*^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61  (อ่าน 96066 ครั้ง)

ออฟไลน์ pearlypear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ไม่อยากให้ เต กลับไป  :ling3: :ling3: :ling3: :ling3: :ling3:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ เจเจจัง

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
เราสงสารเตนะ แต่ก็สงสารดิมด้วย เตเจ็บมา 8 ปี แต่ตลอด 8 ปี ดิมก็เจ็บนะ  ควรให้โอกาสดิม ที่ผ่านมาเตรู้ก็เลยเจ็บ  แต่ดิมเพราะไม่รู้ถึงเจ็บนะ อย่าคิดว่าความเจ็บปวดของตัวเองจะมากกว่าดิมนะเต  มีโอกาสได้กลับมาคบกัน ก็คบกันไปเถอะ เจ็บมามากแล้ว ทำปัจจุบันให้มีคววมสุขที่สุดดีกว่านะ

ป.ล. ความชั่วของรัน ดิมยังรู้ไม่หมดนะไรท์ ตอนที่คบกันเตโทรมาแล้วรันลบข้อมูลการโทรอ่ะ แล้วที่วางแผนให้เลิกกันที่ไรท์ยังไม่ยอมบอกอ่ะ ว่ารันทำยังงัย

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
ต่อนะคะ




             ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งเดินออกมาจากห้องทำงานของคุณหมออย่างใจลอย   เรื่องที่เพิ่งได้รับรู้ทำให้เขารู้สึกเกือบจะใกล้เคียงกับคำว่า ช็อค

ติณธรกับหมอรดิศเคยเป็นแฟนกันมาก่อน   รู้จักกันมานานกว่าอายุของลูกชายอีกฝ่ายเสียอีก   ถึงคุณหมอจะไม่ได้เล่ารายละเอียดว่าเหตุใดพวกเขาถึงเลิกกัน  และเขาก็ปากหนักไม่ยอมถาม   คิดว่าตัวเองพอจะเดาได้ไม่ยาก...เตแต่งงานทันทีหลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย  นั่นคือเรื่องที่เขารู้มา  ประกอบกับอายุของเด็กชายเต้แล้ว  เรื่องก็ดูจะสมบูรณ์ด้วยของมันเอง

เตมีลูก  นั่นเป็นเหตุให้พวกเขาเลิกกัน   ส่วนใครจะเป็นฝ่ายบอกเลิกอะไรนั้น  เขาไม่สนใจหรอก  เอาเป็นว่าทั้งคู่เคยเป็นแฟนเก่ากันมาก่อน   และนั่นแปลว่าคุณหมอหนุ่มคนนั้นได้เปรียบเขามากขึ้นไปอีก

ความจริงเขาก็เคยนึกว่าข้าวตังคือคู่แข่งที่สำคัญที่สุดของเขา   ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะแย่งชิงเตออกมาจนครอบครัวเล็กๆนั่นให้บ้านแตกสาแหรกขาดหรอกนะ   เขาก็แค่...อยากมีความสุขบ้าง  เล็กๆน้อยๆ  ความสุขที่ได้จากการใกล้ชิดผู้ชายผมหยิกหยองนัยน์ตาเศร้าคนนั้น   ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าติดใจอะไรนักหนาถึงได้ถอนตัวไม่สำเร็จเสียที

ถอนตัวงั้นหรือ....เหอะ   ไม่มีทางเสียล่ะ

ต้องขอบคุณความลับที่ได้รู้มาวันนี้   เขาไม่ได้รู้สึกท้อแท้อะไรเลย  มันกลับยิ่งทวีความท้าทายมากยิ่งขึ้น  ถึงคุณหมอจะเคยเป็นแฟนเก่า   แต่แฟนเก่าก็คือแฟนเก่า  เหมือนของเก่าที่ตกยุคแล้ว  ไม่มีวันกลับมาเหมือนใหม่ได้  ต่อให้เตตกหลุมรักคนๆเดิมซ้ำอีกครั้ง  มันก็จะไม่มีทางลงเอยกันได้แบบแฮปปี้เอนดิ้งแน่

เขาจะต้องไปสืบให้ได้ว่าทำไมพวกเค้าถึงเลิกกัน  แล้วเขาก็จะใช้มันให้เป็นประโยชน์กับตัวเองให้มากที่สุด

ทางด้านคุณหมอหนุ่ม หลังจากที่อีกฝ่ายพ้นประตูห้องออกไปแล้ว  เขาก็ถอนหายใจยาว  ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ทำงานอย่างหมดแรง    ทอดสายตามองกรอบรูปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะนั้นนิ่งๆ  ยิ้มนิดๆมุมปากให้คนในภาพทั้งคู่

คิดถึงช่วงเวลาเหล่านั้นจริงๆ   จะทำอย่างไรให้ย้อนกลับไปได้กันนะ....

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น  เขาเอื้อมมือไปรับ...ธนพล  แพทย์รุ่นน้องที่ฝากเคสคนไข้เอาไว้ที่เขา

“ฮัลโหล  เป็นไงบ้าง....อืม  ก็สบายดี  เคสแกอ่ะหรอ  ผ่าไปแล้วคนนึง เหลืออีกคน   เรียบร้อยดี   ยังไม่ต้องรีบผ่าหรอก  รอได้อยู่.....เมื่อไหร่จะกลับล่ะ   อีกสองอาทิตย์เลยเหรอ...อืม   ได้ๆ  เดี๋ยวฉันดูแลให้ ไม่ต้องห่วง  แกห่วงเรื่องประชุมดูงานอะไรของแกเถอะ   กลับมาแล้วไปพบผอ.ด้วย  พูดถึงแกเช้าเย็นจนฉันเบื่อ...”  พูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันอีกครู่   ปลายสายที่โทรทางไกลมาก็วางไป

....หลายคนคงจะสงสัยว่าทำไมช่วงนี้คุณหมอรดิศถึงไม่ยอมจับมีดผ่าตัดเลย  เคสที่ไม่ฉุกเฉินเร่งด่วนถึงชีวิตถูกเลื่อนการผ่าตัดออกไปหลายเคส   ไม่มีคำอธิบายนอกจากคำว่าแพทย์ไม่พร้อมผ่าตัด  ไม่มีใครรู้ว่าทำไมแพทย์จึงไม่พร้อม

มีเพียงตัวเขาเองที่รู้เหตุผล...เพราะเขากำลังป่วยเป็นโรคหัวใจเช่นกัน   ถึงจะคนละอย่างกับคนไข้ของเขา  แต่ก็อาการหนักไม่แพ้กัน  เข้าขั้นวิกฤติด้วยซ้ำ   เขาหมดเรี่ยวหมดแรง   ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร

รันหายหน้าหายตาไปหลังจากที่พูดเปิดใจกันวันนั้น  และเขาก็ยังไม่พร้อมที่จะกลับไปปรับความเข้าใจกับอีกฝ่าย   ความรู้สึกของเขาที่มีต่ออีกฝ่ายค่อนข้างสับสนปนเปกันระหว่างความโกรธและความละอาย  เขารู้ว่าที่รันทำลงไปทั้งหมด  เกิดจากความรักที่มีให้   ทว่าเขาก็ทำใจยอมรับไม่ได้อยู่ดี  และเขาก็รู้สึกผิดต่ออีกฝ่ายเช่นกัน  เป็นเขาเองไม่ใช่หรือที่บอกว่ารักรัน  อยากแต่งงานกับรัน   ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าความจริงในใจเป็นอย่างไรกันแน่

เขาโกหกทุกคน รวมถึงใจของตัวเองด้วย..

รดิศเปิดแฟ้มคนไข้ของเขาออกอ่าน   อาการของดาวประดับค่อนข้างคงที่  ไม่ทรุดลง แต่ก็ไม่มีทางดีขึ้นถ้าไม่ได้รับการผ่าตัด   ความจริงเขาควรจะผ่าตัดให้เธอเร็วกว่านี้  ทว่าอะไรบางอย่างในจิตใจของเขา....อาจเป็นความดำมืดที่ซ่อนอยู่ในซอกลึกที่สุดของจิตใจซึ่งมนุษย์ทุกผู้ทุกนามมีอยู่  ขึ้นอยู่กับว่าใครจะสามารถบังคับกักเก็บสิ่งนี้เอาไว้ได้มากน้อยแค่ไหนนั้น....เจ้าสิ่งนั้นมันบังคับให้เขาเลื่อนการผ่าตัดของหญิงสาวออกไปอย่างไม่มีกำหนด

มันเป็นสิ่งที่เลวร้ายมากเสียจนตัวเขาเองยังตกใจกับความคิดของตัวเอง    เขา...คนที่ดำรงวิชาชีพแพทย์  มีหน้าที่รักษาพยาบาลคนป่วยให้หายไข้    เหมือนได้ทำบุญด้วยการช่วยเหลือคนอื่นทุกวัน   ทว่าขณะเดียวกันก็เหมือนเป็นดาบสองคม  เขาสามารถกลายเป็นฆาตกรได้ในชั่วพริบตาเพียงแค่...ไม่ทำอะไรเลย   และที่แย่ที่สุดก็คือ  เขากำลังทำสิ่งนั้นกับหญิงสาวที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่คนหนึ่ง  เพียงเพราะว่า  เขารักสามีของเธอ 

ความรู้สึกผิดบาปถาโถมโรมรันเข้าใส่ความต้องการส่วนลึกในใจ  ความเห็นแก่ตัวและความสงสาร   ความรักและความโหยหาอาลัยอาวรณ์...เขารู้สึกทรมานเหมือนตกอยู่ในนรกทั้งเป็น

ชายหนุ่มซบใบหน้าลงกับโต๊ะทำงานเนิ่นนาน

.....................................................................................

วันนี้เป็นวันพิเศษของเขา....ชายหนุ่มร่างเล็กลุกขึ้นจากโซฟาที่นอนทั้งคืนด้วยความรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าผิดไปจากทุกวัน  หันไปมองที่เตียงภรรยาตามความเคยชิน  ก็เห็นฝ่ายนั้นนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงคนไข้  ใบหน้ารูปหัวใจมีสีเลือดจางๆ...อาการของข้าวตังดีขึ้นเรื่อยๆแม้ว่าจะยังไม่ได้ผ่าตัดก็ตาม

ตั้งเตเดินเข้าห้องน้ำจัดการธุระส่วนตัวจนเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เดินลงไปซื้ออาหารเข้าที่ด้านหน้าโรงพยาบาลตั้งแต่เช้ามืดเหมือนทุกวัน    ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังตกอยู่ในสายตาของใครบางคนเงียบๆ อยู่ตลอดเวลา

ภาคย์โทรมาหาเขาอีกครั้ง  ย้ำเรื่องนัดทานข้าวเย็นนี้แล้วก็วางสายไปเพราะกำลังติดประชุมที่บริษัท   เขามองโทรศัพท์ของตัวเองนิ่งๆ  ไม่รู้เหมือนกันว่าตัดสินใจผิดหรือเปล่าที่ยอมไปดินเนอร์กับผู้ชายคนนี้  ทั้งที่ความจริงคำปฏิเสธมารออยู่ที่ริมฝีปากแล้ว ถ้าไม่เผอิญเหลือบไปเห็นร่างสูงสมส่วนในชุดสีขาวของใครบางคนยืนมองอยู่ข้างหลังไม่ใกล้ไม่ไกล  เดาได้ว่าคงจะได้ยินเสียงสนทนากันทั้งหมด 

สบตาพี่ดิมแวบเดียว   คำปฏิเสธก็กลืนหายไปกลายเป็นพยักหน้ารับ  โดยที่เขาก็ไม่รู้ตัวเหมือนกัน

บางทีอาจเกิดจากอารมณ์ลึกลับบางอย่างที่อยู่ในใจ   แววตาคมเข้มคู่นั้นมีแววผิดหวังปรากฏขึ้นเมื่อเห็นว่าเขาตอบรับอีกฝ่าย   ทำให้หัวใจของเขากระตุกเบาๆคล้ายสมใจแม้จะบอกตัวเองว่า  ไม่สนใจอีกแล้วก็ตาม

          ชายหนุ่มตักข้าวเข้าปากเคี้ยวช้าๆ  ลิ้นไม่รับรสว่ามันอร่อยหรือไม่   กลั้นใจกินได้ไม่กี่คำก็อิ่ม ลุกขึ้นเก็บจานไปล้างเหมือนทุกวัน          ก่อนจะเดินไปเขย่าตัวปลุกลูกชายที่นอนหลับอุตุอยู่ที่เตียงเสริม ...อยากพาเจ้าเต้กลับบ้าน แต่ติดตรงที่ไม่มีใครดูแลข้าวตัง 

            เด็กชายเต้ลุกขึ้นอย่างงัวเงีย  เดินเข้าห้องน้ำอาบน้ำแต่งตัวจนเสร็จก็ออกมาทานอาหารเข้าที่เขาเตรียมเอาไว้ให้บนโต๊ะ  ทานเสร็จเขาก็พานั่งรถไปส่งที่โรงเรียน  ก้มลงหอมแก้มใสนิ่มเป็นพวงสองข้าง  สูดลมหายใจเข้าปอดลึก

            “ตั้งใจเรียนนะครับ  เดี๋ยวตอนเย็นพ่อมารับ”

          “ครับ  สวัสดีครับคุณพ่อ”   พูดยังไม่ทันจบก็ผละไปเล่นกับเพื่อนที่มายืนรออยู่แล้ว   ตั้งเตมองตามหลังหลานชายคนเดียวที่เขารักเหมือนลูก เพราะเลี้ยงดูอุ้มชูมาตั้งแต่เกิด  เขาคงทำใจลำบากถ้าวันหนึ่งเขาต้องแยกจากเจ้าเต้ไป   คงไม่มีวันนั้นหรอก   แต่ใครจะรู้อนาคต?

            นั่งรถกลับมาที่โรงพยาบาลเหมือนเดิม   รู้สึกปวดท้องหน่อยๆ  อาการปวดแบบนี้เขาเป็นมานานแล้ว  เพียงแค่พักหลังมานี้มันถี่ขี้น  ปวดมากขึ้น   ทว่าเขาก็ไม่คิดจะไปหาหมอให้ตรวจอะไร   ก็คงเป็นอาการของโรคกระเพาะธรรมดาที่เขาเป็นมาตั้งแต่สมัยเรียน

            ข้าวตังตื่นแล้วตอนที่เขากลับไปถึง  เธอกวักมือเรียกเขาเข้าไปใกล้   ยกมือขึ้นประคองที่ซีกแก้มของเขา  พูดยิ้มๆ

            “สุขสันต์วันเกิดค่ะ พี่เต   ขอโทษด้วยนะคะ  เพราะตังป่วย พี่เตเลยต้องมาติดแหงกอยู่ที่โรงพยาบาล  แทนที่จะได้ไปเที่ยว ฉลองวันเกิดเหมือนทุกปี”

          “เราพูดอย่างกะว่า วันเกิดพี่จะได้ฉลองอะไรงั้นแหละ  ทุกทีก็เป่าเค้กอยู่ที่บ้านกับเธอไง”  เขาลูบศีรษะของน้องสาวแผ่วเบา

            น้ำใสๆไหลออกมาทางหางตาของหญิงสาว 

            “เพราะตังใช่ไหมคะ  พี่เตเลยไม่ได้ออกไปไหนเลย  ....พี่เสียสละเพื่อตังมามากเหลือเกิน   จน...จนตังรู้สึกว่าตัวเองเห็นแก่ตัวมากที่เอาแต่เรียกร้องจากพี่ฝ่ายเดียว”   เสียงของเธอขาดหายไปในลำคอ   หลายคืนแล้วที่เธอตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วมองไปเห็นร่างของพี่ชายนั่งอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์หันหลังให้กับเธอและลูก    ทีแรกเธอเข้าใจว่าเขาคงนั่งทำงาน  แต่เมื่อสังเกตให้ดี  ถึงได้รู้ว่าหลังไหล่ทั้งสองข้างนั้นสั่นสะท้าน   คล้ายกับคนที่กำลังหนาวจัด   ฝ่ามือถูกยกขึ้นปิดปากแน่นเพื่อกลั้นเสียงสะอื้นไม่ให้ถึงหูเธอ

            พี่เตนั่งร้องไห้...ร้องไห้คนเดียวแบบนี้ทุกคืน   กว่าเค้าจะเข้านอนด้วยความเหนื่อยอ่อน   และตื่นมาตอนเช้าเพื่อยิ้มและปลอบใจเธอ   พี่เตทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  ทั้งที่เธอรู้ว่าเขากำลังทุกข์ใจ

            ครั้งนี้มันต่างจากเมื่อหลายปีก่อนตรงที่...ความทุกข์ของพี่ชายมันส่งผ่านมาถึงหัวใจของเธอด้วย  เห็นเขาเจ็บ...เธอก็เจ็บไม่แพ้กัน 

          มันควรถึงเวลาแล้วหรือเปล่า?   ความเห็นแก่ตัวของเธอควรถึงกาลสิ้นสุดเสียที

            “ตัง....เย็นนี้พี่มีธุระข้างนอกนะจ้ะ   กลับไม่ดึกหรอก   ถ้ามีอะไรก็โทรบอกพี่นะ”  ชายหนุ่มพูดเรียบๆ  คนฟังพยักหน้ารับราวกับรู้อยู่แล้ว

            “ค่ะ  รีบกลับนะคะ  ตังเองก็มีของขวัญวันเกิดให้พี่เหมือนกัน”  เธอพูด  ยกมือขึ้นป้ายน้ำตาออก 

            แล้วทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ   วันนี้นายแพทย์รดิศขอลาหยุด 1 วัน   ตั้งเตรู้เพราะหญิงสาวเอ่ยถามคุณพยาบาลถึงคุณหมอที่ดูแลเธอ   เขากับข้าวตังไม่ได้พูดอะไรกันเกินความจำเป็น  พอถึงเวลาเขาก็กลับออกมาเพื่อไปรับลูกชายที่โรงเรียน

            “อ้าว  เห็นมีคุณลุงมารับเด็กชายเต้ไปแล้วนี่คะ  เห็นเขาบอกว่าคุณพ่อไม่ว่าง”  คุณครูประจำชั้นบอกกับเขา  มองหน้างงๆ

            “อะไรนะครับ  คุณลุงที่ไหน”

          “คุณลุง...ที่เคยมาเล่นกับน้องเต้น่ะค่ะ  เห็นน้องเต้ก็รู้จักกับเขานะคะ  นี่คุณพ่อไม่ให้เขามารับแทนหรอกหรือคะ”  เสียงคุณครูเริ่มสั่น  ท่าทางตื่นตระหนกเมื่อเขาปฏิเสธว่าไม่ได้ให้ใครมารับลูกชายแทน

            เตใจร้อนราวกับไฟเผา   รู้ทันที่ว่า ‘คุณลุง’ ที่ว่านั้นคือใคร   มีอยู่คนเดียวที่เคยมาเล่นกับเต้  ‘ตีซี้’  ทำเนียนราวกับเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน  เหมือนจะรักเด็กมากทั้งที่ตัวจริงเกลียดเด็กเข้าไส้

          มือสั่นรีบล้วงหาโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรหา   ถึงจะลบเบอร์ของผู้ชายคนนั้นทิ้งไปแล้ว  ทว่าสมองก็ยังจดจำได้แม่นยำ   ติณธรกดเลขหมายสิบตัวอย่างรวดเร็ว

            รอสายอยู่นานจนขึ้นเสียงให้ฝากข้อความ   ไม่มีคนรับ   เขากรอกเสียงลงไป

            “คุณรดิศ  อย่าเล่นแบบนี้  ผมขอลูกคืน   คุณอยู่ที่ไหน”   เขาโทรกลับไปอีกหลายรอบ  แต่ก็เหมือนเดิม ปลายสายไม่มีคนรับ  มีแต่สัญญาณให้ฝากข้อความ

            “ทางโรงเรียนขอโทษด้วยนะคะ  เป็นความประมาทเลินเล่อของคุณครูเอง  ทางเราจะรีบประสานงานกับตำรวจเพื่อค้นหาน้องเต้ให้นะคะ”  อาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนรีบมาขอโทษขอโพยเขา  ยืนยันว่าจะช่วยตามหาน้องเต้ให้ถึงที่สุด  คุณครูประจำชั้นของลูกชายยกมือไหว้เขาครั้งแล้วครั้งเล่า  หน้าซีดเผือดไม่มีสีเลือด 

            “ผมจะไปตามหาลุงคนที่ว่านั่น   ถ้ามีอะไรคืบหน้าช่วยโทรบอกผมด้วยครับ” เตฝากหมายเลขโทรศัพท์ของตัวเองเอาไว้  แล้วรีบกลับออกมาจากโรงเรียน  ยกมือขึ้นโบกรถแทกซี่ได้ก็บอกที่อยู่ของคอนโดฝ่ายนั้น

            มือเย็นเฉียบ  ความรู้สึกของเขาปะปนกันทั้งความตกใจและโกรธ    อีกอย่างคือความกลัว   ถ้าคนที่พาเต้ไปไม่ใช่เค้าล่ะ   เกิดเป็นคนอื่นขึ้นมา   ข่าวลักเด็กเรียกค่าไถ่ก็มีให้เห็นอยู่แทบทุกวัน  กว่าพ่อแม่จะเจอ ลูกก็กลายเป็นศพไปแล้ว   คิดไปถึงตรงนี้  เขาก็ตัวสั่น    กระหน่ำโทรเข้าเครื่องของอีกฝ่ายหลายครั้ง....ขอร้องล่ะ  รับสายสิ 

            ข้าวตังโทรมาหาเขา   เตกดรับ  เธอสงสัยว่าทำไมทั้งเขาและเต้ถึงยังไม่กลับมาอีก   ชายหนุ่มไม่กล้าบอกว่าลูกหาย กลัวว่าเธอจะอาการกำเริบหนัก  ได้แต่โกหกไปว่าพาเต้มากินขนม  กำลังจะกลับ

            โรงเรียนโทรมาบอกเขาว่า แจ้งตำรวจไปแล้ว  ทางตำรวจจะช่วยหาอีกแรง 

            รถติดอย่างหนักเพราะเป็นเย็นวันศุกร์   แถมยังมีฝนโปรยปรายลงมาอีก  เตทนนั่งอยู่บนรถที่ไม่ขยับเขยื้อนมาเกือบชั่วโมงไม่ไหว   เขาขอลงจากรถ  ไม่สนใจว่าสายฝนจะทำให้ตัวเองเปียกตั้งแต่หัวจรดเท้าเพียงใด 

            ความหนาวจากภายนอกยังไม่เท่าความร้อนรนในใจ   เขาเดินจ้ำลุยน้ำที่เริ่มขังอยู่ริมถนน ไปเกือบห้าป้ายรถเมล์  จนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่หน้าคอนโดของผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง

            เข้าไปในลอบบี้    พนักงานต้อนรับขอตรวจบัตรประชาชนเพื่อความปลอดภัย  กว่าจะขึ้นมาได้ก็ยุ่งยากอยู่นาน   ระหว่างที่รอลิฟต์   เตเพิ่งเข้าใจหัวอกความเป็นพ่อ  มันเป็นแบบนี้นี่เอง

            ได้แต่ภาวนาขอให้เต้อยู่ที่นี่   ถ้าเต้ไม่อยู่  เขาก็ไม่รู้จะไปตามหาลูกชายที่ไหนแล้ว 

            ณ จุดนั้น   ถ้าเต้เป็นอะไรไป   เขานี่แหละที่จะทนไม่ได้

            ลิฟต์จอดที่ชั้นที่ต้องการ  นักเขียนหนุ่มก้าวออกมาจากลิฟต์  เดินตรงไปตามทางที่คุ้นเคย  ความทรงจำครั้งสุดท้ายที่มาที่นี่ผุดขึ้นมาอีกครั้ง....ถ้าไม่ใช่เพราะลูก  เขาก็ตั้งใจว่าจะไม่มาเหยียบที่นี่อีกแล้ว

            หยุดที่หน้าห้องพักของชายหนุ่ม  กลั้นใจยกมือขึ้นกดกริ่งเรียก....รออยู่นาน  สุดท้ายประตูก็ถูกเปิดออก 

            ใบหน้าของเจ้าของห้องมีความแปลกใจในแวบแรก ก่อนจะกลายเป็นดีใจ  อย่างคนที่ไม่คาดคิดมาก่อน

            “เต?   มาได้ยังไง”

          “พี่ดิม  เต้อยู่ที่นี่หรือเปล่า?”  เตรีบถาม

          สีหน้าของคนฟังทำให้เตใจหายวูบ   ตัวสั่นจนควบคุมไม่อยู่   พี่ดิมมองตอบเขากลับมางงๆ  ยกมือขึ้นจับที่ไหล่ทั้งสองข้างของเขา   ก้มลงถามอะไรสักอย่าง  แต่เขาหูอื้อเสียแล้ว

             เต้ไม่ได้อยู่ที่นี่...


             ................................................................................... 


มาต่อค่ะ 50%ที่เหลือ 5555  ขออภัยที่หายไป   ติดธุระครัช
ขอบคุณที่คอมเม้นท์ละกดเข้ามาอ่านเรื่องนี้กันน้าาา
เจอกันตอนหน้าครัชช :hao5:

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
จะกลับไปรักกันต่อได้ยังไง
ยังไม่เห็นหนทางเลย

มืดมิดไปหมด
ทั้งสองคน

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
ใครมารับเต้ ลุ้นๆ ไปกับตัวละคร

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
อะไรกันอีก!!!!!!!!!!

ออฟไลน์ โอ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
พ่อแท้ๆของน้องรึเปล่า. ว่าไปนั่น  :call:

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
ตามมาจากแอบลักษณ์ กับเรื่องนี้ดราม่าก็จริงแต่ในความดราม่าก็ยังมีความน่ารำคาญของตัวละครอยู่นะ ทั้งเต ทั้งดิม ทั้งรัน ทั้งแม่ดิม ทั้งตัง ทั้งภาค /ม่เว้นแม้กระทั่งโดม เลยรู้สึกว่าแอบลักษณ์มันพีคกว่าในความรุ้สึก

มาถึงตอนล่าสุดนี้ให้เดาเราว่าคนที่มารับเด็กน่าจะเป็นรัน ก็รันเป็นหมอรักษาย่อมสนิทกับเด็กเป็นธรรมดา ทีนี้ก็อยู่ที่ว่ารันจะทำอะไรนี่แหละ แต่อย่างที่หลายๆคนบอกคือดิมกะบเตนี่หาจุดบรรจบยากนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ มะเขือม่วง

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 435
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0

ออฟไลน์ Naam3

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :mew2: :mew2: :katai4: :katai4: :ling1: :ling1: :hao7: :hao7: :call: :call: :call:รอน่าๆๆๆมาต่อๆๆๆๆๆๆๆๆน่าาาา :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
เพราะหัวใจบอกว่า...ไม่ใช่

 

 

 

 

            “โอเค   ใจเย็นๆก่อนนะเต  เข้ามาในห้องก่อน  หนาวจนตัวสั่นหมดแล้ว”   เจ้าของห้องพูดช้าๆ  พาแขกที่ยืนตัวสั่นน้ำตาคลอเข้ามาภายในห้องพักของตน   เขากดไหล่ให้อีกฝ่ายทรุดตัวลงนั่งที่โซฟากลางห้อง  ส่วนตัวเองเดินเลยไปยังห้องครัว  ลงมือชงชาร้อนมายื่นส่งให้พร้อมกับผ้าขนหนู

            “เช็ดผมแล้วก็ดื่มน้ำชาก่อน    หรือว่าจะเปลี่ยนชุดก็ได้นะ  พี่มีให้เปลี่ยน”  อีกฝ่ายสั่นศีรษะ  รับผ้าขนหนูและชาร้อนไปจิบอึกเดียวก็วาง

            “ผมจะทำยังไงดี   ผมไม่รู้ว่าจะไปตามเต้ที่ไหนแล้ว”

          “แล้วทำไมถึงคิดว่าพี่พาเต้มาล่ะ”  ชายหนุ่มเจ้าของห้องถามแกมหัวเราะ   คนฟังหลบตาเขา  ใบหน้าเริ่มซับสีเลือดน้อยๆ  คงเกิดจากได้ชาอุ่นๆเข้าไปกระมัง

            “ก็พี่เป็นคนเดียวที่เคยไปเล่นกับเต้ที่โรงเรียน   ผมก็นึกว่า....”  เสียงเตขาดหายไปในลำคอ

          “นึกว่าอะไร   นึกว่าพี่พาเต้มาที่นี่เพื่อล่อให้นายมาหาใช่มั้ย”   ถ้าใช่ล่ะก็...ก็ถือว่าเป็นแผนที่ได้ผลทีเดียวแฮะ  ทำไมเขาไม่เคยนึกมาก่อนหน้านี้นะ

            “....................”  ไม่มีคำตอบจากคนที่กำลังใช้ผ้าขนหนูขยี้เช็ดผมที่เปียกชื้นยุ่งเหยิงนั้น     ตั้งเตหลบตาเขาอีกแล้ว   รดิศคิดในใจ...รู้สึกแปลกดีเหมือนกันที่อีกฝ่ายนึกถึงเขาก่อนเป็นคนแรก  แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องในทางที่ดีก็เถอะ   อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่คิดถึงเลย   เขาควรจะดีใจใช่มั้ย?

            นิ่งคิดอยู่ครู่  ชายหนุ่มเจ้าของห้องก็ลุกพรวดพราด  ย้ายที่มานั่งข้างแขกที่รีบยกขาขึ้นทำตัวลีบ  ทว่าอีกฝ่ายแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น 

          “ขอเบอร์โทรศัพท์ที่โรงเรียนหน่อย  เบอร์คุณครูประจำชั้นกับครูใหญ่  แล้วก็ขอรูปของเต้ด้วย  พี่จะติดต่อให้”   คนเป็นพ่อบอกหมายเลขโทรศัพท์ให้พร้อมกับหารูปของลูกชายในโทรศัพท์มือถือที่แบตใกล้หมดเต็มที

            รดิศไล่โทรหาตามเบอร์ที่ได้รับมา  คิ้วเข้มคมขมวดมุ่นขณะที่ติดต่อประสานงานกับทางโรงเรียนและตำรวจ  เขาส่งรูปไปให้เพื่อนที่เป็นตำรวจช่วยดูให้   ขอเบอร์โทรศัพท์ของเพื่อนๆในห้องเต้จากครูประจำชั้นเพื่อโทรไปถามทีละคน  เผื่อว่าเต้จะติดรถไปกับเพื่อนคนไหน   เป็นสิ่งที่เตไม่เคยคิดมาก่อนเลย

            “ครับ  คุณพ่อน้องก้องใช่มั้ยฮะ  ผมเป็นลุงของน้องเต้ครับ  ใช่ครับ....รบกวนถามนิดหนึ่งฮะ    ไม่ทราบว่าคุณพ่อ....”

            ติณธรลอบมองชายหนุ่มหน้าคมในชุดเสื้อกางเกงบอลเก่าๆสบายๆ ตรงข้ามกับท่าทางเครียดขรึม  ลุกเดินกลับไปกลับมาระหว่างพูดคุยโทรศัพท์นั้นเงียบๆ  ขยับจะช่วยโทรอีกแรงทว่าแบตโทรศัพท์ก็ดันมาหมดเอาตอนนี้  จะใช้โทรศัพท์บ้านอีกฝ่ายก็ไม่ยอม  โบกมือไล่ให้เขาไปนั่งพัก...เสียงนุ่มๆนั้นเอ่ยถามคำถามเดิมๆซ้ำๆไม่รู้กี่รอบ   ท่าทางของเขาร้อนใจมากราวกับเต้เป็นเหมือนลูกหลานอีกคนของตน   ไม่ใช่แค่หลานของคนรู้จักกัน  แถมยังเป็นคนรู้จักที่ขอร้องให้จบสิ้นความสัมพันธ์กันอีกด้วย

            ท่ามกลางความกังวลและเป็นห่วงสารพัดนั้น   อะไรอย่างหนึ่งค่อยๆแผ่ซ่านไปทั่วขับไล่ความหนาวเหน็บออกจากหัวใจของนักเขียนหนุ่มทีละน้อย  ที่ตรงนี้ไม่ได้มีเพียงเขาคนเดียวที่เดือดเนื้อร้อนใจ  ไม่ใช่เขาคนเดียวที่ต้องวิ่งแก้ไขปัญหาทั้งหมด  หากแต่ยังมีใครอีกคนที่กระโจนเข้ามาในปัญหาเพื่อช่วยเหลือเขาอย่างเต็มที่ทันทีโดยไม่ต้องรอให้เขาเอ่ยปาก

            คนที่ทำตัวเป็นเหมือนทั้งเพื่อน และพี่  คอยปลอบประโลม คอยแก้ปัญหาให้  ทุกเมื่อที่เขาต้องการ...ผู้ชายคนนี้ ที่เขาเลือกที่จะตัดรอนเพราะหัวใจเจ็บเกินทน....

            เวลาที่ผ่านไปแปรผันตรงกับความล้มเหลวที่เพิ่มมากขึ้น   ไม่มีใครเห็นเต้เลยสักคน  ตั้งเตน้ำตาไหลออกมาเงียบๆ  ขณะที่ดิมยังไม่ละความพยายาม   เขาโทรหาเพื่อนที่มีพ่อเป็นนายพลตำรวจ เพื่อขอร้องให้ช่วยหาหลานให้ที

            “ไปสถานีตำรวจกันนะเต   เพื่อนพี่จะช่วยออกตามหาให้ แต่เราต้องไปแจ้งความด้วยตัวเองก่อน”   สุดท้ายชายหนุ่มก็วางสายลง แล้วหันมาบอกเขา   ตัวเองผุดลุกขึ้นยืน ทำท่าจะเดินไปเปลี่ยนชุด   

          “พี่ดิม....”  เตยืดแขนแข็งแรงนั้นเอาไว้    อีกฝ่ายหันมามอง  เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

            “พี่ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้  เดี๋ยวเตไปเอง”   คนฟังขมวดคิ้ว

            “นี่ไม่ใช่เวลาจะมาเล่นแง่กันนะเต  พี่รู้ว่านายไม่อยากให้พี่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอีก ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม  แต่เรื่องนี้พี่ขอ...พี่ก็เป็นห่วงเต้เหมือนกัน”

          “ไม่ใช่อย่างนั้น”  เตส่ายหน้าอย่างอัดอั้นตันใจ  ยืดแขนข้างนั้นแน่นไม่ยอมปล่อย

            “ถ้างั้นก็รีบลุกเถอะ  ไม่รู้ป่านนี้เต้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว....เอ้อ  เกือบลืม  นายโทรบอกคุณข้าวตังไปหรือเปล่า”

            “ยังไม่ได้บอก”   คนฟังถอนหายใจยาว

            “ดีแล้ว  เดี๋ยวเธอตกใจ  เอาไว้ค่อยบอก  ...พี่จะไปเปลี่ยนชุดก่อน   นายจะเปลี่ยนด้วยไหม”  เขากวาดตามองทั่วร่างโปร่งบางเร็วๆ  เห็นเสื้อผ้าเริ่มหมาดแล้วเพราะไอตัว  ก็พยักหน้าราวกับพูดกับตัวเอง “เปลี่ยนแต่เสื้อก็แล้วกัน   เดี๋ยวไม่สบายล่ะแย่เลย”   พูดจบก็เดินหายเข้าไปในห้องนอน  ครู่เดียวก็กลับออกมาในชุดพร้อมออกจากบ้านเรียบร้อย  ส่งเสื้อเชิ้ตให้เขาตัวหนึ่ง

            “รีบใส่แล้วตามออกมานะ”

            คนพูดคว้ากุญแจรถได้ก็เดินออกมาข้างนอก  เตคงไม่รู้ว่าที่เขารีบออกมาเพราะกลัวว่าจะบังคับตัวเองไม่ได้อีกต่อไป...ความรู้สึกข้างในมันท่วมท้นแทบล้นออกมาตั้งแต่ตอนที่ฝ่ายนั้นเหนี่ยวแขนเขาเอาไว้แล้ว   แววตาและสีหน้าของอีกฝ่ายทำให้เขาหวั่นไหวอย่างรุนแรงจนเกรงว่าถ้าขืนยังอยู่กับเตสองต่อสองในห้องนั้นต่อ   เขาอาจจะอดใจไม่ไหว  รวบร่างเล็กๆนั่นมากอดเอาไว้แนบอกให้สมรักก็เป็นได้

            ยืนรออยู่ครู่หนึ่ง  คนข้างในก็ไม่ออกมาเสียที  จึงย้อนกลับเข้าไปดู  เห็นอีกฝ่ายกำลังจดๆจ้องมองหาอะไรอยู่

            “พี่ดิม  มีที่ชาร์ตแบตโทรศัพท์มือถือมั้ย    มือถือผมแบตหมดแล้ว  กลัวว่าจะมีคนโทรมาแล้วไม่ได้รับ”   ชายหนุ่มเจ้าของห้องก้าวยาวๆเข้าไปในห้องนอน แล้วก็กลับออกมาพร้อมกับแบตเตอรี่สำรอง   ยื่นส่งให้

            “ชาร์ตอันนี้ไปก่อน  ไปชาร์ตในรถก็ได้”  ถือวิสาสะเอื้อมมือไปจับมืออีกฝ่ายพาจูงเดินออกมาจากห้องพัก   แม้กระทั่งตอนที่อยู่ในลิฟต์ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือ   แอบเหลือบมองมือเย็นชื้นเหงื่อของเขาที่ถูกมืออุ่นจนเกือบร้อนของอีกฝ่ายกุมอยู่ 

            ติณธรใจเต้นแรง  สมองสั่งให้บิดมือออกจากการเกาะกุม  แต่ร่างกายกลับไม่ยอมทำตาม  เพราะมันเชื่อฟังหัวใจมากกว่า  เพราะหัวใจของเขาบอกว่า...ไม่เลย  ไม่อยากปล่อยมือเลยสักนิด

            ทั้งคู่เดินจูงมือมาถึงรถของดิมที่จอดอยู่ยังที่จอดรถชั้นล่าง   คุณหมอเปิดประตูรถให้เขาขึ้นไปนั่งก่อนด้วยท่าทางเคยคุ้นราวกับทำอยู่เป็นประจำทุกเมื่อเชื่อวัน   เตก้าวขึ้นไปนั่ง อดรู้สึกแปลกในใจไม่ได้

            ความสัมพันธ์ของเราสองคนอยู่ที่จุดไหนกันแน่

            จุดที่เขาคิดถึงอีกคนก่อนเป็นคนแรก  (ถึงตอนแรกจะนึกว่าอีกฝ่ายเป็นตัวการก็เถอะ) จุดที่เค้าช่วยเหลือเราอย่างเต็มที่โดยไม่มีข้อแม้  หรือจุดที่เราเข้าใจกันแม้เพียงสบตาแค่แวบเดียว

            โทรศัพท์มือถือของเขาเปิดติดจนได้หลังจากชาร์ตไฟไปได้ครู่หนึ่ง  มีมิสคอลเป็นชื่อภาคย์และข้าวตัง.....จริงสิ  วันนี้เขามีนัดทานอาหารเย็นกับภาคย์นี่นะ  มองนาฬิกาเกือบสองทุ่มแล้ว.... เขาเลือกโทรหาข้าวตังก่อน

            รอสายไม่นาน อีกฝ่ายก็กดรับ  กรอกเสียงมาตามสายร้อนรน

            “พี่เต เป็นอะไรหรือเปล่า  นี่ตังอยู่กับคุณภาคย์  คุณภาคย์มากับเต้   เขาบอกว่ากะจะไปรับเต้ให้แล้วพามาเซอร์ไพรซ์ฉลองวันเกิดพี่เตที่โรงพยาบาล   แต่รถดันติดก็เลยเลท  พอโทรไปพี่เตก็ปิดเครื่อง  ก็เลยไม่รู้จะทำยังไง   นี่พี่อยู่ไหนแล้ว”   เตถือโทรศัพท์ค้างเอาไว้  สูดลมหายใจเข้าออกยาวๆ ระบายความโกรธที่พุ่งขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน   เหลือบไปมองคนข้างๆที่ขับรถอยู่ ก็เห็นคุณหมอหนุ่มกำลังคร่ำเคร่งกับการจราจรที่ติดขัดในคืนวันศุกร์

            “แบตโทรศัพท์พี่หมดน่ะ   แล้วนี่เต้อยู่ที่โรงพยาบาลใช่มั้ย”  ถามย้ำอีกที  รดิศหันมามอง  เงี่ยหูฟังพลางขมวดคิ้ว

            “ใช่ค่ะ  ทุกคนรอพี่เตอยู่เนี่ยแหละ  พี่อยู่ที่ไหนแล้วคะ”

          “พี่ออกมาตามหาเจ้าเต้   ตกใจหมดเลยนึกว่าหายไปไหน   ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพี่จะรีบกลับไปที่โรงพยาบาลนะ  ขอฟังเสียงเต้หน่อยสิ”

          “เต้อยู่นี่ครับ  รีบๆกลับมานะคุณพ่อ  เต้อยากกินเค้กแล้ว”   เสียงเด็กน้อยลอดออกมาได้ยินชัดเจนในรถที่เงียบสงบ  ดิมเลิกคิ้วมองหน้าเขาเป็นเชิงถาม   ตั้งเตวางสายลง หันไปบอกเรียบๆ

            “สรุปเต้อยู่ที่โรงพยาบาลแล้วครับ  คุณภาคย์ไปรับที่โรงเรียนมาส่งให้  เผอิญไม่ได้บอกกันก่อน  มือถือเตก็ดันแบตหมดอีก  เลย...ไม่รู้กัน”  เขาจบประโยคด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ  รู้สึกผิดที่ทำให้อีกฝ่ายต้องลำบากวุ่นวายโทรติดต่อแถมยังออกมาตามหาด้วยเช่นนี้   คนฟังได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจยาว

            “โล่งอกไปที    เอ้า  ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ  ไม่ดีใจหรอ”  ดิมถามงงๆ  เห็นอีกฝ่ายหน้าจ๋อยชอบกล

            “ก็เตรู้สึกผิดนี่  เตไม่ได้เรื่องเองแหละ   ก็เลยพลอยทำให้พี่ดิมต้องลำบากไปด้วยเลย”  คนฟังยิ้มนิดๆ  รถจอดติดไฟแดงพอดี   เขาเลยหันไปมองหน้าคนพูดตรงๆ  เห็นเสี้ยวหน้าเรียว จมูกโด่งขึ้นสันคมเป็นเงาทาบกับใบหน้า  เปลือกตาหลุบต่ำมองไม่เห็นแววตาทั้งสองข้าง   แผงขนตาหนายาวปิดบังอารมณ์ที่แท้จริง  แม้ว่าจะพอจับได้จากน้ำเสียงที่สั่นพร่านั้น

            “ไม่เห็นจะลำบากอะไรแค่นี้เอง  ลำบากกว่านี้...เพื่อนาย  พี่ก็ทำมาแล้ว”   เขาตอบเรื่อยๆ  สังเกตเห็นปลายขนตายาวเป็นแพนั้นสั่นน้อยๆ

            ภายในรถเงียบจนแทบได้ยินเสียงหายใจของตัวเอง

            “เต...ไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้เลย”    เสียงนั้นพึมพำอยู่ในลำคอ  แผ่วเบาแต่เขาก็ได้ยินชัดเจน    เขาเอื้อมมือไปสัมผัสที่ซีกแก้มข้างนั้น  เตสะดุ้งน้อยๆแต่ไม่ผละหนี   ผิวแก้มนุ่มเนียนละเอียดในอุ้งมือของเขาทำให้ความรู้สึกโหยหาอาวรณ์พุ่งขึ้นมาแน่นตื้อไปหมดในหัวอกจนเขาพูดต่อไม่ออก   ความรู้สึกที่มีต่อผู้ชายตรงหน้ามัน....

“.................”

            พี่ดิมไม่พูดอะไรอีก แต่ชะโงกหน้าเข้ามาสัมผัสริมฝีปากของเขา  เพียงแตะเบาๆคล้ายปัดผ่าน ...เบาบางราวกับปีกผีเสื้อที่โฉบผ่านกลีบดอกไม้หวานหอม   ทว่าทำให้เขาสะเทือนลึกเข้าไปภายในทรวงอก   เหมือนหัวใจถูกบีบแน่นแล้วคลายออก ....มีเพียงผู้ชายคนนี้คนเดียวที่ทำให้เขารู้สึกเช่นนี้ได้   เราผละออกเพื่อสบตากันในระยะประชิด    นัยน์ตาทั้งคู่สะท้อนเงาของกันและกัน   เหมือนมีข้อความบางอย่างส่งผ่านกระแสตาเหล่านั้น

แล้วพี่ดิมก็แนบริมฝีปากลงมาอีกครั้ง  จากความบางเบาคล้ายฉาบฉวยในตอนแรก  ค่อยๆเปลี่ยนเป็นลึกซึ้งขึ้น  แนบแน่นทว่านุ่มนวลและแสนอ่อนโยน   ราวกับจะบอกเขาถึงความรู้สึกในใจที่พี่ดิมไม่รู้จะพูดออกมาอย่างไร

........รัก........

จูบของพี่ดิมบอกเขาว่าอย่างนั้น

คล้ายกับว่าลมหายใจของเขากลายเป็นของพี่ดิมไปหมดสิ้น   สุดท้ายพี่ดิมก็ถอยกลับไปนั่งที่เดิมหลังพวงมาลัย   ไฟแดงเปลี่ยนเป็นไฟเขียวพอดี   คนขับออกรถเงียบๆ  ไม่หันกลับไปมองคนข้างๆอีก  แต่ก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังร้องไห้ 

“ใกล้จะถึงโรงพยาบาลแล้ว    หยุดร้องเถอะเต”  เขาหยิบทิชชูส่งให้    วนหาที่จอดรถเรียบร้อย  หันไปมองคนข้างๆนั่งน้ำตาคลอ  จมูกแดงก่ำ   ก็ถอนหายใจยาว 

ใช่ว่าคนอย่างเขาจะควบคุมอารมณ์ตัวเองได้เสมอไป  เขาก็อยากร้องไห้ออกมาดังๆเหมือนกัน  ถ้าขืนยังนั่งมองหน้ากันอยู่แบบนี้ต่อไปล่ะก็...

“ทำไมพี่ต้องทำแบบนี้กับเตด้วย”  ติณธรพูดเสียงเครือ

“แล้วทำไมนายถึงยังเรียกแทนตัวเองว่าเต เวลาที่พูดกับพี่ด้วยล่ะ  ทำไมนายถึงนิ่งให้พี่จูบ  ทำไมนายถึงมาหาพี่เป็นคนแรก....เต   ตอบพี่มาทีสิว่าทำไม”   ดิมจบประโยคด้วยน้ำเสียงห้วนๆ

คนฟังอึ้ง   ไม่ยอมตอบ  หันไปเปิดประตูก้าวลงจากรถแล้วเดินกลับเข้าไปภายในโรงพยาบาลโดยไม่รอเขา   รดิศอยากจะสบถออกมาดังๆ  รู้สึกพลุ่งพล่านไปหมด  เขารีบลงจากรถแล้วเดินตามอีกฝ่ายเข้าไปทันกันที่ลิฟต์  คุณหมออาศัยความเร็วแทรกตัวเข้าไปทันก่อนที่ประตูลิฟต์จะปิดพอดี

ภายในลิฟต์มีเพียงแค่พวกเขาสองคน

ตั้งเตไม่ได้ร้องไห้แล้ว  แต่นัยน์ตาแดงก่ำนั้นเห็นเส้นเลือดชัดเจนฟ้องอยู่ในตัวว่าไม่กี่นาทีมานี้ได้ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก   เขายืนงอตัวน้อยๆ นิ่วหน้าจนไม่อาจรอดสายตาของแพทย์ไปได้

“เป็นอะไรไป  ปวดท้องหรอ”  นายแพทย์หนุ่มถามทันที   เปลี่ยนความตั้งใจเดิมที่ต้องการจะคาดคั้นเอาความในใจจากตั้งเตให้ได้เป็นการซักถามอาการปวดท้องของอีกฝ่ายแทนด้วยความเป็นห่วง   นักเขียนส่ายหน้า 

“ปวดนิดหน่อย  ไม่ได้เป็นอะไร”  ปากบอกนิดหน่อย  แต่เหงื่อที่ซึมอยู่ตามขมับและไรผมก็บอกชัดว่าเจ้าตัวคงจะไม่ได้แค่ปวด ‘นิดหน่อย’ อย่างที่พูด

“ปวดตรงไหน  ขอพี่ดูหน่อยได้มั้ย”  ดิมก้าวเข้าไปหา   ทว่าอีกฝ่ายกลับถอยจนแผ่นหลังแนบกับผนังลิฟต์

“ไม่ต้อง...เดี๋ยวก็หายเอง.....ดีขึ้นแล้ว”  เตพูดพร้อมกับยืดตัวขึ้น  เอามือดันแผ่นอกของอีกฝ่ายให้ถอยออกไป  ลิฟต์จอดที่ชั้นที่ต้องการพอดี  พวกเขาก้าวออกมาจากลิฟต์

            “เต    ถ้าเจอเต้แล้ว  พี่ขอเวลาคุยด้วยก่อนครู่เดียวได้มั้ย”   นายแพทย์หนุ่มเอ่ยถาม   ติณธรยังไม่ได้ตอบ  เขาเดินมาถึงหน้าห้องพักของภรรยา  เคาะประตูแล้วเปิดเข้าไปภายใน  ได้ยินเสียงเด็กชายหัวเราะพร้อมกับร่างกลมป้อมวิ่งเข้ามาหา

            “คุณพ่อ  มาแล้ว”  เตก้มลงกอดรัดร่างนั้นแน่น  รู้สึกโล่งอกโล่งใจจนอยากหัวเราะออกมาดังๆ   ลูกพ่อ....นึกว่าโดนลักพาตัวไปเรียกค่าไถ่เสียแล้ว....เงยหน้าขึ้นมองร่างสูงโปร่งของเจ้านาย  ต้นเหตุที่แท้จริงที่ทำให้หาเด็กชายเต้ไม่เจอนั้นยืนยิ้มทำหน้าสำนึกผิดอยู่ข้างๆ 

            “ขอโทษด้วยจริงๆคุณเต  ผมสะเพร่าเองที่ไม่โทรบอกคุณก่อน  ตอนแรกกะว่าจะเซอร์ไพรซ์คุณ  แต่รถมันติด  ก็เลยกลับมาไม่ทัน  คุณออกไปรับเต้เสียก่อน    คุณคงตกใจแย่  ขอโทษด้วยนะครับ” ภาคย์พูดเสียงอ่อนอย่างรู้สึกผิด  เห็นอีกคนตาแดงก่ำเหมือนเพิ่งผ่านการร้องไห้อย่างหนักมาก็ยิ่งเสียใจ

            “ไม่เป็นไรครับ  แค่เต้ยังอยู่ผมก็โอเคแล้ว   ต้องขอบคุณคุณหมอด้วยที่ช่วยตามหา”  เตหันไปพูดกับ ‘คุณหมอ’  สบตากันแวบเดียวก็เมินผ่าน 

            จาก ‘พี่ดิม’ กลายเป็น ‘คุณหมอ’ เสียแล้ว เมื่ออยู่ต่อหน้าบุคคลที่สาม  รดิศคิดในใจ  ยิ้มนิดๆอย่างขมขื่น

            “ตังล่ะ  เป็นไงบ้าง  ทานข้าวเย็นหรือยัง”  ตั้งเตลุกขึ้นจากพื้น จูงมือลูกชายไปที่เตียงของน้องสาว  เธอส่งยิ้มให้เซียวๆ  เหลือบมองไปยังคุณหมอหนุ่มแวบหนึ่ง

            “ทานแล้วค่ะ  รอพี่เตนั่นแหละ  ตังอยากกินเค้กจะแย่อยู่แล้ว   ตังกินเค้กได้ใช่ไหมคะคุณหมอ”  ประโยคหลังเธอหันไปถามคุณหมอเจ้าของไข้   ชายหนุ่มก้มศีรษะรับ

            “ได้ครับคุณตัง   ตามสบาย”

          “คุณหมออยู่ทานเค้กด้วยกันก่อนสิคะ  วันนี้วันเกิดพี่เต”   เจ้าของวันเกิดขยับจะท้วง  รู้สึกผิดหวังที่เห็นอีกฝ่ายทำหน้าประหลาดใจราวกับไม่รู้มาก่อนว่าวันนี้เป็นวันเกิดของเขา.....เค้าลืมไปแล้วสินะ   ใช่สิ  เราไม่ได้สำคัญขนาดนั้นหรอก    เค้าคงจะจำได้แต่วันเกิดของคุณหมอเด็ก แฟนของเขานั่นล่ะ...

            “อ้าว  หรอครับ...สุขสันต์วันเกิดนะครับ คุณเต”  ชายหนุ่มหันไปบอกยิ้มๆ   ด้วยมารยาทแบบที่คนรู้จักกันห่างๆจะพึงกระทำ   คนรับเม้มปาก พยักหน้ารับ  พึมพำขอบคุณเสียงเบาแทบไม่ได้ยิน

            “มาแล้วคร้าบ  แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู   แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู  ......”  ภาคย์ถือเค้กที่จุดเทียนสว่างไสวเดินเข้ามาหา   เตหันไปมอง  หน้าเค้กถูกตกแต่งด้วยตัวอักษรและรูปหน้าคน   เป็นรูปของเขา ข้าวตัง  เต้  ยืนจับมือกันอยู่ตรงกลางในวงล้อมรูปหัวใจสีชมพู

            ชายหนุ่มน้ำตาคลอ  เขายกมือขึ้นพนม  อธิษฐานในใจอยู่นานก็ลืมตาขึ้น  เป่าแรงๆจนเทียนดับพรึบพร้อมกันทุกเล่ม

            “อธิษฐานอะไรหรอคะพี่เต”    น้องสาวเอ่ยถาม  พี่ชายอมยิ้ม แล้วก้มลงไปจุมพิตที่หน้าผากของเธอ

            “ไม่บอกจ้ะ  เดี๋ยวไม่เป็นจริง”  กระซิบเสียงนุ่ม จากนั้นก็หันไปหอมแก้มลูกชายคนเดียว  ภาคย์จับตามองภาพนั้นยิ้มๆ  เขามีความสุขที่ได้เห็นรอยยิ้มปลาบปลื้มของเตในวันนี้    เจ้าของวันเกิดหันมาเห็นรอยยิ้มของเขาเข้าพอดี

            “ขอบคุณนะครับ คุณภาคย์ เค้กน่ารักมาก  ขอบคุณมากจริงๆฮะ”  เตพนมมือไหว้เขา   ภาคย์หัวเราะ

            “ไม่ต้องไหว้ๆ  ผมไม่ได้แก่กว่าคุณขนาดนั้นหรอกนะ  หึๆ  เอาล่ะ ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกหน่อย”  ชายหนุ่มล้วงโทรศัพท์ขึ้นมา  ขณะที่ใครอีกคนที่ยืนมองอยู่ห่างๆนานแล้วรีบพูดอาสา

            “ผมถ่ายให้ครับ”   ภาคย์ชะงัก  แต่ก็ส่งโทรศัพท์มือถือให้อีกฝ่ายแต่โดยดี   จากนั้นก็ถอยเข้าไปร่วมเฟรมกับคนที่เหลือ    ข้าวตังร้องเรียกคุณหมออย่างเกรงใจ

            “อุ้ย  ไม่เป็นไรค่ะคุณหมอ  เกรงใจคุณหมอ”

          “ไม่เป็นไรครับ  ผมยินดี  1 2 3 ยิ้ม”   รดิศกดถ่ายรูปให้หลายรูป  จากนั้นก็ส่งโทรศัพท์มือถือคืนให้เจ้าของ   เขาหันไปบอกทุกคนยิ้มๆ  ไม่ได้เจาะจงใครเป็นพิเศษ

            “ผมกลับก่อนนะครับ  พอดีมีธุระต่อ   เอ่อ  คุณเต...มีความสุขมากๆนะครับ”  ประโยคหลังเขาพูดกับเจ้าของวันเกิดโดยที่ไม่ได้สบตา   แล้วร่างสูงสมส่วนก็รีบเดินออกจากห้องไปเสียเฉยๆ

            เตเม้มปาก  มองตามจนลับสายตา  นึกน้อยใจจนน้ำตาเกือบจะไหลออกมาอีกรอบ....วันเกิดของเขา  จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร  แต่แค่อยู่ทานเค้กด้วยกันก่อนแค่นี้ ก็ไม่ได้เลยใช่มั้ย....รู้อยู่แล้วว่า ธุระที่อีกฝ่ายบอกมันเป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้นเอง 

            “คุณหมอคงมีธุระรีบจริงๆ  พี่เตทานเค้กกันค่ะ”  ข้าวตังเรียกเขาเอาไว้  เตกลับไปร่วมวงด้วย   ภาคย์สั่งอาหารจากห้องอาหารโรงแรมหรูให้มาส่งถึงห้อง  เพื่อที่หญฺิงสาวจะได้ทานด้วยได้  ทำให้เตซึ้งในน้ำใจของอีกฝ่ายที่คิดถึงคนรอบข้างของเขาด้วย 

            ไม่มีใครรู้ว่าผู้ชายคนที่ขอตัวกลับไปก่อนนั้น  เขาไม่ได้ไปไหนไกลเลย  ทว่ายังคงยืนพิงกำแพงข้างประตูห้องอยู่นั้นเอง   ท่ามกลางวอร์ดที่เงียบสงัด  มีเพียงห้องของดาวประดับเท่านั้นที่ได้ยินเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะดังออกมาแว่วๆ...เสียงแห่งความสุข

            วันนี้เขาเพิ่งได้เห็นตั้งเตยิ้มอย่างเต็มที่ก็ตอนที่ก้มลงกอดเต้ และเห็นเค้กของภาคย์นั่นเอง   ใบหน้าเรียวยิ้มหวานราวกับกลับไปเป็นเด็กหนุ่มเมื่อหลายปีก่อน   แววตาแวววาวเป็นประกาย คงลืมเรื่องที่ปวดท้องและอะไรก่อนหน้านี้เสียสิ้น

            เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกทนไม่ได้....ทนยืนยิ้มอยู่ในห้องนั้นราวกับเป็นหุ่น หรือไม้ประดับอะไรสักอย่างที่อยู่ตามมุมห้องไม่ไหว   ทนมองเห็น ‘ครอบครัว’ ที่อบอุ่น พ่อแม่ลูก  รวมถึงผู้ชายอีกคนที่ดูจะเข้ากับครอบครัวของเตได้ดีจนกลายเป็นส่วนหนึ่งอย่างไม่เคอะเขิน    ขณะที่เขาได้แต่ยืนอยู่วงนอก  มองดูคนที่เขารักยิ้ม หัวเราะมีความสุขกับคนอื่น ที่ไม่ใช่เขา

            มันเจ็บลึกๆอยู่ในอก  คล้ายกับมีอะไรแหลมๆค่อยๆแซะเข้ามาผ่านผนังหัวใจของเขาทีละน้อย  ยิ่งตอนที่อาสาถ่ายรูปให้นั้น   เขารู้สึกว่า ตนเองได้กลายเป็นส่วนเกินของชีวิตอีกฝ่ายอย่างแท้จริง

            เตพูดถูก....เราเดินมาไกลมากเกินไป   ไกลจนต่างคนต่างมีทางเดินของตัวเอง   จะย้อนกลับก็ลำบาก   เตมีครอบครัวที่อบอุ่น  เค้ามีความสุขดีแล้วโดยปราศจากเรา

            น่าขันตรงที่เมื่อหลายเดือนก่อน  เขาเป็นฝ่ายคิดทะนงตนไปเองว่า อีกฝ่ายคงอยู่อย่างไม่มีความสุขนักหรอก ถ้าไม่มีเขาอยู่ด้วย   ทว่าในตอนนี้มันกลับตาลปัตร   จูบเมื่อครู่ก็บอกชัดว่าเขาแพ้เตราบคาบ   

คำตอบที่เขาเคยอยากรู้เหลือเกินเมื่อหลายปีก่อน  ครั้นได้คำตอบมาแล้ว มันกลับทำให้เขาเจ็บปวดทรมานยิ่งกว่าเดิมเสียอีก   ถ้ารู้แบบนี้ เขาคงไม่กลับ  คงไม่เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้อาการของเขาทรุดหนักลงไปกว่าเดิมจนเกินความสามารถที่จะเยียวยา

            เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะอยู่ต่อไปได้อย่างไรและเพื่อใคร

            ก็ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นเหมือนที่หมายในชีวิตมาตลอด   ถึงแต่ก่อนจะไม่ยอมรับ  ปฏิเสธหัวชนฝาว่าหมดรักไปแล้ว  เหลือเพียงความแค้นฝังหุ่น อยากจะแก้แค้นเพียงอย่างเดียวเท่านั้น   ถึงกระนั้นในใจของเขาก็รู้ดีว่าแท้จริงแล้ว  เขาไม่เคยโกรธอีกฝ่ายได้จริง   ทุกอย่างในชีวิตของเขาที่ผ่านมา  ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับผู้ชายผมหยิกหยองคนนั้นไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

            ไม่ใช่เพราะผู้ชายคนนี้หรอกเหรอ  ที่ทำให้เขาเลือกเรียนผ่าตัดหัวใจ  กัดฟันเรียนในสาขาที่ยากแสนยากชนิดน้อยคนนักจะสามารถเรียนได้  ไม่ใช่คนๆนี้หรอกหรือที่ทำให้เขาอยากที่จะกลับมาประเทศไทยนักหนาทั้งที่อยู่ที่อเมริกาเขาสามารถทำรายได้มากกว่าล้านเหรียญต่อปีด้วยซ้ำ

            ไม่ใช่เพราะตั้งเตหรอกเหรอ  ที่ทำให้เขาไปไหนไม่ได้เสียที  กลายเป็นคนป่วยเรื้อรังทางใจมาตลอด 8 ปีแบบนี้ 

เตบอกให้เขาตัดใจ  แต่จะทำอย่างไรได้  เขาเป็นหมอ  มีหน้าที่รักษาหัวใจ  เขาจะไปตัดหัวใจตัวเองทิ้งได้อย่างไร   มันสุดฝีมือของเขาที่จะช่วยเหลือตัวเองให้หายแล้ว  หมดใจที่จะรักษาตัว

คงต้องปล่อยให้อาการกำเริบหนักจนทนไม่ไหว ขาดใจตายไปเองกระมัง  ถึงจะหายขาดจากโรคที่เกิดจากความผูกพันทางใจนี้ได้เสียที

ชายหนุ่มลากขากลับมาถึงห้องทำงานของตัวเองจนได้   ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ประจำอย่างเหนื่อยอ่อน   หางตาเหลือบเห็นกล่องสี่เหลี่ยมใบเล็กที่วางแอบอยู่บนโต๊ะข้างกรอบรูปกรอบนั้น....ของขวัญที่เขาเตรียมเอาไว้ให้ใครบางคนในวันเกิด  อุตส่าห์ลางานเพื่อหาโอกาสจะนำไปมอบให้ตั้งแต่เช้า....เขาอยากเป็นคนแรกที่ให้ของขวัญ แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว

เขาไม่กล้าเดินเข้าไปหาเต   ไม่รู้ว่าเพราะอะไร

ชายหนุ่มเอื้อมมือไปหยิบขึ้นมาเปิดออกดู

แสงไฟจากหน้าต่างข้างนอกสะท้อนเข้ากับหน้าปัดสีเงินแวววาว  กระจกแก้วใสไร้รอยแตกร้าวเพราะเขาส่งซ่อมมาเรียบร้อยแล้ว  สายหนังสีน้ำตาลเข้มถูกขัดถูและเคลือบเงาเหมือนใหม่  เข็มนาฬิกากลับมาเดินอีกครั้งเป็นจังหวะ บอกเวลาสี่ทุ่มตรง

รดิศยกนาฬิกาขึ้น  พลิกดูด้านหลัง มีตัวอักษรสลักเอาไว้แทนใจ   อดนึกถึงวันที่มอบให้คนๆนั้นขึ้นมาไม่ได้...ก้มลงจุมพิตที่หน้าปัดเบาๆ  ความเย็นชื้นที่สัมผัสริมฝีปากพาให้นึกถึงความอบอุ่นอ่อนนุ่มที่เรียวปากของใครอีกคน  ไม่มีอีกแล้ว....เขาหมดใจที่จะสู้ต่อ   มองไม่เห็นเลยว่าเราสองคนจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อย่างไร

มันสายเกินไป   ไม่มีประโยชน์ที่จะดิ้นรน

น้ำตาลูกผู้ชายไหลอย่างสุดกลั้น   ชายหนุ่มซบใบหน้าลงกับท่อนแขน   ปล่อยให้เสียงสะอื้นลอดออกมาดังๆ อย่างไม่กลัวใครจะได้ยิน 

นาฬิกาเรือนเก่ากลับมาบอกเวลาเที่ยงตรงได้อีกครั้งเหมือนกับหัวใจของเขาที่จำต้องยอมรับกับตัวเองเงียบๆว่า....เขาไม่อาจรักใครได้อีก  นอกจากเจ้าของนาฬิกาเรือนนี้  คนเดียวเท่านั้น

....................................................................

ต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk


ต่อนะคะ






“เดี๋ยวผมเอาขยะไปทิ้งข้างนอกห้องดีกว่า  เกรงใจแม่บ้านเค้า”  ชายหนุ่มเจ้าของวันเกิดรวบรวมเศษอาหารและกล่องเค้กกล่องขนมใส่ถุงดำใบใหญ่ มัดปากถุงเรียบร้อยเตรียมเอาออกไปทิ้ง โดยมีเจ้านายร่างสูงโปร่งคอยช่วยอยู่ด้วยไม่ห่าง 

“ผมเอาไปทิ้งเองดีกว่า  คุณอยู่ที่นี่แหละ”  ภาคย์ฉวยเอาถุงขยะมาถือเอาไว้เสียเอง  แต่อีกฝ่ายไม่ยอม ดึงคืนกลับมา

“ได้ยังไง  คุณภาคย์อุตส่าห์เลี้ยงข้าว  ยังจะไปทิ้งขยะให้อีกเหรอ   คุณนั่งนี่แหละฮะ  เดี๋ยวผมมา   ข้าวตังเอาอะไรมั้ย พี่จะแวะเซเว่นก่อนขึ้นมา  เต้ล่ะลูก”   หญิงสาวส่ายหน้าปฏิเสธ  ส่วนลูกชายคนเดียวรีบฝากซื้อน้ำอัดลมทันที  คนเป็นพ่อจุ๊ปาก

“ไม่ได้   เดี๋ยวพ่อซื้อน้ำผลไม้ให้ดีกว่า  เอะอะก็จะกินแต่น้ำอัดลม  กัดกระเพาะแถมอ้วนด้วย”  เด็กน้อยหน้าม่อยไปนิดหนึ่ง  ภาคย์หัวเราะ  เอ่ยปลอบใจ

“เอาอย่างนี้   เดี๋ยวลุงซื้อช็อคโกแลตมาให้  ดีไหมครับ”  เต้พยักหน้า รีบยกมือไหว้

“เพิ่งกินเค้กไป  จะกินขนมอีกเหรอ  ไม่ต้องหรอกครับ”  คนเป็นพ่อท้วง

“นิดหน่อยเองน่าคุณ  เด็กกำลังโต  เค้ากินได้ก็ปล่อยให้เค้ากินไปเถอะ....ถ้าอย่างนั้นผมไปด้วยนะ   จะได้ซื้อของมาฝากเต้ด้วย”   ภาคย์พูดยิ้มๆ  ฉวยถุงขยะกลับคืนมาแล้วเปิดประตูออกจากห้องไป  ตั้งเตเม้มปาก  หงุดหงิดไม่น้อยที่อีกฝ่ายสปอยลูกชายของตนเอง   แต่ก็ไม่รู้จะพูดยังไง  หันไปมองหน้าแป๋วแหววของลูกก็เอ็นดู   สุดท้ายก็ต้องตามใจอีกเหมือนเคย

หญิงสาวบนเตียงคนไข้มองตามหลังร่างของชายหนุ่มทั้งสองคนที่เปิดประตูห้องเดินออกไป  เธอถอนหายใจยาว  กวักมือเรียกลูกชายให้มานั่งข้างๆ  โน้มตัวลงกอดร่างกลมป้อมเอาไว้แน่น

“เต้  วันหลังถ้ามีคนอื่นไปรับที่โรงเรียน...ที่ไม่ใช่พ่อหรือแม่  หนูอย่ามากับเขานะลูก  พ่อกับแม่ไม่เคยให้ใครไปรับหนูแทนนะคะ   ถ้าวันไหนให้ใครไปรับแทนก็จะบอกก่อน  ไม่ก็โทรบอกคุณครูเอาไว้  เข้าใจมั้ยลูก”  เด็กชายพยักหน้ารับ   เธอรู้ว่าเขาเข้าใจที่เธอพูด  เต้เป็นเด็กฉลาดเฉลียวและเลี้ยงง่าย   เป็นโชคของเธอที่มีลูกน่ารัก

ยกมือขึ้นลูบศีรษะทุยที่มีเส้นผมดำสลวยเหมือนเธอเบาๆ  คิดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปเมื่อครู่นี้....สายตาของนายแพทย์หนุ่มที่เธอเหลือบไปเห็นเข้าพอดี    แววตาที่ชายหนุ่มผู้นั้นใช้มองพี่เตมันทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ   มันเป็นแววตาของคนที่หมดหวังอย่างแท้จริง  เหมือนมองสิ่งที่สุดเอื้อม  เกินความสามารถที่จะไขว่คว้ากลับมาได้แล้ว   ครั้นจะตัดใจก็ทำไม่ได้   ได้แต่อาลัยอาวรณ์อยู่นั่นเอง

สงสารเหลือเกิน....สิ่งที่คุณหมอหน้าเข้มคนนั้นเจอคงเต็มไปด้วยความผิดหวังและน้ำตา   ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนที่เธอใช้ความสงสารของพี่เตชิงอีกฝ่ายมาเงียบๆ จนมาถึงบัดนี้  ที่เธอก็ยังคงยึดพี่เตเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่นด้วยคำว่าหน้าที่และความรับผิดชอบ  ทั้งที่ความจริงแล้วเค้าไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยเลย

ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน  เธอเชื่อว่าตัวเองเข้าใจความรู้สึกของฝ่ายนั้นและพี่ชายตัวเองดี   ทั้งคู่ต่างเจ็บปวดไม่แพ้กัน   ไม่มีใครเลยที่รอดพ้นความทรมานใจไปได้  แม้แต่เธอ...ที่รู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีวันที่พี่เตจะเป็นของเธอได้จริง   ต่อให้ไม่มีแฟนเก่าโผล่กลับมา  ต่อให้ไม่มีคุณภาคย์   หัวใจของพี่เตมีที่ให้เธอยืนในตำแหน่งน้องสาวแค่นั้น

            เหมือนกับที่คุณภาคย์เป็นได้แค่คนรู้จัก  มากสุดก็คือ พี่ชาย  นั่นแหละ

            ชายหนุ่มที่เดินตามหลังคนผมหยิกหยอยมาตามทางเดินเงียบๆก็กำลังคิดถึงเรื่องนี้อยู่เช่นกัน    เขาอยากจะเชื่อว่าตัวเองเข้าใกล้เตได้อีกก้าวหนึ่งแล้ว  แต่ก็เหมือนเตก้าวถอยหลังไปสองก้าว   ทำให้ระยะห่างระหว่างเราเพิ่มมากขึ้นหนึ่งก้าว  ทั้งๆที่เขาตั้งใจเต็มที่แล้ว

            “คุณเต...นั่งเล่นตรงนี้สักครู่ดีไหมครับ  ลมเย็นดี”  ตรงนี้หมายถึงเก้าอี้บริเวณสวนหย่อมชั้นล่างของโรงพยาบาล  ห่างจากร้านสะดวกซื้อมาไม่ไกลนัก   ติณธรพยักหน้า  ทรุดตัวลงนั่งข้างๆกัน    ยังมีคนเดินผ่านไปผ่านมาบ้างพอสมควร  แต่ก็มีความเป็นส่วนตัวพอที่จะพูดคุยกันได้

            “วันเกิดปีนี้สนุกมาก  ขอบคุณมากนะครับ  คุณภาคย์”  เตพูดสั้นๆออกมาจากใจ   เป็นวันเกิดที่แปลกที่สุด  ไม่ใช่เพราะจัดที่โรงพยาบาลอย่างเดียวเท่านั้น  แต่เป็นเพราะคนที่มาร่วมงานต่างหาก....แขกที่ไม่ได้รับเชิญ ทว่าทำให้เขาดีใจและเสียใจไปพร้อมๆกัน 

            “คุณเตชอบ ผมก็ดีใจ....เค้กเจ้านี้อร่อยมั้ยฮะ”  ภาคย์อยากจะเขกหัวตัวเองที่ปากเจ้ากรรมดันหลุดคำถามอะไรไม่รู้ออกไป ทั้งที่ความจริงสิ่งที่เขาอยากรู้  ไม่ได้ใกล้เคียงกับรสชาติของเค้กหรืออาหารวันนี้เลยสักนิด

            “อร่อยดีนะ  ผมไม่เคยกินร้านนี้  เคยแต่ขับรถผ่าน....อาหารก็อร่อยมาก”  เตตอบแค่นั้นแล้วก็นิ่งไปอีก...เรียกว่าถามคำตอบสองคำจะได้ไหมนะ....เขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่   หวังว่าจะไม่ใช่เรื่องที่เขาคิดอยู่หรอกนะ  ชายหนุ่มเม้มปาก  ลอบถอนหายใจยาวด้วยความอึดอัด

            ไม่ใช่ไม่รู้   ไม่ใช่ไม่ได้สังเกต...แรกเห็นเตตอนที่เปิดประตูเข้ามาภายในห้องนั้นเขาก็สังเกตเห็นดวงตาแดงช้ำนั้นทันที  ไหนจะเสื้อเชิ้ตตัวใหญ่ที่อีกฝ่ายใส่อยู่นี่ก็อีก  ไม่ใช่ของเจ้าตัวแน่ๆ  ที่ร้ายที่สุดก็คือ  นักเขียนของเขามาพร้อมกับผู้ชายคนนั้น!  เวลาสองชั่วโมงที่เขาติดอยู่บนถนนด้วยความไม่รอบคอบของตัวเอง  ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับชายหนุ่มคนข้างๆ

            “วันนี้ต้องขอโทษอีกทีนะคุณเต  ที่ทำให้ตกใจ  ผมสะเพร่าเองก็เลยเกิดเรื่องขึ้น....คุณคงเป็นห่วงเต้มาก   แล้วไปเจอคุณหมอดิมได้อย่างไรฮะ”  ตัดสินใจถามตรงๆแบบนี้ล่ะ    คนฟังขยับตัวนิดหน่อย  ตอบเรียบๆ

            “หมอดิมช่วยผมตามหาเจ้าเต้....ตอนแรกผมเข้าใจผิด  นึกว่าเต้ไปกับคุณหมอ”  ประโยคขยายความของนักเขียนหนุ่มทำให้อีกฝ่ายชะงัก

            “ทำไมถึงนึกว่าเต้ไปกับคุณหมอล่ะครับ”  ถามไปแล้วก็รู้สึกว่าเป็นการละลาบละล้วงอีกฝ่ายมากไปหรือเปล่า  มองหน้าก็เห็นคนฟังทำหน้าเครียดขึ้นนิดหนึ่งเลยรีบบอก “ไม่ต้องตอบก็ได้นะฮะ  ขอโทษด้วยที่ถามอะไรที่ทำให้คุณไม่สบายใจ”

          “เปล่าหรอก  ผมกำลังคิดอยู่ว่าจะตอบยังไงดี   คือ....ความจริงแล้ว...คุณหมอดิมเค้าเคย....เคยเอ้อ  เคยรู้จักกับผมมาก่อน  นานแล้วตั้งแต่สมัยยังเรียนมหาวิทยาลัย   แล้วเค้าก็เลยรู้จักเต้ด้วย  เอ่อ  ตอนนี้เค้าก็รักษาข้าวตังอยู่  ผมก็เลยนึกว่าเค้าจะไปรับเต้มา  ประมาณนี้”  ตั้งเตรวบรัด   เปลี่ยนใจไม่อยากเล่าให้อีกฝ่ายฟัง

            ภาคย์ถอนหายใจยาว  ก้มหน้าครู่หนึ่งแล้วก็เงยหน้าขึ้นหัวเราะออกมาดังๆจนคนแถวนั้นหันมามอง

            “ฮ่าๆ  แบบนี้นี่เอง  ฮ่าๆ”

          “คุณหัวเราะทำไม  มีอะไรน่าขำเหรอ”  เตงง

          “เปล่า  ความจริงผมอยากทำตรงข้ามต่างหาก”  เขาหยุดหัวเราะแล้วลุกขึ้นยืน   ก้มลงมองคนที่นั่งอยู่ตรงหน้านิ่ง   พูดเสียงต่ำ  “คุณเต  ผมขอถามคุณคำถามเดียวเท่านั้น   ขอให้คุณตอบตามความจริง   จะได้ไหม”

          นักเขียนหนุ่มขมวดคิ้ว  แววตาของคนพูดเปลี่ยนเป็นจริงจังและเคร่งขรึมแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน   เขาพยักหน้ารับ  อยากรู้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายจะถามว่าอะไร

            “เย็นวันนี้  ตอนที่เต้หายไป....คุณคิดถึงผมบ้างมั้ย   แค่แวบหนึ่งก็ยังดี....ที่คุณคิดว่าควรจะโทรหาผม  หรือนึกขึ้นได้ว่ามีนัดกับผมอยู่”

            ติณธรอึ้ง  คำตอบฟ้องอยู่บนสีหน้าและแววตาจนคนถามรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจ   ความเข้าใจของเขาถูกต้องแล้ว....เตไม่เคยมีเขาอยู่เลยแม้เพียงสักนิด  ในเวลาที่เดือดร้อนหรือทุกข์ใจ  อีกฝ่ายไม่เคยนึกถึงเขา

            เหมือนกับที่เตไม่ไว้ใจเขามากพอที่จะเล่าเรื่อง คุณหมอคนนั้นให้เขาฟัง  แต่เลือกที่จะบอกว่าเคยรู้จักกันมาก่อนเท่านั้น....

            ทำไมถึงยากนักนะ   ขอแค่เศษเสี้ยวของหัวใจเอง  ก็ยังไม่ได้เลยงั้นหรือ....ภาคย์ยิ้มกับตัวเองนิดๆ    เขาเอื้อมมือไปหยิบถุงขนมที่เพิ่งซื้อมาถือเอาไว้  พูดแบบไม่มองหน้า

            “ขึ้นไปกันเถอะ   คุณตังกับเต้คงรอแย่แล้ว”  พูดจบก็ออกเดินนำเข้าไปในลิฟต์    อีกฝ่ายเดินตามมาเงียบๆ  ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรกันอีกจนกระทั่งกลับมาถึงห้องพักของหญิงสาว    เขาเอ่ยปากขอตัวกลับก่อน

            เตก็ไม่ได้รั้งเอาไว้ 

            “หายเร็วๆนะฮะคุณข้าวตัง   ลุงไปก่อนนะเต้   แล้วพบกันครับ”  ประโยคสุดท้ายที่เขาพูดกับนักเขียนหนุ่มรุ่นน้อง ก่อนที่จะเปิดประตูเดินออกมา  ภาคย์ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่านั่นจะเป็นประโยคสุดท้ายจริงหรือเปล่า

            เขาแค่สับสน   ต้องการถอยกลับมาทบทวนอีกครั้งถึงเรื่องราวทั้งหมดและความรู้สึกในใจ ....ความรู้สึกแน่นๆนี้คือความผิดหวังใช่ไหม   เป็นสิ่งเดียวกับที่เรียกว่า อกหัก  ใช่หรือเปล่า

            ถึงเตจะไม่ได้ปฏิเสธเขาออกมาตรงๆ  แต่แค่นั้นก็เกินพอแล้ว....เวลาสองปีกว่า  เป็นความสัมพันธ์ที่ยาวนานเมื่อเทียบกับความสัมพันธ์ของคนในอดีตของเขาที่เคยผ่านมา  แต่ไม่มากเลยเมื่อเทียบกับของใครอีกคน....จู่ๆเขาก็รู้สึกเห็นใจคุณหมอดิมขึ้นมาบ้างเล็กน้อย

            แล้วเขาควรทำอย่างไรต่อไป  จะคอยตามดูแลเตอยู่อย่างนี้  วางตัวเป็นทั้งเจ้านายทั้งเพื่อนที่แสนดีต่อไปหรือ

            ความจริงเขาไม่หวังได้เตมาครอบครองตั้งแต่แรก  มันเป็นไปไม่ได้ในเมื่ออีกฝ่ายมีพันธะผูกพันอยู่แน่นหนา  แถมเขาเองพอได้รู้จักกับทั้งข้าวตังและเต้แล้ว ก็อดที่จะรักเอ็นดูเหมือนเป็นน้องสาวและหลานชายอีกคนไม่ได้   เขาจึงต้องการแค่อยู่ข้างๆเต    เป็นที่ปรึกษา   เป็นคนแรกที่เตนึกถึงเมื่อมีปัญหา....ต้องการกอดร่างโปร่งบางเอาไว้ในอ้อมแขน  สัมผัสริมฝีปากอิ่มเต็มที่คงจะนุ่มละมุนที่สุด  สูดกลิ่นหอมอ่อนๆเฉพาะตัวให้ชื่นปอด....ลืมตาตื่นขึ้นมาเห็นใบหน้าเรียวพร้อมรอยยิ้มหวานเป็นคนแรก และได้รับจุมพิตเบาๆที่หน้าผากเป็นสิ่งสุดท้ายก่อนเข้านอน

            อะไรคือความต้องการที่แท้จริงของเขากันแน่?  ความรู้สึกของเขาที่มีต่ออีกฝ่ายมันลึกซึ้งถึงเพียงไหน   เขาก็ยังตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกัน...รู้แค่ตอนนี้เขาเจ็บปวดเหลือเกินกับความจริงที่ว่า  เขาควรถอยออกมาจากติณธรได้เเล้ว

            ...............................................................................

            ผู้ชายที่กำลังอยู่ในความคิดคำนึงของใครหลายๆคนก็กำลังคิดพะวงถึงเรื่องหัวใจอันแสนยุ่งเหยิงของตนเองอยู่เช่นกัน  แม้จะบอกตัวเองเป็นรอบที่ล้านแปดว่า  เขาเลือกเส้นทางที่จะเดินเคียงข้างผู้หญิงและเด็กชายไปแล้ว  ทว่าในใจก็ไม่วายคิดกลับไปกลับมาอยู่นั่นเอง

            ทำไมเส้นทางที่ถูกต้อง  ถึงพ่วงมากับความทุกข์ขนาดนี้ล่ะ  เขาไม่มีความสุขเลยซักขณะจิตเดียว  ลองข่มตาลงเพื่อเข้าสู่นิทราก็หาสำเร็จไม่   ดวงตาคมซึ้งแกมตัดพ้อของใครบางคนคอยแต่จะตามหลอกหลอนอยู่ทุกครั้งที่หลับตา

            พี่ดิม....ขอโทษด้วยที่ผมทำให้พี่เสียใจอีกแล้ว   แต่ผมก็ไม่รู้จะทำอย่างไร   อีกไม่นานพี่ก็จะทำใจได้แล้วก็ลืมเรื่องนี้ไปเอง   พี่มีคนที่รักพี่  พร้อมที่จะดูแลพี่อยู่แล้ว   เราควรปลดห่วงความสัมพันธ์อันยาวนานนี่ทิ้งเสีย  แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่จริงๆเสียที

            เขาลุกขึ้นจากโซฟา   ห้องพักผู้ป่วยมืดสลัว   แสงไฟจากด้านนอกลอดผ้าม่านหนาหนักเข้ามาได้เพียงลางๆ  เห็นร่างของหญิงสาวนอนนิ่งอยู่บนเตียงเคียงข้างกับลูกชายที่กำลังหลับสนิท

            ชายหนุ่มจรดเท้าออกมาจากห้อง   เดินเรื่อยๆมาตามระเบียงที่คุ้นเคยมาแรมเดือน    เขาไม่เคยชอบบรรยากาศของโรงพยาบาลในตอนกลางวันเพราะเกลียดความพลุกพล่าน  ตรงข้ามกับบรรยากาศในตอนกลางคืนที่คล้ายจะเปลี่ยนไปอยู่ในอีกโลกหนึ่ง  เงียบสงัดและหนาวเย็นจนตัวสั่นขึ้นมาเสียเฉยๆ

            หยุดยืนที่สุดระเบียงอีกครั้ง  ที่เดิมที่คืนนั้นเขาได้พบกับใครอีกคนโดยบังเอิญ  เงาในกระจกสะท้อนใบหน้าของตัวเองเหมือนตอนนั้น  ต่างกันตรงที่คืนนี้มีเพียงเขาคนเดียวที่ยืนอยู่

            พี่ดิม.....

       บทสนทนาในรถย้อนกลับมาอีกครั้ง

‘ทำไมพี่ดิมต้องทำแบบนี้กับเตด้วย’

‘แล้วทำไมนายถึงยังเรียกแทนตัวเองว่าเต เวลาที่พูดกับพี่ด้วยล่ะ  ทำไมนายถึงนิ่งให้พี่จูบ  ทำไมนายถึงมาหาพี่เป็นคนแรก....เต   ตอบพี่มาทีสิว่าทำไม’

.....ถ้าเตรู้    เตก็คงไม่ถามพี่หรอก  หรือถึงเตรู้  เตก็จะฝืนทำเป็นไม่รู้อยู่แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ  จนกว่า...จนกว่าอะไรดีล่ะ....จนกว่าเตจะทนไม่ได้เองจะดีไหม 

หรือว่าจนกว่าพี่ดิมจะตัดใจจากเตไปแล้วจริงๆ

            รู้สึกหนาวขึ้นมาอีกจนต้องห่อไหล่ ยกมือขึ้นกอดอกแน่น   ปวดที่ขมับสองข้างตุบๆพร้อมๆกับอาการปวดท้องที่กำเริบขึ้นมาอีกครั้ง  คงเป็นเพราะวันนี้เขาทานอาหารมากที่สุดในรอบปีเลยมั้ง

            ติณธรเริ่มรู้สึกคลื่นไส้  อยากอาเจียนขึ้นมากะทันหัน  แต่ก็ปวดท้องจนก้าวขาไม่ออก  ตาเริ่มพร่าเบลอ  เหงื่อแตกพลั่กตรงข้ามกับความหนาวที่เข้าเกาะกุมจิตใจ   เขาทรุดลงไปนั่งที่พื้น   เส้นเลือดข้างขมับเต้นตามจังหวะหัวใจที่ถี่รัว    ลมหายใจเริ่มเป็นห้วงสั้นๆถี่กระชั้น

            เขาเกิดความกลัวขึ้นมาจับใจ   กำแพงรอบด้านคล้ายบีบเข้าหาตัวราวกับต้องการประทุษร้าย  อากาศเหลือน้อยลงทุกที   เขารู้สึกเหมือนกำลังจะขาดใจตาย  โดยที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลย

            เงาดำๆโผล่วอบแวบที่หางตา  ในช่วงเวลาที่ใกล้จะถึงขีดสุดนั้น  เขารู้สึกได้ถึงวงแขนแข็งแรงอบอุ่นที่ช้อนลอยขึ้นจากพื้นทั้งตัว   ตั้งเตซบใบหน้าลงกับอะไรแข็งๆที่แนบอยู่นั้นแล้วถอนหายใจยาว    ได้ยินเสียงเรียกแว่วๆเป็นชื่อตัวเองมาจากที่ไกลๆ

            น้ำตาไหลซึมออกมาเป็นทาง   สัมผัสอ่อนนุ่มที่บริเวณหน้าผากเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขารู้สึกก่อนที่ทุกอย่างจะดับมืด


            ...................................................................................


มีคนจุดธูปเรียก55555
มาอัพต่อนะคะ  มีใครคิดถึงเรื่องนี้บ้าง
กำลังเจ้มจ้มเลยจร้าา ขออภัยที่หายไปอัพเรื่องอื่นอยู่นาน
ใครอ่าน #แอบลักษณ์  ชั้นอัพตอนจบไปเมื่อคืนนะไปอ่านได้
ส่วนเรื่องนี้ #ดิมเต เราจะกลับมาอัพต่อค่ะ ฮุ่ยเร่ฮุ่ยย
เจอกันตอนหน้า
อย่าลืมกดไลค์เพจเราด้วย  ไว้เรารวมเล่มเมื่อไหร่ใครไลค์เพตจมีส่วนลดนะเออ เอาซี่ๆ
 :katai2-1:
Melenalikefanpage

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
ฝากลิ้งค์นิยายอีกสองเรื่องด้วยนะคะ

Hidden Wood #แอบลักษณ์   (ถึงตอนจบเเล้วเหลือตอนพิเศษเด้อ)


เรื่องที่สอง ยักษ์ยอกรัก #แอบยักษ์ 
เป็นเรื่องที่สองในเซ็ทคนแอบรักนะคะ 


เเนวโรเเมนติกดราม่านะคะ  แต่ว่าจะเบากว่าเรื่องดิมเตเยอะ55555
ใครชอบเเนวนี้สนใจกดเข้าไปอ่านได้น้าาา  ขอบคุณมากค่ะ

อย่าลืมกดไลค์เพจเราด้วย555

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
เศร้าได้ทุกตอนเรื่องนี้


แต่ชอบมากกกกกกกกกกกกก

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
นี่กำลังกลัวว่าเตจะเป็นอะไรร้ายแรงเพราะเห็นปวดท้องบ่อยมาก ส่วนเรื่องรักนี่อีรุงตุงนังมากคนโน้นก็ยื้อ คนนี้ก็อยากกลับมา อีกคนก็คอยตื้อ โอ้ยย ปวดหัวมาก

ออฟไลน์ Naam3

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :3123: :กอด1: :mew4: :mew3: :impress2: :impress2:
ไรท์น่ารักกกๆๆๆๆรอๆๆๆ :mew1:

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
 รอนานมากๆ หลายเดือนเลย คิดว่าจะไม่มาต่อซะแล้ว ดีใจที่ได้อ่านอีก ตอนนี้ซึ้งมากๆ
  รออ่านตอนต่อไป

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ▶August5th◀

  • it was fate
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +184/-2
ชอบเรื่องนี้มาก เดี๋ยวนี้ดราม่าแบบนี้หาอ่านยากมาก
ขอบคุณคนแต่งมากๆ ขอให้แต่งต่อจนจบด้วยน๊า
บอกตรงร้องไห้หลายตอนมากๆ ตอนอ่านไดอารี่นี่ อยู่ๆน้ำตาไหล สงสารทุกคนเลย

แต่ตอนนี้ในเมื่อมีโอกาส ก็ควรทำตามหัวใจตัวเองนะ
ในเมื่อทั้งสองก็ทุกข์มานาน ควรคิดถึงตัวเองและมีความสุขซะที

กลัวเตจะป่วยเป็นอะไรนี่สิตอนนี้ เฮ้อ

ออฟไลน์ Naam3

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
รอๆๆๆๆๆน่าๆๆๆ :กอด1: :3123: :L1: :katai2-1: :mew1: :z3: :z2: :z10: :กอด1:

ออฟไลน์ ่patsaporn

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4339
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +227/-6
เจ็บปวดกับความรักจนบอบช้ำ เตยังมาป่วยอีก ความสุขทำไมมันยากจริง พี่ดิมช่วยน้องเตด้วย
เรื่องนี้หน่วงมากๆ เลยค่ะ อึดอัดแต่ก็สนุกมาก เพิ่งอ่านทัน สงสารทั้งคู่ เจ็บกันมาหลายปี
แต่ความรักเขามั่นคงมากจริงๆ คนรอบข้างทั้งรัลและตังยอมรับเถอะนะ ทำใจซะ
เอาใจช่วยน้องเต เศร้ามามากแล้วอยากให้มีความสุข ตอนดิมอ่านไดอารี่เราร้องไห้เลย

ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ mareya.no7

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
เรื่องนี้มีแต่คนเห็นแก่ตัว

ออฟไลน์ Naam3

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :mew3:ะ :call: :call: :call: :z10: :กอด1: :mew4: :katai2-1: :3123: :L1:
รอๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆมาน่าๆๆๆๆๆ :mew1: :mew1: :o8:

ออฟไลน์ Duangjai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 658
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
ผ่านมา 17 วันละ.  เตเป็นอย่างไรบ้างน้ออออ

จะเป็นพี่ดิมมาอุ้มไป หรือใครมาบังเอิญพบเจอ...ใครกัน

ปลดห่วงในใจให้กลับมารักกันตามใจตัวเองไม่ได้เหรอ..

เพ้ออ่ะ เพราะดึกละ. ..

 :hao5:  :hao5:  :hao5:  :hao5:  :hao5:

....

ออฟไลน์ Naam3

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :mew1: :katai5: :hao7: :katai2-1: :katai2-1: :z2: :mew1: :mew1:มาต่อๆๆให้จบน่าๆๆยังรอน่าๆๆๆ :call: :กอด1: :L2:

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
เพราะหัวใจบอกว่า...ฝัน

 

 



             

            ‘พี่ดิม?  มาได้ยังไง  เตนึกว่ากลับไปแล้ว’

            รดิศค่อยๆวางร่างของเขาลงบนความอ่อนนุ่มอย่างหนึ่งที่ไม่รู้ว่าคืออะไร   เขายกมือขึ้นรั้งอีกฝ่ายเอาไว้เมื่อรู้สึกว่าพี่ดิมทำท่าจะลุกหนี 

            ‘นอนอยู่ตรงนี้ก่อน   พี่จะไปตามพยาบาล’  ได้ยินอีกฝ่ายพูดในมโนสำนึก  ทว่าเขาก็ยังไม่ยอมปล่อยมือจากข้อมือนั้นอยู่ดี   ออกแรงดึงน้อยๆพร้อมกับงอตัวลง

            ‘อย่าเพิ่งไปไหน  อยู่เป็นเพื่อนเตก่อน’   เหงื่อแตกซึมตามขมับและไรผม  อาการปวดท้องเริ่มกลับมาเยือนอีกเป็นระลอก   คนหน้าเข้มยิ้มนิดๆคล้ายอ่อนใจ   ยอมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆเขา   เอื้อมมือมาลูบที่ใบหน้าและเสยปอยผมที่ลงมาปรกหน้าผากให้พ้น   

            ‘พี่ไปครู่เดียว’

          ‘ครู่เดียวก็ไม่ได้  เตไม่อยากให้พี่ไปไหนอีกแล้ว’  เขาพูดอย่างดื้อดึง   อย่างที่ไม่คิดว่าตัวเองจะพูดออกมาได้ถ้าอยู่ต่อหน้าอีกฝ่ายจริงๆ   โชคดีที่นี่เป็นเพียงความคิดของเขาเองเท่านั้น

            พี่ดิมยิ้มกว้างจนเห็นรอยพับที่หางตา   

            ‘พูดจริงหรือเปล่า?’

            ในความสะลึมสะลือคล้ายอยู่ในห้วงฝันนั้น  เตกล้าทำในสิ่งที่หัวใจเรียกร้องที่สุด  เขาดึงเนคไทของอีกฝ่ายเข้าหาตัว  และแตะริมฝีปากของตนเองลงไปบนเรียวปากของอีกฝ่าย

            ‘แค่นี้จริงพอไหม’

            อีกฝ่ายไม่ตอบ แต่ตวัดวงแขนโอบรอบตัวดึงเขาเข้าไปกอดแนบอก....สนิทแน่นจนไม่เหลือช่องว่างระหว่างกัน   ลมหายใจอุ่นๆของพี่ดิมเป่ารดอยู่ที่ขมับเป็นจังหวะ   แผ่นอกกว้างที่เขาแอบอิงอยู่มีเสียงตึกตักของอวัยวะภายในช่องอกที่บีบคลายเป็นจังหวะเพื่อส่งเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกาย...มันถี่เร็วแต่หนักแน่น   ตรงข้ามกับเขาที่รู้สึกหวิวๆ ใจสั่นเต้นไม่เป็นจังหวะ

            ‘อย่าทำอย่างนี้....เพราะมันจะทำให้พี่ปล่อยนายไปไม่ได้’  เสียงนุ่มๆที่วันนี้แหบกว่าปกติกระซิบอยู่ที่ริมหู ก่อนที่จอนหูและซีกแก้มข้างนั้นจะถูกจูบ

            ‘ก็ไม่ต้องปล่อย’  เตพึมพำ  กระชับวงแขนไปรอบลำตัวของอีกฝ่ายแน่นเข้า   เงยหน้าขึ้นจุมพิตที่ปลายคางที่เต็มไปด้วยหนวดเคราขรุขระนั้น   อาการปวดท้องหายไปเป็นปลิดทิ้งราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

            เหลือเพียงแค่คนที่โอบกอดและสัมผัสเขาอยู่เท่านั้น  ที่อยู่ในความคิดตอนนี้

            ‘พี่ทำอย่างนั้นได้ด้วยหรือ  ไม่ปล่อยนายไปได้ใช่มั้ย’  เหมือนอีกฝ่ายพูดกับตัวเอง  ‘นายไม่รู้หรอกว่าพี่คิดกลับไปกลับมากี่หนแล้ว   ถ้าทำได้ พี่อยากย้อนเวลาด้วยซ้ำ  กลับไปตอนที่เราเพิ่งคบกันใหม่ๆ...ตอนที่พี่มีความสุขที่สุด’

          ‘เตก็เหมือนกัน’  เขายอมรับออกมาง่ายๆ  หลับตาพริ้มรับสัมผัสละเมียดละไมจากริมฝีปากอ่อนนุ่มของอีกฝ่ายที่พรมจูบลงบนเปลือกตา  หน้าผาก  ไล้เบาๆลงมาตามสันจมูกและข้างแก้ม  ก่อนจะจบลงที่ริมฝีปากที่เผยอน้อยๆรอรับอยู่แล้วตามใจปรารถนา   ดูดดื่มและค้นคว้าหาคำตอบที่ซ่อนอยู่ในหัวใจ  หอมหวานยิ่งกว่าสิ่งใดที่เขาเคยลิ้มรสมา

            ราวกับจูบของพี่ดิมได้ดูดกลืนเอาพลังวิญญาณของเขาไปหมดสิ้น   ตั้งเตซบใบหน้าลงกับซอกคอของอีกฝ่ายอย่างอ่อนแรง  หายใจหอบ  จมูกโด่งนั้นยังคงตามมีเคล้าเคลียอยู่ไม่ห่าง   ฝ่ามือแข็งแรงลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังของเขา

            ทว่าจู่ๆ  พี่ดิมก็หยุดชะงักและปลดมือของเตที่โอบรอบตัวอยู่ออก

            ‘.............’  ไม่มีเสียงลอดออกมาจากลำคอที่แห้งผากของเขา  ได้แต่มองพี่ดิมอยู่อย่างนั้น   จ้องมองเข้าไปภายในแก้วตาสีน้ำตาลเข้มแกมดำ  มองเห็นเงาสะท้อนของตนเองคมชัด 

            ‘พี่ต้องไปแล้ว....’

            น้ำตาร้อนๆไหลรินทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น  ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจแล้วว่าต้องจบแบบนี้   ในเมื่อหนทางระหว่างเรามันมีแต่ทางตัน 

            ‘ไม่ไป...ได้มั้ย?’  อดตามออกมาไม่ได้   อีกฝ่ายยิ้มนิดๆ  ยกหัวแม่มือขึ้นปาดน้ำตาที่แก้มให้

            ‘นายรู้เหตุผลดีอยู่แล้ว   ไม่มีประโยชน์ที่จะร้องไห้’  คนพูดพูดออกมา  ขณะที่เตสังเกตเห็นว่านัยน์ตาคมคู่นั้นเริ่มมีน้ำหล่อใส  เส้นเลือดขึ้นแดงก่ำราวกับคนที่กำลังกลั้นน้ำตาเอาไว้สุดกำลัง

            เขายกมือขึ้นลูบที่ใบหน้าคมเข้มที่แนบประชิด   ปลายนิ้วสัมผัสไล้บนสันคิ้วและเปลือกตาของเค้าเบาๆ  คล้ายการปลอบประโลม   พี่ดิมหลับตาลงปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาผ่านปลายนิ้วของเขาเป็นทาง  ตั้งเตจรดริมฝีปากลง ‘เช็ด’  รอยน้ำตานั้นที่ข้างแก้มของอีกฝ่ายแผ่วเบา  รสเค็มปร่าทำให้เขารู้สึกว่ามัน  ‘จริง’ เกินกว่าจะเป็นความฝัน

          ‘พี่จะลืมเตมั้ย?’   คำถามที่ซ่อนลึกอยู่ภายในใจมานานแสนนาน 

            ‘ไม่มีวัน...เหมือนที่พี่ไม่มีวันเลิกรักเตได้’  คำตอบหนักแน่น  เหมือนกับสายตาของพี่ดิมที่มองตรงมายังเขา   แววตาที่เต็มไปด้วยความรักและความอาลัยอาวรณ์

            ‘นี่ผมฝันอยู่ใช่มั้ย?’  พูดปนทอดถอนลมหายใจ  เขาก้มหน้าลง

          ‘น่าจะใช่’   เสียงนั้นกระซิบตอบใกล้หู  ก่อนที่สัมผัสอบอุ่นที่โอบล้อมอยู่รอบตัวจะหายไป  เหลือทิ้งเอาไว้เพียงความเย็นเยียบ และอาการปวดท้องที่เริ่มกลับคืนมาอีกครั้ง

            น้ำตาร้อนๆไหลลงมาอีกทางหางตา    เขาปล่อยให้เสียงสะอื้นลอดออกมาเบาๆ

            ‘แค่ฝันก็พอแล้ว’  จิตใต้สำนึกของเขาบอกกับตัวเอง

            ................................................................................................

          แสงไฟจากเพดานทำให้ชายหนุ่มที่ค่อยๆรู้สึกตัวตื่นขึ้นจากความฝันอันยาวนานต้องหรี่ตาลงด้วยความแสบตา   เขาปรับสายตาอยู่ครู่หนึ่ง  ยกมือขึ้นป้ายน้ำตาที่ยังคงค้างอยู่เป็นคราบที่หางตาออก 

“คุณเต....ตื่นแล้วหรือครับ  เป็นอย่างไรบ้าง?”  เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้นข้างตัว   เขาเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงพูด...ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งในชุดสูท  เจ้านายของเขานั่นเอง

“คุณภาคย์...”  เสียงที่ลอดผ่านริมฝีปากของตัวเองออกมาแหบพร่า   ติณธรรู้สึกคอแห้งผาก   อีกฝ่ายรีบหยิบแก้วน้ำ  จ่อปลายหลอดมาให้ชิดริมฝีปากอย่างรู้ใจ

“ขอบคุณครับ”  พึมพำเบาๆ  ภาคย์เข้ามาช่วยพยุงเขาให้ลุกขึ้นนั่งเอนๆ  เตเพิ่งสังเกตว่าตนเองนอนอยู่บนเตียงพร้อมกับอยู่ในชุดคนไข้...เหมือนที่ข้าวตังใส่   หลังมือข้างซ้ายมีเข็มน้ำเกลือปักอยู่ต่อกับขวดน้ำเกลือข้างเตียง 

            “คุณเป็นลมหมดสติไป   คุณหมอก็เลยให้แอดมิท”  ภาคย์บอกเรียบๆ  รับแก้วน้ำคืนไปวางที่เดิม   เขาเดินไปหยิบถาดอาหารเข้ามาวางเอาไว้ตรงหน้าคนป่วย  จากนั้นก็นั่งลงข้างๆเตียง

            “ผม...หลับไปนานเท่าไหร่”  นักเขียนหนุ่มขมวดคิ้ว  มองหานาฬิกาที่ผนังห้องแต่ไม่พบ 

            “เกือบสองวัน... คุณเป็นลมไปเมื่อคืนก่อนแล้วก็นอนยาวจนมาตื่นเอาเช้าวันนี้”  คนฟังพยักหน้า ถามต่อ

            “ใครเป็นคนเจอผม  เจอที่ไหน”

          “คุณพยาบาลเป็นคนเจอน่ะ  เห็นเขาบอกว่าพบคุณนอนอยู่บนโซฟาหน้าคุณตังนี่เอง”  ประโยคบอกเล่าที่แปร่งแปลกสะกิดใจคนฟังรวมถึงคนเล่าเองด้วย  ภาคย์อดสงสัยไม่ได้ว่าคำบอกเล่าของคุณพยาบาลจะเชื่อได้จริงหรือไม่....ใครที่ไหนจะไปเป็นลมอยู่บนโซฟากันล่ะ  และถ้ามีใครผ่านมาเห็นว่าคนนอนอยู่บนโซฟา  จะมีสักกี่คนกันที่จะคิดว่าเค้าเป็นลม  ไม่ใช่นอนหลับธรรมดา

            เตเม้มปากนิดๆ หลุบตาลงต่ำซ่อนแววตาเอาไว้ให้พ้นจากอีกฝ่าย   เงียบไปนาน

            “คุณเต?  ไหวหรือเปล่า  เดี๋ยวผมไปตามหมอก่อน”  ชายหนุ่มทำท่าจะผละไปตามแพทย์มาดูอาการ   เห็นท่าทางคนป่วยยังดูมึนงงเหมือนยังไม่ตื่นรู้ตัวเต็มที่  แต่คนบนเตียงเรียกเอาไว้เสียก่อน

            “เดี๋ยวครับ...แล้วนี่ผมอยู่ที่ไหน  ข้าวตังล่ะครับ” เตถามออกมาหลังจากพยายามสะกดกลั้นอารมณ์บางอย่างเอาไว้ภายในใจได้สำเร็จ  ความรู้สึกปวดหน่วงๆในท้องเริ่มกลับคืนมาอีกครั้ง

            “คุณข้าวตังนอนอยู่ชั้นบนครับ   พอดีวอร์ดพิเศษห้องไม่พอ  คุณก็เลยต้องนอนพักที่นี่ก่อน  คุณเต...คุณโอเคไหม  หน้าคุณยังซีดอยู่เลย”  คนที่นั่งเฝ้ามาทั้งคืนถามอย่างเป็นห่วง  เห็นเหงื่อเม็ดเล็กแตกเป็นฝอยอยู่ตามไรผมและซอกคอของคนป่วย

            “ผม..ปวดท้อง...”  ตั้งเตบอกเสียงเบา  งอตัวลง   ภาคย์ตกใจ....เขารีบกดออดที่หัวเตียงเรียกพยาบาลเข้ามาดูอาการ  ครู่เดียวนางพยาบาลก็เข้ามาดูคนไข้ที่นอนตัวงอเป็นกุ้งอยู่บนเตียง  นิ่วหน้าคิ้วขมวดยุ่งไปหมด...เตคงจะปวดมากทีเดียว  ไม่ต้องบอกก็รู้

            “รอสักครู่นะคะ  จะตามคุณหมอให้”  พยาบาลสาวบอกเรียบๆ แล้วเดินออกไปจากห้อง   ไม่ถึงอึดใจ  ผู้หญิงร่างสูงใหญ่ผิวเข้มหน้าคมในชุดกาวน์สีขาวก็เปิดประตูเข้ามาในห้อง  เธอแนะนำตัวอย่างง่ายๆ

            “สวัสดีค่ะ  หมอเป็นหมอที่ดูแลคุณติณธรนะคะ  เรียกหมอส้มก็ได้  คุณติณธรเป็นอย่างไรบ้างคะ  ปวดท้องอีกหรือ”  เธอเดินเข้ามาหา  ชายหนุ่มบนเตียงพยักหน้ากดฝ่ามือลงกับหน้าท้องของตัวเองราวกับจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดลงได้บ้าง   รู้สึกคุ้นหน้าหญิงสาวคนนี้อย่างประหลาด...

            แพทย์สาวลงมือตรวจร่างกายอย่างคล่องแคล่ว  มีแววกังวลซ่อนอยู่ในดวงตาคมหวานคู่นั้น  แต่เธอไม่ได้พูดอะไร บอกเพียงว่าจะฉีดยาแก้ปวดและให้ทานยา

            “คุณเตเป็นโรคอะไรครับ   ปวดท้องขนาดนี้ ไม่ใช่ไส้ติ่งใช่ไหมฮะ”  ภาคย์ที่กลายเป็นญาติของคนไข้คนเดียวเอ่ยถาม   หญิงสาวตอบกลับยิ้มๆ

            “ไม่ใช่ไส้ติ่งอักเสบค่ะ  อาการปวดของคุณติณธรไม่เหมือนนะคะ  แล้วก็ผลอัลตราซาวน์ดูไส้ติ่งก็ปกติดีค่ะ   คิดว่าน่าจะมาจากสาเหตุอื่นมากกว่า   อย่างเช่นโรคกระเพาะที่คนไข้เป็นอยู่เดิม....เห็นจากในประวัติเดิม คุณติณธรรักษากับคุณหมออติรุจอยู่หลายปีแล้วใช่ไหมคะ”  เธอถามคนไข้ที่สีหน้าเริ่มดีขึ้นหลังจากที่คุณพยาบาลเข้ามาฉีดยาให้

            “ครับ   ผมเป็นโรคกระเพาะมาหลายปีแล้ว  ไม่หายเสียที  คงเป็นเพราะกินอาหารไม่ค่อยตรงเวลา  พักนี้ก็เครียดๆเรื่องภรรยาไม่สบายด้วยครับ   เลยทำให้เป็นหนัก”  คนป่วยพูดเอง  เขารู้ดีว่าอะไรที่จะทำให้อาการของโรคแย่ลงบ้าง    ทว่าของบางอย่าง  รู้ว่าไม่ดี..ก็ยังทำ

          หมอส้มซักประวัติเพิ่มเติมอย่างละเอียดอีกหลายอย่าง   ตั้งเตตอบตามตรงว่าเขาน้ำหนักลดฮวบฮาบในช่วงสองเดือนมานี้เกือบ 7 กิโลกรัม   เบื่ออาหารและนอนไม่หลับจนต้องพึ่งยานอนหลับตลอด   แต่ก็ยังนอนไม่ค่อยหลับอยู่ดี   ส่วนอาการปวดท้องนั้นเป็นมาตลอด   เพิ่งมาพักหลังๆมานี้ที่ปวดมากขึ้น  ไม่ได้สังเกตว่ามีเลือดปนมากับอุจจาระหรือเปล่า   มีคลื่นไส้อาเจียนบ้างบางครั้ง...

            “อืม.....เท่าที่ฟังดูอาการทั้งหมด  หมอคิดว่าจะต้องตรวจเพิ่มเติมเพื่อการวินิจฉัยนะคะ   เช่นการส่องกล้องดูแผลในกระเพาะอาหารเสียหน่อย  เพราะคุณก็ทานยามานานแล้ว แต่กลับไม่หายเสียที  อาการปวดก็ค่อนข้างรุนแรง...จะได้สบายใจด้วยกันทุกฝ่าย”  คุณหมอสรุปในตอนท้าย 

            “ผมไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกครับ  ผมรู้ตัวเองดี....ผมขอขึ้นไปเฝ้าภรรยาผมได้ไหมครับ  เธออยู่คนเดียว  ลูกชายผมด้วย  ไม่รู้ว่าเป็นยังไง....”

          “เรื่องลูกชายคุณ  ผมอาสารับส่งที่โรงเรียนให้แล้วฮะ  ไม่ต้องห่วง  ส่วนเรื่องภรรยาของคุณ....คุณหมอดิมเพิ่งบอกเมื่อเช้านี่เองว่ากำหนดวันผ่าตัดเป็นวันที่ 2 นี้ฮะ  ก็คืออีกสามวัน”  ภาคย์เล่า   คนฟังเบิกตากว้างดีใจ

            “จริงเหรอครับ  ดีจัง....ผมขอขึ้นไปหาภรรยาได้มั้ยครับ  ตอนนี้ผมก็ไม่ได้เป็นอะไรแล้ว  นะครับ”  นักเขียนหนุ่มคล้ายหายเป็นปลิดทิ้ง   ข่าวที่ได้รับรู้ทำให้ลืมความเจ็บป่วยของตัวเอง    เหลือเอาไว้แต่ความเป็นห่วงน้องสาว  หรือภรรยาในนาม

            แพทย์หญิงนิ่งคิดแล้วก็พยักหน้าอนุญาต

            “ก็ได้ค่ะ  เท่าที่ตรวจดู อาการตอนนี้ก็ดีขึ้นมากแล้ว  ส่วนเรื่องส่องกล้องดูทางเดินอาหารหมอขอนัดทำวันพรุ่งนี้จะสะดวกไหมคะ”

          “พรุ่งนี้หรอครับ  ผมขอเลื่อนไปก่อนได้มั้ยฮะ  รอให้ภรรยาผมผ่าตัดเสร็จเรียบร้อยก่อน”  เตต่อรอง  สีหน้าของคุณหมอมีความลำบากใจบางอย่างแฝงอยู่

            “อาทิตย์หน้าหมอคิวแน่นมากเลยค่ะ   เป็นวันพรุ่งนี้นี่แหละค่ะ  หมอลัดคิวให้ จะได้รู้ผลกันไปเลย”  ท่าทางของคุณหมอทำให้คนฟังชักเอะใจ

            “ทำไมต้องรีบขนาดนั้นด้วยครับ   หรือว่าคุณหมอสงสัยว่าผมจะเป็นอะไรร้ายแรงหรือเปล่า”   ชายหนุ่มอีกคนในห้องที่ยืนฟังอยู่เงียบๆหันไปมองหน้าหมอทันที   หญิงสาวยิ้ม  บอกปัดนิ่มๆ

            “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ....เอาเป็นว่าเป็นพรุ่งนี้นะคะ   เดี๋ยวเช้านี้คุณขึ้นไปเยี่ยมคุณภรรยาก่อน แล้วตอนบ่ายคุณค่อยลงมาเตรียมตัวส่องกล้องพรุ่งนี้   ไม่เกินชั่วโมงค่ะ  เร็วมากๆ   อาจจะตัดชิ้นเนื้อบางส่วนไปตรวจด้วยนะคะ   ส่วนรายละเอียดอื่นๆเดี๋ยวจะแจ้งอีกทีตอนบ่าย”  เธอรวบรัด  ไม่รอให้คนไข้ได้ค้านออกมาอีกรอบ   ขอตัวออกมาจากห้องเพราะไม่อยากจะต้องบ่ายเบี่ยงประเด็นอีก

            เธอยังไม่อยากให้คนไข้ใจเสีย....ถ้าเธอตอบความจริงไปว่าเธอกำลังสงสัยว่าเขาเป็นอะไร

            ประจันหน้ากับคุณหมอหนุ่มรุ่นน้องที่หน้าลิฟต์เข้าพอดี   อีกฝ่ายทำท่าราวกับเป็นการพบกันโดยบังเอิญ  แต่เธอรู้ดีว่าเขาตั้งใจยืนรออยู่แล้ว   อดไม่ได้ต้องพูดออกมาด้วยความหมั่นไส้

            “ไงจ้ะ  คุณหมอสุดฮอตวันนี้ว่างเหรอ  ถึงมายืนเฝ้าลิฟต์ได้” คนฟังยักไหล่  ยกหนังสือพิมพ์ในมือขึ้นมาโชว์ให้ดู

            “ผมลงมาเอาหนังสือพิมพ์....พี่ส้มล่ะ  มาตรวจคนไข้หรอ”  ถามหน้านิ่งราวกับไม่ใส่ใจ   คนฟังลอบยิ้มอยู่ในใจ....ลงมาเอาหนังสือพิมพ์เนี่ยนะ  เชื่อก็บ้าแล้ว....เธอเลือกตอบสั้นๆ

            “อืม  จะไปตรวจโอพีดีต่อแล้ว  ไปก่อนนะ...”  หญิงสาวก้าวเข้าไปในลิฟต์   อีกฝ่ายรีบก้าวตามเข้ามาทันที

            “คนไข้เมื่อคืนก่อนเป็นอย่างไรบ้าง”   เขาถามออกมาในที่สุด  กระนั้นก็ยังไม่ยอมพูดชื่อของผู้ชายคนนั้นออกมา

            “คนไหนล่ะ  คนที่อาเจียนเป็นเลือดเหรอ  ตอนนี้ดีแล้วล่ะ  กว่าจะหยุดเลือดได้ bleedไปเป็นลิตรๆ....”  ส้มพูดหน้าตาเฉย   อีกฝ่ายจุ๊ปาก  มองคล้ายๆจะค้อนใส่เธอ 

            “พี่ก็รู้ว่าผมหมายถึงใคร....เต..เป็นไงบ้าง”  จำต้องพูดออกมาจนได้   คนฟังหัวเราะคิก  ยกมือขึ้นปิดปาก  เธอรู้สึกถึงชัยชนะเล็กๆ  เห็นอีกฝ่ายบีบมือเข้าหากันด้วยความกระวนกระวายก็พอจะรู้ว่าคงจะเป็นห่วงใครคนนั้นมาก

            “ก็....บอกพี่มาก่อนสิว่าพวกเธอไปเจอกันอีกได้ยังไง  แล้วทำไมภรรยาของเตถึงกลายเป็นคนไข้ของเธอได้  แล้วเรื่องของพวกเธอมันเกิดอะไรขึ้น  ทำไมเธอไม่เล่าให้ฉันฟังเลยฮึ ดิม  ....จะถามตั้งแต่เมื่อวานก็หลบหน้าพี่   หนอยแน่ะ  โทรมาตอนตีสองให้ลุกมาดูคนไข้ให้   แต่ถึงเวลากลับเงียบจ้อยไปเลยนะยะ”  เธอเหวี่ยงเต็มที่ เพราะยังฉุนไม่หายที่รุ่นน้องโทรมาปลุกตอนตีสองให้ช่วยมาดูคนไข้ให้หน่อย ทั้งที่เธอเพิ่งเดินทางกลับจากต่างประเทศมาเหนื่อยๆ  อยากนอนหลับให้เต็มอิ่ม  ทว่าน้ำเสียงกระวนกระวายของเขาทำให้เธอต้องแหกขี้ตาตื่นออกจากบ้านมาเพื่อจะพบกับความประหลาดใจว่า คนไข้ที่ว่าคือ อดีตคนรักของอีกฝ่ายที่เลิกรากันมาเกือบ 8 ปีแล้ว

            ใบหน้าคมเข้มจัดของคนฟังซีดลงเล็กน้อย  ความทุกข์ทรมานใจและความหดหู่แผ่ซ่านออกมาจากเนื้อตัวของผู้ชายที่เธอแทบไม่เคยเห็นความอ่อนแอของเขาเลยตลอดเวลาสิบกว่าปีที่รู้จักกัน   เธอมองเขาอย่างตกใจ

            อะไรทำให้ชายหนุ่มที่สดใส เปี่ยมด้วยพลัง เป็นไปได้ถึงเพียงนี้?

          “แวะห้องทำงานพี่ก่อน   เราต้องคุยกันหน่อยแล้วล่ะ”  ชายหนุ่มรุ่นน้องพยักหน้าอย่างจำยอม   เขาเดินตามเพื่อนรุ่นพี่ที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันไปที่ห้องทำงานของเธอ  ส้มเปิดประเด็นตรงๆตามสไตล์

            “เธอกลับมาคบกับเตเหรอ”  คนฟังสะดุ้ง

            “เปล่า  ไม่ใช่อย่างนั้น....จะเป็นไปได้ไง  เค้าแต่งงานมีลูกมีเมียไปแล้ว”  ดิมปัด

          “ถ้างั้น  พวกเธอกลับมาเกี่ยวข้องกันได้ยังไง  แล้วที่พี่ได้ยินมาว่าเธอกับรันเลิกกันแล้ว  เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า”  ไม่แปลกใจที่พี่ส้มจะรู้ข่าวเขากับรัน   เพราะวันก่อนพี่รุจพี่รหัสของรันก็เพิ่งโทรมาคาดคั้นเอาความจริงจากเขาไป  ป่านนี้ข่าวคงแพร่กระจายไปทั่วครบวงแล้ว

            “เตเค้ามาสัมภาษณ์ผม  ก็นิตยสารเซเลปรายเดือนที่พี่แนะนำผมนั่นแหละ  เตเขาเป็นนักเขียนอยู่...”  ชายหนุ่มเล่าออกมา   คนฟังยกมือขึ้นทาบอก

            “ต๊าย   จริงเหรอ  ทำไมโลกกลมอย่างนี้ล่ะ   พี่รู้จักกับคุณโดมมาตั้งนานแล้วนะ  ไม่เห็นรู้เลยว่าเตทำงานกับเค้าด้วย”

            “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน  ก็ตลกดีนะ  สุดท้ายเราก็ได้พบกันอีกจนได้”  พบเพื่อจาก...แต่ก็ยังดีที่ได้พบกัน   ชายหนุ่มถอนหายใจยาว  ยกมือขึ้นคลึงขมับ

            “....แล้วทีนี้คุณข้าวตัง  ภรรยาของเตเขาก็เกิดไม่สบายขึ้นมา  จริงๆเขาเป็นคนไข้ธนพลแต่มันไปประชุม  ผมก็เลยรับดูให้....”  คำบอกเล่าของชายหนุ่มนั้น  ไม่ต้องให้คนที่สนิทอย่างเธอก็ดูออกว่าเขาจงใจเล่าข้ามไป  ไม่เปิดเผยความรู้สึกของตัวเองให้ออกมามากนัก ทว่าเมื่อได้ฟัง  ได้สัมผัสอารมณ์จากสีหน้าท่าทาง และคำพูดของชายหนุ่มแล้ว  เธอก็ได้ข้อสรุปในใจ....จากตอนแรกที่นึกว่าเป็นเพียงแค่อาการถ่านไฟเก่าคุเท่านั้น   ความจริงแล้วหาใช่เช่นนั้นไม่   หากคือไฟกองเดิมที่ไม่เคยมอดลงเลยตลอดเวลาที่ผ่านมาตะหาก

            ไฟที่สุมอยู่ในอกของเจ้าของอยู่เงียบๆ  กัดกร่อนหัวใจทีละน้อยราวกับไฟสุมขอน   จนเมื่อเจ้าของรู้ตัว  ก็สายเสียแล้วที่จะหาทางดับ   

            “ดิม  พี่ว่าเราดูไม่ค่อยโอเคเลยนะ”  หญิงสาวท้วง  เห็นท่าทางรุ่นน้องแล้วก็นึกเป็นห่วงขึ้นมาจริงๆ....เธอได้ยินมาพักหนึ่งแล้วว่าเขาหยุดผ่าตัด  ตอนแรกก็นึกว่าเพราะกำลังมีปัญหากับรันอยู่  ก็เลยหมดกะจิตกะใจจะผ่า   ไม่เคยคิดเลยว่าสาเหตุที่แท้จริง   จะเป็นชายหนุ่มหน้าหวาน อดีตหวานใจของเจ้าตัวที่เธอเองก็เคยรู้จักดี

            ร่างสูงสมส่วนที่นั่งเอนพิงพนัก เงยหน้าขึ้นทอดสายตามองเพดานอย่างไร้จุดหมาย  ราวกับกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องบางอย่างที่ไกลตัวอยู่ในใจ   ริมฝีปากเม้มแน่นแทบเป็นเส้นตรง   คิ้วคมเข้มขมวดน้อยๆจนเห็นริ้วรอยกลางหว่างคิ้วที่คงจะเกิดขึ้นมาสักพักแล้ว  ชายหนุ่มดูหมดเรี่ยวหมดแรงและตกอยู่ในความคิดหนักหน่วง

            “ผมไม่รู้จะอธิบายยังไง  พี่ส้ม...ที่ผมรู้สึกอยู่ตอนนี้...ผมบอกไม่ถูก   ผมว่าผมรู้ว่าต้องทำยังไงแต่.....ผม...ทำไมถึงต้องเป็นผม... ที่เจ็บปวด”   คำถามที่คนฟังก็ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรเหมือนกัน   หญิงสาวเอื้อมมือไปตบเบาๆที่ไหล่ของรุ่นน้องอย่างให้กำลังใจ 

            “ไม่ใช่ดิมคนเดียวที่เจ็บปวดหรอก”  เธอคิดถึงชายหนุ่มอีกคนแวบหนึ่ง “เพียงแต่ว่ามันคงต้องใช้เวลาหน่อย   เดี๋ยวอะไรๆก็ดีขึ้นเอง”

          “ผมก็เคยคิดอย่างนั้นเหมือนกันพี่  ตอนที่ผมอยู่ที่นู่น   ผมต้องลุกขึ้นมาทำกายภาพบำบัดทุกวันทั้งที่ปวดทรมานแทบตาย  แต่ความเจ็บทางกายยังไม่เท่าที่ผมรู้สึกในใจ  ผมได้แต่ปลอบใจตัวเองว่ามันคงจะค่อยๆดีขึ้นเอง  เวลาจะรักษาทุกอย่าง   ที่ไหนได้....เวลาที่ผ่านมาทั้งหมดไม่มีความหมายเลย....”  เสียงของนายแพทย์หนุ่มขาดหายไปในลำคอ   ส้มได้แต่มองอย่างสงสาร  เธอเข้าใจผิดมาตลอดว่ารุ่นน้องคงทำใจได้นานแล้ว

            “โชคชะตาคนเราก็ตลกดีเนอะ   แล้วเธอจะทำอย่างไรต่อไป”

            “ก็คงรักษาภรรยาเค้าให้หายดีก่อน  แล้วก็จากนั้นก็...”  ชายหนุ่มยักไหล่แทนคำพูด

            “ไม่คิดจะชิงกลับมาเหรอ”  ลองแหย่ถามดูอีกครั้ง  แววถือดีวาบขึ้นในดวงตาคมกริบคู่นั้นก่อนจะจางลงไปอย่างรวดเร็ว

            “ไม่...ผมตัดสินใจแล้วพี่”   เหตุการณ์ในคืนวันนั้นย้อนกลับคืนมาอีกครั้ง   คำพูดของเขา  สีหน้า ท่าทาง  มันทำให้เขามั่นใจว่าเตยังคงรักเขาอยู่  ไม่เปลี่ยนแปลง  และนั่นยิ่งทำให้เขาละอายใจ

            เตรักเขา  แต่ก็เลือกที่จะทำเพื่อครอบครัวมากกว่าเพื่อตัวเอง    เหมือนกับเมื่อหลายปีก่อนที่เตเลือกที่จะทำเพื่อเขา  โดยที่เขาไม่เคยรู้อะไรเลย

            เขาเคยสงสัยว่าคนแบบนี้มีอยู่จริงด้วยหรือ   คนที่เสียสละความสุขของตนเองเพื่อคนอื่นตลอดเวลา   คนแบบนี้...ก็เพราะแบบนี้ไม่ใช่หรือ   เขาถึงตัดใจไม่ได้  ได้แต่ถลำลึกลงไปทุกทีราวกับคนที่กำลังจมน้ำ

            แล้วเขามีทางเลือกด้วยหรอ?

            ภาพผู้ชายคนนั้นนอนร้องไห้บนโซฟาในคืนนั้นทำให้หัวใจของเขาเหมือนถูกบีบเล็กนิดเดียว  ความคิดที่จะแย่งชิงเตกลับมาไม่เหลืออยู่เลย... เพิ่งรู้ว่าการทนเห็นคนที่ตัวเองรักไม่มีความสุข มันทรมานเสียยิ่งกว่าตัวเองไม่มีความสุขเสียอีก 

            ทรมาน...แต่ก็ทำอะไรไม่ได้  อยากทำตามหัวใจทว่าต้องเคารพการตัดสินใจของอีกฝ่าย    เหตุผลและความรู้สึกที่ขัดแย้งกันมันทำให้เขาแทบบ้า   แค่คิดว่าจะปล่อย...ใจก็เหมือนจะขาด   แต่ถ้ารั้งเอาไว้กับตัว... แน่นอนว่าเขาก็ไม่มีความสุขอีก  เพราะเตก็คงจะไม่มีความสุขเช่นกัน

            เขาไม่ต้องการให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลอีกแล้ว   ความผิดพลาดต่างๆนานาที่แล้วมามันยังไม่พออีกหรือ   เขาทำร้ายเตทั้งทางตรงทางอ้อมมานานเกินไป

            ดิมตัดสินใจในคืนนั้นเองว่าเขาจะจบเรื่องราวของเราทั้งหมด  คงดีกว่าถ้าเตจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ‘จริงๆ’  เสียที

            ส่วนเรื่องของเรา  ก็ขอให้มันกลายเป็นความทรงจำที่ถูกลืม  หรือถ้าเตอยากจำ  ก็ขอให้มันเป็นความทรงจำที่ไม่เหลือความเจ็บปวดเอาไว้อีก   เป็นแค่เรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต   ที่ผ่านมาแล้วผ่านไป

            สักครั้ง...ให้เขาได้ทำเพื่อเตบ้าง

            “ผ่าตัดคุณข้าวตังเสร็จแล้ว  ผมจะกลับอเมริกา”   และไม่กลับมาอีก...ชายหนุ่มต่อประโยคในใจ

            .......................................................................


ต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
 







           “พี่เตเป็นอย่างไรบ้าง  ตังตกใจหมดเลยตอนที่ตื่นมาแล้วไม่เจอพี่   โชคดีที่คุณหมอส้มเข้ามาบอกตอนเช้าพอดี”  หญิงสาวพูด  ยกมือเขาขึ้นแนบแก้มของเธอ  ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกที่เห็นว่าเขาสบายดี   ไม่ได้เจ็บป่วยอะไรร้ายแรงอย่างที่เธอกลัว  แม้จะยังมีท่าทีอิดโรยอยู่บ้าง

            ชายหนุ่มยกอีกมือที่ยังมีรอยเขียวช้ำจากการแทงเข็มน้ำเกลืออยู่จางๆขึ้นลูบศีรษะน้องสาวเบาๆ

            “พี่ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก   ก็น่าจะโรคเก่ากำเริบน่ะ   เดี๋ยวต้องไปเตรียมตัวส่องกล้องพรุ่งนี้แล้วก็จบ กินยาเหมือนเดิม  ไม่มีอะไร”  เตปลอบใจน้องให้คลายกังวล  “ว่าแต่เธอเถอะ  จะผ่ามะรืนนี้แล้ว  ตื่นเต้นไหม”

          “ตื่นเต้นสิคะ  กลัวด้วย.... จู่ๆคุณหมอดิมก็เข้ามาบอกว่าจะผ่าแล้ว...บทจะผ่าก็ไม่ทันตั้งตัวเลย   ตอนแรกอุตส่าห์ดีใจนึกว่าไม่ต้องผ่าแล้วแท้ๆ”

            ชายหนุ่มไม่ออกความเห็น   แววตาของเขาหม่นเศร้าลงคล้ายมีเมฆบัง   หญิงสาวสังเกตเห็นได้ชัดโดยไม่ต้องใช้ความพยายาม  เธอรวบมือของพี่ชายมากุมเอาไว้ทั้งสองข้าง  เงยหน้าขึ้นมองหน้าเขา  สบตาตรงๆ

            “พี่เต....หลังจากผ่าตัดครั้งนี้  ถ้าตังรอด  ตังมีเรื่องอยากจะขอพี่ได้ไหมคะ”   คนฟังอุทาน

            “พูดอะไรอย่างนั้นตัง  เธอต้องมีชีวิตอยู่ต่อช่วยพี่เลี้ยงเจ้าเต้นะ  ถ้าเธอพูดอย่างนี้อีก พี่จะโกรธเธอจริงๆด้วย”   ตั้งเตพูดอย่างไม่พอใจที่น้องสาวเอ่ยอะไรเป็นลาง 

            “โธ่พี่เต  หมอดิมก็บอกเองว่าโอกาสในการผ่าตัดครั้งนี้ 60/40  เพราะตังเคยผ่ามาแล้ว  ครั้งนี้ก็เลยยากกว่าเดิม  พี่เตก็รู้นี่คะ   แต่ตังไม่ได้หมายความว่าตังจะไม่รอดนะ  ตังหมายความว่าถ้าตังรอด  ตังอยากขอให้พี่ช่วยตังเรื่องนึงค่ะ”

          “ถ้างั้น   ไว้ผ่าตัดเสร็จแล้ว  เราค่อยมาคุยกันก็ได้”  พี่ชายตัดบท  ทำท่าจะเดินหนี แต่น้องสาวไม่ยอมปล่อยมือ

            “ไม่เอาค่ะ  ถ้าพี่ไม่สัญญา  ตังก็จะไม่ผ่า”

          “ว่าไงนะ? ...ตัง  ทำไมเอาเรื่องความเป็นความตายของเธอมาขึ้นกับพี่แบบนี้ฮึ  มันไม่ถูกต้องนะ”

          “ไม่รู้ล่ะ  พี่ต้องสัญญามาก่อนว่า  หลังผ่าตัดสำเร็จแล้ว..ไม่ว่าตังขออะไร พี่ก็จะให้”   คนฟังชะงัก  สบดวงตาคมที่มีแววเด็ดขาดปรากฎอยู่อย่างแน่วแน่ก็ถอนหายใจยาว

            “เธอจะขออะไรพี่  ตัง...บอกพี่มาก่อนก็ได้  ไม่ต้องรอหลังผ่าตัดหรอก”

          “ไม่ได้ค่ะ  หรือว่าพี่เตกลัวว่าตังจะไม่ได้อยู่บอกตอนนั้น”  เธอเอียงคอมอง

          “เห้ย  ไม่ใช่อย่างนั้น  แต่ถ้าเธอขออะไร...ง่า...พี่จะได้มีเวลาเตรียมตัวไง”

          “ตังไม่ขออะไรที่พี่ให้ไม่ได้หรอกค่ะ”  เธอพูดอย่างมั่นใจ   ทว่าคนฟังนี่สิ  กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก  เดาไม่ออกว่าเธอต้องการสิ่งใดจากเขากันแน่  “ตกลงพี่สัญญากับตังนะคะ  ว่าพี่เตจะให้ ‘ทุกอย่าง’ ที่ตังขอ”

            ชายหนุ่มเงียบไปนาน  ไม่ใช่ว่าเขาไม่ไว้ใจน้องสาวของตนเอง  แต่อะไรกันหนอที่สำคัญมากพอที่เธอจะยอมเอาชีวิตของตัวเองมาแลก  สิ่งที่เธอยากได้....

            “ตกลง....ไม่ว่าตังขออะไร  พี่จะให้ตัง..มีข้อแม้เดียวก็คือ   เธอต้องผ่าตัด แล้วก็กลับมาเป็นมาตังคนเดิมของพี่   ช่วยกันเลี้ยงหลานเจ้าเต้   เข้าใจมั้ย” 

          ดาวประดับยิ้มกว้าง   เป็นรอยยิ้มที่สดใสที่สุดตั้งแต่เธอเข้าโรงพยาบาลมาเลยทีเดียวในความรู้สึกของคนมอง  อดสงสัยไม่ได้ว่าสิ่งที่เธอขอนั้นคืออะไรกันแน่   เป็นสิ่งที่เขาสามารถให้ได้แน่นอนด้วย...อะไรกันนะ

            ...

            ภาคย์กลับมาอยู่เป็นเพื่อนเขาในตอนเย็น  หลังจากที่เขาแยกกลับมาจากห้องข้าวตังเพื่อเตรียมตัวส่องกล้องเช้าวันพรุ่งนี้   ชายหนุ่มไปรับลูกชายที่โรงเรียนให้เขา   ติณธรรู้สึกซาบซึ้งในความมีน้ำใจของเขามากจนไม่รู้จะทดแทนยังไง

            “คุณก็อยู่ทำงานให้นิตยสารของผมต่อไปเรื่อยๆ  ห้ามลาออก   แค่นั้นแหละ  วิธีทดแทนบุญคุณของผม”  ภาคย์พูดแกมหัวเราะ   ลงมือช่วยเจ้าเต้ประกอบตัวต่อเป็นรูปเรืออย่างตั้งใจอยู่ที่โซฟาริมห้อง     

            เตหัวเราะออกมา

            “แหม  แค่นี้เองเหรอฮะ  สบายมาก”

          “จริงๆอยากได้มากกว่านี้ แต่เกรงว่าคุณจะไม่ยอม...”  เขาหันมาพูดขึงขัง  สบตากันแวบหนึ่ง  เตก็เป็นฝ่ายเบือนหลบไปก่อน   

            “ผมขอโทษครับ  ผมหมายถึง...”  ภาคย์ขยับจะอธิบาย  แต่อีกฝ่ายโบกมือแล้วเปลี่ยนเรื่อง

            “พรุ่งนี้คุณมีประชุมรวมเล่มตอนเช้าใช่ไหมครับ..”

          “อ๋อ  ใช่ๆ  ไม่ต้องเป็นห่วงนะคุณ  ผมจะรีบไปส่งเจ้าเต้ก่อนแล้วค่อยวนกลับไปประชุม  ทันถมเถน่า”  เขารีบเสริมเมื่อเห็นอีกฝ่ายขมวดคิ้ว   ก็ระยะทางระหว่างโรงเรียนเต้กับที่ทำงานของเขามันใกล้ๆกันเสียที่ไหน  แถมรถติดมหาโหดอีกตะหาก  ปกติไม่ต้องรีบเข้าบริษัทก็เลยไม่เดือดร้อนเท่าไหร่

            “ง่า...ผมว่ามันจะเป็นการรบกวนคุณมากเกินไป”

          “แล้วคุณจะไปส่งเต้เองหรือไง  คุณก็ไปไม่ได้ไม่ใช่หรือ   ไม่ต้องเกรงใจหรอกน่า....คุณเต...จำที่ผมถามคุณวันนั้นที่สวนข้างล่างได้มั้ย”

          ทำไมเขาจะจำไม่ได้  ประโยคคำถามที่สะกิดหัวใจของเขาอย่างแรง...คุณเคยคิดถึงผมบ้างหรือเปล่า?....ในเวลาที่เดือดร้อนหรือทุกข์ใจ   ภาพในใจของเขามีเพียงคนๆเดียวเท่านั้นที่ชัดเจนอยู่ในหัวใจ  มันชัดเสียจนเขากลัว...

            “ผมจำได้”  ตอบสั้นๆ 

            “นั่นแหละ  ผมกลับไปนั่งคิดทั้งคืน  แล้วในที่สุดผมก็คิดออก  ว่าผมตัดสินใจที่จะอยู่ที่เดิมต่อไป.....อยู่ตรงนี้ข้างๆคุณ   จนกว่าสักวันหนึ่ง  ที่คุณจะมองเห็นผม  แล้วก็นึกถึงผมเป็นคนแรก”   คนฟังอึ้งไป   ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะตัดสินใจออกมาในรูปแบบนี้ ....เลือกที่จะรอเขาเนี่ยนะ?

            “คุณคิดดีแล้วเหรอ  มัน...มันอาจจะไม่มีประโยชน์เลยก็ได้นะ  คุณจะเสียเวลาเปล่า”

          ห้องเงียบสงัด  เด็กชายเต้ลุกไปเข้าห้องน้ำ  เหลือเพียงเขานั่งประจันหน้ากันอยู่สองคน 

            “ผมเลือกแล้ว   มันเป็นที่ๆผมมีความสุขที่สุดในขณะนี้  ถ้าต่อไปในอนาคต  ผมเจอที่ๆมีความสุขมากกว่า  ผมก็จะไป...แต่ตอนนี้ผมขอสงวนที่ข้างๆคุณเอาไว้นิดนึงได้มั้ย  ผมตัวไม่ใหญ่หรอก   ไม่กินที่อะไรเลย”    คนฟังน้ำตาคลอ...ผู้ชายคนนี้ช่างให้เกียรติเขาเหลือเกิน    น่ารักและน่าสงสารไปพร้อมๆกันจนเขาทำตัวไม่ถูก    ได้แต่สบตาเขาอย่างขอบคุณ

            ภาคย์ไม่พูดอะไรอีก   พร้อมๆกับที่เด็กชายเต้วิ่งกลับเข้ามาต่อของเล่นชิ้นใหม่   จนได้เวลาเข้านอน  ชายหนุ่มก็อาสาพาเด็กชายเต้ไปส่งที่ห้องของข้าวตัง

            สวนกับนายแพทย์เจ้าของไข้ของหญิงสาวที่กำลังจะออกจากห้องเข้าพอดี   รดิศก้มศีรษะให้เขาเป็นเชิงทักทาย  แล้วย่อตัวลงคุยกับเด็กชายเต้

            “สวัสดีครับ คุณลุง”  เต้ยกมือขึ้นไหวก่อนแบบเด็กที่ถูกฝึกมาอย่างดี  ดิมยิ้มกว้างยกมือขึ้นลูบศีรษะของเด็กน้อย

            “ไงเรา  คืนนี้นอนไหน  ห้องคุณแม่หรือคุณพ่อ?”

          “นอนกับคุณแม่ครับ  คุณลุงมาเยี่ยมคุณแม่หรอ”

          “ใช่จ้ะ  เดี๋ยวคุณแม่เราจะหายป่วย ได้กลับบ้านแล้วนะ  ดีใจมั้ย”  เต้ยิ้มจนตาหยี   คุณหมอหนุ่มหัวเราะแผ่วเบา  ยืนมองเด็กน้อยเข้าไปหามารดาภายในห้อง   ทิ้งให้สองหนุ่มยืนมองหน้ากันเงียบๆ

            “มาตรวจคุณข้าวตังหรือครับ”  ภาคย์เป็นฝ่ายพูดก่อน   รดิศพยักหน้ารับ  “เห็นว่ากำหนดวันผ่าตัดแล้ว  ดีจังเลยนะครับ  เธอจะได้หายเป็นปกติเสียที...”   เขาพูดต่อเรื่อยๆ  ขณะที่เดินคู่มาตามระเบียง  ทำเป็นไม่รับรู้ว่าอีกฝ่ายแสดงท่าทางอยากขอตัวไปก่อนมากแค่ไหน

            “คุณมีธุระอะไรหรือเปล่า”  อดรนทนไม่ได้ต้องถามออกไปตรงๆ 

            ภาคย์หยุดเดิน   หันมามองหน้าเขานิ่งไปครู่หนึ่งคล้ายกับใช้เวลาครุ่นคิด  แล้วเขาก็พูดเรียบๆ

            “พรุ่งนี้เช้าคุณหมอว่างไหมครับ”

          “ทำไมหรอครับ”

          “ช่วยไปส่งเจ้าเต้ที่โรงเรียนให้หน่อย  พอดีผมติดธุระสำคัญจริงๆ ไปส่งไม่ได้....ขอบคุณนะครับ”  พูดจบก็ล้วงกระเป๋าเดินเข้าลิฟต์ไปแบบไม่รอคำตอบ 

            รดิศอ้าปากค้าง  ทำความเข้าใจกับคำพูดของอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ถอนหายใจยาว   ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อกาวน์   เดินเข้าไปในลิฟต์อย่างอ่อนใจ  กดที่ชั้นที่ทำงานของเขา  แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ  แวะที่ชั้นที่ใครบางคนนอนพักอยู่ก่อน

            เดินเรื่อยๆไม่รีบร้อนมาหยุดที่หน้าห้อง  อ่านชื่อที่เขียนอยู่ที่ประตูว่าถูกต้อง  ก็แอบชะเง้อเข้าไปมองผ่านกระจกใสริมประตู  หวังจะเห็นคนที่อยู่ข้างในนั้น

            “ก็เข้าไปเยี่ยมเลยสิ  จะมายืนชะเง้อชะแง้อยู่ตรงนี้ทำไม”  เสียงดังมาจากข้างหลัง ทำเอาสะดุ้ง  หันขวับมาเจอรุ่นพี่สาวสวยยืนกอดอกอยู่   ดิมอึกอักหาข้อแก้ตัวไม่ทัน

            “ปากก็บอกว่าจะตัดใจ จะไปอเมริกาแล้วงู้นงี้   ถ้างั้นมายืนแอบดูอยู่ทำไม”

          “ผมไม่ได้แอบดูเขา  ผมมาหาพี่ส้มตะหาก”  แถไปข้างๆคูๆ  คนฟังยิ้มอย่างรู้ทัน   เธอยกมือขึ้นเคาะประตูก่อนจะเปิดเข้าไป  ไม่ลืมลากข้อมือรุ่นน้องให้ตามเข้ามาด้วย  รดิศตาเหลือกรีบปรับสีหน้าเป็นเคร่งขรึมแทบไม่ทัน

            “คุณเต  เป็นอย่างไรบ้างคะ  เห็นบอกพยาบาลว่ายังปวดท้องอยู่เหรอ   ขอหมอตรวจหน่อยนะคะ”  ส้มพูด ก่อนลงมือตรวจร่างกายอย่างคล่องแคล่ว 

            คนป่วยพยายามรักษาระดับสายตาให้โฟกัสอยู่ที่หมอส้มเท่านั้น  แต่เผลอที่ไร เขาก็อดไม่ได้ต้องมองเลยไปเห็นร่างสูงสมส่วนของใครอีกคนที่เดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้องทุกที

            “ดิม  หยุดเดินหน่อย  พี่เสียสมาธินะ”  หญิงสาวเงยหน้าขึ้นกระซิบพลางถลึงตาใส่รุ่นน้อง  รดิศเพิ่งรู้สึกตัว  เขาหยุดเดินกลับไปกลับมาแต่เปลี่ยนเป็นยืนบีบมืออยู่ข้างเตียงแทน

            สิ่งเดียวที่เหมือนกันระหว่างเขากับเตก็คือ  เราทั้งสองคน ต่างพยายามไม่สบตากันเลย

            ส้มขอให้คนไข้เปิดเสื้อขึ้นเพื่อตรวจหน้าท้อง   ดิมเหลือบมองแวบหนึ่ง   เห็นร่างกายของอีกฝ่ายซูบลงไปกว่าเดิมมาก   ภาพของเตในคืนนั้นที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาริมทะเลย้อนคืนกลับมาอย่างรวดเร็ว   ตอนนั้นอีกฝ่ายไม่ได้ผอมจนเห็นซี่โครงชัดเจนแบบนี้  ไม่ได้ดูซีดเซียวและอ่อนเพลียขนาดนี้ด้วย

            กัดริมฝีปากด้านในจนเจ็บ....แอบมองใบหน้าของพี่ส้มตอนตรวจ ก็เห็นแววกังวลลางๆซ่อนอยู่  เธอตรวจเสร็จก็เงยหน้าขึ้นพูดยิ้มๆ

            “เดี๋ยวหมอให้ยาแก้ปวดนะคะ  คืนนี้คุณเตนอนพักผ่อนให้เต็มที่นะ  พรุ่งนี้เช้าจะมีรถมารับไปห้องส่องกล้องชั้นล่างนะคะ   ขั้นตอนทั้งหมดมีคนมาอธิบายแล้วเนอะ....โอเค  ทำใจให้สบายค่ะ”

            “ขอบคุณมากครับหมอส้ม” คนป่วยตอบ  ทำราวกับมองไม่เห็นคุณหมออีกคนที่ยืนอยู่ด้วย  รดิศเม้มปาก  เดินตามรุ่นพี่สาวออกมาจากห้อง  เขารีบรั้งแขนของหญิงสาวเอาไว้ทันที

            “ไปคุยที่ห้อง”  เธอพูด  เหลือบมองภายในห้องพักแวบหนึ่ง

            ทั้งคู่กลับเข้าไปมาภายในห้องทำงานของหญิงสาว  ชายหนุ่มก็เปิดฉากทันที

            “พี่ส้มสงสัยว่าเตเป็นอะไรกันแน่  แค่ส่องกล้องโรคกระเพาะแค่นี้ไม่จำเป็นต้องรีบขนาดนี้ก็ได้  แถมเตก็ดูป่วย...มาก”

            “เธอก็เป็นหมอนี่  เธอดูแล้วคิดถึงโรคอะไรล่ะ  อาการของเตเธอก็ทราบดีอยู่แล้ว  ไม่จำเป็นต้องมาถามพี่ด้วยซ้ำ”

          “ถ้างั้นผมถามใหม่   พี่ส้มคิดว่าพรุ่งนี้ส่องกล้องลงไปแล้วจะเจออะไร?  ตอบผมตามตรงได้มั้ย”  เขามองหน้าเจ้าของห้องอย่างคาดคั้น  หัวใจเต้นรัวแรงแทบจะโลดออกมานอกอก

          “เธอคิดยังไง  ชั้นก็คิดอย่างงั้นนั่นแหละ”  พูดจบอีกฝ่ายก็ทิ้งตัวลงไปนั่งบนโซฟาของเธออย่างแรง  ราวกับหมดเรี่ยวแรงกะทันหัน   เขายกมือขึ้นก่ายหน้าผากแล้วหลับตาลง

            “อย่าเพิ่งคิดมากน่า  รอดูผลพรุ่งนี้ก่อนสิ  อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้”  รุ่นพี่สาวปลอบใจ

            รดิศไม่ตอบ   เขานั่งนิ่งๆอีกพักใหญ่ ก็ค่อยลุกขึ้นยืน กลับห้องตัวเอง   สราลีมองตาม  เธอมองเห็นความทุกข์ของเขาแผ่ซ่านออกมาจากเนื้อตัวและทุกย่างก้าวที่ออกเดิน ....ดิมกำลังป่วย   

            เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นปลุกเธอออกจากภวังค์  หญิงสาวเอื้อมมือไปหยิบขึ้นมา เห็นชื่อที่โชว์อยู่บนหน้าจอแล้วก็ต้องเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ

            ...รันเหรอ?...


            .....................................................................................           

มาต่อเเล้วจร้าา 
ขอโทษที่เอาแต่ใจ ไม่ต้องการมาช้าเหมือนกัน อิอิ
ตอนนี้ก็ยังคงหนักหน่วง แงๆ
ขอบคุณทุกคนที่ยังรอเรื่องนี้อยู่นะคะ 
แล้วเจอกันตอนหน้าค่ะ
 :hao5:

ปล.ฝากเรื่องใหม่ในเซ็ท #แอบยักษ์  ด้วยนะคะ  สนุกนะบอกเลอออ
เป็นเเนวใสๆวัยทำงาน  มุ้งมิ้งเบาๆค่ะ

ออฟไลน์ mareya.no7

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
เอ๋.. ขอโทษที่เอาแต่ใจ ไม่ใช่เวลามาง้อๆกัน หรือเปล่าคับคนเขียน 5555+

เมื่อไหร่จะพ้นช่วงหน่วงซักที แล้วรันโทรมาทำไมมีแผนชั่วอีกหรือเปล่า รอครัช..

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด