*^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61  (อ่าน 96051 ครั้ง)

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
ต่อนะคะ





               หญิงสาวที่นอนห่มผ้าคลุมถึงปลายคาง เห็นเพียงใบหน้ารูปหัวใจซีดเผือดนั้นน่าสงสารยิ่งนัก   ข้างกายของเธอมีสายน้ำเกลือและสายอะไรต่อมิอะไรระโยงรยางค์รุงรังไปหมด  ภายในห้องพักผู้ป่วยของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังราคาแพงลิบดูเปล่าเปลี่ยวและหนาวเหน็บเมื่อมีเธอนอนอยู่คนเดียว

            เธอลืมตาขึ้นแล้วหันไปมองโซฟาที่ว่างเปล่าริมสุดห้องอีกครั้ง   ...พี่เตหายไปไหนเสียแล้ว    ทุกทีเขาจะอยู่เฝ้าเธอตรงนั้นไม่ไปไหนนี่นะ

            ถอนหายใจช้าๆ  เสียงเครื่องวัดชีพจรดังขึ้นนิดหนึ่ง   เธอขยับตัวในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน  อย่างทรมาน  อยากออกไปจากที่นี่เสียที  เธอนอนมานานแค่ไหนแล้ว  อาทิตย์เดียวหรือนอนมาเป็นปีกันแน่  ทำไมมันถึงยาวนานเหลือเกิน  และเธอจะได้กลับบ้านใช่มั้ย

            เมื่อไหร่เต้จะมา  เต้...ผู้ชายคนเดียวที่เป็นหลักยึดเหนี่ยวในหัวใจ   คนเดียวที่เป็นของเธออย่างแท้จริง  ไม่มีใครสามารถแย่งเอาไปได้

            แค่คิดมาถึงตรงนี้  น้ำตาก็ไหลออกมาทางหางตา  ไม่มีใครเลยที่จะเป็นของเธอจริงๆ ตลอดชีวิตที่ผ่าน  ตั้งแต่ผู้ชายคนแรกที่ทำให้ได้รู้จักกับความรักที่หอมหวานและดื่มด่ำ   และก็ทำให้รู้จักรสชาติของความผิดหวังเพราะรัก   ตามมาด้วยผู้ชายคนที่สองที่ทำให้เธอต้องลิ้มรสกับความผิดหวังซ้ำสองและเจ็บแค้น   สิ่งที่ดีที่สุดที่เขาเหลือทิ้งไว้ก็คือ เด็กชายเต้นั่นเอง

            และผู้ชายคนที่สาม...โอ  คนที่คอยยืนหยัดอยู่ข้างเธอตลอดมา  ไม่ว่ายามไหน  ตอนที่เธอสูญเสียพ่อแม่  ตอนที่ไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม   ตอนที่ว้าเหว่  ตอนที่เสียใจที่สุด ก็ยังมีคนๆนั้นคอยอยู่เป็นกำลังใจเสมอมา   คนที่เธอเคยหลงรักมาก่อนที่จะรู้เดียงสา   ผู้ชายในอุดมคติของเธอ   สุดท้ายเธอก็ตกหลุมรักเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่นั่นเอง

            “ตื่นแล้วเหรอ  ตัง”  เสียงคุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับร่างเพรียวบางของชายหนุ่มที่เป็นทั้งพี่ชายและผู้รับรองบุตรของเธอในฐานะบิดา   ตั้งเตวางถุงอาหารไว้บนโต๊ะข้างเตียงแล้วเดินเข้ามาเธอ  ข้าวตังสังเกตเห็นได้ว่าเค้าดูซูบผอมลงไปมาก   จากเดิมที่ค่อนข้างผอมอยู่แล้ว   ตาลึกโหลคล้ายคนอดนอนติดต่อกันมาเป็นเวลานาน

            “พี่เต  ไปไหนมาคะ ....”  พูดได้นิดเดียวก็ต้องหยุด เพราะเหนื่อย  เธอพักครู่หนึ่งก็พูดต่อ “เต้ไม่มาเหรอ”  ชายหนุ่มยิ้ม  แกะถุงพลาสติกบรรจุโจ้กเหลวๆเทใสถ้วยเล็กๆแล้วลากเก้าอี้มานั่งข้างเธอ

            “เดี๋ยวเย็นๆก็มาจ้ะ  พี่จะไปรับที่โรงเรียน   เห็นพยาบาลบอกว่าเธอไม่ยอมกินข้าวเลย  ทำไมล่ะ  ไม่อร่อยใช่ไหม...พี่ซื้อโจ้กเจ้าประจำมาฝาก  กินหน่อยนะ”  เขาใช้ช้อนตักโจ้กขึ้นมาคำเล็กๆ ป้อนให้หญิงสาวที่ยอมกินโดยดี   เธอกินสองสามคำก็ทำท่าคลื่นไส้ จึงต้องหยุดเพียงแค่นั้น  ชายหนุ่มมองอย่างสงสารแกมลำบากใจ

            “ถ้าตังกินไม่ได้  หมอเขาบอกว่าจะต้องใส่สายให้อาหารทางจมูกนะจ้ะ  พี่ว่ามันน่าจะทรมานมากเลย  ตังแข็งใจกินอีกนิดนึงนะ  กินนมก็ยังดี”

          “ตังเหม็นค่ะ...  ไม่อยากกินเลย  จะอ้วก”

          “ถ้าตังไม่กิน  ร่างกายของตังก็จะไม่แข็งแรงพอที่จะผ่าตัดนะ   แล้วก็ต้องนอนอยู่ที่โรงพยาบาลแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆนะตัง  เอาเหรอ”   

            “ตังไม่อยากผ่าตัดแล้ว ….. แค่ครั้งนั้นครั้งเดียวตังก็เหมือนจะตาย  …… ตังกลัวว่าถ้าตังผ่าคราวนี้ตังจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีก”  เธอพูดไปหอบไป   “  ….. แล้วตังก็จะไม่ได้เห็นหน้าเต้กับพี่เตอีกแล้ว”   เตถอนหายใจยาว   ช่วยปรับเตียงขึ้นให้น้องสาวหายใจได้สะดวกขึ้น 

            “ตังต้องฟื้นสิ   เดี๋ยวนี้การแพทย์พัฒนาไปตั้งไกลแล้ว  ดีกว่าเมื่อ 8 ปีก่อนเยอะ   แล้วคุณหมอที่นี่ก็เก่งที่สุดเลย  เขาจะต้องผ่าให้ตังได้สำเร็จแน่ๆ”

          “ตังไม่อยากผ่า  พี่เตพาตังกลับบ้านเถอะ  นะคะ   ไม่อย่างนั้นส่งตังไปให้หมอส้มรักษาก็ได้  หมอส้มต้องรักษาตังได้แน่”   

          “ไม่ได้หรอกตัง  หมอส้มเป็นหมอที่ใช้ยารักษา  ไม่ใช่หมอผ่าตัด  โรคของตังต้องผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจใหม่ถึงจะหาย   หมอส้มผ่าให้ไม่ได้  ต้องให้หมอผ่าตัดหัวใจเขาผ่าให้”

          “แต่ตังไม่ชอบหมอธนพลเลย  ท่าทางเค้าดูไม่ค่อยใส่ใจตัง  เวลาตรวจก็ตรวจส่งๆยังไงไม่รู้  เหมือนจะรีบไปไหน บอกไม่ถูก  เค้าจะผ่าให้ตังได้เหรอ”

            “ตังต้องมั่นใจสิ   คุณหมอธนพลนี่เค้าเก่งมากเลยนะ  พี่ไปสืบดูแล้ว   ท่าทางเค้าอาจจะเป็นอย่างนั้นเอง   เอาน่า   อย่าเพิ่งไปคิดถึงตอนนั้น  คิดแค่ว่าทำอย่างไรให้เราแข็งแรงพร้อมผ่าตัดมากที่สุด เท่านั้นแหละตัง”   ชายหนุ่มตัดบท  เขาเริ่มปวดศีรษะขึ้นมาอีกแล้ว   เอาอาหารไปแช่ตู้เย็นเสร็จก็เดินเลี่ยงออกมาจากห้อง  เปิดกระเป๋าล้วงหายาแก้ปวดขึ้นมากิน

            ซองยาสีแดงสดถูกยื่นมาตรงหน้า   เขาเงยหน้าขึ้น เห็นภาคย์ยืนยิ้มอยู่  สายตาคู่นั้นบอกชัดว่าเป็นห่วง

            “ปวดหัวใช่ไหม เห็นคุณกุมขมับ หน้าซีดมากเลย  นี่ยาแก้ปวดครับ”   เตยิ้มนิดหนึ่ง  รับยามาถือเอาไว้

            “คุณข้าวตังเป็นอย่างไรบ้าง  นอนโรงพยาบาลมาหลายวันแล้วนี่   หมอเขาจะให้กลับหรือยัง”  เขาถามต่อ  ขณะที่ทั้งคู่เดินเรื่อยมานั่งตรงเก้าอี้รับรองด้านนอกวอร์ดผู้ป่วยพิเศษ

            นักเขียนหนุ่มถอนหายใจเบาๆ  เล่าให้อีกฝ่ายฟังว่าหญิงสาวไม่อยากผ่าตัด   ต้องการจะกลับบ้านท่าเดียว

            “ผมเข้าใจคุณข้าวตังนะ  เธอคงกลัว   ช่วงนี้คุณคงต้องให้กำลังใจเธอมากหน่อย   แล้วงานของคุณเป็นอย่างไรบ้าง   อีกสองอาทิตย์จะปิดเล่ม  เขียนทันไหม  ถ้าคุณเขียนไม่ทันก็บอกนะ  ผมจะได้หาคนช่วย  ไม่ต้องห่วง  ผมเข้าใจสถานการณ์ของคุณดี   ไม่เจอกันอาทิตย์เดียว...นี่น้ำหนักคุณลงไปกี่กิโลเนี่ย  ข้อมือเหลือนิดเดียวเอง”  เจ้านายกำมือรอบข้อมือเล็กบางเพราะความผ่ายผอมของอีกฝ่ายเอาไว้แน่น  พูดแกมหัวเราะแม้นัยน์ตาจะมีประกายกังวลแฝงอยู่ลึกๆ

            เตดูเหมือนคนที่กำลังจะตาย ....มากกว่าข้าวตังเสียอีกในความรู้สึกของเขา   นัยน์ตาเรียวยาวดำขลับคู่นั้น  เดิมทีแม้จะแฝงความเศร้าเอาไว้ลึกๆ แต่ก็เป็นประกายแวววามด้วยน้ำหล่อเลี้ยง  ตรงข้ามกับตอนนี้ที่แห้งผาก  เห็นเเต่เส้นเลือดแดงก่ำ

            “มันเหนื่อยๆ ก็เลยกินไม่ค่อยลงน่ะฮะ  ไม่ต้องใส่ใจหรอก  ดีเหมือนกันได้ผอมเพรียว  หุ่นดี”  นักเขียนหนุ่มพูดยิ้มๆ  ตบที่หลังมือของอีกฝ่ายเบาๆ

            “หุ่นดีอะไรล่ะ  เหมือนโครงกระดูกเดินได้น่ะสิ   เอาอย่างนี้ ผมว่าเที่ยงนี้ผมพาคุณไปกินอะไรที่มันดีกว่าโรงอาหารของโรงพยาบาลหรือข้าวกล่องหน้าตลาดดีไหม  เกิดคุณเป็นอะไรขึ้นมาอีกคนแล้วทีนี้ข้าวตังกับเต้จะทำยังไงล่ะ  เร็ว  ไปกันเถอะ  ผมรู้จักอยู่ร้านนึง  ทำซุปอร่อยมาก  จะได้ซื้อมาฝากคุณตังด้วย”

          ติณธรลุกขึ้นเดินตามแรงฉุด   ไม่รู้ตัวเลยว่าอยู่ในสายตาของใครบางคนที่นั่งมองอยู่เงียบๆนานแล้วที่มุมหนึ่ง   ผู้ชายคนนั้นลุกขึ้นยืนและเดินเข้ามาหยุดที่ด้านหน้าห้องพักผู้ป่วยที่มีชื่อว่าระดับดาว  พยาบาลสองคนรีบเดินเข้ามาหา พร้อมกับนายแพทย์อีกคนที่ยกมือไหว้แล้วเข้ามาหยุดยืนอยู่ใกล้ๆ  พวกเขาเคาะประตูแล้วเปิดเข้าไปภายในห้องพักของผู้ป่วย...

            .............................................................................

            “ไม่ถูกปากหรือครับ  คุณเตไม่ค่อยกินเลย   หรือว่ากังวลเรื่องคุณตัง...ไม่ต้องห่วงหรอกครับ  หมอที่นี่เก่งที่สุดในประเทศแล้วก็ว่าได้  เรื่องค่าใช้จ่ายผมพร้อมจะช่วยคุณเต็มที่”   ภาคย์พูด  เขาเป็นห่วงเตมากเหลือเกิน   อยากช่วยแบ่งเบาภาระอะไรก็ตามที่ผู้ชายที่น่าสงสารคนนี้แบกเอาไว้บนบ่าบางๆนั้นเอาไว้เสียเองถ้าทำได้

            เตยิ้มให้เขา  แล้วส่ายศีรษะช้าๆ

            “ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอกเรื่องนั้น  เรื่องค่าใช้จ่ายด้วย  ผมพอมีเงินเก็บอยู่บ้างครับคุณภาคย์”   ตั้งเตปฏิเสธความช่วยเหลือของเขาอีกตามเคย  จะว่าไปสิ่งเดียวที่เตยอมรับความช่วยเหลือจากเขามีแค่ยอมให้ข้าวตังพักรักษาตัวในห้องพิเศษที่เขาติดต่อมาได้ เท่านั้นเอง

            “ตามใจคุณ  แต่ถ้าคุณมีปัญหาอะไร  ผมขอให้คุณบอกผมเป็นคนแรก ได้ไหม”  แววตาจริงใจของคนตรงหน้าทำให้ตั้งเตก้มศีรษะรับแต่โดยดี   ฝืนตักอาหารเข้าปากเอาใจคนพามากินได้ไม่กี่คำก็ผะอืดผะอมจนต้องหยุด

            “อิ่มมากจริงๆครับ   ไม่ไหว”  พูดแค่นั้นก็รวบช้อน  เสมองไปทางอื่นที่ไม่ใช่นัยน์ตาคมเฉี่ยวที่จับสังเกตเขาอยู่เงียบๆ  ลอบถอนหายใจยาวด้วยความอึดอัด   

            เค้าคงรู้สึกได้ว่าเรามีอะไรในใจ   ความจริงก็ไม่มีอะไรนี่...ทุกอย่างมันจบสิ้นไปหมดแล้ว  ตั้งแต่คืนนั้น    เขาได้ปลดเปลื้องบาปผิดและความรู้สึกต่างๆนานาไร้สาระทั้งหลายทิ้งไปภายในคืนเดียว

            นึกถึงกล่องกระดาษที่บรรจุอัลบั้มรูปกับของจุกจิกที่เขาเฝ้าเก็บรักษาเอาไว้อย่างทะนุถนอมมาหลายปี   นึกแล้วก็น่าขำ  สิ่งของที่แต่ก่อนเคยคิดไปเองว่าสูงค่า  เต็มไปด้วยความหมายทางจิตใจ  มาบัดนี้กลับไร้ค่า หมดราคา  จะเอาไปชั่งกิโลขาย  ก็คงได้ไม่กี่สตางค์  ครั้นจะเก็บเอาไว้ก็หมดประโยชน์ รกบ้านเปล่าๆ  สุดท้ายก็จบลงที่การบริจาคไปเสีย

            เสียเวลาเก็บกวาดนานหน่อย แต่ก็คุ้มกับความสบายใจที่ได้รับกลับคืนมา...จบแล้ว  ไม่มีอะไรต้องคิดถึงอีก  หมดสิ้นกันเสีย

            บางทีเขาอาจจะต้องเข้าวัด ทำบุญเสียบ้าง...

            “คุณเตเหนื่อยเกินไปหรือเปล่า   กลับไปพักที่บ้านก่อนดีไหมครับ  นอนค้างที่โรงพยาบาลแบบนั้นคงนอนไม่หลับหรอก”  เตกระพริบตา  หันไปมองหน้าคนขับรถที่ทอดสายตามาที่เขาอย่างห่วงใย  เพิ่งรู้สึกตัวว่าตนเองกำลังนั่งอยู่บนรถจอดติดไฟแดงอยู่ที่สี่แยกพอดี

            “ไม่เป็นไรหรอกครับ  ผมเป็นห่วงตังด้วย  อยู่คนเดียวที่นั่น..”  เขาหยุดพูดเสียเฉยๆ  แต่ภาคย์ก็ไม่ได้ทักอะไร   เขาเพียงตั้งข้อสังเกตเพิ่มเอาไว้ในใจเท่านั้น

            เตต้องมีเรื่องอะไรสักอย่าง   เรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจของเค้าเป็นอย่างมาก  น่าจะมากกว่าเรื่องที่ภรรยาป่วย    ไม่ใช่เรื่องงานด้วย...ท่าทางล่องลอยเหมือนเจ้าตัวกำลังปล่อยความคิดไปไกลแสนไกล  ความหม่นหมองในสีหน้า   แต่ที่ชัดที่สุดก็คือแววตาแห้งแล้งไร้ชีวิตชีวาคู่นั้น  ถึงเตจะพยายามกลบเกลื่อนท่าทีด้วยท่าทางกระฉับกระเฉงอย่างไร  ก็ปิดไม่สำเร็จ 

            มันเกิดเรื่องอะไรกันแน่  ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน แววตาคู่นั้นยังวาววาม เปล่งประกายสดใสอยู่เลย 

            “ถ้าอย่างนั้น  ผมว่าเราเลยไปรับน้องเต้เลยดีกว่า  ใกล้เวลาโรงเรียนเลิกแล้วล่ะ  คุณจะได้ไม่ต้องย้อนกลับออกมาอีก”

          “ไม่รบกวนดีกว่าครับ  เผื่อคุณภาคย์มีธุระ  ผมไปรับลูกเองได้”  เตพูดเรียบๆ  คำปฏิเสธออกมารอที่ริมฝีปากของคนฟัง แต่แล้วเขาก็กลับไม่พูดอะไรอีกครั้ง

          “ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจคุณ   งั้นผมส่งคุณที่โรงพยาบาลนะครับ”

            นักเขียนหนุ่มพยักหน้าอย่างพอใจ  ภาคย์ดีตรงนี้เอง  เขาเป็นคนไม่เซ้าซี้ใคร  เป็นส่วนดีอีกข้อที่ทำให้เขาเต็มใจที่จะคบหากับผู้ชายคนนี้ต่อในฐานะกึ่งเจ้านายกึ่งเพื่อน                           

            กว่าเขาจะกลับมาก็เกือบบ่ายสามแล้ว   มือทั้งสองหอบหิ้วอาหารและผลไม้เต็มสองมือ  กลับเข้ามาภายในห้องพักของน้องสาว   เห็นร่างสูงโปร่งของคุณหมอธนพลยืนชิดขอบเตียงหันหน้ามาทางเขา  ตรงข้ามกับร่างสมส่วนของใครบางคนที่ยืนหันหลังให้ 

            หัวใจที่เต้นอย่างเฉื่อยชาคล้ายหยุดเต้นไปวูบหนึ่ง แล้วก็กลับมาเต้นเร็วแรงไม่เป็นจังหวะ...

            “คุณเตมาพอดี   คุณเตครับ  ผมมีข่าวต้องแจ้งให้ทราบ   ต้องขอโทษด้วยจริงๆครับ คือผมติดประชุมสำคัญที่ต่างประเทศในช่วงเดือนนี้พอดี   ปลีกตัวไม่ได้เลย   เค้าแจ้งมากะทันหันมาก   คงอยู่ผ่าตัดให้คุณข้าวตังไม่ทัน    ต้องขอโทษด้วยจริงๆครับ”   คุณหมอหนุ่มยกมือขึ้นไหว้เขา  ทำเอาเตรีบยกมือรับไหว้แทบไม่ทัน 

            “แล้วข้าวตัง...”  เขารู้คำตอบก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดเสียอีก  เมื่อคนที่ยืนหันหลังให้ในตอนแรก ค่อยๆหันหน้ากลับมาเผชิญหน้าเขาช้าๆ  ใบหน้าคมเข้มนั้นเรียบเฉย แต่ดวงตาเป็นประกายวาววับ

            “ผมจะเป็นคนผ่าตัดให้เธอเองครับ ....ผมนายแพทย์รดิศ  ศัลยแพทย์ทรวงอกและหัวใจ อเมริกันบอร์ดครับ    คุณเป็นสามีของคุณดาวประดับใช่ไหมครับ”

            ทำไม...ทำไมถึงไม่ยอมจบเสียที


            ....................................................................

มาต่อจนจบ
ขอบคุณมากนะคะที่ติดตามอ่าน
กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนองค่ะ
 :hao7:

ออฟไลน์ polkadot

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
จะว่าอะไรไหมถ้าจะบอกว่า เกลียดทุกตัวละคร มีแต่คนเห็นแก่ตัว :fire: :fire: :fire: :fire: :fire: :fire:

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
^
^
ความเห็นข้างบน น่าคิดตามแหะ
+1

ใช่..เมื่อคนเราเห็นแก่ตัวเองมากขึ้นๆๆๆๆๆๆๆ
ก็จะหันไปทำร้ายคนรอบข้างตัวเอง ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ
เพียงเพื่อให้ได้มาทุกสิ่งที่ตัวเองต้องการ

ใจร้ายกันจังเลยยยยยยยยย รักตัวเองจนไม่เห็นหัวใคร

แต่ชอบอ่านเรื่องนี้มากกกกกกกกกก
+1 ให้คนแต่ง

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
เกลียดดดดดดดดด (ความคิดแรกที่อ่านตอนนี้จบ)

ไม่รู้จะเกลียดใครมากกว่ากันดี 55555

ลุ้นกันยาวๆ

ใครใจอ่อนคนนั้นแพ้รึเปล่า?



ออฟไลน์ Apple_matinie

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1564
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
  หมอดิมนี่ไม่ยอมหยุดนะ เอาตัวเองมาหาเตเองเลย เตจะทำไงอะ
  ถ้าบุคคลิกเตพูดหรือแสดงอารมณ์ออกมากว่านี้ เตก็คงไม่ดราม่าล่ะ 555
  รออ่านตอนต่อไปคับ

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk

เพราะหัวใจบอกว่า...หนัก

 

 

 

 

            ชายหนุ่มลุกจากเตียงขึ้นแล้วบิดขี้เกียจ

วันนี้เป็นวันที่เขามีความสุขที่สุด   คือช่วงเวลาที่เขารอคอยมานานแสนนาน   ในที่สุดอดีตคนรักที่เคยทิ้งเขาไปอย่างโหดร้ายเมื่อหลายปีก่อนก็ได้รับรู้รสชาติของการถูกหักหลังเสียที   หึ..สาสมใจเสียนี่กระไร  รู้สึกอิ่มเอมกับความสำเร็จของตัวเองเสียจนนอนไม่หลับ

            ใบหน้าเรียวหวาน ดวงตาแดงก่ำที่จ้องมองมาที่เขาด้วยความเจ็บช้ำ   อา...เสียใจมากสินะ  เข้าใจหรือยังล่ะว่าตอนนั้นฉันรู้สึกอย่างไร..   

            สายตาไปปะทะเข้ากับสิ่งที่วางอยู่ข้างหมอน...นาฬิกาหน้าปัดร้าวที่เพิ่มรอยบิ่นที่ตัวเรือนสีเงินเพราะแรงกระแทกกับขอบถังขยะริมถนน  หยิบขึ้นมาพิศดูใกล้ๆ  นิ่วหน้านิดหนึ่งเพราะยังได้กลิ่นอันไม่พึงประสงค์อยู่นิดๆ    เขาหันไปหยิบแอลกอฮอล์และสำลีที่มีติดห้องตามนิสัยรักสะอาดขึ้นมาบรรจงเช็ดซ้ำอีกรอบ

            เตไม่ควรทิ้งของๆเขาแบบนี้   ต่อให้โกรธเขามากมายแค่ไหนก็ตามที  อย่างน้อยของที่เขาให้ก็เป็นความทรงจำดีๆที่เตควรจะเก็บเอาไว้ไม่ใช่หรือไง 

            รู้บ้างมั้ยว่ากว่าจะได้นาฬิกาเรือนนี้มา  เขาต้องอดตาหลับขับตานอนทำงาน รับสอนพิเศษเด็กมัธยมปลายตั้งกี่ชั่วโมง  ต้องจ้างเค้าสลักตัวอักษรเพื่อความพิเศษ  ต้อง...ต้องและต้องอีกมากมายหลายสิ่ง   รวมถึงของทุกอย่างที่เขาเคยเสาะหามาให้ตั้มด้วย   ทุกสิ่งมีความหมาย  มีคุณค่าทางใจ 

ใช่แล้ว  ทุกอย่างที่เขาให้  ตั้งเตไม่เคยเห็นค่าของมันหรอก  คงเป็นเพราะมันไม่มีราคาค่างวดอะไรมากมาย  ได้จากน้ำพักน้ำแรงเท่าที่นักศึกษาคนหนึ่งจะเจียดเงินแต่ละเดือนมาซื้อได้เท่านั้นเอง  ไม่เหมือนของกำนัลของใครบางคน  ที่คงแพงลิบลิ่วถูกใจคนรับอย่างเช่นน้ำหอมจากฝรั่งเศส อะไรพวกนั้น

หึ  มาตอนนี้เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาอีกต่อไปแล้ว  อยากได้ซักกี่ขวดล่ะ  เอาเป็นลิตรเลยมั้ย  ชโลมให้ทั่วตัว  อาบแทนน้ำเช้าเย็นเลยก็ยังได้   แต่ฉันไม่ซื้อให้นายหรอกเต  เสียใจด้วยนะ  ฉันจะซื้อเป็นกำนัลให้แก่คนที่ฉันรัก...คนที่คู่ควรกับความรักของฉันเท่านั้น

            ส่วนเจ้านาฬิกาไร้ค่าเรือนนี้   ช่างเถอะ...เก็บเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน  ไว้ว่างๆค่อยเอาไปขายของเก่า  ให้มันพ้นหูพ้นตาไปซะ...เขาวางนาฬิกาเจ้าปัญหาลงที่โต๊ะหัวเตียง    เหลือบเห็นกรอบรูปสีขาวที่มีรูปคู่ของเขากับรันยืนยิ้มคู่กันอยู่

รัน...คนที่อยู่เคียงข้างเขามาตลอด   ตั้งแต่วันแรกจนถึงบัดนี้   และจะอยู่เคียงข้างเขาตลอดไป  มันต้องเป็นเช่นนั้น

นายแพทย์หนุ่มผ่านมื้อเช้าไปอย่างไม่ไยดี    เขาไม่รู้สึกหิวเลยสักนิด  ความสุขในใจเขามันมากเสียจนอิ่มทิพย์กระมัง   ในอดีตมีหลายครั้งที่เขาเคยนึกสงสัยว่า  ถ้าเขาสามารถทำให้เตได้ลิ้มรสความเจ็บปวดแบบนั้นบ้าง  เขาจะรู้สึกอย่างไร

วันนี้เขาได้คำตอบแล้ว....มันก็ตื้อๆ ภาษาวัยรุ่นสมัยนี้อาจจะเรียกว่า อึนๆ กึ่งๆฝันกึ่งจริง ไม่อยากเชื่อตัวเองเท่าไหร่   ก็แหม  แต่ก่อนเขารักเตจะเป็นจะตายนี่นะ   แค่เห็นน้ำตาของอีกฝ่ายปริ่มขอบตา ใจก็ละลายแทบจะไหลลงไปกองแทบเท้า   เสียดายที่เมื่อคืนเตไม่ร้องไห้

ไม่อย่างนั้น เราอาจจะใจอ่อนก็ได้

‘พี่ดิม  แล้วเรื่องของเราล่ะ  คืนนั้น...ที่บ้านพัก’  เสียงคุ้นเคยๆดังขึ้นริมหูขณะที่เขากำลังใส่เสื้อผ้าอยู่  มันชัดเจนจนเขาสะดุ้ง  ขนแขนลุกชัน หันไปมองรอบห้อง ...ไม่มีใคร

            บ้าชะมัด  อีกนิดเดียวเขาจะนึกว่าตัวเองประสาทหลอนแล้วนะ

            ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม ทุกภาพ ทุกการเคลื่อนไหว  ทุกสีหน้า ทุกอารมณ์ที่ผู้ชายคนนั้นแสดงออกมา  เขาถึงจดจำได้แม่นยำนัก  จะว่าเป็นเพราะตัวเองความจำดี  มันก็แปลกที่กับคนอื่นเขาไม่ยักจะจำได้ติดตาแบบนี้เลย   เหอะ ..คงจะแค้นฝังหุ่นมาก   ทั้งโกรธทั้งเจ็บใจมาหลายปี

            เราก็อดทนดีไม่ใช่เล่นแฮะ

“เก่งมากรดิศ”   เขาพูดออกมาดังๆ ส่งยิ้มให้ตัวเองในกระจก  พิศดูความหล่อเหลาที่สวรรค์บรรจงปั้นให้เขา  หนวดเคราครึ้มเพราะขี้เกียจโกน  เพิ่มความเข้มคมให้แก่ใบหน้าขึ้นอีก   เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรหาคนรัก

            หมดเวลาสำหรับตัวประกอบแล้ว   ถึงเวลา ‘ตัวจริง’ ของเขาเสียที

            ........................................................................................

            คนตรงหน้าเขาเหม่ออีกแล้ว!  สายตาคมเข้มทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง ทะลุผ่านตัวเขาไปราวกับเขาเป็นอากาศธาตุ  ไม่ก็เป็นมนุษย์ล่องหนที่ไม่มีตัวตน   ดิมทำเหมือนกับว่าตัวเองออกมาทานข้าวคนเดียว  ไม่ใช่เป็นฝ่ายไปง้อเขาถึงที่บ้านเพื่อชวนมาดินเนอร์ขอคืนดีแบบนี้

            “ดิม  อิ่มแล้วเหรอ”  คุณหมอเด็กกลั้นใจถามซ้ำอีกรอบ  อีกฝ่ายสะดุ้งอย่างเห็นได้ชัด แม้จะพยายามซ่อนเอาไว้ใต้ท่าทางสบายๆเหมือนเช่นทุกครั้ง   ใบหน้าคมซีดเซียวเล็กน้อยคล้ายคนพักผ่อนไม่เพียงพอ

            “ยังหรอก  ยังไม่ทานของหวานเลย  คุณอิ่มแล้วหรือรัน”  รดิศถามกลับ  หยิบแก้วไวน์ขึ้นมาจิบนิดหนึ่ง   

            “เห็นดิมทานน้อยจัง  พ่อครัวที่นี่ฝีมือตกหรือเปล่าเนี่ย  หึ  แล้วทำงานวันแรกเป็นอย่างไรบ้าง  ดีไหม ไม่เห็นเล่าให้ฟังเลย”  เขาพยายามชวนอีกฝ่ายสนทนา   

            “ก็เรื่อยๆ  วันนี้นัดคนไข้เก่ามาตรวจก่อน  ยังไม่ได้ตรวจเคสใหม่   อ้อ  มีเคสของไอ้ปอนที่โอนมาให้ช่วยดูแลต่อสองเคส  ผมยังไม่เห็นแฟ้มประวัติเลย  ว่าจะกลับไปดูคืนนี้ ก็คง...ไม่มีอะไรมาก”

            เอาอีกแล้ว  ปากบอกไม่มีอะไรมาก แต่แววตาคมกลับไม่เป็นเช่นนั้นเลยสักนิด  ท่าทางของกันทำให้รันสนใจเคสผู้ป่วยของปอนขึ้นมาทันที

            “ทำไมถึงต้องโอนมาให้ดิมด้วยล่ะ  ปอนผ่าไม่ได้เหรอ”

            “เค้าจะไปประชุมที่ต่างประเทศน่ะ  แล้วเคสก็ด่วนต้องรีบผ่าตัดจะดีกับคนไข้มากกว่า   ก็เลยขอให้ผมช่วย”  ชายหนุ่มพูดเรียบๆแล้วเปลี่ยนเรื่องไป

            วิรัลเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ  ยอมเปลี่ยนเรื่องคุยตามใจอีกฝ่าย   เสียงเครื่องดนตรีดังพลิ้วแทรกมาในบรรยากาศ   รับกับแสงเทียนวูบไหวยามต้องลม   ร้านนี้เป็นร้านโปรดของเราทั้งคู่  ทว่าวันนี้กลับเขากลับไม่รื่นรมย์เหมือนเคย   เหลือบมองคนที่พามาก็เห็นใบหน้าคมเครียดเคร่งอีกครั้งราวกับมีอะไรกังวลอยู่ในใจไม่คลาย

            “เต้นรำไหม”  รันถามเสียงหวาน

ดิมขยับตัวนิดหนึ่ง  พยักหน้ารับ  ส่งมือไปจับมือของอีกฝ่าย พาเดินตรงไปที่ฟลอร์ด้านล่าง   โอบแขนไปรอบตัวคล้ายกำลังกอดกลายๆ  รันวางคางลงกับไหล่ของเขา  ขยับก้าวเดินตามจังหวะเพลงช้าๆ

“ดิมเป็นอะไรไป  ยังคิดเรื่องนั้นอยู่อีกเหรอ”  เสียงแผ่วหวานกระซิบถามอยู่ที่ริมหู   รดิศพยายามดึงสมาธิกลับมาที่คนในอ้อมแขน แต่ดูเหมือนว่ามันจะยากลำบากเหลือเกิน   ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเขากันแน่  ความคิดของเขาเอาแต่ล่องลอยออกไปไกลแสนไกล

.         ..ป่านนี้จะทำอะไรอยู่   จะร้องไห้หรือเปล่า   หรือว่าไม่ร้องเลยเพราะเราก็ไม่ได้มีความสำคัญอะไรขนาดนั้น....รดิศตั้งสติหน่อยสิ!  เขาดุตัวเอง  เรื่องมันแล้วไปแล้ว  ก็เป็นคนตัดความสัมพันธ์เน่าๆนั้นทิ้งไปเองแล้ว  ยังจะไปคิดถึงอีกทำไม  ป่านนี้จะทำอะไรอยู่น่ะเหรอ  หึ  ก็คงจะกำลังนั่งเฝ้า ‘เมีย’ อยู่ที่โรงพยาบาลไง  หรือไม่ก็อาจจะกำลัง ‘นอน’ เฝ้าเจ้านายอยู่ก็เป็นได้ ใครจะรู้

ใครจะรู้หรือไม่รู้ก็ไม่ใช่เรื่องของเราอยู่ดี  คนที่เราควรจะต้องสนใจและใส่ใจมากที่สุดก็คือ  ผู้ชายร่างเล็กหน้าหวานในอ้อมแขนของเราตอนนี้ไม่ใช่หรือ?

คนที่เรากำลังจะขอเค้าแต่งงาน....

“เรื่องไหนล่ะ  ตอนนี้ที่ผมคิดอยู่ก็มีแต่เรื่องคุณ”  เขาตอบออกไป  ส่งยิ้มให้นิดหนึ่ง

“เรื่องของผม?   เรื่องอะไรหรอ”  คำถามพร้อมรอยยิ้มฉอเลาะแบบนี้ของอีกคนเคยเป็นท่าไม้ตายสำหรับเขามาก่อน  แปลกที่ตอนนี้เมื่อเห็นแล้วกลับรู้สึกเฉยๆ หรืออาจเป็นเพราะเขาเคยชินเสียแล้ว

“ผมกำลังคิดอยู่ว่า  ถ้าเราแต่งงานกัน  เราจะไปฮันนีมูนที่ไหนกันดีนะ?”  ใบหน้าของคนในอ้อมแขนเริ่มซับสีเลือดบางๆ  รันหลบตาเขา

“ฮื้อ  รีบคิดอะไรตอนนี้ล่ะ  อีกตั้งนาน”

ศัลยแพทย์หนุ่มยิ้มนิดๆ เขาหยุดเต้นรำ   คลายวงแขนออกปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นอิสระ  วิรัลมองตามด้วยความมึนงงเมื่อเห็นอีกฝ่ายล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงครู่เดียวก็หยิบกล่องเล็กสีแดงสดออกมา

รดิศทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าที่พื้น  ท่ามกลางสายตาของบรรดาแขกเหรื่อภายในร้านอาหารที่มองมาเป็นตาเดียว  เสียงสูดลมหายใจด้วยความตื่นเต้นร่วมกับเสียงกรีดเบาๆจากคนรอบข้างยิ่งทำให้เลือดสูบฉีดไปทั่วร่างของคนที่ยืนตรงหน้าและรู้ทันทีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น

“ผมว่าคุณต้องคิดเสียตั้งแต่ตอนนี้แล้วล่ะรัน....แต่งงานกับผมนะครับ”   ภายในกล่องเล็กๆใบนั้นมีแหวนสีเงินฝังเพชรเม็ดงามวางสงบอยู่  สะท้อนแสงวูบวาบจับตา

วิรัลกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่  เขาทั้งดีใจและประหลาดใจจนพูดไม่ออกได้แต่พยักหน้ารับ   มองดูคนรักสวมแหวนให้ที่นิ้วนาง  แล้วโถมตัวเข้าหาอ้อมแขนของฝ่ายนั้น   ร้องไห้โฮออกมาอย่างไม่อาย

“รัน ฮึก  รันนึกว่าดิม ฮึก  จะเปลี่ยนใจซะแล้ว  รู้มั้ยว่ารันกลัวแค่ไหน   รันกลัวว่าดิมไม่รักรันแล้ว”  คนฟังหัวเราะเสียงแหบห้าว

“จะเป็นอย่างนั้นไปได้ยังไง   ผมรักรันคนเดียว  รักมาก...รักที่สุด”  ดิมพูดอยู่ริมหูซ้ำๆ ราวกับต้องการจะย้ำให้อีกฝ่ายจดจำ เช่นเดียวกับที่ย้ำกับตัวเองอีกรอบ....เรารักรัน รักรันคนเดียว  รักที่สุดแล้ว

“รันก็รักดิม  หมดทั้งหัวใจของรัน  รวมชีวิตของรันด้วย รันให้ดิมคนเดียว  พอไหม”

“สำหรับคนที่เคยถูกเขาทิ้ง  มองไม่เห็นค่ามาก่อน  แค่นี้ของรันมันเกินพอเสียอีก   คุณเป็นคนฉุดผมขึ้นมาจากความทรมานในตอนนั้น  ในวันที่หนทางของผมมืดมน รันคือแสงสว่าง  ทำให้ผมมาถึงจุดนี้ได้  ผมไม่เคยลืมความดีของรันเลย”   รดิศพูดจบก็แนบริมฝีปากของเขาลงไปบนเรียวปากบางที่เผยอน้อยๆนั้นครู่หนึ่งก็ผละออก

ดิมขมวดคิ้วแวบเดียว แววอะไรบางอย่างพาดผ่านแววตาคมกริบรวดเร็วจนมองไม่ทัน  คนในอ้อมเเขนส่งยิ้มให้เขา  ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติทางใจที่ซ่อนเอาไว้อย่างแนบเนียน

“ดิมวางแผนมาตั้งแต่แรกแล้วเหรอ  ที่ชวนรันออกมาดินเนอร์ด้วยกันคืนนี้  นึกว่าดิมแค่จะง้อเรื่องคืนนั้นเสียอีก”  รันเอ่ยแกมหัวเราะอย่างมีความสุข  จูงมือเขาพาเดินกลับมาที่โต๊ะอาหาร  คนฟังส่งยิ้มให้บางๆ

“ผมอยากขอคุณตั้งนานแล้ว  ตั้งแต่วันเกิดคุณตอนนั้น  แต่มันยังไม่ลงตัว  ปล่อยเวลาเสียเปล่ามาตั้งนาน  ถึงตอนนี้ก็รู้สึกว่า..ไม่ขอไม่ได้แล้วล่ะ   เซอร์ไพรซ์มั้ย”

“มากเลยล่ะ   บอกตรงๆรันเห็นหน้าดิมวันนี้แล้วกลัวมาก  นึกว่าจะบอกเลิกกันเสียอีกนะ”  คนฟังหัวเราะเสียงทุ้มต่ำ

“ผมไม่เคยมีความคิดจะเลิกกับคุณเลย  รัน”  ..คุณคือคนที่ผมเลือกแล้ว   ศัลยแพทย์หนุ่มยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มรวดเดียวหมดแก้ว   แล้วยกขึ้นเป็นสัญญาณให้บริกรเข้ามาเติมอีก

“ดื่มฉลองกันหน่อยนะ  ไม่เมาไม่เลิก”  รดิศพูดติดตลกแล้วยกแก้วขึ้นดื่มอีก  วิรัลหัวเราะตาม  อะไรดูจะกลายเป็นสีชมพูสวยงามน่าเพลิดเพลินไปเสียหมด   พินิจดูประกายวาววามของเพชรกลางเรือนแหวนแล้วก็อดยิ้มกว้างไม่ได้

ดิมรสนิยมดีเสมอ...อดนึกแวบกลับไปถึงนักเขียนหนุ่มแฟนเก่าของอีกคนครู่หนึ่ง  หึ  สุดท้ายเตก็ต้องแพ้  ยังจำภาพที่เห็นใบหน้าเรียวหวานจ้องเขม็งมาที่คนรักของเขาในคืนนั้นได้ติดตา   ดวงตาเรียวดำขลับแดงก่ำคู่นั้นเต็มไปด้วยความผิดหวังและเสียใจ...จะว่าสะใจก็สะใจล่ะนะ  แต่วูบหนึ่งก็อดสงสารไม่ได้ เตคงเสียใจมาก   เขาไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างคนทั้งคู่   และก็ไม่อยากรู้แล้วด้วย  เพราะตอนนี้เขาก็คือผู้ชนะอย่างใสสะอาด  แค่นี้ก็พอแล้ว

            ชายหนุ่มหน้าเข้มยกแก้วขึ้นดื่มเงียบๆ  ไม่มีใครรู้ว่าในสมองที่เต็มไปด้วยความรู้สึกและความคิดแสนซับซ้อนของเขาคิดอะไรอยู่บ้าง  บางทีมันอาจจะซับซ้อนมากเสียจนแม้แต่เจ้าตัวก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร  หรือไม่มันก็อาจจะง่ายดายเสียจนเจ้าตัวไม่อยากเชื่อ และไม่ยอมรับความจริง

          รันเป็นฝ่ายขับรถมาส่งเขาที่คอนโดเพราะฤทธิ์ไวน์ที่เขาดื่มเข้าไปหลายแก้วทำให้มึนไม่น้อย   ก่อนที่เขาจะลงจากรถ  รันก็เขยิบเข้ามาแตะริมฝีปากแผ่วๆที่แก้มของเขา

            “วันนี้รันมีความสุขที่สุดในโลก  ขอบคุณนะครับ”  รอยยิ้มวับหวานในดวงตากลมโตคู่นั้นบอกถึงความสุขทางใจเต็มเปี่ยมของเจ้าตัวได้ดีเสียยิ่งกว่าคำพูด   รดิศยิ้มรับ

            “คุณคือความสุขของผม”  พูดสั้นๆ จากนั้นก็โน้มตัวเข้าไปแตะริมฝีปากที่หน้าผากเนียนของอีกฝ่ายเบาๆ

            หัวใจสั่นไหวอย่างรุนแรง ...ดิมเห็นภาพตัวเองโน้มลงไปจูบหน้าผากของใครอีกคนที่นอนหลับสนิทในอ้อมแขนของเขาในค่ำคืนนั้น   สัมผัสบางเบาแต่ดื่มด่ำ   เต็มไปด้วยความรู้สึกทางใจ   ความรู้สึกลึกซึ้งที่ไม่สามารถเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้   เขารู้สึกอยากทะนุถนอมอีกฝ่ายเอาไว้  ราวกับร่างโปร่งระหงในอ้อมแขนคือแก้วเนื้อบางที่สามารถแตกร้าวได้ทุกขณะ   คือสิ่งสูงค่าที่เขาพร้อมจะปกป้องด้วยชีวิต...ไม่ใช่   กับรัน...มันไม่ใช่ความรู้สึกแบบนั้น

            อีกครั้งที่นายแพทย์หนุ่มรู้สึกสับสนในใจ   เวลาที่เขาจูบเต  เวลาที่เราสัมผัสกัน  อะไรบางอย่างในอกด้านซ้ายของเขามันจะเต้นแรงขึ้น  ไม่เหมือนกับความรู้สึกมึนๆชาๆเช่นในตอนนี้เลย

            เพราะอะไรกันแน่?

           ดิมผละออก  อีกฝ่ายมองตามอย่างไม่เข้าใจ  สายตาของกุมารแพทย์หนุ่มทำให้อีกคนรู้สึกตัว  ดิมฝืนยิ้มให้  พูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

            “กู้ดไนท์ครับ  ขับรถกลับดีๆนะ  ถึงบ้านแล้วโทรมาบอกด้วย”  ดิมพูดพร้อมกับเปิดประตูลงมาจากรถ

“พรุ่งนี้ไปทำงานด้วยกันนะ  รันจะมารับ  แล้วค่อยไปเอารถที่ร้านกัน”  คุณหมอเด็กพูดยิ้มๆ โบกมือให้เขาแล้วขับรถออกไป

            รดิศมองตามหลังจนไฟท้ายรถลับสายตา  คิดถึงเหตุการณ์คืนนั้นขึ้นมาอีก   เขาวิ่งตามเตลงมาอย่างไร้สติ   ตอนนั้นคิดอะไรไม่ออก  เเค่เห็นเตกลับขึ้นรถแท็กซี่คันนั้นไปแล้ว เขาก็รู้สึกใจหาย   ไม่อยากปล่อยให้มันจบแบบนี้ 

            แล้วตอนจบแบบไหนกันล่ะที่เขาต้องการ   ไม่ใช่แบบที่เป็นอยู่หรือไง   เขาเอาคืนเตไปแล้ว  กำลังจะแต่งงานสมใจแล้วด้วย  การงานก็กำลังรุ่งโรจน์   เขายังไม่พอใจอีกเหรอ

            มันยังขาดอะไรอีก

            ชายหนุ่มกลับขึ้นไปบนห้องพักคล้ายคนหมดแรง  ไม่เข้าใจความรู้สึกบ้าๆแบบนี้เหมือนกัน   ความโหยหาแปลกๆ  ราวกับใจของเขามันแหว่งไป   ทั้งที่เขาควรจะมีความสุขที่สุดในโลกไม่ใช่หรือ  อย่างที่ผู้ชายทุกคนที่กำลังจะแต่งงานควรจะรู้สึกอย่างนั้น

            หรือเป็นเพราะว่าเขาพักผ่อนไม่เพียงพอ  ร่างกายก็เลยไม่สดชื่นเท่าที่ควร

            เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นอีกครั้ง  ชายหนุ่มหยิบขึ้นมาดู เห็นเป็นชื่อของนายแพทย์หนุ่มรุ่นน้องก็กดรับ

            “สวัสดีครับคุณปังปอน  มีอะไรให้ผมรับใช้ครับ”   แกล้งพูดเสียงขึงขัง

          “โธ่  พี่ดิม พูดอะไรอย่างนั้น  ผมจะไปกล้าใช้พี่ได้ไงเล่า  ผมแค่ขอความช่วยเหลือจากพี่เฉยๆ  เพราะพี่คือคนที่ผมเชื่อมือที่สุด  นะครับ  ช่วยหน่อยนะ   ผมขอแค่สองเคสนี้เอง   มีเคสนึงสวยมาก  พี่เอาเข้าโครงการวิจัยของพี่ได้เลย  ช่วยน้องคนนี้หน่อยนะ  คิดซะว่าเห็นแก่เด็กตาดำๆ”

          “ถ้าฉันจะช่วยก็คงไม่ได้เป็นเพราะเห็นแก่เด็กตาดำๆอย่างนายหรอกนะ  แต่เห็นแก่คนไข้ตะหาก  แหม  เห็นประชุมวิชาการสำคัญกว่าคนไข้ได้ไง   เอาเถอะ  ส่งสรุปประวัติมาคืนนี้ก่อนล่ะกัน แล้วพรุ่งนี้ฉันจะไปดูแฟ้มเองอีกที”   ดิมพูดอย่างอ่อนอกอ่อนใจ   ความจริงคนไข้ของเขาก็ล้นมือจนแทบไม่มีเวลาพักอยู่แล้ว   แต่เห็นแก่รุ่นน้อง   ไหนๆก็ได้โอกาสไปแสดงผลงานที่ต่างประเทศแล้วทั้งที   แถมยังลงทุนมาอ้อนวอนเขาหลายรอบ

            “เย่  ขอบคุณมากครับพี่ดิม   พี่ใจดีเสมอ แล้วผมจะซื้อของมาฝากเยอะๆเลย  ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ผมจะพาพี่เข้าไปดูคนไข้นะครับ  คนไข้คงไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว  อ้อ  เกือบลืม  คู่พี่กับพี่รันเมื่อไหร่จะแต่งฮะ   ผมเชียร์มาหลายปีแล้วนะเนี่ย”  เสียงปลายสายสดใสขึ้นทันควัน   ตรงข้ามกับคนฟังที่เผลอขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว

            “ยังหรอก   ยังไม่รีบ”  ทำไมเขาไม่ตอบออกไปว่าเร็วๆนี้ ก็ไม่รู้เหมือนกัน   ทั้งที่เพิ่งขอแต่งงานไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วแท้ๆ

            “พี่ใจเย็นจัง  สงสัยเป็นเพราะคบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนเนอะ  ดีกว่ามาเจอกันตอนทำงาน  ของผมนะ คบกันแปบๆ เลิกแล้ว  นี่วันก่อนผมก็เพิ่ง....”  อีกฝ่ายชวนคุยเรื่องรักๆเลิกๆของตัวเองอยู่ครู่ใหญ่จึงค่อยวางสายไป  ไม่ลืมย้ำว่าจะส่งสรุปประวัติคนไข้มาให้เขาทางอีเมล์คืนนี้

           ดิมวางโทรศัพท์ลงกับโต๊ะหัวเตียงข้างๆนาฬิกาเก่าคร่ำเรือนนั้น   เขารู้สึกเหนื่อยขึ้นมาอย่างประหลาด  อยากล้มตัวลงนอนนิ่งๆ  ไม่อยากทำอะไรทั้งสิ้น  แม้แต่การรับเคสคนไข้ที่รุ่นน้องบอกว่าน่าสนใจนักหนา  เขาก็ไม่กระตือรือร้นเหมือนทุกครั้ง  ราวกับเรี่ยวแรงของเขามันถูกสูบออกไปหมด

เผลอหลับพักก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาเอง   ฝืนตัวเดินเข้าห้องน้ำจัดการธุระส่วนตัวจนเรียบร้อยก็เดินมาทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ทำงาน   เปิดดูอีเมล์เห็นจดหมายมากมายรวมถึงไฟล์เอกสารที่รุ่นน้องแนบมาให้

นายแพทย์หนุ่มดาวน์โหลดเอกสารที่แนบมาขึ้นเปิดอ่าน  สายตาคมไวไล่ไปตามตัวอักษรที่สรุปเรื่องราวทั้งอาการและแผนการรักษาเบื้องต้นของคนไข้คนแรก  เขาเก็บลายละเอียดทั้งหมดเอาไว้ในสมอง ออกจะเห็นด้วยกับรุ่นน้องว่านี่เป็นเคสที่น่าสนใจมากทีเดียว  เหมาะที่จะนำไปร่วมในงานวิจัยของเขา

รดิศจดบันทึกเรียบร้อยก็เปิดดูเคสคนไข้คนที่สอง   กวาดสายตาอ่านชื่อของผู้ป่วยที่อยู่บรรทัดบนสุด  พร้อมกับรูปถ่ายเล็กสี่เหลี่ยมที่มุมบนซ้ำอีกรอบ

นางสาวดาวประดับ  ศรีศรวล

ดวงหน้ารูปหัวใจเข้มคมคุ้นตาอย่างประหลาด  เขาเพ่งดูอีกรอบแล้วเอนตัวพิงพนักเก้าอี้  ถอนหายใจออกมาแรงๆ....โลกจะกลมไปมั้ย   อย่าบอกนะว่าผู้หญิงสาวคนนี้คือ ภรรยา...มารดาของลูกชายของคนๆนั้น     

เขาไม่ได้กลัวหรอกนะ  แค่ไม่อยากยุ่งเกี่ยวอีก  ในเมื่อเขาอุตส่าห์ตัดบ่วงผูกพันระหว่างเขากับเตไปแล้ว  เหตุใดจะต้องนำตัวเข้าไปยุ่งเกี่ยวอีกล่ะ  ถ้าเป็นไปได้ เราก็ไม่ควรจะพบกัน  อยู่กันคนละโลกไปเลยจะดีที่สุด

ขยับจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรหารุ่นน้องเพื่อปฏิเสธการรักษา  คิดหาข้ออ้างอะไรก็ได้ที่จะทำให้เขาไม่ต้องเผชิญหน้ากับคนรักเก่า    สายตาเจ้ากรรมก็ดันเลื่อนไปเจอตัวอักษรที่เรียงรายอยู่ตรงหน้าเข้า

-          เมื่อ 8 ปีก่อน (วันที่....../....../.....) เข้ารับการผ่าตัดครั้งแรก...

เจ้าของห้องหนุ่มรู้สึกหนาวขึ้นมาฉับพลัน  ราวกับมีใครมาแอบปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศภายในห้องจนติดลบโดยไม่ทันตั้งตัว    จ้องมองดูวันที่ที่ปรากฏอยู่ในประวัติของผู้ป่วยหญิงตรงหน้านิ่งค้าง  ไม่อยากเชื่อสายตา

วันนั้น...มันเป็นวันเดียวกับที่เตบอกเลิกเขา  วันที่เขาประสบอุบัติเหตุ   วันเดียวกันเลยนี่!!

            เป็นเรื่องบังเอิญเหรอ?

............................................................................................


อันนี้จะเป็นพาร์ทย้อนกลับไปก่อนที่พี่ดิมจะไปโผล่ที่ห้องข้าวตังตอนที่เเล้วนะคะ

ต่อด้านล่างค่ะ

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
ต่อนะคะ




เขาหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องพักผู้ป่วยพิเศษชั้น 7 ห้องริมสุดทางระเบียง  เพ่งมองผ่านบานกระจกเล็กๆสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ประตูห้อง  มองเข้าไปด้านใน  ไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดๆ   คงมีหญิงสาวนอนอยู่คนเดียวเป็นแน่

            ครุ่นคิดอยู่นานว่าควรจะเปิดเข้าไปภายในห้องเลยดีมั้ย   อาศัยจังหวะที่ไม่มีญาติเฝ้าอยู่นี่ล่ะ  จะได้สอบถามความจริงที่ค้างคาใจเขาจนทำให้นอนไม่หลับ ต้องรีบเผ่นมาที่โรงพยาบาลตั้งแต่เช้ามืดเช่นนี้

            ความจริงเมื่อ 8 ปีก่อน  อาจมีเรื่องที่เขาไม่รู้

            เข้าไปถามตรงๆเลยดีไหม  หรือว่าปล่อยให้เรื่องมันกลายเป็นอดีต  ไม่จำเป็นต้องไปขุดคุ้ย  จะไปรื้อฟื้นขึ้นมาทำไมล่ะ   ไม่มีประโยชน์อะไร    ตอนนี้เราก็มีความสุขดีอยู่แล้ว...

ลึกสุดใจ  รดิศไม่อยากยอมรับว่าเขากำลังกลัว....กลัวว่าเขาจะทำผิดพลาดอะไรบางอย่างไปแล้ว เพราะความไม่รู้...ความรู้สึกของใครบางคนที่เขาอาจจะทำลายทิ้งไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์   สังหรณ์ของเขาบอกว่า  มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ข้าวตังเข้ารับการผ่าตัดในวันนั้น   วันเดียวกับที่ตั้งเตบอกเลิกเขา

เรื่องบังเอิญไม่เคยมีอยู่จริง

เสียงคนเดินคุยโทรศัพท์มาตามทางเดิน   เขาจำเสียงของใครคนหนึ่งได้แม่นยำ  ใจเต้นรัวราวกับกลอง   โอกาสของเขาหมดไปแล้วอย่างน่าเสียดาย   มองซ้ายขวาหาที่หลบก็เห็นเพียงเก้าอี้รับแขกที่วางเป็นแนวอยู่หลังตันไม้ประดับข้างๆห้อง   จึงรีบสาวเท้าเข้าไปนั่ง    ได้ยินเสียงอีกฝ่ายพูดนัดแนะกับใครสักคนก่อนที่จะเปิดประตูเข้าไปภายในห้องพักผู้ป่วย

นั่งคิดหาวิธีเข้าถึงตัวข้าวตังอยู่พักใหญ่  ประตูห้องพักผู้ป่วยก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง  นักเขียนหนุ่มกลับออกมา   พอดีกับที่นายภาคย์มาถึง  ร่างสูงตรงเข้ามาประคองตั้งเตให้เดินเข้ามานั่งพักที่อีกด้านของแนวเก้าอี้   กลายเป็นว่าพวกเขากำลังนั่งหันหลังให้กัน โดยที่มีแนวต้นไม้ประดับบังสายตาไว้หลวมๆ   นายแพทย์เอื้อมมือไปหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมากางทำทีเป็นอ่าน

ทว่าตัวอักษรที่เรียงรายเต็มพรืดกลับไม่เข้าสู่สมองเขาเลยสักนิด  มีเพียงเสียงสนทนาของคนสองคนที่ถึงจะพูดเบาแสนเบา  เขาก็ยังอุตส่าห์ได้ยินเข้าจนได้

“คุณข้าวตังเป็นอย่างไรบ้าง  นอนโรงพยาบาลมาหลายวันแล้วนี่   หมอเขาจะให้กลับหรือยัง.......ผมเข้าใจสถานการณ์ของคุณดี   ไม่เจอกันอาทิตย์เดียว...นี่น้ำหนักคุณลงไปกี่กิโลเนี่ย  ข้อมือเหลือนิดเดียวเอง”  ดิมมองผ่านหนังสือพิมพ์เห็นอีกฝ่ายคว้าข้อมือบางไปกุมเอาไว้   เขาเผลอกำกระดาษหนังสือพิมพ์แน่นจนยับ   เกิดเสียงดังกรอบแกรบ   แต่ดูเหมือนว่าสองคนนั้นจะไม่ได้ยินด้วยซ้ำ   ราวกับโลกทั้งใบเหลือแค่พวกเค้าเพียงสองคน

            เหอะ  เมียนอนป่วยอยู่ในห้องพัก ยังมีหน้ามา ‘สวีท’ กันหน้าห้องอีกเหรอ   คุณหมอหนุ่มคิดในใจ  เม้มปากแน่น  เงี่ยหูฟังได้ยินเสียงสนทนากันแว่วๆ

“ผมว่าเที่ยงนี้ผมพาคุณไปกินอะไรที่มันดีกว่าข้าวกล่องของโรงพยาบาลหรืออาหารตามสั่งหน้าตลาดดีไหม   เกิดคุณเป็นอะไรขึ้นมาจะทำอย่างไร”  นายภาคย์พูดขึ้นแล้วออกแรงฉุดร่างโปร่งบางแทบปลิวลมให้ลุกขึ้นยืน 

เตออกเดินตามแรงฉุดของฝ่ายนั้นแต่โดยดี ไม่มีการขัดขืน

เขากำหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นจนมันยับยู่ยี่คามือโดยไม่รู้ตัว  อารมณ์ฉุนเฉียวที่ไม่รู้มาจากไหนมากมายถาโถมเข้ามาใส่เมื่อเห็นคนทั้งสองเดินเคียงคู่ไปด้วยกัน

            ชายหนุ่มข่มอารมณ์อยู่ครู่ใหญ่จนใกล้เคียงกับปกติแล้ว  จึงเดินมาหยุดยืนที่หน้าห้องของหญิงสาวอีกรอบ   ครั้งนี้นายแพทย์รุ่นน้องมาถึงพอดี

“พี่ดิม  ขอโทษครับที่มาช้าไปนิดหนึ่ง   รถติดครับ  พี่ได้รับข้อมูลที่ผมส่งให้แล้วใช่ไหมครับ”  ธนพลถาม  หายใจหอบน้อยๆ  เพราะวิ่งขึ้นบันไดมาจากที่จอดรถ  เนื่องจากพยาบาลโทรไปบอกว่านายแพทย์รุ่นพี่มาถึงก่อนนานแล้ว  และเขารู้นิสัยอีกฝ่ายดีว่า เป็นคนตรงต่อเวลาแค่ไหน   ยิ่งเห็นใบหน้าคมเครียดขรึมผิดปกติก็ยิ่งใจเสีย

            “ได้รับแล้ว  ห้องนี้ใช่ไหม”   ดิมพูดเรียบๆ  อีกฝ่ายรีบกุลีกุจอเคาะประตูห้องและเดินนำเข้าไปด้านใน    ศัลยแพทย์รุ่นพี่ชะงักนิดหนึ่ง   นิดเดียวเท่านั้นสำหรับการตัดสินใจอีกรอบ

            หลังจากนี้เขาจะไม่เสียใจใช่ไหม   มันจะเป็นอย่างไรต่อ?...คำถามที่ไม่มีใครรู้คำตอบ   เพราะไม่มีใครสามารถล่วงรู้อนาคตได้  เหมือนกับที่ไม่มีใครสามารถแก้ไขเรื่องราวในอดีตได้เช่นกัน

            .................................................................................................

“ผมจะเป็นคนผ่าตัดให้เธอเองครับ ....ผมนายแพทย์รดิศ ศัลยแพทย์ทรวงอกและหัวใจ อเมริกันบอร์ด   คุณเป็นสามีของคุณดาวประดับใช่ไหมครับ”  เขาแกล้งพูดราวกับไม่รู้จักอีกฝ่ายมาก่อน   สบตาของเตยิ้มๆ  ส่งมือไปให้จับ   อีกฝ่ายนิ่งไปอึดใจ ก็ส่งมือบางมาให้

เราจับมือกัน  ฝ่ามือของเขาร้อนชื้นเหงื่อ  ตรงข้ามกลับอีกฝ่ายที่เย็นเฉียบ

“ยินดีครับ”  เตพูดเสียงเบา  ไม่สบตาเขา   ดิมยิ้มมุมปาก

“เดี๋ยวผมคงต้องขอซักถามประวัติเพิ่มนะครับ ....”  นายแพทย์หนุ่มหันไปทางคนป่วยที่นอนมองเหตุการณ์ทุกอย่างอยู่เงียบๆ   ข้าวตังส่งยิ้มเซียวมาให้เขา  วูบหนึ่งที่เขารู้สึกสงสารเธอ   พร้อมๆกับคำถามที่ต้องการหาคำตอบ

ดิมพยายามเต็มที่ที่จะเพ่งสมาธิอยู่ที่คนป่วย  ทว่าก็อดวอกแวกไปที่ผู้ชายตัวเล็กที่ยืนกุมมือภรรยาอยู่ไม่ห่างไม่ได้   

“ผมขออนุญาตตรวจร่างกายก่อน  เชิญญาติรอด้านนอกนะครับ”  เขาพูดเรียบๆ  พยักหน้าให้พยาบาลช่วยจัดการให้เรียบร้อย   เตถอยออกไปรอนอกม่านแต่โดยดี

จากการตรวจร่างกาย  เขาก็รู้ได้ทันทีว่าหญิงสาวต้องการการผ่าตัดโดยเร็วที่สุด เท่าที่จะทำได้   ร่างกายของเธอเหมือนรถยนต์ที่ชำรุดและใกล้พังเต็มที  รอยแผลเป็นที่กลางอกบอกเขาว่าเธอเคยผ่าตัดมาก่อนแล้ว  ตรงตามที่เขาได้อ่านประวัติของเธอมา

“เหนื่อยใช่ไหมครับ  นอนพักก่อนครับ   ไม่ต้องกังวลเรื่องผ่าตัดนะครับ  หมอจะทำให้ดีที่สุด”  เขาพูดยิ้มๆ  หญิงสาวยกมือขึ้นจับแขนของเขาเอาไว้  เงยหน้าขึ้นพูดเสียงเบา

“ฉันไม่ผ่าได้ไหมคะหมอ   ไม่อยากผ่าเลย”

“ทำไมล่ะครับ  คุณไม่อยากรักษาเหรอ”

“อยากค่ะ  อยากหาย  แต่ไม่อยากผ่า  ตังกลัวว่าคราวนี้ตังจะไม่โชคดีเหมือนเมื่อ 8 ปีก่อน”  คำว่า 8 ปีก่อนตรงใจของนายแพทย์หนุ่มเข้าพอดี   การผ่าตัดครั้งแรกที่เขาอยากจะรู้เรื่องราวความเป็นไปทั้งหมด  รวมถึงชีวิตของผู้หญิงคนนี้ก่อนที่จะมาลงเอยกับเตด้วย

เตพบเธอที่ไหน  รักกันเมื่อไหร่   นี่คือเหตุผลที่ทิ้งเขามาใช่หรือไม่

พิศดูสภาพของผู้ป่วยแล้วก็ข่มใจกลั้นความอยากรู้เอาไว้ในสีหน้า ถามเสียงนุ่ม

            “เมื่อ 8 ปีก่อนเกิดอะไรขึ้นหรอครับ  เล่าให้หมอฟังได้มั้ย”  เธอพยักหน้ารับ “ตอนนั้นฉันเหนื่อยมาก  คล้ายๆตอนนี้เนี่ยแหละ  ฉันอาเจียนทั้งวันเพราะแพ้ท้อง...”  หญิงสาวหยุดพูดแล้วหลับตา   ท่าทางเธอเหนื่อยเกินกว่าจะเล่าอะไรได้ยาวๆ

            “ไม่เป็นไรครับ   ไว้พรุ่งนี้ผมจะมาเยี่ยมคุณอีก  แล้วค่อยเล่าให้ผมฟังก็ได้  สำหรับวันนี้พักผ่อนมากๆนะฮะ.....”  แนะนำผู้ป่วยอีกหลายคำ  ขณะที่ญาติเอาแต่ยืนก้มหน้าไม่ยอมสบตาเขา

            นายแพทย์หนุ่มเดินมาหยุดตรงหน้า ‘สามี’  ของคนไข้   กวาดตามองร่างโปร่งบางคร่าวๆครั้งเดียวก็เก็บลายละเอียดได้หมด

            “ไว้ผมจะมาใหม่นะครับ  มีอะไรสงสัยอยากถามหรือเปล่า”  เขาจงใจถามเตตรงๆ  เห็นฝ่ายนั้นเงยหน้าขึ้นสบตาเขาแวบเดียวก็เมินหลบไปพูดกับผนังเสียงเบา

            “ไม่มีครับ  ขอบคุณคุณหมอมาก”

            “ด้วยความยินดีครับ  แล้วพบกัน”  เขาลงเสียงหนัก   แล้วหันไปยิ้มให้คนไข้สาวที่มองมาที่พวกเขาสองคนด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก    จากนั้นนายแพทย์หนุ่มก็เดินออกมาจากห้องพร้อมกับแพทย์รุ่นน้อง   เดินออกไปดูคนไข้ห้องอื่นด้วยกันจนเสร็จสิ้น

            “พี่ดิมว่าอย่างไรครับ  ผมขอถามความเห็นเคสคุณดาวประดับ  ควรรีบผ่าใช่ไหม”

          “ใช่  ดูจากอาการแล้วถ้าปล่อยเอาไว้นานกว่านี้อาจจะผ่ายากกว่าเดิม  โอกาสรอดก็น้อยลงด้วย  เอาล่ะ  ไม่ต้องเป็นห่วงนะ  พี่จะดูแลให้อย่างดี ทั้งสองเคส”     คนฟังยกมือขึ้นไหว้

            พูดคุยกันอีกนิดหนึ่งก็แยกย้ายกันกลับไปทำงานของตนเอง ดิมกลับไปตรวจคนไข้ของตนเองต่อจนเย็น   เขาลืมไปที่คนรักนัดว่าจะมารับไปเสียสนิทจนกระทั่งรันมาเคาะที่ห้องทำงาน

            “ตรวจเสร็จหมดแล้วใช่มั้ย   ดิม..เมื่อเข้าลืมอะไร  รู้หรือเปล่า”   ชายหนุ่มพยายามนึก แต่นึกไม่ออก  อีกฝ่ายจึงบอกกระเง้ากระงอด

            “โธ่  ก็รันบอกว่าจะไปรับแล้วไปเอารถที่ร้านอาหารด้วยกันไง   เมื่อเช้าพอไปถึง แม่บ้านก็บอกว่าดิมออกไปแล้ว”   วิรัลพูดด้วยท่าทางกระเง้ากระงอดแต่ก็เดินเข้ามาโอบเขาเอาไว้หลวมๆ     

            “ขอโทษพันครั้ง  พอดีรับเคสใหม่เลยยุ่งจนลืม  ยกโทษให้พี่ดิมนะครับคนดี”  เขาพูด  เหลือบมองนาฬิกาแวบนึง  เย็นแล้ว  คงเป็นเวลาที่เตจะต้องไปรับลูกชายที่โรงเรียน  และเป็นช่วงเวลาปลอดที่เขาจะสามารถพูดคุยกับข้าวตังได้โดยที่ไม่มีใครรบกวน

            “ไปทานข้าวกันนะ  รันมีร้านเปิดใหม่มาแนะนำด้วยล่ะ ...”

          “รันครับ   คือผมมีเคสที่อาการไม่ค่อยดีเท่าไหร่  ต้องเฝ้าดูอย่างใกล้ชิดหน่อย  วันนี้คงไปไหนไกลๆไม่ได้   ไว้วันหลังได้ไหม”   เขาโกหกหน้าตาย  พยายามไม่สบตาอีกคนมากนัก

            วิรัลหุบยิ้ม จับความผิดปกติได้ทันที  แต่ก็ฉลาดพอที่จะทำเป็นไม่สังเกต   เขายิ้มกลบเกลื่อน

            “ได้อยู่แล้ว   ร้านนี้อร่อยมากเลยนะดิม  ไว้วันหลังก็ได้  ถ้าอย่างนั้นดิมคงจะค้างที่นี่ล่ะสิ  งั้นผมขอไปหาอะไรกินกับเพื่อนๆล่ะกันนะ”  แฟนหนุ่มพยักหน้ารับ   เก็บความโล่งใจเอาไว้ไม่มิด    รดิศรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายมีเพื่อนหลายกลุ่มให้ไปแฮงค์เอาท์ด้วยเสมอ

             “จ้ะ   แล้วเดี๋ยวดึกๆผมโทรไปหา”   ดิมพูด   ชะโงกหน้าเข้าไปจูบแก้มอีกฝ่ายเหมือนเคย   รอจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายกลับออกไปแล้ว  จึงยกหูโทรศัพท์ภายใน โทรลงไปหาพยาบาลที่ดูแลวอร์ดผู้ป่วยพิเศษอยู่

            “สวัสดีครับคุณปุ่น  ผมหมอรดิศนะฮะ   รบกวนคุณปุ่นดูให้ผมทีว่าญาติของห้องหมายเลข 9 คุณดาวประดับ อยู่หรือเปล่าครับ   ผมอยากคุยด้วย”  พยาบาลสาวรับคำ  รีบไปดูให้ ครู่เดียวก็กลับมา พูดใส่โทรศัพท์ว่า

            “ไม่อยู่ค่ะ  รู้สึกจะไปรับลูกชาย  เพิ่งออกไปเมื่อกี้นี่เอง   ถ้ากลับมาแล้วให้ดิฉันโทรบอกคุณหมอให้ไหมคะ”  เพิ่งออกไปงั้นหรอ   ชายหนุ่มคำนวณเวลาที่อีกฝ่ายต้องใช้เดินทางเร็วรี่

          “ไม่เป็นไรครับ  ขอบคุณมาก”  ดิมวางสาย  เขารีบลุกขึ้นยืน  ถอดเสื้อกาวน์สีขาวตัวยาวแสนจะสะดุดตาออก   เหลือแค่เสื้อเชิ้ตเรียบกริบตัวในกับกางเกงแสล็คพอดีตัว    แค่นี้เขาก็กลายเป็นชายหนุ่มวันทำงานธรรมดาไม่ใช่ศัลยแพทย์แล้ว

            ชายหนุ่มใช้บันไดหนีไฟที่มีประตูเปิดข้างๆห้องของพักของข้าวตังพอดี   เขากลั้นใจเปิดประตูเข้าไปภายในห้องพักผู้ป่วยที่มีเพียงหญิงสาวร่างบอบบางนอนอยู่บนเตียง  เธอหันมามองเขา กระพริบตาอย่างแปลกใจ

            “คุณข้าวตัง   ดีขึ้นไหมครับ...”  เขาค่อยๆเข้าสู่เรื่องที่ต้องการอย่างแนบเนียน   เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง เรื่องราวในอดีตก็ค่อยๆปรากฎตรงหน้าเขา  คล้ายกับพรมผืนเก่าเก็บที่ถูกม้วนทิ้งเอาไว้ในห้องเก็บของ   และในวันนี้ถูกเจ้าของนำมาคลี่สะบัดออกอีกครั้งเพื่อทำความสะอาด

            รอยเว้าแหว่งบางส่วนทำให้ลวดลายบนพรมไม่สมบูรณ์  แต่ส่วนที่เหลือก็มากพอที่จะมองออกว่าลายเดิมของมันคืออะไร

            มากพอที่จะทำให้เขาอึ้ง...เงียบกริบไป

            “คุณหมอ...มีอะไรอยากถามตังอีกไหมคะ”    หญิงสาวที่ตอนเย็นดูอาการดีขึ้นมากแล้ว   เพราะฤทธิ์ยาหลายขนานถามซ้ำอีกรอบ   ทว่าคนฟังกลับพูดไม่ออก

            นิ่งอึ้งราวกับถูกค้อนเหล็กทุบเอาแรงๆ  รดิศใช้เวลานานกว่าจะหาเสียงของตัวเองเจอ

            “ไม่มีแล้วครับ   ไม่มี..”

            หญิงสาวมองหน้าคุณหมออย่างประหลาดใจ   เห็นใบหน้าคมคล้ำลงไปทันตาเห็นหลังจากที่เธอเล่าเรื่องจบก็ยิ่งแปลกใจ  เก็บความสงสัยเอาไว้เงียบๆ  เอาไว้พี่เตกลับมาค่อยถามก็แล้วกัน

            “ผมขอตัวก่อน  ขอบคุณมาก”  เสียงของนายแพทย์หนุ่มแหบพร่า และเบาแทบไม่ได้ยิน  ร่างสมส่วนลุกขึ้นจากเก้าอี้ข้างเตียง เดินออกไปจากห้องพักของเธอช้าๆ  คล้ายกับคนไม่มีแรง   ตรงข้ามกับขามาราวกับเป็นคนละคน

            ครู่ใหญ่ทีเดียวประตูห้องพักก็เปิดออกอีกครั้งพร้อมกับร่างเล็กกลมป้อมของเด็กชายเต้ที่เขย่งก้าวกระโดดเข้ามาเกาะเตียงมารดาทันที

“คุณแม่  เต้มาแล้วครับ”  เด็กน้อยพูด  ก้มลงให้แม่หอมแก้มฟอดใหญ่

พ่อของเด็กเดินหิ้วของตามเข้ามาทีหลัง  เขามองไปที่สองแม่ลูกยิ้มๆ  หญิงสาวรอให้อีกฝ่ายเก็บข้าวของเรียบร้อยค่อยเล่าเรื่องที่คุณหมอหน้าเข้มมาเยี่ยมให้ฟัง

ติณธรเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ

“แล้วเค้าถามว่าอะไรบ้าง”

            “ก็ถามเรื่องที่ตังผ่าตัดเมื่อคราวที่แล้ว”  เธอตอบ

            “ตังเล่าอะไรไปบ้าง  เล่าให้พี่ฟังได้ไหม”   หญิงสาวมองไปทางลูกชายแวบหนึ่ง  เตก็เข้าใจ  เต้เริ่มโตแล้ว  คงไม่เหมาะที่จะเล่าออกมาตอนนี้   เขาจึงเปลี่ยนเรื่อง  ชวนทั้งสองแม่ลูกทานข้าวเย็นแทน

            “กินข้าวกันดีกว่า  เต้หิวยังครับ”

          “หิวมาก เต้ไม่ได้กินขนมเลย จะรีบมาหาคุณแม่”  ได้ยินแค่นี้  คนเป็นแม่ก็ชื่นใจ  มีกำลังใจขึ้นมาก  เธอจับตามอง ‘สามี’ จัดอาหารใส่จาน   พิศดูใบหน้าเรียวขรึมแกมเศร้านั้น  นึกในใจเงียบๆ

            ‘ขอโทษนะคะ  พี่เต  แต่ตังต้องทำแบบนี้   ไม่อย่างนั้นตังอาจจะต้องเสียพี่ไปก็ได้  ยกโทษให้ตังนะคะ’

          ...


มาต่อจนจบตอนค่ะ
ขอบคุณมากที่ติดตามกันมานะคะ 
ช่วงนี้อัพช้าหน่อย  ขออภัยค่ะ
เจอกันตอนหน้านะคะ :katai2-1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-03-2017 11:52:43 โดย ็Hollyk »

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
อ้าวยัยนิ ถ้าอาการดีนิวอนโดนตบมากนะคะ
ส่วนรัน เกลียดค่ะ สั้นๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ polkadot

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
เพราะคนเห็นแก่ตัว 2 คน ทำลายคนโง่ๆ อีก 2 คนอย่างง่ายดาย

ออฟไลน์ Apple_matinie

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1564
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2
 :z3: :z3: :z3:
สงสารนายเอกวุ้ย
เรื่องนี้คนที่เห็นแก่ตัวที่สุดไม่ใช่ใครจากไหนค่ะ
ข้าวตังไง จะใครล่ะ หึ  :m16:

ออฟไลน์ kutelittlepoly

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 190
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
งง กับชื่อตัวละครนิดหน่อยค่ะ เดี๋ยว ดิม กัน ตั้ม

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
งง กับชื่อตัวละครนิดหน่อยค่ะ เดี๋ยว ดิม กัน ตั้ม


ขออภัยด้วยนะค้าา  พอดีเป็นเรื่องที่นำมารีไรท์ใหม่ค่ะ  เปลี่ยนชื่อตัวละครใหม่ด้วยก็เลยอาจจะมีผิดพลาดไปบ้าง
ขอบคุณนะคะ  :mew1:

ออฟไลน์ ปลายฝัน

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
มีความเห็นแก่ตัวกันทุกคน

ออฟไลน์ เจเจจัง

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ตอนแรกด่าแต่รัน ตอนนี้ขอด่าตังด้วยละกัน. เตดีกะแกมาตลอดรับเป็นพ่อให้ลูกแกด้วย. แกทำงี้เหรอ จะตายอยู่แล้วแทนที่จะคิดได้ หาคนมาดูแลเตต่อ เหอะเห็นแก่ตัวพอกันทั้งรันะทั้งตัง ไรท์เราหวังว่าตังและรันจะได้รับผลจากการกระทำบ้างนะ ขอหนักๆด้วย

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
แต่ละคน เฮ่ย....เหนื่อยแทนอ่ะ

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
  หมอดิมเพิ่งมาฉลาดถามความจริงเอาตอนนี้เหรอ จะแต่งงานอีกไม่กี่วันล่ะนี่
  รออ่านตอนต่อไปคับ

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
ตอนเธอกอดฉันหัวใจเธอกอดใครที่รัก
เธออยู่กับฉันแล้วใจเธอ มันยังคงเป็นของใคร
อย่าฝืนเลยที่รัก ถ้าเธอรักใคร พาร่างกายเธอตามไป
ไปซะไปหาคนนั้นของเธอ
#ใจเธอกอดใคร

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk

เพราะหัวใจบอกว่า...หน่วง

 

 

 

 

            น้ำตาไหลออกมาทางหางตา  หญิงสาวที่มีสายน้ำเกลือโยงที่แขนสะอื้นเบาๆ ทว่าได้ยินชัดเจนในความเงียบ   ดังมากพอที่จะปลุกชายหนุ่มร่างโปร่งระหงที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟาใกล้ๆให้ลืมตาขึ้นมา

            “เป็นอะไรไปตัง  เหนื่อยเหรอ  หรือว่าปวดตรงไหน”  เขาผุดลุกขึ้น เดินมาเกาะที่ขอบเตียง  ถามภรรยาด้วยน้ำเสียงห่วงใย  เช่นเดียวกับสายตาที่ทอดมองอย่างเอื้ออาทร  และนั่นยิ่งทำให้อีกฝ่ายร้องไห้หนักขึ้นอีก

            “เกิดอะไรขึ้นตัง  ร้องไห้ทำไม”  คนเป็นห่วงยิ่งห่วงมากขึ้นกว่าเดิม   แม้ว่าในระยะหลังมานี้หญิงสาวจะร้องไห้อยู่บ่อยครั้ง   แต่ไม่มีครั้งไหนที่ร้องไห้หนักจนตัวโยนเยี่ยงนี้

            เตก้มลงโอบน้องสาวเข้ามาแนบอก   กดปลายคางลงกับหน้าผากคล้ำเนียนนั้น  ข้าวตังกอดตอบแน่น

            “ตัง  ฮึก   ตังฝันร้ายค่ะพี่เต   เลยตกใจตื่น”  เธอพูดแกมสะอื้น   ชายหนุ่มหันไปมองร่างของลูกชายที่นอนอยู่บนเตียงเสริมไม่ไกลนัก  เห็นยังเด็กน้อยขยับตัวพลิกตัว

            “ชู่ว  ไม่เอาน่ะ  แค่ฝันเอง  อย่าร้องไห้เลย เดี๋ยวลูกตกใจตื่นขึ้นมานะ”  เขาลูบหลังปลอบโยนเธอ 

            “แต่ตัง...ตังกลัวว่าฝันร้ายจะกลายเป็นจริงขึ้นมา  กลัวมาก  ฮือ”  หยดน้ำตาไหลรินลงมาอีกตามสองข้างแก้ม    พี่ชายลอบผ่อนลมหายใจเบาๆ  หันไปลากเก้าอี้มานั่งข้างๆเตียง กุมมือคนป่วยเอาไว้แน่น

            “กลัวอะไรเป็นเด็กๆไปได้   ไหนเล่ามาซิว่าตังฝันว่าอะไร  แล้วพี่จะทำนายฝันให้  พี่ทายแม่นนะตังก็รู้”  ชายหนุ่มพยายามพูดติดตลก 

            “ตัง...ฝันว่าพี่เตจะทิ้งตังไปค่ะ”  เธอพูดเสียงอู้อี้  สูดน้ำมูกนิดหนึ่ง   คนฟังเลิกคิ้ว

            “พี่น่ะหรือ   แล้วพี่จะทิ้งตังไปไหนล่ะ”  ย้อนถามกลับยิ้มๆ 

            “ตังฝันว่ามีคนมาจูงมือพี่ไป  แล้วพี่เตก็ไปกับเค้า....ทิ้งตังกับลูกเอาไว้ในบ้าน   ตังพยายามรั้งเอาไว้  ฮึก  พี่เตก็ไม่หันมามองเลย   สุดท้ายก็เหลือแค่ตัง  กับเต้สองคน”  น้ำตาไหลพรากออกมาอีก 

            “ใครจะมาจูงมือพี่ไปได้เล่า  ตัง  ฝันอะไรไปใหญ่แล้ว  ชีวิตพี่มีแค่เธอกับเต้เท่านั้น  คนอื่น...ไม่มีความหมายหรอก  อย่าคิดมากเลย   มันไม่ใช่เรื่องจริง  เป็นแค่ฝัน   ไม่มีทางเป็นเรื่องจริงด้วย”  เขาพูดเสียงแหบ   ย้ำประโยคสุดท้ายหนักแน่น

            ดวงตาคมดำขลับคู่นั้นสบตาเขาอย่างค้นคว้า   ราวกับต้องการให้แน่ใจว่าเขาหมายความอย่างที่พูดจริง

            “สัญญากับตังได้มั้ยคะ   ฮึก  ว่าไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น  พี่เตจะไม่ทิ้งตังกับเต้”  ท่าทางของเธอจริงจังจนชายหนุ่มแปลกใจ

          “ตังพูดอย่างกับว่ามันจะมีเรื่องอะไรงั้นแหละ”   ข้าวตังหลบตาของเขาทันที  เธอเสมองไปที่ลูกชายคนเดียวที่กำลังหลับสนิท  ไม่มีทีท่าว่าจะสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะเสียงสนทนา

            “ตังไม่รู้...ตังก็พูดเผื่อไว้ก่อน   ตังไม่รู้จริงๆว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น    ตังเลยกลัว...พี่เตสัญญากับตังได้มั้ย   ต่อให้ตังผ่าตัดแล้วเกิดตายขึ้นมา  พี่เตก็ต้องไม่ทิ้งเต้นะ”

          “พูดอะไรแบบนั้นตัง!”   คนฟังอุทาน  เขาเชยคางน้องสาวขึ้นมา  ดุเสียงเข้ม “อย่าพูดอะไรเป็นลางแบบนี้อีก  ตังจะต้องหายดี   ต้องอยู่ต่อให้พี่ดูแลไปอีกร้อยปี  เราจะอยู่เป็นคุณเทียด เลี้ยงหลานให้เจ้าเต้ด้วยกัน  เข้าใจหรือเปล่า”   หญิงสาวยิ้มออกมาได้บางๆ

            “ถือว่าพี่เตสัญญาแล้วนะ”

            “พี่สัญญา”  ชายหนุ่มพูด  “แต่ตังก็ต้องสัญญากับพี่ด้วยเหมือนกัน  ว่าจะต้องอยู่ต่อไปนานๆ  สัญญาไหม”

            “โธ่   เรื่องแบบนั้นจะไปสัญญาได้ยังไงกัน”

            “เขาบอกว่า  ถ้าเราคิดอะไร   ร่างกายจะตอบสนองได้อย่างนั้นล่ะ   เอาละ  นี่ดึกมากแล้ว  นอนได้แล้วคนดี  ประเดี๋ยวนอนไม่พอ  จะโดนหมอดุเอานา”  นักเขียนหนุ่มพูด  ช่วยขยับตัวน้องสาวให้เอนลงนอน   

            “วันนี้หมอก็มาหา  เออใช่ ตังยังไม่ได้เล่าให้พี่เตฟังเลยว่าหมอดิมคุยเรื่องอะไรบ้าง”   มือที่ช่วยดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้น้องสาวชะงักไปนิดหนึ่งแทบไม่สังเกต    รอยยิ้มบางๆบนใบหน้าเรียวหวานจางลงเหมือนดอกไม้ที่ถูกแดด   ทว่าเพียงครู่เดียวก็กลับมาเป็นปกติ   เตหันไปถามน้องสาวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

            “หมอเขาว่าอย่างไรบ้างล่ะ”

            “เขาก็ถามเรื่องทั่วไป  แบบตังทำงานอะไร พักผ่อนพอมั้ย วันล่ะกี่ชั่วโมง  โรคประจำตัว  การผ่าตัดคราวที่แล้วเป็นไงบ้าง  ทำไมถึงผ่า  ประมาณนี้”  หญิงสาวพูดเรื่อยๆ   ลอบสังเกตอากัปกิริยาของอีกฝ่ายไปด้วยเงียบๆ “หลังๆก็ถามว่าตังแต่งงานเมื่อไหร่   มีลูกตอนไหน   ตังก็เลยเล่าให้เขาฟังหมด”

          “ตังเล่าแค่ไหน  ทั้งหมดเลยงั้นหรอ”  คนฟังเผลอหันขวับมาถามเสียงดัง   แล้วก็ลดเสียงลงอย่างรู้ตัว “เอ้อ  เล่าเรื่องเต้ด้วยหรือเปล่า”

          ข้าวตังพยักหน้ารับ    ตั้งเตใจหายวาบ

            “ตังเล่าหมดเลย  หมอดิมบอกว่ายิ่งตังเล่ามากเท่าไหร่ ก็จะมีดีผลต่อการวางแผนการรักษามากเท่านั้น  และหมอก็จะเก็บรักษาเอาไว้เป็นความลับ  ไม่มีใครรู้แน่นอน....หมอดิมเค้าน่ารักนะพี่  เค้าดูใส่ใจตังมากๆเลย”

          “ตังก็เลยเล่าให้ฟังหมด..”  เตต่อประโยคเสียงแผ่ว   เขามองหน้าอีกฝ่าย  ไม่อยากเชื่อหู   แววตาของตังบอกเขาว่าที่เธอพูดมาเป็นความจริงทุกคำ

            “ไม่เป็นไรหรอกพี่เต   ถึงหมอเขารู้ก็ไม่เป็นไรไม่ใช่หรือ....พี่เตกังวลเรื่องอะไร?”  เธอถาม  คิ้วขมวดน้อยๆด้วยความสงสัย  เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายเผือดซีดลงแล้วกลับแดงเข้ม

            “พี่...เรื่องตังกับเต้มันสำคัญกับการรักษาตรงไหน  พี่ไม่เข้าใจ”  เขาพูดตะกุกตะกัก

            “ตังไม่ทราบเหมือนกัน   พี่ลองไปถามคุณหมอเค้าดูเองสิ  แล้วมาเล่าให้ตังฟังด้วยนะ   ความจริงมันก็แปลก...พอมาลองคิดดูแล้ว   ตอนที่ตังเล่าเรื่องเต้ให้คุณหมอฟัง   เขาเงียบไปเลย   หน้าเครียดสุดๆเล่นเอาตังตกใจ  ไม่รู้พูดอะไรผิดหรือเปล่า” เธอลดเสียงลงคล้ายพูดกับตัวเอง   เห็นอีกฝ่ายเม้มปากแน่นราวกับพยายามกลั้นสะกดกลั้นอะไรสักอย่างเอาไว้

            “พี่เตเป็นอะไร   ไม่ต้องคิดมากหรอกค่ะ    หมอเค้าก็คงถามไปอย่างนั้น  อาจจะเครียดเรื่องอื่น”

            ชายหนุ่มเห็นสายตาสงสัยของน้องสาวก็รู้สึกตัว  เขากลบเกลื่อนสีหน้าของตนเองให้เรียบสงบ  หารู้ไม่ว่าไม่อาจซ่อนแววตาสับสนกดดันจากสายตาคมไวของน้องสาวได้   เตห่มผ้าคลุมร่างกายบอบบางของเธอให้จนถึงปลายคาง  โน้มตัวลงจูบที่หน้าผากเบาๆ เหมือนทุกครั้งก่อนที่จะกล่าวราตรีสวัสดิ์

            “นอนเถอะนะน้องพี่  ฝันดีครับ”

            หญิงสาวบีบมือของเขาแน่นแล้วคลายออก  เธอดูผ่อนคลายลง  สักพักก็หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย  ทิ้งให้ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างเตียงของเธอ  พิศดูใบหน้ารูปหัวใจ คิ้วคางคมเข้มแบบไทยแท้  ขนตาหนาเป็นแพทาบอยู่บนผิวแก้มเนียนละเอียดอยู่เงียบๆ

            ‘ทำไมพี่ถึงไม่รักเธอนะตัง   ไม่อย่างนั้นเรื่องทุกอย่างก็คงไม่ยากเย็นแบบนี้’

          เหนือขึ้นไปจากห้องพักผู้ป่วยสองชั้น  ยังคงมีชายหนุ่มอีกคนหนึ่งนั่งเอนพิงพนักเก้าอี้  เงยหน้าขึ้นมองเพดานห้องทำงานนิ่งค้างอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานานไม่ขยับ

            พูดให้ถูกก็คือ  เขาไม่มีแรงจะขยับตัวมากกว่า

            คำพูดของหญิงสาวคนนั้นมันทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกผลักตกลงไปทะเลลึก  รอบด้านเต็มไปด้วยความกดดันทุกทิศทุกทาง   พยายามดิ้นรนหาทางหนีเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถหนีรอดแรงบีบเค้นนั้นได้   ขณะที่ออกซิเจนที่ใช้หายใจก็ลดน้อยลงทุกที   เขามองเห็นตัวเองดิ้นทุรนทุรายอยู่ใต้น้ำอย่างน่าสมเพช

            มันเร็วเกินไป  ไม่สิ  มันช้าเกินไปตะหาก   ถ้าเขารู้เรื่องนี้ตั้งแต่ตอนนั้น   ถ้ารู้เรื่องนี้ก่อนที่เขาจะทำอะไรโง่ๆลงไป...ถ้าเขารู้...ก่อนที่จะทำแบบนั้นกับตั้ม...ถ้าเขา...

            ‘พี่เตเป็นคนเดียวที่ช่วยตังได้   ตอนนั้นตังไม่เหลือใครเลย   ก็มีพี่เตเนี่ยแหละที่คอยดูแล  เป็นกำลังใจให้ทุกอย่าง   ตังไม่รู้จะขอบคุณเค้ายังไง  เค้าไม่ได้เป็นพ่อของลูกตัง  แต่เขาก็รับเป็นพ่อ...’



                                  *****************************************

            “พี่ดิมทำอะไรอยู่  ว่างคุยแล้วเหรอ”  เสียงแหบๆที่ได้ยินมาตามสายมีแววยินดีเจืออยู่  แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะเหน็บกลับไปด้วยความน้อยใจ

          “ว่างสิ  พอว่างพี่ก็โทรหานายทันทีนั่นล่ะ  ไม่เหมือนนายหรอก  ลืมพี่ไปแล้วหรือเปล่า” 

          “พี่ตะหากล่ะที่ลืมผมไปแล้ว  ผมโทรไปเท่าไหร่ก็ไม่เคยโทรกลับมาเลยสักครั้ง”  ปลายสายโต้กลับมา

          “นายโทรมาวันไหน  เต..พี่ไม่เคยเห็นเลยว่านายโทรมา”  เขาพูดความจริง

          “มัวแต่ไปเที่ยวก็เลยไม่เห็นหรือเปล่า   สนุกมั้ยล่ะ  ไหนว่าเรียนหนักไม่มีเวลาไง”   เตคงหมายถึงเหตุการณ์ที่เขาพาคุณแม่ไปเที่ยวปราสาทหินเมื่ออาทิตย์ก่อนกระมัง

          “ก็แม่พี่มาเยี่ยม  นานๆทีท่านจะมา  แล้วเพื่อนก็ขอแลกเวรพอดี  พี่ก็เลยว่างพาแม่ไปเที่ยว  แค่วันเดียวเท่านั้นแหละ  นายพูดเหมือนพี่มีเวลาไปเที่ยวทุกวัน  รู้หรือเปล่าว่าวันนึงพี่ยุ่งมากแค่ไหนน่ะฮึ”  เขาอธิบาย  อดพูดเสียงเข้มในตอนท้ายไม่ได้

          “ผมก็ยุ่งเหมือนกันล่ะ  ไม่ได้มีแค่พี่คนเดียวที่ยุ่งนี่”

          “ยุ่งมากขนาดไม่โทรหาพี่เป็นเดือนเลยเนี่ยนะ  อืม  จะเอาเกียรตินิยมใช่ไหม  พี่เข้าใจล่ะ”

          “พี่ดิมอย่ามาประชดผม   ผมโทรหาพี่ตลอดอ่ะ  มีแต่พี่แหละที่ไม่เคยรับ  ไม่เคยโทรกลับ  ไม่เคยติดต่ออะไรกลับมาเลย!  ทำเหมือนผมไม่มีตัวตน  ไม่ใช่แฟนพี่  แต่เป็นแค่คนเคยรู้จักกัน   หรือว่าพี่เห็นผมเป็นแบบนั้น...”  ตั้งเตพูดเสียงขาดเป็นห้วงๆ  “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องโทรมาแล้วล่ะ  ผมไม่อยากรบกวนเวลาอันมีค่าของพี่หรอก  ช่างเถอะ”

          ติณธรตัดสายเสียอย่างนั้น  หางเสียงมีรอยสะอื้นปนน้อยๆจนเขาใจหาย  ยังไม่ทันได้พูด  อีกฝ่ายก็ชิงวางหูก่อน  รดิศถอนหายใจยาว  เขาอุตส่าห์ลดทิฐิของตัวเองลงเพื่อโทรหาอีกฝ่ายก่อนแล้วแท้ๆ

          ทำไมเตไม่ฟังอะไรเลยล่ะ

          “พี่ดิม  เสาร์นี้อาจารย์อนุญาตให้หยุดพักได้  รันจะไปกรุงเทพฯ  พี่จะไปด้วยไหม”  รุ่นน้องที่กลายมาเป็นเพื่อนสนิทถามเขายิ้มๆ  หลังจากที่รอให้เขาคุยโทรศัพท์จนเสร็จ

          “จริงหรอ  ไปสิ”  จังหวะเหมาะจริงๆ  เขาจะได้ไปเซอร์ไพรซ์เตที่นู่นเลย   น้องจะต้องดีใจแน่ๆแล้วก็หายโกรธเขา   ไม่ได้เจอกันตั้งนาน   คิดถึงเป็นบ้า

          แล้ววันที่เขารอคอยก็มาถึง.....

          นักศึกษาแพทย์หนุ่มปีสุดท้ายสะพายเป้ตรงไปที่หอพักของคนรักทันทีที่ถึงกรุงเทพฯ  เขาอยากไปหาเตก่อนกลับไปเจอหน้ามารดาด้วยซ้ำ   เด็กหนุ่มลงจากรถเมล์เดินเข้าซอยไปอย่างตื่นเต้น

          เราไม่เจอกันเกือบ 5 เดือนแล้ว  ไม่รู้ว่าเตจะเป็นอย่างไรบ้าง

          “ชื่อรดิศ มาพบนายติณธร ห้อง 669 ครับ”  เขาแจ้งกับป้าแม่บ้านที่เขม้นมองเขา  เธอพยักหน้า  ยกหูโทรศัพท์เรียกไปที่ห้องพักที่ต้องการ  รออยู่นานทว่าไม่มีใครรับสาย

          “รอหน่อยนะ  คงไม่อยู่”

          “เขาไปเรียนเหรอครับ”  เขาส่งยิ้มหวาน อวดลักยิ้มสองข้างแก้มประจบผู้สูงวัยเอาไว้ก่อน   ดูเหมือนว่าจะได้ผล  ป้าเต็มใจจะตอบเขามากกว่าเดิม

          “น่าจะใช่นะ  เห็นใส่ชุดนักศึกษาออกไปเมื่อเช้า”   ได้ยินดังนั้น  ดิมจึงเดินออกไปหาอะไรรองท้องก่อน เพราะยังไม่ได้กินอะไรเลยมาตั้งแต่เช้า   ท้องอิ่มก็กลับมานั่งรออยู่ใต้หอพักของคนรัก

          เผลอหลับไปหลายพัก สะดุ้งตื่นเพราะมีมือของใครบางคนมาสะกิดแรงๆที่หัวไหล่  ลืมตาขึ้นมาเจอใบหน้าเรียวหวานที่ซูบลงไปเล็กน้อย  แต่รอยยิ้มนั้นยังคงเหมือนเดิม   เหมือนที่ผ่านๆมา

          “เต!!  กลับมาแล้วหรอ”  เขาเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงดัง  ผุดลุกขึ้นยืนแล้วดึงร่างของอีกฝ่ายเข้ามากอดเต็มรัก

          “ดีใจจัง  พี่ดิมมาได้ไงเนี่ย”  ตั้งเตพูดอู้อี้อยู่กับอกเสื้อของเขาก่อนจะร้องไห้ออกมาจนเขาตกใจ

          “เป็นอะไร  ร้องไห้ทำไม โธ่  ไม่เอาน่า”  เรากอดกันแน่นมาก  ให้สมกับความคิดถึงที่เก็บเอาไว้มานาน  เตร้องไห้ออกมาอีก  สูดน้ำมูกฟืดฟาด

          “เป็นอะไรไปคนดี   ที่ร้องนี่ดีใจใช่มั้ย”  เขาจับต้นแขนของเตเอาไว้  ก้มลงถาม   อีกฝ่ายพยักหน้า  น้ำตาไหลเต็มสองข้างแก้ม  สะอื้นน้อยๆ

          “คิดถึงพี่มากจริงๆ  ฮือ  รู้รึเปล่า”

          กลายเป็นว่าเขาต้องเป็นฝ่ายปลอบโยนอีกฝ่ายอยู่นานกว่าเตจะเลิกร้องไห้เป็นท่อประปาแตก  ตรงข้ามกับที่คิดเอาไว้โดยสิ้นเชิง  นึกว่าจะต้องมาง้อเด็กเสียแล้วเชียว  แบบนี้ก็ดีเหมือนกันแฮะ

          “คิดถึงเหมือนกัน”  เขาก้มลงไปกะจะประทับจูบให้หายคิดถึง  ร่างโปร่งบางก็ดันอกเขาแรงๆ

          “ฮื้อ  นี่ใต้หอนะ คนเยอะแยะ”

          “งั้นขึ้นไปข้างบนได้มั้ย”  เสียงของนักศึกษาแพทย์หนุ่มลิงโลดอย่างออกนอกหน้า  แต่นั่นยังไม่เท่ากับนัยน์ตาคมที่ฉายแวววิบวับเจ้าชู้ขึ้นมาทันที

          เรื่องอะไรจะให้ขึ้นไปล่ะ...

          หน้าร้อนขึ้นมาเพราะเขิน  เขาเมินหลบสายตาของพี่ดิมอีกครั้ง  ยกมือขึ้นป้ายน้ำตาออกง่ายๆ

          “นั่งคุยตรงนี้แหละ  ข้างบนนั่นไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่”  มีหลายเหตุผลทีเดียวที่ทำให้เขารู้สึกไม่สะดวก   แต่ยังก่อน   เพิ่งเจอกันแท้ๆ  คุยเรื่องที่ทำให้เบิกบานสบายใจก่อนดีกว่า

          “แล้วนี่พี่ดิมมาได้ยังไง  ไม่มีเรียนหรอ”  เขาถามปัญหาข้องใจก่อนอันดับแรก   พี่ดิมยิ้ม  ยักคิ้วให้เขา

          “โดดมา  ล้อเล่น  อย่าทำหน้าดุงั้นสิ  อาจารย์ให้หยุดหลังสอบเสร็จน่ะ   พี่เลยรีบมาหาเต  ว่าแต่นายเถอะ  วันนั้นวางหูใส่พี่ทำไม”  พี่ดิมถามกลับ

          “เตขอโทษครับ  วันนั้นไม่สบายใจหลายเรื่องก็เลย...”  เขายกมือขึ้นไหว้   ฝ่ายนั้นรับไหว้แล้วรวบมือของเขาไปกุมเอาไว้

          “พี่ไม่เคยโกรธนายได้นานอยู่แล้ว  ไม่งั้นจะวิ่งมานี่เหรอ  เอาละ  ไม่สบายใจเรื่องอะไร  เล่าให้พี่ฟังซิ”  พี่ดิมก็ยังเป็นพี่ดิมคนเดิมที่ห่วงใยเขาเสมอมา    หัวใจของเขาเริ่มกลับมาอบอุ่นขึ้นทีละนิด

          เขายังไม่อยากให้พี่ดิมพลอยไม่สบายใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่องของเขาไปด้วย

          “พี่ดิมเล่าให้เตฟังก่อนดีกว่า  ไปอยู่ที่นู่นเป็นไงบ้าง  เรียนหนักมั้ย  รู้สึกว่าพี่ผอมไปนะ”  แค่เห็นอีกฝ่ายแวบเดียวเขาก็บอกได้ทันทีว่าฝ่ายนั้นคงน้ำหนักลดไปหลายกิโลกรัม  ดูจากสันกรามที่ขึ้นเด่นทว่ากลับเพิ่มความเข้มคมให้แก่ใบหน้าของเค้ามากขึ้นนั้นก็ได้

          “นายก็ผอมลงไปเหมือนกัน  ตั้งเต...พี่อยู่นู่นจริงๆก็สบายดีนะ  มีแม่บ้านหอคอยดูแลทุกอย่าง  พวกพี่มีหน้าที่ตื่นขึ้นมาทำงานอย่างเดียว   พยาบาลที่นู่นก็ดี  ทำงานเก่ง  ทุ่นแรงเราไปได้เยอะ  ขึ้นเวรก็วันเว้นสองวัน  สอบทุกสามอาทิตย์  เนื้อหาก็คล้ายๆเดิมล่ะ เน้นปฏิบัติมากกว่า อาจารย์ที่นู่นดีนะ  ดูแลเราดีมากๆ  จริงๆดีทุกอย่างแหละ แต่อาหารไม่ค่อยถูกปากเท่าไหร่  ต้องอาศัยฝากท้องเอาไว้กับ.....”

          เตนั่งฟังพี่ดิมเพลิน  เสียงนุ่มๆฟังรื่นหู  แววตาของพี่ดิมดูสดใสเวลาพูดถึงงานต่างๆที่ต้องทำ...ท่าทางพี่ดิมมีความสุขกับที่นั่นจริงๆ  ไม่ได้ลำบากยากแค้นเหน็ดเหนื่อยขนาดนั้น   เห็นแบบนี้เตก็ค่อยเบาใจแล้วก็พลอยมีความสุขไปด้วย

          พี่ดิมเล่าเรื่องตลกของคนที่เจอ  เรื่องเพื่อน  เรื่องคนไข้  ฯลฯ  ทุกเรื่องที่พี่เค้านึกออก และอยากให้เตได้รู้ด้วย  พี่ดิมเล่าออกมาหมด




เดี๋ยวมาต่อ
พักกินข้าวแปบบบ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ ชมรดา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk



“......สรุปว่าคืนนั้นไม่มีใครได้นอนเลย  ต้องคอยสะดุ้งตื่นตลอด กลัวแมลงสาบไต่หน้า  ฮ่าๆ  รันถึงขั้นเอาหมวกไหมพรมมาคลุมหน้านอนเลยล่ะ  พี่ลองทำดูแล้วหายใจไม่ออก  ไม่รู้เขาทำได้ไง”  พี่ดิมหัวเราะออกมาอีก  แล้วหยุดหัวเราะไปดื้อๆ  หันมามองหน้าเขา

          “ที่นั่นดีจริงๆนะ  เสียอย่างเดียวคือ ไม่มีนาย....เต”  สายตาของพี่ดิมที่ใช้มองเขามีแววลึกซึ้งอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

          อีกฝ่ายกุมมือของเขาเอาไว้ไม่ยอมปล่อยตั้งแต่แรกพบหน้ากัน จนผ่านมาหลายชั่วโมงแล้ว  พระอาทิตย์ตกดิน  ท้องฟ้าข้างนอกมืดสนิท

          “แล้วอยู่ที่นี่เป็นไงบ้าง  นายไม่เห็นเล่าเท่าไหร่เลย  มีปัญหาอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า  ปรึกษาว่าที่คุณหมอคนนี้ได้นะครับ”

          เตขยับจะเล่า  แต่ก็เปลี่ยนใจ

          พี่ดิมเรียนหนักมากแล้ว  ปัญหาพวกนี้เขาสามารถแก้เองได้  ไม่จำเป็นต้องให้พี่ดิมต้องมาเดือดเนื้อร้อนใจไปด้วยหรอก   เขารู้ดีว่านิสัยพี่ดิม ลงถ้าได้รู้เรื่องเข้าละก็  เป็นต้องช่วยสุดตัวแน่นอน

          อีกสองเดือนเอง...

          “เตอยู่ที่นี่ก็เหมือนเดิมล่ะพี่  ไม่ค่อยมีอะไรแปลกใหม่หรอก  ตื่นเช้าไปเรียน  อ้อ มีเพิ่มมาคือปีสุดท้ายต้องทำวิจัย...”  เขาเล่าเรื่องของตัวเองไปเรื่อยๆ  ระวังไม่ให้มีส่วนไหนของเรื่องไปเกี่ยวพันกับปัญหาใหญ่เข้า

          พี่ดิมนั่งฟังยิ้มๆ  เขาเป็นผู้ฟังที่ดีเสมอ

          “แล้วน้องสาวของนายล่ะ  ชื่ออะไรนะ  ขอโทษทีพี่จำชื่อไม่ได้”

          “อ๋อ  ก็ย้ายมาอยู่ที่นี่แล้วล่ะ  เรื่อยๆ ไปตามเรื่องตามราว”  เขาปดแล้วเปลี่ยนเรื่อง “...ที่นี่ก็ดีทุกอย่าง  เสียอย่างเดียวคือคิดถึงพี่ดิมเหลือเกิน”  เขาพูดออกมาจากใจเช่นกัน  พี่ดิมอาศัยจังหวะที่เขาเผลอตัว  คว้ามือเขาขึ้นไปแตะริมฝีปาก  จูบที่กลางฝ่ามือของเขาแรงๆ

          “ไม่มีใครเห็นหรอกน่า  ถึงเห็นก็ช่างเถอะ   อีกแค่สองเดือนเท่านั้น  เราก็จะเรียนจบแล้ว ...ตั้งเต   พี่รู้ว่านายอยากไปเป็นครูบนดอยใช่มั้ย  พี่จะไปด้วย  แพทย์ชนบทยังขาดแคลนอีกมาก”   คำพูดของดิมทำให้หัวใจของคนฟังพองโต

          นักศึกษาแพทย์ปีสุดท้ายที่เต็มไปด้วยความหวังและอุดมการณ์อันแน่วแน่พูดซ้ำอีกครั้ง

          “เรียนจบแล้ว...เราแต่งงานกันนะ”

          ตั้งเตน้ำตาคลอ พยักหน้ารับ  บีบมือของพี่ดิมเอาไว้แน่น  เขารู้สึกตื้นตันจนพูดไม่ออก  ความคิดที่จะเล่าเรื่องของน้องสาวจางหายไปกับสายลม   นี่ไม่ใช่เวลาที่จะพูดเรื่องหนักใจแบบนั้นเลยเลยสักนิด  ถึงพูดไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรหรอก

          อนาคตของเราสองคนมองเห็นอยู่ตรงหน้าแล้ว  รอให้ก้าวขาเดินออกไปบนเส้นทางโรยด้วยกลีบกุหลาบเท่านั้น

          เราคุยอะไรกันอีกบ้าง เขาก็จำไม่ได้  รู้ตัวอีกทีก็เกือบเช้า  ไม่ได้นอนทั้งคืน แต่ก็ไม่ง่วงเลย  เราร่ำลากันหลายรอบกว่าพี่ดิมจะตัดใจกลับไปแวะเยี่ยมมารดาที่บ้าน และตรงกลับโรงพยาบาลที่ต่างจังหวัดเย็นวันนั้น

          คำพูดเดียวของพี่ดิมที่ทำให้เขามีแรงฮึดขึ้นมา  ท่ามกลางปัญหาทั้งเรื่องน้องสาว  เรื่องการเรียน และเรื่องการเงินที่เริ่มกลายเป็นปัญหา  เมื่อไม่มีรายรับ  มีแต่รายจ่ายที่เพิ่มขึ้นเพราะไอ้โชนย้ายออกจากหอไปดื้อๆเมื่ออาทิตย์ก่อน  ไม่มีการบอกกล่าว   ทิ้งให้เขาต้องหาเงินมาจ่ายค่าห้องพักคนเดียว ไม่มีคนหารด้วยอีกแล้ว 

          จะหาใครมาเช่าด้วยก็ไม่ไว้ใจ เพราะมีน้องสาวพักอยู่ด้วยอีกคน

          อีกสองเดือน  เราจะไปอยู่กับพี่ดิมแล้ว  ถึงตอนนั้น เขาคงจะได้เป็นครูสมใจ  และคงมีเวลาทำงานอดิเรกที่ชอบ  มีบ้านเป็นของตัวเอง  มีสวนดอกไม้รอบบ้านให้เดินเล่นกับพี่กัน  อากาศบนดอยคงจะสะอาดสดชื่นมากแน่ๆ   แค่นึกก็หัวใจเต้นแรงแล้ว

          “พี่เต....ตังขอโทษค่ะ  พี่เตนั่งรอตังอยู่ใช่ไหม”  เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นด้านหลัง  ตั้งเตสะดุ้ง  หันไปมองเห็นน้องสาวของตนยืนก้มหน้าอยู่ 

          จริงสิ....นี่เช้าแล้วนี่ ข้าวตังไปไหนมา? เขาก็มัวแต่คุยกับคนรักเพลินจนลืมไปเลยว่าน้องสาวยังไม่กลับบ้าน

          “เกิดอะไรขึ้นตัง  ทำไมเพิ่งกลับเอาเช้าป่านนี้”   ติณธรถามเสียงดุ  เขาคงต้องเข้มงวดกับเธอให้มากกว่านี้เสียแล้ว   แค่นั้นน้ำตาของสาวน้อยก็ไหลรินลงมาอาบแก้ม

          เธอสะอื้นฮัก

          “ไม่ต้องมาร้องไห้  กลับขึ้นไปบนห้อง  เราคงต้องคุยกันจริงๆเสียทีแล้วล่ะ”   สาวน้อยเดินร้องไห้ขึ้นไปบนห้องพัก  ส่วนเขานึกหาคำพูดเหมาะๆที่จะปลอบใจเธอให้หายเฮิร์ท

          เธอคงยังเสียใจเรื่องที่ก้องกลับไปหาแฟนเก่า   ทำไมยังทำใจไม่ได้อีกนะ  เรื่องมันผ่านไปเกือบสองเดือนแล้ว...คิดในใจอย่างหงุดหงิด  เปิดประตูเข้าไปในห้อง  เห็นน้องสาวนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น

          “ลงไปนั่งที่พื้นทำไม  ขึ้นมานั่งบนเก้าอี้สิตัง”  เผลอพูดเสียงอ่อนเพราะความสงสาร  เขาเดินไปนั่งบนเตียง ประจันหน้ากับน้องสาว 

          เด็กสาวเงยหน้าขึ้น  สองตาแดงก่ำ บวมช้ำบอกว่าผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก   ทำเอาพี่ชายใจอ่อนยวบ

          “เป็นอะไรไปตัง  พูดกันดีๆก็ได้  ไม่ต้องร้องไห้ พี่ไม่ฆ่าเธอหรอกนะแค่ไม่กลับบ้านคืนเดียว...”  เสียงของเขาขาดหายไปในลำคอ  เพราะเด็กสาวปล่อยโฮออกมาอีกรอบ   เธอยกมือขึ้นปิดใบหน้า  ก้มลงไปจนแนบพื้นกระเบื้อง

          เตเริ่มใจเสีย  ท่าทางของตังบอกเขาว่าเกิดเรื่องผิดปกติอะไรขึ้นสักอย่าง   ที่หนักหนาเกินกว่าที่เด็กอายุ 18 ปีจะรับมือไหว

          เขาขยับลงมานั่งข้างเด็กสาวที่พื้นห้อง ยกมือขึ้นลูบหลังไหล่บอบบางที่สั่นไหวนั่นเบาๆ   ปล่อยให้เธอร้องไห้อยู่นานจนพอใจ  ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน

          “พี่ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น  แต่พี่อยู่ข้างตังนะ โอเคไหม  เล่ามาเถอะ”  เขาปลอบถามอีกหลายคำ  ในที่สุดเด็กสาวก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเบาหวิว

          “พี่เต   ตังขอโทษ   ฮึก...มันเป็นความผิดพลาด....ไอ้เลวนั่นมันหลอกตัง....”

          “ไอ้เลวที่ไหน  บอกมา”  คนฟังทั้งงงทั้งโกรธ

         น้องสาวส่ายศีรษะ  เธอร้องไห้ออกมาอีกรอบ  คราวนี้ยาวนานกว่าเดิม  เด็กหนุ่มอดทนรอจนน้องสาวพร้อมที่จะพูดอีกครั้ง

          “เล่ามาเถอะ  ดาวประดับ”

         เธอรับกระดาษทิชชูจากเขาไปสั่งน้ำมูก และเช็ดน้ำตาอยู่อีกครู่ใหญ่   มองหน้าเขานิ่งไปอึดใจ  สุดท้ายก็บอกออกมาเสียงสั่นฟังแทบไม่เป็นคำ

          “พี่เต....ตังท้อง”

เตรู้สึกเหมือนหัวใจตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม  มือที่ถือกล่องทิชชูอยู่ร่วงผล็อยลงกับพื้นอย่างไม่รู้ตัว  จ้องหน้าน้องสาวพูดไม่ออก

          เงียบจนแทบได้ยินเสียงเข็มตก  ตั้งเตหาเสียงของตัวเองเจอ  เขาพูดเสียงแหบพร่า

          “แน่ใจเหรอ”

          หญิงสาวล้วงมือเข้าไปหยิบที่ตรวจการตั้งครรภ์ด้วยปัสสาวะจากในกระเป๋ากระโปรงขึ้นมาส่งให้  พี่ชายรับมาดู  หูอื้อตาลาย   สมองหยุดทำงานไปชั่วขณะ  แปลไม่ออกว่าสองขีดแดงๆบนแถบขาวนั้นมันแปลว่าอะไรกันแน่ 

          “ตังขอโทษ  พี่ยกโทษให้ตังเถอะนะ”  เด็กสาวร้องไห้ออกมาอีก

          “ใคร  มันเป็นใคร...ไอ้ก้องใช่มั้ย”   คนแรกที่เขานึกออก  คือเด็กหนุ่มรูปหล่อรุ่นน้องที่เคยคบกับน้องสาวของเขา   หลังจากนั้นก็ทิ้งน้องของเขากลับไปหาแฟนเก่าหน้าหมวยอย่างไม่ไยดี   

เตโกรธอย่างที่ไม่เคยโกรธแบบนี้มาก่อน   ข้าวตังเป็นน้องสาวคนเดียวที่คุณลุงคุณป้าฝากเอาไว้ให้ดูแล ก่อนที่ท่านทั้งสองจะจากไป

          “พี่จะไปเอาเลือดหัวมันออก”  ประกาศลั่นแล้วผุดลุกขึ้นยืน   เด็กสาวรีบฉุดข้อมือของพี่ชายเอาไว้  พูดปนสะอื้น

          “ไม่ใช่พี่  ฮือ  ไม่ใช่พี่ก้อง” 

          “ถ้างั้นใคร  เธอไม่ต้องไปปกป้องมัน  บอกชื่อออกมา  มันใช้กำลังกับเธอใช่มั้ย  บอกพี่มาไม่ต้องอาย  ใคร!!!”  เขาฮึดฮัด อยากสะบัดมือน้องสาวที่รั้งข้อมือของเขาเอาไว้แน่นออก  เด็กสาวเม้มปากแน่น  เธอจะบอกดีหรือไม่?

          “ช่างมันเถอะพี่  หนูโง่เองที่ไปหลงเชื่อมัน  ฮึก  หนูไม่อยากกลับไปเกี่ยวข้องกับมันอีกแล้ว  ฮือ”

          “ไม่ได้  มันทำแกท้อง  มันก็ต้องรับผิดชอบสิ  อย่างน้อยก็ให้ฉันได้ทำอะไรสักอย่างให้มันสาสมกับที่มันทำกับน้องฉันบ้าง”

          เด็กสาวอึ้ง  เธอไม่เคยเห็นพี่ชายใจดีอย่างเตโกรธจัดแบบนี้มาก่อน  ร่างโปร่งระหงนั้นสั่นเทิ้ม ใบหน้าแดงก่ำบึ้งตึง  ท่าทางเหมือนพร้อมจะระเบิด...ความจริงเธอก็ไม่อยากปิดบังพี่เตหรอก  ว่าใครคือพ่อของเด็กในท้องของเธอ  แต่รู้ไปแล้วมันจะเกิดประโยชน์อะไรขึ้นล่ะ  ในเมื่อเธอเพิ่งถูกเขาตัดบททางโทรศัพท์เมื่อไม่กี่ชั่วโมงนี่เอง

          ‘ท้อง?  ไหนตังว่าตังคุมไว้ไงล่ะ’

          ‘ตังไม่รู้  พี่โชน ช่วยตังด้วย ตังไม่กล้าบอกพี่เต   ตังไม่รู้จะทำยังไง  พี่อยู่ที่ไหน  ตังจะไปหา’

          ‘ขอโทษด้วยนะตัง  แต่พี่ไม่สะดวกจริงๆ ถ้างั้นตังก็ไปเอาออกล่ะกัน  คลินิกแถวนั้นเยอะแยะ  ไม่แพงหรอก’

          ‘พี่โชน!  นี่ลูกของเรานะคะ!’  เธอพูดอย่างตกใจ  น้ำตาเริ่มไหลลงมาเป็นทาง

          ‘โธ่  ไม่เอาน่าตัง  เราก็โตๆกันแล้วนะ  เราก็แค่ปลอบใจกันและกันไง  ตังจำไม่ได้เหรอว่าตังเคยพูดกับพี่ว่ายังไง   ตังขอให้พี่ช่วยทำให้ตังลืมไอ้ก้อง  พี่ก็ช่วยแล้วไงล่ะ....ตังอย่าไปคิดมากเลยน่า  สมัยนี้ทำแท้งมันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดหรอก  แปบเดียวก็เสร็จแล้ว    เอ้อ  ตัง  แค่นี้ก่อนนะ  พี่มีธุระ’  ปลายสายตัดบททิ้งวางสายไปดื้อๆ

          หลังวางสาย  เธอโทรกลับไปหลายรอบ  ไม่มีใครรับ เดาว่าเขาคงหักซิมทิ้งไปแล้ว

          เธอน่าจะเอะใจตั้งแต่จู่ๆเขาก็เก็บข้าวเก็บของย้ายออกจากหอไปเสียเฉยๆแล้ว  ตอนนั้นเขาบอกเธอว่าเขาไม่อยากให้พี่เตรู้เรื่องระหว่างเราสองคน  เพราะเขายังไม่พร้อม  ถ้าขืนยังอยู่ห้องเดียวกันต่อ สักวันพี่เตก็จะรู้เข้าจนได้แน่ๆ ขอเวลาเขาสักนิด  แล้วเขาก็จะเป็นฝ่ายบอกพี่ชายของเธอเอง

          ขอเวลานานแค่ไหนล่ะ  สุดท้ายมันก็เก็บกระเป๋าหายเงียบไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น   เธอไปดักรอพบตามสถานที่ต่างๆที่สืบมาจากเพื่อนๆของชายหนุ่มแต่ก็ไม่เคยเจอกัน  พยายามติดต่อทุกทางก็สูญเปล่า  เค้าทำเหมือนเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน  จะโทษใครได้  ก็เธอมันโง่เอง  ไปหลงเชื่อคารมของคนพรรค์นั้น   เค้าไม่สนใจว่าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองเลยด้วยซ้ำ ...จะให้เธอไปเอาออกหรอ   แค่คิดเธอก็ขนลุกทั้งตัว  มัน....มันน่ากลัวเกินไป

เหลือบมองหน้าพี่ชาย เห็นสีหน้าของเขา  ท่าทางของเขาก็นึกสงสารจับใจ  มากพอๆกับที่สงสารตัวเอง...พี่เตคงจะผิดหวังในตัวเธอมาก

          “พี่เต...”  พูดไม่ออก  ก้อนสะอื้นแล่นมาจุกที่ลำคอ  เธอเงยหน้าขึ้นมอง  เห็นแววหม่นเศร้าในดวงตาเรียวยาวสีดำสนิทคู่นั้น  แววคุกกรุ่นเริ่มจางลงไปแล้ว  แทนที่ด้วยแววอะไรอย่างหนึ่ง ที่ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นในยามที่หนาวเหน็บเหลือเกิน  เธอรับรู้ได้ว่า  อย่างน้อยในวันที่ไม่มีใคร  ก็จะยังมีผู้ชายคนนี้พร้อมเคียงข้างเธออยู่

          เขายกมือขึ้นปาดน้ำตาให้เธอที่ผิวแก้มช้าๆ แต่นั่นกลับยิ่งทำให้น้ำตาของเธอไหลออกมามากกว่าเดิม

          “ไม่เป็นไร  เรื่องมันเกิดไปแล้ว  หาทางแก้ดีกว่า”  เสียงพี่เตขาดเป็นห้วงๆ  เหมือนคนที่เหนื่อยเกินกว่าจะเปล่งเสียงออกมา   เขาลูบหลังไหล่ของเธอเบาๆ

          ติณธรนึกอะไรไม่ออก  ครั้นจะปลอบใจน้องสาว  ก็ไม่รู้จะพูดว่าอย่างไรดี  เรื่องที่เพิ่งได้รับรู้ทำให้เขารู้สึกเหมือนโดนน็อคแบบไม่ทันตั้งตัว  รู้อยู่ว่าพักนี้น้องสาวกลับบ้านไม่ตรงเวลา  มีท่าทางแปลกๆไป  ทว่าไม่เคยนึกเลยว่าจะเป็นเพราะเหตุนี้  พอคิดจะตักเตือนก็สายไปเสียแล้ว

          เขาเป็นพี่ชายที่ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ  น้องสาวคนเดียวยังดูแลไม่ได้...

          “แล้วเธอคิดจะทำอย่างไรต่อ   จะเอาออก...”

          “ไม่ค่ะ   ตังไม่กล้า”  เด็กสาวรีบพูดออกมา   เห็นพี่ชายถอนหายใจยาวเหยียด

          “ถ้าอย่างนั้น  เรื่องมันจะยากขึ้นนะ  ตังยังเรียนไม่จบเลยนะ  อีกตั้งหลายเดือน...”  ปัญหาที่จะตามมายาวเป็นหางว่าว  เตเป็นห่วงอนาคตของน้องสาวมากกว่าสิ่งอื่นใด   ถ้าข้าวตังต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน  ก็เท่ากับว่าเธอมีวุฒิแค่มัธยมต้นเท่านั้น

          “ตัง...ไม่รู้จะทำยังไง”  น้องสาวยกมือขึ้นปิดใบหน้า

          “พี่ก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน  ตัง...ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนก็แล้วกันนะน้อง   ขอพี่คิดก่อน”   พี่ชายลุกขึ้นยืน  เบือนหน้าหนีภาพเด็กสาวที่สร้างเรื่องให้แก่เขาไม่รู้จบ  วูบหนึ่งที่เขารู้สึกโกรธน้องขึ้นมา

          ....ทำไมจะต้องทำตัวมีปัญหาด้วยนะ  เด็กคนอื่นที่เขากำพร้าก็ไม่เห็นจะมีปัญหาแบบนี้เลย....มองเห็นภาพตัวเองในอดีตเมื่อหลายปีก่อน   ตอนที่เขารู้ว่าตัวเองกลายเป็นเด็กกำพร้า  แทบจะเรียกได้ว่าเหลือตัวคนเดียว หัวเดียวกระเทียมลีบ  ถ้าไม่ได้คุณป้าคุณลุงให้มาอยู่ด้วย   เขาก็คงเคว้งยิ่งกว่านี้  บางทีอาจจะกลายเป็นคนเข็นผักอยู่ในตลาดไปแล้วก็ได้  พอคิดมาถึงตรงนี้ บุญคุณของผู้ใหญ่ทั้งคู่ก็ทำให้เขาสำนึกได้

 ถึงจะไม่ได้สะดวกสบายใจเหมือนอยู่กับพ่อแม่แท้ๆ  แต่พวกท่านก็ดูแลส่งเสียเลี้ยงดูหลานกำพร้าอย่างดีที่สุดแล้ว  ได้เรียนต่อมาจนจะจบมหาวิทยาลัยเข้าปีนี้   เขาก็ควรจะนึกถึงบุญคุณของท่านทั้งสองเอาไว้ให้มาก....

          เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ  เตยังคิดไม่ตกว่าจะเอาอย่างไรดีกับน้องสาวกับชีวิตน้อยๆในครรภ์ของเธอ   เขาจับเข่าคุยกับก้องเรียบร้อยแล้ว  มั่นใจว่าไม่ใช่ฝีมือของหมอนั่นแน่  ผู้ชายอีกคนที่ป้วนเปี้ยนใกล้ชิดข้าวตังที่เขานึกออก   คนเดียวที่หลบลี้หนีหน้าเขาไป  คนไว้ใจที่เขาไม่อยากเชื่อ   แต่มันก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะใช่   เขาสืบข่าวไอ้หมอนั่นจากเพื่อนๆหลายคน  จนสุดท้ายก็หมดหวังจะตามตัวกลับมารับผิดชอบน้องสาวของตน  เพราะมันเผ่นไปไกลลิบ  อีกซีกโลกหนึ่งแล้ว

          ตั้งเตเครียดจนไม่เป็นอันทำอะไร  เช่นเดียวกับน้องสาว  เธอหยุดเรียนไปหลายวันเพราะเริ่มมีอาการแพ้ท้อง  เด็กสาวทรมานกับการตื่นขึ้นมาอาเจียน วิงเวียนศีรษะ ทำอะไรก็ไม่คล่องแคล่วเหมือนเดิม   บวกกับความทุกข์ในใจ ยิ่งทำให้เธอกลายเป็นคนเก็บตัวเงียบ  ไม่เหลือเค้าเด็กสาวน่ารักสดใสช่างพูดช่างเจรจาคนเดิม

          “ตัง  พี่มาลองคิดดูแล้ว....พี่รู้ว่ามันยากที่จะต้องทำแบบนั้น  แต่มันเป็นทางเดียวที่ดีที่สุดในตอนนี้นะตัง   ถึงการมีลูกจะไม่ใช่เรื่องง่าย  แต่ว่า...” เขาตัดสินใจพูดขึ้นบนโต๊ะอาหารในเย็นวันหนึ่ง   เด็กสาวก้มหน้าไม่สบตาเขา   พูดสวนขึ้นมาทันควัน

          “ตังตัดสินใจแล้วค่ะพี่เต”   เธอเงยหน้าขึ้น  แววตามีประกายเด็ดเดี่ยว  “ตังจะเอาลูกออกค่ะ”  เธอพูดเสียงเรียบไร้อารมณ์   คนฟังอึ้ง มองหน้าเธอไม่อยากเชื่อหู

          “ตังคิดดีแล้วค่ะพี่  ถ้าตังยังเก็บเด็กคนนี้เอาไว้ ก็รังแต่จะสร้างปัญหา  ตังอยากจบปัญหานี้ค่ะ”

          “จะบ้าเหรอมาตัง   เธอรู้มั้ยว่าทำแท้งมันอันตรายมากแค่ไหน  แล้วนี่ก็ลูกแท้ๆของเธอนะ  หลานของฉันด้วย”  เตตวัดเสียงด้วยความฉุนเฉียว  อารมณ์ของเขาเหมือนเส้นด้ายที่ขึงตึง  ถึงตอนแรกเขาจะเห็นด้วยกับวิธีแก้ปัญหาของข้าวตัง   แต่เอาเข้าจริง  เขาก็ทำใจไม่ได้ถ้าจะยอมให้น้องสาวทำแท้ง

          มันคงจะกลายเป็นตราบาปของหญิงสาวไปชั่วชีวิต  และกลายเป็นบาดแผลในใจของเขาด้วย

          “แล้วพี่เตจะให้ตังทำยังไง  ตังไม่อยากอุ้มท้องแล้ว  ตังทรมาน   ตังอยากกลับไปเจอเพื่อน   อยากกลับไปเรียนหนังสือ   พี่ไม่สงสารตังบ้างเหรอ”  เด็กสาววางช้อนส้อม  ร้องไห้ออกมา

          “สงสารสิ  พี่ถึงไม่อยากให้ตังตัดสินใจฆ่าเด็กคนนี้ตั้งแต่อยู่ในท้องไง  เพราะพี่รู้ว่าอีกหน่อยตังอาจจะต้องเสียใจมากกว่านี้อีก   ทำไมพี่จะไม่อยากให้ตังกลับไปเรียน   ถ้าพี่ทำได้พี่อยากเอาเด็กคนนี้ออกมาเองด้วยซ้ำ  แต่นี่พี่ทำไม่ลง  ยังไงมันก็มาเกิดแล้ว  มีชีวิตแล้ว   ตังทำใจได้เหรอ   พี่ทำไม่ได้หรอก”

          “แต่ตังไม่อยากให้ใครรู้ว่าตังท้องไม่มีพ่อ  ตังเกลียดตัวเอง  ตังไม่อยากเป็นแบบนั้น  ฮือ  พี่เต”   เด็กสาวทรุดตัวลงไปนั่งที่พื้น  ซบใบหน้าลงร้องไห้กับตักของเขา   ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบเส้นผมนุ่มสลวยของน้องสาวแผ่วเบา   ทอดสายตามองไปเบื้องหน้าอย่างใจลอย

          ….เขาคงปล่อยให้ใครมาเรียกน้องสาวว่าท้องไม่มีพ่อไม่ได้หรอก  แต่จะทำอย่างไรดีล่ะ  จะหาใครมาเป็นพ่อของเด็กในท้องของเธอได้   ไหนจะเรื่องการเรียนของเธออีก  คงจะต้องดรอปเอาไว้ก่อน   รอให้คลอดแล้วค่อยว่ากันว่าจะเอาอย่างไรดี  ยังไงก็คงต้องเก็บเด็กคนนี้เอาไว้   เขาไม่ใจไม้ไส้ระกำพอที่จะกำจัดมารหัวขนตัวนี้ทิ้ง....ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับอีก 7 เดือนสินะ....ส่วนเรื่องพี่ดิม

          ‘อีกสองเดือนก็เรียนจบแล้ว...เราแต่งงานกันนะเต’

          พี่ดิมจะต้องเข้าใจถ้าเขาอธิบายให้ฟัง   พี่ดิมจะต้องรอได้   รอกันมาตั้งหลายปี  เพิ่มอีกแค่ไม่กี่เดือนทำไมจะรอไม่ได้...

          “ตัง  ใจเย็นๆก่อนนะค่อยๆคิด  พี่รู้ว่าตอนนี้น้องกำลังเสียใจ  กำลังเครียด  ก็เลยตัดสินใจแบบนั้น  น้องลองค่อยๆคิดทบทวนดูให้ดีนะ   อย่างน้อยเขาก็มาเกิดในท้องของเราแล้ว  แปลว่ามีบุญร่วมกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน  ถ้าน้องทำลายชีวิตของเขา ก็เท่ากับน้องฆ่าคนตาย  บาปกรรมจะติดตัวน้องไปภายหน้า  แล้วเชื่อพี่สิ น้องจะไม่มีวันมีความสุขหรอก”   เตพูดเสียงอ่อน   อีกฝ่ายสั่นศีรษะกับตักของเขาแรงๆ

          “เด็กคนนี้คือความผิดพลาดของตัง  ตังไม่อยากเลี้ยงมัน  ไม่อยากเห็นหน้ามัน  ตังไม่ต้องการมันหรอก  ถ้าพี่ไม่เห็นด้วย  ตังก็จะจัดการเอง”

          “อย่านะ!!”  คนฟังตกใจ “อย่าทำอะไรที่จะเสียใจภายหลัง  เธอทำพลาดมาครั้งหนึ่งแล้ว  อย่าทำผิดครั้งที่สองเลยนะ   ถือซะว่าพี่ขอร้อง”   น้องสาวไม่ตอบ  เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาแวบเดียวก็เมินหลบ  ลุกขึ้นจากพื้น เดินไปเก็บจานข้าวที่วางอยู่บนโต๊ะไปล้าง

          เตมองตาม  รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี  ไม่อยากปล่อยเธอเอาไว้คนเดียวเลย   จะทำอย่างไรดี   พรุ่งนี้ก็มีสอบสำคัญแต่เช้าเสียด้วย  ครั้นจะปล่อยเธอเอาไว้คนเดียว...

          “ตัง  พรุ่งนี้ถ้าไปโรงเรียนไม่ไหว  ไปมหาวิทยาลัยกับพี่มั้ย  พี่มีสอบตัวสุดท้ายแล้ว  สอบเสร็จได้ไปหาอะไรอร่อยๆกินกัน  เปลี่ยนบรรยากาศดีไหม”  เขาพยายามพูดอย่างร่าเริง  ในใจก็คิดอย่างรวดเร็วว่าจะหาทางพาน้องสาวไปฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลอย่างไรดี

          “ตังขออยู่บ้านดีกว่าค่ะ  เหนื่อยๆไม่อยากไหน” เด็กสาวบอกสั้นๆ  ทำธุระเสร็จก็เดินกลับเข้าไปภายในห้องนอนเงียบๆ

          เตกลุ้มใจ   เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจากโทรศัพท์ห้องพัก  เขาเดินไปรับ   เสียงนุ่มที่ดังมาตามสายทำให้ใจชื้นขึ้นมาก  เขาคิดถึงคนปลายสายมากแค่ไหน  รูปพี่ดิมในกระเป๋าสตางค์คงจะเป็นพยานได้ดี

          “พี่ดิม  สวัสดีครับ”

          “เต  เป็นอะไรไปเสียงเหนื่อยจัง”  ปลายสายทัก  เขาขยับจะเล่าเรื่องให้อีกฝ่ายฟัง  แต่ฝ่ายนั้นรีบพูดมาก่อนโดยไม่รอคำตอบของเขา

          “เตรู้มั้ย   พี่จะโทรมาบอกว่าพี่เลือกจังหวัดที่จะไปใช้ทุนได้แล้วนะ  พี่ไปสืบจากรุ่นพี่มาแล้ว  เค้าบอกว่าจังหวัดแพร่ดี น่าอยู่  พี่ก็ว่าน่าสนใจมาก  เมืองน่าอยู่มากเลยนะ  รับรองว่านายจะต้องชอบ  พี่เคยไปเที่ยวสองสามครั้งสมัยเรียน....หวังว่าวันจับฉลากจะไม่มีคนเเย่งกันเยอะนะ  เตว่าไง ไม่อยากไปเหรอ?”   เตรู้สึกตัว จึงรีบกรอกเสียงลงไป

          “อยากสิพี่  เตชอบอยู่แล้วล่ะ”

          “ใช่มั้ยล่ะ   พี่ก็ว่าเตต้องชอบภาคเหนือ   เต...พรุ่งนี้นายสอบตัวสุดท้ายแล้วใช่มั้ย  แปลว่าจะจบแล้วสิ  รอพี่อีกสองเดือน  ไม่สิ อีกเดือนนิดๆ แล้วเราจะไปอยู่โน่นด้วยกันนะ”

          “อืม…พี่ดิม   ผมมีเรื่องจะบอก...”

          “อะไร  เรื่องที่นายได้เกียรตินิยมเหรอ  พี่รู้มาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วว่านายต้องได้  ฮ่าๆ  เก่งมากเลยล่ะ  นี่พี่แอบแวบออกมาโทร  เดี๋ยวต้องกลับไปอยู่เวรแล้ว   ไม่ได้นอนมาสองวันล่ะ  แต่นายไม่ต้องเป็นห่วงนะ  พี่ยังไหวอยู่”  พี่ดิมรีบพูดต่อ คงกลัวว่าเขาจะเป็นห่วง

          คนฟังกลืนน้ำลายคงคอฝืดๆ  รู้ว่าอีกฝ่ายงานยุ่งจนไม่มีเวลา  แถมงานก็เครียดมาก  จำเป็นหรือที่เขาจะต้องเอาเรื่องยุ่งยากไปใส่สมองของอีกฝ่ายอีก

          ยังก่อน  ยังรอก่อนได้  ถึงตอนนั้นอะไรๆก็คงจะดีขึ้นแล้วล่ะ  บางทีเขาอาจจะพาข้าวตังไปอยู่ที่แพร่ด้วย  ที่นั่นอากาศดี  คงจะดีต่อเด็กในท้อง

          “ดีแล้วล่ะ  สู้ๆนะพี่ รักพี่นะครับ”  เขารู้ว่าอีกฝ่ายคงกำลังยิ้มหน้าบานอยู่แน่ๆ

          “รักน้องเตเหมือนกันครับ  บายก่อนนะ”  พี่ดิมพูดกลั้วหัวเราะแล้ววางสายไป  เขายิ้มออกมาได้ในรอบหลายวัน   อะไรๆคงจะค่อยๆดีขึ้นเองนั่นแหละนะ

          เตไม่รู้ว่าตัวเองคิดผิด



                         ***************************




          ติณธรยกมือขึ้นลูบศีรษะทุยสวยของเด็กน้อยที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงเสริม  กระตุกยิ้มนิดๆเมื่อเจ้าหนูยกมือขึ้นคล้ายบิดขี้เกียจแล้วหลับต่ออย่างสบาย   เขารู้สึกตึงๆที่มุมปากคล้ายกล้ามเนื้อที่ใช้ในการยิ้มมันบังคับยากขึ้นทุกที  นี่เขาไม่ได้ยิ้มมานานเท่าไหร่แล้วนะ  กี่วัน กี่เดือน  หรือว่ากี่ปีกันแน่

            ถอนหายใจยาว   เป็นอีกคืนที่เขาหลับไม่ลงเช่นเคย   เวลาช่างผ่านไปช้านัก  ทำอย่างไรถึงจะเร่งวันเร่งคืนให้ผ่านไปเร็วๆได้

            แต่จะเร่งไปทำไมล่ะ  ในเมื่อเขาไม่เหลืออะไรให้หวังอีกแล้ว  ไม่เหลือเลยจริงๆ  แม้แต่จิตวิญญาณของตัวเองก็คล้ายถูกความเศร้าหมองกัดกินไปทีละนิดจนเกือบหมด  เหมือนเขาสูญเสียความเป็นตัวเองไป...ชายหนุ่มปิดประตูห้องพักอย่างแผ่วเบา  เขาเดินออกมาตามทางเดิน   บรรยากาศภายในโรงพยาบาลยามค่ำคืนไม่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนเหมือนเช่นตอนกลางวัน   หากแต่เงียบสงัด   แสงไฟสว่างนวลที่บริเวณเคาท์เตอร์พยาบาลส่องให้เห็นนางพยาบาลสองคนนั่งเท้าคางอย่างเงียบเหงา

            เป็นคืนที่เปล่าเปลี่ยวจริงๆ

            เขาเดินไปหยุดยืนที่หน้าต่างกระจกบานใหญ่สุดระเบียงอีกด้านหนึ่งของห้องพักผู้ป่วย  กระจกใสสะท้อนเห็นแสงไฟวิบวับเบื้องล่างจากอาคารบ้านเรือนและเสาไฟฟ้า   อีกไม่กี่ชั่วโมงก็เช้าวันใหม่แล้ว  ถนนข้างล่างก็จะกลับมาเต็มแน่นด้วยรถราอีกครั้ง

            ทุกคนล้วนแต่มีจุดหมายในการเดินทาง  บางคนไปทำงาน  บางคนไปเรียน  หลายคนก็กำลังค้นคว้าหาคำตอบของชีวิต  ว่าตนเองเกิดมาเพื่ออะไร  หรือเพื่อใคร

            บางทีเขาน่าจะรู้แล้วตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน  ว่าเขาไม่ได้เกิดมาเพื่อใครคนนั้น   หากแต่เกิดมาเพื่อดูแลผู้หญิงคนหนึ่งและเด็กผู้ชายคนหนึ่งตะหาก 

            ควรถึงเวลาที่เขาควรจะตัดใจอย่างจริงๆจังๆเสียที   น่าแปลกที่เขาไม่โกรธอีกฝ่ายเลยสักนิด  ทั้งๆที่ถูกทำร้ายจิตใจแบบนั้น  หรือว่าหัวใจของเขามันด้านชาจนไม่เหลือความรู้สึกแล้ว 

            เงาของใครบางคนปรากฎขึ้นในกระจก  เค้าเข้ามาหยุดยืนเยื้องอยู่ข้างหลัง   ไม่ใกล้แต่ก็ไม่ห่างเกินไปจนมองไม่เห็นแววตาคมคู่นั้น 

            เราสบตากันผ่านเงาสะท้อนในกระจก 

            ผู้ชายคนนั้นเป็นฝ่ายหลบตาเขาก่อน   

...


มาต่อจนจบตอนแล้วค่่าาาา
หายไปเดือนกว่าๆ ติดธุระยุ่งเหยิงมากเลย
ยังจำเรื่องนี้กันได้อยู่มั้ย อิอิ
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ  ต่อไปนี้จะกลับมาอัพแล้วนะ
สำหรับคนเล่นทวิต #ดิมเต นะคะ   :katai2-1:

ออฟไลน์ Naam3

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
รางรถไฟจะไม่มาบรรจบกัน
เปรียบเมือนดิมกับเต
ความรักดั่งเส้นขนาน
หุหุ

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
ดีใจมาก คิดว่าจะไม่มาต่อแล้ว ได้อ่านแล้วสบายใจ

ออฟไลน์ Duangjai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 658
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
พี่ดิมกับเตจะเข้าใจกันแล้วซินะ.

แต่เรื่องราวที่ผ่านมา จะก้าวข้ามไปในอนาคตด้วยกันยังไง

ตอนนี้หน่วงจริง แต่จริงๆก้อหน่วงมาเกือบทั้งเรื่องละนะ. ฮืออออ

 :ling3:  :ling3:  :ling3:  :ling3:  :ling3:

....

ออฟไลน์ manamon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
โอยยย น้ำตาแตกแล้วแตกอีก  :hao5:
เดาทางต่อไม่ถูกเลย :katai1:

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
เพราะหัวใจบอกว่า...ตัด



 





            “ข้าวตัง  พี่กลับมาแล้ว  ไปหาอะไรกินกัน”  ห้องพักเงียบผิดปกติ  ไฟกลางห้องถูกเปิดทิ้งเอาไว้  ตั้งเตขมวดคิ้ว  เดินเข้าไปดูในห้องนอนและห้องน้ำ  ทว่าไม่เห็นน้องสาวแม้แต่เงา

          ตังไปไหน?

          กระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆแปะอยู่ที่ตู้เย็น  ลายมือของน้องสาวเขียนเอาไว้เป็นระเบียบ

          ‘ตังไปเดินเล่น  กลับเย็นๆ  ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ’

          ไปเดินเล่น?  ทำไมไม่รอเขาก่อนนะ  กำลังท้องกำลังไส้ไปคนเดียว เกิดเป็นลมหน้ามืด หรือหกล้มขึ้นมาจะทำยังไง  พี่ชายบ่นพึมพำ

เมื่อสองอาทิตย์ก่อนกว่าเขาจะหาทางหว่านล้อม ทั้งขู่ทั้งปลอบพาเธอไปตรวจครรภ์ที่โรงพยาบาลได้สำเร็จ  ก็เหนื่อยแทบจะลมจับราวกับจะเป็นคนท้องเสียเอง  โชคดีที่ผลตรวจออกมาปกติดีทุกอย่าง  แต่ยังไม่รู้ว่าเจ้าหลานในท้องของน้องสาวเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย เพราะอายุครรภ์ยังน้อยเกินไป

หมอบอกว่าช่วงนี้เป็นช่วงสำคัญ ต้องดูแลมารดาให้ดี  เตก็เลยไปซื้อหนังสือการปฏิบัติตัวสำหรับว่าที่คุณแม่มานั่งอ่านเองเสียยกใหญ่  และก็ขนซื้ออาหารมาบำรุงน้องสาวอย่างดี  ถึงว่าที่คุณแม่ตัวจริงจะไม่ค่อยกระตือรือร้นเรื่องนี้นักก็เถอะ   ฮึ...คิดแล้วก็หงุดหงิด

เขาตัดสินใจเดินลงมาซื้อข้าวเย็นที่ร้านอาหารตามสั่งใต้หอพักก่อน  ระหว่างนั่งรอป้าผัดก๋วยเตี๋ยว สายตาก็เหลือบไปเห็นหญิงสาววัยกลางคน แต่งกายดีเดินเข้ามาหยุดยืนมองรอบหอพัก   คล้ายสำรวจบางอย่าง  จากนั้นเธอก็เดินตรงเข้าไปติดต่อที่ป้าแม่บ้านเฝ้าหอพัก

เตขมวดคิ้วอย่างฉงน เมื่อเห็นป้าแม่บ้านชี้มือมาที่เขาพร้อมกับเธอผู้นั้นมองตามมา  เขาหันไปรับก๋วยเตี๋ยวผัดซีอิ๊วและจ่ายตังค์  พอดีกับที่สาวใหญ่คนนั้นเดินมาหยุดตรงหน้าเขาพอดี

“สวัสดีจ้ะ   เธอชื่อเต...ติณธร   ใช่ไหมจ้ะ”  เค้าหน้าของเธอดูคุ้นตาอย่างประหลาด  ราวกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่คิดไม่ออก...ชายหนุ่มยกมือขึ้นไหว้

“สวัสดีครับ  เอ่อ...”

“ฉันเป็นแม่ของตาดิมจ้ะ  พอดีดิมเล่าเรื่องเธอให้ฟังบ่อยๆ  ฉันก็เลยอยากทำความรู้จักน่ะ   สะดวกหรือเปล่าจ้ะ”  สายตาของเธอเหลือบมองห่อก๋วยเตี๋ยวในมือแวบหนึ่ง เตรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบใจบางอย่างในแววตาคู่นั้น

“ยินดีครับ คุณ...ง่า..คุณป้า” เตไม่กล้าเรียกคุณแม่  เพราะเจ้าตัวก็ไม่ยอมเรียกแทนตัวเองว่า ‘แม่’ เลยสักคำ  เขาเชิญมารดาของคนรักไปนั่งคุยกันที่มุมรับแขกที่อยู่มุมหนึ่งของอาคาร   บรรยากาศค่อนข้างเงียบเป็นส่วนตัว แต่เขากลับรู้สึกอึดอัด

สีหน้าของอีกฝ่ายแม้จะยิ้มแย้ม ดูใจดี  ทว่าแววตาคมกริบคู่นั้นกลับไม่ยิ้มตามไปด้วยเลย   เธอดูไม่เหมือนแม่พี่ดิมในความคิดของเขาที่เคยจินตนาการเอาไว้จากคำบอกเล่าของฝ่ายนั้นเลยสักนิด  ท่าทางภูมิฐาน  ไว้ตัวน้อยๆ นั่น....ตลอด 4 ปีที่คบกันมา  พี่ดิมไม่เคยพาเขาไปเจอหน้าครอบครัวของเค้าเลย   นี่เป็นครั้งแรก...หรือว่าครั้งนี้เขาจะทำผิดอะไรเอาไว้  แม่พี่ดิมเลยอยากเรียกมาคุย...แค่คิดก็เริ่มใจไม่ดี

“ขอโทษด้วยนะที่ไม่ได้บอกก่อนว่าจะมา”  แขกผู้มาเยือนพูดยิ้มๆ ...ทำไมเตกลับมั่นใจว่าเธอจงใจทีเดียวที่จะมากะทันหัน  ไม่ให้เขาได้ตั้งตัวแบบนี้   “ได้ข่าวว่าเธอสอบเสร็จแล้ว  แปลว่าเรียนจบแล้วล่ะซี  ใช่ไหมจ้ะ”  เธอถามต่อ

“ครับ”  เตรับคำสั้นๆ

“เก่งมากเลยจ้ะ  ได้ข่าวว่าเกียรตินิยมด้วยใช่ไหม  เรียนจบแล้วจะทำอะไรต่อจ้ะ  ทำงานเลยหรือว่าเรียนต่อ”  คนฟังอึ้งไปนิด   ทำไมแม่ของคนรักถึงถามเช่นนี้   หรือว่าเธอจะยังไม่รู้แพลนที่พี่ดิมวางเอาไว้สำหรับเราสองคนกันนะ...จริงสิ  ก็พี่ยังไม่เคยพาเราไปเปิดตัวกับผู้ใหญ่เลยนี่นา  บางทีพี่ดิมอาจจะยังไม่ได้บอก..

“เอ้อ  ยังไม่ทราบเลยครับ  เพราะพี่ดิมบอกว่าอยากไปจังหวัดแพร่  อาจจะต้องรอดูทางโน้นก่อน”  เขาลองตอบอ้อมๆ

“อ้อ  เธอก็จะย้ายไปแพร่เหมือนกันเหรอ  ไม่เห็นดิมบอกแม่เลย”  เธอทำหน้าประหลาดใจ  คนฟังอึ้งไปอีกครั้ง  แต่ก็ปลอบใจตัวเองว่า...เอาน่า  พี่ดิมอาจจะยังไม่ได้บอกไง  คงยุ่งๆ...

“ครับ  ง่า...” คิดอะไรไม่ออกก็เลยหยุดเอาไว้แค่นั้น

“แล้วเธออยากจะทำอะไรหรือ   รับราชการครูหรือเปล่า”  เตรับคำเบาๆ  เธอพยักหน้า  “ก็ดีนะ  เป็นอาชีพที่ดีและมีเกียรติ  เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ  จังหวัดแพร่ก็น่าอยู่มาก”  เธอหยุดนิดหนึ่ง  มองหน้าเขา  เตรู้สึกได้ว่าเธอกำลังจะเข้าสู่จุดหมายหลักที่มาหาเขาในวันนี้แล้ว

“เสียดายที่ดิมคงไม่ได้ไปใช้ทุนที่นั่นแล้วล่ะ  เพราะอาจารย์เขาขอตัวเอาไว้  เขาอยากให้สอบทุนไปเรียนต่อต่างประเทศจะได้กลับมาเป็นอาจารย์แพทย์ต่อ”  มารดาของดิมพูดเสียงเรียบเรื่อย  “ดิมอาจจะยังไม่ได้บอกเธอ  เพราะเขาก็ยังตัดสินใจไม่ได้  ก็แปลกดีนะ โอกาสมารออยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆกลับไม่รีบคว้าเอาไว้  ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเค้าคิดอะไรอยู่   ไหนๆเธอก็สนิทกับเค้ามาก  พอรู้มั้ยว่าเพราะอะไร ดิมถึงไม่ยอมไป”   เธอวกกลับมาถามหน้าตาเฉย

คนฟังพูดไม่ออก   เพียงเท่านี้ก็รู้แล้วถึงจุดประสงค์ที่มารดาของอีกฝ่ายอุตส่าห์มาหา   เธอไม่ยอมรับความสัมพันธ์ฉันคนรักระหว่างเขากับพี่ดิมด้วยซ้ำ....สนิทกันมากงั้นหรือ?  หึ

“ไม่ทราบเหมือนกันครับ  พี่ดิมไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง”

“อืม  ฉันก็คิดว่าอย่างนั้นล่ะ....ถ้าอย่างนั้นฉันฝากเธอลองคุยกับเค้าหน่อยสิ  เผื่อว่าเค้าจะเปลี่ยนใจบ้าง   เธอก็คงอยากเห็นอนาคตของเค้าไปได้ไกลกว่านี้เหมือนกับฉันใช่มั้ยล่ะ”

ติณธรรู้ว่าตัวเองควรจะตอบว่าอย่างไร  แต่ไม่รู้ว่าได้ตอบออกไปหรือเปล่า  ความรู้สึกร้อนวูบวาบสลับกับเย็นเยียบแล่นพล่านไปทั่วตัว  สมองมึนชา  จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าได้ร่ำลาและแยกกับมารดาของพี่ดิมตั้งแต่เมื่อไหร่   รู้ตัวอีกทีเขาก็นั่งอยู่บนเตียงภายในห้องพักของตัวเอง

มือกำห่อก๋วยเตี๋ยวที่เย็นชืดแน่น  หายใจเข้าออกช้าๆ  พยายามสงบอารมณ์  ความรู้สึกจุกแน่นในอกตีขึ้นมาเป็นระลอกจนอยากอาเจียน

สิ่งที่แม่พี่ดิมพูดมา   มีความหมายเดียวเท่านั้น   ชัดเจนแจ่มแจ้งเสียจนเด็กสามขวบก็เข้าใจ  แม่เค้าไม่ยอมรับเขาในฐานะแฟนของลูกชายยังไม่พอ  ยังต้องการจับแยกกันอีก

พี่ดิมรู้หรือเปล่า  เขาควรโทรบอกอีกฝ่ายเรื่องนี้มั้ย   หรือว่าโน้มน้าวให้พี่เค้าไปเรียนต่างประเทศตามที่แม่เจ้าตัว ‘ฝาก’ เอาไว้ดี 

แล้วเขาล่ะ   แล้วเรื่องของเราล่ะ  หรือว่าเขาควรจะย้ายตามไปต่างประเทศด้วย?  หรือทำตามแพลนเดิม ไปใช้ทุนที่แพร่ด้วยกัน  ถ้าเป็นแบบนั้น  เขาจะเป็นตัวถ่วงอนาคตของพี่ดิมหรือเปล่า?  พี่ดิมจะอดไปเรียนต่อ  อดเป็นอาจารย์แพทย์เพราะเขางั้นหรือ?

ชายหนุ่มนั่งครุ่นคิดอยู่ในท่าเดิมจนกระทั่งน้องสาวกลับมา  เธอเปิดประตูเข้ามาเห็นพี่ชายนั่งหน้าซีดเหมือนจะเป็นลมอยู่ริมขอบเตียงก็ตกใจ

“พี่เต  ตังกลับมาแล้วค่ะ  พี่เป็นอะไร  จะเป็นลมหรอ  หรือเป็นเพราะว่าเป็นห่วงตัง  ตังขอโทษนะคะ พอดีตังเบื่อๆเลยออกไปเดินเล่น”  เธอกระวีกระวาดเข้ามาช่วยเขา  ดึงห่ออาหารออกไปจากมือ  ท่าทางพี่ชายของเธอดูตึงเครียดอย่างหนัก

“พี่ไม่ได้เป็นอะไร  ตังกลับมาก็ดีแล้ว  ถึงเวลาอาหารเย็นแล้วล่ะ”   เขาพูดแล้วก็รีบลุกขึ้นเดินหายเข้าไปทางห้องครัว   หญิงสาวมองตามอย่างหนักใจ....หรือว่าพี่เตจะรู้?

ล้วงกระดาษเล็กๆที่มีที่อยู่ของสถานที่แห่งหนึ่งเขียนเอาไว้ขึ้นมาดู...วันนี้เธออุตส่าห์ลอบออกไปพบเพื่อนเก่าที่เธอรู้มาว่าเคยประสบปัญหาตั้งครรภ์ในวัยเรียนเช่นเดียวกันกับเธอมาก่อน   และเพื่อนที่แสนดีนั้นก็ได้ให้ทางออกที่ดีที่สุดนี้มาให้

‘แกไปได้เลย  ท้องอ่อนๆแบบนี้แปบเดียวก็เสร็จแล้ว  ไม่เจ็บ  ไม่อันตรายหรอก  ไม่งั้นชั้นก็ตายไปแล้วสิ’  เสียงแหลมใสของเธอคนนั้นยังก้องอยู่ในหู  ข้าวตังพับกระดาษใบเล็กที่ท่องข้อความในนั้นได้ขึ้นใจลงในกระเป๋าสตางค์   ลุกขึ้นเดินตามพี่ชายเข้าไปในครัว

“มีอะไรให้ตังช่วยมั้ยคะ”  เห็นเขากำลังเตรียมอาหารบำรุงครรภ์สำหรับเธออยู่ก็อาสาจะช่วย    เค้าหน้าพี่เตดูหมองๆชอบกล  แม้กระทั่งยามยิ้ม

“ไม่ต้องหรอก  เธอไปนั่งพักเถอะ  กลับมาเหนื่อยๆ  จะเสร็จแล้วล่ะ   คืนนี้อย่าลืมดื่มนมด้วยนะ  พี่ซื้อมาเพิ่มให้แล้ว”  เขาพูดเนือยๆ   แต่ท่าทางไม่ได้สงสัยอะไรที่เธอหายตัวไปวันนี้   คงจะเครียดเรื่องอื่นอยู่กระมัง   สาวน้อยค่อยเบาใจ  ถอยออกมาจากครัว   เดินไปนั่งรอที่โต๊ะอาหาร

เตมองตาม  ความจริงเขาอยากถามเธอเหมือนกันว่าวันนี้ไปทำอะไรที่ไหนมาบ้าง   แต่ตอนนี้เขาไม่พร้อมจะรับฟังเรื่องอะไรของใครทั้งนั้น   แค่เรื่องของตัวเองยังดูท่าจะไม่รอดเลย...

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว   พี่ดิมโทรมาหาเขาวันเว้นวัน  แต่เขาก็ยังไม่มีโอกาสได้เปิดปากเล่าเรื่องที่มารดาของเค้ามาหา  พอจะพูดเรื่องนี้ทีไร  ความกระอักกระอวนใจแปลกๆก็ทำให้พูดไม่ออกทุกที  ยิ่งผ่านไปนานวันเข้าก็ยิ่งพูดยากขึ้นตามลำดับ   ส่วนพี่ดิมเองก็ไม่เคยเอ่ยปากพูดเรื่องทุนอาจารย์แพทย์เช่นกัน

          จริงๆแล้วเขายังคิดไม่ตกด้วยซ้ำว่าจะเอาอย่างไรดี   เขาก็ไม่อยากกลายเป็นตัวถ่วงอนาคตของใคร  ทว่าก็ไม่อยากเสียอีกฝ่ายไปเช่นกัน   ดูเหมือนว่าอย่างหลังจะมากกว่า

          “พี่เต  วันนี้ตังจะออกไปซื้ออาหารเองนะคะ  ไม่ต้องเป็นห่วงนะ  หมอบอกว่าถ้าตังขยับตัวทำอะไรบ้างก็จะคลอดง่ายขึ้นค่ะ”   เด็กสาวรีบเสริมเมื่อเห็นพี่ชายอ้าปากจะค้าน

          “ก็ได้จ้ะ  ที่จริงรอพี่อีกนิดนึงไม่ได้เหรอ   พี่กำลังปั่นต้นฉบับอยู่ จะเสร็จแล้ว”  ตอนนี้เขารับงานเขียนคอลัมต์ให้นิตยสารเล่มหนึ่งอยู่   ที่ได้งานนี้ก็เพราะได้รุ่นพี่ช่วยหาให้เนื่องจากรู้ว่าเขากำลังมีปัญหาด้านการเงิน   อย่างน้อยก็เป็นรายได้เสริมอีกทาง  นอกเหนือจากการรับสอนพิเศษให้เด็กมัธยมทุกวัน

          ข้าวตังเข้ามากอดเขา แล้วเดินออกจากห้อง   เตส่ายศีรษะอย่างอ่อนใจ  แต่ก็โล่งใจ....น้องสาวของเขาดูสดชื่นขึ้นมาก  เธอดรอปเรียนเอาไว้ก่อนเนื่องจากปัญหาสุขภาพมาเกือบสองเดือนแล้ว  ตอนนี้เธอไม่ร้องไห้อีก  หันกลับมาดูแลสุขภาพของตัวเองและลูกในท้องตามที่พี่ชายบอกเป็นอย่างดี 

          เธอคงจะทำใจได้แล้ว....

          แต่เขานี่สิ...อาการหนักลงไปทุกวัน  ต้องตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายใจ  หันไปทางไหนก็ไม่รู้จะปรึกษาใครดี  เจ้กิ่งก็ไปทำงานต่างประเทศ ได้สามีเป็นฝรั่งอยู่สุขสบายไปแล้ว  เขาแทบนึกออกเลยว่าเธอจะพูดว่าอย่างไรถ้าเขาเล่าเรื่องนี้ให้เธอฟัง

          ‘โอ๊ย  ไม่เห็นจะยากเลยเต  แกก็บินตามผัว  เอ๊ย ตามแฟนหมอของแกมานี่ด้วยเลยสิยะ  ดีออกอยู่นี่ได้ไม่ต้องมีแม่สามีมาคอยตามรังควาน’

          ใจหนึ่งก็อยากทำอย่างนั้นหรอกนะ  แต่อีกใจหนึ่งก็รู้ดีว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้  เขาไม่มีวันหักหาญน้ำใจมารดาของพี่ดิมได้   และเขาก็ไม่อยากให้พี่ดิมขัดใจแม่ด้วย

          เตจำได้ว่าตอนเด็กๆเคยดื้อกับพ่อแม่หลายครั้ง  ชอบขัดใจ  ทำตรงข้ามกับที่พ่อแม่ต้องการทุกอย่าง  ทว่าวันหนึ่ง  เมื่อเขาต้องสูญเสียท่านทั้งสองไปอย่างไม่มีทางหวนกลับ  สิ่งหนึ่งที่เขาอยากทำก็คืออยากขอโทษพ่อแม่สักครั้งที่เคยไม่เชื่อฟัง   แต่เขาก็ทำไม่ได้  ถึงอยากแก้ตัวแค่ไหน  โอกาสนั้นก็ได้หมดไปแล้ว 

          เตเลยไม่อยากให้พี่ดิมกับคุณแม่ต้องผิดใจกัน  ไม่อยากให้คนรักต้องพลาดโอกาสดีๆในชีวิตไป

          ยังไงวันนี้เราก็จะได้เจอหน้าพี่ดิมแล้ว  เห็นหน้ากันตรงๆคงดีกว่าพูดกันทางโทรศัพท์  จะได้ตกลงกันไปเลยว่าจะเอาอย่างไรดี  ไม่แน่พี่เค้าอาจมีทางออกระหว่างเราเอาไว้แล้วก็เป็นได้

          เตลุกขึ้นแต่งตัว  รู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากกว่าทุกวัน  เสียงโทรศัพท์หอพักดังขึ้น  เขารีบเข้าไปรับ

          “คุณตั้งเตครับ  มีแขกมารอพบคร้าบ  เรียนเชิญลงมาเร็วๆ” เสียงคุ้นเคยแกมหัวเราะดังมาตามสาย  เตใจเต้นแรง

          “พี่ดิม!! ไหนว่ามาเย็นๆไงฮะ”

          “ก็คนมันคิดถึง ก็เลยรีบมาหา อิๆ  ลงมาเร็ว  หิวแล้ว”  พี่ดิมบ่นมาอีกสองสามคำ   เตรีบวางสาว หยิบกระเป๋า ปิดห้องพักอย่างรวดเร็ว  หัวใจพองโตอย่างที่ไม่เคยเป็นมาหลายเดือน

          กระโดดลงบันไดลงมาชั้นล่างก็เจอร่างสูงสมส่วนของคุณหมอหนุ่มยืนยิ้มรออยู่แล้ว  ใบหน้าของพี่ดิมอิ่มเอิบ เต็มไปด้วยความสุข   หัวเราะร่าเมื่อเห็นหน้าเขา   เรากอดกันแน่น

          “เต  พี่คิดถึงมากเลยรู้เปล่า  สองเดือนสุดท้ายนี่แทบตายเลย  อ้อ  พี่เรียนจบ เป็นคุณหมอเต็มตัวแล้วนะครับ”  พี่ดิมพูดความภาคภูมิใจ  คนฟังน้ำตาคลอ  พี่ดิมคงไม่รู้หรอกว่าเตดีใจมากแค่ไหนกับความสำเร็จของพี่

          “เอ้า  ร้องไห้ทำไม  เสียใจเหรอ”  อีกฝ่ายแกล้งเย้าเล่น  คนขี้แยยิ่งเบะปาก น้ำตาไหลออกมาเป็นทาง

          “ดีใจตะหาก”  เตยกมือขึ้นป้ายน้ำตา  พี่ดิมหัวเราะอีก  ยื่นหน้าเข้ามาจนชิด แตะริมฝีปากที่หางตาของคนในอ้อมแขนเร็วๆ

          “ชิมน้ำตาหน่อย  อืม  เค็มเหมือนเดิม  ยังงกไม่เปลี่ยนใช่มั้ยเราน่ะ”

          “ฮื้อ  อะไรเนี่ย คนตั้งเยอะแยะ   อย่านะ”  พูดไปงั้นเอง  พูดเสร็จก็แตะริมฝีปากของตัวเองเข้าที่ซีกแก้มเขียวครึ้มของอีกฝ่ายบ้าง

          “แน่ะ  ให้เอาคืนหลายฟอดๆก็ได้  พี่ไม่งกเหมือนเราหรอกน่า  ฮ่าๆ   ดูซิเนี่ย  ผอมลงไปตั้งเยอะ  ทำงานเก็บเงินสร้างเรือนหอ จะไปสู่ขอพี่หรอจ้ะ”  พี่ดิมกวาดสายตาสำรวจดูร่างโปร่งบางที่ยิ่งดูบางลงอีกจากคราวที่แล้วอีกรอบ    เขาขมวดคิ้วน้อยๆ  สังเกตเห็นความผิดปกติของเตได้ทันทีที่พบกัน

          “ใครว่า  ผมไม่ไปสู่ขอพี่หรอก”

          “ก็ถูกแฮะ  ต้องเป็นพี่ตะหากที่จะไปสู่ขอนาย  ฮ่าๆ  โอ้ย  ไม่ต้องเขินแล้วรุ่นนี้  พี่จีบมาหลายปี ยังไม่ชินอีกเหรอน้อง”  พี่ดิมวางมือลงบนศีรษะของเขาแล้วโยกเบาๆอย่างหมั่นเขี้ยว

          เราคุยกันอย่างสนุกสนาน  อีกฝ่ายโอบไหล่พาเขาพาไปเดินเที่ยว  หาอะไรอร่อยๆทานกัน   เตมีความสุขมากเสียจนไม่อยากทำลายบรรยากาศดีๆแบบนี้เลย 

          จนกระทั่งพี่ดิมเป็นฝ่ายเปิดประเด็นนั้นขึ้นมาเอง  ขณะที่เรากำลังนั่งเล่นอยู่ในสวนสาธารณะแห่งความหลัง  ที่ๆอีกฝ่ายเริ่มจีบเขาอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก

          “เต...เรื่องไปใช้ทุนที่จังหวัดแพร่น่ะ  นายพร้อมแล้วใช่มั้ยที่จะไปกับพี่”  คุณหมอจบใหม่พูดอยู่ข้างหูของเขา

          “พี่ดิม  แล้วเรื่องทุนอาจารย์แพทย์..”  เขาพูดเบาๆ

          “นายไปรู้มาจากไหน”  คนฟังขยับตัวทันที   มองหน้าเขาอย่างฉงนปนค้นคว้า

          “ง่า...ได้ยินมา  พี่ดิมไม่สนใจเหรอ”   เขาถามลองเชิงดูก่อน   อีกฝ่ายหลบตาเขาแล้วตอบกลับมาห้วนกว่าทุกครั้ง

          “ไม่สนใจ  พี่อยากไปใช้ทุนต่างจังหวัดมากกว่า”   ท่าทางของพี่ดิมทำให้เขาใจแป้ว  เขารู้จักอีกฝ่ายมาหลายปี ทำไมจะดูไม่ออกว่าเค้ากำลังพยายามโกหกเขาอยู่ 

          “ทำไมพี่ไม่อยากเป็นอาจารย์ล่ะ  เตว่าน่าสนใจออกนะ”

          “ไม่อยากเป็นก็คือไม่อยาก   นายอยากให้พี่เป็นมากนักเหรอ  อาจารย์แพทย์น่ะ”    พี่ดิมถาม  บรรยากาศชักจะตึงเครียดขึ้นมาจนเตใจไม่ดี   ก็เลยฝืนหัวเราะออกไปเบาๆ

          “หึๆ  ก็เท่ดีออกนา  อยากก็อยากหรอก  แต่อยากให้พี่ดิมอยู่กับเตมากกว่า”  พูดแค่นี้ พี่ดิมก็ท่าทางอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด  โอบเขาเข้าหาตัวเหมือนเดิม

          “เรียนต่อน่ะไปเมื่อไหร่ก็ได้  อีกหน่อยเราไปด้วยกันก็ยังได้  แต่พี่ยังไม่อยากไปตอนนี้  รอให้อะไรๆมัน...มั่นคงกว่านี้ก่อน” เสียงพี่ดิมสะดุดนิดหนึ่งแทบไม่สังเกต   เขาพยักหน้ารับ   ความกังวลที่เคยมีมาก่อนหน้านี้ลดน้อยลงอย่างน่าประหลาดใจ  เพียงแค่คำพูดหนักแน่นของอีกฝ่ายเท่านั้น

          “เตไม่ต้องคิดมากนะ   อ้อ  พรุ่งนี้แต่งตัวหล่อๆนะครับ  พี่จะพาไปพบคนสำคัญของพี่”  พี่ดิมเอ่ยยิ้มๆอย่างมีเลศนัย   เตรู้ทันทีด้วยสัญชาตญาณว่าใครคือคนที่อีกฝ่ายต้องการจะพาเขาไปพบ

          ตื่นเต้นก็ตื่นเต้น  เพราะรู้ดีว่านี่หมายความว่าอย่างไร ขณะเดียวกันความไม่สบายใจก็โถมเข้ามาจนบดบังความตื่นเต้นดีใจเสียหมด   โชคดีที่พี่ดิมไม่สังเกตเห็น

          กว่าจะแยกกับคนรักก็ดึกมากแล้ว  เตเดินกลับขึ้นหอพักอย่างเหนื่อยอ่อน  พรุ่งนี้เขาจะต้องไปพบกับผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว  คนที่เขารู้ดีว่าไม่ยินดีสักนิดที่จะให้คบกับลูกชายของเธอ

          เปิดประตูเข้ามาภายในห้องพัก  เห็นเงาตะคุ่มๆอยู่บนเตียง  คงเป็นข้าวตังที่เข้านอนนานแล้ว  ชายหนุ่มลดเสียงฝีเท้าลง กลัวน้องสาวตื่น   อาศัยความเคยชินคลำทางเดินไปห้องน้ำอย่างแม่นยำ  เขาจัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อยก็ออกมาล้มตัวลงนอนที่พื้นหน้าเตียงของน้องสาว...ที่ประจำของเขา

          หลับไปด้วยความคิดที่วุ่นวายสับสน

          ตื่นเข้าขึ้นมาไม่เห็นร่างของน้องสาวเหมือนเคย  มีแต่กองผ้าห่มกองอยู่   เขาลุกขึ้นเดินหารอบห้อง  ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเป็นวันที่ต้องไปพบแพทย์ตามนัด  ซึ่งวันก่อนน้องสาวเป็นคนบอกเขาว่าจะไปด้วยตัวเอง

          ดีเหมือนกัน   เธอต้องหัดรับผิดชอบตัวเองบ้าง  โตจนจะเป็นแม่คนแล้ว...

          พี่ชายคิด  จากนั้นก็กลับมาคิดเรื่องตัวเองอีกครั้ง   เขาอาบน้ำแต่งตัวอย่างใจลอย ครุ่นคิดตลอดเวลาว่าจะรับมือกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นอย่างไรดี

          พี่ดิมมารับตอนสายๆ  เพื่อพาไปทานอาหารกลางวันที่บ้านของเค้า  เป็นครั้งที่สามที่เขาได้มาบ้านของอีกฝ่าย  เป็นบ้านเดี่ยวสองชั้นขนาดกลาง  แวดล้อมด้วยต้นไม้ร่มรื่นและน่าอยู่ไม่น้อยในความคิดของเขา

          พี่ดิมดูตื่นเต้นยิ่งกว่าเขาเสียอีก  ท่าทางของเค้าเหมือนเด็กๆเวลาต้องการจะอวดของเล่นใหม่ต่อหน้ามารดา  และเขาก็คือของเล่นชิ้นนั้น...

          “ไม่ต้องเกร็งนะเต  แม่พี่อาจจะดูดุหน่อย  แต่ความจริงใจดีมาก  โธ่  ดูสิ หน้าซีดหมดแล้ว  ไม่ต้องกลัว”    เขาแอบบีบมืออีกสองทีเป็นกำลังใจ ก่อนที่ประตูรั้วจะเปิดออกพร้อมกับร่างของผู้หญิงวัยกลางคน แต่งกายดียืนยิ้มรับอยู่

          “สวัสดีจ้ะ  เต  กินอะไรมารึยัง  เข้ามาเร็ว  นี่รันอยู่ในครัวแน่ะดิม  มาช่วยแม่ทำอาหารแต่เช้า”  ทักประโยคแรก จากนั้นก็หันไปบอกลูกชายว่าเพื่อนสนิทกำลังช่วยนางทำกับข้าวอยู่ในครัว

          “อ้าว  รันมาด้วยหรือครับ  ไม่เห็นบอก”

          “พอดีเค้าแวะเอาของมาให้  แม่เลยชวนเค้าอยู่ทานข้าวด้วยกัน  เข้ามาก่อนจ้ะ  เตชอบทานอะไร  แกงส้มชอบมั้ย”  ติณธรพยักหน้ารับคำเสียงเบา  ชักเริ่มรู้สึกอึดอัดชอบกล   หันไปเห็นสีหน้าของคนข้างๆยิ้มแย้มเป็นปกติดีก็กัดฟันทนไปก่อน

          เจอพี่รันเพื่อนสนิทของคนรักในห้องครัว  เห็นฝ่ายนั้นมีผ้ากันเปื้อนคาดเอวอยู่ กำลังหยิบจับอาหารในครัวด้วยท่าทางทะมัดทะแมงและคุ้นเคยกับมารดาของเพื่อนดี   พี่ดิมเอ่ยแซวพี่รันหลายคำโดยมีแม่ของเขาร่วมวงด้วย  พี่รันก็โต้ตอบกลับมาอย่างทันๆกัน  ช่วยไม่ได้เลยที่จู่ๆเตจะรู้สึกเหมือนตนเองเป็นส่วนเกินของครอบครัวนี้

          “หิวแล้วล่ะซี  เงียบเชียว  เป็นอะไรหรือเปล่าหืม?”   ช่วงหนึ่งที่พี่ดิมหันมาเห็นเข้า   เค้ายกมือขึ้นเสยผมให้อย่างนุ่มนวล  ก้มลงถามอย่างอ่อนโยน  ทำให้หัวใจที่แกว่งเป๋ไปครู่เริ่มกลับมาปกติ

          “เปล่า...ผมขอเข้าห้องน้ำหน่อยได้มั้ยครับ”  ขอเข้าไปสงบสติอารมณ์นิดนึงเถอะ   พี่ดิมพยักหน้า  จูงมือออกมาจากห้องครัว พาไปส่งที่ห้องน้ำชั้นล่างใต้บันได

          “เสร็จแล้วรีบออกมานะ  อย่ามัวขี้แยอยู่ล่ะ”

          “บ้า  คนเขาปวดฉี่ตะหาก”  เตย่นจมูกเพราะถูกอีกฝ่ายดักคอ  พี่ดิมหัวเราะเสียงนุ่ม  โบกมือให้แล้วเดินกลับเข้าไปในห้องครัว 

          พอกลับออกมาก็มาหยุดยืนด้านนอก  ได้ยินเสียงมารดาของอีกฝ่ายเจื้อยแจ้วอยู่ข้างใน

          “รันเขาก็ได้ทุนเหมือนกัน  ดีออกนะดิมได้ไปเรียนด้วยกันไง  ทุนนี้ไม่ได้มีทุกปีนะ  ไม่ใช่ใครอยากได้ก็ได้  ถ้าผ่านปีนี้ไป ปีหน้าเขาก็ต้องให้โอกาสเด็กรุ่นใหม่ที่จบก่อนอีก  หรือดิมยังห่วงเรื่องน้องเต   เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอก  เดี๋ยวแม่พูดให้เอง”

          “คุณแม่จะพูดอะไรกับเตครับ   ผมขอล่ะ  อย่าทำแบบนั้น”  พี่ดิมพูดเสียงแข็งขึ้นมาทันที

          “ดิมไม่เอาน่ะ  พูดดีๆสิ”  เสียงเพื่อนสนิทดังขึ้นบ้าง

          “ไม่เป็นไรจ้ะรัน  แม่ชินแล้วล่ะ  ถ้าเป็นเรื่องของเด็กคนนั้นล่ะก็  แม่แตะไม่ได้ทีเดียว  ทำไมล่ะดิม  ถ้าเด็กคนนั้นรักดิมจริงเขาก็ต้องอยากให้ดิมได้ดีสิ”

          “ถ้าอย่างนั้นผมก็จะเอาเตไปด้วย  ถ้าคุณแม่อยากให้ผมไปมากนักล่ะก็”

          “เธอจะไปอยู่กันยังไงสองคน  ไม่รู้เหรอว่าค่าครองชีพที่นั่นมันแพงแค่ไหน   จริงอยู่ว่าเธอได้ทุนเรียน  แต่ทุนมันก็ไม่ได้คัฟเวอร์ทั้งหมดหรอกนะ  เผลอๆต้องทำงานตัวเป็นเกลียวด้วยซ้ำ  แล้วถ้าจะต้องมาหาเลี้ยงอีกคนอีก  ไม่มีทางเรียนจบ”

          “เตเขาก็ทำงานได้”

          “เขาจะทำงานอะไร  สอนภาษาที่โน่นเหรอ  ดิมลองคิดดูดีๆนะ  มันไม่ง่ายหรอกนะ  ที่โน่นมันไม่เหมือนบ้านเรา”

          “แต่ผมจะไม่ทิ้งเตเอาไว้ที่นี่  ไม่งั้นผมก็ไม่ไป   ผมจะไปอยู่แพร่”  เสียงพี่ดิมเฉียบขาดยิ่งกว่าทุกครั้งที่เคยได้ยิน   เตกำมือแน่น   พี่ดิมกำลังปกป้องเขาอยู่อย่างสุดกำลัง  แล้วเขาล่ะ?

          เขาทำอะไรเพื่ออีกฝ่ายบ้าง...

          “ดิม...เราว่าอย่าเพิ่งมาทะเลาะกันแบบนี้เลยดีกว่านะ   คุณแม่ท่านหวังดีกับดิมนะ  ทุกคนก็หวังดีกับดิม   ใจเย็นๆก่อนดีกว่าเนอะ”   เสียงพี่รันพูดช้าๆ  “เราพักเรื่องนี้ไว้ก่อนก็ได้  ยังพอมีเวลาอยู่   อาจารย์ให้เวลามาตัดสินใจถึงอาทิตย์หน้า ดิมค่อยๆไปคิดดูก็ได้   ถ้าไปก็จะได้ไปเรียนด้วยกัน   ถ้าไม่ไปก็ไม่เป็นไรหรอก   จริงๆเป็นหมอชนบทก็เป็นความคิดที่ดีมากๆนะครับคุณแม่   ถ้าผมไม่ติดว่าขัดใจคุณพ่อไม่ได้ล่ะก็  ผมก็คงไปใช้ทุนกับดิมแล้ว”

          “ก็เรามันเด็กดีไง  อยู่ในโอวาทของพ่อแม่  คนแบบนี้ทำอะไรก็เจริญทุกคนล่ะหมอรัน   แม่ละอิจฉาคุณพ่อของเราจริงๆ  ทำบุญมาด้วยอะไรนะถึงมีลูกเก่งและดีแบบนี้   ยังไงมาเป็นลูกแม่อีกคนเสียเลยดีไหมล่ะ”  เสียงผู้หญิงคนเดียวในห้องพูดแกมสัพยอก   ได้ยินเสียงพี่รันหัวเราะเบาๆตอบกลับอย่างสุภาพ   ส่วนพี่ดิมเงียบกริบ

          เตยืนนิ่งพิงกำแพงอยู่ด้านนอกห้องครัวนั้นอยู่นาน   เงยหน้าขึ้นมองเพดานที่ประดับด้วยโคมไฟแบบเรียบๆนั้น  เพ่งมองแน่วนิ่ง  ขอบตาร้อนผ่าว   เขาเม้มปากแน่น

          “ผมขอไปดูเตก่อนนะครับ  หายไปนานแล้ว”  ได้ยินเสียงพี่ดิมพึมพำ    ชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าห้องรีบกรีดน้ำตาที่หางตาทิ้ง  สูดลมหายใจเข้าลึก  เดินถอยหลังไปสามก้าว  ทำเหมือนเพิ่งเดินออกจากห้องน้ำออกมา

          “พี่ดิม...”

          “เต  หายไปนานเชียว  นึกว่าหลงทางไปไหนเสียแล้ว”  พี่ดิมขมวดคิ้วแวบหนึ่ง  คงสังเกตเห็นว่าตาเขาแดงกว่าปกติกระมัง   แต่ช่างเถอะ   อย่างน้อยสิ่งที่เขาทำได้ตอนนี้ก็คือ  ไม่ทำให้อีกฝ่ายต้องเป็นห่วงกังวลมากเกินไป

          “ไม่ได้หลงหรอก  กำลังดู...ง่า  ภาพวาดในห้องน้ำอยู่  สวยดี”  เขาพูดส่งๆไป  พี่ดิมพยักหน้ารับ  คงไม่สงสัยอะไร  พาเดินกลับเข้าไปในครัว 

          เตเข้าไปช่วยมารดาและเพื่อนสนิทของพี่ดิมจัดโต๊ะอาหาร  พี่ดิมแทบไม่ปริปากพูดออกมาเลย  ตรมข้ามกับพี่รันที่แทบเป็นฝ่ายควบคุมการสนทนาเอาไว้   แต่พี่ันก็น่ารักตรงที่ไม่ลืมชวนเตคุยด้วย  ไม่ปล่อยให้เขานั่งเด๋ออยู่คนเดียว   ทุกคนไม่มีใครเปิดปากเรื่องการไปใช้ทุนของพี่ดิมอีกเลย

          แม้แต่พี่ดิมเองก็ไม่พูด   กระทั่งกลับมาส่งเขาที่หอพักแล้วก็ตาม

         

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
         


          “พี่...  เตถามจริงๆเถอะ  เรื่องที่พี่จะไปใช้ทุน  พี่ดิมยัง....”

          “ชู่ว...”  พี่ดิมยกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากของเขาเป็นเชิงห้าม  ยิ้มนิดๆ

          “นายก็รู้ว่าพี่เป็นคนไม่เปลี่ยนใจอะไรง่ายๆ   เราจะไม่พูดเรื่องนี้กันอีก   นายแค่เตรียมตัวหอบผ้าหอบผ่อนหนีตามพี่ไปอยู่แพร่ก็พอ  เข้าใจมั้ย”

          “หนีตามอะไรกันเล่า  โธ่”  เขาหัวเราะออกมาได้หน่อยนึง    พี่ดิมหัวเราะออกมาบ้าง   นัยน์ตาคมคู่นั้นมีแววกังวลฉาบอยู่บางๆ พลางด้วยรอยยิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นของเค้า

          “เราต้องสู้นะครับ  คนดี  อย่าเพิ่งยอมแพ้เสียก่อน    พี่รักเตมากนะ  รู้หรือเปล่า”  พี่ดิมกระซิบ

          “ผมก็รักพี่ดิมมาก”  ...รักมากกว่ารักตัวเอง....ประโยคสุดท้ายเขาไม่ได้พูดออกไป   หากแต่เงยหน้าขึ้น ใช้สัมผัสทางกายส่งผ่านความรู้สึกนั้นไปยังเขา  ความอบอุ่นที่ห้อมล้อมอยู่รอบกาย   ความหวานที่คุ้นเคยทว่าไม่เคยรู้สึกเพียงพอและความสับสนวุ่นวายใจอยู่ลึกๆที่เขาสามารถรับรู้ได้ผ่านสัมผัส

          พี่ดิมกำลังลังเล...

          เช่นเดียวกันกับเขา


          “คืนนี้พี่คงนอนไม่หลับเพราะต้องนอนคนเดียว”  พี่ดิมกระซิบนัยน์ตาพราว

          “อดทนไปก่อนนะ  ฝันดีครับ”  เตกระซิบตอบ  ก่อนที่เราจะแยกจากกัน   เขายืนมองร่างของพี่ดิมเดินออกไปจากหอจนลับสายตา    ถอนหายใจเฮือกใหญ่  เดินกลับเข้าไปในอาคาร

          “พ่อหนุ่มๆ  เรานั่นแหละ  มานี่ก่อน  มีคนโทรมาฝากเรื่องเอาไว้”  ป้าแม่บ้านกวักมือเรียกเขาทันทีที่เห็นหน้า   ติณธรขมวดคิ้ว  เดินเข้าไปหา  นางหยิบกระดาษโน้ตขึ้นมาส่งให้

          “เขาโทรมาจากเบอร์นี้  บอกให้เราโทรกลับด่วน”    สังหรณ์ใจอย่างประหลาด  เตรีบยกหูโทรศัพท์หอขึ้นกดเบอร์โทรตามหมายเลขที่ปรากฏอยู่บนกระดาษ

          “สวัสดีค่ะ  คุณติณธรหรือคะ   เป็นญาติของคุณน้องดาวใช่มั้ยคะ  ที่นี่คลินิก.....”   เตกำลังจะเอ่ยปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นญาติอะไรกับน้องดาว   ทว่าเรื่องราวที่อีกฝ่ายพูดมามันทำให้เขาขนลุกทั้งตัว  รู้เองโดยไม่ต้องถามว่าน้องดาวที่อีกฝ่ายพูดหมายถึงคือใคร

          “……………รีบมานะคะ  น้องตกเลือดมาก”   อีกฝ่ายย้ำเป็นประโยคสุดท้ายก่อนที่ชายหนุ่มจะวางหูอย่างมึนงง 

          “ว่าไงพ่อหนุ่ม มีเรื่องอะไรหรือเปล่า   นั่งก่อนมั้ย  นี่ป้ามียาดม  อ้าว”  เขาเผลอปัดมือที่ส่งยาดมให้เขา  เดินเร็วๆออกมาด้านนอก ทั้งที่ใจหวิวๆชอบกล  กึ่งเดินกึ่งวิ่งออกมายังถนนใหญ่  ยกมือขึ้นโบกเรียกแท็กซี่

          ภาวนาให้ตนเองไปทัน  ขออย่าให้ข้าวตังเป็นอะไรไป

                   นั่งรถมาจนถึงสถานที่ที่ปลายสายบอก  ด้านนอกเป็นอาคารตึกแถวสองชั้นติดถนนใหญ่  มีป้ายเขียนเอาไว้ว่าเป็นคลินิกรักษาโรคทั่วไป  ไม่มีตรงไหนที่จะทำให้คนผ่านไปผ่านมารู้ได้เลยว่า  แท้จริงแล้วคลินิกนี้รักษา ‘โรค’ อะไรกันแน่

          เตผลักประตูไปภายในห้องสองคูหานั้น  แอร์เย็นฉ่ำที่สัมผัสร่างไม่สามารถทำให้หัวใจร่อนรุ่มของเขาเย็นลงได้  หญิงสาวแต่งกายสวยงามที่คงเป็นพนักงานต้อนรับของที่นี่จ้องมองเขาอย่างฉงน  ก่อนจะฉีกยิ้มรับ

          “ติดต่ออะไรคะ  มาพบคุณหมอหรือเปล่า”

          “ผม...เป็นญาติของคนไข้...น้องดาว  ที่เมื่อสักครู่นี้มีคนโทรไปบอกว่าเธอ...ง่า...กำลังอาการหนัก”  สิ้นประโยคนั้น เธอก็พยักหน้ารับทันที  ยกโทรศัพท์ขึ้นคุยสองสามประโยค จากนั้นก็วางสาย  หน้าตาของเธอเคร่งเครียดทีเดียวตอนที่บอกให้เขาขึ้นไปยังชั้นสองของคลินิก

          “ตามคุณคนนั้นไปขึ้นบันไดทางด้านหลังนะคะ”  หญิงสาวอีกคนที่โผล่มายืนอยู่ข้างๆเขาอย่างเงียบเชียบพยักหน้าให้นิดหนึ่ง  ก่อนจะเดินนำเขาไปทางด้านหลังของคลินิก  ผ่านห้องว่างๆหลายห้องที่เขาเดาว่าคงจะเป็นห้องตรวจคนไข้และบันไดขึ้นไปชั้นสอง  ทว่าเธอกลับเดินนำเขาผ่านบันไดไปข้างหลัง

          เปิดประตูเล็กออกมาเจอเข้ากับบันไดวนแคบๆ  ค่อนข้างมืด  กลิ่นคาวบางอย่างลอยลงมาเตะจมูกทันทีที่เดินตามหลังคนนำทางขึ้นไปยังชั้นสอง   เตขนลุกไปทั้งตัวเมื่อเดาได้ว่านี่คือกลิ่นของอะไร 

          ใจเต้นแรง  คิดกลัวไปสารพัด   ตังน้องพี่จะเป็นอย่างไรบ้าง  เลือดอาบท่วมตัวหรือเปล่า  เขาจะไปทันมั้ย  เธอจะไม่เป็นอะไรใช่มั้ย

          “ห้องนี้ค่ะ   เข้าไปได้เลย”  จู่ๆเธอคนนั้นก็หยุดกึก  ตรงหน้าห้องที่มีป้ายเขียนแปะที่บานประตูเก่าซีดเอาไว้ลวกๆว่า ‘ไม่ว่าง  ห้ามรบกวน’   เตกำมือแน่น  เหงื่อออกจนชื้น   กลั้นใจยกมือขึ้นเคาะที่บานประตูไม้เบาๆ  ได้ยินเสียงพูดจากด้านในว่า “เชิญค่ะ”

          เขาไม่เคยลืมวินาทีนั้นเลย  ตอนที่เห็นร่างของน้องสาวนอนหลับตานิ่งอยู่บนเตียง  ไม่มีคราบเลือดอย่างที่นึกกลัว   ใบหน้ารูปหัวใจซีดเผือดแทบจะเท่าๆกับปลอกหมอนที่ขาวที่หนุนอยู่  ความคิดแรกที่แล่นเข้ามาก็คือ  เธอตายแล้วหรือ...ไม่จริงใช่ไหม

          ชายหนุ่มยืนนิ่งเหมือนถูกตรึง จนกระทั่งได้ยินเสียงแหลมเล็กของผู้หญิงอีกคนที่เขาไม่ทันสังเกต ดังขึ้นข้างตัว

          “คุณเป็นญาติของคุณน้องดาวใช่ไหม  น้องดาวเลือดออกมาก  โดยที่เรายังไม่ทันได้เริ่มทำหัตถการใดๆเลย  จู่ๆเธอก็มีเลือดไหลออกมาทางช่องคลอดเอง  ทางเราก็เลยให้น้ำเกลือไปแล้วก็พยายามห้ามเลือด....”

          “เธอ...ยังไม่ตายใช่มั้ย”  เตถามเสียงเบาราวกับกระซิบ  เดินเข้าไปหา  ยกมือขึ้นแตะที่ซีกแก้มนวลซีดเซียว

          “ยังค่ะ  แค่เสียเลือดก็เลยเพลียนอนหลับไป”   ลมหายใจของเธอกระทบเข้าเบาๆที่ปลายนิ้วของเขา ยืนยันคำพูดของหญิงสาว   แพขนตาหนาขยับน้อยๆ

          เตค่อยๆผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ  อย่างน้อยตังก็ยังมีชีวิตอยู่

          “คุณเป็นหมอที่ดูแลเธอหรือครับ”  เขาถาม  แต่ไม่ได้ยินคำตอบเลยหันไปมองข้างตัว  ไม่พบร่างของหญิงสาวเมื่อครู่อีก   ขนลุกเกลียวขึ้นมานิดหนึ่ง  ขยับจะมองหาก็พอดีน้องสาวลืมตาขึ้นมา

          เธอมองหน้าเขาอย่างตกใจ  แล้วก็ร้องไห้โฮออกมา

          “พี่เต.....ตังขอโทษ  ตังผิดไปแล้ว   ตังมันเลวเอง  ตังเลวยิ่งกว่า....”  เธอบริภาษตัวเองอย่างรุนแรง  จนคนได้ยินตกใจ

          “ตัง!  พูดอะไรอย่างนั้น”

          “มันยังน้อยไปด้วยซ้ำกับที่ตังทำกับลูก  พี่เต ฮือ  ตังฆ่าลูกตัวเองไปแล้ว  ลูกไม่ได้อยู่กับตังแล้ว  ฮือ”  เธอยกมือขึ้นปิดหน้า พูดขาดเป็นห้วงๆ  พี่ชายพยายามจะจับใจความของประโยคอย่างยากลำบาก

          “แล้วหมอเขาว่ายังไง”

          “ที่นี่ไม่มีหมอ  มีแต่ใครไม่รู้พี่  ฮือ  น่ากลัวมาก  ตังกลัวเหลือเกิน”  เธอตัวสั่นน้อยๆ  พูดวกไปวนมาจนชายหนุ่มเริ่มกังวลว่าเธอจะโดนยาอะไรเข้าหรือเปล่า  ตัดสินใจได้ว่าควรจะรีบพาน้องสาวไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด  คิดได้ดังนั้นเขาจึงก้มลงช้อนตัวน้องสาวขึ้นมาอุ้มเอาไว้

          “ไปจากที่นี่กันเถอะ”  เขาพูดสั้นๆ  กลั้นใจอุ้มน้องสาวเดินลงบันไดแคบๆทะลุออกทางด้านหลัง  แปลกใจที่ไม่พบใครเลย  ชายหนุ่มอุ้มน้องสาวออกมายังด้านนอกอาคาร   ยกมือก็โบกรถ   

          “อดทนนิดนะตัง”   เหงื่อชุ่มแผ่นหลัง  ในที่สุดก็มีรถแท็กซี่จอดรับพวกเขาสองคน  เตรีบบอกที่หมาย  ไม่ถึงสิบนาทีเขาก็มาถึงโรงพยาบาลเอกชนขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่ใกล้ที่สุดที่เขานึกออก

          หญิงสาวถูกเข็นเข้าห้องฉุกเฉินทันที  เตทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ด้านหน้าห้องฉุกเฉินนั้นอย่างคนหมดแรง   คราบเหนียวๆสีแดงเข้มอุ่นติดอยู่บนอกเสื้อและกางเกง  รวมถืงมือของเขาทั้งสองข้าง   คงเป็นเลือดของหญิงสาวที่ไหลออกมาอีกตอนที่เขาอุ้มมาที่นี่

          กลิ่นคาวของมันทำให้เขาใจสั่นหวิวเหมือนจะเป็นลม  เป็นห่วงน้องสาวและลูกในท้องของเธอจับใจ  แม้จะค่อนข้างมั่นใจว่าคงจะไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าหลานแล้วก็ตาม   ตอนนี้ขอแค่น้องสาวรอดชีวิต  เขาก็ดีใจที่สุดแล้ว

          เตนั่งมองนาฬิกาที่ติดอยู่บนผนังตรงหน้าเขา  เข็มนาฬิกาขยับไปเรื่อยๆตามเวลาที่ผ่านไป  เขาไม่รู้ว่านั่งอยู่ตรงนี้มานานเท่าใดแล้ว  สายตาจดจ้องแต่สมองกลับไม่รับรู้  เขานั่งเหม่อเฝ้ารอว่าเมื่อไหร่ประตูห้องที่น้องสาวหายเข้าไปจะเปิดออกมาเสียที

          ผู้คนเดินผ่านไปผ่านมา  แม้จะเป็นยามค่ำคืน  แต่ที่โรงพยาบาลก็ยังคึกคัก  ญาติผู้ป่วยหลายคนนั่งกอดเข่ารออยู่ด้านนอก  สายตาก็คอยเหลือบมองไปยังประตูห้องที่ญาติมิตรสหายหรือคนรักของพวกเขาหายลับเข้าไป  บ้างก็ยกมือขึ้นสวดมนต์ภาวนา  คงอธิษฐานขอให้คนข้างในรอด  เหมือนที่เขากำลังขอ

          ชายหนุ่มสบตากับหญิงชราผู้หนึ่งที่นั่งตรงข้ามเขา  ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความทุกข์โศกราวกับเดาได้ว่าอนาคตข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น  เมื่อประตูเปิดออกมา  เธออาจจะไม่ได้พบหน้าบุคคลอันเป็นที่รักของเธออีกแล้ว

          “มารอใครหรือ พ่อหนุ่ม”  เธอถามขึ้นมาเบาๆ

          “รอน้องสาวครับ  คุณยายล่ะครับ”  เขาถามกลับ  อย่างน้อยการที่มีคนคุยด้วยน่าจะช่วยลดความฟุ้งซ่านของเขาลงไปได้บ้าง

          “ยายมารอตา  เขาหายเข้าไปนานแล้วนะ”  เธอหยุดถอนหายใจ

          “คุณตาเป็นอะไรมาหรือครับ” 

          “เขานอนหลับน่ะ  นอนกลางวันเหมือนเคย  แต่วันนี้เขาไม่ยอมตื่น  ยายเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น”  เสียงเธอเครือสั่นน้อยๆ  ชายหนุ่มจึงยื่นมือออกไปกุมมือเหี่ยวย่นที่วางอยู่บนตักของเธอแล้วบีบเบาๆ

          “คุณตาจะต้องตื่นขึ้นมาแน่ๆฮะ  วันนี้คุณตาคงจะเหนื่อยก็เลยนอนเพลินไปหน่อย”

          “ยายก็ว่าอย่างนั้น  ตานี่เป็นอย่างนี้ประจำ  ชอบทำให้ฉันเป็นห่วง”  น้ำตาคลอขึ้นมาในดวงตาที่ขุ่นมัว  หญิงชรามองหน้าเขาแต่คล้ายมองทะลุผ่าน  ย้อนกลับไปในความทรงจำของตนเอง  “ตั้งแต่หนุ่มๆแล้ว  ชอบไปไหนไม่บอก  มาตอนนี้ก็ทำท่าจะทิ้งฉันไปดื้อๆอีก”

          “คุณยายมีลูกไหมฮะ”

          “ไม่มีหรอก  อยู่กันสองคนตายาย  ...พ่อหนุ่มล่ะ  รอน้องสาวอยู่เหรอ   เป็นอะไร”

          “เธอไม่สบายมากครับ  เป็นเพราะผมเอง...ที่ดูแลเธอไม่ดีพอ”  ชายหนุ่มพูดออกมาจากใจ  “ผมมัวแต่หมกมุ่นเรื่องของตัวเองจนลืมเธอไป   ผม...เห็นแก่ตัวมาก”  เสียงของเขาแตกพร่า  เตเสียใจจริงๆที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับน้องสาวโดยที่ตัวเขาเองไม่สามารถช่วยอะไรน้องได้เลย

          “น้องสาวอายุเท่าไหร่แล้วล่ะ”

          “18 ย่าง 19 แล้วครับ”  เธอพยักหน้ารับ

          “โตแล้ว...เขาก็มีชีวิตของตัวเอง...อ้าว  หมอออกมาแล้ว”  เตหันไปมอง เห็นประตูห้องฉุกเฉินเปิดออกพร้อมกับร่างของนางพยาบาลและแพทย์   เขาช่วยพยุงหญิงชราให้ลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงเข้าไปหาด้วยกัน

          “ญาติของนายปรีดา......หรือเปล่าครับ”  เขาเอ่ยชื่อผู้ชายคนหนึ่ง  หญิงชรารับคำอย่างสงบ  “ผมเป็นแพทย์ฉุกเฉินที่ดูแลรักษาคุณปรีดานะครับ  ผมขอแสดงความเสียใจด้วยครับ  ตอนที่มาถึงโรงพยาบาลคุณปรีดาหัวใจหยุดเต้น  ทีมแพทย์ได้พยายามช่วยจนถึงที่สุดแล้ว แต่อาการของคุณปรีดาค่อนข้างหนัก และมาโรงพยาบาลช้าเกินไป......”  คุณหมอคนนั้นพูดอะไรต่อมาอีกหลายประโยค  คนฟังได้แต่พยักหน้ารับเงียบๆ  ไม่ได้ซักถามอะไร  คุณยายคนนั้นไม่พูดอะไรเลย  เธอเดินเข้าไปในห้องด้านในเพื่อไปพบสามีเป็นครั้งสุดท้าย

          “ส่วนคุณดาวกระดับ  คุณเป็นญาติของคุณดาวประดับใช่ไหมครับ”  เตรับคำ “คุณดาวประดับมีอาการเลือดออกมากทางช่องคลอด  ตอนที่มาถึงโรงพยาบาล  ผู้ป่วยมีความดันค่อนข้างต่ำทางเราจึงได้ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำไปนะครับ  ส่วนเลือดที่ออกตอนนี้หยุดแล้ว  จากที่อัลตราซาวน์ดูทารกในครรภ์  หัวใจยังเต้นปกติดีนะครับ  อย่างไรก็ตามต้องปรึกษาสูตินารีแพทย์เพื่ออัลตราซาวน์ซ้ำคอนเฟิร์มอย่างละเอียดอีกที   ยังไงก็คงต้องช่วยมารดาของเด็กก่อนนะครับ....เอ่อ  คุณครับ  ผมอยากขออนุญาตซักประวัติเพิ่มเติม…..”  คนฟังสะดุ้ง  เขามัวแต่โล่งอกที่รู้ว่าคนที่รักทั้งสองปลอดภัยดี

          หมอซักประวัติเพิ่มหลายอย่าง ซึ่งเตก็ตอบออกไปตามตรงว่าน้องสาวไปคลินิกทำแท้งเถื่อนมา  ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำอะไรไปบ้าง  ครู่ใหญ่เขาก็ได้เข้าไปหาน้องสาวที่นอนอยู่ด้านใน

          ใบหน้าของเธอมีสีเลือดขึ้นมาบ้าง  แต่ยังคงหลับตาอย่างเหนื่อยอ่อน  สองมือมีเข็มน้ำเหลือแทงอยู่   เสียงเครื่องมอนิเตอร์ดังติ้ดๆเป็นจังหวะ  เตจับมือของเธอบีบแน่น  พูดไม่ออก

          เขาทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียง  ยกมือขึ้นปัดเส้นผมให้พ้นใบหน้าของเธอ  สงสารน้องสาวจับใจ   เธอคงจะต้องเครียดมากแน่ๆ  ในขณะที่เขาผู้เป็นพี่ชายที่สัญญากับพ่อแม่ของเธอเอาไว้ว่าจะดูแลเธออย่างดี  กลับมัวแต่คิดเรื่องตัวเอง 

          แต่จะทำไงได้....อีกครั้งที่ใบหน้าคมเข้มของคนรักผุดวาบเข้ามาในความคิด   เวลาของเราสองคนงวดเข้ามาทุกที  ถึงเวลาที่เขาควรจะตัดสินใจแล้ว

          เตรู้ตัวเองดีว่ารักพี่ดิมมาก  และคงทนไม่ได้แน่ถ้าตัวเขาจะกลายเป็นตัวถ่วงอนาคตของพี่ดิมเสียเอง  เขารู้ว่าพี่เค้าลังเลอยู่  ไม่ใช่ว่าไม่รักเต  แต่กับอนาคตของเค้าทั้งชีวิตที่เหลือ  ระหว่างอาจารย์แพทย์กับแพทย์ใช้ทุนธรรมดาต่างจังหวัด  มันก็เลือกลำบากอยู่ดี  ไหนจะต้องขัดใจมารดาอีก

          ส่วนข้าวตัง  ในชีวิตของเธอไม่เหลือใครเลย นอกจากเขากับลูก  เขาจะใจร้ายปล่อยเธออยู่คนเดียวได้เหรอ  แต่งงานกับพี่ดิม  ย้ายไปใช้ชีวิตสงบสุขที่ต่างจังหวัด  ถึงเขาจะพาตังไปด้วย  แต่เธอจะมีความสุขหรือเปล่า  การกระทำของเธอที่ผ่านมาก็บอกชัดอยู่แล้วว่า  เขาไม่สามารถปล่อยให้เธออยู่คนเดียวได้

          แล้วเขาต้องรอถึงเมื่อไหร่?  กว่าน้องสาวจะเข้มแข็ง

          แล้วตัวเขาเอง   จะเข้มแข็งพอที่จะตัดสินใจปล่อยพี่ดิมไปจากชีวิตหรือ....ไม่มีทาง

          ที่เตียงข้างกันมีผ้าม่านล้อมอยู่  เขาเห็นร่างของหญิงชราที่นั่งคุยกันเมื่อครู่ยืนนิ่งๆอยู่หน้าม่าน  เตลุกขึ้นเดินเข้าไปหาเธอ  ใบหน้าเหี่ยวย่นไม่มีน้ำตาสักหยด  ทว่าเขากลับสัมผัสได้ถึงความโทมนัสของเธอ

          “คุณยาย  ผมเสียใจด้วยนะครับ”

          “จ้ะ  เขาไปสบายแล้ว  ไปดีแล้วล่ะ”  ยายพึมพำ “ทำใจไว้แล้ว   แต่มันก็อดใจหายไม่ได้นะ  เห็นกันอยู่ทุกวัน”

          “คงต้องใช้เวลา”  เตพูดเสียงเบา

          “ความจริงแล้วเขาก็ไม่ได้ไปไหนไกลหรอกพ่อหนุ่ม  อยู่ในนี้แหละ”  คุณยายยกมือขึ้นทาบอกตัวเองเบาๆ  แล้วยิ้มให้เขา   “ชาติหน้าก็คงเกิดมาเจอกันอีก....”

          ชาติหน้าเลยเหรอ  ทำไมคุณยายถึงได้มั่นใจนัก  ขนาดเขาแค่ชาตินี้ก็ยังไม่แน่ใจเลยว่า  ถ้าแยกกับพี่ดิม เราจะได้กลับมาพบกันอีกครั้ง

เส้นทางเดินระหว่างเขากับอีกฝ่ายก็คงจะแยกจากกันอย่างไม่มีวันกลับมาบรรจบกันได้อีก 

แล้วเขาจะทนได้เหรอ

          “ทานข้าวต้มกุ้งกันไหม”  เตเพิ่งสังเกตเห็นปิ่นโตในมือคุณยาย  เธอถามเขายิ้มๆ  “ยายทำมาให้ตาเขาน่ะ ตั้งใจว่าจะให้เขากินตอนเช้าถ้าเขาฟื้น  เห็นบอกว่าอยากกินมาหลายวันแล้ว  ยายก็มัวแต่ผัดวัน ขี้เกียจทำ   เสียดาย...”  น้ำตาของคนพูดรื้นขึ้นมานิดหนึ่ง  “ถ้ารู้ก่อนว่าจะเป็นแบบนี้ก็คงรีบทำให้กินไปนานแล้ว”

          เตปฏิเสธอย่างสุภาพ  หญิงชราส่งยิ้มให้เขา  เหลือบมองน้องสาวที่นอนอยู่บนเตียงแวบหนึ่ง

          “ดูแลเธอดีๆล่ะ  จะได้ไม่ต้องเสียใจทีหลัง  ประเดี๋ยวยายไปติดต่อเขาก่อน  ไม่เป็นไรจ้ะ ไม่ต้องช่วย....ขอบคุณมากนะพ่อหนุ่ม”  เตจับมือของเธอส่งกำลังใจให้อีกครั้ง มองดูเธอเดินออกไปจากห้องด้วยท่าทางมั่นคง

          เป็นคนที่เข้มแข็งมากทีเดียว  แล้วเขาล่ะ  จะทำใจ ‘จาก’ คนรักได้แบบที่คุณยายทำได้หรือ  ทั้งที่นี่คือการ ‘จากตาย’  ชาตินี้ไม่มีทางได้พบหน้ากันอีกแล้วแท้ๆ  คุณยายยังสามารถยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตัวคนเดียว   แล้วถ้าเขาต้อง ‘จากเป็น’  ต้องเป็นฝ่ายตัดความสัมพันธ์ก่อน

          เขาทำไม่ได้หรอก   ให้ตายก็ทำไม่ได้ 

          พี่ดิมต้องเสียใจมาก  คิดมาถึงตรงนี้  เขาก็ทนไม่ไหวแล้ว...

          “พี่เต...”  เสียงเล็กเบาดังมาจากร่างที่นอนนิ่งสงบอยู่ด้านหลัง   เตหันไปมอง  เห็นสาวน้อยคนเขาเป็นห่วงกังวลมาทั้งคืนนอนลืมตา  ท่าทางยังอิดโรยอยู่มาก   เขารีบเดินเข้าไปหา

          “ตัง  เป็นไงบ้าง  ตื่นแล้วเหรอ”  กุมมือน้องสาวเอาไว้มั่น   ดวงตากลมโตมีหยาดน้ำตาคลอช้อนเงยขึ้นสบตาเขา

          เธอพยักหน้านิดหนึ่ง แล้วเม้มปากแน่น

          จากนั้นไม่ว่าเขาจะพยายามชวนคุย ซักถามอย่างไร เด็กสาวก็ไม่ยอมตอบอีกเลย   เธอเอาแต่ร้องไห้เงียบๆ  แม้แต่นายแพทย์ที่มาดูอาการก็ยังกลุ้มใจ  เพราะคนไข้ไม่ยอมพูดคุยด้วย  ไม่ยอมให้ความร่วมมือในการตรวจรักษาใดๆ

          อาการทางกายของเธอค่อยๆดีขึ้นตามลำดับ   ทารกในครรภ์ปลอดภัยดีราวกับมีปาฏิหาริย์  ตรงข้ามกับอาการทางใจที่กลับทรุดลงไปเรื่อยตามเวลาที่ผ่านไป  หญิงสาวไม่พูดคุย  ไม่ขยับตัว  ไม่แม้แต่จะหันมาสบตาพี่ชายของตัวเอง  เธอเอาแต่นั่งเหม่อเป็นวันๆ  บางทีก็นอนร้องไห้

          แพทย์เจ้าของไข้ส่งเธอเข้าพบจิตแพทย์   เตเครียดกับอาการของน้องสาวจนแทบจะเป็นบ้าตามไปด้วย  เขาต้องงดการสอนพิเศษเด็กมัธยมไป เหลือแค่งานเขียนเป็นชิ้นๆช่วยรุ่นพี่เท่านั้น

          ส่วนเรื่องของพี่ดิม…


         *******************************

มาต่อจนจบตอน ขอบคุณทุกคนที่ติดตามค่ะ
 :hao5:

         



 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด