เพราะหัวใจบอกว่า...เธอ
“อาการของคุณข้าวตังเป็นอย่างไรบ้าง พักนี้ผมไม่ค่อยมีเวลาเลย งานที่สำนักพิมพ์ยุ่งมาก” ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งก้มลงถามคนที่เดินเคียงข้างกันมาเงียบๆ ชายหนุ่มที่ตัวเล็กกว่ายิ้ม ยกมือขึ้นปัดปอยผมหยิกสลวยที่เริ่มยาวให้พ้นใบหน้า เงยหน้าขึ้นตอบ
“อาการทรงๆอยู่เหมือนเดิม กำลังรอผ่าตัดอยู่...ปกใหม่เป็นไงบ้างฮะ ไปถึงไหนแล้ว” นักเขียนหนุ่มถาม เขาไม่ได้เข้าไปที่บริษัทเกือบเดือนแล้วเพราะติดต้องดูแลภรรยา ได้แต่ส่งต้นฉบับผ่านทางอีเมล์ไปให้พี่โดม
“เกือบเสร็จแล้วล่ะ...เดี๋ยวขอกลับมาเรื่องคุณข้าวตังก่อน ไหนตอนแรกว่าจะผ่าตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วไม่ใช่เหรอ นี่มันเกือบสองอาทิตย์แล้วนะ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า” ภาคย์ขมวดคิ้วน้อยๆ ตั้งแต่เขารู้ว่ามีการเปลี่ยนตัวแพทย์ที่จะทำการรักษาภรรยาของเต เขาก็เริ่มไม่สบายใจขึ้นมา ไม่ได้เป็นเพราะกลัวฝีมือแพทย์คนใหม่จะด้อยกว่าหรอก รู้ว่ามือเหนือชั้นกว่าคนเดิมเสียอีก แต่เป็นเพราะว่าเป็นคุณหมอคนนั้นตะหาก
ผู้ชายหน้าเข้มที่ดูเหมือนว่าจะมีความสัมพันธ์แปลกๆกับติณธร
“ไม่มีอะไรหรอก หมอเขาบอกให้รอหน่อย คงรอให้อาการคงที่ก่อนมั้ง” ท่าทางคนพูดไม่แน่ใจเท่าไหร่
“หมอเขาพูดว่ายังไง เล่าให้ผมฟังหน่อย” ภาคย์ถือวิสาสะจับที่ข้อศอกของคนข้างๆพาเดินตรงไปนั่งที่เก้าอี้ริมสวนของโรงพยาบาล เหมือนบอกในทีว่าเรื่องนี้คงต้องพูดกันยาว
“เขาก็บอกว่า....ง่า...อาการยังไม่คงที่เท่าไหร่ ผ่าตัดตอนนี้จะไม่ปลอดภัย ให้รอไปก่อน ประมาณนี้แหละ”
“อันนี้หมอรดิศพูดกับคุณเองเลยใช่มั้ย แล้วทำไมตอนแรกบอกว่าต้องรีบผ่า ถึงจะดีกับคนไข้มากกว่าล่ะ” เขาซัก คนฟังส่ายหน้า
“ไม่รู้เหมือนกัน หมอเขาว่าอย่างนี้ ความจริงแล้วผมไม่ได้เจอกับเขาเองหรอก เค้าเข้ามาคุยกับตังน่ะ ตังเป็นคนเล่าให้ผมฟังอีกที”
“ให้ผมไปคุยกับเขาให้ไหม” ภาคย์เสนอตัว สัมผัสได้ถึงความยุ่งยากใจบางอย่างเวลาที่อีกฝ่ายเอ่ยถึง ‘คุณหมอ’ คนนั้น คล้ายกับว่าเจ้าตัวโล่งใจที่ไม่ได้เจอหน้าหมอมากกว่า
“ไม่ต้องๆ ไม่มีอะไร ตอนนี้ตังก็อาการดี รอไปอีกหน่อยก็ได้” เตปฏิเสธออกมาทันทีจนน่าแปลกใจ
...ระหว่างนักเขียนของเขากับไอ้หมอนั่นต้องมีปัญหาอะไรกันอยู่แน่ๆ พิศดูใบหน้าเรียวหวานที่ซูบผอมลงจนกระดูกโหนกแก้มขึ้นสันชัดเจนนั้น เห็นหัวคิ้วขมวดมุ่น แววตากังวลแกมเศร้าปนกับอารมณ์หลายๆอย่างที่เขาอ่านไม่ออก ภาคย์ก็ลอบถอนหายใจยาว ยกมือขึ้นแตะที่หัวคิ้วขมวดลูบเบาๆ ให้คลายปม อีกฝ่ายตกใจเล็กน้อย แต่ก็ยอมให้เขาใช้นิ้วโป้งเกลี่ยที่หัวคิ้วให้แต่โดยดี
“ย่นหมดแล้ว ไม่เจอคุณสองอาทิตย์นึกว่าแก่ลงไปสักสิบปี กังวลอะไรอยู่หืม อาการของคุณตังหรอ? ก็บอกเองเมื่อกี้ว่าอาการดีไง ถึงมือคุณหมอแล้วไม่ต้องห่วงหรอก เอ...หรือว่าจะกังวลเพราะเรื่องคุณหมอนี่ล่ะ” เขาตัดสินใจส่งหมัดแย็บเข้าไปเบาๆ
ผลที่ได้แรงยิ่งกว่าหมัดฮุกเสียอีก คนฟังเงยหน้าขึ้นทันที สบตาเขาแล้วคล้ายจะเพิ่งรู้สึกตัว แววไหววูบในตอนแรกเปลี่ยนเป็นสงบขรึมแกมเศร้านิดๆเหมือนเดิม
“ก็...ไม่หรอก ไม่มีอะไรจริงๆ”
ไม่มีอะไร แล้วทำไมต้องทำหน้าเครียดกว่าเดิมด้วย? คำถามที่ชายหนุ่มถามในใจ ไม่กล้าถามอีกฝ่ายต่อ ในเมื่อเตบอกว่าไม่มี ต่อให้เขาง้างปากบังคับ คำตอบของอีกฝ่ายก็คงจะยัง ‘ไม่มี’ เหมือนเดิม
ติณธรใจแข็งแค่ไหน เขาคิดว่าตัวเองก็พอจะมองออกอยู่บ้าง ภายใต้ท่าทางนิ่มนวล เรื่อยๆ ใต้รอยยิ้มหวานอ่อนโยนที่ดูเหมือนคนที่พร้อมจะโอนอ่อนผ่อนตามใครๆนั้น เขาเชื่อว่ามีหัวใจเพชรซ่อนอยู่...ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนที่จะมา ‘เล่นๆ’ด้วยได้ เป็นเหตุผลที่เขาระวังตัวเองเหลือเกิน กลัวว่าจะเผลอไปทำร้ายความรู้สึกของอีกฝ่ายเข้า แล้วเขาก็จะไม่มีโอกาสได้แก้ตัวอีกเลย
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว....เอาล่ะ อูย แสบท้องจัง เลี้ยงข้าวหน่อยสิ” ในเมื่อเตไม่บอก ก็ไม่เป็นไร เรื่องแค่นี้เดี๋ยวเขาไปสืบต่อเองก็ได้ หาทางเปลี่ยนเรื่องตามสไตล์ ยกมือขึ้นลูบท้องสูดปาก...ยังไงวันนี้อีกฝ่ายก็ต้องออกไปทานข้าวกับเขา ในฐานะที่ทำให้คิดถึงมาตลอดหลายวัน
คนฟังหัวเราะ จุ๊ปาก
“เมื่อกี้เล่าว่าเพิ่งกินมาไม่ใช่เหรอ มาหิวอะไรอีกล่ะ”
“โอ๊ะ จริงด้วยแฮะ ลืมสนิทเลย ทำไมหิวอีกแล้วล่ะ หรือว่าเป็นเพราะเจอหน้าคุณเต ท้องไส้เลยปั่นป่วนอีกแล้ว.....น่านะ ไปทานข้าวเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ ผมเหงา...” ผู้ชายหน้าตี๋พูดเสียงออด
จะเป็นเพราะเขารู้สึกหิวอยู่เหมือนกันหรือเปล่า หรือเป็นเพราะเขาก็รู้สึกเหงาเช่นกัน เลยทำให้เขาตัดสินใจยอมออกมาทานอาหารเย็นกับเจ้านายด้วยจนได้ ติณธรพยายามตั้งสติอยู่กับคนที่นั่งทานข้าวผัดกระเพราไข่ดาวอย่างเอร็ดอร่อยตรงหน้า ทว่าจิตใจก็เอาแต่คอยจะล่องลอยออกไปถึงใครอีกคนที่ไม่ได้นั่งอยู่ที่นี้ด้วย
ไม่เฉียดกรายมาให้เห็นหน้าเลยด้วยซ้ำ ตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมา ราวกับว่าผู้ชายคนนั้นตายจากโลกนี้ไปแล้ว....หึ แค่โลกของเขาคนเดียวนะ เพราะเจ้าตัวมาเยี่ยมข้าวตังได้ทุกวันตามประสาแพทย์ที่ดี แต่เราสองคนกลับไม่เคยพบหน้ากันอีกเลยตั้งแต่วันนั้น
ถ้าบอกว่าฝ่ายนั้นไม่ได้จงใจหลบหน้าเขา ก็คงจะโกหกแล้วล่ะ
ความจริงเขาควรจะยินดีไม่ใช่หรือ ที่อีกฝ่ายไม่มาคอยตามตอแยอีกแล้ว...จบสิ้นกันไปตามที่เขาอยากให้มันเป็น ทว่าทำไมภายในใจกลับไม่ยอมสงบเหมือนท่าทางที่แสดงออกมาเบื้องนอก มันปั่นป่วนราวกับอยู่กลางมหาสมุทรที่มีพายุโหมกระหน่ำ
หรือเวลายังไม่มากพอที่จะทำใจ?....แล้วนี่เขาต้องใช้เวลาเท่าไหร่ล่ะ คบกันไม่ถึง 5 ปี ต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะลืมกันได้ ผ่านมา 8 ปีแล้ว นานเท่าอายุเจ้าเต้...ความทรงจำพวกนั้นยังแจ่มชัดอยู่เลย ไหนจะความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นใหม่ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาอีกล่ะ
หรือว่าต้องใช้เวลาทั้งชีวิตของเขา ถึงจะลืมผู้ชายที่เป็นเหมือนรักแรกคนนั้นได้ ...มันไม่นานไปหน่อยเหรอ?
ชายหนุ่มเผลอถานหายใจยาว วางช้อนลงเพราะความอยากอาหารหมดไปแล้ว เป็นอย่างนี้ทุกทีที่คิดถึงเรื่องนั้นขึ้นมา
“เจ้านี้ไม่อร่อยหรอ หรือว่าไม่ถูกปาก” คนที่นั่งตรงข้ามทักทันทีราวกับจับสังเกตอาการของเขาอยู่ตลอดเวลา เจ้าตัวจัดการกับอาหารของตัวเองจนหมดแล้วภายในเวลาอันรวดเร็ว ขณะที่เขากำลังนั่งเขี่ยข้าวไปมาจนรวบช้อน
“อร่อยดี แต่ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ อิ่มแล้วเหรอ สั่งเพิ่มมั้ย...เห้ย!” เตอุทาน เมื่ออีกฝ่ายเอื้อมมือมายกจานของเขาไปวางตรงหน้าตัวเองแล้วใช้ช้อนตักไข่ดาวที่เหลืออีกครึ่งฟองเข้าปากหน้าตาเฉย ตามด้วยข้าวและหมู ไม่ถึงสองนาที ข้าวก็หมดจาน
“ทำไมไม่สั่งใหม่ล่ะ กินของเหลือทำไม” ติณธรถามเสียงแข็ง คนฟังยักไหล่
“ไม่เห็นเป็นไรนี่ ก็คุณไม่กินแล้วไม่ใช่เหรอ ผมก็ไม่อยากให้เสียของไง ชาวนาปลูกข้าวลำบากนะคุณ มากินเหลือทิ้งๆได้ไง”
“แต่ผม....”
“เอาน่า ผมไม่ถือ ทำไมล่ะ คุณถือหรอ...ถ้าคุณถือก็วางมันลงเหอะ เดี๋ยวแก่เร็วไม่รู้ด้วยนะ” ภาคย์พูด ยักคิ้วให้เขา ดีดนิ้วเรียกบ๋อยมาเก็บเงิน แล้วก็พาเขาเดินออกมาจากร้านอาหารตามสั่งใกล้โรงพยาบาลนั้น ตั้งเตเม้มปาก ส่ายหน้ากับตัวเอง
“แวะกินไอติมก่อน” เจ้านายของเขายกมือขึ้นชี้ที่รถเข็นไอศกรีม ท่าทางคล้ายกับเด็กชายวัยไม่เกินสิบขวบอีกคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ไม่เหมือนตรงที่เด็กน้อยคนนั้นดึงแขนของมารดาแรงๆ ขณะที่ผู้ชายร่างสูงข้างเขาเพียงแต่ยกมือขึ้นกอดอกแล้วมองมาที่เขาด้วยสายตาที่ทำให้เตต้องพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้
“ยังไม่อิ่มอีกเหรอ” เตบ่นแล้วก็ก้มลงเลือกไอศกรีมแท่งภายในรถเข็นคันนั้น ไม่รู้ตัวเลยว่าคนที่ร้องอยากกินตอนแรกแอบมองแล้วลอบยิ้มอยู่ในใจ
กินข้าวไม่ลง กินขนมแทนก็แล้วกัน ดูท่าคงจะชอบเสียด้วย ตั้งใจเลือกรสพอๆกับไอ้หนูตัวกระเปี๊ยกข้างๆนั่นเลย แบบนี้สงสัยต้องขุนด้วยของหวานบ่อยๆเสียแล้ว...ภาคย์คิด
“ผมเลือกได้แล้วนะ เอาแท่งนี้ คุณล่ะ” ภาคย์กระพริบตา ใบหน้าเรียวหวานที่เงยขึ้นถามเขาในระยะใกล้ทำเอาใจกระตุกไปแบบไม่ทันตั้งตัว เขากระแอมเรียกสติ ทำทีเป็นก้มลงเลือกไอศกรีมในรสเข็น....ของหวานที่เขาไม่เคยชอบ
....ไม่ชอบ แต่นับต่อจากนี้ มันคงกลายเป็นของโปรดของเขา ชายหนุ่มคิดในใจขณะที่เดินกินไอศกรีมหวานเย็นเคียงข้างนักเขียนในสังกัดย้อนกลับไปทางเดิมด้วยกัน ฟังเสียงเด็ก เอ้ย ผู้ใหญ่ตัวเล็กข้างๆกินไอติมอย่างเอร็ดอร่อย เขาก็มีความสุขจนอยากจะหยุดเวลานี้เอาไว้
รู้อยู่หรอกว่าเตไม่เคยสนใจเขาในแง่ที่เกินเลยกว่าคำว่าเจ้านายและเพื่อน แต่มันก็อดคิดไม่ได้ ห้ามใจตัวเองไม่ได้ ทุกครั้งที่อยู่ใกล้ผู้ชายคนนี้..เขาอยากให้ตัวเองบินได้ หรือไม่ก็ทำอะไรก็ได้สักอย่างที่มันพิเศษสุดๆ เฉพาะให้เค้าคนเดียว
ผู้ชายทุกคนก็คงอยากทำอะไรที่พิเศษให้กับคนที่ตัวเองรัก...
“มะรืนนี้ตอนเย็น ผมขอจองคิวคุณไว้ก่อนได้มั้ย” ภาคย์เอ่ยปาก เขาหยุดยืนที่หน้าห้องพักผู้ป่วย ส่งยิ้มให้คนที่กินไอศกรีมรสส้มจนริมฝีปากเลอะกลายเป็นสีส้มตาม น่าขัน...แต่ก็น่ารักที่สุดในสายตาคนมอง
อยากก้มลงไปเช็ดให้...ด้วยปาก ทว่าก็ทำได้เพียงแค่คิดเท่านั้น
“ทำไมเหรอ มีงานหรือครับ” อีกฝ่ายถามกลับ เจ้านายหนุ่มจุ๊ปาก...เอะอะอะไรก็คิดแต่เรื่องงานๆๆ ทำไมไม่คิดว่าเขาก็มีเรื่องอื่นที่อยากให้เตทำเหมือนกัน
“ไม่ใช่หรอก จะแจกโบนัสพนักงานดีเด่น ตกลงไปนะครับ” เขาถามเสียงอ่อน เตเงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นผมมารับที่โรงพยาบาลนะครับ ตอนทุ่มนึง” ภาคย์ยิ้มกว้างรีบชิงนัดหมายเอาไว้ หัวใจเต้นแรง....ถือเป็นอีกก้าวหนึ่งแล้วสินะ แค่นี้ก็พอใจแล้ว
“ถ้างั้น ผมกลับก่อนนะครับ” คนฟังพยักหน้าอีก ยกมือโบกให้ยิ้มๆ เขาเฝ้ามองร่างของอีกฝ่ายผลุบหายเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย รู้ดีว่าวันมะรืนนี้เป็นวันสำคัญแค่ไหน
....วันเกิดของเต....
การที่อีกฝ่ายยอมออกมาฉลองร่วมกับเขาถือเป็นความสำเร็จย่อมๆเลยนะ มีแต่คนพิเศษเท่านั้นไม่ใช่เหรอ ที่เราอยากใช้เวลาร่วมกันกับเขาในวันพิเศษๆอย่างเช่น วันเกิด
อดยิ้มกว้างออกมาไม่ได้ ทว่าก็ต้องรีบหุบยิ้มอย่างรวดเร็วเมื่อประจันหน้ากับผู้ชายคนหนึ่งที่คงยืนมองเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ซักพักแล้ว สบดวงตาคมเข้มคู่นั้นนิ่งๆ บอกตัวเองได้ทันทีว่าวันนี้คงมีเรื่องแน่แล้ว
“คุณหมอ...? กำลังอยากพบอยู่พอดีเลยครับ”
“เช่นกันครับ เชิญที่ห้องทำงานของผมดีกว่า จะได้คุยกันสะดวก” ผู้ชายในเสื้อกาวน์ตอบ ยิ้มนิดๆที่มุมปาก เห็นลักยิ้มข้างแก้มบุ๋มลึก.. เป็นรอยยิ้มที่อีกฝ่ายเห็นทีไรก็นึกคันมือคันเท้าขึ้นมาทุกครั้ง
เกลียดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ แฝงด้วยเลศนัยภายใต้หน้ากากนิ่งขรึม ทรงภูมิของหมอนี่จริงๆ สังหรณ์เขาคงถูกต้องแล้วตั้งแต่แรกที่รู้สึกได้ว่า ไอ้หมอนี่มันไม่ธรรมดาแน่ๆ
และที่สำคัญก็คือ...สิ่งที่เขาอยากรู้มากที่สุด
ผู้ชายคนนี้มีความสัมพันธ์อย่างไรกับเตกันแน่
เขาเดินตามคุณหมอหนุ่มเข้ามาภายในห้องทำงานที่อยู่ชั้นถัดไป เจ้าของห้องผายมือเป็นเชิงให้นั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามโต๊ะทำงาน ภาคย์ทรุดตัวลงนั่งและเริ่มเปิดประเด็นแบบไม่เสียเวลา
“คุณหมออยากคุยกับผมเรื่องคุณเตใช่ไหมครับ” อีกฝ่ายพยักหน้ารับ เขาจึงพูดต่อ “เราเคยคุยเรื่องนี้กันแล้ว คุณหมอคงจำได้ เมื่อครั้งที่ไปทะเล....ตอนนั้นผมถามคุณหมอว่า คุณมีความสัมพันธ์อย่างไรกับคุณเต ซึ่งคุณหมอก็ไม่ยอมตอบผม ถูกไหมครับ” รดิศพยักหน้ารับ ถามกลับ
“ถูกต้อง แล้วคุณภาคย์ล่ะครับ คุณยังยืนยันคำเดิมอยู่หรือเปล่าว่าคุณกับคุณเต เป็นเพียงแค่เจ้านายกับลูกน้องกันเท่านั้น”
“คุณหมอครับ ผมขอให้เราพูดกันตรงๆแบบลูกผู้ชาย คุณหมอ...ผมขอเรียกคุณรดิศดีกว่า เรามาเคลียร์กันให้กระจ่างไปเลย จะได้ไหมครับ”
“นั่นเป็นจุดประสงค์ที่ผมเชิญคุณมาที่นี่วันนี้ คุณภาคย์”
“ถ้าอย่างนั้น ผมก็จะขอยอมรับแบบตรงๆว่าผม..ชอบคุณเตมาก อาจจะถึงขั้นรักเลยก็ว่าได้” คนพูดพูดด้วยท่าทางมั่นใจอย่างคนที่ซื่อตรงต่อหัวใจตัวเองเสมอมา ขณะที่คนฟัง...แม้จะรู้อยู่แล้ว ก็ไม่วายหงุดหงิดขึ้นมาทันทีที่ได้ยินจากปากอีกฝ่ายชัดถ้อยชัดคำแบบนี้
“เตมีภรรยาแล้ว มีลูกแล้วด้วย” เขาสะกิด
“ผมรู้ แต่จะแปลกอะไรล่ะ ผมมีความสุข แค่นั้นผมก็พอใจ” คนฟังเม้มปาก รู้สึกถึงเส้นเลือดเต้นอยู่ที่ริมขมับตุบๆ
“ความพอใจของคุณมันทำให้หลายคนไม่สบายใจ คุณรู้บ้างไหม อย่างน้อยก็ภรรยาของเค้าคนหนึ่งล่ะ”
“รวมถึงคุณด้วยใช่ไหม คุณรดิศ” อีกฝ่ายสวนกลับทันที
“ใช่ เพราะผมเป็นเจ้าของไข้ ถ้าคนไข้ของผมไม่สบายใจจนอาการทรุด ไม่ว่าเพราะเหตุใด ถ้าแก้ได้ ผมก็อยากจะแก้”
“โอ้โห นี่คุณเป็นหมอผ่าตัดหัวใจหรือว่าเป็นพี่อ้อยพี่ฉอดคลับฟรายเดย์กันแน่ ถึงต้องมาแก้ปัญหาเรื่องความรักของคนไข้ด้วย คุณหมอ....พูดมาเถอะว่าคุณหมอก็ชอบคุณเตอยู่เหมือนกัน” เสียงของภาคย์กวนประสาทคนฟังจนคิ้วเข้มๆกระตุก รดิศพยายามควบคุมสติอารมณ์ไม่ให้ลุกขึ้นมาต่อยไอ้หมอนี่
“ผมพูดแทงใจดำล่ะซิ ผมรู้นะว่าคุณหมอก็เล็งคุณเตอยู่ ตั้งแต่ตอนไปทะเลแล้วมั้ง...ผมขอเตือนคุณหมอด้วยความหวังดีนะว่า คุณเตไม่ใช่คนง่ายๆหรอก ผมรู้จักคุณเตมาเกือบสองปีแล้ว บอกเลยว่ายากมาก คุณหมอก็มีแฟนอยู่แล้ว คิดให้ดีๆดีกว่า ส่วนผม...ยังไงผมก็ไม่หวังหรอก ลูกคุณเตผมก็รัก แฟนคุณเตผมก็ชอบเธอ ไม่อยากให้เธอเสียใจเหมือนกัน ผมก็แค่....” ภาคย์ยักไหล่เหมือนไม่รู้จะอธิบายยังไง
รดิศถอนหายใจยาว เคาะนิ้วลงบนโต๊ะทำงานเป็นจังหวะคล้ายคนที่กำลังครุ่นคิดอย่างหนักหน่วง
“คุณหมอ ผมตอบส่วนของผมไปหมดแล้ว ถึงตาคุณหมอบ้างแล้วนะ....คุณหมอมีความสัมพันธ์อย่างไรกับคุณเตกันแน่ครับ แค่คนรู้จัก..สามีของคนไข้ หรือว่ามากกว่านั้น”
“ถ้าผมบอกว่า มากกว่านั้นล่ะ” เขาตอบออกมาในที่สุด หลังจากคิดอยู่นาน เห็นทีคงไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว นอกจากพูดกันตรงๆ
ถึงจุดนี้ เขายอมทำทุกอย่าง เอาทุกทาง เพื่อให้ได้ตั้งเตกลับคืนมา....
คนฟังเลิกคิ้ว แววประหลาดใจพาดผ่านไปแวบหนึ่ง ราวกับเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าอีกฝ่ายจะยอมรับออกมาง่ายๆแบบนี้
“มากแค่ไหน?”
“เตเป็นคนของผม” คำตอบของคุณหมอทำให้อีกฝ่ายโกรธจัดจนเลือดขึ้นหน้า ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วกระชากคอเสื้อคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ดึงข้ามโต๊ะเข้าหาตัวอย่างแรง สายตาของผู้ชายทั้งสองคนปะทะกัน คนหนึ่งขึ้งเครียดด้วยความโกรธเกรี้ยว ส่วนอีกคนท้าทายทว่ามีความสลดแฝงอยู่นิดๆ
“พูดแบบนี้ได้ยังไง มีสิทธิอะไรพูดถึงคุณเตแบบนี้ คุณเตไม่ใช่ของใคร หรือถ้าจะใช่ ก็ต้องเป็นของคุณข้าวตัง ไม่ใช่คนที่มีแฟนแล้วแต่แค่หวังเคลมอย่างคุณ!”
ดิมยกมือขึ้นจับมืออีกฝ่ายที่ยืดคอเสื้อของตนเองแน่นอยู่ กดที่เส้นเอ็นแรงๆแบบคนสู้เป็นจนฝ่ายนั้นร้องโอ๊ย ต้องยอมปล่อยมือจากปกเสื้อของเขา
“คนไม่รู้อะไรอย่างคุณไม่มีสิทธิพูดแบบนี้กับผมเหมือนกัน คุณภาคย์ ผมจะบอกให้ว่าถ้าคุณไม่อยากเจ็บปวดกับเกมนี้ คุณรีบถอนตัวออกไปก่อนดีกว่า ก่อนที่คุณจะโดนลากเข้ามาด้วย”
“เกมอะไร ผมไม่เข้าใจ คุณพูดอะไร”
“มันเป็นเรื่องระหว่างผมกับเต”
“แล้วแฟนของคุณ รู้เรื่องระหว่างคุณกับคุณเตบ้างหรือเปล่า” ภาคย์ย้อนถามเสียงเยาะ
“ผมกับรัน เราเลิกกันแล้ว....คุณเป็นคนแรกที่รู้” ดิมตอบเรียบๆ คนฟังอึ้ง ไม่นึกว่าคู่ที่ดูเหมาะสมกันทุกอย่างถึงขั้นมีแพลนแต่งงานจะมาถึงจุดจบได้ง่ายๆแบบนี้
“แล้วยังไง คุณเลิกกับหมอรัน แล้วก็เลยจะมาคว้าคุณเตแทนอย่างนั้นหรือ ให้ตายเหอะคุณหมอ มันไม่ง่ายไปหน่อยหรือไง อย่าบอกนะว่าที่พักหลังมานี้คุณเตดูแปลกไปก็เพราะเหตุผลนี้”
“.............” ศัลยแพทย์หนุ่มไม่ตอบแต่ยักไหล่ ชายหนุ่มอีกคนเม้มปากแน่น
“ผมจะไม่ถามคุณ ว่าเรื่องของคุณกับเตเกิดอะไรขึ้น แต่ผมจะไม่ยอมให้คุณมาทำให้คนที่ผมรักเสียใจหรอก คุณหมอ คุณตะหากที่ต้องไป ไม่ใช่ผม” ภาคย์พูดเสียงหนัก ขยับจะหันหลังกลับออกไปจากห้อง ทว่าสายตาคมไวของเขาเหลือบเห็นกรอบรูปที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานสี่เหลี่ยมเข้าพอดีในตำแหน่งที่คนนั่งทำงานจะสามารถเงยหน้าขึ้นมองเห็นได้ทุกเมื่อ
กรอบรูปดีไซน์แปลกตานั้นยังไม่ทำให้เขาชะงักได้เท่ากับภาพคนในรูป....คนสองคนที่นั่งยิ้มเคียงข้างกันอยู่ นี่มัน....!
เงยหน้าขึ้นสบตาคมเข้มของเจ้าของห้องที่มองมาที่เขาอยู่ก่อนแล้ว ภาคย์แทบจะอ้าปากค้างกับสิ่งที่เพิ่งค้นพบ
“รูปนี้.... คุณ...กับคุณเต พวกคุณเคย....?” เสียงของเขาเบาลงราวกับกระซิบ เอื้อมมือไปหยิบกรอบรูปนั้นขึ้นมาเพ่งดูใกล้ๆอีกครั้ง ในใจนึกหวังให้คนที่นั่งยิ้มหวานอยู่ข้างๆคุณหมอในภาพจะไม่ใช่นักเขียนของเขา ทว่าเค้าหน้าเรียวคางแหลม จมูกโด่งคมและรอยยิ้มสวยเห็นฟันเรียงเป็นระเบียบนั้นไม่อาจมองเป็นใครอื่นได้ นอกจากนักเขียนหนุ่ม...ติณธรคนนั้นคนเดียว
“นะ..นาน..แค่ไหนแล้ว” คำถามจากคนที่ยังงุนงงตะกุกตะกัก ..พอจะเดาได้อยู่หรอกว่า ระหว่างเตกับคุณหมอคนนี้คงจะต้องมีความสัมพันธ์อะไรบางอย่าง แต่ไม่นึกเลยว่าความสัมพันธ์ที่ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้วขนาดนี้ คะเนอายุเอาจากรูปก็คงเกือบสิบปีหรือมากกว่านั้น
เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ใช่แค่พี่น้องแน่ๆ ต่อให้เขาพยายามจะคิดเข้าข้างตัวเองอย่างไร อากัปกิริยาของคนในรูปมันก็ฟ้องตำแหน่งความสัมพันธ์อยู่ทนโท่ คงไม่มีพี่น้องที่ไหนถ่ายรูปคู่แล้วมองกันด้วยสายตาหวานซึ้งขนาดนี้หรอก
“ถ้ารวมเวลาที่รู้จักกันมาก็เกือบ 13 ปี เป็นแฟนกัน 4 ปี 5 เดือน เป็นแฟนเก่า 8 ปี 2 เดือน...” ชายหนุ่มเจ้าของห้องพูดเรียบๆ ยกปลายนิ้วขึ้นสัมผัสที่ซีกแก้มของคนในภาพ ยิ้มนิดๆ ขณะที่คนฟังยืนนิ่งเหมือนถูกสาป ได้แต่มองหน้าอีกฝ่ายอย่างเหลือเชื่อ
รดิศละสายตาจากคนในภาพ หันมายิ้มให้เขา
“เค้าว่ากันว่า..คนเรามักจะตกหลุมรักคนเดิมซ้ำๆ คุณคิดอย่างนั้นไหม”
คุณหมอหนุ่มมองใบหน้าซีดเผือดของอีกฝ่ายอย่างสะใจ
ถึงเขาจะรู้ดีว่าโอกาสที่เตจะกลับมา ‘ตกหลุมรักคนเดิมๆ’ อย่างเขาซ้ำอีกครั้งนั้นค่อนข้างริบหรี่ แต่ครั้นจะปล่อยอีกฝ่ายไปอย่างนั้น เขา...รดิศคนนี้ก็ทำไม่ได้เหมือนกัน
สายตาของตั้งเตที่สบกับเขาเมื่อไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก่อน ตอนที่เจ้าตัวยืนคุยกับภาคย์ที่ข้างหน้าห้องของข้าวตังนั่น ...นอกเหนือจากแววเศร้านิดๆที่เหมือนเป็นลักษณะประจำตัวแล้ว ยังมีแววถือดีและท้าทายปะปนอยู่ด้วย...เราสบตากันแวบเดียว แต่ก็นานพอที่เขาจะแปลความหมายของนัยน์ตาคู่นั้นออก วูบเดียวที่เขามองเห็นพร้อมกับที่อีกฝ่ายพยักหน้ารับคำเชิญของภาคยื เขาก็เข้าใจเหตุผลที่เตทำ
เตจงใจทำให้เขาเจ็บปวด เอาเถอะ เขาจะยอมรับความเจ็บปวดนั้นโดยดี เป็นสิ่งที่เขาควรรับอยู่เเล้ว ...ชดใช้ช่วงเวลา 8 ปีกับสิ่งที่เขาทำให้เตเสียใจทั้งหมด เขาเชื่อว่าตัวเองจะทนได้ แต่ไม่มีทางที่เขาจะปล่อยให้ ‘คนอื่น’ มาเสวยสุขบนความเจ็บปวดของเขาหรอกนะ
..........................................................................
มาต่อนะคะ ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ ยังไม่จบตอนนะเหลืออีกครึ่งนึง แต่ไม่ไหวล่ะง่วงงงง
วันนี้อัพสองเรื่องนะคะ #ดิมเต กับ #แอบลักษณ์
