ต่อนะคะ
เขาหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องพักผู้ป่วยพิเศษชั้น 7 ห้องริมสุดทางระเบียง เพ่งมองผ่านบานกระจกเล็กๆสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ประตูห้อง มองเข้าไปด้านใน ไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดๆ คงมีหญิงสาวนอนอยู่คนเดียวเป็นแน่
ครุ่นคิดอยู่นานว่าควรจะเปิดเข้าไปภายในห้องเลยดีมั้ย อาศัยจังหวะที่ไม่มีญาติเฝ้าอยู่นี่ล่ะ จะได้สอบถามความจริงที่ค้างคาใจเขาจนทำให้นอนไม่หลับ ต้องรีบเผ่นมาที่โรงพยาบาลตั้งแต่เช้ามืดเช่นนี้
ความจริงเมื่อ 8 ปีก่อน อาจมีเรื่องที่เขาไม่รู้
เข้าไปถามตรงๆเลยดีไหม หรือว่าปล่อยให้เรื่องมันกลายเป็นอดีต ไม่จำเป็นต้องไปขุดคุ้ย จะไปรื้อฟื้นขึ้นมาทำไมล่ะ ไม่มีประโยชน์อะไร ตอนนี้เราก็มีความสุขดีอยู่แล้ว...
ลึกสุดใจ รดิศไม่อยากยอมรับว่าเขากำลังกลัว....กลัวว่าเขาจะทำผิดพลาดอะไรบางอย่างไปแล้ว เพราะความไม่รู้...ความรู้สึกของใครบางคนที่เขาอาจจะทำลายทิ้งไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ สังหรณ์ของเขาบอกว่า มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ข้าวตังเข้ารับการผ่าตัดในวันนั้น วันเดียวกับที่ตั้งเตบอกเลิกเขา
เรื่องบังเอิญไม่เคยมีอยู่จริง
เสียงคนเดินคุยโทรศัพท์มาตามทางเดิน เขาจำเสียงของใครคนหนึ่งได้แม่นยำ ใจเต้นรัวราวกับกลอง โอกาสของเขาหมดไปแล้วอย่างน่าเสียดาย มองซ้ายขวาหาที่หลบก็เห็นเพียงเก้าอี้รับแขกที่วางเป็นแนวอยู่หลังตันไม้ประดับข้างๆห้อง จึงรีบสาวเท้าเข้าไปนั่ง ได้ยินเสียงอีกฝ่ายพูดนัดแนะกับใครสักคนก่อนที่จะเปิดประตูเข้าไปภายในห้องพักผู้ป่วย
นั่งคิดหาวิธีเข้าถึงตัวข้าวตังอยู่พักใหญ่ ประตูห้องพักผู้ป่วยก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง นักเขียนหนุ่มกลับออกมา พอดีกับที่นายภาคย์มาถึง ร่างสูงตรงเข้ามาประคองตั้งเตให้เดินเข้ามานั่งพักที่อีกด้านของแนวเก้าอี้ กลายเป็นว่าพวกเขากำลังนั่งหันหลังให้กัน โดยที่มีแนวต้นไม้ประดับบังสายตาไว้หลวมๆ นายแพทย์เอื้อมมือไปหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมากางทำทีเป็นอ่าน
ทว่าตัวอักษรที่เรียงรายเต็มพรืดกลับไม่เข้าสู่สมองเขาเลยสักนิด มีเพียงเสียงสนทนาของคนสองคนที่ถึงจะพูดเบาแสนเบา เขาก็ยังอุตส่าห์ได้ยินเข้าจนได้
“คุณข้าวตังเป็นอย่างไรบ้าง นอนโรงพยาบาลมาหลายวันแล้วนี่ หมอเขาจะให้กลับหรือยัง.......ผมเข้าใจสถานการณ์ของคุณดี ไม่เจอกันอาทิตย์เดียว...นี่น้ำหนักคุณลงไปกี่กิโลเนี่ย ข้อมือเหลือนิดเดียวเอง” ดิมมองผ่านหนังสือพิมพ์เห็นอีกฝ่ายคว้าข้อมือบางไปกุมเอาไว้ เขาเผลอกำกระดาษหนังสือพิมพ์แน่นจนยับ เกิดเสียงดังกรอบแกรบ แต่ดูเหมือนว่าสองคนนั้นจะไม่ได้ยินด้วยซ้ำ ราวกับโลกทั้งใบเหลือแค่พวกเค้าเพียงสองคน
เหอะ เมียนอนป่วยอยู่ในห้องพัก ยังมีหน้ามา ‘สวีท’ กันหน้าห้องอีกเหรอ คุณหมอหนุ่มคิดในใจ เม้มปากแน่น เงี่ยหูฟังได้ยินเสียงสนทนากันแว่วๆ
“ผมว่าเที่ยงนี้ผมพาคุณไปกินอะไรที่มันดีกว่าข้าวกล่องของโรงพยาบาลหรืออาหารตามสั่งหน้าตลาดดีไหม เกิดคุณเป็นอะไรขึ้นมาจะทำอย่างไร” นายภาคย์พูดขึ้นแล้วออกแรงฉุดร่างโปร่งบางแทบปลิวลมให้ลุกขึ้นยืน
เตออกเดินตามแรงฉุดของฝ่ายนั้นแต่โดยดี ไม่มีการขัดขืน
เขากำหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นจนมันยับยู่ยี่คามือโดยไม่รู้ตัว อารมณ์ฉุนเฉียวที่ไม่รู้มาจากไหนมากมายถาโถมเข้ามาใส่เมื่อเห็นคนทั้งสองเดินเคียงคู่ไปด้วยกัน
ชายหนุ่มข่มอารมณ์อยู่ครู่ใหญ่จนใกล้เคียงกับปกติแล้ว จึงเดินมาหยุดยืนที่หน้าห้องของหญิงสาวอีกรอบ ครั้งนี้นายแพทย์รุ่นน้องมาถึงพอดี
“พี่ดิม ขอโทษครับที่มาช้าไปนิดหนึ่ง รถติดครับ พี่ได้รับข้อมูลที่ผมส่งให้แล้วใช่ไหมครับ” ธนพลถาม หายใจหอบน้อยๆ เพราะวิ่งขึ้นบันไดมาจากที่จอดรถ เนื่องจากพยาบาลโทรไปบอกว่านายแพทย์รุ่นพี่มาถึงก่อนนานแล้ว และเขารู้นิสัยอีกฝ่ายดีว่า เป็นคนตรงต่อเวลาแค่ไหน ยิ่งเห็นใบหน้าคมเครียดขรึมผิดปกติก็ยิ่งใจเสีย
“ได้รับแล้ว ห้องนี้ใช่ไหม” ดิมพูดเรียบๆ อีกฝ่ายรีบกุลีกุจอเคาะประตูห้องและเดินนำเข้าไปด้านใน ศัลยแพทย์รุ่นพี่ชะงักนิดหนึ่ง นิดเดียวเท่านั้นสำหรับการตัดสินใจอีกรอบ
หลังจากนี้เขาจะไม่เสียใจใช่ไหม มันจะเป็นอย่างไรต่อ?...คำถามที่ไม่มีใครรู้คำตอบ เพราะไม่มีใครสามารถล่วงรู้อนาคตได้ เหมือนกับที่ไม่มีใครสามารถแก้ไขเรื่องราวในอดีตได้เช่นกัน
.................................................................................................
“ผมจะเป็นคนผ่าตัดให้เธอเองครับ ....ผมนายแพทย์รดิศ ศัลยแพทย์ทรวงอกและหัวใจ อเมริกันบอร์ด คุณเป็นสามีของคุณดาวประดับใช่ไหมครับ” เขาแกล้งพูดราวกับไม่รู้จักอีกฝ่ายมาก่อน สบตาของเตยิ้มๆ ส่งมือไปให้จับ อีกฝ่ายนิ่งไปอึดใจ ก็ส่งมือบางมาให้
เราจับมือกัน ฝ่ามือของเขาร้อนชื้นเหงื่อ ตรงข้ามกลับอีกฝ่ายที่เย็นเฉียบ
“ยินดีครับ” เตพูดเสียงเบา ไม่สบตาเขา ดิมยิ้มมุมปาก
“เดี๋ยวผมคงต้องขอซักถามประวัติเพิ่มนะครับ ....” นายแพทย์หนุ่มหันไปทางคนป่วยที่นอนมองเหตุการณ์ทุกอย่างอยู่เงียบๆ ข้าวตังส่งยิ้มเซียวมาให้เขา วูบหนึ่งที่เขารู้สึกสงสารเธอ พร้อมๆกับคำถามที่ต้องการหาคำตอบ
ดิมพยายามเต็มที่ที่จะเพ่งสมาธิอยู่ที่คนป่วย ทว่าก็อดวอกแวกไปที่ผู้ชายตัวเล็กที่ยืนกุมมือภรรยาอยู่ไม่ห่างไม่ได้
“ผมขออนุญาตตรวจร่างกายก่อน เชิญญาติรอด้านนอกนะครับ” เขาพูดเรียบๆ พยักหน้าให้พยาบาลช่วยจัดการให้เรียบร้อย เตถอยออกไปรอนอกม่านแต่โดยดี
จากการตรวจร่างกาย เขาก็รู้ได้ทันทีว่าหญิงสาวต้องการการผ่าตัดโดยเร็วที่สุด เท่าที่จะทำได้ ร่างกายของเธอเหมือนรถยนต์ที่ชำรุดและใกล้พังเต็มที รอยแผลเป็นที่กลางอกบอกเขาว่าเธอเคยผ่าตัดมาก่อนแล้ว ตรงตามที่เขาได้อ่านประวัติของเธอมา
“เหนื่อยใช่ไหมครับ นอนพักก่อนครับ ไม่ต้องกังวลเรื่องผ่าตัดนะครับ หมอจะทำให้ดีที่สุด” เขาพูดยิ้มๆ หญิงสาวยกมือขึ้นจับแขนของเขาเอาไว้ เงยหน้าขึ้นพูดเสียงเบา
“ฉันไม่ผ่าได้ไหมคะหมอ ไม่อยากผ่าเลย”
“ทำไมล่ะครับ คุณไม่อยากรักษาเหรอ”
“อยากค่ะ อยากหาย แต่ไม่อยากผ่า ตังกลัวว่าคราวนี้ตังจะไม่โชคดีเหมือนเมื่อ 8 ปีก่อน” คำว่า 8 ปีก่อนตรงใจของนายแพทย์หนุ่มเข้าพอดี การผ่าตัดครั้งแรกที่เขาอยากจะรู้เรื่องราวความเป็นไปทั้งหมด รวมถึงชีวิตของผู้หญิงคนนี้ก่อนที่จะมาลงเอยกับเตด้วย
เตพบเธอที่ไหน รักกันเมื่อไหร่ นี่คือเหตุผลที่ทิ้งเขามาใช่หรือไม่
พิศดูสภาพของผู้ป่วยแล้วก็ข่มใจกลั้นความอยากรู้เอาไว้ในสีหน้า ถามเสียงนุ่ม
“เมื่อ 8 ปีก่อนเกิดอะไรขึ้นหรอครับ เล่าให้หมอฟังได้มั้ย” เธอพยักหน้ารับ “ตอนนั้นฉันเหนื่อยมาก คล้ายๆตอนนี้เนี่ยแหละ ฉันอาเจียนทั้งวันเพราะแพ้ท้อง...” หญิงสาวหยุดพูดแล้วหลับตา ท่าทางเธอเหนื่อยเกินกว่าจะเล่าอะไรได้ยาวๆ
“ไม่เป็นไรครับ ไว้พรุ่งนี้ผมจะมาเยี่ยมคุณอีก แล้วค่อยเล่าให้ผมฟังก็ได้ สำหรับวันนี้พักผ่อนมากๆนะฮะ.....” แนะนำผู้ป่วยอีกหลายคำ ขณะที่ญาติเอาแต่ยืนก้มหน้าไม่ยอมสบตาเขา
นายแพทย์หนุ่มเดินมาหยุดตรงหน้า ‘สามี’ ของคนไข้ กวาดตามองร่างโปร่งบางคร่าวๆครั้งเดียวก็เก็บลายละเอียดได้หมด
“ไว้ผมจะมาใหม่นะครับ มีอะไรสงสัยอยากถามหรือเปล่า” เขาจงใจถามเตตรงๆ เห็นฝ่ายนั้นเงยหน้าขึ้นสบตาเขาแวบเดียวก็เมินหลบไปพูดกับผนังเสียงเบา
“ไม่มีครับ ขอบคุณคุณหมอมาก”
“ด้วยความยินดีครับ แล้วพบกัน” เขาลงเสียงหนัก แล้วหันไปยิ้มให้คนไข้สาวที่มองมาที่พวกเขาสองคนด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก จากนั้นนายแพทย์หนุ่มก็เดินออกมาจากห้องพร้อมกับแพทย์รุ่นน้อง เดินออกไปดูคนไข้ห้องอื่นด้วยกันจนเสร็จสิ้น
“พี่ดิมว่าอย่างไรครับ ผมขอถามความเห็นเคสคุณดาวประดับ ควรรีบผ่าใช่ไหม”
“ใช่ ดูจากอาการแล้วถ้าปล่อยเอาไว้นานกว่านี้อาจจะผ่ายากกว่าเดิม โอกาสรอดก็น้อยลงด้วย เอาล่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงนะ พี่จะดูแลให้อย่างดี ทั้งสองเคส” คนฟังยกมือขึ้นไหว้
พูดคุยกันอีกนิดหนึ่งก็แยกย้ายกันกลับไปทำงานของตนเอง ดิมกลับไปตรวจคนไข้ของตนเองต่อจนเย็น เขาลืมไปที่คนรักนัดว่าจะมารับไปเสียสนิทจนกระทั่งรันมาเคาะที่ห้องทำงาน
“ตรวจเสร็จหมดแล้วใช่มั้ย ดิม..เมื่อเข้าลืมอะไร รู้หรือเปล่า” ชายหนุ่มพยายามนึก แต่นึกไม่ออก อีกฝ่ายจึงบอกกระเง้ากระงอด
“โธ่ ก็รันบอกว่าจะไปรับแล้วไปเอารถที่ร้านอาหารด้วยกันไง เมื่อเช้าพอไปถึง แม่บ้านก็บอกว่าดิมออกไปแล้ว” วิรัลพูดด้วยท่าทางกระเง้ากระงอดแต่ก็เดินเข้ามาโอบเขาเอาไว้หลวมๆ
“ขอโทษพันครั้ง พอดีรับเคสใหม่เลยยุ่งจนลืม ยกโทษให้พี่ดิมนะครับคนดี” เขาพูด เหลือบมองนาฬิกาแวบนึง เย็นแล้ว คงเป็นเวลาที่เตจะต้องไปรับลูกชายที่โรงเรียน และเป็นช่วงเวลาปลอดที่เขาจะสามารถพูดคุยกับข้าวตังได้โดยที่ไม่มีใครรบกวน
“ไปทานข้าวกันนะ รันมีร้านเปิดใหม่มาแนะนำด้วยล่ะ ...”
“รันครับ คือผมมีเคสที่อาการไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ต้องเฝ้าดูอย่างใกล้ชิดหน่อย วันนี้คงไปไหนไกลๆไม่ได้ ไว้วันหลังได้ไหม” เขาโกหกหน้าตาย พยายามไม่สบตาอีกคนมากนัก
วิรัลหุบยิ้ม จับความผิดปกติได้ทันที แต่ก็ฉลาดพอที่จะทำเป็นไม่สังเกต เขายิ้มกลบเกลื่อน
“ได้อยู่แล้ว ร้านนี้อร่อยมากเลยนะดิม ไว้วันหลังก็ได้ ถ้าอย่างนั้นดิมคงจะค้างที่นี่ล่ะสิ งั้นผมขอไปหาอะไรกินกับเพื่อนๆล่ะกันนะ” แฟนหนุ่มพยักหน้ารับ เก็บความโล่งใจเอาไว้ไม่มิด รดิศรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายมีเพื่อนหลายกลุ่มให้ไปแฮงค์เอาท์ด้วยเสมอ
“จ้ะ แล้วเดี๋ยวดึกๆผมโทรไปหา” ดิมพูด ชะโงกหน้าเข้าไปจูบแก้มอีกฝ่ายเหมือนเคย รอจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายกลับออกไปแล้ว จึงยกหูโทรศัพท์ภายใน โทรลงไปหาพยาบาลที่ดูแลวอร์ดผู้ป่วยพิเศษอยู่
“สวัสดีครับคุณปุ่น ผมหมอรดิศนะฮะ รบกวนคุณปุ่นดูให้ผมทีว่าญาติของห้องหมายเลข 9 คุณดาวประดับ อยู่หรือเปล่าครับ ผมอยากคุยด้วย” พยาบาลสาวรับคำ รีบไปดูให้ ครู่เดียวก็กลับมา พูดใส่โทรศัพท์ว่า
“ไม่อยู่ค่ะ รู้สึกจะไปรับลูกชาย เพิ่งออกไปเมื่อกี้นี่เอง ถ้ากลับมาแล้วให้ดิฉันโทรบอกคุณหมอให้ไหมคะ” เพิ่งออกไปงั้นหรอ ชายหนุ่มคำนวณเวลาที่อีกฝ่ายต้องใช้เดินทางเร็วรี่
“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมาก” ดิมวางสาย เขารีบลุกขึ้นยืน ถอดเสื้อกาวน์สีขาวตัวยาวแสนจะสะดุดตาออก เหลือแค่เสื้อเชิ้ตเรียบกริบตัวในกับกางเกงแสล็คพอดีตัว แค่นี้เขาก็กลายเป็นชายหนุ่มวันทำงานธรรมดาไม่ใช่ศัลยแพทย์แล้ว
ชายหนุ่มใช้บันไดหนีไฟที่มีประตูเปิดข้างๆห้องของพักของข้าวตังพอดี เขากลั้นใจเปิดประตูเข้าไปภายในห้องพักผู้ป่วยที่มีเพียงหญิงสาวร่างบอบบางนอนอยู่บนเตียง เธอหันมามองเขา กระพริบตาอย่างแปลกใจ
“คุณข้าวตัง ดีขึ้นไหมครับ...” เขาค่อยๆเข้าสู่เรื่องที่ต้องการอย่างแนบเนียน เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง เรื่องราวในอดีตก็ค่อยๆปรากฎตรงหน้าเขา คล้ายกับพรมผืนเก่าเก็บที่ถูกม้วนทิ้งเอาไว้ในห้องเก็บของ และในวันนี้ถูกเจ้าของนำมาคลี่สะบัดออกอีกครั้งเพื่อทำความสะอาด
รอยเว้าแหว่งบางส่วนทำให้ลวดลายบนพรมไม่สมบูรณ์ แต่ส่วนที่เหลือก็มากพอที่จะมองออกว่าลายเดิมของมันคืออะไร
มากพอที่จะทำให้เขาอึ้ง...เงียบกริบไป
“คุณหมอ...มีอะไรอยากถามตังอีกไหมคะ” หญิงสาวที่ตอนเย็นดูอาการดีขึ้นมากแล้ว เพราะฤทธิ์ยาหลายขนานถามซ้ำอีกรอบ ทว่าคนฟังกลับพูดไม่ออก
นิ่งอึ้งราวกับถูกค้อนเหล็กทุบเอาแรงๆ รดิศใช้เวลานานกว่าจะหาเสียงของตัวเองเจอ
“ไม่มีแล้วครับ ไม่มี..”
หญิงสาวมองหน้าคุณหมออย่างประหลาดใจ เห็นใบหน้าคมคล้ำลงไปทันตาเห็นหลังจากที่เธอเล่าเรื่องจบก็ยิ่งแปลกใจ เก็บความสงสัยเอาไว้เงียบๆ เอาไว้พี่เตกลับมาค่อยถามก็แล้วกัน
“ผมขอตัวก่อน ขอบคุณมาก” เสียงของนายแพทย์หนุ่มแหบพร่า และเบาแทบไม่ได้ยิน ร่างสมส่วนลุกขึ้นจากเก้าอี้ข้างเตียง เดินออกไปจากห้องพักของเธอช้าๆ คล้ายกับคนไม่มีแรง ตรงข้ามกับขามาราวกับเป็นคนละคน
ครู่ใหญ่ทีเดียวประตูห้องพักก็เปิดออกอีกครั้งพร้อมกับร่างเล็กกลมป้อมของเด็กชายเต้ที่เขย่งก้าวกระโดดเข้ามาเกาะเตียงมารดาทันที
“คุณแม่ เต้มาแล้วครับ” เด็กน้อยพูด ก้มลงให้แม่หอมแก้มฟอดใหญ่
พ่อของเด็กเดินหิ้วของตามเข้ามาทีหลัง เขามองไปที่สองแม่ลูกยิ้มๆ หญิงสาวรอให้อีกฝ่ายเก็บข้าวของเรียบร้อยค่อยเล่าเรื่องที่คุณหมอหน้าเข้มมาเยี่ยมให้ฟัง
ติณธรเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ
“แล้วเค้าถามว่าอะไรบ้าง”
“ก็ถามเรื่องที่ตังผ่าตัดเมื่อคราวที่แล้ว” เธอตอบ
“ตังเล่าอะไรไปบ้าง เล่าให้พี่ฟังได้ไหม” หญิงสาวมองไปทางลูกชายแวบหนึ่ง เตก็เข้าใจ เต้เริ่มโตแล้ว คงไม่เหมาะที่จะเล่าออกมาตอนนี้ เขาจึงเปลี่ยนเรื่อง ชวนทั้งสองแม่ลูกทานข้าวเย็นแทน
“กินข้าวกันดีกว่า เต้หิวยังครับ”
“หิวมาก เต้ไม่ได้กินขนมเลย จะรีบมาหาคุณแม่” ได้ยินแค่นี้ คนเป็นแม่ก็ชื่นใจ มีกำลังใจขึ้นมาก เธอจับตามอง ‘สามี’ จัดอาหารใส่จาน พิศดูใบหน้าเรียวขรึมแกมเศร้านั้น นึกในใจเงียบๆ
‘ขอโทษนะคะ พี่เต แต่ตังต้องทำแบบนี้ ไม่อย่างนั้นตังอาจจะต้องเสียพี่ไปก็ได้ ยกโทษให้ตังนะคะ’
...
มาต่อจนจบตอนค่ะ
ขอบคุณมากที่ติดตามกันมานะคะ
ช่วงนี้อัพช้าหน่อย ขออภัยค่ะ
เจอกันตอนหน้านะคะ
