*^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61  (อ่าน 96057 ครั้ง)

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
ขอฝากนิยายอีกเรื่องหนึ่งของผู้เขียนเอาไว้ด้วยนะคะ
ลองอ่านดูนะคะ แนวดรามาโรเเมนติก
แอบรักเพื่อนประมาณนั้น
Hidden Wood ..#แอบลักษณ์  อ่านเลย

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
คลายปมอดีตเลย ที่แท้แม่ดิมกับรันใช่มั้ยที่ทำให้ดิมกับเต ต้องแยกกัน
 รออ่านตอนต่อไป

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
ร้ายเพราะรัก#หมอรัน

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
คุณแม่ตัวต้นเหตุรัป่าวคะ

ออฟไลน์ godofhill

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เตน่าสงสารที่สุด ดิมเป็นคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย

ออฟไลน์ 205arr

  • เราคงอยู่ไกลกันเป็นพันหมื่นลี้
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
อยากให้เตมีความสุขสักที :o12:

ออฟไลน์ manamon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
บีบคั้นหัวใจมากมาย เป็นเหมือนทางเลือกที่'จำ'ต้องเลือก
เฮ้อออออ  :katai1: :mew6:
รอต่ออยู่นะ

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
เพราะหัวใจบอกว่า...ไม่

 

 

 

 

แสงจากภายนอกรัวรางส่องเข้ามาต้องร่างที่ยืนอยู่ริมกระจกเกิดเป็นเงารูปคนที่ใหญ่กว่าความเป็นจริง  โครงหน้าตั้งแต่หน้าผากลาด จมูกโด่งคมและริมฝีปากอิ่มเต็มได้รูปสวยนั้นเห็นชัดเจนแม้จะอยู่ในความสลัว    บางทีอาจเป็นเพราะเขาจำอีกฝ่ายได้ขึ้นใจก็เป็นได้

จำได้ทุกอย่าง  ทุกเรื่อง  ทุกรายละเอียด   ไม่เคยมีบทไหน ตอนไหนในชีวิตที่เกี่ยวข้องกับผู้ชายหน้าหวานผมหยิกคนนี้ที่เขาลืมได้เลย...ต่อให้ตัวเองจะอยากลืมมากแค่ไหนก็ตาม

หรือต้องโทษที่เขาความจำดีเกินไป?

สบสายตากันผ่านเงาสะท้อนในกระจก   แววอะไรอย่างหนึ่งในดวงตาดำสนิทแห้งผากคู่นั้น ทำให้เขาต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาก่อน   เพราะความรู้สึกผิดในใจ...ผิดที่ไม่รู้

“ทำไมตอนนั้น  นายไม่บอกเรื่องน้องสาว”  หลุดปากออกไปแผ่วเบาเสียจนตัวเองยังแปลกใจกับน้ำเสียงที่พร่าสั่น ไร้ความมั่นใจ  และคำถามที่ดูโง่ชอบกล  แต่เขาก็ยังอยากรู้คำตอบจากปากของอีกฝ่ายอยู่ดี

“................”  เตไม่ตอบ หากแต่ยิ้มนิดๆ

“ทำไมนายถึงแก้ปัญหาเองคนเดียว  ทั้งที่พี่พร้อมจะช่วยนายทุกอย่าง  ฮึ  เต  ทำไมนายไม่บอกพี่”  เสียงของเขาดังขึ้นตามแรงอารมณ์ที่เปลี่ยนไป    อีกฝ่ายยังคงยิ้มน้อยๆอยู่เหมือนเดิม  ไม่มีคำอธิบายออกจากปากของเค้า

รดิศก้าวเข้าไปประชิดตัวอีกฝ่าย  จับหัวไหล่เล็กบางบังคับให้หันกลับมาเผชิญหน้า

“นายทำทุกอย่างคนเดียว  ตัดสินใจเองคนเดียว  นายไม่คิดจะถามพี่เลยเหรอว่าพี่ต้องการอะไร  นาย...ไม่รู้ใจพี่เลยเหรอ”   เขาพูดเสียงดังในตอนแรกแล้วกลับแหบพร่าลง 

ทั้งสองสบตากันราวกับต้องการจะค้นคว้าหาความจริงที่ถูกปกปิดมานานหลายปี

“เพราะผมรู้ไง...ผมถึงทำแบบนั้น”   ประโยคแรกที่หลุดออกมาจากริมฝีปากอิ่มที่เม้มแน่นนั้นทำให้คนฟังชะงัก   มองหน้าด้วยความไม่เข้าใจ  “ผมรู้ดีว่า ถ้าพี่รู้เรื่องน้องสาวผม  พี่จะไม่มีทางทิ้งผมให้อยู่คนเดียว  พี่จะไม่มีวันยอมไปเรียนต่อ  แล้วผมกับน้องก็จะกลายเป็นภาระของพี่ไปไม่สิ้นสุด”

“แต่พี่เต็มใจ  พี่เต็มใจรับภาระนั้น”

“แต่ผมไม่เต็มใจให้พี่ต้องมาแบก  ผม...ไม่ต้องการเป็นตัวถ่วงของพี่  ไม่ว่ากรณีใดๆ”  เสียงของเตกลับเฉียบขาดขึ้นมา  ท่าทางเข้มแข็งขึ้นทุกขณะ  ตรงข้ามกับอีกฝ่ายที่กลับดูอ่อนแรงลงเรื่อยๆ

“นายไม่ใช่ตัวถ่วง...โธ่  เต  ทำไมถึงคิดแบบนี้  ทำไมตอนนั้นพี่ถึงไม่รู้ว่าเราคิดแบบนี้กันนะ”  ดิมยกมือขึ้นลูบใบหน้าตัวเองแรงๆ

“ปล่อยผมเถอะ”  เตพูด   เหลือบตามองมือของอีกฝ่ายที่ยังคงบีบแน่นที่ต้นแขนเล็กบาง

“ไม่...” รดิศกลับรวบตัวเขาเข้าไปกอดเอาไว้แทน   ซบใบหน้าลงกับซอกคอของเขา   “ในเมื่อพี่รู้เรื่องทั้งหมดแล้ว  พี่จะไม่ยอมปล่อยนายไปหรอก”  ชายหนุ่มพูดออกมาจากส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจ   คนฟังแนบใบหน้าลงกับแผ่นอกกว้างแล้วหลับตาลง 

.....ขอแค่นี้เอง  ขออยู่ตรงนี้แค่ครู่เดียว   ขอพักหน่อยเดียวเท่านั้น    ขอซึมซับไออุ่นเป็นครั้งสุดท้าย  คงไม่เป็นไรใช่มั้ย....

            “ปล่อยผมเถอะ”  ติณธรดันตัวออกในที่สุด   เงยหน้าขึ้นมองสบตาอีกฝ่ายตรงๆ  เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นแวววูบไหวในดวงตาคมกริบคู่นั้น   ดิมยอมคลายอ้อมแขนออก

            “พี่จำคืนนั้นได้มั้ย   ที่ริมทะเล”  เตพูดช้าๆ  คุณหมอหนุ่มพยักหน้า   เขาไม่มีวันลืมเหตุการณ์นั้นได้อยู่แล้ว...คืนแรกของเรา...  มันติดอยู่ในความทรงจำของเขาแม้ยามหลับ

            “ผมบอกพี่ว่า  พี่ไม่เคยอยู่ในตัวเลือกของผม”   คนฟังแทบจะกลั้นหายใจ   เตหยุดไปนิดหนึ่งแล้วพูดต่อ  “ผมยังยืนยันคำเดิม...”  อีกฝ่ายรีบพูดขัดขึ้นมาก่อนที่เขาจะพูดจบ

          “เต....ถ้านายโกรธ   เรื่องที่พี่ทำกับนาย  พี่ขอร้อง...”

“ผมไม่ได้โกรธ   แต่เรื่องระหว่างเรามันจบไปแล้วตั้งแต่ 8 ปีก่อนจริงๆ”  ประโยคที่อีกฝ่ายพูดใส่เขาในคืนนั้นย้อนกลับคืนมาอีกครั้ง   เตจำได้อย่างแม่นยำราวกับมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน     เขาปลดมือที่จับอยู่ที่ต้นแขนตัวเองออก   รู้สึกได้ว่ามือของอีกฝ่ายสั่นน้อยๆและชื้นไปด้วยเหงื่อ

“เต   พี่ขอโทษ  ที่พี่ทำไปทั้งหมดก็เพราะว่าพี่เสียใจที่นายทิ้งพี่ไปนะ   นายคิดเหรอว่าพี่จะไม่เจ็บปวดเหมือนกัน  พี่...เสียใจยิ่งกว่านายอีก”   รดิศพูดเสียงสั่น   สีหน้าและท่าทางสงบนิ่งของตั้งเตในคืนนี้ทำให้เขาใจเสีย  สู้ให้อีกฝ่ายร้องไห้ออกมาเสียยังดีกว่าทำเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรแบบนี้

“ผมก็เสียใจ...มากเกินไปแล้วสำหรับชีวิตหนึ่ง   ผมว่าเราสองคนมาถึงจุดที่...ควรจะหยุดได้แล้ว”  ราวกับโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ   คนฟังได้แต่มองหน้าอีกฝ่ายอย่างมึนงง    นักเขียนหนุ่มถอยหลังไปสองก้าว   ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดเรียบๆ

“ผม...อยากขอให้คุณหมอรักษาภรรยาของผมอย่างสุดความสามารถด้วยครับ   เธอ...เป็นคนสำคัญของผม   ได้โปรดช่วยเธอให้หายเป็นปกติด้วยครับ”

ติณธรพนมมือขึ้นไหว้เขาแล้วเดินผ่านออกไปเงียบๆ 

ทิ้งให้คุณหมอยืนนิ่งอยู่ที่ริมหน้าต่างนั้นจนกระทั่งแสงทองลำแรกของดวงอาทิตย์สาดส่อง   รดิศจ้องมองออกไปยังท้องฟ้าเบื้องนอกอย่างไร้จุดหมาย  ฝ่ามือยกขึ้นนาบกับแผ่นกระจกเย็นๆ  ทว่ายังอุ่นกว่าหัวใจเขา

ดูเหมือนเตจะมีคำตอบสำหรับตัวเองแล้ว  แต่เขาเองกลับไม่รู้แม้แต่หนทางที่จะหาคำตอบ

จะทำอย่างไรต่อไปดี?

            ...........................................................................

            “คุณหมอดิม  หมอดิมคะ   คุณหมอ..”  ศัลยแพทย์หนุ่มสะดุ้งรีบหันไปหาคุณพยาบาลสาวสวยที่ส่งเสียงเรียกเขาอยู่

            “ไม่สบายหรือเปล่าคะนั่น  หน้าซี้ดซีด   ยังเหลือคนไข้อีกสิบกว่าคนแน่ะค่ะ”  พยาบาลหน้าห้องของเขาบอก  มองหน้าเขาอย่างเป็นห่วง นายแพทย์รดิศฝืนหัวเราะออกมานิดหนึ่ง  ยกมือขึ้นลูบใบหน้า

            “สบายดีหายห่วง  สงสัยเมื่อคืนจะ...หนักไปหน่อย”  พูดแกมหัวเราะ ขณะที่คุณพยาบาลสาวค้อนขวับ

            “แอบไปเที่ยวหรอคะ  เดี๋ยวดิฉันจะฟ้องแฟนคุณหมอ”  เธอส่งแฟ้มตรวจคนไข้ให้เขารับไว้

          “แฟนคนไหนหรือครับ  ไม่เห็นมี”  แกล้งพูดเล่นต่อ

            “แน่ะ  แปลว่ามีหลายคนล่ะสิคะ  ดีล่ะ  เดี๋ยวหมอวิรัลมาจะฟ้องให้หมดเลย” เธอยกมือขึ้นขู่เขา  ชายหนุ่มหัวเราะออกมาอีก 

            “อย่าเลย  สงสารผมเถอะ   แค่นี้ผมก็...จะไม่ไหวแล้ว”   เสียงแผ่วลึกทำให้คนฟังเงยหน้าขึ้นมองอย่างตกใจ  ทว่าเมื่ออีกฝ่ายกลบเกลื่อนด้วยท่าทางขี้เล่นเหมือนทุกครั้ง  ก็ทำให้คุณพยาบาลสาวค้อนเขาอีกครั้ง

            “น่าสงสารมากเลยค่ะหมอ”  เธอลงเสียงหนักแล้วหัวเราะ  เข้าไปช่วยพยุงคนไข้เข้ามานั่งด้านใน 

            รดิศตรวจคนไข้ต่อจนเย็น   เขาขอเลื่อนเคสที่ต้องผ่าตัดพรุ่งนี้ออกไปเป็นวันอาทิตย์หน้าด้วยเหตุผลที่ว่าเขาไม่พร้อมและเคสก็ไม่เร่งด่วนอะไร   ท่ามกลางความสงสัยของเหล่าเพื่อนแพทย์และพยาบาล   ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนายแพทย์ที่ขยันที่สุดของโรงพยาบาลกันแน่

            รันมาเยี่ยมเขาตอนเย็น   ดิมรู้ว่าพยาบาลคงแอบกระซิบบอกหมอรันเรียบร้อยแล้วถึงอาการผิดปกติของเขา  อีกฝ่ายถึงได้ทำท่าจับสังเกตเขาแบบนี้

            “ได้ข่าวว่าข้าวปลาไม่กิน  เป็นอะไรไปน่ะ .. ดิม”

          “คนไข้เยอะ  เลยอยากรีบตรวจให้เสร็จ   ขี้เกียจพักกินข้าว”

            “จริงเหรอ   หลอกเด็กสามขวบยังไม่เชื่อเลย” วิรัลพูดแกมหัวเราะ   พิศดูใบหน้าคมเข้มที่ซีดเซียว  เครารกครึ้ม ใต้ตาเขียวคล้ำเหมือนคนไม่ได้นอน 

            “ไม่เชื่อก็ตามใจ   คนเราก็ต้องมีวันที่ฟิตกันบ้าง”

          “ถ้าฟิตจริงแล้วทำไมเลื่อนเคสผ่าพรุ่งนี้ล่ะ”  รันจี้  อีกฝ่ายยักไหล่ไม่ยอมตอบ   เอื้อมมือไปหยิบถ้วยกาแฟขึ้นมาจิบ 

            “คนเขาสงสัยกันใหญ่ว่าคุณหมอดิมเป็นอะไรไป.....อ้อ  แล้วเคสภรรยาของคุณเตล่ะ  จะเลื่อนด้วยมั้ย” รันสังเกตเห็นว่ามือที่ถือถ้วยกาแฟอยู่นั้นสั่นน้อยๆ  อีกฝ่ายวางถ้วยลงกับโต๊ะทำงาน

            “ก็ดูก่อน ....ว่าผมพร้อมมั้ย”   ตอบเรียบๆ  ดิมไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายรู้เรื่องข้าวตังแล้วแม้เขาจะไม่ได้เล่าให้ฟัง   สำหรับคนรักที่ทำงานที่เดียวกัน  เรื่องต่างๆที่เกี่ยวกับอีกคนย่อมแพร่ไปถึงอีกฝ่ายเร็วยิ่งกว่าเชื้อหวัดเสียอีก

          “อะไรที่ทำให้ไม่พร้อมล่ะ”

รดิศยักไหล่อีกครั้ง   เขาเอื้อมไปหยิบกระเป๋าแล้วลุกขึ้นจากโต๊ะทำงาน   หันมาพูดกับคนรัก

“วันนี้ผมหงุดหงิดนิดหน่อย  ขอโทษด้วยนะ  ไว้เจอกันพรุ่งนี้ล่ะกัน”   พูดแค่นั้นก็ผลักประตูเดินออกไปด้านนอก  รันมองตามหลัง  เม้มปากแน่น....ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนยังคงติดตา

ดิมรั้งแฟนเก่าเข้าไปกอดเอาไว้แน่น   แม้จะแอบมองอยู่ห่างๆจนไม่ได้ยินว่าทั้งสองพูดคุยว่าอะไรกัน  แต่เขาก็พอเดาออกจากท่าทางของคนทั้งคู่   เจ็บใจที่คนรักของตัวเองกลับเป็นฝ่ายเหนี่ยวรั้งและอ้อนวอน   แทนที่จะเป็นอีกคน!

นี่เหรอ คนที่เพิ่งขอเขาแต่งงาน   คนที่บอกว่ารักเขาคนเดียว  เหอะ!!

ชายหนุ่มสะกดกลั้นความไม่พอใจเอาไว้เต็มที่  ฝืนตัวเองไม่ให้กระโจนลงไปร่วมวงแล้วจับทั้งสองคนแยกออกจากกัน   เขาหลบไม่ทันเมื่อเตหันหลังเดินกลับออกมา   จึงประจันหน้ากับอดีตคนรักของดิมเข้าเต็มๆ  เรามองหน้ากัน    ใบหน้าของเตนิ่งเฉยๆ เหมือนใส่หน้ากาก  ทว่าสายตาคมไวของเขากลับสังเกตเห็นได้ว่ามือทั้งสองของเค้ากำแน่นจนปลายนิ้วจิกเข้าไปในฝ่ามือ

ไม่ได้พูดอะไรกัน  เตก้มศีรษะให้เขาเล็กน้อยแล้วเดินย้อนกลับไปตามทางเดิน  ส่วนเขายืนอยู่ที่เดิมเพื่อจับตามอง ‘คนที่เขาจะแต่งงานด้วย’ ยืนก้มหน้านิ่งไม่ไหวติงอยู่ตรงนั้น....

          รันไม่รู้ว่าร่างสูงสง่ายืนอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหน   เพราะเขาเจ็บจนทนยืนดูคนรักอยู่แบบนั้นต่อไปไม่ไหว....ดิมยังคงตัดใจไม่ได้   เหมือนเขา...ที่ไม่เคยตัดใจจากดิมได้เลยแม้แต่วันเดียว

            กุมารแพทย์หนุ่มเดินตามอีกฝ่ายออกมาทันกันที่ลิฟต์   เขาคว้าแขนของอีกฝ่ายเอาไว้  พูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงเหมือนทุกครั้ง  ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

            “ดิม....ถ้าเซ็งๆล่ะก็  เราไปเที่ยวกันไหมล่ะ”

          “รันไปเถอะ  ผมเบื่อผับเต็มที”

          “ใครว่ารันจะชวนไปผับเล่า  รันจะชวนขึ้นดอยตะหาก   ที่ดิมเคยบอกว่าอยากไปไง  เป็นของมูลนิธิเพื่อเด็กยากไร้ของโรงพยาบาลเรานี่ล่ะ   เขาจะไปบริจาคของให้เด็กๆกันสุดสัปดาห์นี้   ทีนี้รันจะไปออกหน่วยตรวจเด็กๆด้วย  คุณสนใจไปด้วยกันมั้ย  ไปนะไหนๆพรุ่งนี้ก็ว่างแล้ว”    วิรัลยิ้มอยู่ในใจเพราะคนฟังชะงักไป  ท่าทางสนใจอย่างเห็นได้ชัด  รีบคะยั้นคะยอมาอีกหลายคำ  ในที่สุดอีกฝ่ายก็ตกลงใจที่จะไป

            “ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้รันไปรับที่คอนโดดิมนะ  แล้วเราค่อยไปแอร์พอร์ตด้วยกัน”   ดิมพยักหน้ารับ   เขามองตามหลังร่างของคนรักอย่างพอใจ   อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ต้องจับทั้งสองคนแยกกันเอาไว้ก่อน 

            พลิกนาฬิกาข้อมือดูเวลา...เกือบห้าโมงกว่าแล้ว   ดีเหมือนกัน  เขาจะได้อาศัยจังหวะนี้แวะไป ‘เยี่ยม’ อดีตคนรักของรดิศและภรรยาเสียหน่อย

           

            วิรัลเคาะประตูแล้วเปิดเข้าไปภายในห้องพักผู้ป่วยพิเศษโรคหัวใจ   ร่างของหญิงสาวนอนอยู่คนเดียวกลางห้องพัก   เธอกำลังหลับสนิท   เขาจรดฝีเท้าเดินเข้าไปใกล้ๆ

            “หมอรัน”  นายแพทย์เด็กสะดุ้งเฮือก  ไม่ทันเห็นร่างของใครอีกคนที่เพิ่งก้าวออกมาจากห้องน้ำ   ชายหนุ่มหันไปยิ้มให้บางๆ

            “คุณเต   ขอโทษที  ผมไม่ทันเห็น”  เขาบอก  กวาดสายตาสำรวจดูอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว   บอกกับตัวเองได้ว่าเตผอมลงไปมากจริงๆ  ท่าทางไม่ต่างกับคนรักของเขาเลยสักนิด...หึ

            “คุณข้าวตังเป็นอย่างไรบ้างครับ  พอดีผมเพิ่งรู้ข่าว”  เขาถาม   อีกฝ่ายหันไปมองหน้าภรรยาแล้วถอนหายใจเบาๆ

            “ขอบคุณครับที่มาเยี่ยม...ก็  กำลังรอผ่าตัดอยู่ครับ   คงเร็วๆนี้”   เจ้าของห้องผายมือไปทางโซฟาที่อยู่มุมห้อง  ตัวเดียวกับที่เขาใช้นอนเฝ้าข้าวตังนั่นแหละ 

            “ออกไปคุยข้างนอกดีกว่าครับ  จะได้ไม่รบกวนคุณข้าวตังด้วย...เอ้อ  ว่าแต่คุณเตต้องรีบไปรับลูกหรือเปล่าฮะ”  รันถามขึ้นมา 

            “อีกสักครึ่งชั่วโมงครับ  คุณมีอะไรจะพูดกับผมหรือเปล่า”  ติณธรพูด  วิรัลพยักหน้า  พาเขาเดินออกมาจากห้องพัก  ตรงไปนั่งที่เก้าอี้รับแขกที่ตั้งเรียงเป็นแนวยาวด้านหน้าวอร์ด   ตั้งเตประสานมือเข้าหากัน  เม้มปากน้อยๆ  เขากำลังนึกสงสัยว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหนกันแน่

            หรือว่าพี่ดิมส่งมา...?

          “เมื่อคืนนี้....”  วิรัลตั้งต้น “พอดีผมบังเอิญเดินผ่านมา  ก็เลยเห็น  เอ่อ  พวกคุณสองคน....คุยกัน”   เขาพูด  เห็นอีกฝ่ายพยักหน้ารับอย่างสงบ  ก็ถามต่อ  “ผมขอทราบได้มั้ย  ว่าพวกคุณคุยเรื่องอะไรกัน  คงไม่ได้เป็นความลับใช่ไหม”

          นักเขียนหนุ่มเลิกคิ้ว  จู่ๆวิรัลก็รู้สึกว่าตนเองกลายเป็นคนที่ละลาบละล้วงเรื่องของชาวบ้านแทน  ทั้งที่อีกคนควรจะเป็นฝ่ายอายเพราะไปยืนคุยลับๆล่อๆกับแฟนของเขา

            “ไม่ได้เป็นความลับหรอกครับ....เราแค่คุยกันถึงเรื่องเก่าๆ   คุณหมอคงใจกว้างพอจะไม่เข้าใจผิดใช่ไหมครับ”

            “มันไม่ได้เกี่ยวกับว่าผมใจกว้างหรือเปล่า   แต่ภาพที่ผมเห็น  มันไม่ควรจะเกิดขึ้นด้วยซ้ำ ...เรา....ผมกับดิม   เรากำลังจะแต่งงานกัน   ผมคิดว่าคุณควรรู้...”  เตเหลือบมองแหวนที่ประดับอยู่บนนิ้วของอีกฝ่ายแวบหนึ่ง  แสงเพชรวาววับจับตาทีเดียว   เขาพยักหน้ารับอย่างสงบอีกครั้ง

            “ยินดีด้วยครับ  ขอให้คุณทั้งสองครองรักกันไปนานๆ”  คนฟังไม่รู้เหมือนกันว่าถูกอีกฝ่ายประชดรึเปล่า  เพราะสีหน้าและแววตาของคนพูดตอนที่เอ่ยประโยคนี้ดูจริงใจเหลือเกิน   ไม่มีท่าทีว่าจะรู้สึกใดๆในทางลบกับเรื่องดังกล่าว ทั้งที่เกี่ยวกับเจ้าตัวโดยตรงแท้ๆ 

            ถ้าผู้ชายคนนี้ไม่เก็บอารมณ์เก่งมากๆ  ก็เหลืออีกอย่างเดียวคือ  เขา...ไม่เหลือใจให้อดีตคนรักแล้ว

            “ขอบคุณครับ  ผม...คงไม่ได้เชิญคุณไปงานนะฮะ  เข้าใจว่าคุณคงไม่สะดวก”

          “ครับ....ถ้าอย่างนั้น  ผมขอตัวก่อนนะครับ”   พูดจบนักเขียนหนุ่มก็ลุกขึ้นยืนแล้วเป็นฝ่ายเดินกลับไปก่อน   จบการสนทนาที่แสนฝืดเฝื่อนนี้ไปภายในเวลาไม่ถึงสิบห้านาที

            ช่างเถอะ   อย่างน้อยเราก็ได้ตีวงกั้นเตเอาไว้เปลาะหนึ่งแล้ว  ที่เหลือก็แค่ รดิศ คนเดียวเท่านั้น

          ...

            “เสร็จแล้วค้าบ  คนเก่ง  ไม่ร้องไห้แล้วนะ  โอ๋  คนต่อไป  เด็กหญิงอองตองจ้า  อยู่ไหนเอ่ย  โอ๊ยทำไมงามแต๊งามว่างามผี้หลี้เน้ออองตอง”  เสียงใสๆพูดแกมหัวเราะ  รดิศส่ายหัว ยกนิ้วให้กับความสามารถหลอกเด็กของคนรัก

            สมแล้วที่เรียนมาด้านนี้โดยเฉพาะ

            เขาหันไปยิ้มให้เด็กน้อยอีกคนหนึ่งที่ยืนยิ้มอายๆอยู่กับมารดา  เธอหัวเราะคิกเห็นฟันหน้าหายไปสองซี่  แล้ววิ่งหนีจู้ดไปหลบอยู่หลังพุ่มไม้

            “ดิมกับเด็กนี่ไม่ค่อยถูกกันจริงๆด้วยแฮะ  ฮ่าๆ”  กุมารแพทย์แซวลอยๆ อีกฝ่ายหัวเราะ  ยอมรับแต่โดยดี

            “ก็คงจริง  เอาเถอะ  ตรวจผู้ใหญ่ก็ได้  ยังมีป้าๆลุงๆคุณตาคุณยายให้ตรวจอีกเพียบ” 

            กว่าจะตรวจกันเสร็จครบทั้งหมู่บ้านก็เกือบเย็นแล้ว   คนในหมู่บ้านช่วยกันจัดหาสำรับอาหารมาเลี้ยงดูคณะที่มาช่วยออกตรวจยังดินแดนที่ทุรกันดารแห่งนี้   อากาศบนนี้ยิ่งมืดยิ่งหนาวเย็นลงเรื่อยๆ  พอตะวันลับขอบฟ้า ก็คล้ายจะพาความอบอุ่นไปจนหมด   ศัลยแพทย์หนุ่มห่อตัวลง  นึกดีใจที่ติดเสื้อกันหนาวตัวใหญ่มาด้วย

            “เอาผ้าพันคอหน่อยมั้ยดิม”  คนรักของเขาส่งผ้าพัอคอไหมพรมสีเข้มมาให้  เขารับเอาไว้  ตวัดชายผ้าคลุมไปด้านหลัง

            “ขอบคุณมากนะรัน”

          “เรื่องเล็กน่า   รันรู้ว่าดิมไม่ได้เอาผ้าพันคอมาแน่ๆก็เลยเอามาเผื่อ”  ร่างเล็กที่อยู่ในชุดกันหนาวพร้อมพูดพลางกอดอก  มองออกไปเบื้องหน้าเห็นแสงไฟจากหลังคาบ้านเรือนที่ปลูกอยู่ใกล้ๆกันเป็นหย่อมๆ  เสียงหรีดหริ่งเรไรเริ่มดังขึ้นด้านหลังแนวไพรที่แวดล้อมอยู่โดยรอบ

            “ดิมหมายถึงที่รันชวนมาหน่วยออกตรวจด้วยกัน  ขอบคุณมากนะ”  ไม่บ่อยที่คนรักจะเรียกแทนตัวเองด้วยชื่อเล่นแบบนี้   รันยิ้มเขยิบเข้าไปใกล้อีกฝ่ายแล้วซบศีรษะลงกับไหล่แข็งแรงนั้น  อีกฝ่ายโอบแขนไปรอบตัวเขา กอดเอาไว้หลวมๆ

            ชายหนุ่มรู้สึกขอบคุณคนรักจริงๆ  อย่างน้อยก็ช่วยให้เขามีเรื่องอื่นให้คิดบ้าง...

            “นิดหน่อยเอง  ดิมชอบรันก็ดีใจ....พักนี้เห็นดิมเบื่อๆ  เลยหาอะไรมาเปลี่ยนบรรยากาศ  รู้สึกดีขึ้นหรือยัง”  เงยหน้าขึ้นแตะริมฝีปากที่ปลายคางรกครึ้มนั้นแผ่วเบา  อีกฝ่ายจูบตอบที่ขมับของเขา   พึมพำ

            “ผมโชคดีจัง  ที่มีรันอยู่เคียงข้างทุกครั้งที่ไม่สบายใจ”

            ....ได้แค่อยู่เคียงข้างเท่านั้น  แต่ไม่เคยได้อยู่ในใจของดิมเลยใช่ไหม....บอกรันทีสิว่าดิมยังรักรันอยู่  รักรันคนเดียว  ทำให้รันมั่นใจ....

          “ดิม...รักรันไหม”  สุดท้ายก็ต้องกลับมาที่คำถามโง่ๆที่เขาเคยนึกยิ้มเยาะเวลาได้ยินคนรักเขาถามกัน    ต้องยอมรับว่ามันตรงประเด็นที่สุดแล้ว

            อีกฝ่ายเงียบไปนานจนเขาชักใจหาย  หรือว่าเค้าจะไม่รักเราแล้วจริงๆ ....ไม่เคยรัก?

          “รันมีบุญคุณกับผมมาก  สิ่งที่ผมรู้สึกกับรัน  มันยิ่งกว่าคำว่ารักไปมากมายนัก”  เสียงของคนพูดแหบลึกอยู่ในอก   วิรัลซบใบหน้าลงกับแผ่นอกนั้น  ถอนหายใจยาว

            “รันไม่ต้องการอะไรมากมายขนาดนั้นหรอก  แค่คำว่ารักจากดิม   ก็พอใจแล้ว”  เขาพูดเบาๆ  นิ่งอยู่ในท่านั้นครู่หนึ่งก็ผละออก   เงยหน้าขึ้นพูดยิ้มๆ

            “เข้าไปช่วยข้างในแยกของกันดีกว่า  พรุ่งนี้จะได้เอาไปให้เด็กๆที่โรงเรียนกัน”  คุณหมอเด็กพูดแล้วเดินกลับเข้าไปในบ้านพักทันทีโดยไม่รออีกฝ่าย    รดิศมองตาม  เขาสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอดอีกครั้ง ก่อนจะเดินตามอีกฝ่ายเข้าไปในบ้านพัก

            ของที่เตรียมมาบริจาคปะปนกันไปหมดเพราะการเดินทาง   พวกเขาช่วยกันแยกของออกเป็นกองๆ อุปโภคบริโภค   ดิมนึกทึ่งที่เห็นของบริจาคมากมายขนาดนี้   หลายชิ้นอยู่ในสภาพดีเยี่ยมราวกับเพิ่งซื้อมาใหม่โดยเฉพาะ   หญิงสาวที่เป็นพนักงานของมูลนิธิเห็นเขาหยิบของขึ้นมาพลิกดูอย่างประหลาดใจก็หัวเราะ

            “ของใหม่ยังดีทั้งนั้นเลยค่ะคุณหมอ”

          “นั่นสิ  ผมก็กำลังแปลกใจ บางชิ้นเหมือนเพิ่งซื้อมาเลย  นี่คือของบริจาคแน่เหรอ”

          “บางคนเขาก็ใช้วิธีซื้อของมาให้เลยค่ะ  เขารู้ว่ามูลนิธิของเราจะเอามาแจกน้องๆทุกปี  เขาก็จะซื้อมาให้ประจำ  ถ้าของใหม่ๆน้องๆก็จะได้ใช้ได้นานๆ  แต่ถึงเป็นของเก่าเราก็ไม่ทิ้งหรอกนะคะ   เราคัดชิ้นที่ยังสภาพดีเอามาให้  ถ้าอันไหนเก่าเกินไป หรือพวกของเล่นที่มันเล่นไม่ได้แล้ว  เราก็ไม่ได้เอามาบริจาคค่ะ”   เธออธิบาย  หยิบลูกเทนนิสที่ดูออกว่าคงจะมีอายุหลายปีขึ้นมาส่งให้เขา

            “อันนี้ยังสภาพดีอยู่เลยค่ะ  ถึงจะเก่าไปหน่อย  แต่เด็กก็น่าจะได้ใช้”

          ดิมรับมาพลิกดู   ข้างลูกเทนนิสมีตัวอักษรเขียนเอาไว้   คล้ายๆตัวเลขบอกวันที่...เขาขมวดคิ้ว

“--/--/--”   วันที่ที่เขียนเอาไว้ทำให้เขาใจเต้นแรงด้วยสังหรณ์ประหลาด   กวาดสายตามองกล่องใบนั้นที่เจ้าหน้าที่สาวกำลังล้วงหยิบของในนั้นขึ้นมาดู ....ผ้าขนหนูผืนเล็กสีขาวที่เริ่มกลายเป็นสีเหลืองเพราะความเก่า

“ผม....ขอดูหน่อยได้ไหมครับ”   เขาไม่อาจบังคับเสียงและมือตัวเองไม่ให้สั่นได้   เธอส่งผ้าผืนนั้นให้เขาอย่างงงๆ ชายหนุ่มรับมาคลี่ดูที่มุมผ้า 

ตัวเลขยึกยือที่เขาบรรจงเขียนเอาไว้เอง.....ผ้าซับเหงื่อกับแผนแลกเบอร์โทรของเขา...วันที่เขาได้รู้ว่าอีกฝ่ายก็มีใจอยู่บ้างเหมือนกัน...

เจ้าหน้าที่สาวมองคุณหมอที่จู่ๆก็เอื้อมมือไปคว้ากล่องกระดาษใบนั้นขึ้นมาถือเอาไว้อย่างประหลาดใจ  ใบหน้าคมเข้มนั้นแดงก่ำ   เขาหันมาบอกเธอเสียงสั่น

“ผมขอกล่องใบนี้ไปก่อนได้ไหมครับ  แล้วผมจะชดใช้เป็นเงินแทนให้”

“เอ้อ  ไม่เป็นไรค่ะ  ไม่ต้องชดใช้  เป็นของบริจาคน่ะค่ะ”

“ใครเป็นคนเอามาบริจาค คุณทราบมั้ย”

“ต้องดูรายชื่อก่อนค่ะ  มีสมุดรายชื่ออยู่ที่คุณแป๋ว  เอ่อ  ดูเหมือนว่าคุณแป๋วจะออกไปข้างนอก....คุณหมอ”  รดิศไม่รอแล้ว  เขามั่นใจเกินร้อยเปอร์เซ็นต์ว่ารู้ชื่อเจ้าของที่แท้จริงของกล่องใบนี้ 

“ยังมีของจากกล่องใบนี้อีกหรือเปล่า”

“น่าจะไม่นะคะ  เพราะดิฉันก็เพิ่งเปิดเทปกาวออกเมื่อกี้นี่เอง”

ศัลยแพทย์หนุ่มพยักหน้ารับ  เขาเก็บลูกเทนนิสและผ้าเช็ดหน้าฝืนนั้นกลับใส่กล่องเหมือนเดิมแล้วอุ้มกล่องใบนั้นขึ้นแนบอก  เดินจ้ำออกมาด้านนอก   เหลียวซ้ายขวาเห็นแคร่ไม้ที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านพักก็เดินตรงเข้าไปทรุดตัวลงนั่ง  จ้องมองกล่องใบนั้นด้วยความอัศจรรย์ใจ

ถ้าเขาเข้าใจไม่ผิด  ดูเหมือนว่ากล่องใบนี้จะเป็นของ....

มือเร็วเท่าความคิด  ชายหนุ่มเปิดฝากล่องออกดูของภายในนั้นทีละชิ้น....ร่มคันเก่าสีซีด  ตุ๊กตาวาเลนไทน์   ก้อนหินทับหนังสือ  เปลือกหอยรูปร่างต่างๆ  อัลบั้มรูปหลายเล่มที่วางเรียงเป็นระเบียบอยู่ที่ก้นกล่อง  ฯลฯ  ที่เขาหยิบขึ้นมาดูทีละอย่าง

ของบางชิ้นเขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามันมีความสำคัญยังไง  หรือมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น แต่เจ้าของกล่องใบนี้ได้เขียนวันที่เอาไว้ด้วยทุกชิ้น  ถึงสิ่งของจะเก่าตามกาลเวลาแต่สภาพของมัน ใครก็ดูออกว่าถูกเก็บรักษาเอาไว้ด้วยความทะนุถนอมอย่างดียิ่ง

เจ้าของสิ่งเหล่านี้จะต้องรักมันมาก....เขาบอกตัวเอง    แล้วเหตุใดมันจึงมาอยู่ที่กองบริจาคได้...?

            เขาหยิบสมุดเล่มสุดท้ายขึ้นมาเปิดออกดู....ลายมือของเขากับเตยังเขียนเอาไว้เต็มหน้า    เป็นตอนที่เขาขอให้อีกฝ่ายติวหนังสือให้นั่นเอง   ....รู้สึกจุกแน่นในอกคล้ายคนหายใจไม่ออก   ดิมล้วงมือลงไปสำรวจจนทั่วกล่องให้มั่นใจว่าไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่อีก

            ปลายนิ้วสะดุดกับขอบแข็งๆที่ยื่นออกมานิดหนึ่ง  เขายกกล่องขึ้นดูกับแสงไฟ  เห็นขอบของอะไรสักอย่างคล้ายสมุดปกแข็งสอดอยู่ที่ก้นกล่อง  ซ่อนจากสายตา

            ชายหนุ่มใช้นิ้วแงะขอบของกล่องกระดาษออกแล้วคว่ำลงเขย่าแรงๆจนของสิ่งนั้นหล่นลงมาที่ตัก   

            สมุดปกแข็งสีน้ำทะเลวางแผ่อยู่ตรงหน้า   กระดาษเริ่มกลายเป็นสีเหลืองอ่อนๆ แต่ตัวอักษรที่เขียนเอาไว้ด้วยหมึกสีดำยังเห็นชัด  ไม่จางหาย

ลายมือเรียบร้อยที่เขาจำได้ขึ้นใจว่าเป็นของใคร เขียนอยู่ที่หน้าแรกว่า

…ไดอารี่ของตั้งเต…






ยังไม่จบตอน
มาต่อดึกๆค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-05-2017 20:21:08 โดย ็Hollyk »

ออฟไลน์ 205arr

  • เราคงอยู่ไกลกันเป็นพันหมื่นลี้
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
เข้าใจตั้งเตเลย บางทีทั้งสองคนก็มาไกลเกินกว่าจะย้อนกลับไปจริงๆ  :o12: :o12:

ออฟไลน์ เจเจจัง

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ไม่อยากให้คนเลวๆแบบรัลสมหวัง. และอยากให้ดิมรู้สิ่งที่รันทำ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ godofhill

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
หาจุดที่จะเชื่อมให้ทั้งสองคนกลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่เจอ TvT

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
วันที่ --/--/--

         

          ......วันนี้คุณหมอมาตรวจตังอีกครั้งตอนบ่าย  เค้าบอกว่าเธอมีความผิดปกติอะไรบางอย่างที่หัวใจ ทำให้เกิดอาการเหนื่อยมากกว่าคนท้องทั่วไป  หมอบอกต้องตรวจละเอียดอีกทีด้วยเครื่องคล้ายๆอัลตราซาวน์   ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆอาจจะต้องผ่าตัดก็ได้   แต่ก็หลังจากที่เธอคลอดก่อน......

.....ตังยังไม่ยอมพูดกับหมอเหมือนเดิม  แม้แต่กับเรา  ก็ยอมพูดด้วยไม่กี่คำ  วันๆเอาแต่นอนนิ่งๆ เราเป็นห่วงเธอจริงๆ......

......พี่โดมชวนเราไปทำงานกับนิตยสารของเค้า  เรายังไม่ได้ตัดสินใจเลยว่าจะไปทำด้วยดีมั้ย  ที่เดิมก็ดีอยู่แล้ว  วันก่อนเจอพี่เปิ้ลที่ธนาคาร  เธอชวนไปทำงานที่โรงเรียนของเธอ   อยู่จังหวัดสกลนครแน่ะ  อยากไปอยู่เหมือนกัน  แต่ติดที่ตังกับ......

......เรื่องพี่ดิมทำให้เรานอนไม่หลับมาหลายคืนแล้ว   คิดไม่ตกว่าจะเอาอย่างไรดี  จนถึงตอนนี้เราก็ยังไม่ได้เล่าเรื่องตังให้เขาฟัง  ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงไม่กล้าเล่า  ทั้งที่เป็นเรื่องของน้องสาวเราเองแท้ๆ  หรือเป็นเพราะเหตุนี้?

 

วันที่ --/--/--



........เรามาวิ่งที่สวนสาธารณะคนเดียวตอนค่ำ  หลังจากเพิ่งแยกกับพี่ดิมเมื่อบ่าย  เราไปกินข้าว....พี่ดิมพาไปถ่ายรูปติดบัตรด้วยกัน   อาทิตย์หน้าจะได้ไปทำเรื่องย้ายไปแพร่  เราจะย้ายไปที่นั่นด้วยกันได้จริงๆเหรอ  ในเมื่อน้องสาวของเรายังนอนโรงพยาบาลอยู่ที่นี่?

เรายังไม่ได้บอกพี่ดิมเลย  ถ้าบอกไปก็คงเกิดเรื่องยุ่งยากวุ่นวายขึ้นมาอีก   จะย้ายตังไปแพร่ด้วยกัน  โรงพยาบาลที่นู่นก็มีเครื่องไม้เครื่องมือไม่พร้อมเหมือนที่นี่  เกิดน้องเป็นอะไรขึ้นมาก็ต้องส่งตัวเข้ามาในกทม.อีก  ยิ่งตอนนี้เธออ่อนแอลงไปมากจริงๆ  จนเราอยากจะให้เธอแท้งไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด   แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่อยาก  เพราะลูกในท้องของเธอทำให้เธอยอมมีชีวิตอยู่ต่อ

บางทีเราก็อดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่า   ทำไมเราไม่ปล่อยพี่ดิมไปล่ะ  ความคิดนี่เริ่มเข้ามาในหัวเราบ่อยขึ้นทุกที  เห็นเพื่อนพี่ดิมบางคนเตรียมตัวไปเรียนต่างประเทศ  ได้ยินพี่รันเล่าว่ามีอาจารย์มาชวนพี่ดิมไปเรียนต่อถึงบ้าน  แต่พี่เค้าก็ปฏิเสธไป  เราอึดอัดใจจัง  รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นอะไรไม่รู้ที่ถ่วงพี่ดิมเอาไว้  แล้วยังมีหน้ามาดีใจที่จะได้อยู่กับพี่เค้าอีก

            ถึงพี่ดิมจะบอกว่าเขาอยากไปกับเราก็เถอะ  แต่มันก็ไม่ใช่มั้ยล่ะ   แม่พี่ดิมพูดถูก   ถ้าเรารักพี่ดิมจริง  ก็ต้องอยากเห็นพี่เค้ามีอนาคตที่ไกลกว่านี้สิ.......

 

         วันที่ --/--/--   


          ทุกอย่างดูติดขัด  ไม่ลงตัวไปหมด  ข้าวตังต้องเข้ารับการผ่าตัดจริงๆ  ลิ้นหัวใจของเธอรั่ว  แต่ติดตรงที่เธอกำลังตั้งครรภ์อยู่ และเธอต้องการลูกมาก   น่าแปลกดีเหมือนกันสำหรับคนที่เคยคิดทำแท้งมาก่อน  ที่วันนี้จะรักและหวงแหนบุตรในครรภ์ได้มากขนาดที่ยอมอดทนแม้ว่าตัวเองจะไม่สบายมาก

          วันนี้แม่พี่ดิมมาหาเราอีกครั้งหนึ่ง   เธอพูดทั้งน้ำตาว่า ได้โปรดเห็นแก่อนาคตลูกของเธอ   เธออยากให้พี่เค้าไปเรียนต่อจริงๆ   เธอบอกว่าที่บ้านมีหนี้สินมากเหลือเกินเพราะต้องกู้มาให้พี่ดิมเรียน  แค่ทุนของคณะฯไม่เพียงพอที่จะส่งพี่เค้าเรียนจนจบ 6 ปีหรอก...เราก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าพี่ดิมมีหนี้ติดตัวมากขนาดนี้  พี่ดิมไม่เคยเล่าให้ฟังเลย...แม่พี่ดิมบอกว่าการไปเรียนต่อครั้งนี้จะเท่ากับการปลดหนี้  เพราะหลังจากเรียนจบแล้ว  ค่าตอบแทนของพี่เค้าจะสูงมากเสียจนสามารถใช้หนี้ได้หมดภายในเดือนเดียว   แต่ถ้าพี่ดิมอยู่ทำงานใช้ทุนต่างจังหวัด  คงต้องใช้เวลาหลายปีถึงจะปลดหนี้ได้

          และที่สำคัญก็คือ  พี่ดิมเก่งเกินกว่าจะมาใช้ชีวิตอยู่เป็นหมอทั่วไปตามโรงพยาบาลอำเภอ   เขามีศักยภาพมากพอที่จะเป็นอาจารย์แพทย์  คงน่าเสียดายมากถ้าจะยอมให้เขาทิ้งอนาคตเอาไว้ข้างหลังแบบนี้   ทุนที่พี่ดิมได้เป็นทุนที่พิเศษและได้ยากมาก   แม่พี่ดิมบอกว่าบางคนวิ่งเต้นใช้เส้นสายแทบตายก็ยังไม่ได้ทุนนี้  แต่พี่ดิมนอนมาขนาดว่าอาจารย์เป็นคนเสนอชื่อให้เองเลยด้วยซ้ำ

          เราสงสารแม่พี่ดิมมากและเข้าใจด้วย  เรารู้ว่าเธอไม่ชอบเรา แต่วันนี้เธอลงทุนอ้อนวอนเราอยู่นานกว่าจะกลับไป  เรารู้ว่านี่คงเป็นไม้สุดท้ายของเธอแล้วจริงๆ

          เราเห็นใจหัวอกของคนเป็นแม่   ถึงแม้เราจะเจ็บเพราะรู้สึกว่าเป็นเราที่กลายเป็นตัวถ่วงลูกของเขาก็ตาม

          เราคงต้องตัดสินใจแล้วล่ะ  ในเมื่อทุกอย่างมันมีอุปสรรคไปหมด   ทั้งปัญหาของเราเอง  ทั้งของพี่ดิม  ต่อให้เราดื้อแพ่งจะอยู่ด้วยกัน  เราก็คงไม่มีความสุขหรอก  ในเมื่อเรารู้ดีว่าเรากำลังมีความสุขอยู่บนความทุกข์ของผู้หญิงถึงสองคน  ไม่สิ  ของเราด้วย....เราคงโทษตัวเองไปตลอดชีวิตแน่ๆ

          ต้องตัดสินใจจริงเหรอ   ไว้พรุ่งนี้ได้มั้ย.....

 

 

         วันที่ --/--/--

          ..........เรานั่งรื้อของที่พี่ดิมเคยซื้อให้ตลอด 4 ปีกว่าๆที่คบกันมา  ไม่น่าเชื่อว่าระหว่างเราจะมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นได้ขนาดนี้   นึกถึงวันแรกที่เราได้เจอกันแล้วตลกชะมัด   วันนั้นเราไปสายเพราะแวะซื้อของเป็นเพื่อนพี่กิ่ง  พอถึงงานรับน้อง  หลายฐานก็เลิกเล่นกันไปแล้ว  มองไปเห็นแต่ฐานหนุ่มน้อยตกน้ำของคณะแพทย์ที่ยังจัดอยู่  มีผู้ชายคนนึงนั่งหาวหวอดอยู่เหนือถังน้ำนั่น   ตัวแห้งสนิทผิดกับชื่อฐานไปมาก  คงไม่มีใครสามารถทำให้เค้าตกน้ำได้สำเร็จ

          วันนั้นเราแค่อยากแกล้งพี่เขาเท่านั้น    เห็นง่วงดีนัก  ลงไปแช่น้ำเย็นๆเสียหน่อยแล้วกันจะได้สดชื่นขึ้นบ้าง  สภาพของเขาตอนขึ้นมาจากถังน้ำยังติดตาอยู่เลย  หัวลีบๆแบนๆหน้าตาเหรอหรา   ตลกชะมัด  พอขึ้นมาได้ก็โวยวายใหญ่ว่าใครปาโดนเป้า   เค้าคงไม่รู้หรอกว่าตอนที่หันมามองหน้าเราตอนนั้น  เราเขินขนาดไหน   แถมยังจะยืนมองเรายิ้มๆอยู่อีก   เราโดนเพื่อนเก็บเอาไปล้อหลายวันเลยนะ  รู้บ้างหรือเปล่าฮึ!

          แล้วเราก็เจอกันอีก  น่าแปลกที่เราเจอกันบ่อยมากจนเรารู้สึกว่าคงเป็นพรหมลิขิตแล้วล่ะ  เราไม่กล้าเข้าไปทักเขาหรอก  ได้แต่ยกมือไหว้บ้าง  เพื่อนเราไปสืบมาให้ว่าเขาชื่อรดิศ  ชื่อเล่นว่าดิม  เป็นเดือนคณะแพทย์ปี2ที่โคตรป๊อบ  สาวๆกรี้ดกันทั้งมอ  เป็นนักกีฬาฟุตบอลด้วย   เสียดายที่เราเล่นบอลไม่เก่ง  เล่นเป็นแต่แบต  ไม่งั้นจะรีบไปสมัครเข้าทีมไปแล้ว   ได้แต่หาเรื่องไปแถวสนามบอล  แอบมองอยู่ห่างๆข้างสนาม

          บังเอิญมากที่พี่ดิมดันชอบไปวิ่งที่สวนสาธารณะเดียวกันกับเรา  ตอนที่เห็นเขาครั้งแรกที่นั่น ดีใจสุดๆ แม้ว่าจะแกล้งทำเป็นจำชื่อเค้าไม่ได้  ฮ่าๆ  จริงอยู่ที่การเจอกันครั้งแรกอาจเป็นเรื่องบังเอิญ  แต่ครั้งถัดๆมา...เป็นเราเองที่จงใจไปวิ่งที่นั่นทุกวัน  หวังแค่จะได้เห็นหน้าเขาบ้างก็ยังดี 

          ไม่อยากเชื่อเลยที่พี่ดิมแลกเบอร์กับเราด้วยมุขผ้าเช็ดหน้านั่น  เป็นวันที่เรามีความสุขที่สุดนับตั้งแต่เข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯเลยล่ะ   เราพับผ้าผืนนั้นไว้ใต้หมอน  ดีใจที่หัวใจเราตรงกัน   พี่ดิมมีใจให้เราเหมือนที่เราแอบปลื้มพี่เค้ามานานแล้ว

          หลังจากนั้นเราก็ได้เป็นแฟนกัน

          ทะเลาะกันบ้าง  ดีกันบ้างตามประสา  แต่พี่ดิมก็เป็นทั้งคนรัก  ทั้งเพื่อน ทั้งพี่(บ้างครั้งเป็นพ่อด้วย) ที่ดีที่สุดสำหรับเรา   หลายครั้งที่เรามีปัญหาไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม  เขาก็ช่วยให้ผ่านไปได้  แม้บางครั้งเค้าจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรากำลังมีปัญหาอยู่...เรารู้ว่าเค้าเรียนหนักมากจริงๆ  บางเรื่องที่เราว่าเราแก้เองได้  เราก็ไม่อยากเล่าให้เค้าฟังหรอก  จะหนักใจไปด้วยเปล่าๆ...

          ถ้าถามว่าช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของเราคือตอนไหน  เราตอบได้อย่างไม่ลังเลเลยว่า  ตอนที่เป็นแฟนพี่ดิมนี่ล่ะ   เราว่ามันเป็นช่วงที่เราได้เรียนรู้ที่จะรัก  และได้ความรักตอบแทนกลับมา   ทุกครั้งที่เห็นหน้าเค้า  หัวใจของเราเต็ม  ทุกครั้งที่มีปัญหา  เรารู้ว่าเค้าอยู่ข้างๆเราเสมอ   

          เราถึงเสียดายเหลือเกินที่จะต้องปล่อยช่วงเวลานี้ให้เลยผ่านไป   มันไม่มีทางแล้วหรอที่จะเก็บรอยยิ้ม  เสียงนุ่มๆ  แววหวานๆในดวงตาคู่นั้นเอาไว้กับตัวได้ตลอดไป  จะมีทางไหนมั้ย  เรายอมแลกทุกอย่าง

          ทุกประตูล้วนปิดตายสำหรับเราแล้วจริงๆ  ไม่ใช่ว่าเราไม่พยายามจะเปิดมันออก  เราพยายามแล้ว   เราตะกุยจนเลือดออกเลยด้วยซ้ำ  แต่บานประตูเหล่านั้นล้วนถูกปิดล็อคด้วยหยาดน้ำตาของคนที่เรารัก  และคนที่พี่ดิมรัก  เราไม่สามารถจะทิ้งคนเหล่านั้นเอาไว้ข้างหลังเพื่อความสุขของตัวเองได้  มันใจร้ายเกินไป

          เรากดโทรศัพท์ไปหาพี่ดิมกลางดึก   เสียงของเขาร่าเริงเหลือเกินตอนที่เราชวนไปดูหนังและทานข้าวด้วยกัน....เป็นครั้งสุดท้าย   เรายังไม่เข้มแข็งพอที่จะบอกลาเค้าหรอก   

          เรายังไม่พร้อมจะปล่อยมือเขาไป 

         

          วันที่ --/--/--

          วันนี้พี่ดิมใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้า  กางเกงสีน้ำตาลอ่อนพอดีตัว  ดูสดใสกว่าทุกวัน  เราไปดูหนังเรื่อง……..ด้วยกัน   คราวนี้เราเป็นฝ่ายเลือกเรื่อง  เวลาแบบนี้อะไรจะเหมาะสมไปกว่าหนังรักโรแมนติกที่จบอย่างแฮปปี้เอนดิ้งกันล่ะ

          เราจับมือพี่ดิมเอาไว้ตลอดเวลา  ตั้งใจไว้ว่าเราจะตักตวงเอาความสุขจากวันนี้เอาไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้  เก็บเอาไว้เป็นความทรงจำดีๆ  ในยามที่เราจะต้องจากกัน

          รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของพี่ดิม  สัมผัสของพี่ตอนที่เขาจูบเรา  มันทำให้เราน้ำตาซึม  พี่เค้าตกใจใหญ่ว่าเราร้องไห้ทำไม  เราทำได้แค่ยิ้มและบอกว่าไม่เป็นไร

          เราขอให้พี่ดิมพาไปทานข้าวร้านที่เราเคยมากินด้วยกันครั้งแรก   ไม่รู้พี่เค้าจำได้หรือเปล่า  อาหารวันนี้ไม่อร่อยเหมือนเมื่อ 4 ปีก่อนเลย   อันที่จริงเราไม่รู้รสชาติของมันด้วยซ้ำ   เพราะเราเอาแต่นั่งมองหน้าพี่อยู่อย่างนั้น   นึกสงสัยว่าอีกนานแค่ไหนกัน  เราจะได้กลับมานั่งกินข้าวด้วยกันอีก

          เคยได้ยินคนบอกว่า  พอเรามาถึงจุดจบ  เราก็จะเริ่มคิดถึงจุดเริ่มต้นอีกครั้ง....  คงจะจริง  คืนนี้เรานึกเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเค้าได้หมด  แม้แต่บางเรื่องที่ลืมไปแล้ว  ก็กลับผุดขึ้นมาชัดเจนราวกับเพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่วัน  ไม่ใช่ผ่านมายาวนานเกือบ 5 ปีอย่างนี้   

เราเอากล้องถ่ายรูปไปด้วย  แต่กลับไม่ได้ถ่ายเลยสักรูป  บางครั้งเราก็รู้สึกว่า  เราอยากเก็บภาพทั้งหมดเอาไว้ในใจเรามากกว่า   รูปถ่ายของพี่ไม่จำเป็นสำหรับเราเลย  เพราะเรามองเห็นใบหน้าของเค้าในมโนภาพชัดยิ่งกว่าในภาพถ่ายมากมายนัก....

โรงพยาบาลโทรมาหาเรา บอกว่าอาการของตังทรุดลง  เรารีบออกจากหอไปเยี่ยมเธอตั้งแต่เช้า  เธอจับมือเราแน่น  พูดกับเราเป็นประโยคแรกว่า  อย่าทิ้งเค้ากับลูก 

แค่นั้นเราก็น้ำตาไหล  สงสารน้องจับใจ   เธอไม่เหลือใครแล้วจริงๆ  มีแค่เราเท่านั้นที่จะช่วยเธอได้...

หมอบอกว่าอาการของเธอค่อนข้างอันตรายมาก  ไม่สมควรจะตั้งครรภ์ต่อไป  เราอยากให้เธอหยุด  เราอ้อนวอนเธอแต่เธอไม่ยอม  เธอบอกเราว่าเธอจะสู้ต่อ  เราเข้าใจเธอนะ  คนเราก็ควรจะต้องมีจุดมุ่งหมายในชีวิต  เป้าหมายอะไรสักอย่างที่ทำให้รู้สึกว่า ตนเองยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อสิ่งนั้น   ทำให้รู้สึกว่าตัวเองยังมีค่า.....สิ่งที่ตังรู้สึก  ไม่ต่างกับความรู้สึกในใจของเราเลย   เราก็เลยตกลง  เพราะเด็กคนนี้ก็คืออนาคตที่เราเลือกแล้วเหมือนกัน ....เรารับอาสา   ในเมื่อพ่อที่แท้จริงของมันไม่สนใจ  เราก็จะเป็นพ่อของเด็กคนนี้เอง

ถึงเวลาแล้ว  เรารู้ทันทีว่าเราต้องเลือก  ระหว่างความสุขในชีวิตของตังรวมถึงอนาคตของเธอ  กับความสุขของเรา  ที่ผูกติดไว้ด้วยอนาคตของพี่ดิมเช่นกัน...

เราตัดสินใจในเช้าวันนั้นเอง  ท้องฟ้าสดใสมากตรงข้ามกับหัวใจของเรายามที่กดโทรไปหาพี่ดิม  เราขอนัดพี่เขาออกมาคุยที่สวนสาธารณะ...ที่ๆเรามีความสุขที่สุดในชีวิต  กลับไปยังจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์อันยาวนาน  เราจะพบ..เพื่อจากกันที่นั่น 

ที่ๆเราจะยอมปล่อยมือพี่เค้าไปจริงๆเสียที

ระหว่างนั่งรถโดยสารประจำทางไปที่นั่น  เราครุ่นคิดหาคำพูดดีๆ ประโยคที่จะบรรยายความรู้สึกของเราออกมาอย่างแจ่มชัด ทว่าไม่เปิดโอกาสให้เค้าซักถาม  สั้นกระชับได้ใจความ  เพื่อที่เราจะได้ไม่เผลอร้องไห้ออกมาต่อหน้าเค้า

พอเห็นหน้าพี่ดิมแล้วเราพูดไม่ออก  แวบหนึ่งที่เราคิดว่าการเขียนจดหมายหรือบอกทางโทรศัพท์อาจจะดีกว่า  เราจะได้ไม่ต้องยืนสบตาเค้า  เห็นรอยยิ้มของเค้าแบบนี้  มันยากสำหรับเราที่จะต้องเป็นฝ่ายเอ่ยประโยคบอกลา  คำพูดที่เตรียมมาหายแวบออกไปจากสมองหมด   เหลือแค่คำพูดที่ตะโกนอยู่ในใจ

‘พี่ครับ  ผมขอโทษ  ผมไม่รู้จะทำยังไงดี  ผมเสียใจมาก  พี่ดิม...  พี่ได้ยินใช่มั้ย’

          แน่นอนว่าพี่ดิมไม่ได้ยิน  เพราะคำพูดเหล่านั้นมันไม่ได้ผ่านริมฝีปากของเราออกมาเลยซักนิด  มีเพียงประโยคบอกเลิกดาษดื่นที่ได้ยินพร่ำเพรื่อในละครน้ำเน่า....พี่ดีเกินไปสำหรับผม  ผมขอโทษด้วย.....

          จะพูดอะไรออกไปมากกว่านี้หรือเปล่า  ก็จำไม่ได้  เพราะเรารีบหันหลังกลับแล้ววิ่งจากมาก่อน   เรารู้ดีว่าถ้าขืนยังยืนอยู่ตรงนั้น  มองเห็นสีหน้าผิดหวังแกมเสียใจในแววตาคู่นั้นต่อ...เราจะต้องเปลี่ยนใจแน่ๆ

          แย่ตรงที่พี่ดิมวิ่งตามเราออกมาด้วย   เราไม่รู้จะทำยังไง  ตอนนั้นสายตาเราพร่าเบลอไปหมดเพราะหยาดน้ำตา  เราอยากร้องไห้ออกมาดังๆ แต่ก็เกรงว่าพี่ดิมจะได้ยิน  เลยได้แต่เม้มปากเอาไว้แน่น  รีบเผ่นหนีเขาออกมา

          เสียงรถชนข้างหลังดังมาก  เราใจหายวาบ  ภาวนาอยู่ในใจว่า อย่าเป็นเขา!   แต่คำภาวนาของเราไม่เคยเป็นจริงมานานมากแล้ว  พี่ดิมถูกรถชน!  เราตัวแข็งเกร็งไปหมดด้วยความตกใจ  จะก้าวเข้าไปหาเขาก็ก้าวไม่ออก  ยืนนิ่งค้างมองร่างอาบเลือดของเขานอนกองบนพื้นถนนอยู่อย่างนั้นเหมือนคนโง่เง่าทำอะไรไม่ถูก

          สายตาอ้อนวอนของเขามองมาที่เราเป็นครั้งสุดท้าย  เรารู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้น  รอบด้านมีคนมากมายพุ่งตรงเข้าไปช่วยเขา แต่คล้ายกับว่ามีเพียงแค่เรากับเค้าสองคนประจันหน้ากัน

          แล้วเราก็ทำสิ่งที่แม้แต่เราเองก็ไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้   เราถอยหลังกลับแล้ววิ่งหนีออกมา  อย่างคนที่ขี้ขลาดที่สุด  เรากลัว...เพราะเรารู้ดีว่า  ถ้าเราวิ่งเข้าไปหาเค้า  เราจะไม่มีวันแยกจากเค้าได้อีก

          เราวิ่งสะเปะสะปะออกทะลุซอยร้านตลาดวกวน  ถูกมอเตอร์ไซค์เฉี่ยวล้มลงไปกองที่พื้นครั้งนึง  แขนถลอกเป็นแนวยาวจนเลือดซึมแขนเสื้อที่ขาวสะอาด  แต่เรากลับไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด

          เราพาตัวเองมาถึงโรงพยาบาลจนได้   เราเข้าไปหาน้อง   หมอบอกว่าน้องต้องผ่าตัดด่วนวันนี้อาการของเธอทรุดฮวบลงกะทันหัน  และคราวนี้เขาอาจต้องเลือกระหว่างตังหรือลูก  หรือไม่ก็อาจไม่มีทางให้เลือกเลยก็ได้

          เรานั่งรอน้องอยู่ข้างหน้าห้องผ่าตัดนั่นเอง  นั่งเฉยๆไม่ได้ทำอะไร  นึกแปลกใจในโชคชะตาของตัวเองที่ไม่มีความพอดีเอาเสียเลย  ทำไมชะตาชีวิตถึงลิขิตให้เราต้องมาเจอเรื่องร้ายซ้ำซากแบบนี้ด้วย

          เป็นห่วงพี่ดิมเหลือเกิน  ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง  เลือดออกเต็มตัวขนาดนั้น  ถ้าพี่เขาเกิด..ตายขึ้นมาละ  มันเป็นเพราะเราคนเดียวเลยเต  ทั้งพี่ดิม ทั้งข้าวตังกับลูก  ถ้าพวกเขาเป็นอะไรไป  ก็เป็นเพราะเรา

          เราจะไม่มีวันยกโทษให้ตัวเองเลย...

 

          วันที่--/--/--

          เราตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพื่อจะพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงคนเดียว  ที่หลังมือมีสายน้ำเกลือปักอยู่  เราถามพยาบาลอย่างมึนงงว่าเรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง  เธอบอกว่าเราสลบไป  ไม่รู้ว่าเป็นอะไร...เรานอนหลับไปหนึ่งวันเต็มๆ

          สิ่งแรกที่เรานึกถึงก็คือชื่อของพี่ดิม ตามด้วยข้าวตัง...เราลุกจากเตียง  ดึงสายน้ำเกลือทิ้ง  ยังมึนหัวอยู่นิดหน่อยแต่ใจเราร้อนเป็นไฟ  ตามไปถามพยาบาลจนในที่สุดก็ได้ความว่า น้องสาวเราผ่าตัดสำเร็จแล้ว...ปลอดภัยดีทั้งแม่ทั้งลูก

          เราดีใจมาก  อ้อนวอนขอไปเยี่ยมเธอ  คุณหมอใจดีอนุญาตให้เราไปหาเธอได้  แวบแรกที่เห็นหน้าซีดเซียวนั้น  เราเพิ่งรู้ว่าเรารักผู้หญิงคนนี้มาก  อาจจะมากที่สุดรองจากแม่ของเราก็ว่าได้  เราเป็นห่วงเธอ  กังวลเรื่องเธอ  เธอกลายเป็นญาติเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่บนโลกใบนี้  และเป็นคนสุดท้ายที่เราตั้งใจจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่เพื่อดูแลเธอต่อจากนี้

          เรากุมมือเธอไว้แน่น    เธอขยับตัวแล้วลืมตาขึ้น...เราส่งยิ้มให้เธอ   ยิ้มแรกของเราในรอบหลายเดือน

          ‘ดีใจที่เจอเธออีก  พี่สัญญาว่า จะไม่ทิ้งเธอกับลูกไปไหนอีกแล้ว’

          ข้าวตังยิ้มตอบเรานิดๆ แล้วหลับตาลง

          เรากลับออกมา  หาทางติดต่อไปทางพี่รัน  เราอยากรู้อาการของพี่ดิม   อย่างน้อยเราก็อยากไปเยี่ยมเขา  อยากเห็นกับตาว่าเขาสบายดี

          พี่รันฝากเพื่อนอีกคนที่เราไม่รู้จักมาบอกว่า  พี่ดิมสมองกระทบกระเทือนมาก  ทำให้ความจำเสื่อม  ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงมหาวิทยาลัยไปทั้งหมด  รวมถึงเรื่องของเราด้วย  พี่ดิมจำชื่อตั้งเตไม่ได้ด้วยซ้ำ

          เราตกใจมาก  เย็นวันนั้นเราแอบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล   พี่ดิมอยู่ในห้องที่เราเข้าไปไม่ได้  เราได้แต่เกาะกระจกบานเล็กๆข้างประตู  ชะเง้อมองเข้าไปภายในห้องนั้น  เห็นแต่สายระโยงรยางค์กับจอมอนิเตอร์เต็มไปหมด  เราพยายามขอเยี่ยม  แต่พยาบาลไม่อนุญาต

          เราดักรอพบพี่รัน แต่ไม่สำเร็จ  พี่รันฝากเพื่อนอีกคนมาบอกว่า อย่ามาเยี่ยมพี่ดิมเลย  พี่ดิมจำอะไรไม่ได้  ถ้าเห็นหน้าเรา  พี่เค้าอาจจะสับสนและอาการแย่ลงอีก....

          พี่ดิมลืมเราไปแล้ว  บางทีนี่อาจเป็นเรื่องดีก็ได้  เขาจะได้ไม่ต้องเจ็บปวดกับสิ่งที่เราทำลงไป

          แต่เราสิ  เราเจ็บจนขนาดจะร้องไห้ก็ยังร้องไม่ออก  เหมือนกับน้ำตามันแห้งหายไปดื้อๆ    คิดถึงที่สุดแต่ก็ไปหาไม่ได้... สุดท้ายพี่รันส่งข่าวมาบอกว่า  พี่ดิมต้องไปรักษาที่อเมริกา  เพราะมีเลือดออกในสมอง  เราฟังภาษาแพทย์ไม่รู้เรื่อง  รู้แค่ว่าพี่ดิมอาการหนักมาก     

          นี่ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการเลย  ทุกอย่างผิดพลาดและลงเอยด้วยความเจ็บปวดของเราเพียงคนเดียว  เราต้องอยู่กับความเจ็บปวดนี้ไปอีกนานแค่ไหนหนอ

          ก่อนนี้เราเคยหวังลมๆแล้งๆว่าเราจะสามารถกลับมาเจอกันได้อีก  เมื่อเวลาของเราทั้งสองกลับมาบรรจบกันอีกครั้ง   เมื่อทุกอย่างคลี่คลายลง   เมื่อพี่ดิมกลับมา  เราเคยคิดว่าพี่จะกลับมาหาเรา  ถึงตอนนั้นเราก็จะยังรอพี่อยู่ที่เดิม

เมื่อเวลานั้นมาถึง   เราก็จะได้กลับมารักกันอีกครั้ง

          มันกลายเป็นแค่ความฝันยามที่เราครึ่งหลับครึ่งตื่นเท่านั้น   เราไม่มีหน้าจะไปพบพี่ดิมอีกแล้ว  หลังจากที่พี่ดิมเกือบตาย   เรื่องที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นก็คือ พี่ดิมความจำเสื่อม

          จะได้ลืมเรื่องของผู้ชายที่ใจร้ายที่สุดคนนี้ทิ้งไปให้หมด  ดีแล้ว  ดีจริงๆ  เราก็จะฝังเรื่องราวของเราสองคนเอาไว้ในซอกที่ลึกที่สุดในหัวใจ  ไม่นานเราก็จะลืมได้สำเร็จ  ถึงตอนนั้น  เราคงจะได้มีความสุขจริงๆเสียที...

 

           

         วันที่ --/--/--


ความรักของเราตายไปครั้งหนึ่งและมันเกิดขึ้นในใหม่ในรูปของเด็กทารกเพศชายที่เรารักตั้งแต่แรกเห็น  เราตั้งชื่อให้เขาว่า เต้   

เจ้าเต้เป็นเด็กที่น่ารักมาก  ตัวแดงแก้มยุ้ย  หน้าตาน่ารักน่าชัง  พอมีเต้  ก็ทำให้เราไม่เหลือเวลาคิดอะไรฟุ้งซ่านอีก  วุ่นวายกับมันได้ทั้งวัน ข้าวตังก็มีความสุข   เรารับรู้ได้ผ่านแววตาของเธอ  ถึงจะยังไม่แข็งแรงเหมือนเก่าแต่เธอก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

เราขายบ้านที่ขอนแก่นทิ้ง แล้วใช้เงินที่ได้ซื้อบ้านหลังเล็กๆในกรุงเทพฯแทน  ที่ๆเราทั้งสามคนจะตั้งต้นชีวิตใหม่ด้วยกัน   เราตกลงเป็นนักเขียนประจำให้กับคอลัมต์ของนิตยสารสองฉบับ   ไม่รู้ว่าเราจะทำได้ดีมั้ย   แต่มันเป็นทางเดียวที่เราจะสามารถอยู่ดูแลลูกและตังได้ด้วย

ส่วนพี่ดิม...ถ้าบอกว่าเราลืมเขาไปแล้วก็คงโกหก  เรายังคิดถึงเขาทุกวัน  โดยเฉพาะเวลาก่อนนอน  ตอนที่เต้และตังหลับไปแล้ว  เวลาที่ทุกอย่างเงียบสงัด   เราก็จะได้ยินเสียงหัวใจของเราเอง

เฝ้าสงสัยว่าป่านนี้พี่ดิมจะเป็นอย่างไรบ้าง  ผ่าตัดไปดีขึ้นมั้ย   เราอยู่ทางนี้ก็สบายดีทุกอย่าง  ไม่ดีอย่างเดียวคือ 

ผมไม่รู้ว่าจะลืมพี่ยังไง



*********************



คนอ่านทิ้งมือที่ถือบันทึกเล่มนั้นลงข้างตัวอย่างหมดแรง    บันทึกสิ้นสุดลงแค่นี้   เขาถอนหายใจออกมาแรงๆขับไล่อาการจุกแน่นในอก    พลิกเปิดดูบันทึกอีกรอบ  ซองจดหมายใบหนึ่งร่วงลงมาจากท้ายเล่ม  มันคงถูกสอดเอาไว้นานแล้ว

จดหมายเขียนจ่าหน้าซองด้วยลายมือสวยเรียบร้อย  เป็นชื่อของเขาเอง...รดิศ  แต่ตรงที่อยู่กลับเว้นว่างเอาไว้ราวกับคนเขียนไม่รู้จะเขียนว่าอย่างไร

ศัลยแพทย์หนุ่มมือสั่น  เขาแกะจดหมายปิดผนึกออก   ข้างในมีกระดาษแผ่นหนึ่งพับสอดอยู่

 

‘ถึงพี่ดิม

ผมเตเอง  ...พี่สบายดีมั้ย  หายดีหรือยัง  ผมได้ข่าวว่าพี่ผ่าตัดสำเร็จแล้ว  ผมดีใจมาก   อยากไปเยี่ยมพี่สักครั้ง  แต่ก็อย่าดีกว่า   ไม่รู้ว่าจะไปยังไง  เอาเป็นว่ารอพี่กลับมาค่อยเจอกันดีกว่าเนอะ

ส่วนผมก็สบายดี   ตอนนี้ผมเป็นครูอยู่บนดอย อย่างที่ผมเคยเล่าให้พี่ฟังเมื่อนานมาเเล้วว่าผมอยากเป็น   ผมสอนวิชาภาษาไทยกับอังกฤษล่ะ  พี่ก็รู้ว่าผมสอนเก่งแค่ไหน   ผมเป็นคนติวพี่เลยนะ  ชาตินี้คงเอาไปโม้ได้นานเลยว่าเป็นคนติวหมอที่เก่งที่สุดของรุ่น  เจ๋งไหมล่ะ   เด็กๆที่นี่น่ารักมาก  ผมเจอบ้านหลังนึงอยู่บนเนิน  ตรงตามที่เราเคยฝันถึงเป๊ะ   ข้างหลังเป็นสวน   ตอนเช้าตื่นขึ้นมามองเห็นทะเลหมอกอยู่หน้าบ้าน  พี่รู้สึกอิจฉาผมล่ะสิ   ผมยังอิจฉาตัวเองเลย

อากาศที่นู่นเป็นยังไงบ้าง  หนาวมากไหม  อย่าลืมใส่เสื้อหนาๆด้วยล่ะ   พี่จะออกจากโรงพยาบาลหรือยัง   แล้วเมื่อไหร่พี่จะกลับมา  ไม่สิ  พี่คงจะเรียนต่อสินะ   พี่เคยบอกว่าอยากเป็นหมอรักษาหัวใจที่เก่งที่สุด  จะได้รักษาผมที่เป็นหัวใจของพี่ได้ดีที่สุดไง...ผมจำแม่นไหมล่ะ   ไม่รู้ว่าพี่จะยังจำได้หรือเปล่า

พี่หายโกรธผมหรือยัง  ผมมีเหตุผลที่ทำแบบนั้น  ถึงตอนนั้นผมจะยังไม่สามารถอธิบายเหตุผลได้  แต่เชื่อเถอะว่า ถ้าเราได้พบกันอีกครั้ง  ผมจะเล่าให้พี่ฟังทุกอย่าง  ถ้าพี่ยังอยากฟังอยู่

ผมเคยคิดจะพยายามลืมพี่  แต่มันยากเกินไป ผมพยายามแล้ว มันไม่เคยสำเร็จ   ผมเลยเลือกที่จะเก็บพี่เอาไว้ในความทรงจำต่อไป  แบบนี้คงจะดีกว่า 

ไม่รู้จะคุยอะไรแล้ว  ถ้าได้เจอหน้ากันก็คงดี  ผมหวังว่าเราจะได้กลับมาเจอกันอีก   แค่ครั้งเดียว....พี่ไม่ต้องเป็นห่วงผมนะ  ผมมีความสุขมาก   ขอให้พี่มีความสุขมากๆเช่นกัน

                                                                                                             
          คิดถึงพี่ดิมเสมอ

                                                                                                                                                                                                                                     
เต’

.........................................................................................


จบตอนนี้ค่ะ  ขอบคุณมากๆที่ติดตามอ่านนะคะ
จดหมายของเตที่ไม่เคยได้ส่งฉบับนี้ทำเราน้ำตาซึมตอนที่เขียน  สงสารเตมาก
เห้อออ  ใครเล่นทวิตเจอกันได้ใน #ดิมเต นะคะ
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์นะคะ   :hao5:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-05-2017 20:51:49 โดย ็Hollyk »

ออฟไลน์ 205arr

  • เราคงอยู่ไกลกันเป็นพันหมื่นลี้
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
น้ำตาท่วมจอ :o12: :o12:
เราเห็นใจเตมากกว่าพี่ดิมนะ
คนที่รู้ทุกอย่างน่าจะเจ็บปวดมากที่สุด
เจ็บเพราะเลือกทำจนผลออกมาเป็นแบบนี้
บางทีฟ้าก็ไม่มีตา ไม่เห็นใจคนเจ็บปวดบ้างเลย
ขอบคุณคนเขียนนะคะ

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
ขอเศร้ากว่านี้อีกได้ไหม?

ความรักเจ็บจังเลย

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
ฟ้ากำหนด สะกดอยู่ ทั้งรู้เห็น
ฟ้าให้เป็น เล่นกลเล่ห์ ห่างเหหาย
ฟ้ากลั่นแกล้ง ให้ทุกข์ทน จนถึงตาย
ฟ้าใจร้าย หมายชะตา หาไม่เจอ

เศร้ากันขนาดนี้คงต้องโทษคนบนฟ้าแล้ว
ฟ้าลิขิตแน่ๆ

เศร้าจัง
+1 ฮับ

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
 :beat: สงสารทั้งเตทั้งดิมเลย คนหนึ่งก็ไม่รู้ความจริง อีกคนหนึ่งก็ไม่บอกความจริงกับแฟน ไม่รู้จะเก็บความลับไว้ทำไม บอกๆไปให้รู้ให้เข้าใจไปเลย รออ่านตอนต่อไป

ออฟไลน์ Caramel Syrup

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 465
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-2
 อยากให้เตมีความสุขจริงจริงสักที  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ Apple_matinie

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1564
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2
โอยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
ฮืออออออออออออออออออออออออ
สงสารเตตั้งแต่ต้นเรื่องจนถึงตอนนี้ :mew4:

ออฟไลน์ manamon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
น้ำตามาเป็นปี๊บ  :o7: :m8:

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk


เพราะหัวใจบอกว่า...ขาด

                           

 

 

 

            “พี่เตคะ   ตังมีเรื่องอยากถามเรื่องนึง....”   หญิงสาวที่นั่งหันหลังให้เขาแปรงผมให้ถามขึ้นเบาๆ  ชายหนุ่มผู้เป็นสามีเพียงในนามยิ้มนิดๆ  ลากแปรงลงมาตามแนวเส้นผมหยักศกที่เริ่มยาวจนขึ้นเป็นเงาสลวย

            “ถามมาสิ”  เขาตอบ  ขยับตัวเอื้อมไปหยิบประป๋องแป้งมาส่งให้หญิงสาว  เธอเอี้ยวตัวมารับ   สบตากันแวบหนึ่ง  ตั้งเตเห็นแววไม่มั่นใจในดวงตาดำสนิทคู่นั้น  เขายกมือขึ้นจับที่บ่าทั้งสองข้างของเธอ บีบเบาๆ  แล้วลุกขึ้นจากเตียงผู้ป่วยที่เขาถือวิสาสะขึ้นไปนั่ง  หมุนตัวให้เธอหันมาเผชิญหน้ากับเขา

            “ถามมาได้เลย  อย่าเก็บเอาไว้  เราไม่ควรมีความลับต่อกันไม่ใช่หรือ”  พี่ชายถามด้วยน้ำเสียงสบายๆ

            “ตัง....ไม่ถามแล้วดีกว่า”  เธอครุ่นคิดอยู่นาน  แล้วก็เปลี่ยนใจเสียดื้อๆ ทว่าคนฟังไม่ยอม  เขาโน้มตัวลงเพื่อให้อยู่ในระดับสายตาเดียวกัน

            “ถ้าตังไม่ถาม  พี่จะงอนแล้วนะ”

          “.................”   คนป่วยไม่ยอมปริปาก   นักเขียนหนุ่มยักไหล่  หันไปเก็บข้าวของที่วางอยู่ระเกะระกะให้เข้าที่    หญิงสาวจับตามองอีกฝ่ายครู่ใหญ่ ก็อดรนทนไม่ไหว ต้องถามออกมา

            “พี่เตเคยรู้จักกับ...หมอดิม มาก่อนหรือเปล่าคะ”  ตัดสินใจถามพรวดออกไปรวดเดียว   เห็นมือของอีกฝ่ายกำลังพับเสื้อของเธอชะงักไปนิด...นิดเดียวเท่านั้นแทบไม่สังเกต  เขาเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้บางๆ  ใบหน้าเรียวหวานนั้นไม่มีความผิดปกติอะไรให้เธอสัมผัสได้

            “เคยสิ  พี่เคยสัมภาษณ์เขาไง...เมื่อหลายเดือนก่อน   ตังถามทำไมเหรอ”  แววตาคู่นั้นยังคงแกมเศร้าเหมือนทุกครั้ง   คนถามหลบตา  อึกอัก  เธอไม่คิดว่าเขาจะเก็บอาการได้เก่งขนาดนี้  หรือไม่บางที...เขาอาจจะทำใจได้แล้ว?

            “เอ่อ   คือตังได้ยินพยาบาลเค้าคุยกันว่าหมอดิมเก่งมาก  ก็เลยอยากรู้เฉยๆ”

          “อืม   เขาเก่งมาก   จะเรียกว่าเป็นมือหนึ่งด้านนี้ก็ได้มั้ง   ตังสบายใจได้  ไม่ต้องกังวลไปหรอกน่า”  เขาปลอบ  คงนึกว่าเธอกังวลเรื่องการผ่าตัดจริงๆ  ไม่ก็เป็นวิธีเปลี่ยนเรื่องอย่างแนบเนียนของเขา

            พี่เตเล่าเรื่องคุณหมอรดิศเพิ่มอีกสองสามอย่าง  เขาเสริมว่าได้รู้มาตอนที่ไปสัมภาษณ์....คำพูดของเค้าทำให้เธอสับสน     ดูราวกับว่าพี่เตกับหมอดิมจะเป็นแค่คนรู้จักกันเฉยๆเท่านั้น   หาได้มีความสัมพันธ์อะไรลึกซึ้งอย่างที่เธอคิด   ไม่มีความผูกพันอยู่เลยในน้ำเสียงและสายตาของเขายามที่เอ่ยชื่อนั้น

            แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น.....รูปที่เธอเคยแอบเห็นในลิ้นชักของพี่เตเมื่อนานมาแล้วล่ะ  รูปผู้ชายคนหนึ่งที่มีใบหน้าใกล้เคียงคุณหมอกันราวกับฝาแฝด   คนที่เธอนึกว่าเขาคงจะหายสาบสูญไปแล้วเพราะพี่ชายไม่เคยเอ่ยถึงอีกเลย  จนกระทั่งเมื่อเธอได้พบกับคุณหมอรดิศเป็นครั้งแรก  จริงอยู่ว่าในตอนแรกอาจจะจำไม่ได้  แค่คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นใบหน้าแบบนี้ที่ไหน   ทว่าในเวลาต่อมาก็เริ่มมั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆว่าเขาคือ ‘พ่อ’ แฟนของพี่เตสมัยเรียนแน่นอน  และมาพิสูจน์ตอนที่ลองเล่าเรื่องในอดีตทั้งหมดให้เขาฟัง  แล้วพบว่าคุณหมอ หน้าซีดเผือดราวกับกระดาษ

ใช่จริงๆ  ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ  คุณหมอที่รักษาเธอคือคนที่เธอแอบรู้สึกผิดต่อเขามาตลอด   เมื่อหลายปีก่อนเธอรู้ดีว่าพี่เตมีแฟนอยู่แล้ว   แต่เธอไม่เหลือใครเลยในเวลานั้น  พี่เป็นผู้ชายคนเดียวที่เธออยากอยู่เคียงข้างมากที่สุด   ความเห็นแก่ตัวทำให้เธอทำทุกทางไม่ให้พี่เตไปไหน   และทางเดียว...หนทางเดียวจริงๆ ที่เธอทำได้ก็คือ....  เธอไม่นึกหรอกว่า อีกฝ่ายจะเลิกกับผู้ชายคนนั้นเพื่อมาอยู่เป็นเพื่อนเธอจริงๆ   เธอไม่รู้ว่ามีอะไรตื้นลึกหนาบางมากกว่าการที่พี่เตเป็นห่วงเธอหรือเปล่า   แต่เธอก็ไม่สนใจหรอก  ตราบใดที่พี่เค้ายังอยู่กับเธอ  แค่นั้นเธอก็พอใจแล้ว

            พี่เตอาจเลิกกับแฟนเพราะเธอจริงๆ   นั่นเป็นสาเหตุที่เขาไม่เอ่ยถึงแฟนเก่าอีกเลย   ครั้นกลับมาพบกันอีกครั้ง  ท่าทางของพี่ชายในรอบหลายเดือนที่ผ่านมาเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด  ใบหน้าเรียวหวานนั้นสดใสขึ้น  ความสุขในแววตาของเขาที่เธอไม่เคยเห็นมาช้านานกลับมาปรากฏขึ้นอีกครา....เพราะผู้ชายคนนั้น

พี่เตไม่รู้หรอกว่าเธอทุกข์ใจแค่ไหน เมื่อปะติดปะต่อเรื่องได้  นาฬิกาหน้าปัดแตกเรือนนั้น  ภาพในอัลบั้ม  คุณหมอที่พี่ไปสัมภาษณ์และใจดีให้ยืมรถกลับมา  การไปทำงานต่างจังหวัดที่พี่โดมและคุณภาคย์ไม่รู้เห็นด้วย  เดาไม่ยากเลยว่าเขาไปกลับใคร    เธอครุ่นคิดเรื่องนี้กลับไปกลับมาตลอดเวลา   พยายามทำตัวปกติเพื่อจับพิรุธของเขาทั้งที่ทั้งรักทั้งหวงเขาแทบบ้า  ยิ่งรู้ว่าเขาไม่เคยเห็นเธอเป็นอื่นนอกจากพี่น้อง  เธอก็ยิ่งทุรนทุราย

ต้องทนปฎิบัติต่อเค้าเยี่ยงพี่ชาย-น้องสาว  ถึงจะมีเต้เป็นเหมือนโซ่ทองคล้องใจ  แต่เต้ก็หาใช่สายเลือดที่แท้จริงที่จะพันผูกหัวใจของเตเอาไว้ได้   หัวใจของเขาไม่ได้อยู่ที่เธอ...ไม่เคยอยู่

            “เป็นอะไรไป  ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเชียว  คิดอะไรอีกล่ะ   บอกแล้วว่าให้ปล่อยวางบ้าง   พี่ว่าเพราะเราเครียดเกินไปนั่นแหละ  ก็เลยทรุด   ออกจากโรงพยาบาลคราวนี้พี่ว่าย้ายเจ้าเต้กลับมาโรงเรียนเดิมดีกว่า   เธอจะได้ไม่เหนื่อยมาก”  พี่เตพูด

            ...อย่างน้อยเขาก็เป็นห่วงเธอ   เหมือนทุกที

            “ค่ะ   ตังเห็นด้วย   เหนื่อยเกินไปจริงๆ  ตังน่าจะเชื่อพี่ตั้งแต่แรก”  เธอช้อนตาขึ้นมองหน้าเขา

            “อย่างกับเราเคยเชื่อฟังพี่นักนี่  หึ  อ่านหนังสือไหม  พี่หยิบให้   พี่จะไปรับเจ้าเต้แล้วล่ะ ใกล้เวลาเลิกเรียนแล้ว”  เขาลูบศีรษะเธออย่างเอ็นดู   เดินไปหยิบนิตยสารเล่มหนึ่งมาส่งให้เธอ   จากนั้นก็หยิบกระเป๋าเตรียมออกไปข้างนอก 

            “พี่เต  อย่าเพิ่งไปค่ะ”  เขาเลิกคิ้ว  แต่ก็ยอมเดินกลับมาหาโดยดี   

            หญิงสาวเอื้อมมือขึ้นแตะที่ข้างแก้มของเขา   สบดวงตาดำสนิทคู่นั้น  มีเพียงแววรักเอ็นดู  แบบพี่น้อง  แบบญาติสนิท   แบบเพื่อน...ไม่มีฉายรอยคิดเป็นอื่น   เขาไม่รู้สึกหวั่นไหวกับความชิดใกล้ เหมือนเธอที่ใจเต้นแรงเลยสักนิด

            ชายหนุ่มเลิกคิ้ว  เมื่อเห็นน้องสาวมองหน้าแล้วกลับนิ่งเงียบไป

            “ไม่มีอะไรค่ะ   เดินทางปลอดภัย  รีบกลับมานะคะ”  เธอชะโงกเข้ามาจูบที่แก้มของเขาแผ่วเบาแล้วผละออก   ชายหนุ่มยิ้ม  ยกมือขึ้นลูบเส้นผมนุ่มเป็นเงาของเธออีกครั้ง

            “พี่จะรีบกลับมาจ้ะ  นอนพักได้แล้ว”   

            ไม่เลย  ไม่มีทางเลยที่จะรั้งพี่เตเอาไว้ได้  ถ้าเขาคิดจะไป....

            .............................................................................................

            นักเขียนหนุ่มนั่งแท็กซี่มารับลูกชายที่โรงเรียนในเวลาเย็น   เขารับไหว้คุณครูประจำชั้นของเต้แทบไม่ทัน  กวาดสายตามองหาลูกชายไปทั่วบริเวณสนามฟุตบอลด้านหน้าโรงเรียน   ได้ยินเสียงเด็กๆที่กำลังเล่นบอลส่งเสียงร้องเรียก หัวเราะกันเสียงดัง ราวกับกำลังสนุกสุดขีดก็แปลกใจ

            “สวัสดีค่ะ  คุณพ่อน้องเต้   น้องเต้อยู่ในสนามบอลค่ะ  กำลังเล่นกันสนุกเลย  วันนี้มีผู้ปกครองลงเล่นด้วยหลายคน  เด็กๆเลยสนุกกันใหญ่”  เตเพิ่งสังเกตเห็นร่างของผู้ชายเดาว่าคงเป็นบรรดาพ่อๆ กำลังวิ่งไล่ลูกฟุตบอลกับเด็กๆด้วยท่าทางทะมัดทะแมง

            “เล่นด้วยกันมั้ยครับ  น้องเต”   คนชื่อเตสะดุ้ง   หันไปตามเสียงเรียก  เห็นผู้ชายหน้าเข้ม  ร่างสูงสมส่วนอยู่ในชุดเสื้อยืด กางเกงขาสั้น  ร้องเท้าสตั้ดพร้อม หยุดยืนอยู่ขอบสนาม  เหงื่อไหลชุ่มทั้งใบหน้าและลำตัว

            ...ใจหล่นวูบด้วยไม่ทันตั้งตัว  ตั้งเตสูดลมหายใจเข้าลึกเรียกสติกลับมา

            “คุณหมอ    สวัสดีครับ”

          “มารับเต้ใช่มั้ย   อยู่โน่นแน่ะ”   เขาชี้ไปที่อีกฟากของสนามฟุตบอล  คุณครูประจำชั้นขอตัวเดินแยกออกไปแล้ว  เหลือแค่เขายืนประจันหน้ากับคุณหมอสองคน

            ติณธรทำตัวไม่ถูก   เสมองตามมือไปอีกด้าน  เห็นลูกชายตัวเองกำลังวิ่งไล่บอลอย่างสนุกสนานก็ถอนหายใจยาว

            “ขอบคุณครับ”  ตอบสั้นๆ  แล้วขยับออกเดิน  ทว่ามือแข็งแรงชื้นเหงื่อของอีกฝ่ายกลับจับแน่นที่ต้นแขนของเขาเสียก่อน

            “จะไม่ถามหน่อยเหรอ  ว่าพี่มาที่นี่ทำไม”  อีกฝ่ายถามด้วยเสียงต่ำ เตเหลือบมองมือที่ยึดต้นแขนไว้

            “ผมไม่อยากรู้   ขอโทษด้วยครับ  ช่วยปล่อยผมด้วย” 

            “สวัสดี  ขอบคุณ  ขอโทษ  ดูเหมือนว่านายจะชอบใช้คำพวกนี้กับพี่เสียจริงๆนะ...เต  ขอคุยด้วยหน่อยได้มั้ย”  รดิศพูดเสียงอ่อนลง    มองมาที่อีกฝ่ายอย่างอ้อนวอน

            คนถูกมองเม้มปาก  ไม่ยอมสบตาคู่นั้นเพราะรู้ตัวดีว่าจะต้องใจอ่อนอย่างแน่นอน

            “ผมไม่ว่าง  ต้องรีบกลับ  ไม่อยากปล่อยให้ภรรยาอยู่คนเดียว”  เน้นบางคำอย่างจงใจ   พี่ดิมหน้าซีดลงไปนิดหนึ่ง

            “พี่ขอแค่ 5 นาที  ไม่ได้เหรอ”

          “เราคุยกันจบแล้ว   ผมขอตัวก่อนครับ”  ตั้งเตบิดแขนออกจากการเกาะกุมอย่างนิ่มนวล  แล้วเดินลิ่วๆตัดสนามฟุตบอลเข้าไปเรียกลูกชาย   ไม่ยอมหันกลับมองว่าคนผู้นั้นเดินตามมาหรือไม่  หรือว่าตะโกนว่าอะไร   หูทั้งสองของเขาอื้อไปหมด   พอคว้าข้อมือของลูกชายได้ก็พาจูงเดินออกมาด้านนอกโรงเรียนทันที

            “คุณพ่อเป็นอะไรฮะ  หน้าซีดจัง หรือว่าหิวไอติม”  เด็กน้อยกระตุกมือเขา  พูดเสียงดัง   คุณพ่อหันกลับมาส่งยิ้มให้หลานชายหัวแก้วหัวแหวน

            “เต้หิวอยากกินล่ะซี   เอาไหมล่ะ พ่อซื้อให้”   เด็กชายเต้พยักหน้า ยิ้มกว้าง  จูงมือพ่อตรงไปที่รถเข็นด้านหน้าโรงเรียน    เตช่วยลูกเลือกไอศกรีมอย่างใจลอย

            “คุณพ่อ  คุณพ่อครับ  10 บาทครับ  ขอตังค์เต้หน่อย”  คนเป็นพ่อเพิ่งรู้สึกตัว  ล้วงประเป๋ากางเกงหยิบเหรียญสิบมาส่งให้คนขาย   พาเด็กชายเดินกินไอติมอย่างมีความสุขข้ามถนนไปยังอีกฝั่ง

            “คุณพ่อมองหาใครหรือครับ   แท็กซี่อยู่ทางนี้”  เตสะดุ้ง  เหลียวกับมาอีกด้าน  เพิ่งรู้ว่าเขาเอาแต่มองกลับไปทางด้านโรงเรียน    ไม่อยากยอมรับว่าตัวเองหวังจะมองเห็นร่างของใครสักคนเดินตามออกมา

            “เปล่าจ้ะ  รถมาแล้ว”  เขาโบกมือเรียกแท็กซี่   ส่งเด็กชายก้าวขึ้นไปบนรถ  แล้วก้าวตาม  ยังไม่ทันปิดประตูก็พบว่ามีผู้บุกรุกก้าวพรวดตามขึ้นมานั่งเบียดข้างเขาที่เบาะหลังรถแท็กซี่ด้วยกัน   เตตกใจ

            คนๆนั้นปิดประตูรถ  หันมาพูดหน้าตาเฉยว่า

            “ผมขอติดรถกลับโรงพยาบาลหน่อยสิ  ไม่ได้เอารถมา”  คนฟังเกือบจะอ้าปากค้าง   ลูกชายที่นั่งอยู่อีกข้างชะโงกเข้ามาทักทายราวกับสนิทกันมาแรมปี

            “คุณลุง!   ดีใจจังฮะ  กินไอติมมั้ย  คุณพ่อแวะซื้อให้เต้ด้วยล่ะ”  เตนึกอยากเปลี่ยนที่นั่งกับลูกชายขึ้นมาฉับพลัน   เขาขยับตัวอย่างอึดอัดเพราะอีกฝ่ายเบียดเข้ามาเต็มที่  อีกนิดเดียวเขาก็แทบจะขึ้นไปนั่งเกยตักอีกฝ่ายแล้ว

            “ออกรถเลยครับ  ไปโรงพยาบาล......ฮะ”  คุณหมอหนุ่มพูดกับคนขับแท็กซี่ที่กำลังงง  เขามองหน้าคนขึ้นก่อนเป็นเชิงขอความเห็น  เตจำใจพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้ 

“ไหนดูสิ  ไอติมรูปแตงโม  ของโปรดลุงเลยนะ  แต่ก่อนลุงซื้อกินทุกวัน”  ดิมคุยกับเด็กชาย  ข้ามศีรษะคนที่นั่งคั่นอยู่ไปเฉยๆราวกับไม่สนใจ  แอบเห็นใบหน้าเรียวหวานเริ่มบูดบึ้ง  “เต้เล่นบอลเก่งใช้ได้เลยนะเรา  ใครสอนหรอ  คุณพ่อหรือเปล่า”  ชวนเด็กน้อยคุยต่อ

“คุณพ่อเล่นบอลไม่เป็นหรอก   เต้ไม่เคยเห็นพ่อเล่นเลย   เอาแต่อ่านหนังสือ”

“แล้วเต้อ่านหนังสือมั้ย   ขยันเรียนหรือเปล่า  จะได้เรียนเก่งๆไง”

“เต้ก็อ่านบ้าง..   คุณลุงล่ะอ่านหนังสือเยอะมั้ย”   เด็กชายย้อนถาม  คุณหมอหนุ่มยิ้มอย่างพอใจ    เขาเอี้ยวตัวไปรูดซิปปิดกระเป๋าสะพายข้างตัว  ล้วงเอาสมุดเล่มหนึ่งออกมา  ปกสีฟ้าน้ำทะเลที่ค่อนข้างเก่าบอกอายุของมัน   ดิมชูขึ้นสูง พูดยิ้มๆ

“เห็นลุงเล่นบอลเก่งแบบนี้  ลุงก็ชอบอ่านหนังสือนะ  นี่เล่มโปรดของลุงเลย   อ่านหลายรอบจนจำได้ขึ้นใจแล้ว”  หางตาเห็นคนข้างๆหันขวับมาจ้องหน้าเขาราวกับเห็นผี   แต่เขาทำเป็นไม่สนใจ  “เต้อยากเอาไปอ่านบ้างไหม  ลุงให้ยืม”   แกล้งทำเป็นยื่นส่งให้เด็กชายเต้ที่เอื้อมมือมารอรับ  เบิกตากว้างด้วยความตื่นเต้น

“ไม่เอาลูก  อย่าไปยุ่งของคุณหมอเขา”   ‘คุณพ่อ’ พูดเร็วปรื๋อ  จับมือของลูกชายเอาไว้  เค้นเสียงพูดกับผู้ใหญ่อีกคนที่เที่ยวเอาบันทึกของชาวบ้านมาถืออวดราวกับเป็นของๆตัวเองหน้าตาเฉย  แถมยังมีหน้ามาบอกว่า อ่านแล้วจนจำขึ้นใจอีก

            “เอาคืนมาให้ผมนะ”  พูดรอดไรฟัน   อีกฝ่ายเพียงแต่เลิกคิ้ว

            “อะไร  ไดอารี่นี้มันเป็นของผมแล้ว  ผมได้มาอย่างถูกต้อง”

          “ผมบริจาคไปแล้ว  คุณไปเก็บมาได้ยังไง”

            “คงเป็น...พรหมลิขิต  ล่ะมั้ง  เหมือนที่ดลให้พี่กับนายได้กลับมาเจอกันอีกไง”  ประโยคนั้นคล้ายคลึงกับในบันทึกมาก   เตหน้าร้อนวาบ  เม้มปากแน่น ข่มอารมณ์

            “เอาของผมคืนมา  ผมขอคืน”  พูดซ้ำอีกรอบ   ขอบตาเริ่มร้อนผ่าว ทว่าฝืนกลั้นเอาไว้สุดความสามารถเพราะยังมีลูกชายนั่งมองตาแป๋วอยู่ด้วยอีกคน   แต่ถึงไม่มี....เขาก็ไม่คิดจะเสียน้ำตาให้ผู้ชายคนนี้อีกแล้ว

            “นายบริจาคก็เท่ากับสละไปแล้ว   พี่เป็นคนได้รับมันมา  ฉะนั้นมันก็ต้องเป็นของพี่โดยสมบูรณ์  นายไม่มีสิทธิ์มาทวงคืนแล้ว”  ดิมยิ้มนิดๆ

            “แล้วของที่เหลือ...?”

          “ก็เป็นของพี่เหมือนกัน....ทุกอย่างที่เป็นของนายต้องเป็นของพี่”  ประโยคหลัง เขาเอียงหน้าเข้ามากระซิบที่ริมหูของเต ทำเอานักเขียนหนุ่มขนลุกซู่   รู้สึกใบหน้าซีกนั้นร้อนจัด   เขาชะโงกหน้าไปบอกคนขับแท็กซี่ทันที

            “ช่วยจอดข้างหน้าด้วยครับ”  คนขับแท็กซี่รับคำ รีบชะลอรถจอดเทียบข้างทาง   “ถอยออกไป  ผมจะลงจากรถ”  เขาหันมาพูดกับคนที่นั่งติดประตู

            “พี่ไม่ให้ลง   พี่ครับ  ออกรถเลยครับ ไปส่งที่โรงพยาบาลเหมือนเดิม”  คุณหมอพูดกับแท็กซี่  ไม่ขยับตัว

            “ผมเป็นคนจ่ายเงิน  ผมจะลงตรงนี้  นี้ครับเอาเงินไป”  ตั้งเตควักธนบัตรสีแดงออกมาหลายใบส่งให้คนขับรถ  ทว่าอีกฝ่ายก็ล้วงเอาธนบัตรขึ้นมาบ้างเหมือนกัน  รดิศหยิบแบงค์พันขึ้นมาส่งให้คนขับแท็กซี่

            “ผมเหมาพี่วันนี้เลย  ออกรถเดี๋ยวนี้”    คนขับรถอึกอัก  ขยับจะออกรถต่อ  ทำเอานักเขียนหนุ่มหัวเสียอย่างหนัก  เขาเขยิบไปฝั่งที่ลูกชายนั่งอยู่แทน  เอื้อมไปเปิดประตูรถออก 

            “อย่านะเต  ฝั่งนั้นรถมันวิ่งเร็ว  ดูรถด้วย  โธ่เว้ย!”   ดิมอุทานอย่างโกรธจัด เมื่ออีกฝ่ายไม่ฟัง  เปิดประตูได้ก็ลากลูกชายลงจากรถมาด้วย  โชคยังดีที่ตอนนั้นไม่มีรถวิ่งตามมา  ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่อยากจะนึกเหมือนกัน ว่าคนที่พรวดพราดลงไปแบบนั้นจะโดนรถชนตายเอามั้ย

            เขายัดธนบัตรใส่มือแท็กซี่แล้วเปิดประตูลงไปบ้าง  เดินแกมวิ่งตามอีกฝ่ายไปจนทัน  คว้าแขนเอาไว้ดึงให้หันกลับมา

            “ทำบ้าอะไร  เสียสติไปแล้วหรือไงถึงได้พรวดพราดลงมา  ถ้ามีรถตามมาจะเป็นยังไง  ไม่โดนรถทับแบนไปแล้วทั้งคู่หรอ   ถ้านายไม่ห่วงตัวเองก็ห่วงลูกบ้าง”  เขาพูดเสียงดัง   อีกฝ่ายสะบัดแขน  ไม่สบตาเขา  จับมือลูกชายพาเดินต่อ

            “เต  หยุดก่อน  ตั้งเต  ฟังพี่พูดหน่อย   เต”  เขาก้าวตาม  ไม่สนใจว่าคนข้างทางจะมองมาที่พวกเขาอย่างไร   

          “อย่ามายุ่งกับผม  กลับไปซะ  เราต่างคนต่างอยู่”   ติณธรพูด  น้ำตาเริ่มปริ่มขอบตา...นี่มันมากเกินไปแล้ว   พี่ดิมจะมายุ่งอะไรด้วยนักหนา   จบๆไป ต่างคนต่างอยู่ไม่ได้หรอ...

            “ไม่ได้  พี่ทำแบบนั้นไม่ได้   ก่อนหน้าที่พี่จะอ่านบันทึกเล่มนี้  พี่หลอกตัวเองมาตลอดว่าพี่ทำได้  พี่สามารถอยู่โดยไม่มีนายได้  แต่หลังจากอ่านแล้วพี่ก็รู้ว่าพี่คิดผิดมาตลอด   พี่อยู่โดยไม่มีนายไม่ได้  เต  นายเองก็เสียใจไม่ใช่เหรอ  ทำไมเราไม่กลับมา..เริ่มต้นกันใหม่ล่ะ”   เขาพูดอย่างมีหวัง

            “..........................”  ไม่มีคำตอบ   คนฟังเร่งฝีเท้าขึ้นอีก   จนลูกชายต้องร้องประท้วงให้ช้าลงหน่อย

            “พี่เพิ่งรู้ว่านายอดทนทำเพื่อพี่ขนาดนี้  พี่โง่เองที่ไม่รู้เลย   หลงเชื่อใจคนผิด คิดว่านายทิ้งพี่ไปจริงๆ  ทั้งที่นายไม่เคยทิ้งพี่ไปเลย  เต  พี่ขอร้อง   ขอโอกาสให้พี่ได้แก้ตัวสักครั้ง   นะครับ”

          ร่างเล็กหยุดเดิน   หันมามองหน้าคนพูด   รดิศใจเต้นแรง  เขารอคอยคำตอบด้วยความหวังเต็มเปี่ยม   ตั้งเตยังรักเขาอยู่  เขารู้  นั่นเป็นสิ่งที่แม้แต่เจ้าตัวก็ปฏิเสธไม่ได้

            “โอกาสนั้นหมดไปแล้ว  ผมเสียใจด้วยจริงๆ ...เตคนที่เขียนบันทึกเล่มนั้น กับเตที่ยืนตรงนี้เป็นคนละคนกัน....มันผ่านมานานเกินไป  ผมเสียใจมามากพอแล้ว  ขอให้ผมได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเถอะ”

          “นายแน่ใจเหรอว่านายจะมีความสุขจริงๆ  พี่ไม่เชื่อหรอกว่านายเปลี่ยนไปแล้ว   ทุกครั้งที่มองตา  พี่ยังเห็นเงาของเตคนเดิม  เฟรชชี่อักษรคนนั้นยังอยู่ข้างในตัวนาย   นายโกหกใครก็โกหกได้ แต่นายโกหกตัวเองไม่ได้  นายรู้อยู่แก่ใจ  เหมือนที่รู้เมื่อหลายปีก่อนว่านายจะไม่มีวันมีความสุข  เต....เลิกทำตัวเป็นพระเอกนิยายน้ำเน่าเสียทีได้มั้ย  เลิกเสียสละเพื่อใครต่อใครแล้วทำตามความต้องการของตัวเองบ้าง   ได้หรือเปล่า”  เขาทอดเสียงอ่อนลง   พิศดูสีหน้าอีกฝ่าย  เตหลุบตาจนมองไม่เห็นแววตาที่ซ่อนเอาไว้

            “จริงอยู่ว่าคราวที่แล้ว  ผมทำเพื่อคนอื่น  แต่คราวนี้ผมทำเพื่อตัวเอง   พี่ดิม...ผมขอเรียกพี่เป็นครั้งสุดท้าย ....ผมดีใจที่ได้ยินพี่พูดแบบนั้น   แต่เราเดินมาไกลเกินไป ....มันไกลเกินกว่าจะหันหลังกลับ   ตอนนี้ผมมีหน้าที่ๆต้องรับผิดชอบ  มีคนที่ผมต้องดูแล   ผมไม่สามารถทิ้งไปได้  และมันก็เป็นความต้องการที่แท้จริงของผมด้วย   ให้ผมได้ดูแลพวกเค้าเถอะนะ   พี่ดิม....เรื่องของเราเป็นความทรงจำที่ดีมาก   จนผมแทบไม่อยากเชื่อ  แค่ได้เป็นแฟนกับพี่ผมก็มีความสุขมากพอแล้ว...”  เตหยุดครู่หนึ่ง  ราวกับครุ่นคิดหาถ้อยคำ “เรื่องมันผ่านไปแล้ว ก็ปล่อยให้มันผ่านไปเถอะนะ...”  เขาจบห้วนๆ  ไม่พูดต่อ   เงยหน้าขึ้นสบตาผู้ชายตรงหน้าแวบหนึ่ง   แล้วก็หันไปโบกมือเรียกแท็กซี่อีกคันที่วิ่งผ่านมาพอดี 

            ดิมมองอีกฝ่ายก้าวขึ้นไปนั่งบนรถพร้อมลูกชายแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว   เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า  แดดร่มเมฆครึ้มบดบังแสงอาทิตย์ ทว่าเขากลับรู้สึกร้อนอบอ้าวอย่างประหลาด   ดวงตาเริ่มพร่าเบลอด้วยหยดน้ำ...คงเป็นเหงื่อที่ไหลพลั่กออกมาเข้าตากระมัง

            เขายกนิ้วขึ้นแตะซับที่หัวตาอย่างแปลกใจ...ไม่ใช่เหงื่ออย่างที่คิด   คงเป็นฝุ่นละอองข้างถนนเข้าตาจนเคือง   กันยกมือขึ้นขยี้ตา   ยิ่งเช็ด  น้ำตากลับยิ่งไหลออกมาไม่หยุด

            เขาร้องไห้หรือนี่?

       นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้ปล่อยอารมณ์ออกมาแบบนี้    กี่ปีแล้วที่ต้องกักเก็บความรู้สึกเอาไว้ภายใต้สีหน้าท่าทางปกติ

            คิดแล้วก็ตลกดี...อุตส่าห์พยายามแทบตายจนได้เป็นหมอผ่าตัดหัวใจที่เชี่ยวชาญ    ตรวจคนไข้มาเป็นร้อย  ฟังเสียงหัวใจที่เต้นผิดปกติ   ต่อให้เสียงเบาแสนเบาแค่ไหน  ถ้าเป็นหูเทพของคุณหมอรดิศฟังเข้าล่ะก็ เป็นต้องเจอ รักษาจนหายดีทุกราย  ขึ้นชื่อว่าเป็นมือหนึ่งด้านนี้แท้ๆ   ทว่ากลับไม่เคยฟังเสียงหัวใจของตัวเองเลยสักครั้ง

            กว่าจะได้ยิน    กว่าจะรู้ว่าหัวใจของตัวเองมีแผลกลัดหนองซ่อนอยู่   หนองก็กินลึกจนไม่รู้จะรักษายังไงแล้ว  ทำได้อย่างเดียวคือต้องตัดหัวใจทิ้ง   แล้วใครที่ไหนจะตัดทิ้งกันได้ล่ะ  ในเมื่อหัวใจเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดในร่างกาย   คนเราจะอยู่โดยไม่มีหัวใจได้ยังไงกัน

            ชายหนุ่มยกมือขึ้นทาบที่แผ่นอก  รู้สึกถึงก้อนเนื้อขนาดกำปั้นที่เต้นช้าๆเป็นจังหวะอยู่ข้างใต้นั้น   หัวใจของเขาก็ยังคงเต้นอยู่  แต่เหตุใดเขาถึงรู้สึกเหมือนมันหยุดเต้นไปแล้วนะ

            ......................................................................................



            “ดิมเป็นอะไรไป  ตั้งแต่กลับจากดอย  ดิมก็เงียบๆไป   มีเรื่องอะไรหรือเปล่า   พูดกับรันตรงๆได้นะ”  กุมารแพทย์ยกมือขึ้นแตะที่ไหล่ของคนรักที่นั่งพิงโซฟามองหน้าจอโทรทัศน์นิ่งๆคล้ายไม่รับรู้ภาพเคลื่อนไหวในจอสี่เหลี่ยมเบื้องหน้า

            อีกฝ่ายดูหมดอาลัยตายอยาก อย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน   ไม่สิ...อาการแบบนี้เขาเคยเห็นครั้งนึง  เมื่อนานมาแล้วตอนที่ดิมฟื้นขึ้นมาใหม่ๆ และเอาแต่ชะเง้อหาคนรักที่ทอดทิ้งตัวเองไป ...หรือว่าครั้งนี้ก็จะเพราะเหตุนั้น?

          “รันนวดให้เอามั้ย   เผื่อจะได้สบายตัวขึ้น”  เขาออกแรงบีบหนักๆที่ช่วงบ่าตึงแน่นทั้งสองข้าง   ดิมขยับตัวแล้วเบี่ยงตัวออกจากมือของเขาอย่างนุ่มนวล  พูดเสียงเรียบ

            “ไม่เป็นไร  ขอบคุณมาก  รันกลับไปก่อนเถอะ  ดึกแล้ว   เดี๋ยวพรุ่งนี้จะไปทำงานไม่ไหว”

          ดิมไล่เขา!  รันคิดอย่างเจ็บใจ  หลังจากกลับมาจากดอย อีกฝ่ายก็ทำตัวแปลกไปจากเดิม  ความจริงความสัมพันธ์ของเราสองคนก็เริ่มเปลี่ยนแปลงมาสักพักแล้ว   ตั้งแต่ดิมได้พบกับเด็กคนนั้น   ทว่าครั้งนี้มันแย่กว่าเดิม  ดิมเย็นชา  ทำเหมือนกับว่าไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา   ราวกับว่าเราไม่ใช่คนที่กำลังจะแต่งงานกัน

            “เป็นอะไรไป   หงุดหงิดเรื่องอะไรกันแน่  พูดมาตรงๆสิ  ดิมทำแบบนี้รันไม่เข้าใจหรอกนะว่าเกิดอะไรขึ้น  โกรธผมเรื่องอะไร”  เขาไม่เคยต้องง้อใครมากมายขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิตที่พรั่งพร้อมบริบูรณ์มาตั้งแต่เกิด   อยากได้อะไรแค่เอ่ยปากก็มีคนสรรหามาประเคนให้ถึงที่   พี่ดิมเป็นคนเดียวที่เขาต้องง้อ  ต้องลงทุนทำอะไรหลายๆอย่างที่ชาตินี้ไม่คิดว่าตัวเองจะทำด้วยซ้ำ   แต่เขาก็ทำ....เพื่อพี่ดิม

            “คุณกลับไปก่อนเถอะ  เชื่อผม”  เสียงเขาดูจริงจังแปลกจากทุกครั้ง  รวมถึงแววตาที่มองมานั้นด้วย   มันทำให้แขกที่ถือวิสาสะเข้ามารอในคอนโดหลังเลิกงานโดยไม่รอให้เจ้าของเชิญเริ่มรู้สึกร้อนๆหนาวๆ ชอบกล 

            “ก็ได้  แต่พรุ่งนี้เช้ารันมารับนะ  แล้วเราจะได้ไปโรงพยาบาลด้วยกัน”

          “ไม่เป็นไร  ต่างคนต่างไปก็ได้ สะดวกดี”  เอาอีกแล้ว  อีกฝ่ายปฏิเสธน้ำใจของเขาอย่างไร้เยื่อใย   ชายหนุ่มคิดอะไรไม่ออกจึงได้แต่ลุกขึ้นหยิบกุญแจรถของตัวเองกลับออกมาจากห้องพักของคนรัก

            อีกฝ่ายไม่แม้แต่จะเดินออกมาส่งเขาที่หน้าประตูเหมือนทุกครั้ง   เค้าไม่หันหน้ามามองเลยด้วยซ้ำตอนที่เขาออกจากห้องมา

            เจ็บ...มันเป็นความเจ็บที่จะเรียกว่าคุ้นเคยก็คงได้ แต่ไม่เคยชินเสียที  เจ็บที่รู้ว่าอีกฝ่ายยังคงมีคนอื่นอยู่ในใจตลอดมา   เจ็บที่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่เคยตัดใจได้ 

            แต่ที่เขาเจ็บยิ่งกว่านั้น  ทั้งเจ็บทั้งแค้นก็คือ...ตัวเอง   เจ็บปวดทุกครั้งที่ถูกอีกฝ่ายเมิน   อยากจะทิ้งอีกฝ่ายไปเสียไกลๆ แต่ไม่เคยทำได้  เจ็บใจที่ไม่เคยหยุดรัก  แค้นที่ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไร  พยายามแค่ไหน   หัวใจของดิมก็ไม่เคยเป็นของเขาเลย  ที่ตลกกว่านั้นก็คือ หัวใจดวงนั้นไม่เคยเป็นของเจ้าตัวเองด้วยซ้ำ  เพราะมันเป็นของใครอีกคนมาตลอด  คนที่เขาอิจฉา....คนที่ต่อให้ทำร้ายดิมจนเจ็บช้ำปางตายแค่ไหน  ต่อให้ดิมโกรธจนไม่อยากมองหน้าอีก  ต่อให้ทิ้งเขาไปอีกสิบรอบ...ดิมก็จะยังรักผู้ชายคนนั้น 

            ทำไมเตถึงโชคดีอย่างนี้..

           

            ...........................................................................



ยังไม่จบตอนเด้อ  พักกินข้าวก่อนแปบบ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ xxxspai

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
รันคะ ทำตัวเป็นตัวร้ายแล้วจะหวังอยากได้อะไรมากมาย หือ
กลับไปนั่งที่เงียบๆเลย จะดูพี่ดิมกับเต


ว่าแต่ คนเขียนกินข้าวอิ่มยัง :katai5:

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
  มาต่อนะคะ




              ชายหนุ่มหน้าคมเข้มทว่าเผือดซีด  หนวดเครารกเรื้อไร้การดูแล นอนเหยียดยาวอยู่กลางเตียงขนาดคิงไซส์คนเดียวในความมืด  ได้ยินเสียงเครื่องปรับอากาศทำงานสลับกับเสียงลมหายใจเข้า-ออกอย่างไร้จุดหมายของเขา

            เขากำลังครุ่นคิด

            ความรู้สึกภายในใจตอนนี้มันตื้อจนอธิบายไม่ถูก   อยากออกไปตามหาคนๆนั้น  ตามไปพูด  ไปคุยให้เข้าใจ  แต่ขณะเดียวกันก็รู้ว่ามันไม่มีประโยชน์อะไร   มันสายเกินไปแล้ว

            จริงอย่างที่เตบอก   มันสายไป

            ถ้าย้อนกลับไปเมื่อหลายเดือนก่อน   ถ้าตอนนั้นเขายอมปล่อยความแค้นโง่ๆพวกนั้นไปเสีย  ถ้าเขารับโอกาสที่เตมอบให้ด้วยใจจริง  ตอนนี้เขาก็คงไม่ต้องมานั่งเสียใจซ้ำสองแบบนี้

            คงจะมีความสุข  เหมือนที่ตอนนั้นมี....ความสุขที่แค่นึกถึงก็ทำให้หัวใจเต้นแรง...ร่างอบอุ่นนุ่มนิ่มในอ้อมแขน  กลิ่นหอมอ่อนๆทุกซอกทุกมุมที่เขาแตะริมฝีปากลงไปสัมผัส  ท่าทางเขินอายสะดุ้งน้อยๆอย่างคนไม่เคย  แต่กลับยั่วอารมณ์ของเขาให้คลั่งได้ในพริบตา

            ผิวนวลเนียนใต้ร่มผ้าที่เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะอ่อนละมุนถึงเพียงนั้น  เสียงลมหายใจที่ถี่ขึ้นพร้อมกับเสียงครางแหบหวานที่เร้าอารมณ์จนเขาอยากจะฝังร่างของตัวเองลงไปให้ลึกที่สุดและนานที่สุด  เหมือนกับที่เขาได้ฝังหัวใจของตัวเองลงไปแล้วกับผู้ชายตัวเล็กหน้าหวานคนนั้นตั้งแต่แรกเจอ

            เตไม่รู้หรอกว่าเขาต้องใช้แรงใจมากแค่ไหนที่จะผละออกมาในเช้าวันนั้น   ใบหน้าเรียวหลับตาพริ้ม  อมยิ้มน้อยๆราวกับคนที่กำลังนอนหลับฝันดี   จะฝันถึงเค้าหรือเปล่า  ก็ขอเดาเอาเข้าข้างตัวเองว่าน่าจะใช่   ก้มลงไปเฝ้าจูบจอมถนอมเกล้าอยู่อย่างนั้น  ตัดใจลุกไม่ได้เสียที

            เข้าใจความรู้สึกของคนที่ได้ของรักกลับคืนมาก็ตอนนั้นเอง

            ถ้าตอนนั้นเขาลดทิฐิลง  ถ้าเขาวางความแค้นลงสักนิด  เขาก็คงจะยอมรับกับตัวเองได้ว่านี่คือสิ่งที่เขาเฝ้าฝันหามาตลอด   ผู้ชายในอ้อมกอดคนนี้คือสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตของเขา 

            ถ้าเขานอนต่ออีกหน่อย  รอให้อีกฝ่ายลืมตาตื่นขึ้นมา  รอให้เราได้สบตาและยิ้มให้กันในตอนเช้า   ความสัมพันธ์ของเราคงจะไม่ต้องจบแบบนี้   

            ทุกอย่างเป็นเพราะเขาเอง   เพราะความใจร้อน เพราะทิฐิและความโง่เง่าที่เอาแต่ความแค้นขึ้นมาบดบังสายตา  ทำให้เขาพลาด   ทำสิ่งที่เขาตามหามาตลอดหลุดมือไป

            กว่าจะรู้สึกตัว....ก็สมน้ำหน้าแล้วล่ะ

 

            ลุกขึ้นจากเตียงอย่างเนือยๆ  สมุดบันทึกและสิ่งของต่างๆในกล่องใบนั้นยังวางกระจายอยู่เต็มเตียง   เขาหยิบสมุดบันทึกเล่มนั้นขึ้นมาดูอีกครั้ง   นึกถึงเจ้าของลายมือเรียบร้อยที่เขียนทุกความรู้สึกลงไปในกระดาษแล้วก็จุกแน่นในอก

ขนาดเขาเพิ่งรู้เรื่องทั้งหมดแค่ไม่กี่วัน  ยังเจ็บปวดร้อนรนเหมือนอยู่กลางกองเพลิง  แล้วเจ้าตัวที่เป็นคนตัดสินใจเรื่องทั้งหมดด้วยตัวคนเดียวล่ะ

เตอดทนผ่านเรื่องราวเหล่านี้มาได้อย่างไร

คนที่ท่าทางอ่อนๆซื่อ  คนที่มีรอยยิ้มหวานรับอยู่เสมอ   แม้ว่าจะถูกใครเข้าใจผิดอย่างไร   ผู้ชายตัวเล็กที่เลือกจะทำทุกอย่างเพื่อคนอื่นมากกว่าตัวเอง   เป็นคนที่แข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ   ที่แม้แต่เขาก็ต้องยอมแพ้...เต   พี่คิดถึงนายเหลือเกิน...

เขาไม่มีอารมณ์ที่จะเก็บของใส่กล่องเหมือนเดิม   ความจริงเขาไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรด้วยซ้ำ ...อยากนอนนิ่งๆอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ

            เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง   เขาเอื้อมมือไปหยิบขึ้นมาดู  ชื่อที่หน้าจอโชว์หราพร้อมกับใบหน้าหวานส่งยิ้มมาให้เขา...รัน

            เขากดปิดโทรศัพท์มือถือ

            รู้อยู่หรอกว่าเขาไม่ควรจะทำแบบนั้นกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคู่หมั้น    คนที่เขาเป็นคนตัดสินใจขอแต่งงานเอง  แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะ   ก่อนหน้านี้เขายังไม่รู้ความจริงนี่   ทว่าตอนนี้เขารู้แล้ว....เหตุผลที่เตไม่เคยมาเยี่ยมเขาเลย ....เขารู้สึกโกรธ   ข้อความจากบันทึกของอดีตคนรักบอกชัดถึงสิ่งที่เขาเฝ้าสงสัยมานาน   บันทึกนั่นคงไม่โกหก  เพราะเตไม่มีทางรู้เลยว่าวันนึงเขาจะมาอ่านมันเข้า

แล้วจะให้เขาทำหน้าอย่างไรกับคนที่แทงข้างหลังกันแบบนี้ล่ะ

ช่วงหลายวันมานี้รันพยายามชวนเขาพูดคุย  มาหาที่คอนโด  ชวนไปทานข้าว  แต่เขาปฏิเสธ   ทุกครั้งที่เห็นหน้ารัน   ความโกรธมันก็ยังคงอยู่    ออกจะเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ 

ทำไมรันถึงทำกับเขาได้  ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าตอนนั้นเขาอยากเจอตั้งเตมากแค่ไหน  รันรับรู้ทุกอย่างว่าเขากระวนกระวาย ทุกข์ใจแทบตาย  อยากจะพบหน้าคนรักเพื่อหาเหตุผลว่าทำไมถึงทิ้งเขาไป  กี่เดือนที่เขาโวยวาย ทุรนทุรายเหมือนจะคลั่ง   แต่รันก็ทำ...จิตใจวิรัลทำด้วยอะไร

เขาไม่นึกว่าคนที่ไว้ใจที่สุด  จะทำกันได้ลงคอแบบนี้ ....คนที่เขาเคยคิดว่าจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า  คนที่จะเข้ามารักษาหัวใจที่แหลกเละของเขา

            แต่กลับทำให้เขาเจ็บมากกว่าเดิม

            โทรศัพท์เครื่องเล็กอีกเครื่องที่เขามีไว้ติดต่องานดังขึ้น   เขาหยิบขึ้นมาดู  เป็นเบอร์โทรของแพทย์รุ่นน้อง....เขาต้องกดรับ  กรอกเสียงลงไปอย่างจำใจ

            “ฮัลโหล  ว่าไง...”  รับฟังรุ่นน้องเล่าเคสคนไข้เพื่อขอความเห็นของเขาอยู่ครู่หนึ่ง  ฝ่ายนั้นอ้อนวอนขอให้เขาช่วยมาดูให้หน่อย   สุดท้ายเขาก็กรอกเสียงลงไป  “ก็ได้   ขอเปลี่ยนชุดก่อน   อีกสักครึ่งชั่วโมงจะตามไป” 

          นายแพทย์หนุ่มหยิบผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำ    ปล่อยให้สายน้ำไหลผ่านร่างกายไปเรื่อยๆ  ความคิดคำนึงวิ่งทวนกระแสน้ำย้อนกลับไปใครคนนั้นอีกแล้ว....ครั้งหนึ่งเตเคยสระผมให้เขาที่ตรงนี้ 

            ยังจำท่าทางตกใจของอีกฝ่ายได้ติดตา   ตัวสั่นน้อยๆ ใบหน้าแดงจัดตอนที่เราสัมผัสกัน    เตไม่เคยเปลี่ยนไปเลยสักนิด   เขารู้ว่าอีกฝ่ายเกลียดพวกสกินชิพพวกนี้เป็นที่สุด  เพราะมันทำให้เค้าหวั่นไหว   และนั้นก็เลยกลายเป็นจุดอ่อนที่เขาเอามาใช้กับอีกฝ่ายเสมอ

            เผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ....คงดีถ้าจะได้มีโอกาสแก้ตัวอีกสักครั้ง

            เขารีบมาที่โรงพยาบาล   โทรติดต่อให้รุ่นน้องอีกครั้ง  ฝ่ายนั้นบอกว่ารอเขาอยู่ที่ห้องทำงาน  รดิศแปลกใจนิดหน่อยแต่ก็เดินตามไปห้องทำงานของตัวเอง   เปิดประตูห้องเข้าไปก็เจอร่างของใครคนหนึ่งยืนหันหลังพิงโต๊ะทำงานของเขาอยู่แล้ว

            วิรัล...

“ดิม....เดี๋ยวก่อน  อย่าเพิ่งไป   คุยกันก่อน”   รันพูดเสียงอ่อนลง   เขารู้ทันทีว่านี่คงเป็นแผนของอีกฝ่ายที่จะเรียกเขาออกมาพบ   หลังจากที่เขาหาทางหลบหน้ามาตลอดหลายวันที่ผ่านมา

“คุณให้นัทโทรไปหาผมสินะ”   พึมพำกับตัวเองเบาๆ   รันเดินเข้ามาหาเขา  ช่วยไม่ได้เลยที่เขาเผลอก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง   รันทำหน้าเสียใจที่เห็นแบบนั้น

เขาก็เสียใจ

“รันขอโทษที่หลอกดิมมาที่นี่   แต่ดิมไม่ยอมเจอหน้ารันเลย  รันติดต่อไปดิมก็ปิดเครื่อง   รันก็ไม่รู้จะทำยังไง....ดิม  ดิมโกรธอะไร บอกมาตามตรงได้มั้ย”

คนฟังเม้มปาก  เมินมองไปทางอื่นที่ไม่ใช่ดวงตากลมโตที่มีหยาดน้ำตาคลออยู่

“รันจะเป็นบ้าอยู่แล้วนะดิม  เป็นอะไร  ไม่คุยกับรันยังไม่เท่าไหร่  แต่ดิมไม่ยอมมาทำงาน  คนไข้อะไรดิมก็ทิ้งหมด  เลื่อนผ่าตัดออกไปแบบไม่มีกำหนดแบบนี้  มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”   เสียงของอีกฝ่ายเริ่มสั่นเครือ   หยดน้ำตาเริ่มไหลลงมาอาบแก้ม   เจ้าตัวยกมือขึ้นปาดทิ้ง  “ดิมโกรธรันมากขนาดหน้าก็ยังไม่ยอมมองเลยใช่มั้ย  รันทำอะไรผิดหรอ...ฆ่าคนตายหรือไง” 

คนฟังส่ายหน้า   เอ่ยปากพูดเป็นประโยคแรก

“เปล่า  คุณไม่ได้ฆ่าใคร    เป็นผมเองที่ฆ่า   จะเรียกว่าคุณสมรู้ร่วมคิดก็คงได้กระมัง”  รันเบิกตากว้าง  มองเขาอย่างแปลกใจระคนกับแววหวาดกลัวบางอย่างที่วูบไหวอยู่ในดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้น

“ฆ่าอะไร  รันไม่เข้าใจ”  เสียงของอีกฝ่ายเบาลงจนเหมือนกระซิบ

“เมื่อ 8 ปีก่อน  ตอนที่ผมนอนอยู่โรงพยาบาล.... เตมาเยี่ยมผมใช่มั้ย”  กุมารแพทย์หนุ่มรู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้น   เขากำมือแน่น  เหงื่อแตกโดยไม่รู้ตัว

ดิมรู้แล้ว?....เห็นใบหน้าเข้มเครียดนั่นก็รู้  ดิมรู้แล้วสินะ....นี่เองคือสิ่งที่เขาเคยคิดว่าวันนึงมันอาจเกิดขึ้น   แล้วมันก็เกิดขึ้นแล้วจริงๆ

“ดิมหมายถึงอะไร  รันไม่เข้าใจ”  เขาพูดรัว  ใจเต้นแรงจนแทบจะโลดออกมานอกอก   สังหรณ์บางอย่างบอกว่านี่อาจเป็นการพูดกันครั้งสุดท้ายระหว่างเขากับอีกฝ่าย

“รันให้ใครไปบอกเตว่าผมความจำเสื่อม”   คนฟังหัวใจหล่นวูบ...ดิมรู้หมดแล้วจริงๆด้วย   ไม่รู้ว่าไปรู้มาได้อย่างไร  หรือว่าเตบอก?

“เตบอกดิมว่าอะไร   รันไม่รู้ว่าดิมไปได้ยินเรื่องอะไรมา”   ปากคอเริ่มสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่  เขาพยายามคิดหาทางหนีทีไล่  หนทางที่จะรั้งคนตรงหน้าเอาไว้ต่อไป 

“เตจะบอกผมว่าอะไรก็ช่าง  แต่ผมอยากได้ยินจากปากของคุณ   รันบอกผมได้มั้ยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”  สายตาคู่นั้นเหมือนจะเฆี่ยนเขาให้ปางตายด้วยความรู้สึกผิด   ดิมรู้เรื่องหมดแล้วแต่ก็ยังอยากให้เขาสารภาพออกมา 

“ดิมจะฟังรันเหรอ  ในเมื่อดิมก็เชื่อเตอยู่แล้ว  คำพูดของรันไม่มีความหมายสำหรับดิมหรอก   อย่าคิดว่ารันไม่รู้นะว่าหลายเดือนที่ผ่านมานี่ดิมแอบทำอะไรลับหลังรันบ้าง” 

รดิศมองอีกฝ่ายอย่างผิดหวัง   เขาแค่ต้องการให้รันพูดออกมาตรงๆแค่นั้นเอง

“รัน..”  เขาเรียกชื่ออีกฝ่าย  แต่ฝ่ายนั้นเหมือนคนเบรกแตกไปแล้ว

“ดิมไม่เคยเห็นรันอยู่ในสายตา   รันดูแลดิมแทบตายกว่าดิมจะกลับมาเหมือนเดิม  ขณะที่นายเตทิ้งดิมไปไม่เคยกลับมาดูดำดูดี   แต่ดิมก็ยังรักเค้า  รันไม่เข้าใจ   เค้ามีเมียมีลูกไปแล้ว  ดิมก็ยังไปตามตื๊ออยู่ได้   เป็นดิมที่โง่หรือว่ารันเองที่งั่ง   ...เอาแต่รักคนที่ไม่เคยรักตัวเองเลยสักนิด”   ประโยคสุดท้ายคล้ายพูดกับตัวเอง  รันก้มหน้าลงครู่หนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้น   นัยน์ตาทั้งคู่แดงก่ำน้ำตาคลอ

“ดิมบอกขอเวลาหน่อย  รันก็ยอม  รันรอดิมมาตลอด   แต่ดิมไม่เคยตัดใจอย่างที่ปากพูดเลยสักครั้ง   คิดว่ารันไม่รู้เหรอว่าดิมกลับเมืองไทยมาทำไม  ทั้งๆที่อยู่ที่โน่นดิมมีโอกาสกว่าที่นี่ตั้งเยอะ   ดิมอย่ามาทำเป็นพูดเลยว่าคิดถึงบ้าน  ไม่ต้องอ้างเรื่องวิจัยด้วย  รันรู้ว่าดิมทำที่อเมริกาก็ได้   แต่ดิมก็กลับมา   เพราะอะไร  ถ้าไม่ใช่เพราะ..ดิมต้องการจะกลับมาหาเค้า!”  คนพูดกระแทกเสียงทั้งน้ำตา    ใจความของมันเสียดแทงหัวใจของคนฟังเข้าเต็มๆ

ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะรู้....เหตุผลที่เขากลับมา   เหตุผลที่ถึงเขาจะชักแม่น้ำทั้งห้ามาหลอกรันรวมทั้งหลอกตัวเองด้วย  แต่สุดท้ายก็เหมือนที่รันพูด 

เขากลับเมืองไทยด้วยเหตุผลเดียว...

“ดิมยังลืมเค้าไม่ได้...  ต่อให้ดิมไม่บอก  รันก็รู้   ทุกครั้งที่ดิมเห็นคนที่คล้ายๆกับเค้า  กันเป็นต้องมองตาม  ทุกครั้งที่ดิมเผลอ  แววตาดิมมันฟ้องว่าดิมคิดถึงใครอยู่    หรือแม้แต่เวลาที่เรานอนด้วยกัน   รันก็รู้ว่าดิมคิดถึงคนอื่นที่ไม่ใช่รัน...ดิมรู้มั้ยว่ามันเจ็บนะ   รันคือคนที่ดิมขอแต่งงาน  แต่ดิมไม่เคยทำให้รันรู้สึกเลยว่ารันคือคนที่ดิมอยากใช้ชีวีตด้วยจริงๆ”

รันสะอื้นออกมาดังๆ  ทำให้คนที่ยืนอึ้งอยู่ต้องก้าวเข้าไปประชิด ยกมือขึ้นโอบรอบตัวอีกฝ่ายเข้ามาแนบอก   อีกฝ่ายขืนตัวเอาไว้

“รัน  ผม....ผมขอโทษ”

“ดิมไม่ต้องขอโทษ   เพราะรันโง่เองที่รักดิมหัวปักหัวปำ   รักมาตั้งแต่ที่ยังเป็นได้แค่เพื่อนสนิท   ดิมรู้มั้ยว่ารันอิจฉาคนๆนั้นแค่ไหนที่ได้รับความเป็นห่วงจากดิม  ได้ความรักทั้งหมดจากดิมไปโดยที่เค้าไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรเลย   ขณะที่รันต้องเสียสละอะไรมากมาย   มัน...มันไม่ยุติธรรมเลย”  วิรัลร้องไห้หนักมาก  เสียงสะอื้นของเขาคงจะดังออกไปนอกห้องอย่างไม่ต้องสงสัย   แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่รดิศวิตก   สิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมาต่างหาก....เขาไม่เคยรู้เลยว่าอีกฝ่ายเก็บงำความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้มากมายขนาดนี้

“รัน ผมไม่เคยรู้เลย...”  เขาคราง   เสียใจที่เห็นอีกฝ่ายเป็นแบบนี้  นี่เขาเผลอทำร้ายจิตใจของรันด้วยสินะ    ศัลยแพทย์หนุ่มรับรู้ถึงความใจร้ายของตัวเอง   

น่าสงสาร....เป็นความจริงที่ว่า  เขาไม่เคยรักรันเลย....

“ดิมอยากรู้ใช่มั้ยว่ารันทำอะไรลงไปเมื่อ 8 ปีก่อน    ก็ได้  ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว  รันจะบอกให้ ฮึก...รันเป็นคนส่งคนไปบอกเตเองล่ะว่าคุณความจำเสื่อม  รันเองที่บอกเตว่าไม่ต้องมาเยี่ยมดิมแล้ว  ฮึก  แล้วก็รันนี่แหละที่โกหกดิมว่าเตไม่เคยมาเยี่ยมทั้งๆที่เตมาทุกวันเป็นอาทิตย์ๆกว่าจะยอมถอดใจกลับไป ฮึก  รันเป็นคนบอกพยาบาลว่าไม่ให้เตเข้าเยี่ยม  รันเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ของดิมใหม่  ลบเบอร์ของเตทิ้ง  ฮึก  รันขอให้พ่อส่งดิมไปรักษาเมืองนอก  เพื่อที่ดิมจะได้ไม่ต้องเจอกับเค้าอีก   และก็รันนี่แหละที่ฉีกจดหมายทุกฉบับที่จ่าหน้าซองถึงดิม   รันกลัวแทบแย่ว่าดิมจะรู้ว่ารันทำอะไรลงไป....ฮึก   ปล่อยผม”  รันตวาดเมื่อคนฟังยกมือขึ้นปิดปากเขาเอาไว้   คนฟังหน้าซีดเผือดมือสั่น   มองเขาอย่างตกใจ

“พอแล้ว  ไม่ต้องพูดแล้ว...”   รดิศพูด  อีกฝ่ายยกมือขึ้นปัดออก

“ทำไมล่ะ  ยังมีอีกเยอะ  ที่รันทำลงไปเพื่อคุณ.....ดิมไม่อยากรู้เหรอ  ฮือ”    น้ำตาของรันไหลอาบใบหน้าที่เคยมีแต่รอยยิ้มนั้น     เขาร้องไห้เหมือนเขื่อนแตก   ระเบิดความลับที่เจ้าตัวเก็บเอาไว้มาเนิ่นนานออกมาไม่ขาดปาก    รดิศรวบตัวอีกฝ่ายเข้าไปกอดเอาไว้แน่น 

ไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไรดี   ความโกรธก็ยังมีอยู่  ขณะเดียวกันก็สงสารอีกฝ่ายเช่นกัน

“ทำไมคุณต้องทำขนาดนี้”  เขาเหมือนพูดกับตัวเอง   อีกฝ่ายดันตัวออกจากวงแขนของเขา  นัยน์ตาแดงก่ำบวมช้ำคู่นั้นเต็มไปด้วยแววทั้งรักทั้งเจ็บปวด    รันก้าวเข้าไปประชิดโต๊ะทำงาน  หยิบกรอบรูปที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานของเขาเสมอขึ้นมา...รูปคู่ของเขากับรันเมื่อครั้งที่ยังอยู่ที่นู่น   กรอบรูปที่เขาวางเอาไว้บนโต๊ะเพื่อที่จะได้มองเห็นง่ายๆเวลาที่เหนื่อย ...กำลังใจของเขา

“ดิมก็รู้อยู่แล้วว่าเพราะอะไร...”  วิรัลกระซิบแล้วเขวี้ยงกรอบรูปลงพื้น  เสียงกระจกแตกกระจายดังเพล้ง    คนทำไม่หันมามองเลยตอนที่ก้าวเท้าเดินออกไปจากห้องนั้น

รดิศมองกรอบรูปที่แตกเป็นเสี่ยงๆที่ปลายเท้า  เศษกระจกกระจายเกลื่อนเต็มพื้น   รูปคู่ของเขากับรันกระเด็นออกมานอกกรอบ   เขาก้มลงเก็บขึ้นมา

กระดาษแข็งสี่เหลี่ยมใบเล็กอีกใบที่ซ้อนอยู่ด้านหลังรูปคู่ของเขากับรันมานานแสนนานตกลงมาแทบเท้า   คนในภาพที่มีใบหน้าเหมือนเขาส่งยิ้มกว้างมาให้ราวกับกำลังมีความสุขที่สุดในชีวิต  เช่นเดียวกับผู้ชายร่างเล็กที่กำลังส่งยิ้มหวาน ผมหยิกสลวยปลิวตามแรงลม  คนทั้งคู่นั่งเคียงข้างกันอยู่ริมทะเล

รูปของเขา...กับเต

            ดิมน้ำตาไหล  เขาทรุดตัวลงนั่งที่พื้น  ไม่สนใจว่าเศษกระจกจะบาดผิวอย่างไร   หยิบรูปใบนั้นขึ้นมาดูใกล้ๆผ่านม่านน้ำตาที่พร่ามัว   

            รันพูดถูก...  เขาไม่เคยลืมเตได้เลย

         
            ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะลืมยังไง


            ....................................................................................

มาต่อจบตอนนะคะ  ไปกินข้าวเย็นมาค่ะ 555555
ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะคะ มันจะหนักหน่วงหน่อย 
แนะนำติชมมาได้เลยเน้อที่คอมเม้นท์หรือจะในทวิต #ดิมเต ก็ได้นะคะ
เจอกันตอนหน้า วันนี้อัพสองเรื่องนะคะ เรื่องนี้กับ #แอบลักษณ์  :katai2-1:

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
หนักเกินไป สงสารดิม


เพราะว่ารัก...จึงต้องยอมเจ็บ

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
เพราะ"รัก"คำเดียว
ทำให้มีเรื่องราวต่างๆมากมายบนโลกใบนี้

มีอานุภาพมหาศาลจริงๆ

รัก

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
เลิกก็เลิกกับหมอรันไปเลย เลิกเลย สงสารหมอดิม มารู้ความจริงตอนนี้ก็คิดได้ว่าตัวเองเดินหมากผิดวิธีไปแล้ว
  รออ่านตอนต่อไป

ออฟไลน์ Apple_matinie

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1564
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2
โอยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยฃ
หน่วงอารายเบอร์นั่น

ออฟไลน์ Duangjai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 658
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
เตจะกลับมาไหม
กลับซิ. ขอให้กลับมาหาพี่ดิมเถอะ.
คนดีอย่างเต ควรได้รับสิ่งดีๆนะ

 :katai5:  :katai5:  :katai5:  :katai5:  :katai5:
.....

.

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk


เพราะหัวใจบอกว่า...เธอ

 

 

 

 

            “อาการของคุณข้าวตังเป็นอย่างไรบ้าง  พักนี้ผมไม่ค่อยมีเวลาเลย   งานที่สำนักพิมพ์ยุ่งมาก”  ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งก้มลงถามคนที่เดินเคียงข้างกันมาเงียบๆ  ชายหนุ่มที่ตัวเล็กกว่ายิ้ม ยกมือขึ้นปัดปอยผมหยิกสลวยที่เริ่มยาวให้พ้นใบหน้า   เงยหน้าขึ้นตอบ

            “อาการทรงๆอยู่เหมือนเดิม  กำลังรอผ่าตัดอยู่...ปกใหม่เป็นไงบ้างฮะ  ไปถึงไหนแล้ว”  นักเขียนหนุ่มถาม   เขาไม่ได้เข้าไปที่บริษัทเกือบเดือนแล้วเพราะติดต้องดูแลภรรยา  ได้แต่ส่งต้นฉบับผ่านทางอีเมล์ไปให้พี่โดม 

            “เกือบเสร็จแล้วล่ะ...เดี๋ยวขอกลับมาเรื่องคุณข้าวตังก่อน  ไหนตอนแรกว่าจะผ่าตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วไม่ใช่เหรอ  นี่มันเกือบสองอาทิตย์แล้วนะ  มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”  ภาคย์ขมวดคิ้วน้อยๆ  ตั้งแต่เขารู้ว่ามีการเปลี่ยนตัวแพทย์ที่จะทำการรักษาภรรยาของเต  เขาก็เริ่มไม่สบายใจขึ้นมา   ไม่ได้เป็นเพราะกลัวฝีมือแพทย์คนใหม่จะด้อยกว่าหรอก   รู้ว่ามือเหนือชั้นกว่าคนเดิมเสียอีก   แต่เป็นเพราะว่าเป็นคุณหมอคนนั้นตะหาก

            ผู้ชายหน้าเข้มที่ดูเหมือนว่าจะมีความสัมพันธ์แปลกๆกับติณธร   

            “ไม่มีอะไรหรอก  หมอเขาบอกให้รอหน่อย  คงรอให้อาการคงที่ก่อนมั้ง”  ท่าทางคนพูดไม่แน่ใจเท่าไหร่

            “หมอเขาพูดว่ายังไง  เล่าให้ผมฟังหน่อย”  ภาคย์ถือวิสาสะจับที่ข้อศอกของคนข้างๆพาเดินตรงไปนั่งที่เก้าอี้ริมสวนของโรงพยาบาล  เหมือนบอกในทีว่าเรื่องนี้คงต้องพูดกันยาว

            “เขาก็บอกว่า....ง่า...อาการยังไม่คงที่เท่าไหร่  ผ่าตัดตอนนี้จะไม่ปลอดภัย  ให้รอไปก่อน   ประมาณนี้แหละ”

          “อันนี้หมอรดิศพูดกับคุณเองเลยใช่มั้ย   แล้วทำไมตอนแรกบอกว่าต้องรีบผ่า ถึงจะดีกับคนไข้มากกว่าล่ะ”   เขาซัก   คนฟังส่ายหน้า

            “ไม่รู้เหมือนกัน  หมอเขาว่าอย่างนี้   ความจริงแล้วผมไม่ได้เจอกับเขาเองหรอก  เค้าเข้ามาคุยกับตังน่ะ  ตังเป็นคนเล่าให้ผมฟังอีกที” 

            “ให้ผมไปคุยกับเขาให้ไหม”  ภาคย์เสนอตัว   สัมผัสได้ถึงความยุ่งยากใจบางอย่างเวลาที่อีกฝ่ายเอ่ยถึง ‘คุณหมอ’ คนนั้น  คล้ายกับว่าเจ้าตัวโล่งใจที่ไม่ได้เจอหน้าหมอมากกว่า

            “ไม่ต้องๆ ไม่มีอะไร  ตอนนี้ตังก็อาการดี  รอไปอีกหน่อยก็ได้” เตปฏิเสธออกมาทันทีจนน่าแปลกใจ

            ...ระหว่างนักเขียนของเขากับไอ้หมอนั่นต้องมีปัญหาอะไรกันอยู่แน่ๆ   พิศดูใบหน้าเรียวหวานที่ซูบผอมลงจนกระดูกโหนกแก้มขึ้นสันชัดเจนนั้น  เห็นหัวคิ้วขมวดมุ่น แววตากังวลแกมเศร้าปนกับอารมณ์หลายๆอย่างที่เขาอ่านไม่ออก   ภาคย์ก็ลอบถอนหายใจยาว  ยกมือขึ้นแตะที่หัวคิ้วขมวดลูบเบาๆ ให้คลายปม   อีกฝ่ายตกใจเล็กน้อย แต่ก็ยอมให้เขาใช้นิ้วโป้งเกลี่ยที่หัวคิ้วให้แต่โดยดี

            “ย่นหมดแล้ว   ไม่เจอคุณสองอาทิตย์นึกว่าแก่ลงไปสักสิบปี   กังวลอะไรอยู่หืม  อาการของคุณตังหรอ? ก็บอกเองเมื่อกี้ว่าอาการดีไง  ถึงมือคุณหมอแล้วไม่ต้องห่วงหรอก   เอ...หรือว่าจะกังวลเพราะเรื่องคุณหมอนี่ล่ะ”  เขาตัดสินใจส่งหมัดแย็บเข้าไปเบาๆ

            ผลที่ได้แรงยิ่งกว่าหมัดฮุกเสียอีก   คนฟังเงยหน้าขึ้นทันที  สบตาเขาแล้วคล้ายจะเพิ่งรู้สึกตัว   แววไหววูบในตอนแรกเปลี่ยนเป็นสงบขรึมแกมเศร้านิดๆเหมือนเดิม

            “ก็...ไม่หรอก  ไม่มีอะไรจริงๆ”

          ไม่มีอะไร แล้วทำไมต้องทำหน้าเครียดกว่าเดิมด้วย?  คำถามที่ชายหนุ่มถามในใจ  ไม่กล้าถามอีกฝ่ายต่อ  ในเมื่อเตบอกว่าไม่มี  ต่อให้เขาง้างปากบังคับ   คำตอบของอีกฝ่ายก็คงจะยัง ‘ไม่มี’ เหมือนเดิม

           ติณธรใจแข็งแค่ไหน  เขาคิดว่าตัวเองก็พอจะมองออกอยู่บ้าง   ภายใต้ท่าทางนิ่มนวล เรื่อยๆ  ใต้รอยยิ้มหวานอ่อนโยนที่ดูเหมือนคนที่พร้อมจะโอนอ่อนผ่อนตามใครๆนั้น  เขาเชื่อว่ามีหัวใจเพชรซ่อนอยู่...ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนที่จะมา ‘เล่นๆ’ด้วยได้  เป็นเหตุผลที่เขาระวังตัวเองเหลือเกิน  กลัวว่าจะเผลอไปทำร้ายความรู้สึกของอีกฝ่ายเข้า  แล้วเขาก็จะไม่มีโอกาสได้แก้ตัวอีกเลย

            “ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว....เอาล่ะ  อูย  แสบท้องจัง  เลี้ยงข้าวหน่อยสิ”  ในเมื่อเตไม่บอก  ก็ไม่เป็นไร  เรื่องแค่นี้เดี๋ยวเขาไปสืบต่อเองก็ได้   หาทางเปลี่ยนเรื่องตามสไตล์  ยกมือขึ้นลูบท้องสูดปาก...ยังไงวันนี้อีกฝ่ายก็ต้องออกไปทานข้าวกับเขา   ในฐานะที่ทำให้คิดถึงมาตลอดหลายวัน

            คนฟังหัวเราะ  จุ๊ปาก

            “เมื่อกี้เล่าว่าเพิ่งกินมาไม่ใช่เหรอ   มาหิวอะไรอีกล่ะ”

          “โอ๊ะ  จริงด้วยแฮะ ลืมสนิทเลย  ทำไมหิวอีกแล้วล่ะ  หรือว่าเป็นเพราะเจอหน้าคุณเต  ท้องไส้เลยปั่นป่วนอีกแล้ว.....น่านะ  ไปทานข้าวเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ   ผมเหงา...”  ผู้ชายหน้าตี๋พูดเสียงออด

            จะเป็นเพราะเขารู้สึกหิวอยู่เหมือนกันหรือเปล่า หรือเป็นเพราะเขาก็รู้สึกเหงาเช่นกัน เลยทำให้เขาตัดสินใจยอมออกมาทานอาหารเย็นกับเจ้านายด้วยจนได้   ติณธรพยายามตั้งสติอยู่กับคนที่นั่งทานข้าวผัดกระเพราไข่ดาวอย่างเอร็ดอร่อยตรงหน้า  ทว่าจิตใจก็เอาแต่คอยจะล่องลอยออกไปถึงใครอีกคนที่ไม่ได้นั่งอยู่ที่นี้ด้วย

            ไม่เฉียดกรายมาให้เห็นหน้าเลยด้วยซ้ำ  ตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมา  ราวกับว่าผู้ชายคนนั้นตายจากโลกนี้ไปแล้ว....หึ  แค่โลกของเขาคนเดียวนะ  เพราะเจ้าตัวมาเยี่ยมข้าวตังได้ทุกวันตามประสาแพทย์ที่ดี   แต่เราสองคนกลับไม่เคยพบหน้ากันอีกเลยตั้งแต่วันนั้น

            ถ้าบอกว่าฝ่ายนั้นไม่ได้จงใจหลบหน้าเขา  ก็คงจะโกหกแล้วล่ะ

            ความจริงเขาควรจะยินดีไม่ใช่หรือ  ที่อีกฝ่ายไม่มาคอยตามตอแยอีกแล้ว...จบสิ้นกันไปตามที่เขาอยากให้มันเป็น   ทว่าทำไมภายในใจกลับไม่ยอมสงบเหมือนท่าทางที่แสดงออกมาเบื้องนอก   มันปั่นป่วนราวกับอยู่กลางมหาสมุทรที่มีพายุโหมกระหน่ำ

            หรือเวลายังไม่มากพอที่จะทำใจ?....แล้วนี่เขาต้องใช้เวลาเท่าไหร่ล่ะ   คบกันไม่ถึง 5 ปี ต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะลืมกันได้   ผ่านมา 8 ปีแล้ว  นานเท่าอายุเจ้าเต้...ความทรงจำพวกนั้นยังแจ่มชัดอยู่เลย   ไหนจะความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นใหม่ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาอีกล่ะ

            หรือว่าต้องใช้เวลาทั้งชีวิตของเขา  ถึงจะลืมผู้ชายที่เป็นเหมือนรักแรกคนนั้นได้ ...มันไม่นานไปหน่อยเหรอ?

            ชายหนุ่มเผลอถานหายใจยาว  วางช้อนลงเพราะความอยากอาหารหมดไปแล้ว   เป็นอย่างนี้ทุกทีที่คิดถึงเรื่องนั้นขึ้นมา

            “เจ้านี้ไม่อร่อยหรอ   หรือว่าไม่ถูกปาก”  คนที่นั่งตรงข้ามทักทันทีราวกับจับสังเกตอาการของเขาอยู่ตลอดเวลา  เจ้าตัวจัดการกับอาหารของตัวเองจนหมดแล้วภายในเวลาอันรวดเร็ว  ขณะที่เขากำลังนั่งเขี่ยข้าวไปมาจนรวบช้อน

            “อร่อยดี แต่ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่   อิ่มแล้วเหรอ  สั่งเพิ่มมั้ย...เห้ย!”  เตอุทาน  เมื่ออีกฝ่ายเอื้อมมือมายกจานของเขาไปวางตรงหน้าตัวเองแล้วใช้ช้อนตักไข่ดาวที่เหลืออีกครึ่งฟองเข้าปากหน้าตาเฉย  ตามด้วยข้าวและหมู  ไม่ถึงสองนาที ข้าวก็หมดจาน

            “ทำไมไม่สั่งใหม่ล่ะ  กินของเหลือทำไม”  ติณธรถามเสียงแข็ง   คนฟังยักไหล่

            “ไม่เห็นเป็นไรนี่  ก็คุณไม่กินแล้วไม่ใช่เหรอ  ผมก็ไม่อยากให้เสียของไง  ชาวนาปลูกข้าวลำบากนะคุณ  มากินเหลือทิ้งๆได้ไง”

          “แต่ผม....”

          “เอาน่า ผมไม่ถือ   ทำไมล่ะ  คุณถือหรอ...ถ้าคุณถือก็วางมันลงเหอะ   เดี๋ยวแก่เร็วไม่รู้ด้วยนะ”  ภาคย์พูด ยักคิ้วให้เขา  ดีดนิ้วเรียกบ๋อยมาเก็บเงิน  แล้วก็พาเขาเดินออกมาจากร้านอาหารตามสั่งใกล้โรงพยาบาลนั้น   ตั้งเตเม้มปาก  ส่ายหน้ากับตัวเอง

            “แวะกินไอติมก่อน”   เจ้านายของเขายกมือขึ้นชี้ที่รถเข็นไอศกรีม  ท่าทางคล้ายกับเด็กชายวัยไม่เกินสิบขวบอีกคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ   ไม่เหมือนตรงที่เด็กน้อยคนนั้นดึงแขนของมารดาแรงๆ  ขณะที่ผู้ชายร่างสูงข้างเขาเพียงแต่ยกมือขึ้นกอดอกแล้วมองมาที่เขาด้วยสายตาที่ทำให้เตต้องพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้

            “ยังไม่อิ่มอีกเหรอ”  เตบ่นแล้วก็ก้มลงเลือกไอศกรีมแท่งภายในรถเข็นคันนั้น   ไม่รู้ตัวเลยว่าคนที่ร้องอยากกินตอนแรกแอบมองแล้วลอบยิ้มอยู่ในใจ

            กินข้าวไม่ลง  กินขนมแทนก็แล้วกัน  ดูท่าคงจะชอบเสียด้วย  ตั้งใจเลือกรสพอๆกับไอ้หนูตัวกระเปี๊ยกข้างๆนั่นเลย    แบบนี้สงสัยต้องขุนด้วยของหวานบ่อยๆเสียแล้ว...ภาคย์คิด

            “ผมเลือกได้แล้วนะ  เอาแท่งนี้  คุณล่ะ”  ภาคย์กระพริบตา   ใบหน้าเรียวหวานที่เงยขึ้นถามเขาในระยะใกล้ทำเอาใจกระตุกไปแบบไม่ทันตั้งตัว   เขากระแอมเรียกสติ  ทำทีเป็นก้มลงเลือกไอศกรีมในรสเข็น....ของหวานที่เขาไม่เคยชอบ

....ไม่ชอบ   แต่นับต่อจากนี้  มันคงกลายเป็นของโปรดของเขา  ชายหนุ่มคิดในใจขณะที่เดินกินไอศกรีมหวานเย็นเคียงข้างนักเขียนในสังกัดย้อนกลับไปทางเดิมด้วยกัน   ฟังเสียงเด็ก  เอ้ย  ผู้ใหญ่ตัวเล็กข้างๆกินไอติมอย่างเอร็ดอร่อย  เขาก็มีความสุขจนอยากจะหยุดเวลานี้เอาไว้

รู้อยู่หรอกว่าเตไม่เคยสนใจเขาในแง่ที่เกินเลยกว่าคำว่าเจ้านายและเพื่อน   แต่มันก็อดคิดไม่ได้  ห้ามใจตัวเองไม่ได้  ทุกครั้งที่อยู่ใกล้ผู้ชายคนนี้..เขาอยากให้ตัวเองบินได้   หรือไม่ก็ทำอะไรก็ได้สักอย่างที่มันพิเศษสุดๆ  เฉพาะให้เค้าคนเดียว

ผู้ชายทุกคนก็คงอยากทำอะไรที่พิเศษให้กับคนที่ตัวเองรัก...

“มะรืนนี้ตอนเย็น  ผมขอจองคิวคุณไว้ก่อนได้มั้ย”   ภาคย์เอ่ยปาก    เขาหยุดยืนที่หน้าห้องพักผู้ป่วย  ส่งยิ้มให้คนที่กินไอศกรีมรสส้มจนริมฝีปากเลอะกลายเป็นสีส้มตาม  น่าขัน...แต่ก็น่ารักที่สุดในสายตาคนมอง

อยากก้มลงไปเช็ดให้...ด้วยปาก  ทว่าก็ทำได้เพียงแค่คิดเท่านั้น

“ทำไมเหรอ  มีงานหรือครับ”  อีกฝ่ายถามกลับ  เจ้านายหนุ่มจุ๊ปาก...เอะอะอะไรก็คิดแต่เรื่องงานๆๆ  ทำไมไม่คิดว่าเขาก็มีเรื่องอื่นที่อยากให้เตทำเหมือนกัน

“ไม่ใช่หรอก  จะแจกโบนัสพนักงานดีเด่น   ตกลงไปนะครับ”  เขาถามเสียงอ่อน   เตเงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พยักหน้า 

“ถ้าอย่างนั้นผมมารับที่โรงพยาบาลนะครับ ตอนทุ่มนึง”  ภาคย์ยิ้มกว้างรีบชิงนัดหมายเอาไว้   หัวใจเต้นแรง....ถือเป็นอีกก้าวหนึ่งแล้วสินะ    แค่นี้ก็พอใจแล้ว

“ถ้างั้น ผมกลับก่อนนะครับ”  คนฟังพยักหน้าอีก  ยกมือโบกให้ยิ้มๆ  เขาเฝ้ามองร่างของอีกฝ่ายผลุบหายเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย     รู้ดีว่าวันมะรืนนี้เป็นวันสำคัญแค่ไหน

....วันเกิดของเต....

การที่อีกฝ่ายยอมออกมาฉลองร่วมกับเขาถือเป็นความสำเร็จย่อมๆเลยนะ   มีแต่คนพิเศษเท่านั้นไม่ใช่เหรอ ที่เราอยากใช้เวลาร่วมกันกับเขาในวันพิเศษๆอย่างเช่น วันเกิด

อดยิ้มกว้างออกมาไม่ได้   ทว่าก็ต้องรีบหุบยิ้มอย่างรวดเร็วเมื่อประจันหน้ากับผู้ชายคนหนึ่งที่คงยืนมองเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ซักพักแล้ว   สบดวงตาคมเข้มคู่นั้นนิ่งๆ  บอกตัวเองได้ทันทีว่าวันนี้คงมีเรื่องแน่แล้ว

“คุณหมอ...?  กำลังอยากพบอยู่พอดีเลยครับ”

“เช่นกันครับ  เชิญที่ห้องทำงานของผมดีกว่า  จะได้คุยกันสะดวก”  ผู้ชายในเสื้อกาวน์ตอบ   ยิ้มนิดๆที่มุมปาก  เห็นลักยิ้มข้างแก้มบุ๋มลึก.. เป็นรอยยิ้มที่อีกฝ่ายเห็นทีไรก็นึกคันมือคันเท้าขึ้นมาทุกครั้ง 

เกลียดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ แฝงด้วยเลศนัยภายใต้หน้ากากนิ่งขรึม ทรงภูมิของหมอนี่จริงๆ  สังหรณ์เขาคงถูกต้องแล้วตั้งแต่แรกที่รู้สึกได้ว่า ไอ้หมอนี่มันไม่ธรรมดาแน่ๆ

และที่สำคัญก็คือ...สิ่งที่เขาอยากรู้มากที่สุด

ผู้ชายคนนี้มีความสัมพันธ์อย่างไรกับเตกันแน่

เขาเดินตามคุณหมอหนุ่มเข้ามาภายในห้องทำงานที่อยู่ชั้นถัดไป   เจ้าของห้องผายมือเป็นเชิงให้นั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามโต๊ะทำงาน   ภาคย์ทรุดตัวลงนั่งและเริ่มเปิดประเด็นแบบไม่เสียเวลา

“คุณหมออยากคุยกับผมเรื่องคุณเตใช่ไหมครับ”  อีกฝ่ายพยักหน้ารับ  เขาจึงพูดต่อ  “เราเคยคุยเรื่องนี้กันแล้ว  คุณหมอคงจำได้   เมื่อครั้งที่ไปทะเล....ตอนนั้นผมถามคุณหมอว่า  คุณมีความสัมพันธ์อย่างไรกับคุณเต   ซึ่งคุณหมอก็ไม่ยอมตอบผม  ถูกไหมครับ”  รดิศพยักหน้ารับ  ถามกลับ

“ถูกต้อง  แล้วคุณภาคย์ล่ะครับ  คุณยังยืนยันคำเดิมอยู่หรือเปล่าว่าคุณกับคุณเต เป็นเพียงแค่เจ้านายกับลูกน้องกันเท่านั้น”

 “คุณหมอครับ  ผมขอให้เราพูดกันตรงๆแบบลูกผู้ชาย  คุณหมอ...ผมขอเรียกคุณรดิศดีกว่า  เรามาเคลียร์กันให้กระจ่างไปเลย   จะได้ไหมครับ”

“นั่นเป็นจุดประสงค์ที่ผมเชิญคุณมาที่นี่วันนี้  คุณภาคย์”

“ถ้าอย่างนั้น  ผมก็จะขอยอมรับแบบตรงๆว่าผม..ชอบคุณเตมาก   อาจจะถึงขั้นรักเลยก็ว่าได้”  คนพูดพูดด้วยท่าทางมั่นใจอย่างคนที่ซื่อตรงต่อหัวใจตัวเองเสมอมา  ขณะที่คนฟัง...แม้จะรู้อยู่แล้ว  ก็ไม่วายหงุดหงิดขึ้นมาทันทีที่ได้ยินจากปากอีกฝ่ายชัดถ้อยชัดคำแบบนี้

“เตมีภรรยาแล้ว  มีลูกแล้วด้วย”  เขาสะกิด

“ผมรู้ แต่จะแปลกอะไรล่ะ  ผมมีความสุข  แค่นั้นผมก็พอใจ”  คนฟังเม้มปาก   รู้สึกถึงเส้นเลือดเต้นอยู่ที่ริมขมับตุบๆ

“ความพอใจของคุณมันทำให้หลายคนไม่สบายใจ  คุณรู้บ้างไหม  อย่างน้อยก็ภรรยาของเค้าคนหนึ่งล่ะ”

“รวมถึงคุณด้วยใช่ไหม  คุณรดิศ”  อีกฝ่ายสวนกลับทันที

“ใช่  เพราะผมเป็นเจ้าของไข้  ถ้าคนไข้ของผมไม่สบายใจจนอาการทรุด  ไม่ว่าเพราะเหตุใด  ถ้าแก้ได้  ผมก็อยากจะแก้”

“โอ้โห  นี่คุณเป็นหมอผ่าตัดหัวใจหรือว่าเป็นพี่อ้อยพี่ฉอดคลับฟรายเดย์กันแน่  ถึงต้องมาแก้ปัญหาเรื่องความรักของคนไข้ด้วย   คุณหมอ....พูดมาเถอะว่าคุณหมอก็ชอบคุณเตอยู่เหมือนกัน”  เสียงของภาคย์กวนประสาทคนฟังจนคิ้วเข้มๆกระตุก  รดิศพยายามควบคุมสติอารมณ์ไม่ให้ลุกขึ้นมาต่อยไอ้หมอนี่

“ผมพูดแทงใจดำล่ะซิ  ผมรู้นะว่าคุณหมอก็เล็งคุณเตอยู่   ตั้งแต่ตอนไปทะเลแล้วมั้ง...ผมขอเตือนคุณหมอด้วยความหวังดีนะว่า  คุณเตไม่ใช่คนง่ายๆหรอก   ผมรู้จักคุณเตมาเกือบสองปีแล้ว  บอกเลยว่ายากมาก   คุณหมอก็มีแฟนอยู่แล้ว  คิดให้ดีๆดีกว่า  ส่วนผม...ยังไงผมก็ไม่หวังหรอก   ลูกคุณเตผมก็รัก  แฟนคุณเตผมก็ชอบเธอ  ไม่อยากให้เธอเสียใจเหมือนกัน   ผมก็แค่....”  ภาคย์ยักไหล่เหมือนไม่รู้จะอธิบายยังไง

รดิศถอนหายใจยาว    เคาะนิ้วลงบนโต๊ะทำงานเป็นจังหวะคล้ายคนที่กำลังครุ่นคิดอย่างหนักหน่วง

“คุณหมอ   ผมตอบส่วนของผมไปหมดแล้ว   ถึงตาคุณหมอบ้างแล้วนะ....คุณหมอมีความสัมพันธ์อย่างไรกับคุณเตกันแน่ครับ  แค่คนรู้จัก..สามีของคนไข้  หรือว่ามากกว่านั้น”

“ถ้าผมบอกว่า   มากกว่านั้นล่ะ”   เขาตอบออกมาในที่สุด  หลังจากคิดอยู่นาน   เห็นทีคงไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว  นอกจากพูดกันตรงๆ

ถึงจุดนี้  เขายอมทำทุกอย่าง   เอาทุกทาง  เพื่อให้ได้ตั้งเตกลับคืนมา....

คนฟังเลิกคิ้ว  แววประหลาดใจพาดผ่านไปแวบหนึ่ง  ราวกับเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าอีกฝ่ายจะยอมรับออกมาง่ายๆแบบนี้

“มากแค่ไหน?”

“เตเป็นคนของผม”  คำตอบของคุณหมอทำให้อีกฝ่ายโกรธจัดจนเลือดขึ้นหน้า  ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วกระชากคอเสื้อคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ดึงข้ามโต๊ะเข้าหาตัวอย่างแรง   สายตาของผู้ชายทั้งสองคนปะทะกัน  คนหนึ่งขึ้งเครียดด้วยความโกรธเกรี้ยว  ส่วนอีกคนท้าทายทว่ามีความสลดแฝงอยู่นิดๆ

“พูดแบบนี้ได้ยังไง  มีสิทธิอะไรพูดถึงคุณเตแบบนี้   คุณเตไม่ใช่ของใคร  หรือถ้าจะใช่  ก็ต้องเป็นของคุณข้าวตัง  ไม่ใช่คนที่มีแฟนแล้วแต่แค่หวังเคลมอย่างคุณ!”

ดิมยกมือขึ้นจับมืออีกฝ่ายที่ยืดคอเสื้อของตนเองแน่นอยู่  กดที่เส้นเอ็นแรงๆแบบคนสู้เป็นจนฝ่ายนั้นร้องโอ๊ย  ต้องยอมปล่อยมือจากปกเสื้อของเขา

“คนไม่รู้อะไรอย่างคุณไม่มีสิทธิพูดแบบนี้กับผมเหมือนกัน   คุณภาคย์  ผมจะบอกให้ว่าถ้าคุณไม่อยากเจ็บปวดกับเกมนี้  คุณรีบถอนตัวออกไปก่อนดีกว่า   ก่อนที่คุณจะโดนลากเข้ามาด้วย”

“เกมอะไร   ผมไม่เข้าใจ  คุณพูดอะไร”

“มันเป็นเรื่องระหว่างผมกับเต”

“แล้วแฟนของคุณ รู้เรื่องระหว่างคุณกับคุณเตบ้างหรือเปล่า”   ภาคย์ย้อนถามเสียงเยาะ

“ผมกับรัน  เราเลิกกันแล้ว....คุณเป็นคนแรกที่รู้”  ดิมตอบเรียบๆ  คนฟังอึ้ง   ไม่นึกว่าคู่ที่ดูเหมาะสมกันทุกอย่างถึงขั้นมีแพลนแต่งงานจะมาถึงจุดจบได้ง่ายๆแบบนี้

            “แล้วยังไง  คุณเลิกกับหมอรัน  แล้วก็เลยจะมาคว้าคุณเตแทนอย่างนั้นหรือ   ให้ตายเหอะคุณหมอ  มันไม่ง่ายไปหน่อยหรือไง   อย่าบอกนะว่าที่พักหลังมานี้คุณเตดูแปลกไปก็เพราะเหตุผลนี้”

          “.............”  ศัลยแพทย์หนุ่มไม่ตอบแต่ยักไหล่   ชายหนุ่มอีกคนเม้มปากแน่น

            “ผมจะไม่ถามคุณ  ว่าเรื่องของคุณกับเตเกิดอะไรขึ้น  แต่ผมจะไม่ยอมให้คุณมาทำให้คนที่ผมรักเสียใจหรอก     คุณหมอ  คุณตะหากที่ต้องไป  ไม่ใช่ผม”  ภาคย์พูดเสียงหนัก    ขยับจะหันหลังกลับออกไปจากห้อง  ทว่าสายตาคมไวของเขาเหลือบเห็นกรอบรูปที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานสี่เหลี่ยมเข้าพอดีในตำแหน่งที่คนนั่งทำงานจะสามารถเงยหน้าขึ้นมองเห็นได้ทุกเมื่อ

กรอบรูปดีไซน์แปลกตานั้นยังไม่ทำให้เขาชะงักได้เท่ากับภาพคนในรูป....คนสองคนที่นั่งยิ้มเคียงข้างกันอยู่   นี่มัน....!

เงยหน้าขึ้นสบตาคมเข้มของเจ้าของห้องที่มองมาที่เขาอยู่ก่อนแล้ว   ภาคย์แทบจะอ้าปากค้างกับสิ่งที่เพิ่งค้นพบ

“รูปนี้.... คุณ...กับคุณเต  พวกคุณเคย....?”  เสียงของเขาเบาลงราวกับกระซิบ  เอื้อมมือไปหยิบกรอบรูปนั้นขึ้นมาเพ่งดูใกล้ๆอีกครั้ง  ในใจนึกหวังให้คนที่นั่งยิ้มหวานอยู่ข้างๆคุณหมอในภาพจะไม่ใช่นักเขียนของเขา  ทว่าเค้าหน้าเรียวคางแหลม  จมูกโด่งคมและรอยยิ้มสวยเห็นฟันเรียงเป็นระเบียบนั้นไม่อาจมองเป็นใครอื่นได้  นอกจากนักเขียนหนุ่ม...ติณธรคนนั้นคนเดียว

“นะ..นาน..แค่ไหนแล้ว”  คำถามจากคนที่ยังงุนงงตะกุกตะกัก  ..พอจะเดาได้อยู่หรอกว่า  ระหว่างเตกับคุณหมอคนนี้คงจะต้องมีความสัมพันธ์อะไรบางอย่าง   แต่ไม่นึกเลยว่าความสัมพันธ์ที่ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้วขนาดนี้  คะเนอายุเอาจากรูปก็คงเกือบสิบปีหรือมากกว่านั้น

เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ใช่แค่พี่น้องแน่ๆ  ต่อให้เขาพยายามจะคิดเข้าข้างตัวเองอย่างไร  อากัปกิริยาของคนในรูปมันก็ฟ้องตำแหน่งความสัมพันธ์อยู่ทนโท่   คงไม่มีพี่น้องที่ไหนถ่ายรูปคู่แล้วมองกันด้วยสายตาหวานซึ้งขนาดนี้หรอก

“ถ้ารวมเวลาที่รู้จักกันมาก็เกือบ 13 ปี   เป็นแฟนกัน 4 ปี 5 เดือน  เป็นแฟนเก่า 8 ปี 2 เดือน...”  ชายหนุ่มเจ้าของห้องพูดเรียบๆ  ยกปลายนิ้วขึ้นสัมผัสที่ซีกแก้มของคนในภาพ  ยิ้มนิดๆ  ขณะที่คนฟังยืนนิ่งเหมือนถูกสาป  ได้แต่มองหน้าอีกฝ่ายอย่างเหลือเชื่อ

รดิศละสายตาจากคนในภาพ หันมายิ้มให้เขา

“เค้าว่ากันว่า..คนเรามักจะตกหลุมรักคนเดิมซ้ำๆ  คุณคิดอย่างนั้นไหม”

คุณหมอหนุ่มมองใบหน้าซีดเผือดของอีกฝ่ายอย่างสะใจ 

ถึงเขาจะรู้ดีว่าโอกาสที่เตจะกลับมา ‘ตกหลุมรักคนเดิมๆ’ อย่างเขาซ้ำอีกครั้งนั้นค่อนข้างริบหรี่  แต่ครั้นจะปล่อยอีกฝ่ายไปอย่างนั้น เขา...รดิศคนนี้ก็ทำไม่ได้เหมือนกัน

สายตาของตั้งเตที่สบกับเขาเมื่อไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก่อน  ตอนที่เจ้าตัวยืนคุยกับภาคย์ที่ข้างหน้าห้องของข้าวตังนั่น  ...นอกเหนือจากแววเศร้านิดๆที่เหมือนเป็นลักษณะประจำตัวแล้ว  ยังมีแววถือดีและท้าทายปะปนอยู่ด้วย...เราสบตากันแวบเดียว   แต่ก็นานพอที่เขาจะแปลความหมายของนัยน์ตาคู่นั้นออก  วูบเดียวที่เขามองเห็นพร้อมกับที่อีกฝ่ายพยักหน้ารับคำเชิญของภาคยื  เขาก็เข้าใจเหตุผลที่เตทำ


เตจงใจทำให้เขาเจ็บปวด  เอาเถอะ  เขาจะยอมรับความเจ็บปวดนั้นโดยดี  เป็นสิ่งที่เขาควรรับอยู่เเล้ว ...ชดใช้ช่วงเวลา 8 ปีกับสิ่งที่เขาทำให้เตเสียใจทั้งหมด   เขาเชื่อว่าตัวเองจะทนได้  แต่ไม่มีทางที่เขาจะปล่อยให้ ‘คนอื่น’ มาเสวยสุขบนความเจ็บปวดของเขาหรอกนะ     

..........................................................................



มาต่อนะคะ  ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ    ยังไม่จบตอนนะเหลืออีกครึ่งนึง แต่ไม่ไหวล่ะง่วงงงง
วันนี้อัพสองเรื่องนะคะ  #ดิมเต กับ #แอบลักษณ์
 :hao5:

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
รักกันแล้วต้องเจ็บปวดขนาดนี้เหรอ
ถ้าอย่างนั้นจะมีรักไปทำไม?

ความรัก กับ ความเห็นแก่ตัว
คือสิ่งไหนกันแน่
หรือคือสิ่งเดียวกัน
หุหุ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด