            “โธ่  ระดับไหนแล้ว  แค่นี้พี่ไม่กลัวหรอก” 

            “อย่าให้เห็นว่าเอามือขึ้นมาปิดตานะ”  เตพูดกลั้วหัวเราะ  เดินไปเปิดเครื่องเล่นซีดีให้

            ครู่เดียวพวกเขาก็มานั่งเคียงข้างกันอยู่บนโซฟา หน้าจอโทรทัศน์เครื่องใหญ่  เบื้องหน้ามีจานข้าวผัดคนละจานเปล่าๆ วางทิ้งเอาไว้  สองตาจับจ้องไปที่หน้าจออย่างลุ้นระทึก

            บรรยากาศในหนังเริ่มอึมครึม  เสียงเพลงประกอบชวนขนหัวลุกไม่น้อย  รดิศเริ่มเหลียวซ้ายแลขวามองหาอุปกรณ์ที่เขาจะสามารถคว้าขึ้นมาปิดตาได้   เหลือบดูหมอนอิงใบสุดท้ายที่คนข้างตัวกอดอยู่แนบอกแล้วกลืนน้ำลายลงคอฝืดๆ

            นางเอกค่อยๆเดินตรงเข้าไปที่ประตูช้าๆ  ก้าวต่อก้าวคือการลุ้นจนหายใจแทบไม่ออก  มือของเธอเอื้อมไปจับที่ลูกบิดประตู   กลั้นใจนิดนึง  เสียงเพลงประกอบทำเอาใจเต้นตึกตัก

....น่ากลัวฉิบเป๋ง  ใครเลือกเรื่องนี้ฟร่ะ อ้อ เราเองนี่หว่า  ...จะยกมือขึ้นมาปิดตาก็ไม่ได้  เดี๋ยวเสียฟอร์มหมด  ทำไมเตนั่งดูได้หน้าตาเฉยอย่างนี้นะ  ไม่กลัวหรือไง....คุณหมอหนุ่มรำพึงในใจอย่างว้าวุ่น  อยากลุกหนีไปจากตรงนั้น

“อย่าเปิดนะเว้ย  อย่าเปิด”  ดิมพึมพำออกมาเบาๆ  สะดุ้งนิดหนึ่งเมื่อมีสัมผัสเย็นเฉียบจับเข้าที่หลังมือของเขาที่กำลังจิกโซฟาแน่น  ก้มลงมองอย่างตกใจจนเกือบอุทานออกมา

มือของใครบางคนกุมอยู่ที่หลังมือของเขาแน่น   เจ้าของมือนั่งกอดหมอน ตาจ้องเป๋งไปที่หน้าจอแทบไม่กระพริบ  คงไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังบีบมือของเขาอยู่

ศัลยแพทย์หนุ่มใจเต้นแรงหนักกว่าเดิม   พลิกมือขึ้นมาเพื่อจะได้กุมประสานกับมือเรียวได้รูปสวยของอีกคนได้ถนัด   

ทั้งสองกุมมือกันแน่นแบบนั้น จนกระทั่งจบเรื่อง   ต่างถอนหายใจยาวเหยียดออกมาอย่างโล่งอก 

...จบได้ซักที  ถ้าถามว่าเรื่องมันเกี่ยวกับอะไรคงตอบไม่ถูก  รู้แต่ว่านางเอกเซ็กซี่มาก รอดมาได้อย่างปาฎิหาริย์   และมือของเขาเปียกมาก  หึ  ไม่รู้ว่าเหงื่อใคร อาจจะเป็นของทั้งคู่กระมัง...รดิศก้มลงมองมือที่ยังคงจับกันเอาไว้มั่น   ตั้งเตทำท่าจะดึงมือกลับ แต่เขายึดเอาไว้ไม่ยอมปล่อย

            “เอ้อ  หนังจบแล้ว”  เสียงเตพึมพำ  หลบตาเขา

            “แล้ว?”  แกล้งถามไปอย่างนั้นเอง    เห็นใบหน้าเรียวหวานเริ่มเปลี่ยนสีก็หัวเราะเบาๆ

            “ปล่อยเถอะ  ผมจะกลับบ้านแล้ว”  เตพูดงึมงำ

            “ให้ปล่อยง่ายๆ มันถูกเหรอ  อยู่ๆก็มาจับของเค้าน่ะ”  ดิมพูดออกไป แล้วก็แปลกใจตัวเอง   ปกติเขาไม่ค่อยพูดอะไรโยกโย้เล่นเหมือนเด็กๆแบบนี้   แม้แต่กับรันก็ไม่เคยพูด

            “ปล่อยเถอะพี่ดิม ดึกแล้ว ผมต้องกลับแล้วจริงๆ”  ตั้งเตพูด น้ำเสียงจริงจังขึ้น   คนที่แกล้งไม่ยอมปล่อยมือ กระแอม  แล้วยื่นข้อเสนอ

            “ปล่อยก็ได้  แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน”   คนฟังเริ่มกลัว  บอกตรงๆว่าตอนนี้เตใจสั่นเสียยิ่งกว่าตอนดูหนังเมื่อครู่นี้เสียอีก  ไม่น่าเผลอจับมือพี่ดิมเลย  เป็นเพราะความเคยชินแท้ๆเชียว   ดูสายตาคมเข้มที่มีฉายแววเจ้าเล่ห์แสนกลตอนนี้สิ   น่ากลัวกว่าผีในเรื่องอีก

            “แลกเปลี่ยนอะไร”  หวังว่าจะไม่ใช่..ง่า...พวกสัมผัสอะไรทำนองนั้นอย่างที่พี่ดิมชอบทำ เมื่อสมัยก่อนหรอกนะ ...แค่คิดก็รู้สึกหน้าร้อนๆขึ้นมาแล้ว

            รดิศยิ้มกริ่ม   รู้สึกเป็นต่อขึ้นมาบ้าง  เขาหรี่ตามองคนตรงหน้าแล้วผิวปากยาวๆ

            “พี่ไม่ขออะไรมากหรอก...”  พี่ดิมเว้นวรรค  เขยิบเข้ามานั่งใกล้เขามากขึ้น จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจแผ่วที่ลอยมากระทบซีกหน้าเบาๆ   มือแข็งแรงยังคงกุมมือของเขาเอาไว้แน่น ไม่ยอมปล่อย

เตบอกตัวเองว่าเขาแทบจะกลั้นหายใจรอฟังเลยทีเดียว

“…แค่อยากให้นายกลับไปเรียกแทนตัวเองว่าเตเหมือนเดิม ก็เท่านั้นแหละ  ทำให้ได้ไหม”   คนฟังถอนหายใจอย่างโล่งอก

“แค่นี้เอง  นึกว่าอะไร”

“นึกว่าอะไรเหรอ”  พี่ดิมยื่นหน้าเข้ามาถามจนชิด

“อื้อ  ไม่มีอะไร  ง่า...ปล่อยเตเถอะนะ”  รีบพูดเร็วปรื๋อ  อีกฝ่ายพอได้ยินคำเรียกแทนตัวด้วยชื่อเล่นๆ เหมือนเมื่อครั้งก่อนก็ยิ้มกว้าง

“ไม่เห็นยากเลย เห็นมะ”  เขายอมปล่อยมือออกแต่โดยดี

ติณธรรีบลุกขึ้นยืน  เก็บจานชามไปล้าง   กว่าจะเรียบร้อยหันไปมองนาฬิกาก็ปาไปเกือบสามทุ่มแล้ว   ตอนแรกตั้งใจว่าจะกลับตั้งแต่หกโมงเย็นแท้ๆ  ดันมาหลวมตัวนั่งดูหนังกับอีกฝ่ายเสียได้  แย่จริง

“เดี๋ยวสิ  แล้วนี่นายจะกลับยังไงล่ะ  ขับรถพี่ไปไหม”  เจ้าของห้องผู้โอบอ้อมอารีเสนอขึ้นมาอีก    เตปฏิเสธตามเคย

“ไม่เป็นไร  ถ้าอย่างนั้นแล้วใครจะขับกลับมาคืนพี่ล่ะ  ผม…เอ้อ  เต..กลับแท็กซี่เองได้ครับ”   เขารีบเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวเองแทบไม่ทัน กลัวอีกฝ่ายจะไม่ยอมให้กลับไปดีๆ 

“ก็นายไง  ขับกลับมาคืนตอนเช้าพรุ่งนี้ก็ได้น่า  ยังไงพี่ก็ไปไหนไม่ได้อยู่แล้ว  เอารถพี่ไปใช้เถอะ”  พี่ดิมส่งกุญแจให้เขา   

ทว่านักเขียนหนุ่มปฏิเสธอีกครั้ง

“ไม่เป็นไรครับ  ผมไม่รบกวน…”  คนแก่กว่าพูดขัดขึ้นมาทันควัน

“ตั้งเต อย่าดื้อกับพี่   ถ้านายไม่ห่วงตัวเองก็ห่วงคนที่บ้านที่เขารอนายอยู่บ้าง     สมัยนี้โจรเยอะแยะ   อีกอย่าง...กลับบ้านดึกๆคนเดียวพี่เป็นห่วง”

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะ ‘คนที่บ้าน’ หรือเพราะ ‘พี่เป็นห่วง’ ที่ทำให้นักเขียนหนุ่มยอมรับกุญแจรถจากเขาโดยดี  แต่เอาเป็นว่าตอนนี้เขามีหลักประกันว่าอีกฝ่ายจะต้องกลับมาในเช้าวันรุ่งขึ้นอย่างแน่นอน...ดิมคิดในใจ พลางส่งยิ้มอย่างอ่อนโยน

“รีบกลับบ้านเถอะ  ถึงแล้วโทรมาบอกพี่ด้วย  ไลน์มาก็ได้”  ชายหนุ่มเจ้าของบ้านพูดยิ้มๆ  พาเดินมาส่งที่หน้าห้องพักของเขา    “อ้อ เกือบลืม..”  เขาวิ่งกลับเข้าไปภายในห้อง  ครู่เดียวก็กลับมาพร้อมกับถุงพลาสติกใบเล็ก  ภายในบรรจุลูกกวาดสีสันสดใสเต็มถุง

“ฝากให้เต้หน่อย  บอกจากลุงดิม”

“เจ้าเต้คงจะดีใจ  รายนั้นชอบกินขนมหวานเป็นชีวิตจิตใจเลย”

“เหมือนนายด้วยใช่มั้ย....นี่ให้เต้นะ  ไม่ใช่พ่อเต้  อย่าแอบกินเสียหมดล่ะ”  คุณหมอแกล้งพูดขึงขัง  อีกฝ่ายหัวเราะ  ยกมือขึ้นเกาแก้ม   รู้สึกเขินอย่างไรชอบกลที่โดนดักคอ

“ผมไม่แย่งลูกกินหรอกน่า  ขอบคุณมากนะครับ   พี่ดิม”  คำขอบคุณที่เปล่งออกมาจากใจจริง ทำเอาคนฟังชะงักไปนิด   สบดวงตาใสแจ๋วฉายแววซื่อคู่นั้นก็บอกตัวเองได้ว่า   สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันระหว่างตั้งเตกับเด็กชายเต้ ก็เห็นจะเป็นแววตาใสซื่อบริสุทธิ์ราวกับเด็กน้อยนี่เอง

แววตาที่ชวนให้คนเอ็นดู  อยากโอบอุ้มอุปการะ  อยากปกป้องดูแล...เหอะ  แล้วไง  สุดท้ายก็เหมือนขนมหวานเคลือบสีฉาบพรางเอาไว้ภายนอก  สุดท้ายก็กลายเป็นพิษร้ายแก่ร่างกายเมื่อหลงหยิบขึ้นมากิน

รดิศกระพริบตา แล้วส่งยิ้มกลับคืนไปให้

“กลับบ้านดีๆนะครับ  ตั้งเต”

มองตามหลังอีกฝ่ายลับเข้าไปในลิฟต์    นายแพทย์หนุ่มถอยกลับเข้าไปภายในห้อง  มองโหลแก้วที่มีขนมห่อด้วยพลาสติกสีสดสวยอยู่ครึ่งโหลนั้น แล้วก็ยิ้มกับตัวเอง

            มีแต่เด็กเท่านั้นแหละ ที่ยังหลงยินดีกับขนมสีสันสดใสพวกนี้  เพราะมันไม่มีประโยชน์แก่ร่างกายเลยไม่แต่น้อย   แปลกตรงที่ผู้ใหญ่บางคนก็รู้   แต่ก็ยังชื่นชมกับเปลือกภายนอก และแกะกินอย่างมีความสุข...เขาเองเคยหลงกับสีสัน  ติดใจรสชาติหวานล้ำของมันมาแล้ว   กว่าจะรู้ตัวก็เกือบสาย   ตอนนี้เป็นตาของนายบ้างแล้วเต

            นายจะ...หลงลูกกวาดจอมปลอมพวกนี้ไหม   ถ้าใช่...สิ่งที่นายจะได้รับตอบแทน  มันจะต้องมากกว่าที่ฉันเคยได้รับ

            ......................................................................................

            นักเขียนหนุ่มขับรถกลับมาถึงที่บ้านก็เกือบสี่ทุ่มแล้ว  ต้องขอบคุณคุณหมอใจดีคนนั้นที่ให้ยืมรถกลับมา  ไม่อย่างนั้นเขาก็คงจะต้องผจญกับฝนที่เทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาตั้งแต่ครึ่งทาง

            “กลับมาแล้วเหรอคะ พี่เต   นั่นรถใครน่ะ”

            หญิงสาวทักขึ้นข้างหลังเขาจนเกือบสะดุ้ง   หันกลับมาพบร่างเล็กบอบบางในชุดนอนยืนเกาะประตูห้องครัวอยู่   สายตาของเธอจ้องมองมาที่เขาราวกับต้องการค้นหาอะไรบางอย่าง

            “รถคุณหมอที่พี่ไปสัมภาษณ์น่ะ   เขาให้ยืมมา  เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยเอาไปคืน”

            “หมอคนไหนหรอคะ  ทำไมใจดีจัง  ให้ยืมรถกลับมาทั้งคันเลยหรือ”

          “หมอเขาก็ใจดีแบบแหละ  เขา..ง่า..มีรถหลายคัน  เห็นฝนตกด้วยเลยให้ยืมกลับมาก่อนน่ะ   ตังยังไม่นอนอีกเหรอ   วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง  หายเหนื่อยหรือยัง  ลุกขึ้นมาเดินได้แล้วแบบนี้แปลว่าค่อยยังชั่วแล้วใช่มั้ย”  เขารีบเปลี่ยนเรื่อง    ถามถึงสุขภาพของเธอแทน 

            เดินเข้ามาโอบไหล่ พาขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน 

            “ดีขึ้นแล้วค่ะ  ได้พักก็หาย  พี่เตล่ะ  วันนี้กลับดึกจัง”  เธอยอมเปลี่ยนเรื่อง  แม้ว่าจะยังคงติดค้างอยู่ในหัวใจ

            “งานเร่งน่ะ   เดี๋ยวพี่จะต้องกลับมาเขียนต่ออีก  ตังเข้านอนเถอะจ้ะ   ไม่ต้องห่วง พี่ปิดบ้านเอง”   ชายหนุ่มเดินมาส่งเธอที่หน้าห้องนอนเหมือนทุกคืน   หญิงสาวยึดข้อมือของเขาเอาไว้

            เตเลิกคิ้ว

            “พี่เต...ยังจำสัญญาของพี่...ตอนที่จดทะเบียนรับเต้ได้มั้ย”

          “จำได้สิ   พี่สัญญาว่าพี่จะดูแลเต้อย่างดีที่สุด   ให้เหมือนเป็นลูกแท้ๆของพี่เอง   ตังถามทำไมเหรอ”   ชายหนุ่มทวนคำได้อย่างแม่นยำ เพราะเขาตั้งใจเอาไว้ว่าอย่างนั้นจริงๆ

            “เปล่า...ไม่มีอะไร   ตังแค่...จู่ๆก็นึกขึ้นมาเฉยๆ”   หญิงสาวพูด  ก้มหน้าลง  ไม่ยอมสบตาเขา

            เตเชยคางของเธอขึ้น   ดวงตาคู่นั้นไหวระริก มีน้ำตาคลอครองอยู่

            “เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า   เล่าให้พี่ฟังเถอะ...ดาวประดับ”  เสีนงทุ้มอบอุ่น และสัมผัสที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนของอีกฝ่ายทำให้น้ำตาของเธอไหลริน   ข้าวตังสะอื้นฮัก  โผเข้ากอดเขาแน่น

           ติณธรกอดตอบ  ยกมือขึ้นลูบหลังของเธอเบาๆ

          “เป็นอะไรไป  เอ้า  ร้องออกมา  ร้องให้หมดก่อนแล้วค่อยพูดนะ”

          เอาอีกแล้ว  พี่เตก็เป็นอย่างนี้ทุกที  สัมผัสของพี่ แววตาของพี่  การกระทำของพี่  ที่เห็นเธอเป็นน้องสาวอยู่ตลอดเวลา มันยิ่งทำให้เธอเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิมเสียอีก   พี่เตไม่เคยรู้  ไม่เคยรู้เลยว่าความจริงแล้วเธอรู้สึกอย่างไร   ไม่สิ...เมื่อแปดปีก่อนเธอรู้สึกอย่างไรตะหาก



                              ******************



          “พี่เต ตังดีใจจังค่ะ ที่ได้เจอพี่”  เธอจับมือของพี่ชาย...ลูกพี่ลูกน้องของเธอเอาไว้แน่น   ลอบพิศดูร่างกายสูงเพรียวสมส่วนของเขาด้วยความภูมิใจ

พี่เตส่งยิ้มให้เธอ  ยิ้มที่ทำให้เธอใจละลายเหมือนขี้ผึ้งถูกไฟลน

“พี่ก็ดีใจเหมือนกัน   ตังมาคนเดียวเหรอ  ทำไมคุณลุงคุณป้าไม่มาด้วย”   เขาถามหาพ่อแม่ของเธอ  เด็กสาวเบ้ปาก  ตอบกระฟัดกระเฟียด

“ป๊ากับแม่ไปธุระที่ขอนแก่น  ตังเลยมาคนเดียว”

“เดี๋ยวนะ  นี่อย่าบอกว่าตังแอบมาโดยไม่บอกคุณลุงคุณป้าเหรอ”  เด็กหนุ่มตกใจ  รีบถามต่อ

“ไม่เห็นจะต้องบอก  ยังไงป๊ากับแม่ก็ไม่สนใจตังอยู่แล้ว”  เธอพูด  ท่าทางไม่สนใจ

คนฟังใจหายวาบ   นี่น้องสาวของเขาแอบหนีออกจากบ้านมาตอนที่ลุงกับป้าไม่อยู่งั้นเรอะ   แล้วนี่เขาควรจะทำอย่างไรดีล่ะเนี่ย

          น้องสาวตัวดีบุกมาถึงหอพักของเขา ได้อย่างไรก็ไม่ทราบ นึกชมความเก่งกาจของเธอ  แต่มันใช่เวลาจะมาชื่นชมไหมเต   ตอนนี้ต้องหาทางส่งเธอกลับบ้านไป ก่อนที่ญาติผู้ใหญ่จะรู้

          “ตัง  ง่า...เธอมาที่นี่..อยากมาเที่ยวใช่ไหม”  ตะล่อมถาม  พยายามนึกหาหนทางส่งเธอกลับไป 

          “อยากมาเจอพี่เตด้วย  ไม่ได้เจอกันตั้งนาน  คิดถึง”  เธอกอดพี่ชายเอาไว้แน่น   เขาขยับตัวอย่างอึดอัด แต่ก็กอดตอบ

          “ตัง   พี่ว่า..ทำอย่างนี้มันไม่ถูกต้องนะ   เอ  เอาไงดีล่ะ”  นัยน์ตาเหลือบมองไปเห็นเพื่อนสนิทกับรุ่นน้องสองคนเดินลงบันไดมาพอดี   เขารีบเรียกเอาไว้

          “โชน  ก้อง  มานี่หน่อยๆ”  สองคนนั้นทำหน้างงๆ  แต่ก็ยอมเดินมาหาแต่โดยดี  ตั้มลากทั้งสองคนนั้นออกมาคุยห่างๆ

         


ต่อด้านล่างค่ะ

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
ต่อนะคะ



“มีอะไรวะเต  เอ๊ะ ไหนว่าวันนี้จะไปดูหนังกับแฟนไม่ใช่เหรอ  ทำไมยังอยู่นี่อีกล่ะ”  ก้องถามเขา  โชนยักคิ้ว ตอบกลับมา

          “ยังไปไม่ได้เพราะนู่นไง  สาวน้อยหน้าคมคนนั้นไง  แหม พี่เต มีแฟนอยู่แล้วยังจะโปรยเสน่ห์ใส่เด็กอีกเหรอ  เดี๋ยวจะฟ้องพี่ดิมเสียเลย” เขาบุ้ยใบ้ไปทางเด็กสาว  เตจุ๊ปาก

          “น้องสาวฉันเองโว้ย  พวกนายช่วยฉันหน่อยสิ  ช่วยอยู่เป็นเพื่อนเธอสักพักได้ไหม”

          “อ้าว ทำไมล่ะพี่”

          “ฉันจะไปหาพี่ดิม  แปบเดียวเท่านั้น  ไม่เกินครึ่งชั่วโมง นะๆ  ไหว้ล่ะ”  เขาเกือบจะยกมือขึ้นมาไหวจริงๆ  แต่เพื่อนทั้งสองรีบรั้งเอาไว้

          “เห้ยๆ  ไม่ต้องไหว้ๆ แล้วทำไมไม่พาน้องสาวไปด้วยล่ะ”

          “ที่บ้านยังไม่รู้ว่าฉันมีแฟน”  เตจำใจตอบออกมา   ทั้งสองคนหัวเราะลั่น

          เด็กสาวเหลียวไปมองผู้ชายสามคนนั้นอีกครั้ง  พวกเขากระซิบกระซาบอะไรกันสักอย่าง  สุดท้ายพี่เตก็เดินเข้ามาหาพร้อมกับผู้ชายสองคนนั้น

          “ตัง  นี่เพื่อนพี่เอง ก้องกับโชน สองคนนี้เป็นเพื่อนสนิทของพี่  ไอ้โชนนี่เป็นรุมเมทพี่ด้วย  ง่า..พอดีว่า..คืออย่างนี้...วันนี้พี่มีธุระต้องรีบไปทำ  ประมาณไม่เกินชั่วโมงเท่านั้น  ตังรออยู่ที่นี่ก่อนได้ไหม  ให้สองคนนี้อยู่เป็นเพื่อนก่อน แล้วพี่จะรีบกลับมา”  เขาพูดเร็วปรื๋อ 

          เด็กสาวพิจารณาดูเด็กหนุ่มสองคนตรงหน้า  คนหนึ่งท่าทางเรียบร้อยน่าไว้ใจ ส่วนอีกคน...คนที่ยักคิ้วให้เธอ ดูกวนไม่ใช่เล่น   เธอหันไปมองหน้าพี่เตอีกครั้ง

          “พี่เตจะไปไหน  หนูไปด้วยสิ”  คนฟังอึกอัก

          “พี่ไปธุระสำคัญจริงๆ  ขอโทษด้วย ตังนั่งรออยู่แถวนี้ก่อนได้มั้ย”

          “งั้นให้ตังขึ้นไปรอที่ห้องพี่ได้ไหม”  เตอยากเอามือขึ้นมากุมขมับ  เขาเหลือบดูนาฬิกาข้อมือเร็วๆ  จะสายแล้ว   เดี๋ยวพี่ดิมงอนขึ้นมาล่ะยุ่งเลย

          “ไม่ได้ๆ  ห้องพี่มัน..ง่า..พี่อยู่กับเจ้าโชนมัน  พี่ว่ามันไม่ค่อยงามเท่าไหร่  ตังนั่งรอพี่ข้างล่างนี่แหละ ดีแล้ว   เอาล่ะ ฝากด้วยนะ  จะรีบกลับมา”  พี่เตโบกมือให้เธอแล้วรีบวิ่งออกไปจากหอพักอย่างรวดเร็ว

          เด็กสาวมองตามงงๆ  เธอหันไปถามเพื่อนของพี่ชายทั้งสองคน

          “พี่เตเขาติดธุระอะไรเหรอคะ  ดูรีบจัง”

          “พี่แกรีบไปหาพ่อน่ะ”

          “พ่อ?  พ่อพี่เตเสียไปแล้วนี่คะ”  สาวน้อยถามทันที  ก้องเพิ่งรู้ตัวว่าหลุดปากอะไรออกไป  หันไปหารุ่นน้องข้างๆทันที  โชนหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

          “พ่อทูนหัวน่ะน้องตัง  ช่างเถอะ อย่าไปสนใจเลย  มานั่งทางนี้ดีกว่า   นี่น้องเป็นน้องสาวแท้ๆของพี่เตเหรอ  หรือว่าเป็นญาติฮะ”  เด็กหนุ่มชวนเธอไปนั่งคุยที่โซฟารับแขกของหอพัก  ผ่านไปเกือบชั่วโมง  เด็กสาวก็พบว่าตัวเองคุยกับเพื่อนรุ่นพี่สองคนนี้ได้อย่างสนิทใจ

          พี่เตกลับมาก่อนครบหนึ่งชั่วโมงจริงตามที่บอกเอาไว้  แต่ใบหน้าเรียวหวานนั้นกลับมีรอยกังวลบางๆ  ได้ยินพี่โชนกับพี่ก้องถามแว่วๆ ว่าเหมือนจะโดน ‘พ่อ’ งอน หรืออะไรซะอย่าง

          “พ่อนี่คือใครเหรอคะพี่เต”  เธอตัดสินใจถามขึ้นมาในที่สุด   เพื่อนสนิทของพี่หัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน  สังเกตได้ว่าพี่เตหน้าแดง   เขาถลึงตาใส่พี่ๆทั้งคู่  แล้วหันมาตอบจืดๆ

          “พ่อคือ..เอ่อ  คนที่มหาวิทยาลัยน่ะ  แกชอบทำตัวเหมือนพ่อ  ไอ้พวกนี้ก็เลยเรียกว่าพ่อ  ง่า...ไม่ต้องสนใจหรอกตัง   ว่าแต่เราเถอะ  จะอย่างอย่างไรดี  คืนนี้คงกลับไปไม่ทันแล้วล่ะ   อาจจะต้องค้าง..”  เขาพูดอย่างครุ่นคิด   สมองคำนวณหาทางจัดการกับญาติสาวที่มาโดยไม่ได้นัดหมาย

          “ตังนอนกับพี่เตก็ได้  ไม่เป็นไร  เมื่อก่อน ตอนเด็กๆก็นอนด้วยกันออกบ่อย”  เด็กสาวพูดง่ายๆ

          “เห้ย  ไม่ได้หรอก  นั่นมันตอนเด็กๆ นี่เธอโตเป็นสาวแล้ว  ขืนลุงกับป้ารู้ว่าฉันให้เธอนอนด้วยมีหวัง...เอาอย่างนี้ดีกว่า  คิดออกแล้วล่ะ”  พี่เตลุกขึ้นยืน   เดินนำเธอขึ้นไปยังชั้นสามของหอพัก  มีเพื่อนสนิทของเขาเดินตามมาด้วย   ตรงไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องห้องหนึ่ง

          เคาะประตูเรียก พักเดียว ก็มีหญิงสาวตัวเล็กเปิดประตูออกมารับ

          “อ้าว เต โชน ก้อง  มีอะไร ยกขโยงมาหน้าห้องฉันน่ะ”  เธอคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงแหลมใส  สายตามาหยุดที่เด็กสาวแปลกหน้าที่ยืนยิ้มแหยๆอยู่

          “เจ๊กิ่ง  ช่วยผมหน่อยสิ  นี่น้องสาวผมเอง ชื่อข้าวตัง   มาจากต่างจังหวัด  ขอมานอนกับเจ๊กิ่งด้วยคืนหนึ่ง ได้ไหม”  พี่เตพูด  หญิงสาวที่มีนามว่า ‘เจ๊กิ่ง’  เขม้นมองเธอ 

          สาวน้อยรีบยกมือไหว้ 

          ได้ยินฝ่ายนั้นดึงพี่เตเข้าไปกระซิบถามแว่วๆ จับใจความไม่ถนัด จากนั้นเธอก็หันมายิ้มให้  รอยยิ้มใจดีและเป็นมิตร ตรงข้ามกับท่าทางที่น่าเกรงขามของเธอ ทำให้เด็กสาวค่อยคลายใจ

          “สวัสดีจ้ะ  พี่ชื่อกิ่งนะ  เป็นพี่รหัสของเตมัน  เป็นน้องสาวของเตเหรอ  ชื่ออะไรล่ะ”

          ข้าวตังแนะนำตัวเอง

          สุดท้ายคืนนั้น  หลังจากที่พี่เตพาเธอไปหาอะไรอร่อยๆกินตอนเย็น  เธอก็พักค้างคืนกับพี่กิ่งนั่นเอง  นับเป็นคืนที่ทำให้เธอได้รู้อะไรหลายๆอย่าง  เกี่ยวกับพี่เต   แค่เธอถาม พี่กิ่งก็พร้อมที่จะเล่าออกมาทั้งหมด  รวมถึง...

          “ปกติพี่เตทะเลาะกับพ่อบ่อยเหรอคะ”  สาวน้อยแกล้งถาม  หญิงสาวหัวเราะร่วน พยักหน้ารับ

          “รู้เรื่องพ่อมันแล้วเหรอ  หึๆ  ก็บ่อยนะ  รู้สึกฝ่ายนั้นจะขี้งอนพอๆกับพี่ชายของเธอนั่นแหละ”  ...ขี้งอนงั้นหรือ   พ่อแบบไหนกันนะที่ถูกพูดถึงว่าขี้งอนแบบนี้

          “พี่เตไม่ค่อยเล่าเรื่องพ่อให้ฟังเลยค่ะ  ทำไมเรียกว่าพ่อล่ะคะ”

          “เตมันเขินน่ะซิ  จะมีอะไร  ที่เรียกว่าพ่อก็เพราะพวกพี่เรียกล้อกันเองแหละ  ลองไปเรียกต่อหน้ามันดูสิ มันโกรธตายเลย”

          “แปลกดีนะคะ  ไม่ค่อยได้ยินคนเรียกกันว่าพ่อเท่าไหร่”

          “ใช่  แต่มีแฟนเหมือนมีพ่อแบบนี้ก็นะ  ฮ่าๆ”

          แฟน!!  อย่างที่สงสัยจริงๆด้วย  นี่เองที่พี่เตดูปิดๆบังๆชอบกล  แล้ววันนี้ที่ทิ้งเธอเอาไว้ให้อยู่กับเพื่อน ก็เพราะจะรีบไปหา ‘พ่อ’ คนนั้นสินะ

          จู่ๆน้ำตาของเธอก็ไหลลงมาเอง 

พี่กิ่งหยุดหัวเราะ  เข้ามาจับแขนของเธออย่างตกใจ

          “เป็นอะไรไปตัง  ร้องไห้ทำไม”   เด็กสาวไม่ตอบ  แต่ก้มหน้าร้องไห้ออกมาดังๆ  สะอื้นจนตัวโยน

          ….ที่เธออุตส่าห์ลงทุนนั่งรถข้ามจังหวัดมาตั้งหลายชั่วโมงเพื่อมาหาพี่เต  มาเจอหน้า  เพราะพี่เตเป็นเหมือนความหวังเดียวที่เหลืออยู่ในตอนนี้  เป็นที่พึ่งที่เดียวที่เธอนึกออกแท้ๆ  แต่สุดท้ายแล้วพี่เตก็มีคนอื่นที่สำคัญกว่าเธอ

          “โอย  เป็นอะไรไปหืม  เด็กน้อย  ตายแล้ว”  หญิงสาวเจ้าของห้องทำอะไรไม่ถูก  จึงตัดสินใจโทรหาพี่ชายของเด็กสาวคนนี้  ครู่เดียว เตก็มาเคาะประตูอยู่ที่หน้าห้อง  กิ่งเปิดประตูรับ  เห็นเขามองน้องสาวตัวเองอย่างตกใจ

          “เป็นอะไรไปตัง  เกิดอะไรขึ้น  พี่กิ่งทำอะไรตัง”  เขาหันไปถามหญิงสาวเจ้าของห้อง

          “ว๊าย มาใส่ความชั้นได้ไง  ไม่รู้เหมือนกัน  อยู่ดีๆน้องเธอก็เป่าปี่ซะงั้น   เคลียร์กันเองแล้วกัน  ชั้นจะไปซื้อของข้างล่าง”  เจ๊กิ่งพูดเสียงแหลม  เดินออกจากห้องไป

          เหลือแค่เขากับน้องสาวยืนประจันหน้ากัน   ข้าวตังยังคงน้ำตาไหลออกมาเงียบๆ  มองหน้าเขาด้วยแววตาผิดหวังอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

          “เล่าให้พี่ฟังได้ไหมตัง  มีเรื่องอะไร  หรือว่าลุงกับป้า?”

          “ตัง...ฮึก...ฮือ”  เด็กสาวร้องไห้ออกมาอีก  เตถอนหายใจเฮือกใหญ่   เดินเข้าไปหา โอบกอดเธอเข้ามาไว้แนบอก   เธอขืนตัวเอาไว้เล็กน้อย  แต่แล้วก็ยอมแต่โดยดี  ใบหน้าเล็กๆซุกที่แผ่นอกของเขาจนน้ำตาเปียกเป็นวงกว้าง

          “เอ้าร้องออกมา  ร้องจนน้ำตาหมดตัวไปเลย ดีไหม”   ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน มือของเขาลูบที่หลังไหล่แผ่วเบา   เด็กสาวสะอื้นอยู่นาน  ในที่สุดก็สงบลง

          “ไหนดูซิ  ร้องไห้เป็นเด็กขี้แยจัง  โตแล้วนะเราน่ะ”

          “โตพอจะมีแฟนแล้ว  เหมือนพี่เตใช่ไหมคะ”  คนฟังอึ้งไป มองหน้าเธออย่างตกใจ

          “ตังรู้แล้ว  พี่กิ่งบอกตังเอง  คนที่พี่เตรีบไปหาวันนี้ใช่ไหม  ที่พี่โชนเรียกว่าพ่อ  ตัง...ทำไมพี่เตไม่บอกตัง”

          “พี่ไม่รู้จะบอกยังไง  พี่..ขอโทษนะ”  เตพูดเสียงแหบ  ขยับตัวอย่างอึดอัด   ตอนนี้เขายังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าที่น้องสาวร้องไห้มันเกี่ยวกับการที่เขามีแฟนอย่างไร

          “ตังเสียใจ   พี่รู้มั้ยว่าตังมาที่นี่ทำไม”  เธอกรีดเสียงถาม  คนฟังเงียบ

          “เมื่อวานป๊าทะเลาะแม่  ป๊าจะพาผู้หญิงคนใหม่เข้ามาอยู่ด้วย  แต่แม่ไม่ยอม  วันนี้พวกเค้าไปขอนแก่นเพราะจะหย่ากัน  พี่เตรู้มั้ย”

          เด็กหนุ่มแทบจะอ้าปากค้าง  เขาพอจะรู้อยู่บ้างว่าชีวิตคู่ของลุงกับป้าไม่ราบรื่นนัก  แต่ไม่นึกว่าจะรุนแรงจนถึงขั้นนี้ 

          “ตังห้ามเท่าไหร่ ก็ไม่มีใครฟังตังเลย  ทั้งสองคน! ทุกคนมีความต้องการของตัวเอง แต่ไม่มีใครเคยคิดถึงตังเลย พี่เต   ตังมีแต่พี่เตคนเดียวที่คอยฟังตังมาตลอด  แต่ตอนนี้ตังรู้แล้ว  ตังไม่เหลือใครเลย  ไม่เหลือใครเลยจริงๆ”  เด็กสาวร้องไห้โฮออกมาอีกครั้ง

          เตอึ้งไปนาน  เขาโอบกอดเธอเอาไว้ในวงแขน  ใจเต้นแรงด้วยความสงสาร  ....นี่เขาไม่รู้เลยว่าที่บ้านเกิดอะไรขึ้นบ้าง  มันคงร้ายแรงจนน้องสาวของเขาต้องระเหเร่ร่อนมาหาเขา ทั้งที่อยู่ไกลขนาดนี้

          ยิ่งคิดก็ยิ่งน่าสงสาร...

          คืนนั้นพี่เตพูดปลอบใจและอยู่เป็นเพื่อนเธอทั้งคืน  จนเช้าเขาก็ติดต่อกลับไปที่พ่อกับแม่ของเธอ   ได้ความว่าพวกเขาคืนดีกันแล้ว  นัยว่าป๊ายอมเพราะแม่จะขอแบ่งสินสมรส  สุดท้ายก็เลยไม่ยอมหย่ากัน

          พี่เตพาไปส่งที่ท่ารถ  นับว่าการมากรุงเทพฯคราวนี้ของเธอทำให้เธอได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง  รวมถึงการได้พบกับใครบางคน...คนที่ทำให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปตลอดกาล



           
                   ************************




            “ดีขึ้นไหม  ทีนี้เล่าให้พี่ฟังได้หรือยังว่ามันเกิดอะไรขึ้น”  ชายหนุ่มพูด  ชักกังวลกับอาการของน้องสาวขึ้นมาหน่อยๆ   หรือว่าจะเป็นเพราะอาการป่วยของเธอ?

          ข้าวตังหยุดร้องไห้ไปแล้ว  เธอผละจากอกที่ซบอยู่  เงยหน้าขึ้นมาชายผู้เป็นทั้งพี่และผู้รับรองบุตรของเธอในฐานะบิดา

            “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ วันนี้มัน..เหนื่อยๆ ก็เลยนึกถึงเรื่องเมื่อก่อนขึ้นมา   ขอบคุณนะคะ  ที่อยู่ข้างตังมาตลอดตั้งแต่ตอนนั้น จนถึงตอนนี้  พี่เตเป็นคนที่ประเสริฐที่สุดเท่าที่ตังเคยพบมา  ไม่เหมือน...”  เธอกลืนคำพูดที่เหลือลงไป   เตยกมือขึ้นจับตนแขนของเธอเอาไว้

            “อย่าคิดมากเลย  เรื่องมันผ่านไปนานแล้ว   ปล่อยไปเถอะตัง”  พูดเสียงนุ่ม

            “ตัง..ไม่เคยทำได้สักที  ทุกครั้งที่เห็นหน้าลูก  มันก็คอยผุดขึ้นมาอีก  ตังเกลียดมันจังพี่เต   ทำไมตังต้องมาเจอคนเลวๆแบบมันด้วย”  หญิงสาวกรีดเสียง

            “ไม่เอาน่ะ  พี่บอกแล้วไงว่าอย่าไปจองเวรกัน   อโหสิให้มันไปเถอะนะ  เลิกคิดเรื่องนั้นได้แล้ว”  เขาพยายามปลอบใจหญิงสาว  เหมือนที่ทำมาตลอดหลายปี

            “ตังจะพยายามค่ะพี่เต....แต่ตังไม่เก่งเหมือนพี่เต   พี่เตเสียสละเพื่อตังมามาก  ตังไม่เคยตอบแทนอะไรพี่เลย”

          “ตังจะตอบแทนอะไรพี่อีก  ที่ตังคอยดูแลพี่  ให้พี่อยู่ที่บ้านนี้ด้วย  ยอมให้พี่ได้รัก ได้ดูแลเจ้าเต้   แค่นี้ก็ยิ่งกว่าตอบแทนแล้ว   พี่...ไม่ได้สละอะไรเลย”   เสียงของเขาแหบพร่าลง  ....ก็ถูกแล้ว  เขาไม่ได้สละอะไรเลย  เพราะไม่มีอะไรเป็นของเขามาตั้งแต่ต้น

            “ไม่จริง  ตังรู้ว่าพี่เตต้องเสียอะไรไปบ้าง  เพื่อมาช่วยตัง   ตังรู้ว่าพี่เตยอมทำเพราะคำขอของป๊ากับแม่ก่อนตาย   ทั้งที่พี่เตเพิ่งเรียนจบ  ยังมีอนาคตอีกมากมายแต่ก็ต้องมาจมปลักอยู่กับเด็กใจแตกที่ท้องไม่มีพ่อ!”  หญิงสาวร้องไห้ออกมาอีก 

            “พี่ว่าวันนี้เธอเหนื่อยเกินไป   เข้าไปพักผ่อนเถอะ”  ชายหนุ่มตัดบท  เขาไม่อยากรื้อฟื้นเรื่องราวในอดีตขึ้นมาอีก   มันทรมานจิตใจกันเกินไป  ทั้งเขาและสาวน้อยตรงหน้าด้วย 

            ข้าวตังสะอื้น แต่ก็ยอมกลับเข้าไปในห้องโดยดี   เธอมองเขาด้วยดวงตากลมโตที่มีหยาดน้ำตาคลออยู่เต็ม  ริมฝีปากบางเผยอน้อยๆ ราวกับต้องการจะเอ่ยคำใดออกมา

            “................”

            สุดท้ายเธอก็ไม่พูด  หันหลังกลับเข้าไปในห้อง    ชายหนุ่มปิดประตูตามหลังให้อย่างแผ่วเบา    ยืนพิงประตูห้องนั้นอยู่นานกว่าจะมีแรงเดินกลับเข้ามายังห้องส่วนตัวของตนเองที่อยู่ตรงข้าม

            ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ทำงานตัวโปรด   เงยหน้าขึ้นหลับตานิ่งๆ

            …ไม่ใช่แค่เธอคนเดียวหรอก ที่ยังมีอดีตลอยวนเวียนอยู่ให้เจ็บช้ำเสียใจ  เขาเองก็ยังทำใจไม่ได้   ไม่รู้ว่าการนำตัวเองกลับเข้าไปพัวพันกับผู้ชายคนนั้นอีกครั้ง  จะยิ่งนำมาซึ่งความเจ็บปวดมากกว่าเดิมหรือจะเป็นการรักษาให้หายขาดกันแน่.. แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า   ทุกครั้งที่อยู่ใกล้ผู้ชายคนนั้น   ท่ามกลางความสับสนภายในใจ  สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนออกมาคือความสุขที่เขาสัมผัสได้   ความอิ่มเอมและชื่นใจอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาหลายปี

          เสียงเตือนไลน์ดังขึ้น   เขาลืมตาขึ้น หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู  จริงสิ  เราบอกว่าถ้ามาถึงบ้านแล้วจะไลน์บอกนี่นะ

            พี่ดิม : ถึงบ้านยังเอ่ย

          ตั้งเต : เพิ่งถึงบ้านครับ

            พี่ดิม : อาบน้ำเร็ว  จะได้รีบนอน

          ตั้งเต : พี่ดิมก็เหมือนกันนะ   นอนได้แล้ว

            พี่ดิม : นี่นอนคุยอยู่บนเตียงเนี่ย

          ตั้ง้เต : ถ้างั้นก็...ฝันดีครับ

            พี่ดิม : พรุ่งนี้มากินข้าวเช้าด้วยกันนะ  พี่จะรอ

            ตั้งเต : ตกลงครับ

            กดส่งข้อความประโยคสุดท้ายไปแล้วก็นั่งเพ่งมองอยู่นาน   อีกฝ่ายส่งสติ้กเกอร์รูปกระต่ายชูนิ้วโป้งกลับมาให้  จากนั้นก็ไม่มีข้อความอะไรส่งมาอีก   ฝ่ายนั้นคงจะเข้านอนไปแล้ว

            วางโทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะทำงาน  แล้วเปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมา   ถึงเวลาที่เขาจะต้องทำงานแล้วสินะ  วันนี้ออกไปข้างนอกทั้งวัน  ไม่มีเวลาได้เขียนหนังสือเหมือนเคย

            ติณธรทำงานเป็นคอลัมนิสต์มาหลายปีแล้ว  เขียนให้กับนิตยสารหลายฉบับ  ไม่ใช่แค่ของเซเลปรายเดือนหรอก   แต่ทุกฉบับก็อยู่ในเครือเดียวกันหมด  มีพี่โดมเป็นบรรณาธิการ และคุณภาคย์เป็นผู้บริหารสูงสุด ที่คอยดูแลงานทุกอย่าง 

            ความจริงสมัยเรียนเขาไม่เคยอยากเป็นนักเขียนแบบนี้   เขาอยากเป็นครู  ได้สอนนักเรียน  โดยเฉพาะนักเรียนชนบท บนดอยอะไรเทือกนั้น   เขาอยากออกไปหาประสบการณ์ชีวิต  พบเจออะไรใหม่ๆ  แต่ในเมื่อโชคชะตาเล่นตลกให้ต้องมาติดแหงกอยู่กับบ้าน   เลี้ยงลูกอ่อนและดูแลภรรยาที่ร่างกายไม่แข็งแรง  เขาก็จำต้องเปลี่ยนเป้าหมายของตัวเอง  มองหาอาชีพที่สามารถอยู่ที่บ้านได้

            สุดท้ายก็มาลงเอยกับการเขียนนั่นเอง

            เอาเถอะ..อย่างน้อย  เขาก็ยังมีโอกาสได้ออกนอกบ้าน ไปสัมภาษณ์คนอื่นๆบ้าง  นอกจากนี้ บทเรียนในชีวิตของหลายๆคนที่เขาเคยพูดคุยด้วยจนนำมาเขียนเป็นบทความ  หลายเรื่องก็ทำให้เขาปลงตกได้มากขึ้น

            แน่นอนว่ามันยังไม่มากพอที่จะปลงตกทุกอย่าง  ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่กลับไปหาพี่ดิม

            เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในความเงียบ

            ชายหนุ่มชะงักปลายนิ้วที่กำลังรัวบนคีย์บอร์ด   เหลือบมองชื่อที่โชว์อยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือ...ภาคย์   จริงสิ  ตั้งแต่กลับมาจากทะเลคราวนั้น ก็แทบไม่ได้เจอกันอีกเลย   ได้ข่าวว่าเขาไปประชุมที่ต่างประเทศด้วย  ก็เลยเงียบหายไป

            เตรีรออยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็กดรับ

            “สวัสดีครับ คุณภาคย์”

            “คุณเต...  ไม่เจอกันนานเลย  คิดถึงผมไหมครับ  ล้อเล่นน่ะครับ  ผมกลับมาจากฝรั่งเศสแล้วนะ  มีของฝากมาให้คุณด้วย   พรุ่งนี้คุณจะเข้าออฟฟิสหรือเปล่าครับ  หรือว่าให้ผมแวะเอาไปให้ที่บ้านดี?”  เจ้านายของเขาพูดแกมหัวเราะมาตามสายอย่างอารมณ์ดี   คนฟังขยับตัว

            “เอ้อ  ไม่รบกวนดีกว่าครับคุณภาคย์”

          “ไม่รบกวนนี่หมายความว่า ไม่เอาของ หรือว่าไม่ให้ไปที่บ้านครับ”

            “ทั้งสองอย่างครับ  หึๆ”   เตหัวเราะในลำคอ   ปลายสายหัวเราะเช่นกัน  “ขอบคุณมากนะครับที่นึกถึงกัน”  เขาพูดต่อ

          “ผมไม่ได้นึกถึงคุณนะครับ  ผมคิดถึงคุณตะหากล่ะ   คุณเต   เอาอย่างนี้แล้วกัน  พรุ่งนี้เช้าผมไปรับที่บ้าน แล้วเราไปหาข้าวเช้าทานกัน  นะครับ  ผมอยากทานมื้อเช้ากับคุณ”   ภาคย์อ้อนวอนมาอีกหลายประโยค   

            เกรงใจก็เกรงใจ  แต่เขามีนัดทานอาหารเช้าแล้วกับใครบางคน

          “พรุ่งนี้เช้าไม่สะดวกจริงๆครับ”

            “ถ้าอย่างนั้น  ตอนเที่ยงแทนได้ไหมครับ  นะครับ  อย่าให้ผมต้องผิดหวังซ้ำสองภายในเวลาไม่ถึงสองนาทีเลยนะ  คุณเต”

            เตหัวเราะ  อ่อนใจกับความพยายามของอีกฝ่าย  จนต้องยอมใจอ่อนตกปากรับคำ

            “ก็ได้ครับ   เป็นตอนเที่ยงนะครับ  เจอกันที่ไหนดี”

          “ให้ผมไปรับนะ”

          “เอ้อ  อย่าดีกว่าครับ  ผมไปเองสะดวกกว่า”

            ภาคย์ไม่เซ้าซี้อีก   เขาบอกชื่อร้านอาหารเปิดใหม่สไตล์อิตาเลี่ยนที่กำลังดัง  นักเขียนหนุ่มจดเอาไว้ในบันทึกเรียบร้อย   ฝ่ายนั้นชวนคุยต่ออีกกว่าเขาจะหาทางตัดบทได้สำเร็จ ก็ผ่านไปเกือบชั่วโมง

            เตวางสายลงอย่างเหนื่อยอ่อน   เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายมีจุดประสงค์อะไร  รู้สึกอย่างไรกับเขา ...ถ้าเป็นเมื่อก่อน  ตอนที่เขายังไม่มีพันธะ   ชายหนุ่มคนนี้จะเป็นคนที่เขาจะพิจารณาเป็นคนแรก ต่อจากพี่ดิม  ทว่าในตอนนี้  ทั้งลูกชายและภรรยา  ไหนจะคนรักเก่าที่กลับมา ‘ปรับความเข้าใจ’ กันอีก  มันยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับผู้ชายรูปหล่อ นิสัยดีคนนี้

            ขอโทษด้วยจริงๆ คุณภาคย์

            ..................................................................................

            “พี่เตไม่ทานข้าวก่อนเหรอคะ”  ข้าวตังทักอย่างแปลกใจ  เพราะปกติแล้วถ้าพี่เตตื่นเช้า  เขาจะต้องทานอาหารเช้าพร้อมหน้าพร้อมตากับเธอและลูกชายก่อนไปโรงเรียน

            ชายหนุ่มที่ก้มลงสวมถุงเท้าอยู่  เงยหน้าขึ้นบอกเธอ

            “ขอโทษด้วยจ้ะ  วันนี้พี่ต้องรีบไปจริงๆ เต้ กินข้าวให้หมดนะ  เข้าใจมั้ยครับ”  เขาเปลี่ยนสายตา หันไปพูดกับลูกชายแทน   เด็กชายเต้พยักหน้ารับคำ แล้วตั้งหน้าตั้งตาตักข้าวต้มเข้าปาก

            คนเป็นพ่อยิ้มนิดๆ  เขาโบกมือลาข้าวตัง แล้วเดินไปสตาร์ทรถของคุณหมอหนุ่มที่ให้ยืมมาตั้งแต่เมื่อคืน   ขับรถออกจากบ้าน  รู้สึกว่าเช้าวันนี้สดใสอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

            มาถึงหน้าห้องพักของพี่ดิมตอนเกือบแปดโมง   กดออดหน้าห้องครั้งเดียว ประตูก็เปิดออก ราวกับว่าคนข้างในรอคอยอยู่แล้ว 

            พี่ดิมยังอยู่ในชุดนอน  แต่ใบหน้าสะอาดสดชื่น  ส่งยิ้มกว้างมาให้เขา

            “อรุณสวัสดิ์  เข้ามาเร็ว   กำลังรออยู่เลย  กลัวนายจะไม่มา”

          “ยังไงผมก็ต้องมาคืนรถพี่อยู่แล้วน่า”  เตตอบยิ้มๆ  เดินเข้าไปในห้องแพนทรีอย่างคุ้นเคย  ลงมือประกอบอาหารเช้าง่ายๆ อย่างที่ถนัด  และรู้ว่าพี่ดิมชอบ

            กลิ่นไข่ดาวและเบคอนหอมฟุ้งไปทั่วห้อง  คุณหมอหนุ่มใช้มือข้างเดียวช่วยเขาปิ้งขนมปัง   ตั้งเตชงชาให้สำหรับสองคน

          “อืม  หอมมาก  นี่มันกลิ่นที่พี่ชอบเลย  จำได้ว่าเคยดื่มตอนที่ไปหานายที่หอแล้วติดใจ   หลังจากนั้นพี่ตามหามาตั้งหลายปีก็ไม่เคยเจอกลิ่นกับรสนี้อีกเลย”   เตยิ้มกว้าง  เขารู้ว่าพี่ดิมไม่ชอบดื่มกาแฟ   แต่เพราะการเรียนอันแสนหนักหน่วง  อดนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ จนต้องพึ่งคาเฟอีน  เขาก็เลยไปหาชามาให้ดื่มแก้ง่วงแทนตั้งแต่สมัยเรียน  พี่ดิมก็เลยติดชาแทนติดกาแฟมาตั้งเต่นั้น

            “ยี่ห้อนี้มันไม่ได้วางขายทั่วไปน่ะพี่  ต้องรู้แหล่งซื้อ”  เตตอบยิ้มๆ  ไม่ยอมบอกว่าซื้อมาจากที่ไหน

            ทั้งสองคนรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน   มื้อแรกนับตั้งแต่ที่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ....ไม่สิ  เราเคยทานอาหารเช้าด้วยกันมาแล้ว  ตอนที่ไปเจอกันโดยบังเอิญที่ทะเลยังไงล่ะ  เพียงแต่ตอนนั้นไม่ได้มีแค่สองคนอย่างในตอนนี้....เตคิดในใจ   เกือบสะดุ้งเพราะอีกคนถามขึ้นมาตรงกับที่คิดพอดี

            “แล้วเจ้านายของนาย  คุณภาคย์ เขาเป็นอย่างไรบ้าง”  ดิมถาม เสียงเรื่อยๆ  เตเหลือบตามองแวบหนึ่ง ก็เห็นฝ่ายนั้นกำลังบรรจงหั่นเบคอนอย่างประณีตด้วยมือข้างเดียว

            “เพิ่งกลับจากประชุมที่ฝรั่งเศสครับ”  ตอบเสียงเรียบพอกัน   ดิมพยักหน้า  ไม่ถามว่าอะไรต่ออีก ผิดไปจากความคาดหมายของคนฟังพอสมควร

            “เดี๋ยวทานอาหารเสร็จแล้ว นายมาช่วยอะไรพี่ทีนะ”  คุณหมอหนุ่มพูด  เขาจัดการอาหารตรงหน้าจนเกลี้ยงจาน   ตั้ง้ตล้างจานให้เสร็จ หันมาเจออีกฝ่ายยืนรออยู่ก่อนแล้ว

            เขากระพริบตาปริบๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเปลือยท่อนบน อวดมัดกล้ามแน่นเรียงตัวสวย  ครึ่งล่างมีผ้าขนหนูพันเอาไว้รอบลำตัว

            “เอ่อ  พี่ดิมจะให้ผมช่วยทำอะไร”  เตถาม พยายามไม่มองเนื้อตัวของอีกฝ่ายมากนัก   พี่ดิมไม่ตอบ  แต่กวักมือเป็นเชิงให้เดินตามหลังไป  เขาเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องน้ำ  หันกลับมาพูดยิ้มๆ

            “เตช่วย...พี่อาบน้ำทีสิ  มือเดียวมันไม่ถนัด”

          …………………………………………………………………

มาต่อจบตอนนะคะ  ขอบคุณที่ติดตามกัน
ขอบคุณคอมเม้นท์ด้วย  อิอิ
ความรักก็ทำให้คนต่บอดเยี่ยงนี้เเลค่ะ
ดราม่ากันต่อไป 5555 :katai2-1:

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
รอดราม่าตอนหน้านะคะ

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
พอๆกันอะ ทั้ง ตัง และ รัน

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
   เตหลวมตัวไปล่ะ จะเล่าความจริงที่เลิกกันก็ไม่เล่า หลวมตัว หลวมใจกับหมอดิมอีก
   รออ่านตอนต่อไป

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
เตตามเกมหมอดิมไม่ทันเสียแล้ว



เตรียมน้ำตาเช็ดหัวเข่าได้เลย

ออฟไลน์ ceylon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 389
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ไม่ได้รออะไรเลยจุดนี้ รอซ้ำเติมดิม 5555 #ทีมเต

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ เจเจจัง

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
สนุกมาก  แต่อยากรู้ว่า อีกหลายตอนไหมคะกว่าจะจบ จะได้ทำใจหน่วงถูก  ว่าต้องหน่วงอีกกี่ตอน 555 ขอให้เรื่องนี้จบแฮปปี้นะ เพราะทั้งดิมและเต เจ็บมามากแล้ว เจ็บมา 8 ปี ทั้งที่ทั้งคู่ไม่ผิดไรเลย ต่างคนต่างน่าสงสารอ่ะ แต่ทำไมเตไม่พูดความจริงเสียที อมพะนำอยู่นั่นแหละ

ท้ายสุด แผนแก้แค้นของดิม คงทำให้เตเจ็บปวดมาก แต่ดิมจะเจ็บด้วยอีกคนหรือป่าวตอนที่รู้ความจริง

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
เพราะหัวใจบอกว่า...ลึก

 



 

 

            สีหน้าของคนฟังทำให้คุณหมอหนุ่มหัวเราะก้ากออกมาดังลั่นห้อง   ใบหน้าเรียวหวานนั้นแดงก่ำ จะเพราะตกใจ  ประหลาดใจ หรือว่าอายก็ไม่อาจทราบได้  ปากอ้าค้างแต่ไม่มีคำพูดหลุดออกมา  ดวงตาเบิกกว้าง  หึ ช่างเป็นสีหน้าที่เขาอยากถ่ายภาพเก็บเอาไว้ดูยามว่างเสียจริง

            “พี่พูดเล่น  ดูทำหน้าเข้าสิ  ฮ่าๆ  ตกใจมากหรือเด็กน้อย”   เจ้าของห้องถามกลั้วหัวเราะ  ยกมือขึ้นขยี้เส้นผมหยักอ่อนนุ่มที่ปกคลุมบนศีรษะทุยสวย

            เตโยกหลบ   ตวัดสายตามองอีกคนเร็วๆ  ปากขมุบขมิบ บ่นอยู่ในใจ  ...บ้าชะมัด  จู่ๆก็ลุกขึ้นมาถอดเสื้อผ้า  คาดแต่ผ้าขนหนู แล้วยังมีหน้ามาขอให้เราอาบน้ำให้อีก  คนเค้ายิ่ง...

            “บ่นอะไรพี่อยู่ฮึ”

            “แล้วพี่ดิมจะให้ช่วยอะไร”  ถามเสียงขึ้นจมูกหน่อยๆ   

            รดิศหยุดหัวเราะ   ยืนมองเตนิ่งๆครู่หนึ่งแล้วก็เอียงศีรษะของตนเองเข้าไปใกล้ใบหน้าของอีกฝ่าย

            “ดมให้หน่อย ว่าหัวพี่เหม็นหรือยัง”   เตถอยหลังไปก้าว  ตอบทันควัน

            “ไม่เหม็นหรอก  ไม่ต้องดมก็ได้”

          “ฮื้อ   ยังไม่ดมแล้วจะรู้ได้ยังไง  ทำไมอ่ะ  ให้ช่วยแค่นี้ ทำไม่ได้หรือยังไง”   คุณหมอหนุ่มพูดเสียงเข้ม

            “ไม่!  ถ้าพี่ดิมว่าเหม็น พี่ดิมก็สระเลยสิ  ไม่เห็นต้องรอถามเลยว่าเหม็นมั้ย”

            “โป้ะเช้ะ  นั่นแหละถูกต้อง   เตครับ...ช่วยพี่ดิมสระผมหน่อยสิครับ  นะครับ   หรือว่าเตจะดมพิสูจน์กลิ่น  ว่าเหม็นหรือเปล่า  ถ้าเตดมแล้วว่าไม่เหม็น พี่ก็จะไม่อ้อนวอนขอให้เตช่วยสระให้หรอก”  ดิมพูดแกมหัวเราะยั่วๆ  เขาอยากรู้เหมือนกันว่าเตจะยอมไหม

            “สระผมทำไมต้องให้ผมช่วยด้วย   ถึงมีมือเดียวก็สระได้  ถูกมั้ย”  ก็ถูกแหละ  แต่คนมันอยากให้สระให้นี่นา  ดิมคิดในใจ

            “ใช่ซิ   พี่มันคนอนาถานี่นะ  ต่อให้มีมือเดียวก็ต้องอดทน  หัวเหม็นจนเน่าต้องไม่ตาย  ไม่เป็นไรหรอก  พี่ก็ลืมคิดไปว่าพี่ไม่ควรจะรบกวนเตมากขนาดนั้น”

            ชายหนุ่มในผ้าขนหนูผืนเดียวเบือนหน้าหนี  ริมฝีปากเชิดขึ้นน้อยๆเป็นเชิงบอกว่ากำลัง ‘งอน’ อยู่   จบประโยคด้วยน้ำเสียงต่ำลึกบอกความดราม่าเต็มที่   เล่นเอาคนฟังตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเครียดหรือขำดี   เมื่อเจออีกฝ่ายทำตัวเป็นเด็กไม่ยอมโตขึ้นมาแบบนี้

            พี่ดิมหันหลังเดินเข้าห้องน้ำไป  เหลือบตามองมาที่เขาอีกรอบ  แล้วก็หันไปคว้าฝักบัวขึ้นมาเปิดน้ำ   ก้มหน้าลงยกฝักบัวขึ้นล้างศีรษะตนเองด้วยมือข้างเดียว  จากนั้นก็วางฝักบัวแล้วหยิบแชมพูขึ้นมาเทราดบนเส้นผมเปียกๆนั้นทั่วๆ  ไม่ลืมหันมามองเขาอีกนิดหนึ่ง แล้วสะบัดหน้าหนี  อย่างที่เรียกว่า ‘ค้อน’ นั่นล่ะ

            ตั้งเตหัวเราะแผ่วเบาอย่างอ่อนใจ   ทำไมจู่ๆคุณหมอผู้เชี่ยวชาญถึงได้ลุกขึ้นมาทำตัวขี้ประชดประชันราวกับเด็กๆไปได้   จะแข่งกับลูกชายของเขาหรืออย่างไร 

            ยืนมองดูความพยายามสระผมอย่างทุลักทุเลของอีกฝ่ายอยู่เงียบๆ  จนกระทั่งฝ่ายนั้นอุทานออกมาเพราะฟองสบู่ไหลเข้าตา

            “โอย แสบ”  รดิศพยายามล้างฟองออกจากดวงตา   ยังไม่ทันหายเคืองก็มีมือลึกลับช่วยวักน้ำขึ้นมาลูบที่ใบหน้าและดวงตาทั้งสองข้างให้อย่างนิ่มนวล

            ลืมตาขึ้นมาเห็นผู้ชายผมหยิกหยองยืนอยู่ตรงหน้า  อ้าปากจะพูด ฝ่ายนั้นก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน

            “นั่งพิงอ่าง แล้วเอาคอพาดขอบอ่างเอาไว้ เร็วๆสิ”  เตสั่งผู้ชายหน้าเข้มคนนั้นให้หันหลังพิงอ่าง  เอาศีรษะพาดเอาไว้กับขอบอ่างอาบน้ำในท่านั่งเงยคอ  เพื่อที่เขาจะได้ทำงานได้ถนัด

หยดน้ำเปียกชื้นเกาะอยู่ตามลำตัวที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามแข็งแรงอย่างผู้ชายที่รักในการออกกำลังกาย  ไรขนอ่อนๆจากหน้าอกเรียงต่ำผ่านกล้ามเนื้อหน้าท้องสวยเป็นลอนลงไปยังสะดือ และหายลับไปในขอบผ้าขนหนูสีขาวตัดกับผิวสีแทนเข้ม  ภาพที่เห็นทำให้คนตรงหน้าดูเซ็กซี่เหลือร้าย   ทำเอาคนที่เผลอมองใจสั่น

            “แบบนี้มันเมื่อยนะเต  พาดตักนายแทนไม่ได้เหรอ”  เงยหน้าขึ้นพูดด้วยน้ำเสียงและแววตาออดอ้อน   อย่างที่เขาแพ้ทางมาตลอด

          “ไม่ได้  เมื่อยก็ต้องทน!”  เขาแว้ดกลับไปเต็มเสียงปกปิดความอาย  พี่ดิมทำคอย่น   ตอบกลับมาว่า “กลัวแล้วค้าบ” เสียงเบา   เขาเกือบหัวเราะออกมา แต่ก็ตีหน้าเคร่งเอาไว้ได้

            ลงมือล้างฟองที่ตกค้างอยู่บนศีรษะนั้นให้อย่างแผ่วเบา   ปลายนิ้วสางไปตามเส้นผมดำหนานุ่มลื่น   

            “นวดครีมนวดให้ด้วยได้มั้ย”

          “ผมสั้นแค่นี้ ยังต้องใช้ครีมนวดอีกเรอะ”  เตแทบจะพ่นลมออกมาทางจมูก   มือแข็งแรงยกขึ้นชี้ไปทางเคาท์เตอร์ที่มีขวดสารพัดยี่ห้อวางอยู่เต็ม

            “ขวดสีน้ำเงิน  ครีมนวด”  คนที่หลับตาเงยหน้าให้อีกฝ่ายสระผมให้อย่างสบายพึมพำ คนสระทำเสียงจิ๊กจั๊กในคอ  แต่ก็ยอมลุกจากขอบอ่างที่นั่งอยู่   เดินไปหยิบขวดครีมนวดผมกลับมา  เทใส่ฝ่ามือแล้วนวดให้

            “อืม  ดีมาก   ขอทางซ้ายอีกหน่อย   ดีๆ  ลงมาตรงท้ายทอยนิดนึงซิ  อา  เยี่ยมเลย”

          “สบายมากมั้ย”  เตกึ่งถามกึ่งประชด   ชักหมั่นไส้ขึ้นมาตงิดๆ  รู้สึกเหมือนเขาพลาดอย่างไรก็ไม่รู้

            “สบายมาก   เดี๋ยวจะตั้งให้เป็นช่างสระผมประจำตัวเลย”  อีกฝ่ายหลับตา พูดยิ้มๆ

            “อึ๋ย  ไม่เอาหรอก  ขอตำแหน่งที่มันเข้าท่ากว่านี้ได้มั้ย”

          “อยากได้ตำแหน่งอะไรล่ะ”

          “อยากได้...อืม...”  นักเขียนหนุ่มลากเสียง  ครุ่นคิดอยู่ในใจ

            รดิศลืมตาขึ้นมา   ดวงตาทั้งสองสบกัน  ชั่วขณะหนึ่งที่เตรู้สึกเหมือนเวลาถูกหยุดนิ่ง   จนแม้แต่ลมหายใจของเขาก็พลอยจะหยุดไปด้วย

            “ตำแหน่งเจ้าของหัวใจพี่ เอาไหม”

          “พี่ดิม!!!”  เตอุทาน  ลุกขึ้นจากขอบอ่าง  ละมือจากศีรษะนั้นอย่างตกใจ   ดิมผงกหัวขึ้นมาจ้องหน้าเขา

            “ทำไมล่ะ   เตไม่อยากได้เหรอ”

          “ไม่.. ไม่อยาก..พี่ดิมอย่าพูดอย่างนี้เลย”  เสียงของเขาสั่นอย่างช่วยไม่ได้   ใจเต้นแรงขึ้นมาจนต้องพยายามสะกดกลั้นใจให้สงบลง

            แววอะไรอย่างหนึ่งวูบผ่านไปในดวงตาคมเข้มคู่นั้น  เป็นอีกครั้งที่เตถามตัวเองว่า  พี่ดิมกำลังคิดอะไรอยู่ในใจกันแน่   เขาเดาไม่ออก   แปลความหมายไม่ทัน

            สุดท้ายพี่ดิมก็หัวเราะออกมาเบาๆ

            “พี่ล้อเล่นน่า   พี่รู้อยู่แล้วว่านายต้องปฏิเสธ...ตกใจมากเหรอ  ร้องเสียงหลงเชียว”

          “ไม่ตลกนะพี่   ผม...ไม่ชอบเลย”  เตพูดเสียงแผ่ว   เขยิบเข้ามาบรรจงล้างครีมนวดผมออกให้อย่างเบามือ   เงียบกันไปทั้งคู่    มีเพียงเสียงน้ำจากฝักบัวเท่านั้นที่ดังก้องในห้องน้ำแห่งนั้น 

            มันไม่ดังพอที่จะกลบเสียงภายในหัวใจของเขา  เตบอกตัวเอง....เขาไม่อยากเป็นเจ้าของหัวใจของพี่ดิมหรอก   เขาตะโกนก้อง   ทว่าเสียงเล็กๆในมุมมืดก็กระซิบตอบกลับมาด้วยคำถามเดิมอีกครั้งว่า

            ‘จริงเหรอ?   นายไม่อยากได้จริงหรอ  หัวใจดวงนั้นน่ะ   ดวงที่นายเคยทอดทิ้งไปด้วยความจำใจเพราะเหตุจำเป็นบังคับ  หัวใจที่นายปรารถนาที่จะได้กลับคืนมามากที่สุดถ้าทำได้   หัวใจของคนที่นายนึกถึงใบหน้าของเขาทุกคืนก่อนที่จะข่มตาหลับลงและพบกับเขาทุกครั้งในความฝัน   นายไม่อยากได้มันจริงๆเหรอตั้งเต’

          ไม่  ฉันไม่อยากได้หรอก   หัวใจที่มีเจ้าของที่เหมาะสมแล้วน่ะ    เค้าเห็นฉันเป็นเพียงบาดแผลจากอดีตที่ยังหลงเหลือร่องรอยอยู่เท่านั้นเอง  ที่เค้าพูดออกมาก็เกิดจากความคะนองปาก  แค่พูดเล่นเท่านั้น  อย่าหลงไปกับความรู้สึกชั่ววูบเลยเต   ชายหนุ่มเม้มปากแน่น   

            เสียงเล็กๆจากซอกที่ลึกที่สุดกระซิบบอกมาเป็นประโยคสุดท้ายว่า

            ‘นายปฏิเสธความปรารถนาที่อยู่ลึกที่สุดในหัวใจของนายไม่ได้ตลอดไปหรอกเต’    จากนั้นทุกอย่างก็หยุดนิ่ง

            ดวงตาคมเข้มล้อมด้วยขนตาหนายาวสบตาเขาในระยะใกล้    ใกล้มากจนเตตกใจ   ไม่รู้ตัวว่าเขาเผลอก้มลงไปชิดขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่   เขยิบตัวจะถอยห่าง  ทว่าแรงดึงดูดบางอย่างที่ส่งผ่านกระแสตาคู่นั้น ดึงดูดเขาเอาไว้ไม่ให้ถอยออกมา

            ก้มลงไปอีก  นิดเดียวเท่านั้นเองสำหรับแรงปรารถนาในหัวใจ   ใกล้จนเห็นเงาของตัวเองสะท้อนอยู่ในแก้วตาใสแจ๋วที่เขาจ้องมองอยู่อย่างเผลอไผล

            ลมหายใจอุ่นๆลอยมาปะทะใบหน้า

            เข้ามาอีกสิเต...ใกล้กว่านี้   ฉันรู้ว่านายก็ต้องการมันเช่นกัน  ฉันดูออกจากแววสั่นไหวในดวงตาของนาย   ตั้งเต  อย่าห้ามใจตัวเองอีกเลย   นายยังรักฉันอยู่เต็มหัวใจ  ใช่ไหม?  ทำให้ฉันเชื่อสิ...ดิมตะโกนในใจ 

            ริมฝีปากอิ่มเต็มแตะสัมผัสที่ริมฝีปากของเขาในที่สุด  ถึงจะแผ่วเบา  ทว่าก็ทำให้หัวใจของคุณหมอหนุ่มไหววูบ  รู้สึกเหมือนมีผีเสื้อนับพันกระพือปีกพร้อมกันในอก   มือแข็งแรงยกขึ้นเหนี่ยวลำคอของอีกฝ่ายให้โน้มลงมามากยิ่งขึ้น เพื่อที่ว่าเขาจะได้บดประชิดริมฝีปากของตนตอบกลับอย่างสนิทแนบเป็นเนื้อเดียวได้  พอสบจังหวะก็ส่งปลายลิ้นเข้าไปสำรวจโพรงปากของคนที่จูบเขาก่อน  รัดรึง ดูดดื่มและร้อนแรง

            เตสำลักนิดหนึ่ง   ขยับถอยออกนิดเดียวเท่านั้นสำหรับการขัดขืน  จากนั้นแขนเรียวก็เป็นฝ่ายโอบรัดเขาเข้าหาตัว  มือลูบไล้ไปตามลำตัวของเขาด้วยอารมณ์วาบหวาม   เช่นเดียวกับเขาที่ตักตวงเอาความความหอมหวานจากริมฝีปากของอีกฝ่ายอย่างต่อเนื่อง  ไม่อาจหยุดยั้งตัวเองได้

            หัวใจทั้งสองดวงเต้นแรงแทบจะหลุดออกมานอกอก   ลมหายใจเริ่มหอบถี่ตามอารมณ์ที่พุ่งสูงขึ้นโดยไม่ทันรู้ตัว  อีกฝ่ายจงใจใช้ประสบการณ์ทั้งหมดที่มีเล้าโลมให้อีกคนคล้อยตาม   เตโอนอ่อนตามไปอย่างเคลิบเคลิ้ม   หรือจะเกิดจากความต้องการส่วนลึกในใจของเขาจริงๆก็เป็นได้

ใบหน้าของเด็กชายคนหนึ่งแวบเข้ามาในดวงจิตที่กำลังล่องลอย   จิตใต้สำนึกที่ถูกลืมเลือนไปชั่วขณะก็กลับคืนมาอีกครั้ง   เตชะงัก  รู้สึกตัวขึ้นมา

            ...นี่เรากำลังทำอะไรอยู่   เราเคยทำให้ผู้ชายคนนี้ผิดหวังมาครั้งหนึ่งแล้ว  อย่าให้มีครั้งที่สองเกิดขึ้นเลย  เพราะถึงจะรักมากแค่ไหน  ก็ไม่มีทางกลับไปได้   สายเกินไป   นี่มันไม่ถูกต้อง...

ติณธรตัดสินใจในวินาทีนั้น  ดันตัวออกมาจากวงแขนแข็งแรงที่รัดรอบกาย  พยายามสะกดกลั้นความอาลัยอาวรณ์และอารมณ์เพริดที่เขารู้ดีว่า  ถ้ายังขืนปล่อยตัวไปตามใจ   คงจะต้องเจ็บปวดอีกครั้ง และคนที่เจ็บที่สุด ก็จะเป็นเขาเอง       

            ถอยหลังไปหลายก้าว  หันหลังให้ชายหนุ่มที่ยังคาดผ้าขนหนูเอาไว้อย่างหมิ่นเหม่คนนั้น   รับรู้ได้โดยไม่ต้องหันไปมองว่าอีกฝ่ายจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาตัดพ้อ และเต็มไปด้วยคำถาม

            “สระผมเสร็จแล้ว  ผมขอออกไปรอข้างนอกก่อนนะ”

          พูดจบด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า  ก็รีบก้าวออกไปจากห้องน้ำอย่างรวดเร็ว

            ศัลยแพทย์หนุ่มนิ่งอยู่ในท่าเดิม  ได้แต่มองตามหลัง  พูดพึมพำแหบๆออกมาว่า

            “เต  เดี๋ยว..”

เขารู้สึกเหมือนโดนเตต่อยหมัดฮุกเข้าที่หน้าท้องจนจุก  ขยับตัวไม่ไหว  กว่าจะรู้สึกตัวและลุกขึ้นตามอีกฝ่ายออกมาจากห้องน้ำ  ก็พบว่าร่างโปร่งบางหายไปจากห้องแล้ว  มีเพียงข้อความทางไลน์ส่งมาว่า

 

          ‘ผมติดธุระ  ขอโทษด้วยที่กลับออกมาก่อน  กุญแจรถคืนไว้บนโต๊ะ  ขอบคุณมากนะครับ  ขอให้หายเร็วๆ’

 

          ดิมแทบจะเหวี่ยงโทรศัพท์มือถือทิ้งทันทีที่อ่านจบ  ขอให้หายเร็วๆงั้นหรือ?  ใจคอเค้าจะไม่กลับมาแล้วใช่มั้ย

เขาเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาแรงๆระบายอารมณ์โกรธ...ไม่สิ  ไม่ใช่ความโกรธอย่างเดียว   น่าจะเป็นความผิดหวัง ผสมด้วยความเจ็บใจที่ไม่อาจทำได้สำเร็จด้วย 

            อีกสิ่งหนึ่งที่เขารู้สึก แต่ไม่อยากยอมรับคือความเสียดายและความรู้สึกวูบโหวงลึกๆอยู่ในอกที่เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดจากอะไรกันแน่  คงเป็นเพราะเขาถูกอีกฝ่าย ‘ทิ้ง’ ไว้กลางทางอีกแล้ว  เหมือนเมื่อหลายปีก่อน

ทำไมกัน  เพราะอะไร??

            ทั้งที่ดูเหมือนว่าจะไปได้สวยแล้วแท้ๆ  ทำไมจู่ๆเตถึงชะงัก  หรือว่าเจ้ากวางน้อยจะเกิดกลัวใจตัวเองขึ้นมา  ก็เลยรีบเผ่นหนีไปเสียก่อน

            แล้วความรู้สึกแปลกประหลาด  จุกแน่นอยู่ในอกนี่อีก  ทำไมถึงไม่หายไปเสียที   มันอึดอัดคับแน่นเหมือนคนหายใจไม่ออก   ราวกับว่ามีอะไรทับอยู่บนอก

            ขอบตาร้อนผ่าว   ชายหนุ่มเม้มปากแน่น ไม่ยอมให้น้ำตาไหลออกมา

            “เป็นบ้าอะไรไป รดิศ  ไม่เห็นจะต้องโกรธขนาดนั้นเลย  บ้าจริง”  เขาพูดกับตัวเอง  ยกมือขึ้นป้ายน้ำตาอย่างโกรธๆ ใช่แล้ว  เขาโกรธ   คงโกรธเตมาก  ทั้งโกรธทั้งแค้นเสียจนน้ำตาไหล

       ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาจนมันเหือดแห้งไปเอง   รดิศหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถือเอาไว้

            ..คงเป็นเพราะช่วงนี้รันไม่อยู่แน่ๆ  อารมณ์ของเขาถึงได้อ่อนไหวเป็นพิเศษแบบนี้ ..

            กดโทรทางไกลไปหา รอสายอยู่นานค่อยนึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้ที่นั่นคงเป็นเวลาใกล้เที่ยงคืน   รันคงจะหลับไปแล้ว   ช่างเถอะ...อย่าไปรบกวนเค้าเลย

            แล้วเรื่องระหว่างเขากับเต มันจะเป็นอย่างไรต่อ  จะยอมจบง่ายๆแบบนี้งั้นเหรอ  ถ้าเป็นแบบนั้น มันก็ไม่ต่างอะไรกับอดีตเลยสิ

            ตั้งเตเปลี่ยนใจในวินาทีสุดท้ายเพราะอะไรกันแน่นะ 

            .................................................................................


            “คิดอะไรอยู่หรือ คุณเต  หรือว่า....คิดถึงผม”  นักธุรกิจรูปหล่อ เจ้าของสำนักพิมพ์และกิจการในเครือมากมายถามชายหนุ่มที่นั่งตรงข้ามยิ้มๆ  เห็นอีกฝ่ายนั่งเหม่อตั้งแต่มาถึง

            “เอ้อ  ขอโทษครับ”  เตรู้สึกตัว   ดึงความคิดกลับมาจากผู้ชายหน้าเข้มที่เขาทิ้งเอาไว้ในห้องน้ำเมื่อเช้า...ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง   อาจจะโกรธเขามากกว่าเดิมกระมัง 

            “ขอโทษทำไม  ถ้าคิดถึงผม ผมไม่ว่าหรอก  แต่ถ้าคิดถึงคนอื่นอยู่ก็..ไม่แน่”  ภาคย์ส่งยิ้มให้อีก    ตักอาหารใส่จานให้อีกฝ่าย

            “ทานเยอะๆหน่อย  คุณดูซูบไปนะพักนี้  เป็นอะไรหรือเปล่า  หรือว่าไม่สบาย”  คนฟังฝืนยิ้ม

            “ผมน้ำหนักเท่าเดิมนะ  คงเป็นเพราะผมยาว  ว่าจะไปตัดเหมือนกัน”   เตยกมือขึ้นลูบท้ายทอยของตัวเอง..เอาอีกแล้ว  เผลอแวบกลับไปถึงเส้นผมนุ่มลื่นเปียกชื้นฝ่ามือ  แค่คิดก็เหมือนจะได้กลิ่นแชมพูหอมอ่อนๆลอยมาตามลม

            “ดีเลยครับ  ผมไปด้วย  เราใจตรงกันจัง”  เตพยักหน้ารับยิ้มๆ

            ดีเหมือนกัน   มีคนมาคอยชวนคุยด้วย  จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน  ไม่คิดมากอีก   เรื่องนั้นก็ปล่อยทิ้งเอาไว้ก่อนแล้วกัน  เขายังไม่อยากคิดให้ปวดหัวตอนนี้

            ถึงจะบอกตัวเองอย่างนั้น  ทว่าขณะที่เขาตัดผม  ดูหนัง  ทานอาหาเย็นกับภาคย์   เตกลับพบว่าตนเองคอยแต่จะเผลอคิดคำนึงถึงบุคคลที่ไม่ได้อยู่ตรงหน้าด้วยตลอดเวลา

            ความรู้สึกผิดที่เคยลดลงเมื่อสองวันก่อน  กลับเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง  แล้วคราวนี้มันมากกว่าเดิมเสียอีก

            ...นี่เราทำร้ายพี่ดิมซ้ำหรือเปล่า  ผู้ชายคนนั้นเคยถูกเราทอดทิ้งมาแล้ว   เค้าอุตส่าห์ขอร้อง อ้อนวอนเราทั้งน้ำตาให้ช่วย ‘เยียวยา’ บาดแผลที่เราเคยสร้างเอาไว้ในหัวใจของเขา   แต่วันนี้เพราะมโนธรรมภายในใจและเหตุผลอีกหลายอย่าง ก็ทำให้เขาต้อง ‘ทิ้ง’ ฝ่ายนั้นมาอีกครั้ง...

            ‘เต  เดี๋ยว..’

          เค้าจะพูดว่าอะไรกันนะ

            “คุณเต?  คุณเตฮะ  ถึงบ้านแล้วครับ  เอ  สงสัยวันนี้คุณจะเพลีย  ถ้าอย่างนั้นผมกลับก่อนดีกว่า  นี่ครับของฝากจากฝรั่งเศส  มีผ้าพันคอฝากให้คุณข้าวตังครับ และถุงนี้ขนมให้น้องเต้   ส่วนกล่องนี้ของคุณ...กลับไปเปิดที่ห้องนะครับ  หวังว่าคุณจะชอบ และก็ใช้มัน”   ภาคินส่งถุงกระดาษสวยงามให้เขารับมาถือเอาไว้

            เตไม่มีทางปฏิเสธ  ได้เเต่ขอบคุณและรับมาแต่โดยดี   บอกลาผู้ชายใจดีคนนั้น

            “คุณเต..สู้ๆนะครับ  อย่างน้อยวันนี้ผมก็ทำให้คุณหัวเราะออกตั้งสองครั้งนะ   ถือว่าประสบความสำเร็จ แค่นี้ผมก็ดีใจแล้ว ...ฝันดีนะครับ คุณเต”

            ติณธรน้ำตาคลอ  เขาโบกมือให้ชายหนุ่ม  ยืนรอจนรถของฝ่ายนั้นเคลื่อนลับไปจากสายตา

            ใครบางคนจับตามองร่างโปร่งบางที่ถือของพะรุงพะรังเดินเข้าไปในบ้านอยู่เงียบๆ ในความมืด เขากำมือแน่นจนเห็นเส้นเลือดขึ้นปูดโปน   ภาพที่เห็นผ่านกระจกรถแท็กซี่ที่เขาอาศัยนั่งมาดักรออีกฝ่ายที่หน้าบ้านทำให้รดิศกัดกรามจนขึ้นสันนูน

            เขารู้เหตุผลแล้ว  ว่าทำไมเตถึงผละจากเขามาเสียดื้อๆแบบนั้น   ความจริงเขาก็น่าจะรู้อยู่แล้ว  ทำไมถึงคิดไม่ถึงนะ   กลับคิดไปได้ว่าอีกฝ่ายหักห้ามใจได้   เพราะต่างคนต่างมีพันธะ  เพราะเขายังมีรันอยู่ เช่นเดียวกับเตที่มีทั้งลูกทั้งภรรยา  ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น ก็นับว่าอีกฝ่ายมีมโนธรรมมากพอที่จะควบคุมอำนาจใฝ่ต่ำได้   น่านับถือและน่าเห็นใจระคนกัน

            และนั่นเป็นเหตุผลที่เขาตัดสินใจมาหาเต  เพื่อจะมาขอโทษ  และจะยอมยกโทษให้ทั้งหมด   ที่เคยทิ้งเขาไปในอดีต....ถ้าเด็กชายและหญิงสาวคนนั้นคือเหตุผลของเต  เขาก็จะทำใจยอมรับ   และยินดีด้วยที่อีกฝ่ายคิดถึงลูกเมียได้ถึงขนาดนี้    จะขออวยพรให้ครอบครัวของเค้ามีแต่ความสุข และไม่กลับมารบกวนเกี่ยวข้องกันอีก

            ให้เรื่องทุกอย่างเป็นอดีตที่ผ่านไปแล้วเท่านั้น

            ทว่าทำไมเขาถึงนึกไม่ถึงนะ  ว่ามันอาจจะมีเหตุผลอื่นด้วย  ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาก็เป็นคนค้นพบพิรุธของคนคู่นี้เองแท้ๆ

            คงเป็นเพราะเขามองอีกฝ่ายในแง่ดีเกินไป



ต่อด้านล่างนะคะ

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
ต่อนะคะ


                     **********************



          เขาเดินผิวปากมาตามทางวิ่งในสวนสาธารณะที่เขากับคนรักจะมาวิ่งด้วยกันเสมอๆ   วันนี้ตั้งเตโทรเรียกเขาออกมา  บอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย 

          ...คงจะเป็นเรื่องที่เตเรียนจบแล้วจะขอไปทำงานต่างจังหวัดแน่ๆ  ไม่อยากบอกฝ่ายนั้นเหมือนกันว่า  เขาตั้งใจเอาไว้แล้วว่า  ต่อให้เตไปทำงานที่ไหน  เขาก็จะไปด้วย  จะขอย้ายไปใช้ทุนที่นั่นซะเลย  เพื่อที่เราสองคนจะได้ไม่ต้องอยู่ไกลกัน

          เตยังไม่รู้เรื่องนี้หรอก   เขายังไม่ได้บอกใครเลยว่าตนเองตัดสินใจเลือกแล้วว่าฃจะไปใช้ทุนต่างจังหวัด  ไม่เรียนต่อเฉพาะทางหรือรับทุนเป็นอาจารย์เเพทย์ต่ออย่างที่อาจารย์และใครๆหลายๆคนหวังเอาไว้

          ‘ผมอยากให้คุณใช้ทุนที่นี่ แล้วเรียนเฉพาะทางไปด้วยเลย  เกรดเฉลี่ยแบบคุณอยากเรียนอะไรก็ได้อยู่แล้ว   พอเรียนจบจะได้เป็นอาจารย์  ผมจะสนับสนุนคุณเต็มที่   หรือว่าคุณจะสอบไปต่อบอร์ดที่เมืองนอกก็ได้  แล้วแต่คุณ  แต่ความเห็นผม..คุณไปต่อบอร์ดเลยประหยัดเวลากว่า  ได้กลับมาทำประโยชน์ให้กับคนไข้และประเทศชาติเร็วๆ  เชื่อผมเถอะ’  เสียงอาจารย์ที่ปรึกษาดังขึ้นอีกครั้ง  แต่ชายหนุ่มสั่นศีรษะ ไล่ความคิดนั้นออกไปอย่างง่ายดาย

          ความฝันของเขาไม่ได้อยู่ที่การเรียนต่อจนจบเป็นสุดยอดปรมาจารย์  ไม่ได้อยากรับการยกย่องให้เกียรติขนาดนั้น   เขาต้องการแค่ใครสักคนที่อยู่เคียงข้างให้เขาดูแลรักษายามแก่เฒ่า   แค่นั้นก็เพียงพอและคุ้มค่าแล้วกับการเรียนแพทย์

          เขาจะเป็นถึงขั้นนั้นทำไม  ถ้าถึงตอนนั้นเขาไม่เหลือคนที่เขารักไว้ให้รักษาอีกแล้ว   รดิศคิดแบบนี้มาตลอด  แต่ดูเหมือนคนรอบข้างจะไม่คิดเหมือนเขาเอาเสียเลย

          แม้แต่กับเต  ใช่   เตอยากให้เขาเรียนต่อเฉพาะทาง  ขณะที่ตัวเองกลับอยากเดินตามความฝันด้วยการไปเป็นครูในชนบทที่ห่างไกล

          แล้วใจคอเตจะทิ้งเขาอยู่ที่นี่คนเดียวได้ลงคอเชียวหรอ  เขาไม่ยอมหรอก  เรื่องอะไร  จีบมาตั้งหลายปี  ถึงเวลาจะทิ้งกันไปดื้อๆแบบนี้  ไม่มีทางเสียล่ะ  เตไปไหน เขาก็จะไปด้วย

          อ้อ...คิดถึงก็มาพอดี

          ร่างโปร่งบางเดินตรงเข้ามาหาเขา  วันนี้เด็กหนุ่ม  ไม่สิ เค้ากำลังจะเป็นบัณฑิตอยู่รอมร่อแล้วไม่ได้อยู่ในชุดออกกำลังกายเหมือนเคย  กลับอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ต กางเกงแสล็คเรียนร้อย เหมือนคนทำงาน

          “เต  ทำไมใส่ชุดนี้มาล่ะ  มีธุระต่อเหรอ”  เขาทักทันที  สังเกตเห็นใบหน้าของฝ่ายนั้นซีดกว่าปกติ  ทว่าไม่ได้เอะใจ

          “เดี๋ยวผมมีที่นึงต้องรีบไปน่ะ...พี่ดิมล่ะ  วันนี้มีซ้อมรับปริญญาไม่ใช่หรอ  ตอนบ่ายใช่มั้ย”  เตจำตารางของเขาได้แม่นยำเหมือนเดิม

          บัณฑิตแพทย์และบัณฑิตอักษรศาสตร์เดินคู่กันมาเรื่อยๆ  สวนกับนักศึกษาหลายคนที่มาวิ่งออกกำลังกายยามเช้า     สายลมแผ่วๆพัดมาทำให้ว่าที่คุณหมอหนุ่มรู้สึกสดชื่นปลอดโปร่งในอารมณ์เหลือเกิน

          “มีอะไรหรือเปล่า ถึงเรียกพี่มาก่อน  ไว้รอคุยกันเย็นนี้ไม่ได้ หืม?”  ถามยิ้มๆ  อีกฝ่ายหันมามองหน้าเขาแวบหนึ่ง  แต่ไม่พูดอะไร

          เราเดินต่อจนมาถึงตอนหนึ่งที่เป็นลานสนามหญ้าโล่งๆ  เขาพาเตเดินมาหยุดยืนอยู่ใต้ร่มเงาไม้...ต้นไม้แห่งความทรงจำเราสองคน  ในวันแรกที่เขาส่งผ้าขนหนูที่มีเบอร์โทรของเขาเขียนอยู่ให้กับฝ่ายนั้น และเตก็ส่งขวดน้ำกลับมาให้  แค่คิดก็เผลอยิ้มกว้างออกมา

          “จำต้นไม้ต้นนี้ได้มั้ย  หลายปีก่อนพี่แลกเบอร์เตตรงนี้นะ  จำได้หรือเปล่า   พอมาคิดๆดูตอนนั้นพี่โคตรเชยเลย  เขียนใส่ผ้าเช็ดหน้า ฮ่าๆ”   เขาหัวเราะขำตัวเอง  แปลกใจที่อีกฝ่ายไม่หัวเราะตามไปด้วยเหมือนทุกครั้ง  ริมฝีปากอิ่มเต็มคู่นั้นเม้มแน่นและซีดเผือด

          “เต  นายเป็นอะไรหรือเปล่า  ไม่สบายตรงไหน  หน้านายซีดจัง หรือว่าจะเป็นลม”  รีบถามอย่างห่วงใย  เขากุลีกุจอเข้าไปหาร่างตรงหน้า  จับหัวไหล่ทั้งสองข้างเอาไว้  แต่อีกฝ่ายกลับดันตัวเขาออก

          เงยหน้าขึ้น จ้องมองเขาด้วยดวงตากลมดำขลับที่มีแววประหลาดแฝงอยู่

          “พี่ดิม...ผมมีเรื่องจะบอกพี่”  เสียงของเตแหบกว่าทุกวัน  ใจของคนฟังเต้นแรงขึ้น  สังหรณ์บางอย่างบอกตัวเองได้ทันทีว่านี่มันไม่ปกติ 

          “อะไรหรือเต?”  นายอย่าทำหน้าแบบนี้สิ  เขารำพึงในใจ  กลั้นใจรอฟังคำพูดที่กำลังจะออกมาจากฝ่ายนั้น

          เตเงียบไปครู่ใหญ่ ราวกับต้องการใช้เวลาทบทวน  แต่สุดท้ายเสียงแหบพร่าก็หลุดออกมาจากริมฝีปากที่เม้มสนิท

          “เต...ขอโทษ  ..พี่ดิมดีเกินไปสำหรับเต  เตไม่อยากให้พี่จะต้องมาติดแหงกอยู่ที่นี่เพราะเต   ขอโทษจริงๆแต่เราจบกันตรงนี้เถอะนะ”

เด็กหนุ่มตรงหน้าพูดเสียงสั่น รวดเดียวจบราวกับท่องจำมา  ก่อนจะยกมือขึ้นไหว้เขา  และทำท่าจะหันหลังเดินจากไป

เขาพูดไม่ออก  รู้สึกหัวสมองมึนชา แม้ว่าจะเอื้อมมือไปยึดแขนของคนตรงหน้าเอาไว้แน่น

“เดี๋ยวเต   เต..หมายความว่ายังไงนะ  พี่...”

ไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า  ไม่มีทันได้เอะใจใดๆทั้งสิ้น  เมื่อวานเขายังหัวเราะให้แก่กันอยู่เลยไม่ใช่เหรอ  ทำไมตอนนี้ถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไปได้   มันต้องมีการเข้าใจผิดอะไรสักอย่าง

“เตขอโทษ  พี่ดิม  ปล่อยเตเถอะ" แฟนของเขาพูด พยายามบิดแขนออกจากมือของเขา  ขาก้าวออกเดินหนี   แต่เขาไม่ยอมปล่อยมือ  ยังคงเดินตามไปติดๆ

เสี้ยวหน้าที่เขาเห็นนั้นซีดเผือด  แต่ไม่มีน้ำตาสักหยดเดียว

“เต  ทำไมล่ะ  เกิดอะไรขึ้น  โกรธอะไรพี่หรือ  พี่ทำอะไรผิดไป...”  เขาเขย่าแขน  แต่อีกฝ่ายสะบัดแขนอย่างแรงจนหลุด   แล้วออกวิ่งเต็มฝีเท้า

เขาวิ่งตาม

          “เต เดี๋ยวก่อน  ทำไมล่ะ  บอกพี่มา”

          เด็กหนุ่มคนนั้นวิ่งข้ามถนนไปอย่างรวดเร็ว  เขารีบกวดฝีเท้าวิ่งตามไป ไม่ทันระวัง  ไม่เห็นเลยว่ามีรถเก๋งคันหนึ่งวิ่งตรงมาด้วยความเร็ว ก่อนจะปะทะเข้ากับร่างของเขาอย่างแรงจนกระเด็น

          ตัวลอยหวือไปตกกระแทกพื้น  รู้สึกจุกแน่นหายใจไม่ออก  เจ็บแปลบที่ศีรษะ

          “เต เดี๋ยว  กลับมาก่อน…ตั้งเต  อย่าทิ้งพี่”

          เขาตะโกนลั่น  แต่เสียงที่สะท้อนกลับเข้ามาแก้วหูของตัวเองกลับแผ่วเบาแทบไม่ได้ยิน   พยายามเพ่งมองร่างเล็กบางที่วิ่งตัดถนนขึ้นไปยืนที่ฟุตบาทอีกด้าน   เห็นลางๆว่าอีกฝ่ายจ้องมองมาที่เขา

          หูแว่วเสียงคนหวีดร้อง และพูดคุยจอแจอยู่รอบตัว  รดิศอยากตวาดให้ทุกคนเงียบซะ  แต่เขาไม่เหลือแรงพอ

          ‘เต อย่าไป’  ริมฝีปากขยับนิดๆเท่านั้น กับความพยายามครั้งสุดท้ายของเขาในการรั้งอีกฝ่ายเอาไว้   สายตาที่เริ่มพร่าเลือนมองไม่เห็นร่างของคนรักอีกต่อไป  ความรู้สึกชาแล่นไปทั่วร่างพร้อมกับอาการหนักศีรษะจนอยากจะหลับตาลง

          สำนึกสุดท้ายมีเพียงใบหน้าเรียวของเด็กหนุ่มคนนั้น กับประโยคที่ก้องกลับไปกลับมาอยู่ในหูว่า ‘เราจบกันตรงนี้เถอะนะ  เตขอโทษ’

จากนั้นเขาก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย

มาฟื้นอีกทีก็อีกหลายวันต่อมาที่โรงพยาบาล  ใบหน้าแรกที่เขาเห็นคือใบหน้าของเพื่อนสนิท..รัน...หาใช่ใบหน้าเรียวหวานที่ติดอยู่ในความทรงจำที่แสนเจ็บปวดของเขาไม่

“เตล่ะ  รัน  เตอยู่ที่ไหน  เขาทิ้งพี่ไป”   ประโยคแรกของคนเจ็บที่เอ่ยออกมาในสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น คล้ายกับอยู่ในความฝัน   เพื่อนสนิทของเขายิ้มอย่างดีใจ   แต่ไม่ได้ตอบคำถามของเขา

“พี่ดิม  ฟื้นแล้ว  ผมเป็นห่วงพี่มากเลยนะ  นอนเงียบไปเลยตั้งสามวันสามคืน  เดี๋ยวผมขอไปตามอาจารย์ก่อน”  รันพูด รีบวิ่งออกไปจากห้อง  ครู่เดียวก็กลับมาพร้อมอาจารย์แพทย์และทีมพยาบาล

อาจารย์เข้ามาตรวจเขาอย่างละเอียด และส่งไปสแกนสมองเพราะเขาได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะอย่างแรง  ไม่นับกระดูกซี่โครงและแขนขาที่หักหลายท่อนต้องดามเฝือกเอาไว้ทั่วทั้งตัว  ปอดและตับฉีกแต่ได้รับการผ่าตัดด่วนไปแล้วตั้งแต่วันที่เกิดเรื่อง

ได้ยินเสียงคุยกันแว่วๆก่อนที่เขาจะหลับไปอีกเพราะฤทธิ์ยาว่า

‘ดิมมีเลือดออกที่ก้านสมอง  ที่โรงพยาบาลของเราผ่าตัดไม่ได้  ต้องส่งตัวไปอเมริกา ที่นั่นยินดีรับ…’

หลังจากนั้นเขาก็ครึ่งหลับครึ่งตื่นมาตลอด  ไม่ได้สติอีกเลย  และทุกครั้งที่เขารู้สึกตัว  ประโยคแรกที่เอ่ยออกมาก็จะเป็นข้อความซ้ำๆเดิม ราวกับเทปที่ถูกกรอซ้ำ  รวมถึงใบหน้าที่มักโผล่เข้ามาในความล่องลอยพร่าเบลอ ก็มักจะเป็นใบหน้าของเด็กหนุ่มคนนั้น

เพราะเจ้าตัวฝังใจ

“เตอยู่ไหน  เขาไปไหน”   

หลายเดือนกับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลชั้นนำของโลก  ในที่สุดเขาก็ฟื้นขึ้นมาจากความฝัน ได้รับการบอกเล่าแค่เขาถูกส่งตัวมารักษาต่อที่นี่ด้วยบารมีของบิดาของรัน  รวมถึงค่ารักษาพยาบาลด้วย

ในตอนแรก  ชายหนุ่มหมดอาลัยตายอยากในชีวิต   เขาไม่อยากอยู่แล้ว  ในเมื่อเตทิ้งเขาไปอย่างไม่ไยดี  ไม่!  แม้แต่จะส่งข้อความมาเยี่ยม หรืออะไรก็ได้แม้เเต่ถามถึงสักหน่อยก็ยังดี   แต่นี่อีกฝ่ายหายเข้ากลีบเมฆไปเสียเฉยๆ

ถามความจากเพื่อนสนิทก็ได้เพียงว่า เด็กหนุ่มคนนั้นไม่มางานวันรับปริญญา ไม่ได้ไปทำงานที่ไหน  ติดต่อไปทางเพื่อนฝูงก็ไม่มีใครได้พบอีกเลย  ราวกับหายสาบสูญไปจากสังคม

้เขาต้องได้รับการบำบัดจากจิตแพทย์หลายครั้ง  กว่าจะยอมทำกายภาพบำบัดและยอมรับการรักษาต่อ   ตลอดช่วงเวลาที่ยากลำบาก  เขามีเพียงคุณแม่และรันเท่านั้นที่อยู่เคียงข้าง

ในที่สุดชายหนุ่มก็หายดี และกลับมาเลือกทางเดินชีวิตอีกครั้ง   ตัดสินใจที่จะฝังอดีตของเด็กหนุ่มใจดำคนนั้นเอาไว้ในหลุมที่ลึกที่สุดในหัวใจของเขาและจะไม่ขุดมันขึ้นมาคิดถึงอีกแล้ว

          ให้นึกเสียว่าเราตายจากกันไปเลยก็แล้วกัน

          เมื่อตั้งใจเอาไว้อย่างนั้น   รดิศจึงเลือกสอบเข้าเรียนต่อที่โรงพยาบาลที่เขามารับการรักษานั่นเอง  โชคดีที่สมองของเขายังคงปราดเปรื่องเหมือนเดิม  การเรียนในสาขาที่ว่ายากเย็นแสนเข็ญนั้นจึงไม่ยากเกินไปสำหรับเขา

          ส่วนรัน...ชายหนุ่มซาบซึ้งในบุญคุณของอีกฝ่ายจนบรรยายไม่ถูก  ตั้งใจเอาไว้ว่าจะทดแทนทุกอย่างที่ทำได้  และสิ่งหนึ่งที่เขารู้ก็คือ...รันรักเขา

และนั่นก็เพียงพอแล้ว   เขายินดีที่จะอยู่เคียงข้างรันไปตลอดชีวิต   ให้สมกับที่อีกฝ่ายอยู่เคียงข้างเขาตลอดมา

ทว่าในคืนที่ดึกสงัด  ในเวลาที่เขาเหนื่อยมากๆ จากงาน จากการเรียน  กลับหอมานอนหลับตานิ่งๆ เขามักจะแว่วเสียงนุ่มเคยคุ้นที่ริมหู คอยไถ่ถามเขาอย่างห่วงใยปนหยอกเย้าอยู่เสมอ

‘ดึกแล้ว  นอนได้แล้วน่า  จะเรียนอะไรนักหนา ดูสิ ตาคล้ำยังกับหมีแพนด้าแล้ว’

“เต!”

เหมือนเคย  เมื่อเขาลืมตาขึ้นมา ก็จะพบว่าห้องนั้นว่างเปล่าและเย็นเยียบ...เช่นเดียวกับหัวใจของเขา



                           **********************




“เต!”  คุณหมอหนุ่มสะดุ้งตื่น  ได้ยินเสียงตัวเองเรียกชื่ออีกฝ่ายดังลั่นห้อง

เขาปิดตาลงแล้วลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง  นอนนิ่งๆอยู่บนเตียงขนาดคิงส์ไซส์ภายในห้องนอน  ฟังเสียงเครื่องปรับอากาศทำงาน

เขานอนแบบนี้มานานแล้ว อาจจะหลายชั่วโมง หรือหลายวัน    ก็ไม่รู้เหมือนกัน

ที่รู้ก็คือเขารู้สึกเจ็บปวดในอก  หมดเรี่ยวแรง  หรือจะเรียกว่า เฮิร์ท ก็คงจะได้  ที่จริงมันก็ไม่เชิงอกหักหรอก  ไม่ใช่แบบนั้น เขาบอกตัวเอง   ก็เขาไม่ได้รักเตแล้วนี่นา  จะได้อกหักเพราะถูกปฏิเสธ

มันคงเป็นความรู้สึกคล้ายๆกับความผิดหวัง   เวลาที่เราตั้งความหวังกับอะไรอย่างหนึ่งมากเกินไป   อืม...เป็นเพราะเขาตั้งความหวังกับการแก้แค้นเอาไว้มาก   ทว่ายังไปไม่ถึงครึ่งทาง แผนก็มีอันต้องล่มเพราะอีกฝ่ายถอนตัว

ไอ้เราก็อุตส่าห์คิดในแง่ดีว่า  ฝ่ายนั้นคงจะมีมโนธรรมสูงส่งจนสามารถยับยั้งชั่งใจจากกามราคะที่เขาจงใจเสนอให้   แต่ที่ไหนได้...เขาทิ้งเราไปเพราะไอ้หน้าตี๋ใส่สูท เจ้านายของเค้าตะหาก

ทำไมล่ะ  เขาสู้ไอ้หมอนั่นไม่ได้ตรงไหน  หรือว่าลีลาไม่ร้อนแรงถึงอกถึงใจพอ ...ร่างโปร่งบาง ผิวนวลเนียน  สัมผัสนุ่มนิ่มที่คร่อมตัวเขาอยู่ด้านบนแวบกลับเข้ามาในห้วงความคิดอีกครั้ง   ฝ่ามือที่ลูบไล้ไปตามร่างกาย สำรวจมัดกล้ามของเขาราวกับเด็กน้อยที่อยากรู้อยากเห็น   ดวงตาฉ่ำปรือและเรียวปากอิ่มชื้นที่หวานหอมคู่นั้น

ให้ตายสิ  แค่คิด..บางส่วนในร่างกายของเขาก็ปวดหนึบ

            ภาพใบหน้าของผู้ชายขาวตี๋ดูกวนประสาทแวบเข้ามาอีก  เขากำลังโน้มลงไปเพื่อสัมผัสริมฝีปากอิ่มเต็มของเตที่เผยอน้อยๆรอการสัมผัส....

            “โว้ย!! ไม่ไหวแล้วว้อย”

          ศัลยแพทย์หนุ่มผุดลุกขึ้นจากเตียงนอน  เขาคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาเพื่อนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกที่เป็นเจ้าของไข้ของเขา

            “ฮัลโหล   พี่รุจ  ช่วยอะไรผมหน่อย  ผมอยากเอาเฝือกออกแล้ว”

            ..............................................................................................

            ชายหนุ่มร่างโปร่งเพรียวนั่งทำงานอยู่ในห้องส่วนตัวของตนเองเหมือนทุกวัน  ปลายนิ้วเรียวยาวพรมไปบนแป้นคีย์บอร์ดรัวเร็วตามกระแสความคิดที่พรั่งพรูออกมาในยามดึกสงัด   เขาหยุดชะงักนิดหนึ่งเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูเบาๆที่หน้าห้อง  ก่อนที่ประตูจะถูกเปิดออก

            ภรรยาของเขาเดินเข้ามาพร้อมกับแก้วบรรจุนมอุ่นๆ  เธอเดินมาหยุดตรงหน้าโต๊ะทำงานของเขา  วางถ้วยแก้วลง

            “ขอบคุณมากจ้ะ  ตัง”  เงยหน้าขึ้นบอกยิ้มๆ แล้วรัวนิ้วลงบนแป้นพิมพ์ต่อ

            “งานเร่งหรือคะ พี่เต  พี่ไม่ออกจากห้องมาสองวันแล้วนะ”  หญิงสาวถามอย่างเป็นห่วง  พิศดูใบหน้าเรียวที่ซูบลงไปอย่างเห็นได้ชัด   ไรหนวดขึ้นเขียวครึ้มเพราะเจ้าของไม่ดูแล  ใต้ตาดำคล้ำราวกับเขาไม่ได้นอนเลยตลอดสองวันที่ผ่านมา

            “จ้ะ  จะปิดเล่มแล้ว  พี่โดมเร่งมา”  พี่เตบอก  สบตาเธอแวบหนึ่ง

            “เร่งขนาดไม่ต้องกินข้าวกินปลาเลยเหรอคะ  พี่เต  ตังไม่เชื่อหรอก  เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า  ทุกทีต่อให้งานเร่งแค่ไหน พี่ก็ไม่เคยทำแบบนี้นี่”  เธอเท้าแขนลงกับโต๊ะ  ชะโงกลงมาบังหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อบังคับให้เขาหยุดพิมพ์แล้วเงยหน้าขึ้นมองเธอ

            “ไม่มีอะไรหรอก  ช่วงก่อนนี้พี่ไม่ค่อยได้เขียนน่ะ  เลยเขียนไม่ทัน  ตังไม่ต้องเป็นห่วงพี่หรอก  คอยดูแลสุขภาพของเราก็พอแล้ว  วันนี้ยังเหนื่อยอยู่อีกไหม”  เขาเปลี่ยนเรื่อง   สาวรุ่นน้องกัดริมฝีปาก  แต่ก็ยอมตอบ

            “ไม่เหนื่อยแล้วค่ะ  ยาที่หมอให้มาดี   พี่เต...พรุ่งนี้มีประชุมผู้ปกครองของเต้   ตอนแรกตังจะมาชวนพี่เตไปด้วย  แต่ดูแล้วพี่คงไปไม่ได้”

          “ขอโทษทีนะจ้ะ  พี่ทำงานไม่เสร็จจริงๆ  ไว้คราวหน้านะ”  เตพูดเสียงอ่อน  ลุกขึ้นจากเก้าอี้  ฝืนอาการวิงเวียนหนักศีรษะที่คงเกิดจากการพักผ่อนไม่เพียง  เดินไปโอบไหล่น้องสาวพาออกจากห้องของเขาไปส่งยังห้องของเธอ

            หญิงสาวยอมเข้านอนโดยดี  ไม่ลืมเตือนให้เขารีบพักผ่อนบ้างและออกมาทานอาหารเช้ากับเธอพรุ่งนี้

            ติณธรรับปาก    เดินกลับมาทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ทำงานตัวเดิม เงยหน้าขึ้น หลับตา ถอนหายใจยาวเหยียด

            สองวันแล้ว  ที่เขาไม่มีกระจิตกระใจจะออกไปไหน ทำอะไร แม้แต่จะหาอะไรเข้าปาก   เหมือนมันอิ่มตื้อไปเสียเฉยๆ   อยากนอนนิ่งๆ  ทว่าพอล้มตัวลงนอน  ภาพเหตุการณ์ในห้องน้ำก็จะผุดขึ้นมาทุกครั้ง

            ใบหน้าคมเข้มที่จ้องมองเขาด้วยแววตาเศร้าสลด  ทั้งผิดหวัง เสียใจ และไม่เข้าใจ   มันหลอกหลอนเขา  ติดตาพอๆกับภาพใบหน้าเปื้อนเลือดที่มองมายังเขาอย่างอ้อนวอน ขอร้องเมื่อหลายปีก่อน

            และทั้งสองเหตุการณ์ก็จบลงที่เขาวิ่งหนีจากมาเหมือนกัน  ทิ้งผู้ชายคนนั้นเอาไว้

            เขาทำผิดซ้ำสองใช่มั้ย?  เขาทิ้งพี่ดิมอีกแล้วหรือเปล่า  ทั้งที่อีกฝ่ายอุตส่าห์ขอร้องให้เขากลับไปช่วยเยียวยาแผลใจ  ทั้งที่เขาตั้งใจจะกลับไปเพื่ออธิบายเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน

            เพื่อที่เราสองคนจะได้ไม่ต้องจากกันด้วยความไม่เข้าใจ  ความกังขา หรือความโกรธเกลียดกัน 

            สัมผัสนุ่มนวลแต่ร้อนแรงอยู่ในทีของพี่ดิมยังคงติดอยู่ในความทรงจำ   เตเชื่อว่าถ้าวันนั้นตนเองไม่ผละออกมา  เรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อจากนั้น คงจะต้องไปต่อจนสุดทางเป็นแน่  เพราะเขาคงไม่สามารถปฏิเสธใจตัวเองได้  และคนที่จะเสียใจ ในคราวนี้ก็จะไม่ได้มีแค่เขากับพี่ดิมอีก  แต่จะมีข้าวตัง  เต้  หมอรัน.... คนที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลย  แต่ก็ต้องมารับความเจ็บปวดนี้ด้วย

            ถึงกระนั้น  จะให้ติดใจ ‘ทิ้ง’ อีกฝ่ายออกมาแบบนี้เสียเฉยๆ  เขาก็ไม่สบายใจอยู่ดี    นี่เขาควรทำอย่างไรดีนะ

            ลืมตาขึ้นมา  จ้องมองไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เปิดค้างเอาไว้  ตัวอักษรที่เรียงรายอยู่เต็มพรืดแต่ไม่มีความหมายอันใด   ไร้ความปะติดปะต่อ เพราะคนเขียนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

            เตกดลบทิ้งอีกครั้ง   

            ถ้าความรู้สึกของเรา สามารถกดลบทิ้งได้ง่ายๆ แบบนี้ก็คงดี

            เช้าวันรุ่งขึ้น  ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองเผลอนอนหลับอยู่บนเก้าอี้ทำงานนั่นเอง   บิดตัวอย่างเมื่อยขบ  หันไปมองนาฬิกาก็ตกใจ...เกือบแปดโมงกว่าแล้ว

            รู้สึกปวดศีรษะจนแทบระเบิด   เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้  เปิดประตูออกมาด้านนอกเพื่อหายาแก้ปวดทาน   พบว่าภายในบ้านเงียบกริบ...ข้าวตังกับเต้คงจะไปโรงเรียนกันแล้ว  วันนี้มีประชุมผู้ปกครองนี่นะ

            กล้ำกลืนฝืนกินยาเม็ดใหญ่เข้าไปเม็ดหนึ่ง   ถอยกลับเข้าไปภายในห้องนอนอีกครั้ง  ไม่รู้สึกหิวเหมือนเคย  จึงเดินไปหย่อนตัวลงที่เก้าอี้ทำงาน

            เสียงแตรรถยนต์บีบดังขึ้นด้านนอกบ้าน จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงกดกริ่ง     

            เจ้าของบ้านหนุ่มถอนหายใจยาว  คงจะเป็นพี่โดมมาทวงต้นฉบับกระมัง  ...ทำไมถึงไม่โทรมาก่อนเหมือนทุกทีนะ

            “กำลังลงไปครับ”  เขาตะโกนลงไปบอกด้านนอกหน้าต่าง  แล้วเดินแกมวิ่งลงมาจากชั้นสอง มาที่ประตูหน้าบ้าน  เปิดออกไป  ชะงักนิดหน่อยเพราะรถของคนมาหาที่จอดอยู่ด้านนอกรั้วไม่ใช่รถของพี่โดม

            รวมถึงร่างของคนที่ยืนเกาะประตูรั้วอยู่ด้วยเช่นกัน

            สบนัยน์ตาคมเข้มคู่นั้น  เตนึกอยากถอยกลับเข้าไปในบ้านเสียจริงๆ   ผู้ชายที่อยู่ในความคิดคำนึงของเขา ทำเอากินไม่ได้ นอนไม่หลับมาสองวันกลับมายืนอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง อย่างไม่ทันตั้งตัว

            “พี่ดิม..?”

          ………………………………………………



มาต่อนะคะ  ขอบคุณที่ติดตามอ่าน
มีนักอ่านถามว่าจะหน่วงอีกกี่ตอน...เอ่อ  ก็เรื่องนี้เป็นเรื่องยาวประมาณ30กว่าตอนค่ะ แหะๆ
ค่อนข้างดราม่า  ขอบคุณที่อินขนาดนี้5555
เจอกันพรุ่งนี้ค่ะ :impress2:
ปล.ถ้าชอบเรื่องนี้อย่าลืมเม้นท์หรือกดถูกใจ บวกเป็ดนะคะ :katai2-1:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ไม่ค่อยถนัดแนวดราม่ายาวนาน ขอรอจบก่อนนะคะ
ให้กำลังใจคนเขียนค่ะ

ออฟไลน์ 205arr

  • เราคงอยู่ไกลกันเป็นพันหมื่นลี้
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
อยากให้ผ่านช่วงหน่วงไปเร็วๆ จังเลยค่ะ ฮ่าๆๆ
แต่ถึงจะหน่วง ก็ยังตามอ่านอยู่ดี
ชีวิตก็เป็นอย่างนี้นี่แหละนะคะ
เราก็รู้อยู่แค่มุมมองของตัวเองนี่แหละ
ไม่มีทางรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไรได้เลย
เพราะเราไม่สามารถพูดทุกอย่างที่คิด ที่รู้สึกได้
ก็เลยเกิดความไม่เข้าใจกันอย่างนี้
เอาใจช่วยพี่ดิม น้องเตค่ะ
 :mew4: :mew4:


ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
ขอบคุณนะคะ


รอตอนต่อไป

ออฟไลน์ ceylon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 389
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
30 ตอน... นี่พึ่ง 15 โอ้ย   :katai1:
สู้ๆนะเตนะ ยังมีเวลาชีวิตดราม่าอีกหลายตอน เราอยู่ข้างนายเสมอ

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
   เวลามีปัญหาอะไรไม่ว่าเกี่ยวกับแฟนหรือในครอบครัวก็ช่าง มีอะไรก็ต้องพูดตรงๆไปเลย จะบอกเลิกแฟน ถ้ามีคนมาพูดอะไรก็คุยกับแฟนตรงๆไปเลย จะได้เข้าใจและช่วยกันแก้ไข นี่แค่นิยายนะ
  รออ่านต่อไปว่าตั้งเตจะทำยังไงต่อไป

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
สัญชาตญาณ ฆานประสาท ประกาศก้อง
มันเรียกร้อง จ้องจับเหยื่อ เมื่อเกิดหิว
ร่างกายสั่ง ดังในใจ ไล่ปลิดปลิว
เล็บห้านิ้ว เข้าหิ้วเหยื่อ เมื่อแน่ใจ

สันดานดิบ กระซิบบอก ให้หลอกเหยื่อ
พูดเกลี้ยกล่อม ให้ยอมเชื่อ เมื่อหลงไหล
น้าวธนู ยิงลูกดอก วิ่งออกไป
ปักหัวใจ ไม่มีพลาด ขาดใจตาย


สัตว์ย่อมกระหายในสัตว์

คนก็เช่นเดียวกัน

ไม่แตกต่างกันเลย
หุหุ
 :mew2:

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk

เพราะหัวใจบอกว่า...ซึ้ง

 

 

 

 

            “พี่ดิม..?”   เจ้าของบ้านหลุดชื่อแขกผู้มาเยือนออกมาอย่างไม่ทันรู้ตัว    ผู้ชายหน้าเข้มตรงหน้าจ้องมองมาที่เขานิ่ง  ดวงตาคมกริบคู่นั่นหรี่น้อยๆราวกับกำลังพิจารณาดูท่าทีของเขาอยู่

            “พี่มีเรื่องจะคุยด้วย   ขอเข้าไปคุยข้างในหน่อย”   รดิศพูดออกมาในที่สุด    น้ำเสียงเรียบ   เรียบเกินไปเหมือนคลื่นในมหาสมุทรที่กำลังจะก่อตัวกลายเป็นพายุร้ายโหมกระหน่ำซัดเข้าหาฝั่ง   เตคิดในใจ   สัญชาตญาณสั่งให้เขาถอยหลังไปสองก้าว  ไม่ยอมเปิดประตูเพื่อให้อีกฝ่ายเข้ามา

            “คุยตรงนี้ก็ได้   พอดีข้างในไม่สะดวก”  เจ้าของบ้านพูดสั้นๆ  พยายามไม่สบตาคมๆคู่นั้นมากนัก

            “ถ้าอย่างนั้นไปคุยในรถพี่ได้มั้ย   ตรงนี้มัน...แดดร้อน”  พี่ดิมเงยหน้าขึ้นมองแสงอาทิตย์เวลาแปดโมงกว่าที่แผดจ้าลงมายังพื้นโลกอย่างไม่ปรานีปราศรัย  เหงื่อเม็ดโตเริ่มไหลลงมาตามขมับและหางคิ้วเข้ม 

            เตไม่อยากเข้าไปนั่งคุย ‘ในรถ’ กับฝ่ายนั้น  แต่เมื่อเทียบกับการให้พี่ดิมเข้ามานั่งคุย ‘ในบ้าน’ ที่มีเขาอยู่เพียงคนเดียวแล้ว   คิดว่าอย่างไหนมันจะปลอดภัยมากกว่ากันล่ะ

            มั่นใจได้ว่าพี่ดิมจะต้องกำลังโกรธเขาอยู่มากๆแน่ๆ  ก็เล่นผละออกมาเสียดื้อๆแบบนั้น ....เหลียวซ้ายแลขวาหาทางที่ดูจะเหมาะที่สุด  จากนั้นชายหนุ่มก็ชี้ไปที่ต้นไม้สูงที่แผ่ร่มเงาอยู่ริมรั้วบ้าน

            “เราคุยกันตรงนั้นก็ได้”  ดิมมองตาม   แล้วขมวดคิ้ว

            “นี่นายไม่ไว้ใจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ  กลัวอะไรไม่ทราบ  คิดว่าฉันจะปล้นหรือบีบคอนายตายหรือไง  ไม่เห็นหรือว่าฉันมีแค่แขนเดียว จะทำอะไรได้”  พี่ดิมเปลี่ยนมาเรียกแทนตัวเองว่า ‘ฉัน’ เหมือนทุกทีเวลาที่ยั้วะจัด   ยกแขนที่มีผ้าคล้องไหล่อยู่ขึ้นมา

“เปล่า  ไม่ใช่อย่างนั้น”  ตั้งเตรีบปฏิเสธ  เหลือบตามองไปที่รถเก๋งคันใหญ่ของฝ่ายนั้น  เห็นผู้ชายอีกคนเดินป้วนเปี้ยนอยู่  เดาว่าคงจะเป็นคนขับรถที่ฝ่ายนั้นจ้างมาขับให้ระหว่างที่มือใช้การไม่ได้ 

อย่างน้อยเค้าก็เป็นพยานให้ได้ ถ้าเขาถูกอีกฝ่ายฆ่าหมกศพขึ้นมา

“ไปคุยในรถเถอะ”   เตตัดสินใจ   เขาเปิดประตูบ้านออกมา แล้วก็รีบปิดล็อค ราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะแอบมุดลอดเข้าไป    รดิศที่ยืนจับตาดูอยู่เม้มปากนิดหนึ่งแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา   เขาพาอีกฝ่ายไปที่รถที่จอดเยื้องๆไม่ไกลจากหน้าบ้าน  เปิดประตูข้างคนขับให้เตก้าวขึ้นไปนั่ง  ส่วนเขาเดินอ้อมไปขึ้นประจำที่คนขับ

ภายในรถเปิดแอร์ทิ้งเอาไว้เย็นฉ่ำผิดกับสภาพอากาศด้านนอก   ตั้งเเตบอกตัวเองว่าเขาควรจะรีบพูดให้จบ ก่อนที่อะไรหลายๆอย่างที่อัดแน่นอยู่ในอกมันจะปะทุออกมา

“พี่ดิม  เรื่องวันนั้น  ผมขอโทษ   ผมไม่ได้ตั้งใจ....ผมรู้ว่ามันผิด  พวกเราไม่ควรทำอย่างนั้น   เป็นเพราะผมผิดเองที่ไม่ควบคุมตัวเองให้ดี”   นักเขียนหนุ่มพูดรัวเร็ว

คนฟังเลื่อนมือไปกดล็อคประตูโดยไม่ให้อีกฝ่ายทันสังเกต  แล้วหันไปยิ้มนิดๆ

“พี่รู้   พี่คิดมาตลอดสองวันว่าทำไมนายถึงได้ทิ้งพี่ไปแบบนั้น  แล้วในที่สุดพี่ก็เข้าใจ  ว่านายไม่ได้ตั้งใจ   เพราะว่านายมีคนที่นายจะต้องซื่อสัตย์กับเค้าไปตลอดชีวิตแล้ว  พี่รู้ว่านายรู้สึกผิดที่ทำแบบนั้น”  ศัลยแพทย์หนุ่มพูดเสียงนุ่มผิดความคาดหมายของอีกคนจนแทบอ้าปากค้าง  เขาเตรียมใจมาแล้วว่าจะต้องเผชิญกับความเกรี้ยวกราดดุดัน  ไม่ยอมรับเหตุผลใดๆทั้งสิ้นตามแบบฉบับของคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงทะลุเพดาน

“ขอบคุณนะครับพี่ดิม  แล้วก็ต้องขอโทษด้วยจริงๆ  พี่...ไม่โกรธผมใช่ไหม”

“พี่จะโกรธนายทำไม  มีแต่ต้องชื่นชมนายเสียมากกว่า  พี่ก็ผิดเองที่ไม่มีสติ  จนเกือบทำให้เราทั้งคู่ต้องพลาดไป  แล้วก็จะทำให้คนของนายเสียใจ”  มีแววเยาะแฝงอยู่ในประโยคนั้น  แนบเนียนจนเตไม่รู้สึก   เพราะมัวแต่ดีใจที่อีกฝ่ายไม่ได้โกรธตน

“ค่อยยังชั่ว  นึกว่าพี่จะโกรธผมมาก   ผมเลยไม่กล้าไปขอโทษพี่”

“ตั้งเต  ถึงเราจะไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว  แต่พี่ก็ยังเห็นนายเป็นน้องชายเสมอนะ  ไม่มีพี่ชายคนไหนโกรธน้องชายได้นานหรอก”  ยกเว้นเสียแต่ว่า เขาคนนั้นจะไม่ได้คิดเป็นพี่ชาย-น้องชายจริงๆ   แต่เป็นคนใจดำที่ควรได้รับบทเรียนตอบแทนบ้าง

“พี่ดิม...”  เตเอ่ยแค่นั้น แล้วก็น้ำตาคลอ   จ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้นายแพทย์หนุ่มต้องกลั้นหายใจและรู้สึกจุกแน่นในอก  วูบหนึ่งที่เขาอยากถอยกลับ  ไม่อยากทำตามที่ตั้งใจเอาไว้แล้ว  อยากปล่อยอีกฝ่ายไป

“ผมดีใจที่พี่ยังนับว่าผมเป็นน้องอยู่” เสียงเครือสั่นด้วยอารมณ์ตื้นตันจากข้างใน   เขาไม่นึกมาก่อนเลยว่าอีกฝ่ายจะยังคงมองเขา  ยกมือขึ้นปาดน้ำตาบนแก้มของเขาเบาๆด้วยความอ่อนโยนถึงเพียงนี้

สัมผัสแผ่วเบาที่มีผลต่อหัวใจของเขาอย่างรุนแรง

ความรู้สึกผิดที่มีต่ออีกฝ่ายพุ่งสูงขึ้นมาอีก    ยิ่งเห็นดวงตาคมของฝ่ายนั้นแดงก่ำ  ใบหน้าโทรมราวกับคนไม่ได้นอนก็ยิ่งรู้สึกผิดต่ออีกคนจับใจ

พี่ดิม....  ผมทำให้พี่เจ็บปวดอีกแล้ว  แต่พี่ก็ยังให้อภัยผม

ภายในรถตกอยู่ในความเงียบ 

ตั้งเตมองมาที่เขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความขอบคุณและสำนึกผิด  ให้ตายสิ!  มันทำให้เขาอึดอัดจนอยากจะลงจากรถแล้วหนีไปไกลๆ  ทำไมถึงเชื่อคนง่ายอย่างนี้?  คิดว่าคนเราจะหายโกรธ  ยกโทษให้กันง่ายๆหรืออย่างไร

อ้อ..คงเป็นเพราะเห็นว่าสิ่งที่ทำกับเขา มันเป็นเรื่องเล็กขี้ประติ๋ว ง่ายต่อการให้อภัยสินะ   ใช่ไหมล่ะเต  ไม่เห็นจะยากตรงไหนกับการให้อภัยคนที่ทิ้งตัวเองอย่างโหดร้ายแบบนั้น

“ตอนแรกผมก็ว่าจะกลับไปขอโทษพี่ดิม  แต่ติดงานเร่งเลยยังไม่มีเวลากลับไป”   ติณธรทำลายความเงียบ  เสียงยังเครืออยู่  สูดน้ำมูกฟุดฟิด

รดิศพยักหน้าเนิบๆ...งานเร่ง? แต่มีเวลาไปกินข้าว ซื้อของเต็มสองมือกับนายภาคย์อะไรนั่น  งานเร่งมากเลยนะ  เห็นเขาโง่เป็นควายหรือไงไม่ทราบ

“ไม่เป็นไรหรอกน่า   พี่เข้าใจ...วันนี้ก็เลยมาหาเตเองเลยไง  แล้วทำงานเสร็จหรือยังล่ะ”   กัดฟันถามยิ้มๆ บอกตัวเองว่าเขาจะต้องไม่ปล่อยโอกาสงามๆหลุดไปอีก  โดยการทำให้ไก่ตื่น

“ยังเลย  ถ้าอย่างนั้นผมขอกลับไปทำงานต่อก่อนนะพี่ดิม”  เต0ยกมือไหว้    เขาเห็นแววอะไรบางอย่างวาบผ่านไปในดวงตาของอีกฝ่าย  ก่อนที่จะสังเกตเห็นว่าประตูรถถูกล็อคเอาไว้

“ช่วยปลดล็อคหน่อยครับ...มันล็อคอยู่”  หันไปบอกอีกคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย  เห็นฝ่ายนั้นเลิกคิ้ว ท่าทางประหลาดใจ

“อ้าว  สงสัยข้อศอกจะไปโดนน่ะ  รอสักครู่นะ”  พี่ดิมพยายามใช้แขนข้างที่ยังดีอยู่  กดปลดล็อคแต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่เกิดอะไรขึ้น   เตลองเปิดประตูดูอีกที

“ยังเปิดไม่ได้เลย พี่ดิม”    นักเขียนหนุ่มบอก   เริ่มสัมผัสความไม่ชอบมาพากลบางประการได้   เขาใช้นิ้วดันล็อคฝั่งที่นั่งของเขา  แต่คนนั่งฝั่งคนขับกลับกดล็อคซ้ำ

“พี่ดิม...เล่นอะไรครับเนี่ย  ผม...”   ตั้งเตหันไปพูดเสียงสั่น

“ขอโทษที  พี่กดผิดจังหวะน่ะ   อ่ะ...ได้แล้ว”  รดิศลอบยิ้มอยู่ในใจเมื่อเห็นวี่แววหวาดหวั่นในดวงตาเรียวสวยคู่นั้น  ดูเหมือนเตจะเกิดกลัวขึ้นมา 

พอคุณหมอหนุ่มปลดล็อครถให้   อีกฝ่ายก็รีบเปิดประตูก้าวลงมาจากรถทันที

“เป็นอะไรไปเต   กลัวอะไร?”  คำถามแกมหัวเราะของเค้า  ทำให้เตรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นโรคประสาทอ่อนๆ   ...จริงด้วยสิ  เขาจะกลัวอะไร  ในเมื่ออีกฝ่ายยังใส่เฝือกอยู่อย่างนั้น  และถ้าพี่ดิมจะขังเขาเอาไว้จริงๆ ก็คงไม่นั่งเท้าพวงมาลัยอย่างสบายแบบนี้หรอก

            “ขอโทษด้วยครับพี่ดิม  เอ้อ ...ถ้าอย่างนั้น  ผมขอกลับเข้าบ้านก่อนนะครับ”  พูดปากคอสั่น   ขณะที่อีกฝ่ายพยักหน้าให้แล้วปล่อยเสียงหัวเราะตามหลังมาเบาๆ  ทำเอาตั้งเตยิ่งรู้สึกอายในความคิดของตัวเอง

            บ้าไปแล้ว...เห็นพี่ดิมเป็นพวกพระเอกในละครตบจูบหรือยังไง   นี่มันชีวิตจริงนะเต  กลัวว่าเขาจะจับใส่รถแล้วพาไปขังไว้เรอะ  บ้าชะมัด

          “รีบทำงานนะครับ  แล้วไว้เจอกัน”  พี่ดิมพูดตามหลังมา  เขาบังคับตัวเองให้หันไปยิ้มให้  แล้วรีบเผ่นกลับเข้าบ้านไปด้วยความใจหายใจคว่ำ

            แอบมองจากหน้าต่าง เห็นผู้ชายอีกคนที่คงเป็นคนขับรถเดินกลับไปที่รถ    พี่ดิมก้าวลงจากรถแล้วย้ายไปนั่งข้างคนขับแทน  สักพักรถเก๋งคันนั้นก็เคลื่อนที่

            เตถอนหายใจยาว  เขาคิดมากไปเอง กลัวอะไรไม่เข้าท่า   เช่นเดียวกับชายหนุ่มที่เจ้าของรถ ที่คิดคำนึงปนเยาะหยันอยู่ในใจยาวเหยียด...สำเร็จไปขั้นหนึ่งแล้ว   เขาตัดสินใจที่จะ ‘เริ่มเกมใหม่’  หลังจากคิดแผนอย่างรอบคอบรัดกุมเกือบค่อนคืน   ยังไงหนนี้ตั้งเตจะต้องได้รับรู้ความเจ็บปวดจากการเป็นฝ่ายถูก ‘ทิ้ง’ เสียบ้าง

            “ข้างนอกร้อนชะมัดยาด  นี่ไอ้ดิม  แกให้ฉันมาขับรถให้แกเนี่ยนะ  ชักจะเหิมเกริมมากไปจริงๆ เจ้าเด็กนี่   เฝือกก็ถอดแล้ว ไม่เข้าใจว่าจะยังพันผ้าแล้วคล้องแขนอยู่แบบนี้ต่อทำไม”  นายแพทย์รุจ ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกพูดอย่างเคืองๆปนสงสัย  เพราะถูกรุ่นน้องโทรมาอ้อนวอนขอให้เขาช่วยถอดเฝือกให้ตั้งแต่เช้า  แถมยังขอร้องให้เขาช่วยขับรถพามาที่นี่อีก  แลกกับข้อเสนอที่จะช่วยให้เขาคืนดีกับแฟน

            “ก็พี่รุจบอกเองว่าถึงผมจะถอดเฝือกแล้ว  แต่ก็ยังไม่หายดีพอที่จะใช้งานนี่   เอาน่า เดี๋ยวผมจะหาทางช่วยให้พี่ง้อน้องเกรซสำเร็จ โอเคมั้ย”   รดิศพูดยิ้มๆ  เขายกข้อต่อรองที่จะช่วยอีกฝ่ายคืนดีกับน้องรหัสตัวเองขึ้นมาอ้าง   และมันก็ได้ผล

            “นั่งแท็กซี่มาเองก็ได้นี่หว่า   เออ  แล้วอย่าลืมที่รับปากเอาไว้ก็แล้วกัน  ถ้าน้องเกรซไม่ยอมมาพบฉันล่ะก็คอยดู    ว่าแต่เด็กหนุ่มเมื่อกี้นี่ใคร  กิ๊กใหม่หรือไง  หน้าตาจิ้มลิ้มเชียว  แหม ไอ้รันไม่อยู่หนูร่าเริงเลยนะ”   คนฟังจุ๊ปาก

            “ฮื้อ  กิ๊กเกิ๊กอะไร  เค้าเป็นคอลัมนิสต์ที่มาสัมภาษณ์ผมตะหากล่ะ   แล้วเมื่อไหร่ผมจะกลับไปผ่าตัดได้เหมือนเดิมล่ะพี่”  ชายหนุ่มรีบเปลี่ยนเรื่อง 

            “กายภาพบำบัดต่ออีกสักอาทิตย์สองอาทิตย์ก็โอเคแล้ว  เท่าที่ดูกล้ามเนื้อก็ไม่ได้ลีบอะไร  จะรีบไปไหน ได้ข่าวว่าลางานตั้งสองเดือนไม่ใช่เหรอ”

          “รู้ได้ไงเนี่ย”

          “ไม่รู้ได้ไง  คนไข้มาบ่นกับฉันจนหูชาเลย  แต่ละคนกว่าจะได้คิวกับหมอกันรอตั้งนาน ถึงเวลาหมอดันลาป่วยซะนี่”   รุจกระแทกเสียง  ขณะเปิดไฟเลี้ยว พาเพื่อนรุ่นน้องกลับไปส่งที่คอนโด 

            “แหม  ผมก็ไม่ได้อยากจะเป็นอย่างงี้หรอก   จะทำอะไรก็ไม่ถนัด”   จะจับเด็กซักคนก็ติดขัดไปหมด   เซ็งชะมัด  หึๆ  แต่หลังจากนี้...ไม่รอดแน่ตั้งเต

            “คนบ้างานอย่างแก  ให้มานั่งๆนอนอยู่เฉยๆคงเบื่อตายเลย  ทำไมไม่หาอะไรทำล่ะ  วิจัยเรื่องโรคหัวใจรั่วอะไรของแกไปถึงไหนแล้ว”

            “ก็เรื่อยๆน่ะพี่  ผมผ่าไม่ได้แบบนี้ก็ต้องรอไปก่อน  เสียดายเหมือนกันที่นำเสนอไม่ทันงานประชุมครั้งนี้  ไม่เป็นไรผมรอได้”  ศัลยแพทย์หนุ่มยกนิ้วขึ้นเคาะขอบกระจกอย่างครุ่นคิด

          “เออดีแล้ว  จะรีบไปไหน  รอเพื่อนฝูงบ้างสิวะ  หนุ่มๆได้เป็นศาตราจารย์ก่อนนี่ดูแก่ตายชักเลย”

          “ไม่ค่อยอยากทำแล้วอ่ะพี่รุจ  พักนี้มัน...เหนื่อยๆ”  เขาเผลอถอนหายใจยาว   คนข้างตัวหันมามองแวบหนึ่ง แล้วอมยิ้ม

            “ให้ฉันทายนะ  ไม่ใช่เพราะไอ้รันหรอก  แต่เป็นเพราะไอ้หนุ่มหน้าหวานที่แกไปเกาะประตูรั้วมองตาละห้อยเมื่อกี้นี้นั่นแหละ   เฮ้อ   โบราณเขาบอก  สามวันจากนารีเป็นอื่น  คงจะใช้กับแกได้เหมือนกัน  สงสารไอ้รันจริงๆ มันจะรู้ไหมเนี่ย”

          “เห้ย  พี่ก็พูดไป  ไม่ใช่หรอก  อย่าไปเล่าให้รันฟังสุ่มสี่สุ่มห้าเชียวนา เดี๋ยวเค้าคิดมาก   ผมไม่ได้เหนื่อยเรื่องเตเสียหน่อย  เหนื่อยเพราะต้องมาใส่เฝือกบ้าๆนี่ตะหาก”  เขาหงุดหงิด

            “อ้อ  ชื่อเตเหรอ  เอ๊ะ  ชื่อคุ้นๆแฮะ  เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน....หรือว่า?”  จากที่คิดว่าเคยเห็นหน้าของผู้ชายร่างโปร่งบางเจ้าของบ้านหลังนั้นที่ไหน    เมื่อมารวมกับชื่อที่อีกฝ่ายหลุดปากออกมา  รุจก็นึกออกขึ้นมาฉับพลัน

            “น้องเต?  เดือนอักษร ..ใช่หรือวะ?”  หันมาถามเพื่อความแน่ใจ   รดิศขยับตัวทันที   นึกเจ็บใจที่ไม่ทันระวัง  เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะความจำดีเป็นเลิศซะขนาดนี้  เรื่องตั้งหลายปีแล้ว ยังอุตส่าห์นึกออกอีก

            “อืม  คนนั้นแหละ”  จำใจยอมรับ เพราะไม่อยากโกหก

            “เลิกกันไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ  ทำไมกลับมาเจอกันได้ล่ะ  แล้วนี่รันรู้เรื่องนี้หรือเปล่าว่าแกยังติดต่อกับแฟนเก่าอยู่”

          “รู้แล้ว   ก็ไม่มีอะไรนี่  เราบริสุทธิ์ใจเสียอย่าง   ที่เจอกันอีกก็เพราะงานเท่านั้นเอง”   รดิศพยายามบอกปัด  ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดเรื่องนี้อีก แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะติดใจ ไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ

          “ฉันไม่เชื่อหรอกว่า คนเคยรักกันจะกลับมาเจอกันแบบบริสุทธิ์ใจจริงๆ  อย่ามาหลอกเสียให้ยาก  ดูหน้าแกก็รู้แล้ว   ต้องให้บอกมั้ยว่าตอนแรกที่ไปรับแกที่คอนโด หน้าแกยังกับศพเดินได้ แต่พอมาเจอน้องเตเข้าหน่อย หน้าตาสดใสผิดไปเป็นคนละคน   ไม่รู้ตัวล่ะสิ”

          “จริงเหรอ”  เขาเอามือขึ้นลูบใบหน้าตัวเองอย่างไม่อยากเชื่อ   มือสัมผัสกับไรหนวดเคราที่ไม่ได้โดนมาหลายวันจนรู้สึกสากๆ

            “แกยังรักเค้าอยู่ใช่มั้ย”   คุณหมอหนุ่มถามตรงๆ  ตรงเสียจนคนฟังอยากจะกระโดดออกไปนอกรถ  เพื่อจะได้ไม่ต้องตอบคำถามที่แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่แน่ใจในคำตอบ

            “มันก็...ไม่ได้รักแล้ว   แค่...”  เสียงขาดหายไปในลำคอ   ชายหนุ่มพยายามครุ่นคิดหาคำตอบที่ตรงกับใจตัวเองในตอนนี้ที่สุด    ไม่ได้รักแล้ว...ใช่  นั่นถูกต้อง  แล้วแค่..แค่อะไรล่ะ...แค่โกรธใช่มั้ย  ใช่   ทั้งโกรธทั้งแค้น

            แค่นั้นแน่เหรอ   เสียงเล็กๆถามขึ้นมาจากซอกมุมในหัวใจ   ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าความโกรธของเขาในตอนแรกจางหายไปหมดเมื่อได้เห็นหน้าของอีกฝ่ายหนึ่ง   ใบหน้าเรียวดูซูบหมองไป  ใต้ตาดำคล้ำ คล้ายกับว่าอีกฝ่ายก็ไม่ได้นอนเหมือนกัน   แต่จะเป็นเพราะเหตุผลเดียวกันกับเขาหรือเปล่า  เขาก็ไม่อาจทราบได้  มันทำให้ใจที่มีความโกรธคุกรุ่นอยู่เย็นลงด้วยความสงสาร   ทว่าเพียงแค่วูบเดียวเท่านั้นแหละ

            เหอะ  อาจจะไม่ได้นอน เพราะ ‘ทำงาน’ ให้เจ้านายอย่างหนักกระมัง

            หรือว่าจะเป็นเพราะคิดเรื่องของเราจนนอนไม่หลับ?

          ไม่หรอก   เราไม่ได้สำคัญอะไรกับเค้าขนาดนั้นนี่   เกิดเรื่องตั้งสองวันแล้ว  ถ้าเราไม่มาหาที่บ้าน ฝ่ายนั้นก็คงไม่มีความคิดจะกลับไปหาเราหรอก

            คิดมาถึงตรงนี้  ชายหนุ่มก็หน้าเครียดขึ้นมาอีก  ในสายตาที่เฝ้ามองอยู่อย่างจับสังเกต รุจบอกตัวเองได้ทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังอยู่ในความสับสนอย่างหนัก   บางทีอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ตนเองต้องการอะไร รู้สึกอย่างไรกันแน่

            “เอาเถอะ  ค่อยๆคิด  ฉันรู้ว่าแกเป็นคนเจ้าอารมณ์นะดิม  ใจร้อนด้วย  ให้ตายสิไม่รู้ว่าคนแบบนี้มาเป็นหมอผ่าตัดมือหนึ่งได้ยังไง   แต่ฉันก็อยากให้แกใจเย็นๆเอาไว้  ค่อยๆค้นหาว่าจริงๆแล้ว ใจของแกรู้สึกยังไงกันแน่   อย่าเอาอคติหรือทิฐิอะไรขึ้นมาบังหน้า เข้าใจ๊   ฉันเป็นกำลังใจให้” 

            รถมาจอดที่หน้าคอนโดของรดิศพอดี   รุจยกมือขึ้นตบที่ไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆ   คุณหมอหัวใจยกมือขึ้นไหว้  พึมพำว่าขอบคุณ  จากนั้นก็ก้าวลงจากรถเดินกลับเข้าไปภายในคอนโด

            คนขับมองตามหลังไปอย่างครุ่นคิด....คราวนี้ท่าทางจะยุ่งหนักแล้วล่ะสิ   เพราะดูท่าว่าคุณหมอที่เก่งกาจเรื่องหัวใจ รักษาคนไข้ให้หายมาแล้วนักต่อนัก กลับจะมาตกม้าตายด้วยโรคหัวใจของตนเองที่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่ากำลังป่วยหนัก

            ในฐานะรุ่นพี่ที่หวังดี และมีวิรัลเป็นสายรหัสโคที่เขาเอ็นดูเป็นพิเศษ  เห็นทีงานนี้เขาคงจะต้องทำอะไรสักอย่างแล้วล่ะ   ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ค้นหาชื่อของนายแพทย์รุ่นน้องแผนกกุมารเวช

            ..........................................................................

            ตั้งเตกลับเข้ามาในห้องเพื่อปั่นต้นฉบับอีกครั้ง  คราวนี้เขามีสมาธิมากขึ้นจนน่าประหลาดใจและน่าหวั่นใจในคราวเดียวกัน....ผู้ชายคนนั้นมีอิทธิพลต่อเขามากขนาดนี้เชียวหรอ

            แค่เห็นหน้า....ได้รับรู้ว่าพี่ดิมไม่โกรธเขา   รับฟังและเข้าใจเหตุผลทุกอย่าง   ผิดความคาดมหายไปอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ   แปลว่าอะไร   แปลว่าพี่ดิมใจเย็นพอที่จะรับฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้วใช่มั้ย  คิดมาถึงตรงนี้  หัวใจของเขาก็เบิกบานเหลือเกิน

           ในที่สุดก็ถึงเวลาที่เราจะได้เข้าใจกันเสียที

            วันถัดมามีคนมากดกริ่งหน้าบ้านของเขาอีกครั้งตอนเช้า   ข้าวตังยังคงนอนพักผ่อนอยู่ข้างบน  ส่วนเด็กชายเต้ก็นั่งดูการ์ตูนอยู่ในห้องรับแขก   เตกำลังแต่งตัวอยู่ในภายในห้องส่วนตัว  เขาวางขวดน้ำหอมยี่ห้อดังสำหรับผู้ชายที่ภาคย์ซื้อมาฝากเขาจากฝรั่งเศสลงบนโต๊ะ  เดินแกมวิ่งออกมายังที่ประตูรั้ว  เห็นผู้ชายคนเดิมยืนเกาะประตูรั้วอยู่   วันนี้พี่ดิมดูสดใสกว่าทุกวันที่เคยเห็นมา

            “พี่ดิม  มาทำไมเอ่ย”

          “คิดถึง ก็เลยมาหา”  เขาตอบแกมหัวเราะ    เจ้าของบ้านเผลอเบือนสายตาหลบแววกรุ้มกริ่มในดวงตาคมเข้มนั้น  รู้สึกว่าพี่ดิมดูจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ

            “พูดเล่นไปได้  กินข้าวมาหรือยัง”  หลุดปากถามออกไปแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าคงไม่เหมาะเท่าไหร่ที่จะชวนอีกฝ่ายกินข้าวด้วย   ฝ่ายนั้นหัวเราะ

            “เห็นหน้าก็ชวนกินข้าวตลอดเลยนะ  ขอบคุณมาก  ทานมาแล้วครับ  ตั้งเต...พี่มีอะไรอยากให้ช่วยหน่อย  นายว่างไหมวันนี้”  เขาเกริ่น  เตพยักหน้ารับ

            “ว่างครับ พี่ดิมมีอะไรให้ผมช่วยหรือ”   ศัลยแพทย์หนุ่มยิ้มนิดๆ

            “พี่จะชวนไปปิกนิกที่....  สนใจไหม”  เขาพูดชื่อจังหวัดที่ขึ้นชื่อเรื่องชายหาดสวยงามและน้ำทะเลใสแจ๋ว  ไม่ไกลจากกรุงเทพฯมากนัก

          “ชวนจริงเหรอ  หลอกผมหรือเปล่าเนี่ย”   คำว่า ‘หลอก’ ทำให้คนชวนชะงักไปนิดหนึ่ง  แต่แล้วก็กลบเกลื่อนได้ทันด้วยรอยยิ้ม   ลอบสังเกตท่าทางของคนพูดไม่ได้สงสัยอะไรก็โล่งใจ

            “ไม่ได้หลอก  พี่อยู่แต่ในคอนโดเบื่อจะตาย   อยากจะไปเที่ยวบ้าง  จะไปคนเดียวก็กระไรอยู่  ก็เลยอยากจะชวนนายไปด้วยกัน   อีกอย่างหนึ่ง  มีงานอยากให้นายช่วย”

          เตเลิกคิ้วน้อยๆเป็นเชิงถาม    ยิ้มพรายประดับอยู่บนกลีบปากอิ่มเต็ม....รอยยิ้มที่ไม่ได้เห็นมานาน  ทำเอาคนมองลืมหายใจไปชั่วขณะ  ก่อนที่จะกลับมาตั้งสติได้ทัน

            “ง่า...อยากให้นายช่วยพิมพ์รายงานวิจัยให้หน่อย  ไม่เยอะหรอก  ช่วยหน่อยนะ”  ดิมจบประโยคด้วยเสียงอ่อยๆ  ส่งยิ้มอย่างประจบไปให้

          “พิมพ์ที่นี่เลยไม่ได้เหรอ ทำไมต้องไปทำถึงนู่นด้วย”  เตถาม

            “ความจริงแล้วยังขาดข้อมูลบางส่วนที่โรงพยาบาลจังหวัดน่ะ  พี่ต้องแวะไปเอาเอง   ฮ่าๆ  ไหนๆก็จะไปแล้ว เลยอยากชวนนายไปเที่ยวด้วยกัน   ไปนะครับ”  อ้อนเสียงนุ่มพร้อมจ้องอีกฝ่ายอย่างเว้าวอน

            ติณธรเงียบไปครู่  ครุ่นคิดอยู่ในใจอย่างรวดเร็ว  เหลือบมองเฝือกของอีกฝ่ายที่มีผ้าโปร่งคล้องแขนอยู่  จากนั้นก็ชะเง้อคอมองไปที่พาหนะคู่ใจของอีกฝ่ายที่จอดอยู่หน้าบ้าน  พร้อมกับร่างของผู้ชายที่คงเป็นคนขับรถยืนอยู่ใกล้ๆ

“ไปเช้าเย็นกลับใช่ไหม”

       “ครับผม  ไม่ได้ค้างหรอก”

            “ก็ได้  ขอผมไปเก็บของก่อน”

            “เยส  ดีใจจัง”  พี่ดิมกระโดดเหมือนเด็กๆ  ยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มบุ๋มลึกสองข้างแก้ม   เตยิ้มแล้วหันหลังเดินกลับเข้าไปในบ้าน   ตรงขึ้นไปเคาะประตูห้องของภรรยา  ได้ยินเสียงตอบรับก็เปิดเข้าไป  เห็นหญิงสาวเจ้าของห้องกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง

            “ข้าวตัง...พี่ไปธุระที่ต่างจังหวัดนะครับ  กลับเย็นๆ ไม่ต้องเป็นห่วงนะ”  ตั้งเตพูด  ก้มลงมองเธอใกล้ๆ สังเกตเห็นใบหน้าเล็กรูปหัวใจซีดกว่าปกติก็เป็นห่วง

            “เป็นอะไรหรือเปล่า หน้าซีดแปลกๆ  หรือว่าเหนื่อยอีก?”  เธอยิ้มแล้วสั่นศีรษะ

            “เพิ่งตื่นนี่คะ จะให้สวยเช้งได้ยังไงเล่า  พี่เตไปเถอะ  ไม่ต้องห่วงตังกับเต้  แล้วเจอกันเย็นนี้”

            ได้ยินอย่างนั้นก็ค่อยโล่งใจ  พูดคุยอยู่อีกครู่ก็ขอตัวออกมาเก็บของที่ห้อง  ไม่อยากยอมรับเลยว่าเขาใจเต้นแรง  ตื่นเต้นราวกับไม่เคยไปทะเลมาก่อน  ทั้งๆที่ก็เพิ่งไปมาเมื่อไม่นานมานี้เอง

            คงเป็นเพราะคนชวนกระมัง    แถมยังสถานที่ที่ไปอีก....ที่ๆเราสองคนฉลองครบรอบ 4 ปีด้วยกัน  ที่ๆพี่ดิมให้นาฬิกาเรือนนี้แก่เขา ...มือเรียวเอื้อมไปเปิดลิ้นชักล่างสุด  ล้วงมือเข้าไปหยิบกล่องนาฬิกาหน้าปัดร้าวเรือนนั้นขึ้นมาดู  จากนั้นก็เปลี่ยนไปหยิบอัลบั้มรูปที่เก็บมานานจนกระดาษเริ่มซีดเหลือง  เปิดดูรูปกลางเล่มที่เขาจำได้ดี   จ้องมองภาพคนสองคนที่นั่งเคียงข้างกันอยู่บนขอนไม้กลางชายหาด  ใต้ร่มเงาของต้นมะพร้าว  ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตอนนั้นตนเองต้องนั่งหน้าตรง นิ่งราวกับถ่ายรูปติดบัตรประชาชนอยู่บนขอนไม้ผุๆถลึงตาใส่กล้องขนาดนี้

            คงจะเป็นเพราะเขากำลังเขินเต็มทน

            นานแล้วนะที่ไม่ได้กลับไปเลย   ถ้าพูดให้ถูกก็คือไม่กล้ากลับไปมากกว่า   แต่วันนี้เขาจะกลับไปยังสถานที่แห่งความหลังนั้นอีกครั้ง   โดยมีชายหนุ่มหน้าเข้มที่นั่งตีหน้าเฉยแต่แววตาเจ้าเล่ห์แสนกลในรูปคนนี้กลับไปด้วยกัน

            วันนี้แหละ  เขาจะบอกพี่ดิม ...เรื่องราวทั้งหมดที่เขาเก็บมาตลอด 8 ปี

            เตแวะไปหาลูกชายครู่หนึ่ง แล้วจึงกลับออกมาจากบ้าน  ปิดประตูรั้วเรียบร้อย  พี่ดิมยืนรอเขาอยู่แล้วที่หน้าบ้าน   เค้าเปิดประตูให้เตขึ้นไปนั่งด้านหลังก่อน แล้วเค้าก็ก้าวตามขึ้นมานั่งเคียงข้าง

            ผู้ชายที่เขาเดาว่าเป็นคนขับรถก้าวขึ้นมานั่งประจำที่คนขับ   

            รดิศหันไปยิ้มให้ชายหนุ่มที่นั่งข้างๆเขาน้อยๆ  ยิ้มที่แฝงด้วยแววมุ่งมาดปรารถนาบางประการที่อีกฝ่ายไม่มีทางที่จะตามทัน

            หึ... แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน  นายไม่เคยได้ยินคำโบราณว่าไว้เลยเหรอตั้งเต

            ...................................................................................

          ลมหายใจแผ่วเบา สม่ำเสมอที่เป่ารดอยู่ข้างแก้ม ทำให้ชายหนุ่มต้องขยับตัวมาจนชิดขอบประตูรถอีกฝั่งอย่างอึดอัด    เบี่ยงตัวหนีสัมผัสอุ่นๆของท่อนแขนล่ำสันที่วางแนบประชิดลำตัวของเขาราวกับไม่ตั้งใจ   ได้ยินเสียงกรนเบาๆลอดออกมาจากริมฝีปากสีสดของฝ่ายนั้นเป็นระยะ  บ่งบอกว่าเจ้าตัวคงจะกำลังหลับสนิท

            หันไปมองวิวข้างนอกหน้าต่าง  เผื่อว่าจะทำให้หัวใจของเขาสงบลงบ้าง  แล้วก็ต้องสะดุ้งเพราะใบหน้าคมเข้มเอียงซบมาที่ไหล่ของเขาอีกครั้ง...ไม่มีที่ให้ขยับหนีอีกแล้ว

            กลุ่มผมนิ่มเคลียอยู่ที่ปลายคางและซีกแก้ม    เปลือกตาปิดสนิทเห็นแพขนตาหนารับกับจมูกและปากได้รูปสวยราวกับเป็นใบหน้าของผู้หญิงสาวสักคน   เว้นเสียแต่ว่ามีไรหนวดเขียวครึ้มเหนือริมฝีปากบางคู่นั้นที่ทำให้ใบหน้าของอีกฝ่ายดูเข้มคมขึ้น

            ใบหน้ายามหลับของพี่ดิมดูอ่อนเยาว์  ไม่เคร่งเครียดเหมือนยามที่เจ้าตัวตื่น  ...เหมือน ‘พี่ดิม’ เมื่อแปดปีก่อน  เตถอนหายใจยาว

            จรดริมฝีปากของตนลงบนหน้าผากของคนหลับเบาๆ  ไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว



                     ********************

ต่อด้านล่างนะคะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด