| Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - Special (I) [5.04.18] P.4
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - Special (I) [5.04.18] P.4  (อ่าน 45483 ครั้ง)

ออฟไลน์ sripaerrr

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
สนุกกกกกกก เราเดาไม่ถูกเลยว่าต่างฝ่ายต้องการอะไรจากกัน แฟร์กับชาเหมือนมีโลกของเทพนิยายเชื่อมทั้งสองคนไว้ แฟร์น่ะ...เหมือนจะไม่ยอมลงแต่ก็ลงให้ตลอด ส่วนเชนเหมือนเป็นคนแต่งเทพนิยายเรื่องนี้ ทำให้สงสัย ทิ้งความอยากรู้ไว้ตลอด เหมือนจะบอกใบ้ให้ตลอดเวลาที่อยู่กับแฟร์


คุณเจ้าอ่านหนังสือเยอะมากเลยสินะคะ ข้อมูลเทพนิยายเยอะมาก อ่านแล้วจับใจความเก่งมากอ่ะ สามารถผูกโยงเรื่องราวได้ลื่นไหล สนุก และชวนสงสัย อยากรู้อยากติดตามตลอดการเล่าเรื่องเลย ชื่นชมจากใจเลย o13

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
อ่านถึงตอนที่หกแล้วชอบตอนจบมากเลย ฮื่ออออ เป็นประโยคที่จึ้ก...
ประทับใจมากเลยค่ะ ทำไมทุกคนดูมีลับลมคมในไปหมด เราอึดอัดแงงง
อยากรู้จังว่าแต่ละคนซ่อนอะไรไว้
แต่เชนนี่เหมือนองครักษ์ที่เจ้าชายส่งมาปกป้องคุ้มครองเจ้าหญิงเลยนะคะ 5555
จริงๆ เราแอบชอบเชนมากกว่าธชาล่ะ ดูเป็นผู้ชายที่แพรวพราวดี

เป็นกำลังใจให้นะคะ ขอบคุณสับหรับนิยายดีๆ ค่ะ  :L2:

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
เรื่องเล่าที่เก้า


   จำไว้นะลูกรัก ห้ามกินเนื้อแกะเด็ดขาด
   - The Wonderful Birch

 

   ผมมีลูกพี่ลูกน้องที่สนิทกันมากอยู่คนหนึ่ง และนั่นคงเรียกว่าเป็นพี่น้องคนเดียวที่ผมมี

   ระดับความสัมพันธ์ของเราคือสนิทชิดเชื้อยิ่งกว่าพี่น้องตามกันมาบางครอบครัวเสียอีก เรารู้ทุกเรื่องของกันและกันไม่ปกปิดเอาไว้ ไม่เคยมีสิ่งที่เรียกว่า ‘ความลับ’ ระหว่างเราสองคน แต่ว่าตอนนี้เราต้องห่างกันชั่วคราวเพราะความถนัดในการเรียนมันต่างกัน ผมอยากเรียนต่อในคณะอักษรศาสตร์ ส่วนเขาสนใจสายวิทยาศาสตร์จนสอบตรงติดในมหาวิทยาแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ

   และเพราะว่าเราโตมาด้วยกันนี่แหละ ผมเลยไม่มีความสามารถในการรับมือกับสิ่งที่เรียกว่า ‘เด็ก’ เท่าไหร่

   “พี่แฟร์อ่านให้ชินาฟังหน่อยได้ไหมคะ”

   เด็กสาวในชุดนักเรียนอนุบาลสีสันสดใสยื่นหนังสือสำหรับเด็กเล่มหนามาให้ ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มกับทรงผมเปียสองข้างเป็นผลงานของคุณครูที่ดูเข้ากับเธอดี ผมรับมันมาโดยไม่เต็มใจ ก่นด่าโทษว่าเป็นความผิดของตัวเองที่สู้นัยน์ตากลมโตไร้พิษภัยไม่ได้

   “พี่เล่าน่าเบื่อนะ”

   "ไม่เป็นไร เล่าเถอะค่ะ"

   “ก็ได้ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...”

   สงสัยใช่ไหมล่ะว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ คำใบ้อย่างแรกคือคนอย่างกาลวินท์ไม่มีทางมีจิตอาสามากพอที่จะมาทำหน้าที่เป็นครูสอนเด็กเล็กในเวลาว่าง อย่างที่สองคือผมไม่ได้สติฟั่นเฟือนจนถึงขั้นมาทำตัวญาติดีกับเด็กวัยช่างเจรจาอายุไม่กี่ขวบ

   เหตุผลเดียวที่ทำให้ผมต้องมาติดแหงกอยู่ตรงนี้คือผู้ชายที่ชื่อธชา

   อ้อ! กับเพื่อนของเขาที่ชื่อเชนินทร์ด้วย

   “ฝากด้วยนะ บอกครูเอาไว้แล้ว”

   ยังจำคำฝากฝังได้ไม่มีลืม ผมให้ข้อมูลได้โดยละเอียดเลยว่าตอนนั้นตัวเองทำหน้าตาแบบไหนอยู่ มันเป็นช่วงเย็นที่เหมือนกับทุกวันคือเราจะมาเจอหน้ากันจนกว่าจะเบื่อไปข้าง บรรยากาศรอบตัวมาคุมากกว่าเดิมอยู่หน่อยเพราะใกล้เดดไลน์ในการส่งงานส่วนแรกแล้ว

   อยู่ดีๆ เชนินทร์ก็เล่าเรื่องของตัวเองว่ากำลังจะต้องเข้าสอบใหญ่ในวันที่ทั้งบ้านมีธุระต้องเดินทางไปต่างจังหวัด จนไม่มีใครสามารถมารับหน้าที่ผู้ปกครองในวันกิจกรรมรวมของเด็กหญิงชินานางได้

   ด้วยความที่ไม่อยากให้น้องสาวต้องผิดหวังเลยขอให้ผมกับธชาช่วยไปเป็นผู้ปกครองแทนหน่อย เพื่อนตัวดีก็รับลูกคู่โดยการตอบรับแบบไม่ถามข้อมูลเพิ่มเติมสักอย่าง เช่นเดิม พวกเขาไม่เว้นช่วงให้ผมได้ค้านแม้แต่หนึ่งคำ

   แล้วทำไมถึงไม่เอาลูกไปด้วยให้หมดเรื่อง ผลักภาระมาให้คนอื่นง่ายๆ มันใช้ได้ที่ไหนกัน ผมนึกถึงเรื่องในอดีตขณะที่มือเปิดไปยังหน้าแรก ก็เหมือนกับหนังสือเด็กทั่วไปที่มีรูปเป็นหลัก คนที่มักอ่านในแบบตัวอักษรยาวเป็นพรืดติดต่อกันไปจนสุดหน้ากระดาษอย่างผมมาเจอแบบนี้ก็ช่วยให้สายตาไม่ต้องทำงานหนักดีเหมือนกัน

   ไม่คุ้นชื่อเรื่องสักเท่าไหร่ นี่แก่เกินไปจนตามเทรนด์ของหนังสืออ่านเล่นสมัยนี้ไม่ทันแล้วสินะ

   “กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีครอบครัวอันประกอบไปด้วย พ่อ แม่ แล้วก็...”

   "แล้วก็ลูกสาว!"

   “ถ้ารู้อยู่แล้วจะให้พี่อ่านทำไม”

   โดนแทรกทั้งที่เพิ่งเริ่มอ่านได้ไม่กี่ประโยค ผมหรี่ตามองเด็กสาวที่บอกว่าอยากให้อ่านนิทานให้ฟัง บังคับให้เสียงที่ออกมาไม่ตึงจนน้องกลัว

   ผมมากับธชา แต่ว่ารายนั้นหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ตอนแรกบอกว่าจะไปฝ่ายธุรการด้วยเรื่องเกี่ยวกับการเรียนพิเศษในช่วงเย็นของชินาตามที่พี่ชายฝากเอาไว้ สงสัยฝ่ายธุรการที่ว่าคงอยู่อีกฟากของเมือง

   “ก็ชินาชอบเรื่องนี้”

   เด็กสาวไม่ได้แก่แดดแก่ลมอย่างที่กลัวเอาไว้ ตอนที่บอกว่าเชนมีน้องสาวผมก็ไม่อยากจะนึกภาพไปเองว่าคนพี่เป็นอย่างนั้นแล้วคนน้องควรจะเป็นแบบไหน พอเจอกันครั้งแรกเธอก็สร้างความประทับใจให้ด้วยการย่อไหว้สวยงามแถมยังส่งยิ้มหวานมาให้ เรียกได้ว่าผมกดคะแนนให้เยอะเลย

   ชินารู้อยู่แล้วว่าวันนี้นอกจากธชาแล้วจะมีเพื่อนคนอื่นของพี่เชนตามมาด้วย ถ้าผมไม่โผล่หน้ามาจะกลายเป็นคนไม่รักษาสัญญาไปหรือเปล่านะ แล้วไหนบอกว่าไม่มีอะไรนอกจากมาคุยเรื่องทั่วไปกับคุณครูประจำชั้น ส่วนอื่นเดี๋ยวธชาจะเป็นคนจัดการเอง

   "วันหนึ่งแกะที่บ้านนี้เลี้ยงเอาไว้หายไป พ่อกับแม่เลยแยกย้ายออกไปตามหา แต่โชคร้ายที่คนแม่ไปเจอกับแม่มดร้ายผู้เปลี่ยนนางให้กลายเป็นแกะ แล้วเสกให้ตัวเองกลายเป็นภรรยาแทน"

   "ถ้าชินาเป็นพ่อนะ ชินาต้องรู้แล้วว่าที่กลับมาไม่ใช่ภรรยาตัวเอง"

   "นางแม่มดหลอกล่อให้ผู้เป็นพ่อฆ่าแกะแล้วกินเสียให้สิ้นเรื่อง บุตรสาวที่แอบฟังอยู่จึงรีบไปหาเจ้าแกะเพื่อพบความจริงว่าแกะตัวนั้นคือมารดาของตน เมื่อแม่ในร่างสัตว์ขนฟูรู้ชะตากรรมจึงปลอบประโลมบุตรสาวของตนเองพร้อมกับสั่งว่าหากนางถูกฆ่าแล้วห้ามกินเนื้อของแกะตัวนี้เด็ดขาด"

   "แล้วให้เอากระดูกไปฝังไว้ในสวน ชินาจำได้!"

   "เล่าเองไหมชินา" โดนขัดมาตั้งแต่ต้นเรื่องล่ะ ไม่ค่อยเข้าใจเด็กอย่างนี้เลย

   "ไม่ค่ะ พี่แฟร์เล่าต่อเลย"

   สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ก่อนจะโฟกัสสายตาให้อยู่กับเรื่องเล่า ผมบอกไม่ได้ว่าเคยผ่านตามาหรือเปล่า ระหว่างการทำงานต้องอ่านกี่เรื่องก็ไม่ได้นับ ไม่แน่นะ พออ่านไปมาอาจเจอการขมวดปมที่คล้ายกันในช่วงหลังก็ได้

   "พื้นดินตรงที่กระดูกฝังเอาไว้ปรากฎต้นเบิร์ชแสนงดงามงอกขึ้นมา เวลาผ่านไปแม่มดในร่างของภรรยาก็ได้ให้กำเนิดบุตรสาวอีกคน และความสงบสุขก็หมดไปเมื่อวันหนึ่งพระราชาได้ประกาศว่าจะมีการจัดงานเลี้ยงที่ประชาชนทุกคนสามารถเข้าร่วมได้ ด้วยความริษยามารดาเลี้ยงจึงกลั่นแกล้งลูกสาวคนแรกสารพัดเพื่อไม่ให้เธอมีโอกาสได้ย่างเหยียบเข้าไปในงาน"

   "ผู้ปกครองคะ งานจะเริ่มแล้วนะคะ"

   เรื่องของลูกสาวยังเล่าได้ไม่ครบเพราะว่ามีเสียงตามสายส่งสัญญาณว่ากิจกรรมในวันนี้กำลังจะเริ่มแล้ว ปล่อยให้ชินาเดินกลับไปรวมกลุ่มกับเพื่อนของตัวเอง ส่วนผมก็ปลีกตัวออกมาอยู่ตรงมุมที่เต็มไปด้วยผู้ปกครองในวัยกลางคน จนตัวเองกลายเป็นจุดแตกต่างชัด

   มองสาวน้อยนั่งฟังคุณครูอย่างตั้งใจ ตากลมโตจ้องบนกระดานไม่กะพริบ ลองนึกย้อนกลับไปว่าตัวเองพอจำเรื่องในช่วงเวลาเดียวกันนี้ได้หรือไม่ ผมเข้าเรียนในโรงเรียนที่ไม่ห่างจากบ้านมากนัก ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่าสะดวกต่อการรับส่ง วีรกรรมคืองอแงไม่ยอมแยกกับพ่อโดยการกัดแขนคุณครูที่มาพาเข้าโรงเรียน

   กิจกรรมในวันครอบครัวไม่ค่อยต่างจากที่คิดเอาไว้มาก เกมสานสัมพันธ์ง่ายๆ เน้นให้เด็กได้แสดงความเป็นตัวเองเต็มที่ ชินาเป็นเด็กร่าเริงเข้ากับคนอื่นได้ดีไม่ต่างจากพี่ชายของเขา ลองมองอนาคตเมื่อเด็กหญิงตัวน้อยโตขึ้นแล้วก็ได้แต่หวังว่าจะไม่เหมือนพี่ชายไปเสียทั้งหมด

   ในฐานะผู้ปกครองเพียงคนเดียวของเด็กหญิงชินานางในเวลานี้ทำให้ทุกกิจกรรมจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากผม จากที่ตั้งใจว่าจะหลบอยู่ตามมุมก็กลายเป็นจุดเด่นในห้องเรียนไปเสียได้ ขอโทษเด็กหญิงตัวเล็กในใจที่ต้องมีคนอย่างกาลวินท์เป็นคนดูแล

   กิจกรรมที่ต้องร่วมเล่นอย่างไม่เต็มใจคือวิ่งแข่งหาคำใบ้ ไม่ชอบออกกำลังกายแล้วยังไม่ชอบอยู่ท่ามกลางผู้คน เป็นการรวมกันของสิ่งที่ผมเกลียดเอาไว้ในที่เดียวชัดๆ

   "พี่แฟร์วิ่งเร็วๆ หน่อยสิ"

   "พี่ไม่ชอบวิ่งอะ"

   ทำหน้ามุ่ยนิดหน่อยตอนสัมผัสได้ว่าข้างแก้มของตัวเองเริ่มชื้นเหงื่อ ผมไม่ได้เหนื่อยเพราะต้องขยับร่างกายอย่างนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะ ไม่ว่าจะช่วงไหนของชีวิตก็เถอะวิชาพละศึกษาคือสิ่งที่เลี่ยงแล้วเลี่ยงอีก ทำทุกวิถีทางจนกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นเซียนในการหนีเรียนไปแล้ว

   "ก็เพราะอย่างนี้ถึงดูอ่อนแอไงคะ"

   หนึ่งสิ่งที่น้องเหมือนพี่ คือปากร้ายไม่ต่างกัน "ชินาก็ตัวเล็ก"

   "แต่ชินาวิ่งแข่งชนะทุกคนเลยนะ"

   มันเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ เพราะแผ่นสติกเกอร์ที่มีเลขหนึ่งยังติดอยู่ตรงอกข้างขวาของเธอ เกมที่เล่นก่อนหน้านี้คือการวิ่งแข่งรวมชายหญิง และเด็กตัวเล็กตรงหน้าผมก็คล่องแคล่วเสียจนคว้าที่หนึ่งมาครองได้ไม่ยาก

   ชอบเอาชนะเหมือนใครกันนะ

   "เก่ง ปกติชอบออกกำลังกายเหรอ"

   "ชอบบบ พี่เชนจะพาไปว่ายน้ำเวลาว่าง"

   เชนินทร์ก็มีมุมน่ารักเหมือนกัน "พี่ชาก็พาไปบ่อย ถ้าวันไหนพี่ชาไปพี่เชนก็จะหายตัวไปเลย"

   เสียงหัวเราะคิกคักยามเล่าเรื่องเป็นเสียงประกอบที่น่ารักเหลือทน ผมผงกหัวขึ้นลงตามภาพที่โผล่เข้ามาในหัว ธชาที่เล่นอยู่กับน้องโดยมีเชนนั่งชิลอยู่ตรงม้านั่ง แล้วก็สั่งให้ธชาพาน้องว่ายไปรอบๆ จนพอใจ

   "เหนื่อยไหมมีพี่ชายอย่างนี้"

   คำถามของผมมันแปลกมากเลยเหรอ ทำไมชินาถึงทำหน้าไม่เข้าใจกลับมา

   "ชินาเป็นพี่ต่างหาก พ่อยังบอกเลยว่าพี่เชนน่ะน้องเล็กสุดของบ้าน"

   แสดงว่ามีกันสองคนพี่น้องล่ะมั้ง เรื่องเล่าแก้ความเข้าใจผิดมันตลกจนหลุดขำออกมา มันก็เข้าเค้าอยู่นะ ชินาดูเป็นผู้ใหญ่กว่าเด็กในวัยเดียวกันเยอะเลย ทั้งการดูแลตัวเองแล้วก็วิธีการเข้าสังคม คุณครูพูดอะไรก็เชื่อฟังไม่มีดื้อหรืองอแง ต่างจากเด็กหลายคนที่เดินกลับไปหาผู้ปกครองทันทีที่สบโอกาส

   "พี่แฟร์พักไปนะ เดี๋ยวชินากลับมา"

   "..."

   แล้วเด็กตัวเล็กก็วิ่งไปรวมกลุ่มกับเพื่อนแบบที่ไม่เปิดโอกาสให้ผมได้โบกมือลา เอาจากความรู้สึกแล้วก็คิดว่าตัวเองแก่เหมือนกัน นับเล่นๆ ก็เป็นเวลาสิบกว่าปีแล้วที่ผมผ่านช่วงชีวิตนี้มา ช่วงที่ไม่ต้องสนใจอะไรนอกจากเมื่อไหร่จะถึงเวลานอนกลางวัน แล้วก็ตื่นขึ้นมากินของว่างก่อนกลับบ้าน

   "ชินาดื้อหรือเปล่า?"

   เสียงเย็นตรงข้างหูทำเอาผมเกือบสะดุ้ง

   "ไม่ น่ารักมาก"

   "เซิร์ฟเวอร์ที่ห้องธุรการล่ม ลงทะเบียนไม่ได้"

   "ไฮเทคจังนะ" สมัยผมเรียนนี่คงมีแค่แฟ้มเอกสารเอาไว้จดข้อมูล

   "ไม่มีใครหยุดอยู่ที่เดิมหรอก"

   "..."

   บอกไม่ได้เหมือนกันว่ามันมีความหมายอื่นแฝงเอาไว้หรือเปล่า

   น้ำเสียงราบเรียบ นัยน์ตาคมอ่านไม่ออกว่ากำลังสื่อถึงอะไร ผมเปิดฉากเล่นเกมจ้องตากับอีกคนโดยไม่มีใครส่งสัญญาณเริ่ม รวมถึงบอกไม่ได้เหมือนกันว่ามันจะไปจบที่ตรงไหน

   เราอยู่ใกล้กันชนิดที่ว่าถ้าผมหรือเขาลองขยับอีกสักก้าวตัวของเราจะต้องชนกันแน่ ตลกดีที่ต่อให้เป็นอย่างนั้นธชาไม่เคยทำให้ผมรู้สึก 'เข้าใกล้' ตัวตนของอสูรได้เลย ระยะห่างระหว่างผมกับเขาในวันแรกเป็นอย่างไร มันก็ยังเท่าเดิมไม่มีขยับใกล้แม้แต่หนึ่งมิลลิเมตร

   จนชักไม่แน่ใจแล้วว่าการเดินทางของผมมันมีความคืบหน้าบ้างหรือเปล่า

 

   "ต่อไปเป็นการแต่งนิทานนะคะ"

   ในที่สุดก็มาถึงกิจกรรมสุดท้ายสักที ผมปล่อยให้หน้าที่ผู้ปกครองเป็นของธชาอย่างที่มันควรจะเป็น ตัวเองหลบมาอยู่ฉากหลังคอยถ่ายรูปอย่างที่ได้รับการร้องขอมา พอได้คลุกคลีกับเด็กก็ชักอยากจะย้อนกลับไปช่วงที่ผมกับลูกพี่ลูกน้องยังทะเลาะกันเรื่องรสชาติของนมที่แจกในภาคบ่ายเลยแฮะ

   "พี่แฟร์มาช่วยด้วยกันสิ"

   "สองคนมันอึดอัดนะ"

   เฉไฉไปเรื่อย มองไปแล้วบางครอบครัวก็มาทั้งคุณพ่อแล้วก็คุณแม่แหละ ผมแค่ไม่อยากจะเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมไหนอีก

   "พี่ชาบอกว่าพี่แฟร์แต่งนิทานเก่ง"

   "มั่วแล้ว" ปฏิเสธกลับทันที ผมไม่เคยแต่งเรื่องอะไรพรรณนั้นสักหน่อย "ชินาอย่าเชื่อมาก"

   "ไม่เชื่อก็ได้ค่ะ แต่พี่แฟร์ต้องไปช่วยชินาแต่งนะ"

   เกาะแขนแล้วยังช้อนตาขึ้นมาอย่างนี้ใครจะรอด ปลอบใจตัวเองว่าการแต่งนิทานมันคงไม่มีอะไรยาก ผมแทรกตัวเข้าไปเป็นส่วนหนึ่ง กวาดตามองดูว่ามันมีงานส่วนไหนที่เริ่มต้นทำไปก่อนแล้วหรือไม่

   "มีเรื่องอะไรที่อยากแต่งไหม" โดนล้อมวงไม่ให้หนีเสียแล้วจะทำอะไรได้ "เจ้าหญิงชินานาง?"

   ข้อเสนอที่ส่งไปไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างที่ควร ผมเห็นเด็กน้อยทำหน้าไม่ชอบใจพลางตอบ "ไม่เอาหรอกค่ะ ชินาไม่อยากเป็นเจ้าหญิง"

   "อ้าว?" คิดมาตลอดว่าความฝันครั้งยังเยาว์วัยคงไม่พ้นเรื่องของเจ้าหญิงเจ้าชาย เรื่องราวที่โรยเอาไว้ด้วยกลีบกุหลาบ หรือว่าผมจะเกิดในช่วงอายุที่ห่างจากเด็กผู้หญิงคนนี้มากเกินไป "แล้วอยากเป็นอะไร"

   "แม่มดค่ะ"

   นัยน์ตาที่สบกับผมอยู่ตอนนี้แน่วแน่จนน่าตกใจ

   "ชินาจะเป็นแม่มด...ที่ทำให้เจ้าหญิงกับเจ้าชายได้รักกัน"

   เด็กเจนวายอย่างผมตามเด็กเจนแซดไม่ทันแล้วจริงแหละ

   เรื่องราวที่ถูกรังสรรค์ขึ้นมาเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เป็นความคิดของตัวชินาเอง ผมแค่อือออตามไปก็เท่านั้น เรื่องที่แต่งมันก็โอเคอยู่นะ เจ้าหญิงถูกคำสาปจากแม่มดให้กลายเป็นคนล่องหนไม่มีใครมองเห็น เจ้าชายที่ฝ่าฝันอุปสรรคจนสามารถฆ่าแม่มดได้สำเร็จและช่วยปลดปล่อยเธอให้เป็นอิสระ

   "เรื่องสนุกดี"

   "พี่แฟร์ไม่เห็นช่วยแต่งเลย"

   "ก็ธชาช่วยแล้วไง"

   ผมไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าพูดคำว่า 'ก็ดีนะ' 'พี่ชอบ' 'แล้วแต่ชินาเลย' แล้วก็อืมในบางครั้ง นั่นคือการตอบรับทั้งในช่วงเวลาเกือบชั่วโมงครึ่งของกิจกรรมที่ให้เด็กน้อยกับผู้ปกครองได้มีส่วนร่วมในการแต่งเรื่องราว ส่วนธชาช่วยแก้เรื่องในส่วนที่ดูไม่ค่อยเป็นเหตุเป็นผลเท่าไหร่ให้เข้าทางมากขึ้น

   "ถ้าพร้อม เราจะเริ่มจับสลากแล้วนะคะ"

   เสียงของคุณครูหน้าชั้นเรียนเรียกให้สมาธิทั้งหมดกลับมา ผมนึกว่าเขาจะปล่อยให้กลับแล้วเสียอีก ไหงกลายเป็นว่าต้องออกไปเล่าเรื่องอีก

   "พี่แฟร์ว่าชินาจะได้ออกไปเล่าไหมคะ" ยังจับต้นชนปลายไม่ค่อยได้ก็ถูกแรงเล็กๆ ดึงบริเวณปลายแขนเสื้อ วันนี้ผมใส่เสื้อยืดแบบโอเวอร์ไซซ์ที่คุณแม่ส่งมาให้ มันเลยยาวลงมาจนเกือบถึงข้อศอกซึ่งสะดวกต่อการจับของเด็ก

   "พี่จะรู้ได้ยังไงล่ะ"

   "นั่นสิเนอะ"

   ชักถูกชะตากับเด็กหญิงชินานางเข้าแล้วสิ จากประโยคก่อนหน้าของตัวเองมันคือการบอกปัดแบบไร้น้ำใจสุดๆ แต่อีกฝ่ายก็ยังตามน้ำไปด้วยแบบไม่มีหลุดอาการน้อยใจ ลองเทียบเอาเองว่าถ้าตรงนี้เป็นพี่ชายของเธออย่างเชนินทร์แล้วผมตอบไปอย่างนั้นคงโดนสวนกลับมาว่าเลือดเย็นกับเด็ก

   "ชินาอย่ากวนพี่แฟร์"

   "ก็กวนพี่ชาไม่ได้นี่" เธอบอกง่ายๆ แล้วยกสมุดที่บรรจุเรื่องราวในความคิดของตัวเองเอาไว้แนบอก "เพื่อนจะชอบเรื่องของชินาไหมนะ"

   ตั้งใจจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับเด็กตัวน้อย ติดก็ตรงเสียงของคุณครูประจำห้องที่เรียกชื่อสมาชิกคนหนึ่งดังขึ้นเสียก่อน อีกอย่างที่เป็นความรู้ใหม่ในการกลับมาเป็นส่วนหนึ่งของห้องเรียนอนุบาลคือชื่อเล่นของเด็กสมัยนี้ ทั้งอ่านยากแล้วก็ยังดูแอดวานซ์กว่าสมัยผมเยอะ ถ้าเป็นตอนนั้นแค่ชื่อของผมกับลูกพี่ลูกน้องก็ดูไฮโซกว่าใครอื่นแล้ว

   มาเจอน้องมาเฟีย น้องซิลเวอร์ น้องนาซ่า ชื่อแฟร์อย่างผมกลายเป็นปกติไปเลย

   นี่ยังไม่รวมชื่อจริงอีกนะ ตอนที่ว่างๆ เดินไปสำรวจบอร์ดหลังห้องที่ติดชื่อและภาพสมาชิกเอาไว้ อ่านแล้วยังไม่กล้าฟังธงเลยว่าชื่อบางคนสะกดยังไง ทั้งตัวอักษรที่ไม่ค่อยได้ใช้ ทัณฑฆาตเต็มไปหมด อยากจะถามเหลือเกินว่าเด็กพวกนี้สามารถสะกดชื่อจริงของตัวเองได้ถูกต้องหรือเปล่า

   ผมไม่ตั้งใจฟังเรื่องของเด็กชายผิวขาวหน้าห้องเท่าไหร่ ก็เรื่องมันไม่น่าสนใจนี่นา เหมือนว่าจะสร้างฮีโร่ขึ้นมาคุ้มครองเมืองอะไรประมาณนั้น เรื่องของชินาใส่ใจในรายละเอียดและมีความเชื่อมโยงของเรื่องมากกว่าเยอะ

   "ต่อไปคนสุดท้าย น้องชินาค่ะ"

   เด็กในห้องมีทั้งหมดสิบห้าชีวิต มีเพียงห้าคนที่ได้ออกไปเล่าเรื่องราวของตัวเอง แล้วชินานางก็เพิ่งเป็นหนึ่งผู้ชนะจากเด็กที่เหลืออีกสิบเอ็ดคน

   "เต็มที่ เดี๋ยวเย็นนี้พี่พาไปเลี้ยงขนม"

   นั่นเป็นวิธีการล่อลวงเด็กที่ถูกต้องเหรอ น้องสาวของเชนยิ้มกว้างเมื่อได้ยินอย่างนั้น พลังงานความร่าเริงที่มีมากอยู่แล้วเพิ่มขึ้นจนเกือบทะลักออกมา

   "สวัสดีค่ะ ชินานางนะคะ" เสียงที่ออกมามั่นใจไม่มีสั่น คำแนะนำชื่อของตัวเองก็ชัดเจนทุกคำไม่มีเพี้ยน "วันนี้จะมาเล่าเรื่องภารกิจของแม่มดค่ะ"

   "น้องชินาแนะนำคุณพ่...ผู้ปกครองด้วยค่ะ"

   ตอนแรกคงเกือบหลุดพูดว่าคุณพ่อล่ะมั้ง พอเห็นหน้าเราสองคนก็คงรู้ได้แหละว่าไม่ใช่คุณพ่อวัยใสอะไรทำนองนั้น ผมเหลือบมองผู้ชายตัวสูงข้างตัวที่ยังยืนอยู่เงียบๆ ไม่ตอบรับอะไร คงต้องเป็นคนเริ่มเองแล้วมั้ง

   "แฟร์ครับ ส่วนข้างๆ คือธชา"

   "ชา"

   โดนอีกล่ะ เขาจะบ่นอีกกี่ครั้งผมก็ยังทำใจเรียกด้วยชื่อเล่นอย่างเดียวไม่ค่อยได้หรอก น่าอิจฉาชินาเหมือนกันที่ทำได้แบบไม่กระดากปากเลยสักนิด

   แล้วเรื่องเล่าของชินาเริ่มก็โลดแล่นโดยมีผมยืนให้กำลังใจโง่ๆ อยู่ด้านข้าง ธชาเป็นฝ่ายช่วยอธิบายในส่วนที่ชินาเผลอข้ามไปบางช่วง รวมถึงช่วยแสดงบทบาทสมมุติในยามที่เห็นว่าจำเป็น

   "แล้วเจ้าหญิงล่องหน..." ระหว่างที่แม่มดสาปให้เจ้าชายกลายต้นไม้ไปแล้ว คนเล่าเรื่องผู้บอกว่าตัวเองอยากเป็นแม่มดก็หมุนตัวมาทางผมอย่างรวดเร็ว "พี่แฟร์มาตรงนี้เร็ว"

   ทุกสายตาจับจ้องมาที่ผมโดยอัตโนมัติ ความรู้สึกที่ได้เป็นตัวละครเอกช่างน่าประทับใจจนอยากจะมีมนตร์วิเศษที่เสกให้ตัวเองหายไปได้โดยพลัน ผมไม่ได้อยากเป็นเจ้าหญิงสักหน่อย

   คนอย่างผมเป็นตัวประกอบก็พอแล้ว

   "ให้ความร่วมมือด้วย" นี่ก็ไม่มีเกรงใจกัน คำพูดกึ่งประชดแบบลอยๆ ที่ได้ยินทั่วกันเป็นการบังคับทางอ้อมให้ผมต้องเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของโรงละครขนาดเล็กนี้

   กลายเป็นเจ้าหญิงใส่แว่นที่ไม่เหมือนกับลักษณะการเหมารวมของสังคม เล่นตามบทไปอย่างเก้ๆ กังๆ ต่างจากคนร่วมการแสดงอีกคนที่เหมือนว่าจะถนัดทางนี้ ธชาช่วยให้ผมไม่ต้องกลายเป็นตัวประหลาดด้วยการต่อบทให้เล่นต่อได้สะดวก ยังดีที่นั่งฟังเรื่องเล่าตั้งแต่ต้นเลยพอถูไถไปได้จนจบ

   เสียงปรบมือไร้ความกลมกลืนดังหลังจากคำว่าจบออกจากปากของคนเล่า ผมโค้งตัวลงนิดหน่อยตามที่เคยได้รับการสั่งสอนมา จากนั้นถึงเลี่ยงตัวออกมาเพื่อให้คุณครูได้ทำหน้าที่ต่อ

   "พี่ชาอย่าลืมขนมนะ"

   ยังไม่ทันไรเลยเด็กสาวก็ทวงสัญญาเสียแล้ว ผมมองหนังสือเรื่องเล่าจากนักเขียนนามชินานางในมือสลับกับใบหน้าของเจ้าของชื่อ

   ฝ่ามือใหญ่กว่าแบบผู้ชายวางลงบนศีรษะของเด็กตัวน้อยเป็นภาพที่อบอุ่นดี

   "ได้เลยครับ"

   อสูรนี่รักเด็กเหมือนกันนะ

 

   "ชินานี่เก่งจังเนอะ"

   เปรยกับคนข้างตัวระหว่างมองเด็กสาวตัวน้อยร่ำลากับเพื่อนในห้อง หลังจากจบการเล่าเรื่องผสมกับการแสดงเล็กน้อยแล้วก็เป็นเวลาของการเก็บข้าวของทั้งหลายให้เข้าที่ ผมชอบระบบกล่องใส่ของหลังห้องของที่นี่จัง จะเห็นได้ชัดเลยว่าเด็กแต่ละคนลักษณะนิสัยเป็นอย่างไรบ้าง

   บางคนก็มีตุ๊กตาผ้าตัวเล็กเป็นครอบครัว ถ้าเป็นเด็กผู้ชายก็ต้องของเล่นพลาสติกหรือไม่ก็หุ่นยนต์ที่ดูอัปเกรดกว่าสมัยผมเล่น หรือว่าอาจเป็นหนังสือเล่มเล็กสองสามเล่มวางซ้อนกันเอาไว้ น่าเสียดายที่เวลาจากนี้อีกไม่นานภาพเหล่านี้ก็จะอยู่แค่ในความทรงจำ

   เพราะยิ่งเติบโตเท่าไหร่ สิ่งที่เคยเป็นตัวตนที่แท้จริงก็จะถูกกลืนกินโดยสังคมและสิ่งแวดล้อม

   "ไอคิวสูงกว่าเด็กอายุเท่ากันมากอยู่ ไม่ถึงกับอัจฉริยะแต่ก็ฉลาดมาก"

   ความรู้ใหม่ของวันนี้ ถึงว่ามีวุฒิภาวะมากอย่างที่ผมบอกว่าประทับใจ ถ้าน้องเป็นอย่างนั้นแล้วพี่จะเหมือนกันหรือเปล่า

   "เชนไม่ถึงขั้นชินา" ไม่ได้เอ่ยปากออกไปก็ยังได้คำตอบ

   "นั่นหมายความว่าเกือบเหมือนกัน"

   "น้อยกว่าพอสมควร แต่ก็ยังเยอะถ้าเทียบกับคนทั่วไป ...ไปถ่ายรูปได้แล้ว"

   ช่วงจบของวันคือการถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ครอบครัวอื่นเขาก็ถ่ายแบบรวมกันนั่นแหละ คงมีแต่ผมที่ยืนกรานแน่ชัดว่าจะไม่ยอมอยู่ร่วมในเฟรมเดียวกันกับผู้ปกครองอีกคนแน่นอน

   "ถ่ายไปกันสองคนแหละ เราแค่มาช่วยเฉยๆ"

   ให้มีรูปถ่ายเก็บเป็นที่ระทึกว่าได้อยู่กับอสูรทั้งวัน ใครจะอยากได้

   "แต่ชินาอยากให้พี่แฟร์ถ่ายด้วยนี่นา"

   "พี่ไม่ชอบถ่ายรูปน่ะ"

   ผมไม่ได้โกหกอะไรนะ เด็กเนิร์ดอย่างผมไม่ชอบทำอะไรอย่างนั้น จำพวกถ่ายรูปตัวเองในอิริยาบทต่างๆ แบบที่เห็นแล้วก็รู้ว่าผ่านการจัดแต่งมาไม่น้อย

   "งั้นชินาไม่ถ่ายก็ได้"

   ได้ยินแค่นั้นผมก็หน้าเสียไปเลย ชินาเป็นเด็กที่โตกว่าวัยมากเกินไปไหมนะ ผมยังไม่เห็นเธอโวยวายหรือว่าเรียกร้องความปรารถนาของตัวเองแบบไร้ขอบเขตอย่างที่เด็กหลายคนในวัยเดียวกันทำ ทั้งยังหาวิธีที่คิดว่าน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน

   "เอ่อ..."

   "งั้นเอาอย่างนี้ไหม ถ่ายสองรอบ รูปหนึ่งกับพี่แล้วอีกรูปกับพี่แฟร์"

   ข้อต่อรองดูเหมือนว่าจะอยู่ตรงกลางมากที่สุดสำหรับเราสองคน เธอมองหน้าผมสลับกับเพื่อนของพี่ชาย พยักหน้าช้าๆ ก่อนจะจับมือผมเข้าไปถ่ายด้วยก่อน จากนั้นก็เปลี่ยนตัวเอาผู้ปกครองอีกคนเข้าไป

   “แล้วนี่เชนจะมารับหรือว่าต้องไปส่งที่บ้าน?” เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นอย่างที่ควรจะเป็นนั่นคือคำถามถัดไปที่ควรได้รับคำตอบ ผมจับมือข้างหนึ่งของชินาเอาไว้ ส่วนอีกข้างเป็นของที่ระลึกจากทางโรงเรียนอย่างรูปถ่ายของน้องกับผมไซซ์โพลารอยด์ ลงทุนอยู่เหมือนกัน

   “ไม่ทั้งคู่”

   “อ้าว"

   "ชินาจะกินอะไรคิดเลย พี่จะได้แวะถูก"

   มองกระเป๋านักเรียนที่ตุงกว่าการมาทำกิจกรรมวันเสาร์ของเด็กน้อยบนไหล่ของธชาแล้วมีหนึ่งความคิดโผล่ขึ้นมา เห็นตั้งแต่แรกแล้วล่ะว่ามันดูเต็มจนผิดปกติ ตอนนั้นก็คิดว่าเด็กสมัยนี้คงชอบแบกพวกของเล่นมาด้วยให้สบายใจแค่นั้นเอง

   ไม่คิดว่า...

   “คืนนี้ไปนอนห้องพี่ก็ต้องเป็นเด็กดีนะ”


***
   กลับมาต่อจนจบจริงๆ แล้วค่ะ รอบนี้ลงจนจบไม่หายไปแน่ (หัวเราะ) ที่จริงแล้วตั้งแต่เข้ามหาลัยเจ้าอ่านหนังสือน้อยลงไปมากเลยค่ะ แค่หนังสือเรียนก็จะแย่แล้ว พอกลับมาแต่งเรื่องนี้นี่แหละถึงได้กลับไปอ่านหนังสือนอกเวลาเยอะหน่อย
   เรื่องก็คงอึนๆ ไม่มีอะไรชัดเจนอย่างนี้ไปเรื่อยแหละค่ะ เจ้าสไตล์ (ฮา)
   #หลอกลวงรัก

ออฟไลน์ Zenith

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
God.. นังเชนมีน้องสาว แถมยังเป็นพวกฉลาดมากกอีก กรี๊ดดด! ไม่เอาแฟร์แล้วก็ได้ ขอเชนล่ะกัน5555 ตอนนี้ให้อารมณ์พ่อแม่ลูกมากกก ปริ่มมม เมื่อไหร่ที่ทั้งสองจะรักกันสักที รอต่อไป มันกำลังเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ ลุ้นจนเหนื่อยแล้วว555 เดาอะไรไม่ออกสักอย่าง //ล้องห้ายยย :sad4: :sad4:

ออฟไลน์ Raccool

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +237/-2
รู้สึกสะกิดใจกับอะไรหลายๆ อย่าง แต่ไม่อยากเดา กลัวแป๊ก5555555
รอว่าเมื่อไหร่ปมจะคลายน้าาา  :hao7:

ออฟไลน์ FeaRes

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
แปะไว้ก่อน อย่างว่าทั้งเชนทั้งแฟร์มีอะไรให้สงสัยตลอด

เราชอบวิธีการเล่าเรื่องของคุณมากๆ อ่านเเล้วแบบถูกดูดไปด้วยเลย  o13

ยังติดตามอยู่เสมอค่า ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆค่ะ  :L1:

ออฟไลน์ sripaerrr

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
เรื่องที่เราสงสัยคือ เขาจะรักกันยังไง!!!!ปฏิสัมพันธ์ของพวกเขาจะไปทางไหน จะรักรือจะร้ายนี่เดาไม่ได้เลย กลัวใจจจจจ

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
เรื่องเล่าที่สิบ


   ข้าจะอภิเษกกับใครก็ตามที่สามารถสวมของทั้งสามอย่างได้พอดี
   - The Wonderful Birch (2)


 
   หลังจากอาหารมื้อใหญ่ในร้านใจกลางสยาม ผมเตรียมตัวจะโบกมือลาหน้าที่พี่เลี้ยงเด็กชั่วคราวเสียตรงนั้น ส่วนหนึ่งเพราะจากด้านล่างของตึกเป็นทางผ่านของสายรถเมล์ที่สามารถพากลับบ้านได้เลย อีกอย่างคือผมคิดว่าวันนี้ตัวเองใช้ชีวิตอยู่กับอสูรมามากพอแล้ว สมควรที่จะแยกย้าย

   "งั้นไปก่อนนะ"

   "พี่แฟร์ไม่ได้ไปด้วยเหรอคะ" สาวน้อยถาม นัยน์ตาหลุบลงต่ำด้วยความผิดหวัง "ชินานึกว่าคืนนี้จะได้ฟังนิทานต่อซะอีก"

   เรื่องของเด็กสาวมีแม่เป็นต้นเบิร์ช ผมเล่าถึงแค่ตอนที่แม่ของเธอกลายเป็นต้นไม้ และเธอเองต้องอาศัยอยู่กับแม่มดในร่างมารดาของตน คิดถึงเรื่องของไทยบางเรื่องเหมือนกันนะ แม่ปลาบู่ทำนองนั้น ในท้ายที่สุดเรื่องเล่าจากทั่วโลกมันก็ซ้ำไปมา

   "ให้พี่ธชาเล่าไง ชินาจำได้อยู่แล้วว่าพี่อ่านถึงตรงไหน"

   "พี่ชาเล่าน่าเบื่อกว่าพี่แฟร์"

   นินทากันต่อหน้าอย่างนี้ก็ได้เหรอ ผมย่อตัวลงให้สายตาประสานกับเด็กหญิงชินานาง ขุดทุกเหตุผลที่เข้าท่าขึ้นมาใช้แก้ปัญหาเฉพาะหน้า

   "ไหนใครบอกว่าอ่านมาหลายครั้งแล้ว"

   "พี่แฟร์ไม่อยากไปกับพี่ชาเหรอคะ"

   แต่ก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะถูกสวนกลับจนต่อไม่ถูก

   "คือ..." ผมไม่ปฏิเสธกลับไปทันที เพราะถ้าทำเมื่อไหร่มันคือการโกหกคำโตออกไป น้องเขาไม่ได้พูดอะไรผิดเลยสักนิด เหตุผลที่ผมไม่อยากอยู่มันมาจากอสูรตัวร้ายทั้งนั้น "บ้านไม่มีใครอยู่ พี่ต้องกลับไปเฝ้าอะ"

   "อยู่คนเดียวเหงานะคะ วันนี้ไปอยู่เป็นเพื่อนชินาเถอะ"

   ชินานี่เป็นเด็กชั้นอนุบาลจริงเหรอเนี่ย มันน่าสงสัยว่าบ้านของคู่พี่น้องเลี้ยงมายังไงให้ร้ายกาจได้เท่านี้ ผมเปลี่ยนจุดโฟกัสจากใบหน้าเล็กๆ ขึ้นไปทางผู้ชายอีกคน ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับความช่วยเหลืออะไรหรอก สำหรับคนที่กำลังเข้าตาจนอย่างผมมองตรงไหนมันก็ดีกว่าหน้าของชินาทั้งนั้น

   "อ่า...พี่ธชาคงไม่สะดวก"

   "สะดวกเสมอ"

   ให้ความร่วมมือสักเรื่องมันคงไม่เป็นอะไรมั้งครับอสูร!

   "เห็นไหมมม ไปกันเถอะค่ะ พี่ชานอนคนเดียว"

   ด้วยแรงดึงอันน้อยนิดที่ผมไม่กล้าสะบัดออก สุดท้ายจากที่ตั้งใจว่าจะกลับบ้านเลยกลายเป็นว่าได้เดินลัดเลาะจนมาถึงคอนโดของธชาแทน ผมเงยหน้าขึ้นไปมองตึกสูงไม่รู้กี่สิบชั้นตรงหน้าด้วยความไม่คุ้นชิน ก็บ้านตัวเองมีแค่สามชั้นนี่นา

   ทุกอย่างเหมือนอย่างที่คิดเอาไว้ เข้าไปส่วนตึกต้องใช้คีย์การ์ดตั้งแต่ประตูหน้าไปจนถึงข้างในลิฟต์ ชั้นสิบเก้าคือปุ่มเดียวที่มีแสงลอดออกมา ผมปล่อยให้ร่างกายขยับตามจังหวะการก้าวเดินของคนที่เหลือ ส่วนสมองน่ะคิดฟุ้งซ่านจนรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนนั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นแล้ว

   ห้องของธชาไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น มองจากสายตาแล้วเหมาะกับการอยู่สองคน มีส่วนที่จำเป็นครบครันตั้งแต่ห้องครัว ห้องนั่งเล่น ห้องนอน แล้วก็ระเบียงด้านนอกที่ปลูกต้นไม้เอาไว้หลายชนิด

   ที่ผมว่าน่ารักดีก็คงเป็นรองเท้าที่ใช้ใส่เดินในห้อง ของธชาเป็นรองเท้าสีดำหัวกลมโตมีตาสีขาวเป็นลายปักเอาไว้ ส่วนของชินาเป็นลายมาสคอตชื่อดังที่เด็กผู้หญิงชอบกัน ที่เจ้าของห้องชี้ให้ผมเอาไปใส่ก่อนคือของเชน สีชมพูผสมฟ้ามีตุ๊กตามาสคอตชายหญิงติดเอาไว้ที่หัว

   "ไว้เดี๋ยวค่อยไปซื้อของแฟร์มาเพิ่ม"

   "ไม่เป็นไร คงไม่ได้มาอีก"

   "พี่ชา ชินาไปว่ายน้ำได้ใช่ไหม" นั่งตัวลีบอยู่คนเดียวบนเบาะขนาดใหญ่ ชินานั่งอยู่บนพื้นเยื้องจากผมไปไม่ไกลกับกระเป๋าเป้ของเธอ ที่เห็นรื้อออกมาบ้างแล้วก็มีชุดไปรเวทที่น่าจะใส่พรุ่งนี้กับตุ๊กตาประหลาดๆ อีกตัว ส่วนที่อยู่ในมือของเธอตอนนี้คือชุดว่ายน้ำแบบกระโปรงวันพีชสีกรมท่า

   นี่มันจะสองทุ่มแล้วนะ

   "ได้"

   ตวัดหน้าไปทางคนอนุญาต เจ้าของห้องที่เดินเข้าออกระหว่างห้องนั่งเล่นกับห้องนอนทางซ้ายมาสักพักหยุดก้าวพอเห็นว่าผมทำท่าชี้มาที่ตัวเองแทนคำถามว่าควรจะทำอะไรต่อก็ให้คำตอบอย่างที่ไม่ต้องการ

   "แล้วก็พาพี่แฟร์ไปด้วยนะ"

   เช่นอะไรอย่างนี้เป็นต้น

   "ไม่มีชุดว่ายน้ำ" ระบบการทำงานของร่างกายคงชินกับการกระทำให้ทางตรงข้ามกับคำสั่งของเขาไปแล้ว "ดึกแล้ว อันตราย"

   "สระเปิดถึงสามทุ่มครึ่ง ไม่ค่อยมีคนใช้ สว่าง"

   "ชินาว่ายที่นี่หลายรอบแล้วค่ะ"

   คนแรกก็ดึงเอาส่วนที่ผมกังวลมาสร้างความมั่นใจให้เต็มร้อย ส่วนคนที่สองก็ตอกย้ำเข้าไปอีกว่ามีแต่ผมที่คิดมากไปคนเดียว ประเด็นคือผมไม่อยากมาที่นี่ไง หรือถ้ามาแล้วก็ขอเฟดตัวไปอยู่คนเดียวเงียบๆ ไม่ต้องสุงสิงกับใครอีก จะให้กลับบ้านตอนนี้คือยินดีมากเลยนะ

   นี่ยังไม่รวมเรื่องชุดที่ต้องยืมใส่ก่อนอีก วุ่นวายไปหมด

   "ไม่ต้องใส่ชุดว่ายน้ำหรอก ปกติก็ไม่ค่อยมีคนใส่กัน"

   "มันไม่ใช่เรื่อง..."

   "ชุดเปลี่ยนเดี๋ยวหาเจอแล้วจะตามลงไป"

   ผมว่าตัวเองอาจไม่ได้อยู่ในโลกของประชาธิปไตยอย่างที่เข้าใจมาตลอด ก็ถึงวินาทีนี้ยังไม่เห็นว่าตัวเองจะมีสิทธิออกเสียงอะไรสักอย่าง มีแต่คำสั่ง

   แล้วก็ต้องทำด้วยนะ

   "ทำไมชินาไม่เคยเห็นพี่แฟร์เลยคะ"

   ลงมาแช่น้ำได้สักพักก็เหนื่อยแล้ว ผมลากตัวเองมาพิงอยู่ตรงขอบสระ เสยผมชุ่มน้ำขึ้นไปข้างบนตามด้วยปาดเอาหยดน้ำตามใบหน้าให้หายตามไป สะบัดหัวไล่ความเปียกที่น่ารำคาญใจอีกหน่อยถึงตอบ

   "ก็เพราะเราไม่เคยเจอกันไง" มันไม่ใช่คำตอบที่ยาก ผมไม่เคยเจอชินามาก่อนนี่นา "พี่เล่าเรื่องค้างถึงตอนไหนนะ"

   "ถึงตอนที่แม่ช่วยเสกให้ลูกสาวได้มีชุดสวยๆ ใส่ไปงานเลี้ยงค่ะ"

   พอชินากลับไปรวมกลุ่มแล้วผมมีเวลาว่างพอที่จะอ่านถึงตอนจบ แม้จะถูกกลั่นแกล้งแต่ด้วยความช่วยเหลือของมารดาตน เธอจึงมีชุดแสนสวยไปเฉิดฉายอยู่ในงานเต้นรำ และไม่ต้องแปลกใจเมื่อเรื่องเล่าต่อไปว่าเจ้าชายตกหลุมรักเธอตั้งแต่เแรกเห็น

   บนโต๊ะเสวยที่แสนหรูหรา ลูกเลี้ยงของแม่มดลงไปแอบอยู่ใต้โต๊ะเพื่อลอบสังเกตเหตุการณ์ทั้งหมด เจ้าชายที่นึกว่าเป็นสุนัขจึงไล่ด้วยการเตะเสียจนลูกเลี้ยงแขนหัก เมื่อเวลาผ่านไปหญิงสาวที่กลัวว่าจะโดนจับได้จึงขอตัวลา โดยไม่ทันได้มีเวลาเก็บแหวนที่หลุดจากนิ้วไปติดอยู่กับกลอนประตูทาน้ำมันดิน

   งานเลี้ยงยังดำเนินต่อมาเป็นวันที่สอง คราวนี้ก็ไม่ต่างจากเมื่อวาน เจ้าชายพาหญิงสาวขึ้นโต๊ะเสวยโดยมีลูกเลี้ยงซ่อนตัวอยู่ใต้โต๊ะ คราวนี้เจ้าชายบังเอิญทำร้ายขาของลูกเลี้ยงจนหัก ด้วยความกลัวว่าความลับจะแตกเธอจึงหนีออกมาเหมือนเมื่อวาน รีบร้อนจนทำรัดเกล้าติดกับเสาทาน้ำมันดินบานเดิม

   จนถึงวันที่สาม ทุกอย่างเหมือนเดิม คราวนี้ลูกเลี้ยงผู้ซ่อนตัวอยู่ใต้โต๊ะได้รับบาดเจ็บบริเวณนัยน์ตา และหญิงสาวก็ขอตัวลาเมื่อถึงเวลาอันควร ในวันนี้เจ้าชายได้ทาน้ำมันดินไว้บริเวณธรณีประตูและนั่นทำให้รองเท้าสีทองของเธอติดจนไม่อาจเอาออกได้

   บอกเอาไว้ก่อนว่าความจริงเรื่องนี้มันมีรายละเอียดที่ไม่น่าให้เด็กรู้อยู่มากกว่าที่ผมกำลังเล่าให้ฟังอยู่นิดหน่อย อะไรที่คิดว่ายังไม่ควรให้เด็กไม่กี่ขวบต้องมารับรู้ก็จะข้ามๆ ไป

   "แล้วเจ้าชายก็ประกาศว่าจะแต่งงานกับหญิงสาวที่สามารถใส่ของทั้งสามอย่างได้พอดี แน่นอนว่าต้องเป็นหญิงคนนั้นอยู่แล้ว จบ"

   "เล่าเรื่องได้น่าเบื่อมากเลยค่ะ"

   "ยอมรับ"

   ทั้งรวบรัดตัดตอนแล้วก็เล่าข้ามตรงที่ไม่อยากเล่า ชินาเองก็เคยฟังเรื่องนี้มาหลายรอบแล้วนี่ จะมาลงข้อมูลอะไรให้เยอะแยะ แค่เล่าให้จบก็พอแล้ว

   "พอๆ กับพี่ชาเลย"

   "ทีหลังจะได้ไม่ต้องมาให้พี่เล่าไง" ขยับเด็กตัวน้อยให้เข้ามาใกล้ตัวอีกหน่อย จัดหมวกว่ายน้ำที่เริ่มเอียงจากการขยับขึ้นลงของแว่นกันน้ำให้เข้าที่ "ทำไมถึงชอบเรื่องนี้เหรอ"

   ไม่ได้เต็มไปด้วยความสวยงาม มีแต่เรื่องไม่น่าอภิรมย์ด้วยซ้ำไป ทั้งแม่เลี้ยงที่เสกคนแม่ให้กลายเป็นแกะแล้วเอามากิน แกล้งหญิงสาวสารพัด แล้วยังลูกเลี้ยงที่ถูกทำร้ายสารพัดอีก

   "เพราะมันบอกว่าชีวิตเราไม่ได้มีแต่ความสุขไงคะ"

   "..."

   ริมฝีปากอยู่ชิดกันไม่กล้าเปิดออก ผมคงนิ่งไปจนเด็กฉลาดกว่าวัยจับสังเกตได้

   "ชินาไม่ได้คิดเอง พี่เชนเคยบอก" พูดอย่างนั้นมันยิ่งแย่เข้าไปอีกสำหรับผม

   "เหรอ..."

   "พี่เชนเคยเล่าเรื่องพี่แฟร์ให้ฟังด้วยแหละ"

   "เรื่องพี่?" เผลอย้อนถามกลับไปด้วยความไวแสง คนที่ไม่น่าคบอย่างนั้นเอาผมไปเป็นบุคคลที่สามในเรื่องเล่าอะไรกัน "เล่าว่าอะไร"

   "เล่าว่าพี่แฟร์น่ารัก"

   เสียงขาเล็กๆ ตีกระทบกับน้ำในขณะที่ช่วงแขนเกาะอยู่กับขอบสระไม่ปล่อยแทรกไปกับการเล่า ผมคว้าเอาโฟมแผ่นสำหรับการฝึกว่ายน้ำมาไว้ข้างตัวก่อนที่มันจะลอยคอกลางสระ "บอกว่าถ้าเห็นหน้าจะต้องคิดว่าดุแต่จริงๆ แล้วใจดีมาก"

   สระน้ำมีความลึกน้อยกว่าตัวผม มันทำให้สามารถยืนเต็มความสูงได้โดยไม่ต้องตีขาลอยคอตลอดเวลา ส่วนชินาที่จริงสามารถเล่นตรงสระเด็กได้ แต่ยืนยันที่จะมาอยู่ตรงนี้เพราะว่ามันสะดวกกับผมมากกว่า

   พี่กับน้องต่างกันตรงนี้แหละ

   ชุดที่ใส่มาตั้งแต่เช้ากลายเป็นชุดว่ายน้ำไปเสียแล้ว คุณครูสมัยประถมเคยบอกว่าเหตุผลที่ต้องใส่ชุดอีกแบบลงไปเล่นก็เพื่อความสะอาดของส่วนรวม ได้แต่ขอโทษในใจที่ตอนนี้เชื้อโรคแล้วก็สิ่งสกปรกจากการเดินทางทั้งวันคงลงไปเป็นส่วนหนึ่งกับน้ำผสมคลอรีนหมดแล้ว

   "หน้าพี่ดุเหรอ"

   "ตอนใส่แว่นดุค่ะ แต่ตอนนี้ไม่เท่าไหร่"

   คงไม่มีใครลงไปเล่นน้ำทั้งที่ยังใส่แว่นตาอยู่ใช่ไหมล่ะ สระว่ายน้ำบนชั้นสูงของคอนโดไม่มีใครใช้อย่างที่ธชาบอกเอาไว้ ผมเลยสามารถวางมันไว้ตรงขอบสระได้โดยไม่ต้องกลัวหายหรือว่าได้รับอันตรายจากผู้ใช้งานคนอื่น ชักจะแสบตาหน่อยๆ เพราะเผลอลืมตาในน้ำไป

   "โตขึ้นอย่าเล่นมือถือเยอะนะชินา"

   ถ้าเป็นยุคสมัยของผมคงต้องบอกว่าอย่าอ่านการ์ตูนเยอะไป โลกที่หมุนเร็วขึ้นทุกวินาทีเปลี่ยนให้สิ่งที่เรียกว่าสมาร์ตโฟนมีความสะดวกและสร้างความเดือดร้อนได้ในเวลาเดียวกัน

   "ชินาว่าคนใส่แว่นเท่ออก"

   หลุดหัวเราะให้ความคิดแบบเด็กๆ "พอถึงตอนนั้นล่ะจะเสียใจ"

   "แสดงว่าพี่แฟร์เสียใจที่ต้องใส่แว่นเหรอ"

   การดีไซน์ของสระเป็นแบบให้มุมหนึ่งชิดกับปลายกำแพง มีกระจกใสตั้งขึ้นมาช่วยป้องกันสิ่งที่ไม่คาดฝันเอาไว้ ที่อยู่ถัดจากนั้นคือตึกน้อยใหญ่ส่องแสงพราวระยับสมกับอยู่กลางเมือง แสงสว่างขนาดเล็กจำนวนมากท่ามกลางความมืดสวยงามกว่ามุมจากนอกกระจกห้องนอนที่ผมเห็นจนชินตา

   ไม่รู้ทำไมมันถึงชัดแล้วก็พร่ามัวไปพร้อมกัน

   "ไม่"
   
   ตอบกลับไปตามความรู้สึกแรกที่พุ่งเข้ามาหา ฤดูฝนอบอ้าวในความรู้สึกเสียจนต้องหายใจเอาอากาศเข้าไปเต็มปอดแล้วหลับตาทิ้งทั้งตัวลงสู่ผืนน้ำ ปล่อยให้ความเงียบเข้ากลืนกินตัวตนของผมไปช้าๆ ไม่มีเสียงรบกวน ไม่มีแสงสว่างไหนลอดเข้ามาได้

   มันเป็นความอ้างว้างที่สวยงามเกินคำบรรยายจนไม่อยากจะให้มันจบลง ผมไม่ชอบออกกำลังกาย รู้อยู่แล้วล่ะว่าร่างกายของตัวเองไม่ได้พร้อมรองรับการเล่นแผลงๆ อย่างนี้ แต่ก็ยังอยากจะยื้อทุกอย่างให้นานที่สุด

   มันอาจดีกว่าการต้องโผล่ขึ้นไปเผชิญความจริงที่อยู่เหนือน้ำ

   อากาศข้างในปอดถูกใช้ไปตามจังหวะการแลกเปลี่ยนออกซิเจน และเมื่อมันใกล้หมดผมก็ต้องถีบตัวขึ้นมาในที่สุด

   "ชิ...นา?"

   ไม่รู้ว่าตัวเองใช้เวลาอยู่ใต้น้ำนานเท่าไหร่ มันไม่น่าจะเกินไปกว่าหนึ่งนาทีเลยด้วยซ้ำ แล้วทำไม...

   "อยู่นี่"

   เสียงเบาของใครคนนั้นเรียกให้ผมต้องหันไปทางต้นเสียง ระดับการยืนที่ต่างกันค่อนข้างมากบังคับให้ผมต้องแหงนหน้าขึ้นมองใบหน้าของอสูรร้าย ใต้แสงไฟที่ตกกระทบลงมาพอดีแสบตาจนต้องหรี่ลงเพื่อลดระดับความเสี่ยง เด็กสาวในชุดว่ายน้ำแนบตัวกำลังจับมือของธชาเอาไว้

   โล่งใจไปได้หน่อยที่น้องไม่ได้หายไปไหน "ว่ายพอแล้วใช่ไหม"

   ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องแช่อยู่ในน้ำต่อ ผมยันแขนทั้งสองข้างกับริมขอบสระ เตรียมดันตัวเองขึ้นมาอยู่บนพื้นหินแทน

   "แว่นพี่แฟร์อยู่ไหนคะ เดี๋ยวชินาไปหยิบให้"

   แม้แต่เรื่องเล็กน้อยอย่างนี้เด็กอนุบาลสามก็ใส่ใจ "อยู่ฝั่งตรงข้าม...อ้าว?"

   ผมวางแว่นเอาไว้ตรงขอบสระฝั่งที่ตื้นที่สุด แล้วพาตัวเองกับชินาว่ายจนมาถึงอีกริมฝั่งหนึ่ง แล้วทำไมพอผมมองกลับไปตรงนั้นกลับไม่เจอแล้วล่ะ

   "เอามาแล้ว"

   มองตรงมือที่ไม่ได้จับชินาเอาไว้ก็ไม่เห็นมี ไล่ขึ้นไปตามความสูงจนเจอมันแขวนเอาไว้ตรงคอเสื้อ

   คิ้วขมวดเข้าหากันแบบไม่ทันตั้งตัว ผมยืนขึ้นจนเต็มความสูงของตัวเอง ถึงแม้ว่ามันจะได้แค่ประมาณช่วงตาของผู้ชายอีกคนก็ตาม แบมือออกไปขอสิ่งที่เป็นของตัวเองคืนพร้อมกับเอ่ยปาก

   "คืนมาหน่อย"

   "ตัวเปียก" กลางฝ่ามือที่ควรจะได้เครื่องช่วยมองกลับมากลายเป็นผ้าขนหนูสีเลือดหมูผืนใหญ่ "จะได้ไม่หนาว พื้นไม่เปียกด้วย"

   "ขอแว่น"

   "เอาไปใส่ตอนนี้ก็มองไม่ชัดหรอก"

   พอผมยังค้างมือไว้ที่เดิม เขาเลยจัดการยกผ้าขนหนูขึ้นแปะหัวผมแทน ภาพที่กลายเป็นสีดำไปชั่วขณะกลับมาเป็นสีสันตอนที่ผมหยิบมันออกแล้วห่อตัวเองเอาไว้ ตอนนั้นแหละถึงเห็นว่ามืออีกข้างที่เคยทิ้งไว้ข้างตัวของธชามันกำลังยกมาตรงหน้าผม

   "จับเอาไว้จะได้ไม่หลง"

 

   ห้องของธชามีสองห้องนอน หนึ่งห้องน้ำ ด้วยความที่เราทั้งสองคนเป็นผู้ชายเลยต้องปล่อยให้ชินานางเข้าไปจัดการเองแบบที่ไม่มีใครช่วย เพื่อนพี่ชายคอนเฟิร์มว่าถึงจะยังเป็นเด็กอนุบาลแต่เธอสามารถดูแลตัวเองได้ดีแบบที่ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรทั้งนั้น

   "พี่จะโทรหาเชน ชินาจะคุยไหม?"

   ตอนนี้กำลังตรวจสอบความเรียบร้อยของเครื่องเป่าผมที่เพิ่งหยิบออกจากกล่อง มันมีฝุ่นเกาะอยู่เล็กน้อยจนผมสงสัยว่านี่ซื้อมาไว้เผื่อให้ชินาใช้อย่างเดียวเหรอ แถมเลือกสีชมพูหวานแหววเชียว

   นายจ้างตัวน้อยของผมนั่งตีขาอยู่บนโซฟาห่างออกไปในระยะที่สายปลั๊กยาวถึง ตาจ้องมองไปบนหน้าจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่เกือบสี่สิบนิ้วไม่ยอมกะพริบตา การ์ตูนเด็กก็เปลี่ยนไปเยอะเหมือนกัน สมัยผมเรื่องที่อยู่ในดวงใจคืออดัมแฟมิลี่ เดี๋ยวนี้ภาพสวยแล้วเนื้อเรื่องก็ทันสมัยกว่ามาก

   "ชินา" พอไม่ตอบรับเลยโดนเรียกชื่อเสียงเข้ม

   "ไม่คุย"

   "โอเค"

   แล้วก็จบลงง่ายๆ อย่างนั้น ธชาเดินเลี่ยงออกไปอีกมุมของห้องในช่วงเวลาที่ผมกำลังสร้างเสียงรบกวนจากไดร์สีชมพู คิดว่าเป่าๆ ไปเดี๋ยวมันก็เสร็จเองนั่นแหละ

   "แฟร์ เชนจะคุยด้วย"

   "ไม่คุย" ใช้ประโยคเดียวกับที่น้องสาวเขาพูด "ยังเป่าผมไม่เสร็จ"

   "เดี๋ยวทำเอง ไปคุยไป"

   ฉวยเอาสิ่งที่อยู่ในมือของผมออกไปเองแล้วแทนที่ด้วยมือถือไร้เคสเครื่องเดิม คนโดนยัดเยียดอย่างผมส่งสายตาเอือมระอาให้กับชื่อตรงหน้าจอ กลั้นใจรับสายพลางภาวนาว่าจะไม่ต้องทะเลาะด้วยนาน

   "มีอะไร?"

   (ชินาเป็นเด็กดีหรือเปล่า)

   "ดีกว่าพี่เยอะ"

   หลุดเสียงหัวเราะเบาๆ จากปลายสาย ผมไม่ชอบเสียงของเชนโดยเฉพาะเวลาที่ไม่อาจอ่านสีหน้าประกอบไปด้วยได้ สิ่งที่มองไม่เห็นน่ากลัวเสมอ

   (โล่งไป กลัวว่าแฟร์จะหงุดหงิด)

   "ที่จริงก็อารมณ์ไม่ดีตั้งแต่ฝากเลี้ยงแล้วล่ะ"

   จากนั้นก็เป็นการขยายเรื่องเล่าที่ธชาเอาแต่ลงไว้เพียงส่วนหัวข้อ อย่างเช่นนิทานที่ออกไปเล่ารวมถึงปริมาณผักในอาหารมื้อเย็น

   (ค่าฝากเลี้ยง ลองเข้าไปในห้องชาดูตู้ที่อยู่ในสุด ชั้นที่พอดีกับสายตานะ)

   "หา...?"

   ยังไม่ทันจัดเรียงระบบความเชื่อมโยงได้เชนินทร์ก็ตัดสายไปแล้ว ผมมองหน้าจอที่เคยเป็นชื่อของเชนกับตัวเลขบอกระยะเวลาการเชื่อมต่อสัญญาณอยู่อย่างนั้น

   นี่กำลัง 'บอกใบ้' อะไรผมอยู่เหรอ?

   "จะนอนแล้ว เข้าห้องไป"

   "อ่า...อืม" สะดุ้งนิดหน่อยตอนที่ได้ยินเสียงนั้นดังใกล้หู รีบส่งโทรศัพท์ของอีกคนคืนไป ผมนอนห้องที่ว่างอยู่คนเดียว ส่วนห้องของธชาเป็นเตียงคู่ที่ชินาบอกว่านอนมาหลายครั้งแล้ว บ้านนี้เขาปล่อยให้ลูกสาวมาค้างบ้านเพื่อนของพี่ชายได้หน้าตาเฉยเลยล่ะ

   "หรืออยากอยู่ตรงนี้ต่อก็ได้นะ อยู่เป็นเพื่อนให้"

   "เปล่าๆ" ปฏิเสธเป็นพัลวัน ในเสี้ยววินาทีนั้นผมต้องรีบหาข้ออ้างเพื่อเข้าไปพิสูจน์คำเล่าเมื่อสักครู่ "...อยากเข้าไปกู๊ดไนต์ชินา"

   "ไปสิ ไม่ชัวร์ว่าหลับแล้วหรือยังนะ"

   เจ้าบ้านไม่มีอิดออดอะไรสักนิด ธชาบอกผมว่าจะไปตรวจความเรียบร้อยในห้องน้ำก่อนเข้านอน ให้เปิดห้องไปหาชินาได้เลย ผมขอบคุณออกไปเบาๆ รีบก้าวเท้าเข้าไปยังห้องนอนหลักของอีกฝ่าย เด็กหญิงชินานางที่นอนหลับสนิทอยู่ช่วยให้ผมสามารถทุ่มเวลาทั้งหมดไปกับการตามหาชั้นวางตามคำใบ้นั้นได้ ห้องของธชามีตู้บิลท์อินเรียงต่อกันไปสามตู้ สองในสามเป็นชั้นวางหนังสือ ส่วนด้านในสุดวางของประดับอย่างอื่นเอาไว้

   ชั้นที่อยู่ตรงกับระดับสายตาคือก้านดอกไม้แห้งสนิทที่ผมบอกไม่ถูกว่ามันเคยอยู่ในสภาพแบบไหนมาก่อน มันวางเอาไว้โดดเดี่ยวไม่มีสิ่งของชิ้นอื่นเข้าไปปะปน ผมเพ่งมองมันเพื่อเก็บรายละเอียดเพิ่ม ลักษณะของมันคล้ายว่าจะเคยเห็นมาก่อนหน้านี้

   อาจเพราะมันไร้กลีบที่มักจะเป็นส่วนประดับสำคัญ จากเครื่องหมายของความสวยงามมันหลงเหลือเพียงความหมองหม่น สีของมันคอยเตือนใจว่าความโรยราคือสิ่งหนีไม่พ้น

   ...เจ้าเก็บความลับอะไรเอาไว้หนอ

   "พี่แฟร์คะ" เกือบจะเรียกได้ว่าสะดุ้งโหยง ผมรีบหันไปหาเจ้าของเสียงบนเตียงขนาดสองคนนอน สาวน้อยที่เมื่อกี้ผมเห็นว่าเธอหลับตาพริ้มกำลังมองมาทางผมตาใส "ชินานอนไม่หลับ"

   ถ้าเป็นปัญหานี้คงช่วยอะไรไม่ได้ ผมทำเนียนเดินไปหาเธอโดยไม่ให้อีกฝ่ายจับพิรุธได้ว่ายังคงสนใจสิ่งที่อยู่ในตู้ "แล้วให้พี่ทำยังไงดี ไม่เล่านิทานหรอกนะ"

   แค่วันนี้วันเดียวก็เจอไปตั้งหลายเรื่องแล้ว รู้สึกเอียนเล็กน้อย

   "แค่บอกค่ะ เดี๋ยวพี่ชาก็หาทางทำให้ชินาหลับได้เอง"

   "อย่างนั้นก็ดี"

   คิดภาพแล้วก็ขำคนเดียว ก็ให้ผู้ชายเงียบๆ มากล่อมนอนเนี่ยนะ

   "แล้วพี่แฟร์เข้ามาทำอะไรเหรอคะ หรือเปลี่ยนใจมานอนด้วย"

   "เปล่า ว่าจะเข้ามากู๊ดไนต์น่ะ" รีบปฏิเสธก่อนจะเข้าใจผิดไปใหญ่ ตามด้วยการบอกในสิ่งที่ใช้เป็นข้ออ้างมาตั้งแต่ต้น "ฝันดีนะคะคุณแม่มด"

   นึกว่าบอกแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว กลับกลายเป็นว่าเธอทำหน้ายุ่งกลับมาซะงั้น

   "ไม่ฝันดีค่ะ"

   "หืม?"

   "ปกติพี่ชาจะไม่บอกฝันดี บอกแค่เจอกันตอนเช้าก็พอแล้วค่ะ"

   "เหรอ..."

   บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ารู้สึกอย่างไรกับคำบอกเล่า ข้อความภาษาอังกฤษที่แปลความหมายได้เหมือนกับประโยคก่อนหน้าโผล่เข้ามาย้ำเตือนความทรงจำไม่ดีบางอย่าง

   "เพราะคำว่าฝันดีไม่ใช่เรื่องจริงเสมอไป"

   ผมเบนหน้ามามองเจ้าของความคิด ธชายืนพิงข้างตู้เสื้อผ้าที่อยู่ถัดจากประตู มือสองข้างกอดอกเอาไว้หลวมๆ "เราควรอยู่กับอะไรที่ไม่เพ้อฝันซะบ้าง"

   "ก็จริง งั้นเอาเป็นว่าเจอกันตอนเช้านะชินา"

   เหมือนโดนไล่ทางอ้อมเลยออกไปดีกว่า ผมบอกลาสาวน้อยบนเตียงด้วยคำที่เธออยากให้ใช้ ตรงออกไปนอกประตูโดยไม่เอ่ยคำใดกับเจ้าของห้องสักนิดเดียว


***
   เหมือนเป็นโรคจิตที่ชอบทำให้คนอ่านระแวงและไม่กล้าเดาเองไปเรื่อยเลย (หัวเราะ) ถ้าให้เทียบแล้วเรื่องนี้เจ้าใบ้เยอะกว่าสองเรื่องที่ผ่านมาเยอะพอสมควรค่ะ
   The Wonderful Birch บางคนก็เรียกว่าเป็นอีกเวอร์ชันของซินเดอเรลล่านะคะ แต่ที่ลูกเลี้ยงโดนอย่างนั้นมันก็โหดร้ายไปหน่อยเน้อ...
   #หลอกลวงรัก

ออฟไลน์ Zenith

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ซับซ้อน.. มีความซับซ้อนมาก ซับซ้อนจนไม่สามารถเดาอะไรได้ กลัวความพีคจัง555 เรื่องนี้หลอกเราได้แบบ.. พูดว่าไงดีอ่ะ ปกติไม่ชอบอ่านอะไรยุ่งยากแบบนี้นะ แต่นี้คือติดมากก อยากรู้ว่ามันจะเกิดอะไรต่อ ชากับแฟร์มีความลับอะไรกัน โอ๊ยยย :hao5: :hao5: :hao5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
เรื่องเล่าที่สิบเอ็ด


   หากพระราชารู้อย่างข้า เขาก็จะไม่ต้องตาบอด
   - True and Untrue



   เสียงเพลงตามสมัยนิยมดังสนั่นเคล้าไปกับเสียงพูดคุยจากทุกทิศทาง ผมกวาดตาเร็วๆ มองจากซ้ายไปขวาคล้ายกำลังถ่ายภาพพาโนรามา สิ่งที่เห็นไม่เพลินสายตาจนซ่อนความรู้สึกเอาไว้ไม่ได้

   "ทำหน้าอย่างนั้นเดี๋ยวชาก็โกรธอีก"

   "ก็ปล่อยให้โกรธไปสิ นี่ไม่ได้อยากมาสักหน่อย"

   "พามาเลี้ยงขอบคุณที่ดูแลชินาไง น้องฝากมาบอกว่าคิดถึงแฟร์ด้วย"

   "ไม่ต้องเลี้ยงก็ได้ ไม่ว่า"

   ตาขวางใส่คนทำตัวสบายๆ ที่นั่งอยู่ถัดไป ความอึดอัดข้างในร้านปิดมิดชิดมากเสียจนไม่เข้าใจว่าจะมาแย่งพื้นที่แลกเปลี่ยนอากาศกันทำไม

   หลังจากผ่านช่วงเวลาการเป็นพี่เลี้ยงเด็กชั่วคราวผมก็คิดว่าคงไม่ต้องเจอสถานการณ์เดิมอีก ที่ไหนได้พอผ่านมาเกือบสองสัปดาห์เชนินทร์เพื่อนแสนรักของอสูรก็กลับมาออกลายโดยการนัดเลี้ยงสังสรรค์เพื่อฉลองวันเกิดของตัวเอง

   ผมไม่ค่อยเข้าใจวัฒนธรรมการฉลองวันเกิดของวัยรุ่นสมัยนี้เท่าไหร่ การจัดปาร์ตี้ที่สร้างความสุขชั่วคราวบนความทุกข์ของคนอื่น ตอนแรกสุดที่เชนบอกคือจะพาไปเลี้ยงข้าวเย็น หลวมตัวเพราะคิดว่าจะเหมือนทุกที มาฉลาดก็ตอนเลี้ยวรถเข้าร้านแล้ว เตรียมชุดมาให้เปลี่ยนเสร็จสรรพด้วย

   สังคมของเชนเรียกได้ว่าเป็นอีกโลกที่ไม่อยากย่างกรายเข้ามา สำหรับใครหลายคนมันคงเป็นเรื่องปกติของชีวิตวัยรุ่นที่จะมีการพบปะกันในร้านเหล้า แต่กับคนที่ชอบอยู่คนเดียวอย่างผมแล้วมันเป็นพื้นที่ที่น่าหวาดระแวง

   "มาถึงนี่แล้วน่า ตามสบายเลย"

   "เราไม่กิน"

   "จริงเหรอ?"

   "เหมือนจะไม่เชื่อนะ" ก็เล่นล้อเลียนขนาดนี้ใครไม่รู้ก็โง่สุดๆ "ทีหลังมาเป็นเราเลยไหม"

   ก็บอกแล้วว่าตัวเองปากร้ายอยู่ ยิ่งมาเจอคนไทป์แบบที่ตัวเองไม่ชอบมากสุดแล้วด้วยมันเลยไปกันใหญ่ ในร้านมีการตกแต่งด้วยหลอดไฟมากกว่าที่เคยเห็นตามสื่อ ไม่ถึงกับสว่างจ้าแต่ว่ายังพอช่วยให้ผมเห็นได้ครบว่าบนใบหน้าของเจ้าของวันเกิดมีรอยยิ้มอันตรายประดับอยู่

   "เป็นแฟรี่มันจะไปสนุกอะไรล่ะ"

   นี่ก็เหมือนน้อง รายนั้นอยากเป็นแม่มด แล้วคนพี่นี่อยากเป็นอะไรกันนะ

   ยังไม่ทันได้ต่อปากต่อคำสมาชิกรายใหม่ก็เข้ามาทักทายเจ้าของงานเป็นขบวน งานนี้ไม่ได้ปิดโซนหรือกันไม่ให้คนอื่นเข้ามายุ่ง ก็เหมือนว่าเรามาดื่มกินกันธรรมดาเท่านั้นเอง

   ผมไม่รู้จักกับใครอื่นบนโต๊ะตัวยาว เห็นว่ามีทั้งเพื่อนสมัยมัธยมแล้วก็มหาวิทยาลัย ส่วนคนเดียวที่ผมคุ้นเคยยังไม่เห็นหน้าตั้งแต่แยกกันตรงหน้าร้าน อสูรร้ายผู้กลมกลืนไปกับนักท่องราตรีรายอื่น จะให้หนีกลับเลยก็ไม่ได้ ในเมื่อมีผู้คุมนั่งอยู่ข้างๆ ไม่ยอมปล่อย

   "น้องเชนสุขสันต์วันเกิด นี่ชาไปไหนเหรอ" ตอนแรกก็นับอยู่หรอก พอโดนคำถามเดิมมากเข้าก็เลยเทไม่ทำอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ ธชากับเชนินทร์คงเป็นเพื่อนซี้กันในระดับมากที่สุด ไม่อย่างนั้นคงไม่เป็นคำถามพ่วงกับคำอวยพรตลอดอย่างที่กำลังเป็นอยู่

   "เดินเล่นมั้ง มันก็อย่างนี้แหละ"

   "ล่ะนี่ใครอะ"

   "ชื่อแฟร์ เพื่อนที่มอ"

   ได้ยินและทำเป็นไม่สนใจ วันนี้อะไรก็ไม่รู้ดลใจให้พกโทรศัพท์มาด้วย มันเลยช่วยให้ผมมีอะไรทำระหว่างที่ต้องติดอยู่บนเก้าอี้ตัวนี้ไปจนกว่างานเลิก นานๆ ที่ได้ใช้ให้คุ้มกับค่าเครื่องก็ดี ผมไม่ค่อยใช้มันทำอะไรนอกจากโทรเข้าออกแล้วก็ตอบไลน์

   ตอนนี้เลยสบโอกาสในการหาอะไรอ่านแบบออนไลน์ไปเรื่อย

   "เหรอ" ท้ายเสียงลากยาวนิดหน่อยคล้ายติดใจอะไรบางอย่าง "แต่หน้าคุ้น..."

   "เดี๋ยวมึงนั่งตรงปลายโต๊ะนะ ของขวัญวางไว้เลย"

   ประโยคก่อนหน้าถูกตัดจบไปเสียก่อน ผมยังไม่เงยหน้าขึ้นมาจากเครื่องมือสื่อสารในมือของตัวเอง นี่เปิดอ่านเล่นไปเรื่อยจนเจอกับเว็บที่คัดเอาเรื่องราวน่าสนใจจากทั่วโลก ไม่ถนัดอ่านจากหน้าจอเลยแฮะ ตัวเล็กแถมแสงยังแยงจนปวดตาอีก

   "เมื่อกี้เราคุยกับถึงเรื่องไหนนะแฟร์"

   "..."

   หนึ่งในความสามารถพิเศษที่เกิดขึ้นหลังจากที่ผมต้องมาผจญกับคู่เพื่อนน่าปวดหัว คือสามารถชัตดาวน์ประสาทสัมผัสด้านการฟังให้กลายเป็นคนหูทวนลมมากขึ้น เพื่อประโยชน์ด้านสุขภาพจิตของผมเอง

   "แฟรี่"

   เขาเรียกผมด้วยชื่อนี้อีกแล้ว

   "อย่าทำเป็นไม่ได้ยินน่า"

   มีคำไหนที่เป็นขั้นกว่าของคำว่าเกลียดหรือเปล่า ผมตั้งสมาธิให้อยู่กับหน้าจอต่อไปได้ไม่มีสะดุด น่าแปลกตรงที่ตอนกะพริบตาขึ้นมาอีกครั้งสิ่งที่เห็นมันมีแค่ฝ่ามือของตัวเอง

   หันไปทางเจ้าของงานช้าๆ มองตาขุ่นเป็นการบอกว่าช่วยส่งโทรศัพท์คืนมาด้วย นี่ไม่รู้จักมารยาทเบื้องต้นเหรอว่าถ้าไม่ใช่ของตัวเองก็ไม่ควรเข้าไปยุ่ง แล้วแรงที่ใช้เมื่อกี้มันไม่ได้น้อยเลยนะ ถ้าเผลอทำหลุดมือไปแล้วเครื่องผมมีปัญหาจะเรียกค่าเสียหายให้เข็ด

   "ทำตัวเป็นแขกที่น่ารักหน่อย"

   ครึ่งหน้าที่แสงตกกระทบกำลังแย้มยิ้มสดใส มันคงเป็นแสงสว่างที่น่าอบอุ่นหัวใจให้ใครหลายคน ต่างกับผมที่ติดใจกับอีกครึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืด ในบางครั้งการยกมุมปากขึ้นมันไม่ได้หมายถึงเรื่องดีเสมอไป

   "อยู่อย่างนี้ไง ไม่รบกวนแน่รับรอง" อยากจะบอกต่อว่าให้กลับเลยก็เต็มใจมาก ก็รู้ไงว่าไม่มีทางทำอย่างที่ต้องการได้

   "งั้นก็นั่งอยู่ตรงนี้ไปก่อน จะไปตามชา ขี้เกียจตอบว่ามันไปไหน"

   "อืม"

   "แฟร์คงฉลาดพอที่จะรู้ว่าไม่ควรหายไปใช่ไหม"

   "..."

   ปากแย่จนไม่น่ามีเพื่อนคบเยอะขนาดนี้เลย



   "เชน?"

   คู่ชายหญิงหน้าตาดีที่หยุดอยู่ตรงหน้าของผมถาม ของในมือคือกล่องสี่เหลี่ยมลายจุดขนาดกำลังดีกับช่อดอกไม้แห้ง ผมไม่เคยให้ของขวัญกับ 'เพื่อน' มาก่อน แน่ล่ะ เพราะผมไม่มีเพื่อนไง จะมีก็แต่ลูกพี่ลูกน้องคนเดียว แล้วเราก็ชอบใช้วิธีการให้ในทุกโอกาสสำคัญมากกว่า

   "ไปหาธชา"

   "เหรอ..."

   "สักพักก็น่าจะมาแล้วล่ะ"

   จะเชิญให้นั่งก็เกินหน้าที่ไปหน่อย ให้ไปหาที่นั่งเองแล้วกัน

   "งั้นวางของหน่อยนะ"

   ยังไม่ดึกพอสำหรับงานเลี้ยงยามราตรี เครื่องดื่มบนโต๊ะเลยมีปริมาณไม่เท่าไหร่ น้ำแข็ง เบียร์ เหล้า โซดา แล้วก็ของกับแกล้ม ยังมีพื้นที่อีกเยอะสำหรับวางของขวัญ

   "นี่เป็นเพื่อนม.ปลายของเชน นายเป็นเพื่อนที่ม. เหรอ"

   "...มั้ง"
ไหนบอกแค่วางแค่ของไง แล้วทำไมถึงลงมานั่งข้างผมเฉยเลยล่ะ

   ไม่กล้าเรียกตัวเองว่าเป็น 'เพื่อน' ของเชนหรอก เอาจากก้นลึกของจิตใจเลยคือไม่อยากรู้จักกันเลยด้วยซ้ำ ผมล่ะอยากจะบอกว่าเป็นแค่คนร่วมมหาลัยที่โดนบังคับให้มางานนี้ด้วย แต่ก็นะ ขืนบอกอย่างนั้นไปยิ่งปวดหัวเปล่าๆ ทำให้มันเป็นเรื่องง่ายแหละดีแล้ว

   "ให้ชงให้ปะ"

   ไม่ค่อยได้สัมผัสกับบรรยากาศประมาณนี้จนทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน ผมส่ายหัวกลับไปแล้วให้ความสนใจกับภาพบนหน้าจออีกครั้ง

   นั่งเปิดไปเรื่อยๆ จนเจอกับเรื่องที่เหมือนจะน่าสนใจ ช่วงนี้ผมยังให้ความสนใจกับการอ่านเทพนิยายอยู่ ถึงยิ่งอ่านก็จะเจอเรื่องที่มีเนื้อหาคล้ายกันไปหมดก็ตาม น่าสนใจว่าสรุปแล้วใครลอกใคร หรือว่าคนบนโลกมีความคิดแบบเดียวกันขนาดนี้เลยเหรอ

   ชื่อเรื่องว่า True and Untrue เป็นพี่น้องที่มีนิสัยตามชื่อเลย คนหนึ่งเป็นชายแสนซื่อสัตย์ ส่วนอีกคนนั้นเต็มไปด้วยความไม่จริงใจ พวกเขาทั้งสองตกลงใจที่จะออกไปเสี่ยงโชคผจญภัย แรกเริ่มอันทรูเสนอให้ทานอาหารของทรูก่อน และเมื่อทั้งสองทานอาหารในส่วนนี้หมดอันทรูกลับปฏิเสธที่จะให้ทานในส่วนของตัวเองบ้าง

   ทรูที่ไม่พอใจเลยกล่าวออกไปว่านี่แหละคือนิสัยแท้จริงอันน่ารังเกียจของเจ้า อันทรูที่ไม่พอใจคำพูดนั้นจึงทำการดึงเอานัยน์ตาของทรูออกมาเสีย

   นี่มันเป็นการเริ่มเรื่องที่ระทึกใจเกินไปหน่อยไหม...

   ชายตาบอดอย่างทรูคลำทางผ่านเข้าไปในป่าจนถึงต้นมะนาว เขาตั้งใจว่าจะใช้พื้นที่กิ่งก้านด้านบนเป็นที่พักพิงเพื่อให้รอดพ้นจากเหล่าสัตว์ร้ายในคืนนี้ ไม่รู้ว่า ณ ใต้ร่มไม้แห่งนี้เป็นสถานที่ชุมนุมของเจ้าหมี เจ้าหมาป่า เจ้าจิ้งจอก และเจ้ากระต่ายป่า

   เจ้าหมีเริ่มเล่าเรื่องของน้ำค้างจากต้นมะนาวที่สามารถใช้รักษาโรคที่เกี่ยวกับการมองเห็นของพระราชาได้ก่อนที่พระองค์จะกลายเป็นคนตาบอด จากนั้นเจ้าหมาป่าก็เล่าเรื่องของบุตรสาวใบ้แสนโง่เขลาของพระราชา ว่าอาการทั้งหมดนั้นสามารถทำให้หายไปได้หากพวกเขาสามารถนำขนมปังที่อยู่กับคางคก ครั้งเจ้าหญิงทำหล่นเมื่อปีก่อนในงานมิซซากลับมาให้เธอ

   ส่วนเจ้าจิ้งจอกเล่าวิธีการหาน้ำพุในสวนภายในพระราชวัง และเจ้ากระต่ายป่าบอกวิธีการดูแลสวนผลไม้ของพระราชาให้สวยงามที่สุดในอาณาจักร โดยการนำเอาโซ่ทองมาวนเอาไว้รอบสวนทั้งหมดสามรอบ

   ชายผู้ซื่อสัตย์รอจนการชุมนุมนั้นสิ้นสุดลง จึงนำเอาน้ำค้างบนต้นไม้มาล้างนัยน์ตาอย่างที่เจ้าหมีบอก เมื่อเขาได้การมองเห็นกลับคืนมาแล้วสิ่งต่อไปคือการนำเอาเรื่องราวทั้งหมดไปเล่าให้พระราชาฟัง ทุกอย่างนั้นเป็นไปตามที่สัตว์ทั้งสี่ตัวเล่าสู่กันฟัง ด้วยความซาบซึ้งใจพระราชาจึงให้ทรูอภิเษกกับบุตรสาวของตนและยกอาณาจักรให้ครึ่งหนึ่ง

   ในวันอภิเษก ได้มีขอทานคนหนึ่งปรากฎตัวขึ้น อันทรูนั่นเอง ชายไร้สัจจะผู้ที่ทำร้ายนัยน์ตาของน้องตัวเองได้เข้ามาขอความช่วยเหลือ ทรูจึงบอกให้ไปรออยู่บนต้นมะนาวอย่างที่เขาเคยทำ แล้วรอว่าเหล่าสัตว์ทั้งสี่ตัวนั้นจะเล่าเรื่องอะไรออกมา

   น่าเสียดายที่ตอนจบก็ยังต้องเป็นตามแบบอย่างเทพนิยายที่ดี อันทรูไม่ได้อะไรสักอย่างเพราะวันนี้สัตว์ทั้งสี่ตัวรู้ว่าใครอื่นแอบฟังเรื่องเล่าเขาพวกเขา การชุมนุมในวันนั้นจึงไม่มีอะไรมากไปกว่าการทักทายและแยกย้ายกันไป

   "อ่านอะไรอยู่"

   บรรยากาศบนโต๊ะดูครึกครื้นขึ้นมาทันตาเมื่อคู่เพื่อนกลับมาพร้อมกัน ผมขยายหัวข้อเรื่องให้ธชาดูแทนการตอบ จากนั้นจึงเก็บมันลงเพื่อเปลี่ยนไปมองเจ้าของวันเกิดเดินทักทายผู้ร่วมงานทุกคน ยังขอย้ำอีกครั้งว่าในความคิดของผมเชนไม่ใช่คนที่น่าคบเป็นเพื่อนสักเท่าไหร่

   "เรื่องทั่วไป ใช้ฆ่าเวลาได้"

   "เหรอ"

   มันก็แค่เรื่องที่ไม่ค่อยเป็นเหตุเป็นผล อุตส่าห์สร้างตัวละครให้มีความแตกต่างจนน่าสนใจแล้วก็ควรจะมีเนื้อหาที่น่าตื่นเต้นสิ ที่จริงผมว่าตัวเองก็เคยอ่านเรื่องราวที่คล้ายคลึงกับเรื่องประมาณนี้มาก่อนด้วย

   "นั่นเชนเรียกนายอยู่"

   โบ้ยไปทางคนที่กำลังกวักมือเรียกไม่มีหยุด ตอนนี้วงปาร์ตี้ย้ายไปอยู่อีกฟากฝั่งหนึ่งเสียแล้ว ก็ดีเหมือนกันแหละ ผมจะได้อยู่เงียบๆ

   "เรียกแฟร์ต่างหาก"

   "เชนจะเรียกเราไปทำไม นายนั่นแหละ"

   "งั้นไปทั้งคู่ จะได้ไม่เสียเที่ยว"

   คว้าข้อมือของผมแล้วออกแรงดึงทันที ยังไม่ทันทรงตัวได้ก็ต้องก้าวเท้าตามจังหวะการเดินของอีกคนให้ทัน ผมก้มมองช่วงมือใหญ่ตรงหน้า ตั้งคำถามว่าเพราะอะไรมือของอสูรถึงเย็นได้เท่านี้

   เพราะเขาไม่มีหัวใจหรือเปล่า



   True Or Dare

   เคยได้ยินชื่อเกมนี้มาตั้งนานแล้วล่ะ แต่ไม่เคยเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเล่นหรอกนะ เห็นว่าเล่นเกมนี้กันตอนไปค้างคืนต่างจังหวัดหรือไม่ก็ในวงเหล้า ผมไม่เคยมีโมเมนต์อย่างนั้นเลยบอกไม่ได้ว่ามันสนุกหรือเปล่า

   "แฟร์มาเล่นกัน"

   พอเห็นหน้าคนเรียกก็คิดว่าไม่น่าสนุกแล้วล่ะ

   "ไม่"

    "ทุกคนก็เล่นนะ"

   จากวงใหญ่ตอนเริ่มงานมันเหลือเพียงเจ็ดคนในเวลานี้ ดูจากทรงแล้วก็คงเป็นคนที่สนิทที่สุดแหละ หนึ่งในนั้นคือคนที่บอกว่าเป็นเพื่อนมัธยมปลายของทั้งสองคนด้วย แต่ผู้หญิงที่มากับเขาไม่อยู่แล้ว

   "นี่แฟร์นะ เพื่อนคณะเดียวกับชา"

   ยังคงทำตัวเป็นพวกไร้มารยาทด้วยการก้มหน้ามองแต่มือถือตัวเอง แม้แต่มือยังไม่ยกขึ้นมาทำสัญลักษณ์ทักทาย

   "เริ่มเลยไหม"

   อุปกรณ์ที่ใช้มีเพียงหนึ่งขวดเบียร์เปล่า เสียงเพลงที่เคยดังสนั่นลดระดับลงตามเข็มสั้นที่ย้ายจากกึ่งกลางด้านบนไปทางขวา คนในร้านแม้จะยังหนาตาแต่ก็ไม่ได้ดูวุ่นวายเหมือนช่วงพีกที่ผ่านไป คงเริ่มเหนื่อยกันแล้วล่ะมั้ง ผมนั่งมองไปเรื่อยยังทรมานแทนเลย

   โต๊ะไม้ที่เคยเต็มไปด้วยเครื่องดื่มมึนเมาเหลือเพียงแก้วของตนเอง ไม่เว้นแต่ตรงหน้าผมที่มีภาชนะทรงสูงบรรจุเครื่องดื่มเอาไว้เต็ม

   ทุกอย่างดูเป็นของใหม่ที่ไม่น่าตื่นตาตื่นใจ จำนวนรอบของการเล่นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามการเดินทางของเวลาที่ไม่มีวันหยุด เสียงโห่ร้องสลับไปกับเสียงเชียร์ตามตัวเลือกที่ตนเองตัดสินใจ บางครั้งมันก็น่าสนุก ส่วนบางตอนมันน่าเบื่อจนเผลอหาวออกมา

   "รอมาตั้งนาน ถึงตาแฟร์สักที"

   จนถึงช่วงที่ผมใช้ดวงในการหลบหลีกไปหมดแล้ว ขวดปากกลมที่ไม่เคยหันมาทางผมจึงมาทักทายแบบไม่ทันตั้งตัว ในเวลาที่ต้องตัดสินใจอย่างเร่งด่วนผมไม่อาจชั่งข้อดีข้อเสียของตัวเลือกทั้งสองได้ทัน

   เลือกทางไหนก็ไม่น่ามีผลดีเหมือนกัน

   "ทรูก็ได้นะ เหมือนเรื่องที่แฟร์อ่านไง"

   ถอนหายใจออกมาเสียงดังเอาให้รู้ไปเลยว่าไม่พอใจที่เข้ามายุ่มย่ามในเรื่องที่ควรจะส่วนตัวเองของผม เชนหัวเราะกลับมานิดหน่อยพร้อมกับขยับยิ้มท้าทาย ก็นะ ในเวลานี้ผมคือเบี้ยที่อยู่ชั้นล่างสุดของสามเหลี่ยมนี่นา ดีไม่ดีอยู่นอกเหนือการไล่ลำดับชนชั้นด้วย

   "ทรูก็ได้" คือแดร์ของคนกลุ่มนี้มันค่อนข้างน่ากลัวสำหรับผม เช่นว่าให้เดินไปโต๊ะที่อยู่ถัดออกไปสามโต๊ะแล้วขอรูปเซลฟี่แบบเกือบจูบปากกลับมาให้ได้ "จะถามอะไรล่ะ"

   ทรูคือการเล่าเรื่องจริง

   ...แล้วตอนนี้ผมเป็นทรูหรือว่าอันทรูกันนะ

   "ชาทำขนาดนี้ไม่ใจอ่อนบ้างเหรอ"

   มีอยู่คนเดียวที่จะถามอะไรทำนองนี้ ผมทำหน้าไม่ค่อยเข้าใจมากเท่าไหร่ ส่วนคนอื่นที่ล้อมวงเริ่มส่งเสียงเซ็งแซ่จนเลือกไม่ถูกว่าจะจับใจความตรงไหน

   "กูว่าล่ะ ไม่งั้นคงไม่พาแฟร์มาด้วย"

   "มึงทำดีมากเชน"

   "ชาแม่งวางแก้วเลยวะ"

   หันไปทางผู้ชายในบทสนทนา ภาพที่ผมเห็นคือธชากำลังวางแก้วไร้ของเหลวลงกับโต๊ะ จังหวะที่คนนั่งเยื้องไปทางขวาเงยหน้าขึ้นมาเราก็สบตากันเป็นครั้งแรกของวัน อสูรไม่พูดอะไรออกมาสักคำ มีเพียงนัยน์ตาไร้ความรู้สึกที่มองตรงมาเท่านั้นกำลังสื่อถึงผมว่าเขารอคอยคำตอบอยู่

   "สนุกแล้ววว"

   "ตอนนี้หัวใจกูเต้นเร็วมาก"

   "ฉากเด็ด"

   ผมจำไม่ได้หรอกว่าประโยคเหล่านั้นใครพูดออกมาบ้าง สิ่งเดียวที่กำลังเล่นวนอยู่ในความคิดของผมซ้ำๆ คือคำถามที่ผมจำเป็นต้องตอบสลับไปกับเรื่องที่เกิดขึ้น ช่วงเวลาที่เขาพยายามแทรกซึมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผม

   แล้วภาพสุดท้ายก็หยุดที่ก้านดอกไม้ดอกนั้น

   "ไม่"

   ไร้ความลังเล ได้ยินเสียงร้องด้วยความเสียดายปะปนไปกับคำล้อเลียนเพื่อนของตัวเอง

   และเห็นว่านัยน์ตาคู่นั้นไม่เปลี่ยนความรู้สึกไปเลยสักนิด

   "กร่อยเลยครับงานนี้ อะ หมุนต่อ"

   เครื่องดื่มมึนเมาทำให้ความสามารถในการรับรู้ลดน้อยลง สภาพของคนบนโต๊ะแบ่งออกได้เป็นสามแบบ คือเมาไม่รู้เรื่องแต่ยังบอกว่าตัวเองไหว เมากรึ่มๆ ยังคุยรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แล้วก็คนที่ยังตาสว่างไร้อาการแทรกอย่างผมแล้วก็เจ้าของวันเกิด

   ส่วนธชาผมบอกไม่ได้ ก็เล่นเงียบไม่ยอมพูดอะไรมาตั้งแต่ต้นเกมแล้วนี่

   "ไอ้เหี้ย นี่มันพรหมลิขิต"

   "กูสาบานว่าไม่ได้แกล้ง"

   ขวดแก้วลดระดับความเร็วตามกฎของแรง ผมยกเครื่องดื่มของตัวเองขึ้นมากระดกดับกระหายแบบไม่สนใจรสชาติของมัน องศาสุดท้ายก่อนที่มันจะหยุดเรียกให้ผมกลืนน้ำลายเข้าไปอึกใหญ่ด้วยความวิตกกังวล

   เพราะมันไปหยุดอยู่ตรงหน้าของอสูรตัวร้ายไงล่ะ

   "เอ้า! เลือกมาครับ"

   "เหมือนแฟร์"

   มันมีวิธีการพูดอื่นเยอะแยะทำไมต้องเจาะจงให้เรื่องดูยากมากขึ้นด้วยนะ

   "กูเกลียดความชัดเจนของแม่งสัตว์ๆ"

   "ก็ตั้งแต่สมัยก่อนแล้วนี่"

   "เฮ้ย กูรู้ล่ะจะถามอะไรดี"

   เป็นอากาศไร้ตัวตนในวงกลมนี้ พวกเขาเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่มัธยมก็ต้องรู้ใจกันอยู่แล้วล่ะ ต่างจากคนนอกอย่างผมที่ไม่มีทางเข้าใจนิสัยแล้วก็รู้ว่าในอดีตเคยมีวีรกรรมอะไรเกิดขึ้นบ้าง มันทั้งน่าหงุดหงิดแล้วก็สบายใจไปพร้อมกัน ย้อนแย้งที่สุดก็ผมนี่แหละ

   "ชา ห้ามโกรธกูนะ"

   "ไม่เคยโกรธ"

   "แฟร์รู้หรือเปล่าว่าเมื่อก่อนชามันไม่ได้ท่ามากอย่างนี้หรอก แต่พอเจอเรื่องนั้นก็กลายเป็นอย่างนี้ไปเฉยเลย" เรื่องเล่าที่เคยได้ยินมาก่อนหน้าแล้ว เนื้อหาที่ค่อนข้างตรงกันช่วยยืนยันว่าเสียงเล่าอ้างเก่าๆ มันคือเรื่องจริง "กูจะถามว่ามึงทำอย่างนี้แสดงว่าลืมได้แล้วเหรอ"

   "..."

   เข้าใจคำว่าบรรยากาศมาคุก็ตอนนี้แหละ ตอนที่ไม่มีทั้งเสียงร้องเชียร์หรือเป็นลูกคู่รับส่ง ทั้งโต๊ะมีเพียงความเงียบจนเสียงเพลงคลอตามลำโพงดังในความรู้สึก

   ลืม...งั้นเหรอ

   นี่พวกเขากำลังพูดถึง 'ความลับ' ของอสูรหรือเปล่า?

   เผลอจิกข้อมือตัวเองไม่ทันได้ตั้งตัว ขอบคุณที่ทิ้งแขนทั้งสองข้างไว้ใต้โต๊ะเลยไม่มีใครสังเกตเห็น ผมฝืนตัวเองให้หันไปมองผู้เล่นในนัดนี้ ธชาก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ว่างเปล่า ไร้อารมณ์ร่วม จนบอกไม่ได้ว่าเขามองมาทางผม...หรือกำลังสร้างภาพใครบางคนมาทับเอาไว้

   "พอดีแฟร์ตอบอย่างนั้นด้วย กูเลยกล้าถาม" กลายเป็นความผิดของผมอีกเหรอที่ตอบอย่างนั้นไป "ตอบมา ลืมได้แล้วหรือยัง"

   ต่อให้ไม่ต้องมีเครื่องวัดก็จับจังหวะได้ว่าหัวใจของตัวเองเต้นเร็วกว่าอัตราปกติ ผมไม่อยากจะเดาไปก่อนว่าคำตอบที่จะออกมาเป็นแบบไหน เพราะถ้าคาดหวังเราจะรับมือกับความผิดหวังไม่ได้

   ส่วนหนึ่งคงเพราะเครื่องดื่มผสมสารที่มีฤทธิ์ในการลดระดับการคงอยู่ของสติและสัมปชัญญะ ผมไม่เห็นว่าคนอื่นจะแสดงอาการกระอักกระอ่วนกับคำถามที่ดูละเอียดอ่อน เหมือนว่าสิ่งเดียวที่อยู่ในความสนใจคือคำตอบจากปากของธชา

   "มึงเลือกทรูนะชา"

   โอกาสที่จะได้รู้ในสิ่งที่ตามหามาเสมอเข้าใกล้เสียเหลือเกิน...

   ในช่วงเวลาที่ดวงตาทุกคู่พุ่งตรงไปยังผู้เล่นในตานี้ คนต้องตอบคำถามก็สบตากลับมาที่ผมจนเหมือนภาพเดจาวูจากการเล่นของตัวเองเมื่อครู่

   ไม่ว่าจะครั้งไหน หรือว่าเมื่อไหร่ ผมก็ไม่เคยอ่านความหมายข้างในได้สักที

   เหมือนคนจมอยู่กลางมหาสมุทร เคว้งคว้างไร้ทางรอด หลังจากที่ลอยคอรอความตายก็มีเรือลำเล็กมาหยุดอยู่ใกล้ และเจ้าของเรือก็เพียงยืนมองผมจากข้างบนนั้นไม่ยื่นความช่วยเหลือใดลงมา

   "โหย อะไรวะ"

   "กากฉิบหาย"

   ปฏิกิริยาต่อจากนั้นคงไม่เป็นที่พอใจของใครอื่นเท่าไหร่ เสียงก่นด่าถึงตามมาแบบไม่มีช่องว่างให้ได้แก้ตัว ธชาเลือกที่จะเอื้อมมือออกไปคว้าขวดเบียร์ที่ยังมีน้ำอยู่เกือบครึ่งมารินใส่แก้วของตัวเอง จากนั้นก็ดื่มแบบทีเดียวหมด

   ถ้าไม่ตอบก็ต้องโดนลงโทษ เราตกลงกันไว้ตั้งแต่เริ่มเกมแล้ว

   "ไอ้สัตว์ แม่งตัดทางทำมาหากินเฉย"

   "ถ้าเป็นมึงจะตอบเหรอ คนใหม่แม่งก็นั่งอยู่ตรงนี้อะ"

   นั่งเงียบไม่ตอบรับหรือว่าปฏิเสธ อารมณ์ขุ่นมัวข้างในเพิ่มมากขึ้นเสียจนต้องก้มหน้าไม่เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของวงกลมขนาดใหญ่นี้ ผมกำลังไม่พอใจ...แต่ไม่รู้ว่ามันมาจากการที่พวกเขาเรียกผมว่า 'คนใหม่' หรือว่าผิดหวังกับคำตอบของธชากันแน่

   ผมอยากรู้ว่า 'ใคร' เป็นคนที่เขายังไม่ลืม

   "เมาแล้ว พูดไม่รู้เรื่อง" ข้ออ้างจากคนเพิ่งดื่มหมดแก้วไม่มีความน่าเชื่อถือ

   "ตอแหล มึงเมายากที่สุดแล้วเถอะ"

   "เล่นต่อเถอะ"

   หลังจากนั้นไม่กี่ตาบรรยากาศก็กลับมาเป็นปกติ เหมือนว่าสองคำถามเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น หลังจากช่วงดวงตกเป็นแนวดิ่งแล้วมันก็เด้งกลับขึ้นมาอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยจนจบเกม ไม่มีครั้งไหนที่ปากขวดจะหันกลับมาทางผมให้ต้องขวัญผวาเลยสักครั้ง

   ในช่วงหลังจำนวนการเล่นมีผู้เล่นหลักอยู่แค่ไม่กี่ราย หนึ่งในนั้นคืออสูรร้ายผู้เลือกดื่มจนหมดแก้วแทนการตอบทุกคำถาม ผมน่ะรอจังหวะที่จะเก็บข้อมูลเพิ่มเติมอยู่ตลอดนั่นแหละ น่าเสียดายที่พอมีใครจะหลุดปากอะไรออกมา คู่เพื่อนช.ช้างก็จะหาเรื่องขัดได้ตลอด

   "ขับรถดีๆ นะ"

   บอกลากันตรงทางออก ต่างคนต่างแยกย้ายไปตามทิศกลับบ้านของตัวเอง ขามามีสมาชิกสามคนขากลับก็มีจำนวนเท่าเดิม เชนเป็นคนขับโดยมีคนนั่งด้านหลังสองคน เราสองคนเงียบสนิทไม่คิดเปิดปากออกมา

   เชนินทร์ปล่อยผมกับเขาที่คอนโดกลางเมืองของธชา คำนวณเส้นทางการกลับบ้านในหัวแล้วถอนหายใจออกมาอย่างคนปลงตก เวลานี้ไม่มีรถประจำทางให้ขึ้นหรอก

   "ให้ไปส่งได้นะ หรือจะนอนนี่ก็ได้"

   "เรากลับเอง" ข้อเสนอที่ให้มาไม่ว่าทางไหนก็ไม่ควรเสี่ยง ผมไม่รู้ว่าธชากินไปกี่แก้วหรือว่ากี่ขวด ถึงเพื่อนทุกคนจะการันตีว่าเขาไม่มีทางเมาง่ายๆ ก็ใช่ว่าผมต้องหาเรื่องใส่ตัว "ขึ้นไปนอนเถอะ"

   "ไปส่งแล้วกัน"

   ผมหลับตาลง นับหนึ่งถึงสิบในใจ หวังว่าลืมตาขึ้นมาแล้วมันจะมีปาฏิหาริย์บางอย่างเช่นว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นแค่เรื่องในจินตนาการของผมเท่านั้น

   "..."

   เมื่อลืมตาขึ้นมาแล้วทุกอย่างมันยังคงสภาพเดิม ก็รู้เลยว่าพระเจ้าไม่ได้รักผมเลย

   "ทรูออร์แดร์"

   บอกไม่ได้เหมือนกันว่าอะไรเป็นแรงผลักดันให้ผมเอ่ยคำนั้นออกไป อาจเป็นเพราะดอกไม้แห้งเหี่ยว เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือบางทีคงมาจากเรื่องใหม่ที่เพิ่งรับรู้

   "เหมือนเดิม" ธชาไม่มีอิดออดหรือตั้งคำถาม ท่าล้วงกระเป๋าสบายๆ ไม่มีความกังวลใดปรากฎ

   "ถ้ายังไม่ลืมแล้วมายุ่งกับเราทำไม"

   "พอรู้อย่างนี้แล้วเสียใจเหรอ?"

   ยิ้มจางผสมรอยหยันที่ซ่อนอยู่ในน้ำเสียงสร้างความเจ็บปวดได้ไม่น้อย เมื่อได้ข้อสรุปว่าอีกคนคง 'ไร้หัวใจ' อย่างที่หลายคนบอก มันก็ไม่เหลืออะไรให้ผมต้องเก็บเอาไว้อีก

   ในเกมก่อนผมเล่นเป็นอันทรูคนไร้สัจจะ

   "เสียใจ"

   ส่วนตอนนี้ผมเป็นทรูคนที่ซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเอง


***
   อยากให้อากาศหนาวนานๆ จังค่ะ อยากรื้อเอาเสื้อแขนยาวออกมาใส่บ้าง (หัวเราะ)
   #หลอกลวงรัก

ออฟไลน์ Zenith

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เหมือนจะเข้าใกล้ความจริงแต่ก็ยังไม่ถึงสักที คือคิดๆไว้ว่าชาอาจมีซัมธิงอะไรกับแฟร์มาก่อนหรือเปล่า แล้วความลับของอสูรที่ว่าคืออะไรกันแน่ โอ๊ยยย! เดาอะไรไม่ได้สักอย่างจริงๆ  :katai1: แล้วเมื่อไหร่ที่ความลับนั้นจะเปิดเผย แล้วเมื่อไหร่แฟร์จะรักชา (ชารักแฟร์แล้วมั้ย หรือยังแค่เล่นๆ) ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกว่าคุณเจ้ากำลังปั่นหัวเราเล่น5555 ยอมค่ะ  :monkeysad:

ออฟไลน์ Raccool

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +237/-2
แง้   :katai1: :katai1: :katai1:
สรุปมันอะไรกันนนนนนน
อสูรแค่ใช้แฟร์เป็นตัวแทนให้ลืมคนเก่า หรือแฟร์คล้ายคนเก่าเลยเข้าหา หรืออะไร แงงงงง

ออฟไลน์ SimplyDelicious

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
คดีพลิกกกกกกกก

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
เรื่องเล่าที่สิบสอง


   เขาจะมาปรากฎตัวอีกครั้งเมื่อดอกกุหลาบบานสะพรั่ง
   - The Rose


 
   กุหลาบสีแดงช่อใหญ่

   กับอสูรไร้หัวใจที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้า

   "เคยได้ยินเรื่อง The Rose ไหม?"

 

   (เตรียมของทุกอย่างครบแล้วใช่ไหมแฟร์)

   "ก็ไม่ต้องเตรียมอะไรอยู่แล้ว"

   (อย่าทำเหมือนไม่สนใจโลกอย่างนั้นสิ)

   "ไม่ได้ทำเหมือน ไม่สนใจจริงๆ"

   เปิดลำโพงของโทรศัพท์เอาไว้อย่างนั้น เดินตรงไปยังตู้เสื้อผ้าที่มีไม้แขวนเสื้ออยู่ไม่ถึงครึ่ง ปัดให้มันเลื่อนไปยังพื้นที่ที่ว่างอยู่ของราวทีละตัวจนเจอกับเสื้อยืดตัวโปรด สวมมันเข้าไประหว่างรอปลายสายตอบกลับ

   (อีกประมาณครึ่งชั่วโมงถึงนะ)

   "ไม่ไปไม่ได้เหรอ"

   ได้ยินแค่เสียงหัวเราะตามสายผมยังนึกหน้าร้ายๆ ของเชนออกเลย (ไปบอกชาเองสิ)

   "ก็รู้ว่าบอกธชาไปก็ไม่มีประโยชน์ไง"

   (งั้นก็รอเรา นั่นน่าจะมีประโยชน์ที่สุดแล้วล่ะ)

   เชนินทร์ใช้เวลายี่สิบเก้านาทีในการเดินทางมารับผมตามสถานที่ที่ได้นัดหมายกันเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ที่อยู่อาศัยของเราสามคนเรียงตามลำดับความไกลคือเชน ผม แล้วก็ธชา เมื่อปลายทางคือคอนโดกลางเมืองของธชามันเลยเป็นการอ้อมนิดหน่อยเพื่อแวะรับผมระหว่างทาง

   เลือกที่จะนั่งเบาะหลังแทนที่จะเป็นเพื่อนอยู่ด้านหน้า ผมว่าร่างกายของตัวเองตั้งคำสั่งเอาไว้แล้วว่าถ้าเลี่ยงการเข้าใกล้เชนได้ก็ทำไปเถอะ แล้วเขาเองก็ดูไม่มีปัญหาอะไรกับการที่ผมแสดงออกชัดเจน

   "ดูสบายดีนะ ได้เข้าเฟซบ้างหรือเปล่า"

   "ไม่"

   เชนินทร์หัวเราะในลำคออีกแล้ว "ว่าแล้ว"

   "มันวิ่งเร็วไป เหนื่อยตาม"

   เสียเวลาเกินไปสำหรับการอัปเดตชีวิตคนอื่นผ่านช่องทางออนไลน์ เราจำเป็นต้องรู้ขนาดนั้นเลยเหรอว่าใครกำลังทำอะไร ไปที่ไหน หรือว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ใด ถ้ามีเวลาเอาไปอ่านหนังสือให้จรรโลงใจยังดีกว่าเยอะ

   "ก็ดี ไม่งั้นแฟร์คงหัวเสียไปแล้ว"

   "เรื่องธชาล่ะสิ"

   คนที่เอาความยุ่งยากเข้ามาในชีวิตของผมมีอยู่คนเดียวนั่นแหละ

   "เก่ง"

   "เรื่องที่ไม่มีคนพูดต่อเดี๋ยวก็หายไปเอง คนไทยลืมง่าย" ยกวลียอดฮิตขึ้นมาพูด

   วันนี้คณะของผมมีงานบายเนียร์ งานที่เคยได้ยินแต่ชื่อไม่เคยมีความคิดอยากเข้าไปมีส่วนร่วม ถึงคณะของผมจะไม่ได้เก็บเงินเพิ่มเพื่อจัดงานจนเป็นสาเหตุแห่งความแตกแยกก็เถอะ พอดีไม่ใช่สายฟรีที่จะพุ่งเข้าไปหาแบบไม่เผื่อใจคิดอะไร

   กลายเป็นจารีตประเพณีไปแล้วที่ต้องมีธีมงานในแต่ละปี สร้างสรรค์แต่ก็สร้างความเดือดร้อนพอกัน คนร่วมเอกที่เห็นหน้าเห็นตากันตลอดเอาแต่พูดเรื่องนี้ตอนรออาจารย์เข้าสอน หรือแม้กระทั่งในช่วงเวลาพักเบรก คือมันก็มีคนไม่ไปแหละ แต่ไม่ใช่กับคนรอบข้างผม

   ต่อให้ใจปฏิเสธแค่ไหนสุดท้ายก็โดนบังคับให้ต้องไปด้วยอยู่ดี ผมยกข้ออ้างสารพัดขึ้นมาสนับสนุนเหตุผลที่จะไม่โผล่หน้าเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของงานแต่มันก็ถูกหักล้างด้วยคำพูดเดียวจากคุณอสูรและเพื่อนว่าจะจัดการให้เองทั้งหมด

   นี่เพิ่งผ่านมาประมาณหนึ่งสัปดาห์หลังจากงานเลี้ยงวันเกิดที่ไม่น่าจดจำ ผมยังคงใช้ชีวิตเหมือนปกติทุกวัน ตกเย็นก็จะไปนั่งเล่นอยู่ในห้องสมุดรอเวลากลับบ้าน และส่วนที่ทำให้ผมมีความสุขที่สุดคงไม่พ้น...

   "นี่ชาฝากนมมาด้วย ในถุงนั่น"

   ข้างตัวคือหนังสือหลายวิชาโยนกองรวมๆ กันไว้ ด้านบนสุดมีถุงพลาสติกจากร้านสะดวกซื้อวางทับ ความบางของถุงมากเสียจนแค่ปรายตามองก็รู็ว่ามันคือนมกล่องสี่เหลี่ยมแบบเดิม

   "อืม"

   "ถ้าลืมเอาไว้อีกจะเอามาให้ทั้งลัง"

   "ไม่เคยเอาไปต่างหาก"

   แก้คำเสียหน่อย ที่บอกว่าผมใช้ชีวิตเหมือนปกติส่วนที่ต้องเน้นที่สุดคือตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาโต๊ะของผมไม่เคยได้ต้อนรับธชาเลยสักวัน ถ้าไม่มีนมวางเอาไว้แล้วก็จะฝากเชนเอามาให้ ไร้เงาชายที่ถามว่าผมเสียใจหรือเปล่ากับคำตอบที่ให้ใครอื่น ไม่มีข้อความไหนส่งมาเพิ่มเติมในไลน์ จะมีก็แต่เนื้อหาในรายงานที่เพิ่มขึ้นมาเท่านั้น

   เห็นไหมล่ะ ชีวิตดีแค่ไหน

   น่าเสียดายก็ตรงงานบายเนียร์เป็นเรื่องที่ตกลงกันเอาไว้ก่อนที่จะเกิดเรื่องขึ้น แล้วพวกเขาก็ความจำดีพอที่จะไม่ลืมว่าเคยบอกอะไรไว้

   "แฟร์ไม่รักษาของ"

   "ไม่มีของให้รักษา"

   ผมต้องได้ยินเสียงหัวเราะอย่างนั้นไปอีกนานแค่ไหนนะ

   "ถ้าจริงคงไม่ต้องมาอยู่ด้วยกันอย่างนี้หรอก"

   "เราไม่เคยบอกให้ต้องอยู่ด้วยเลยนะ"

   "เต็มใจอยู่เองก็ได้"

   คำตอบสั้น ไม่มีคำเชื่อมหรือว่าคำขยาย หลายคนอาจไม่ชินวิธีการพูดคุยอย่างนี้ ผิดกับผมที่ชอบให้ทุกอย่างกระชับเอาแต่ใจความ พูดมากเยิ่นเย้อแล้วสุดท้ายก็ไม่ได้อะไรเพราะหลงอยู่ในเนื้อหาจับใจความไม่เจอ

   "ไม่เต็มใจให้อยู่"

   "พูดอย่างนั้นกับชาสิ"

   การเคลื่อนที่ของรถยนต์ช้าลงไปเรื่อยๆ ตามการเบรก ภาพนอกหน้าต่างกลับมาชัดเจนไม่เป็นเส้นริ้วตามระบบการจดจำภาพของสมอง ความเย็นของอากาศข้างในเมื่อบวกกับบรรยากาศเงียบเหงาเรียกเอาภาพเดิมที่เกิดขึ้นในวันนั้นกลับมา

   พอรู้อย่างนี้แล้วเสียใจเหรอ

   มันยังคงมีอาการวูบโหวงทุกครั้งยามประโยคนี้กลับมาเล่นซ้ำ

   "ต่อให้อัดเสียงแล้วเล่นเป็นร้อยรอบธชาก็ไม่เข้าใจหรอก"

   "ลองเพิ่มเป็นพันรอบไหม"

   ช่วงนัยน์ตาที่สะท้อนกลับมาผ่านกระจกมองหน้าบานเล็กเต็มไปด้วยความสนุกสนาน

   "..."

   คนเราคงนิยามคำว่าเพื่อนไม่เหมือนกัน บ้างก็หมายถึงคนที่เข้าใจกันในทุกเรื่อง บ้างก็คนที่อยู่เคียงข้างเราได้ตลอดเวลา ผมเห็นเขาสองคนอยู่ด้วยกันแล้วก็ไม่เข้าใจว่าคบกันไปได้ยังไง เหมือนเหรียญคนละด้านที่ไม่มีทางมองเห็นอีกฝั่งได้

 

   แล้วผมก็ได้กลับมายืนหน้าห้องพักของธชาเป็นครั้งที่สองในรอบไม่ถึงเดือน เคาะประตูสามครั้งเป็นการเรียกให้เจ้าของออกมาเปิดต้อนรับ

   "ไม่รู้สึกแปลกๆ เหรอ"

   ไม่หันหน้ากลับมามองคนถามให้หงุดหงิดไปมากกว่านี้ "เรื่อง?"

   "ก็ไม่ได้เจอชามาตั้งแต่งานวันเกิดเราแล้วนี่"

   "แล้วไง?"

   ย้อนกลับไปทันควัน เชนกำลังจะแต่งบทบาทให้ผมเป็นคนประหม่า ขี้กลัวกับทุกสิ่งเหรอ การที่ไม่ต้องเจอธชาสำหรับผมแล้วมันมีข้อดีมากกว่า ไม่สนหรอกว่าการหายไปโดยไม่มีคำบอกกล่าวมันหมายถึงอะไร แล้วก็ไม่กลับเอามาคิดว่าตัวเองทำอะไรผิดด้วย

   การที่ผมบอกว่าตัวเองเสียใจ นั่นหมายความอย่างนั้นจริง

   "ก็เปล่า" วิธีการปฏิเสธติดสนุกเสียด้วยซ้ำ "นึกว่าจะต้องอยู่ในละครดราม่าไปทั้งวัน"

   "ตัวเองก็อย่าสร้างเรื่อง 'อีก' สิ"

   ย้ำชัดไปว่าเคยทิ้งความปั่นป่วนอะไรเอาไว้บ้าง ผมว่าชาตินี้ตัวเองไม่เคยทำให้อีกฝ่ายต้องเจ็บช้ำเลยนะ หรือต้องย้อนไปสักสิบชาติก่อนหน้าถึงจะรู้ได้ว่าเพราะอะไรเชนินทร์ถึงเข้ามาสร้างความยุ่งยากให้กับผมเยอะไปหมด

   ได้ยินเสียงสลับกลอนตามมาด้วยบานประตูที่เปิดกว้าง ใบหน้าติดเฉยกับช่วงนัยน์ตาสีดำคู่เดิมสร้างความปั่นป่วนให้ได้ในระดับเล็กน้อย

   "วันนี้ก็เลยมาไถ่โทษไง จะช่วยแต่งตัวให้เต็มที่เลย ...ไงชา"

   เชนบอกเสียงเบาในช่วงเวลาที่แทรกตัวเข้าไปก่อน ผมทำปากเบะลับหลังอยู่คนเดียว ความรู้สึกแรกที่พุ่งเข้าหาเมื่อก้าวข้ามเข้าไปสู่อาณาจักรส่วนตัวของอสูรคือน่าอึดอัด ตามมาด้วยความขุ่นมัวยามมองเห็นส่วนของห้องนอน

   ก้านดอกไม้แห้งเหี่ยวยังคงประทับอยู่ในความทรงจำ

   ธชาทักทายเราสองคนสั้นๆ ไม่ลืมที่จะหันกลับมาอนุญาตให้กินของในตู้เย็นได้ตามสบาย ทุกอย่างยังดำเนินไปตามปกติราวกับว่าตลอดทั้งสัปดาห์มันไม่มีอะไรแปลกไป ...หรือว่าผมจะคิดมากไปเอง

   "แฟร์ไม่มีเสื้อผ้าแบบนั้น กูไม่ชัวร์ว่าที่เอามาจะไซซ์ตรงกันหรือเปล่า" ธชาตัวสูงกว่าผมพอสมควร ส่วนเชนก็สูงลดหลั่นกันไป "ไงก็รื้อตู้มึงนะ"

   "ตามสบาย"

   "ปะแฟร์ ถล่มห้องนอนชากัน"

   แน่นอนว่าตู้เสื้อผ้าก็ต้องอยู่ในห้องนอน เชนกึ่งลากกึ่งจูงผมเข้าไปยังจุดหมายโดยมีเจ้าของห้องตามเข้ามาตรวจสอบความเรียบร้อย หน้าตู้ไม้อัดมีเสื้อชุดหนึ่งแขวนเอาไว้อยู่ก่อนแล้ว นั่นคงเป็นชุดที่ธชาจะใส่ในวันนี้

   "มึง กูอยากกินบอนชอน"

   "ก็สั่ง"

   "ไม่ว่าง ต้องช่วยแฟร์ก่อน"

   "คือจะให้กูสั่ง"

   "และจ่ายเงิน" ยังหัวเราะคิกคักให้กับแผนร้ายของตัวเองได้อยู่ ผมหันหลังให้กับธชาอยู่เลยต้องเดาเอาจากน้ำเสียงว่าเขากำลังอยู่ในอารมณ์ไหน

   "กูจะโทรเรียกเก็บเงินจากแม่มึง"

   "เชิญเลยครับ"

   มีการไล่เพื่อนให้ออกไปสั่งข้างนอกอีกต่างหาก เชนเพิ่มความผ่อนคลายโดยการเปิดเพลงในสมาร์ตโฟนของตัวเอง แล้วทำอย่างที่บอกไว้คือรื้อตู้เสื้อผ้าของเพื่อนเสียสนุกสนาน ผมยืนมองเขาเอนจอยกับการโยนเสื้อที่เล็งๆ เอาไว้ไปบนเตียงสลับไปกับการลอบมองแผ่นหลังเจ้าของห้องที่ยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูอยู่ด้านนอกประตู

   "เมื่อวันก่อนชามันโทรมาคุยกับเรา เรื่องแฟร์"

   "อยู่ด้วยกันตั้งนานทำไมเพิ่งมาพูด" ต้องร้ายแค่ไหนถึงเลือกพูดเรื่องนี้ในเวลาที่ธชาอยู่ห่างออกไปแค่หนึ่งกำแพงกั้น ทั้งที่มีโอกาสเล่ามากมายตอนอยู่กันแค่สองคน "ไม่ต้องเล่าด้วยว่าคุยอะไรกัน ไม่อยากรู้"

   ไม่รอให้ว่างจนมีจังหวะแทรกผมก็พูดต่อเลย

   "ก็คิดนะ บางทีถ้าเราเป็นคนที่ได้กุหลาบพวกนั้นเหมือนคนอื่นมันอาจจะดีกว่าที่เป็นอยู่"

   อย่างน้อยถ้าเป็นผู้ครอบครองเจ้าดอกไม้มีหนามแหลม ผมก็ยังพอปลอบใจตัวเองได้ว่ามันไม่มีความหมายอะไร แต่พอได้รับการปฏิบัติที่แตกต่าง มันก็พาลพาให้เผลอนึกหลงไปเองว่ามันพิเศษกว่า

   "อยากได้จริงเหรอ?"

   คำที่บอกไม่ถูกว่าเป็นบอกเล่าหรือว่าตั้งคำถาม "ที่จริงอยากได้หน้าเฉลยมากกว่า"

   "ไม่ได้ เราให้ตัวช่วยไปแล้วไง" ไม่ต้องมีญาณทิพย์ยังรู้เลยว่าเขากำลังสื่อความหมายถึงสิ่งใด ก็สายตาของเชนินทร์มันมองเลยผ่านผมไปด้านหลัง ที่ๆ ตู้เก็บของเรียงรายอยู่ "เอาไปมันก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรขึ้นมาหรอก เชื่อเราสิ"

   จะเถียงก็ไม่กล้า ท่าทางสบายๆ เหมือนกับว่าเป็นการพูดไปเรื่อยไม่ได้เข้ากับช่วงนัยน์ตาที่ไม่ได้ย้อนกลับมาประสานสายตากับผมเลย เชนเหมือนกับว่ากำลังเจ็บปวดกับบางสิ่งที่ลงมือกระทำไปแล้วแต่ไม่มีโอกาสแก้ไขมัน

   "แต่ถ้าอยากได้เดี๋ยวบอกชาให้"

   "ไม่ต้อง"

   "เห็นแล้วเป็นไงบ้าง"

   "ไม่รู้สึกอะไร"

   "จริงเหรอ" ยกเสื้อผ้าในมือขึ้นมาแกว่งนิดหน่อย "ลองดูใหม่ได้นะ"

   "ชุดมันไม่ใช่ของเรา"

   และมันเป็นการบอกอีกนัยว่าผมรู้ตัวดีเกี่ยวกับจุดยืนของตัวเอง

   "มันก็จริงแหละ ...แต่ทำอะไรไม่ได้แล้วเนอะ เพราะงั้นเอาไปเปลี่ยนเถอะ”

   มันเป็นเสื้อลายสก็อตแขนสั้นสีฟ้ากับกางเกงสีน้ำตาลเข้ม มีเข็มขัดหนังแท้เป็นสิ่งประดับเดียว ดูเรียบง่ายอย่างที่เชนบอกว่าอยากผมให้แต่งมากกว่าแฟชันคุณลุงที่ใส่มาตั้งแต่แรก

   ค้านตั้งมากก็ไม่เป็นผล ผมจำใจเอาชุดที่ดีไซเนอร์ได้ทำการมิกซ์แอนด์แมทช์ไว้แล้วเข้าไปเปลี่ยนเพื่อรับการประเมินครั้งที่หนึ่ง ที่น่าประหลาดใจระคนไปกับความสะพรึงคือการที่ทุกชิ้นมันเข้ากับผมได้พอดี แบบที่สาบานเลยว่าไม่เคยบอกใครมาก่อนว่าตัวเองมีสัดส่วนเป็นอย่างไรบ้าง

   เมื่อผ่านการประเมินจากผู้ออกแบบในครั้งเดียวก็ถึงช่วงของการรอเวลา นี่ทั้งตัวมีแค่รองเท้าหนังเท่านั้นที่เป็นของผมเอง พิลึกชะมัด

   “ขอให้สนุกกับงานนะ” ไหงถึงสะกิดใจกับคำอวยพรของเชนินทร์จังนะ

   เราสองคนเลือกที่เรียกรถแท็กซี่จากหน้าคอนโดไปยังส่วนจัดงาน ที่ธชาไม่ได้ขับรถไปเองก็มาจากการที่ผมยืนกรานว่าจะไม่ยอมนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถอย่างเด็ดขาด

   อาจดูใจร้ายนะ แต่ว่านั่นเป็นทางที่ผมคิดว่ามันดีที่สุดสำหรับตัวเอง

   ธชานั่งข้างหน้ากับคนขับ ส่วนผมอยู่ด้านหลังคนเดียวในตำแหน่งเดียวกับเขา จากตรงนี้เห็นได้แค่ช่วงศีรษะลงมาถึงไหล่นิดหน่อย ผมอันเดอร์คัตเซตขึ้นไปเป็นทรงสวยกับเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวสะอาดตา มีเอี๊ยมสีดำคาดเอาไว้เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศของงาน

   "งานเลิกกี่โมง"

   "เริ่ม?" ทวนคำถามที่เบาบางจนเกือบไม่ได้ยิน "ไม่รู้ ถึงเมื่อไหร่ก็เริ่มเมื่อนั้นแหละ"

   "ถามว่าเลิก ไม่ใช่เริ่ม"

   ได้ยินเสียงแท็กซี่หลุดขำตอนที่เขาแก้ความเข้าใจผิดของผม "จะรู้ได้ยังไง"

   "งั้นสักทุ่มครึ่งออกนะ"

   เขาคิดว่าผมจะยอมกลับด้วยเหรอ นี่วางแผนชิ่งตั้งแต่เข้างานเอาไว้แล้ว เอาแบบที่ส่งของให้สายรหัสแล้วก็เตรียมออกมาหาป้ายรถเมล์ ลองสำรวจเส้นทางแล้วมันมีสายที่วิ่งตรงถึงบ้านของผมเลยเหมือนกัน ต้องรีบหน่อยเพราะถ้าช้าแล้วอาจเจอรถติดแบบมโหฬารได้

   "ชา ลงทะเบียนทางนี้"

   แค่เหยียบหินก้อนแรกในส่วนของงานก็ได้ยินเสียงทักทายแล้ว ผมยืนนิ่งรอให้เจ้าของชื่อที่อยู่ในประโยคก่อนหน้าเดินนำไปก่อน ก็คนที่โดนเรียกไม่ใช่ผมนี่นา เราก็ต้องอยู่ในที่ของเราเนอะ

   ธชาเป็นคนที่ไม่ควรเข้าใกล้โดยไม่จำเป็น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ได้รับการยอมรับจากเพื่อนในรุ่น อย่างหลายงานเขาก็ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในฐานะทีมจัด เด็กกิจกรรมหลายคนยืนยันว่าส่วนของที่เขารับผิดชอบไม่ค่อยเจอข้อผิดพลาดให้วุ่นวายตอนวันจริง

   "เดินสิ"

   แต่พอไม่ขยับ ก็กลายเป็นธชาเองก็ทำตาม "เขาเรียกนาย"

   "ไปด้วยกัน"

   มันเป็นพื้นที่เปิดกว้างจนเห็นว่าสายตาของคนอื่นที่มองมามีอะไรอยู่ข้างใน ความอยากรู้อยากเห็นปิดไม่มิดจนผมทำหน้าหน่ายออกไป ทำอย่างกับไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น

   อย่างน้อยผมก็ได้ยินคำพูดลอยๆ เกี่ยวกับคำว่า 'ไม่ใจอ่อน' โดยเฉลี่ยหนึ่งครั้งต่อวันแล้วกัน

   ก็ไม่รู้หรอกนะว่าในพื้นที่เขาของบนสื่อออนไลน์พวกนั้นมีผมเข้าไปเกี่ยวแล้วกี่เปอร์เซ็นต์ และบอกไม่ได้ว่ามันออกไปในทิศทางที่ส่งผลแบบไหนกลับคืนมา หลายคนรู้แค่ว่าผมทำงานกับธชาในรายงานชิ้นใหญ่ นอกจากนั้นแล้วถ้าถามว่าแฟร์คือคนไหนอาจต้องใช้เวลาในการนึกสักครู่

   งานบายเนียร์ใหญ่กว่าที่คิดเอาไว้ ลองเอาตัวเลขของเด็กในหนึ่งชั้นปีมาคูณสี่แล้วก็ผิวปากหวือ พื้นที่กว้างพอสมควรไม่มีส่วนไหนที่ดูโล่งตา

   คนเยอะจนรู้สึกว่าตัวเล็กลงไปไม่น้อยเลยล่ะ

   "แฟร์" ชายใส่แว่นคนที่ผมเคยจำชื่อเขาสลับกับเชนเดินมาทักพร้อมกับกล้องถ่ายรูปคล้องเอาไว้ที่คอ แต่งตัวย้อนยุคกลับไปในสมัยที่คนไทยต้องปรับตัวให้ดู 'โก้เก๋' สมกับเป็นพวกมีอารยธรรม "แปลกจังที่เจอ"

   "ก็ตกใจตัวเองเหมือนกัน"

   ใจอยากใช้คำว่าสงสารตัวเองมากกว่า ลองชั่งน้ำหนักความคุ้มค่าแล้วถ้าผมเอาเวลานี้ไปนั่งทำหนังสือก็จะเย็บได้อย่างน้อยครึ่งเล่ม หรืออาจจะตกแต่งหน้าปกได้เสร็จไปแล้ว

   "เห็นชาอยู่ข้างในนะ"

   "อืม" เดินลัดเลาะจนลืมไปเลยว่าไม่ได้มาคนเดียว

   "นึกว่าหาอยู่"

   "เปล่า"

   พอตอบสั้นมันก็เป็นการส่งสัญญาณที่ดีเหมือนกันว่าผมไม่อยากจะให้เขามาซักไซ้ไล่เรียงอะไรอีก เพราะหลังจากนั้นข้ออ้างว่าขอตัวไปถ่ายรูปต่อก็มาพร้อมกับการจรลีหายไปด้วยความเร็วใกล้เคียงกัน ผมประเมินสถานการณ์ว่าทางสะดวกสำหรับการหนีกลับแล้วหรือยัง เมื่อกี้บอกว่าชาอยู่ข้างในสินะ

   "ไปได้แล้ว"

   ไหนบอกว่าอยู่ที่อื่นไง!

   "จะกลับทุ่มครึ่งไม่ใช่เหรอ"

   "ใช่ เลยจะเข้าไปข้างใน"

   งานแบ่งออกเป็นสองส่วน ด้านนอกจัดเอาไว้เป็นซุ้มดอกไม้หลายรูปแบบเหมาะกับการถ่ายรูปอวดชีวิตดีๆ ส่วนด้านในคงเป็นส่วนของงานเลี้ยงล่ะมั้ง

   แม้จะไม่ได้มีเสียงทักทายเป็นระยะอย่างที่เคยเห็นในละคร ตลอดทางจากจุดที่ยืนอยู่ไปจนถึงมุมหนึ่งข้างในงานก็มีคนยกมือขึ้นมาส่งสัญลักษณ์ว่ายินดีต้อนรับการมาถึงของอสูรอยู่ต่อเนื่อง

   มาแล้วก็ยืนนิ่งไม่ต่างจากรูปปั้นแกะสลัก ประกอบกับการแต่งกายให้เข้ากับธีมแล้วคนข้างผมยิ่งเด่นขึ้นมาท่ามกลางคนนับร้อย ดูจากภายนอกแล้วธชาก็ยังเป็นคนเดิม นิ่ง เงียบ จนผมอยากจะรู้ว่าข้างในตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง ตลอดช่วงสัปดาห์ที่หายไปมีอะไรเกิดขึ้นบ้างหรือเปล่า

   งานน่าเบื่อ พิธีกรบนเวทีดูเป็นพวกโดนบังคับให้มาทำงานกะทันหัน พูดก็ผิดๆ ถูกๆ แถมยังส่งไม้ต่อให้คนร่วมงานได้แย่จนน่ารำคาญ ก่อนที่จะมารับหน้าที่ก็ควรจะเตรียมตัวให้พร้อมกว่านี้ไม่ใช่หรือไง อย่างน้อยก็ต้องคุยกันนิดหน่อยให้พอเข้าใจไหมล่ะ

   "เรากลับแล้วนะ"

   พ่อก็ไม่ใช่ เพื่อนก็ไม่เชิง ผมก็ยังต้องบอกเขาก่อนว่ากำลังจะออกจากงานแล้ว ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวก็ต้องโดนอะไรสักอย่างแน่

   "ยังไม่ทุ่มครึ่ง"

   "เราไม่ได้บอกว่าจะกลับเวลาไหน"

   "กลับพร้อมกัน"

   "ไม่ต้อง"

   "แฟร์"

   "เราเหนื่อย"

   ใจจริงไม่อยากพูดออกไปหรอก ตอนนี้หลายเรื่องมันผสมอยู่ในความคิดของผมมากเกินไปจนต้องเลือกหยิบออกไปบ้าง ไม่อย่างนั้นแล้วอาจได้เห็นข่าวเด็กมหาวิทยาลัยเครียดจนเกิดอาการคลุ้มคลั่งกลางฝูงชน

   และที่ผมบอกว่า 'เหนื่อย' มันมีอะไรมากกว่าการที่ต้องมาอยู่กับเขาในเวลานี้

   "เข้าใจเราใช่ไหมธชา?"

   อยากจะทำอะไรก็ทำ อยากจะพูดอะไรก็พูด ธชาเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางเสียจนบางครั้งก็ไม่รู้ว่าจะยอมทำทุกอย่างนี้ไปเพื่ออะไร ยิ่งผมเงียบไม่โต้ตอบมันก็หนักข้อขึ้นไปอีก ใครมันจะไม่เป็นโรคประสาทถ้าต้องมาอยู่กับอาการคุ้มดีคุ้มร้าย

   ที่จับเอามาเรียบเรียงด้วยตัวเองได้ข้อสรุปว่าผมคงบังเอิญคล้ายกับใครคนที่เขายังลืมไม่ได้ และคงเป็นคนที่สาปให้เจ้าชายกลายเป็นอสูรที่ไม่มีใครอยากเข้าใกล้

   โคตรงี่เง่าเลยว่าอย่างนั้นไหม

   คนเรียนเก่งอย่างเขาน่าจะมีวิธีการแก้ปัญหาที่ดีกว่านี้ ไม่ใช่การลากผมเข้าไปเกี่ยวข้องแบบไม่คิดถึงใจบ้างเลย ก็เคยคิดว่าตัวเองชินชากับทุกเรื่องจนไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามคงไม่เป็นอะไร พอเจออย่างเมื่อกี้เข้าไปก็คงต้องยอมรับว่าตัวเองก็ยังมีความรู้สึกเหมือนกัน

   "ไม่เข้าใจ"

   จ้องตรงเข้าไปข้างในนัยน์ตาสีดำสนิท มันไร้แววสะท้อนจนเหมือนว่ากำลังใส่คอนแทกเลนส์เอาไว้ ถ้าผมสูงกว่านี้อีกหน่อยรับรองได้เลยว่าจะต้องมีการจับตัวมาเขย่าให้สติกลับเข้าที่เข้าทาง

   "มันไม่ใช่เรา รู้อยู่แก่ใจไม่ใช่เหรอ"

   "..."

   ถามว่ามันตรงไปหน่อยไหมก็ใช่อยู่ มันเหลือแค่วิธีนี้แล้วถ้าธชายังตอบกลับมาแบบที่บอกได้เลยว่าเขาไม่ได้ให้ความสนใจกับความรู้สึกของคนที่ต้องตกที่นั่งลำบากอย่างผม

   "จะให้เราอยู่ตรงไหนก็บอกมาเลยดีกว่า"

   ริมฝีปากของอสูรไม่ขยับตำแหน่ง ขอบคุณฮอร์โมนหรือระบบการทำงานของร่างกายส่วนไหนก็ตามที่ช่วยเสริมความกล้าให้สามารถต่อสู้กับเขาได้โดยไม่มีความเกรงกลัว ผมยังจำได้อยู่ว่าเขาเป็นผู้ชายใจร้ายแค่ไหน ได้แต่ภาวนาว่าผมคงคิดไม่ผิดที่ทำอย่างนี้

   เสียงหัวเราะเฮฮาจากรอบข้างไม่ช่วยให้บรรยากาศระหว่างเราสองคนดีขึ้น ซ้ำร้ายแล้วผมว่ามันยิ่งเสริมเชื้อไฟให้มันแย่ลงไป

   "เคยได้ยินเรื่อง The Rose ไหม?"

   "...ไม่"

   ชะงักไปหน่อยหลังจากได้ยินเสียงของเขาอีกครั้ง

   "เรื่องของหญิงสาวยากจนที่มีลูกชายสองคน"

   "ไปเล่าให้ชินาฟังเถอะ" เส้นกราฟอารมณ์ที่คงที่มาเสมอเริ่มรวนแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ระหว่างที่ผมกำลังคุยเรื่องจริงจังเขาก็ยังเอาเรื่องเล่ามาพูดเล่น

   "ลูกชายคนเล็กจะต้องเข้าป่าเพื่อไปตัดฟืนในทุกวัน วันหนึ่งระหว่างที่เขากำลังเดินไปตามทางก็พบกับเด็กตัวเล็กที่แข็งแรงจนสามารถช่วยเขาเก็บฟืนได้จนครบ แต่ก่อนที่ลูกชายจะได้กล่าวคำขอบคุณเมื่อทั้งสองกลับมาถึงบ้าน เด็กคนนั้นก็หายไปแล้ว"

   "เราไม่ฟัง ถ้าคุยกับไม่รู้เรื่องเรากลับแล้วล่ะ"

   ในเสี้ยววินาทีข้อมือของผมก็ถูกตรึงไว้ด้วยมือของอสูรร้าย สัมผัสที่ควรอบอุ่นตามแบบของเนื้อมนุษย์กลับเป็นเย็นจัดจนอยากสะบัดทิ้ง บนใบหน้าไร้ที่ติยังเรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึก และภาพหลังกะพริบตาผู้ชายตรงหน้าของผมกลับกลายเป็นใครที่ไม่เคยรู้จัก

   ทั้งที่ทุกอย่างไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่หัวใจกลับเต้นเร็วจนน่ากลัว

   นี่คือ 'อสูร' ใช่ไหม

   "ลูกชายเอาเรื่องนั้นไปเล่าให้มารดาฟัง แต่นางไม่เชื่อ จนวันหนึ่งลูกชายก็กลับมาพร้อมกับดอกกุหลาบในมือ บอกว่าเด็กตัวเล็กนั้นเป็นคนมอบให้พร้อมฝากบอกว่าเขาจะมาใหม่เมื่อดอกกุหลาบบานสะพรั่ง มารดาจึงนำกุหลาบดอกนั้นไปปลูกเพื่อให้กลีบคลายออก"

   เรื่องราวที่ยังไม่รู้ว่าจะจบลงอย่างไรถูกขัดขวางด้วยเสียงฮือฮาจากทุกส่วน ผมรีบหันไปทางจุดรวมสายตาของทุกคน ตรงทางเข้าที่ห่างออกไปไม่ไกลมีชายในชุดสูทสีดำกับช่อกุหลาบสีแดงขนาดใหญ่กำลังเดินเฉิดฉายเข้ามาราวกับเป็นตัวเอกของงาน และพอภาพนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ผมถึงเห็นได้เต็มตาว่าคนตรงนั้นไม่ใช่ใครอื่น

   เชนินทร์

   "เช้าวันต่อมามารดาก็พบความผิดปกติเมื่อเธอเดินไปปลุกลูกของตน..." มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยยามเห็นว่าทั้งใบหน้าของผมเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายปะปนกัน "แล้วพบว่าลูกชายไร้ลมหายใจเสียแล้ว"

   ช่อดอกไม้ใหญ่ถูกส่งต่อให้เพื่อนของตัวเอง ความใหญ่ที่ต้องใช้ทั้งสองมือในการประคองเป็นการปล่อยให้อิสระกลับมาเป็นของผมในตัว ไม่รู้เลยว่าธชาใช้แรงจับข้อแขนของผมมากแค่ไหนจนกระทั่งเห็นว่าตรงผิวเนื้อของตัวเองมีรอยแดงจางปรากฎ

   "ส่วนดอกกุหลาบก็บานสะพรั่งในเช้าวันนั้นเอง"

   "..."

   สมองตื้อจนภาพในความคิดเล่นสลับกันไปมาน่าปวดหัว คำที่ตัวเองเปรยเมื่อช่วงสายของวัน การระเบิดอารมณ์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รวมถึงเรื่องเล่าที่ตัดจบแบบเลือดเย็น ตำนานของดอกไม้แสนสวยที่ผมไม่เคยได้ยินเข้ากับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างดี

   ดอกไม้ช่อใหญ่ไม่ช่วยให้ความผ่อนคลาย กลับกันความงามของมันกลายเป็นคำเตือนให้ระวังพิษจากหนามแหลมคม ตาของผมจ้องมองเพียงกลุ่มดอกไม้ไม่เงยขึ้นไปสบตาคนถือ สีแดงจัดของมันราวกับย้อมเอาไว้ด้วยโลหิตและชีวิตของเด็กชายคนนั้น

   "อยากลองปลูกบ้างไหมแฟร์?"


***
   เป็นเรื่องขนาดสั้นที่อ่านแล้วจบแล้วนั่งกะพริบตาปริบๆ ทุกวันนี้เห็นกุหลาบทีก็นึกถึงเรื่องนี้ตลอดเลยค่ะ เจ้ามีปัญหากับลูกชายคนพี่ที่หายไปด้วย เพราะตามต้นฉบับภาษาอังกฤษใช้คำว่า him lying there dead ไม่ได้บอกว่าคนไหน แล้วพอจะไปหาแบบต้นฉบับจริงก็เป็นภาษาเยอรมัน ยกธงยอมแพ้ค่ะ (ฮา) เลยโมเมว่าน่าจะหมายถึงลูกชายคนเล็กนั่นแหละ
   ไม่รู้ว่าตอนนี้จะทำให้กระจ่างหรือระแวงกว่าเดิม ต่อจากนี้จะเริ่มเคลียร์ทีละประเด็นแล้วค่ะ (ยิ้ม)     
   #หลอกลวงรัก

ออฟไลน์ Zenith

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ระแวงมากก พระเอกเป็นคนหรือเปล่า กลัวใจว่ทจะเป็นอะไรที่คาดไม่ถึง :sad4: เพราะเห็นบรรยายถึงตัวของชาว่าเย็นมาหลายตอนแล้ว นี้เริ่มระแวงแล้วนะคะ555 ไม่เอาแบบตอนจบเฉลยว่าพระเอกเป็นผีอะไรทำนองนี้นะคะคุณเจ้า (กลัวใจ)  :mew2: :mew2: :mew2:

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
เรื่องเล่าที่สิบสาม


   อย่าเชื่อใจคนที่ทอดทิ้งเจ้าในยามลำบาก
   - The Two Follower ant the Bear

 

   ภาพตรงหน้าพร่ามัวเหลือเกิน

   หมอกที่ปกคลุมรอบกายกลืนทุกอย่างให้ตกอยู่ใต้ความไม่ชัดเจน ผมหรี่ตาลงด้วยความหวังว่ามันจะเป็นส่วนช่วยในการโฟกัสไม่มากก็น้อย ไม่รู้ทำไมไม่ว่าจะปรับเลนส์ขยายมากเท่าไหร่มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย

   ที่นี่คือที่ไหน...ผมกำลังทำอะไรอยู่

   หันรีหันขวางมองทุกอย่างรอบตัว กลุ่มของละอองน้ำบดบังทุกอย่างให้กลายเป็นเพียงม่านกั้นสีขาวขุ่น นึกอยากจะขยับหนีออกไปจากตรงนี้ร่างกายก็ไม่ยอมทำตามคำสั่ง ส่วนลึกในใจบอกผมว่าตัวเองต้องรอคอยบางอย่าง

   จนภาพตรงหน้าเริ่มมีเงามนุษย์ขยับใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ปรากฎใครบางคนที่ช่วงนัยน์ตาถูกซ่อนเอาไว้ใต้ความเลือนราง กุหลาบช่อใหญ่สีแดงสดในมือตัดกับสีโทนมืดรอบข้างจนกลายเป็นจุดดึงความสนใจ ผมขยับแขนออกไปรับมันมาไว้ในมือต่างจากความคิดที่ร้องห้ามหัวชนฝา ริมฝีปากของอีกฝ่ายขยับเป็นประโยคที่ผมไม่ได้ยินแม้จะตั้งใจฟังมากแค่ไหน

   "..."

   คนปริศนาถอยหลังหายเข้าไปในกลุ่มหมอกเสียแล้ว ผมก้มมองช่อกุหลาบใหญ่แสนสวยในมือตัวเองด้วยความสุขเพียงชั่วคราวก่อนที่จะพยายามผลักไสมันออกไปเมื่อสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่างตรงช่วงแขน

   หนามกุหลาบจำนวนมหาศาลทิ่มแทงไปยังส่วนผิวเนื้อไร้ความปรานี

   สมองสั่งให้ปล่อยมันทิ้งเสีย ความเจ็บปวดมากเสียจนกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไป ผมร้องไห้ออกมาไม่มีหยุดในระหว่างที่ริมฝีปากก็ออกคำสั่งให้ปล่อยมันไปเสียที หากแต่ร้องตะโกนมากแค่ไหนมันก็ไม่ยอมเป็นดั่งต้องการ

   ทำไมถึงไม่ยอมปล่อยล่ะ

   ไม่ใช่ดอกกุหลาบของผมสักหน่อย

   มันเป็นของคนอื่น

   ไม่ใช่ของผม...

   ตั้งคำถามซ้ำอยู่อย่างนั้นจนสะดุ้งตื่นขึ้นมา ความรู้สึกเสมือนจริงยังตกค้างอยู่ไม่น้อยจากจังหวะการหายใจเข้าออกที่เร็วกว่าปกติ ยกมือที่เคยถือของสวยงามแฝงไปด้วยอันตรายขึ้นมาถึงรู้ว่ามันสั่นเล็กๆ

   และสัมผัสได้ถึงความชื้นที่ยังติดอยู่ตรงบริเวณหางตา

 

   ผมเลือกที่จะปล่อยช่วงเวลาในวันอาทิตย์ให้หมดไปด้วยการนั่งเงียบๆ อยู่ตรงริมกระจกในห้องนอนคนเดียว หันกลับมามองช่อกุหลาบขนาดใหญ่ตรงชั้นวางบ้างเป็นบางครั้ง ถอนหายใจออกมานับครั้งไม่ถ้วน

   ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป

   จำไม่ได้หรอกว่าทำไมถึงรับดอกไม้ช่อนี้มา ทั้งที่ตัวเองและอีกฝ่ายก็เตือนเอาไว้แล้วว่ามันอาจเป็นทางที่นำไปสู่ความผิดหวัง...หรือความตาย

   พอจะเอาไปเปรียบเทียบกับช่อดอกไม้ในความฝันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรมากนัก ปฏิกิริยาของสมองต่อเรื่องราวยามหลับใหลมันหายไปเมื่อผมตื่นเต็มตา

   หรือเป็นเพราะดอกไม้ที่ธชาให้เลยเก็บเอาไปฝัน?

   และถ้าไม่ลืม อสูรมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับดอกกุหลาบเป็นจำนวนมาก รวมถึงเรื่องที่ผมได้เผชิญมาด้วยตัวเอง วันที่เขาเอ่ยบอกยอมรับว่าดอกไม้พวกนั้นไม่มีคุณค่าใดพอให้ใส่ใจ

   ไม่ได้ย้ายไปปักไว้ในแจกันอย่างที่ควรจะเป็นหากต้องการรักษาสภาพของมันเอาไว้ให้นานที่สุด เจ้าดอกกลีบสวยเริ่มเฉาไปตามกาลเวลา ความสวยงามที่แฝงเรื่องหดหู่เอาไว้ได้อย่างแนบเนียน

   เมื่อวานมันยังเป็นช่อสวยสดที่ใครต่อใครอิจฉา แต่ในวันนี้มันกลับกลายเป็นสิ่งที่หลายคนคงไม่แม้แต่ชายตามอง

   นอกจากไม่น่ารื่นรมย์แล้วรังจะสร้างแต่ความหนักใจให้ไม่สิ้นสุด หยุดกังวลไม่ได้เลยว่าวันจันทร์ที่กำลังใกล้เข้ามาจะมีเรื่องอะไรรออยู่ บางเรื่องไม่ควรคิดไปเองแต่ก็ไม่ควรชะล่าใจจนเตรียมตัวรับมือไม่ทัน เขาเคยให้กุหลาบใครหลายคน แต่ไม่เคยมีใครได้รับเป็นช่อใหญ่อย่างที่ผมมี

   "...ก็ไม่มีทางเลือกนี่"

   รำพันคำเดิมที่ใช้ตอบกลับไป ใครอยากจะปลูกกุหลาบที่แลกมาด้วยชีวิตกันล่ะ จากที่เดิมพันว่าเมื่อไหร่จะรอดพ้นไปได้คงกลายเป็นจะยื้อเวลาตายได้แค่ไหน

   เหล่าฝูงชนตรงนั้นไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา แม้กระทั่งตอนที่ผมเดินออกมาพร้อมกับกุหลาบช่อโตก็ไร้เสียงส่งลา

   มันเป็นข้อสรุปของพวกเขา ว่าผมกำลังเป็น 'ผู้โชคร้าย' รายล่าสุด

   ในเมื่อมันไม่มีทางเลือกตอนนี้ก็คงต้องให้มันเป็นไปอย่างที่เขาต้องการ ธชาอยากจะทำอะไรก็เชิญ ส่วนผมเองจะรอจนกว่าวันที่เจอ 'ความลับ' ข้างหลัง

   อย่างน้อยให้รู้ว่าใครอยู่ตรงนั้นก็ยังดี

   "ไปไหนนะ?"

   ในช่วงสายที่ผมควรจะได้หมกตัวอยู่ในบ้านก็โดนรบกวนด้วยเสียงแตรรถยนต์ ตอนแรกนึกว่าเป็นของหลังอื่นแต่ลางสังหรณ์บอกให้ลองเดินออกไปดูหน่อยว่าเสียงนั้นต้องการส่งไปทักทายบ้านไหน แล้วแจ็กพอตก็แตกตอนที่ผมเปิดประตูออกไปเจอรถของธชาจอดเด่นอยู่ด้านนอก

   "นั่งรถไปเป็นเพื่อน"

   "มันใช่เรื่องไหม?" เป็นเด็กมีปมขาดความอบอุ่นหรือยังไงกัน "เราไม่ว่าง"

   "ไปกันได้แล้ว"

   คิดว่าผมจะทำอะไรได้นอกจากเดินเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ดูโอเคกว่าชุดอยู่บ้าน หยิบกระเป๋าเงินกับโทรศัพท์ออกมาพร้อมนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถของอสูรล่ะ

   "เรากำลังไปไหน"

   "สุวรรณภูมิ"

   "สุวรรณภูมิ?"

   ทวนกลับไปด้วยความสงสัย ตั้งแต่เกิดมาขึ้นเครื่องบินนับครั้งได้ คุณแม่เคยบอกว่าทริปแรกของผมคือฮ่องกงตอนอายุได้สี่ขวบกว่า แน่นอนว่าเป็นความทรงจำที่ขาดหวิ่นจนไม่ค่อยอยากจะนับว่าได้ไปเที่ยว แล้วก็มีไปญี่ปุ่นครั้งหนึ่งตอนมัธยมปลาย ที่เหลือจะเป็นการเดินทางในประเทศเพราะผมต้องไปหาพวกเขาในช่วงปิดเทอม

   สถานที่ใหญ่แต่คนก็เยอะตามเคย ผมยืนถือแก้วกาแฟร้อนเอาไว้ในขณะที่ธชายืนกดโทรศัพท์อยู่ข้างๆ เราสองคนกำลังอยู่ตรงจุดรวมพล รอคอยการมาถึงของใครสักคนที่อสูรร้ายไม่ยอมบอกข้อมูลเพิ่มเติมอะไรสักอย่าง ผมก็ควรได้รู้ไหมว่าตัวเองกำลังจะต้องเจอกับใคร เกี่ยวอะไรกับเขา สำคัญขนาดไหนถึงต้องลากผมมารับด้วย

   "ต้องเล่นเกมยี่สิบคำถามก่อนหรือเปล่าถึงจะได้รู้ว่าเรามาทำอะไรที่นี่"

   "รออีกแป๊บเดียวก็รู้แล้ว" เงยหน้าขึ้นมาบอกแค่นั้นก่อนกลับไปก้มหน้ากดสมาร์ตโฟนต่อ "มาล่ะ มองหาผู้หญิงที่ดู..."

   "เชน! ชา!"

   ยืนตรงอยู่ดีๆ ก็ถูกจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัว แรงกอดรัดบริเวณเอวมากเสียจนเกือบหลุดคำอุทาน ผมรีบหันหน้าไปทางเจ้าของแรงที่อยู่ด้านหลังทันทีตามสัญชาตญาณ คิดว่าคงหลุดทำหน้าเหวอใส่ไม่มากก็น้อย

   "อ้าว..."

   ผู้หญิงตัวสูงกว่ามาตรฐานสาวไทยทั่วไป ผมยาวประบ่าหยักเป็นลอนสวย เธอดึงมือของตัวเองออกเร็วพอๆ กับช่วงเวลาที่ผมหันกลับไปมอง

   ...เธอคือใครกัน

   

   "เราชื่อทะเลพลอยนะ"

   ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์อะไรกันอีกจนขึ้นรถ และยิ้มที่มาพร้อมกับการแนะนำตัวมันเจิดจ้าเสียจนผมเผลอหรี่ตาลง "แฟร์"

   "โอ๊ะ..." ดูประหลาดใจกับชื่อของผม เธอลากเสียงยาวต่ออีกหน่อยถึงพูดต่อ "ของเรามันเป็นชื่อจริงบวกชื่อเล่นนะ จะเรียกทะเลหรือพลอยก็ได้"

   "หรือถ้าอยากเรียกเลพลอยเหมือนเชนก็ไม่ว่า" คนขับรถเสริมต่อจากนั้น

   ผมขยับตัวให้ชิดกับประตูรถอีกหน่อยเพื่อความสะดวกในการสื่อสารกับเธอ นิสัยไม่ชอบคุยกับคนแปลกหน้าไม่ค่อยแผลงฤทธิ์มากอย่างที่คิด คงเป็นเพราะน้ำเสียงแล้วก็ท่าทางไม่มีพิษภัยต่างจากเพื่อนที่เหลืออีกสองคน มาอยู่รวมกันได้ยังไงนะ

   "ชื่อนั้นก็ได้ หันเหมือนกัน" คนชื่อเล่นเหมือนชื่อจริงกลอกตาไปมา "อยากจะแอดวานซ์เรียกทะพลอยก็เป็นทางเลือกที่ดี"

   มุกไม่ค่อยตลกแต่ให้ผ่านก็ได้ ผมพยักหน้าขึ้นลงเป็นการตอบรับพลางนึกว่าควรจะอยู่ตำแหน่งไหนในบทสนทนา "งั้นเรียกว่าพลอยนะ"
     
   ทะเลมันสองพยางค์เลยขี้เกียจพูด ไม่มีเหตุผลอื่นประกอบ

   "โอเคเลยยย นี่เชนไปไหนอะ ทำไมไม่มาด้วย"

   "ไปส่งชินาเรียนพิเศษ"

   "น้องมันเพิ่งอนุบาลเองนะ รีบเรียนไปไหน" อันนี้ผมรู้ว่าชินามีเรียนพิเศษในวันเสาร์ช่วงบ่าย เหมือนเป็นหลักสูตรเริ่มสร้างการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพอะไรสักอย่าง น้องอยากไปเองบ้านเลยต้องยอม "เก่งมากเกินไปเดี๋ยวก็เหมือนพี่มัน"

   แสดงว่ารู้จักกันมากพอสมควรเลยล่ะ ผมฟังเธอเล่าว่าคณะที่เรียนอยู่มีงานใหญ่แบบที่หยุดเรียนทั้งสัปดาห์เลยตัดสินใจกลับเข้าเมืองในช่วงกลางเทอม แล้วก็ได้รู้ว่าเมื่อก่อนชินาเคยเรียนข้ามชั้นไปแล้วรอบหนึ่งแต่พ่อแม่ขอให้ย้ายกลับลงมาเพราะไม่อยากให้ลูกต้องอยู่ในสังคมที่กดดันมากเกินไป
   
   "แล้วนี่แฟร์รู้จักกับชาได้ไงอะ"

   "เรียนคณะเดียวกัน" บอกไปแค่นั้น ปกปิดเรื่องอื่นเอาไว้จนมิดชิด

   "ในที่สุดมันก็มีเพื่อนคนอื่นบ้างแล้วสินะ แฟร์รู้ใช่ไหมว่าตอนเข้าปีหนึ่งมาเพื่อนคนเดียวของมันคือเชน"

   "ไม่รู้" ผมจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ ไม่ได้ตามติดชีวิตธชาขนาดนั้นเสียหน่อย

   "เนี่ย ทำเป็นเท่ เพื่อนชาคนเดิมของกูไปไหน"

   เป็นผู้ฟังที่ดีโดยการตอบรับกลับไปบ้างบางครั้ง ปล่อยให้เธอได้เล่าเรื่องราวอย่างที่ต้องการ

   "แล้วนี่จะพาไปไหนบ้างอะ"

   "แค่ไปส่งบ้าน จะไปงานหนังสือกับแฟร์ต่อ"

   "อ้าว"

   "ก็ไหนบอกว่าจะมาสัปดาห์หน้า นี่ก็วางแผนไว้แล้ว"

   ยังนึกไม่ออกว่าตัวเองตกลงที่จะไปงานหนังสือกับธชาตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วก็คิดต่อไปว่าการค้านมันคงไม่ช่วยอะไรเหมือนทุกครั้ง ผมเลยแปลงกายจากมนุษย์เป็นอากาศเสียให้หมดเรื่อง พิงหัวกับกระจกเพื่อให้สะดวกต่อการเหม่อมองออกไปด้านนอก ฟังพวกเขาโต้ตอบกันไปมาสลับกับการเล่าความหลัง

   "อีกอย่างทั้งมึงแล้วก็เชนไม่ชอบอ่านหนังสือสักคน ลากไปก็น่ารำคาญเปล่าๆ"

   "ก็มันไม่มีตัวไหนที่ต้องเช็กชื่อนี่ โหย นี่นึกว่าจะได้กินข้าวเย็นฟรีแล้วนะ"

   "ไว้วันอื่นแล้วกัน จะได้ไปกับเชนด้วย"

   บ้านของทะเลพลอยอยู่ตั้งอยู่บนทำเลที่เรียกได้ว่าไม่ชานเมืองแต่ก็ยังสะดวกต่อการเดินทาง บ้านเดี่ยวหนึ่งในหลายหลังที่อยู่ติดกันยาวไปจนสุดถนนบอกว่าเธอคงเป็นลูกสาวของครอบครัวที่พร้อมในระดับหนึ่ง

   "ไว้เจอกันนะแฟร์"

   โบกมือลาคนที่ยืนอยู่นอกรถพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ผมส่งยิ้มเล็กๆ ให้เธอขณะที่ใจบอกว่าคงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว

   "ผู้หญิงหยาบกร้านอย่างมึงแฟร์ไม่อยากเจอหรอก"

   "ชา!"

   "มีอย่างที่ไหนมาถึงก็พุ่งกอดผิดคน"

   "ธะ! ชา!"

   "เดี๋ยวคุยกับเชนเสร็จล่ะไลน์บอกว่าเจอกันวันไหน บาย"

   กล่าวคำร่ำลาพร้อมกับออกรถไปทันที กะพริบตาถี่ๆ นั่งประมวลผลอยู่สักพักถึงยื่นมือออกไปปิดหน้าต่างให้สนิท ผมยังตกใจกับวิธีการคุยกับเพื่อนที่เหมือนกับไล่ส่งอยู่เลย คือธชาพูดคำสุดท้ายจบแล้วก็เหยียบคันเร่งไม่เหลือช่องให้ทะเลพลอยได้ตกลงอะไร
   
   "ตกใจ?"

   อสูรก็ยังอ่านใจคนได้เหมือนเดิม "ไม่เคยเห็นใครปฏิบัติกับเพื่อนตัวเองอย่างนี้"

   เสียงเยาะท่ามกลางความเงียบบนรถมันน่ากลัวเพิ่มขึ้นไปอีกเท่าตัว "ทะเลมันไม่คิดอะไรหรอก อย่างมากก็แค่ด่าในไลน์มาครึ่งร้อย"

   "เหรอ"

   "เหมือนมีคำถามอื่น"

   "ไม่มีนะ"

   "จะทำเป็นไม่ได้ยินแล้วกัน มีคำถามอะไรก็ถามมา"

   ธชานี่เป็นคนเข้าใจอะไรยากไม่เคยเปลี่ยนเลย ตามจริงผมก็ยังมีเรื่องที่อยากรู้เกี่ยวกับผู้หญิงที่ชื่อทะเลพลอยอยู่แหละ ไม่เคยเห็นพวกเขาพูดถึงจนยังแปลกใจอยู่ถึงตอนนี้ แล้วถ้าเป็นเพื่อนที่สนิทในขั้นที่รู้เรื่องของกันและกันเยอะขนาดนี้เธออาจช่วยบอกได้ว่า 'ความลับ' ของอสูรเป็นใครกัน

   หรือว่าเป็นตัวเธอเอง

   ยังจำสีหน้าและแววตาที่ใช้มองได้อยู่ ความเอ็นดูฉายออกมาชัดจนภาพลักษณ์ของผู้ชายแสนร้ายหายไปชั่วคราว เหลือเพียงธชาคนธรรมดาไร้พิษสงใดๆ

   "ไม่มี"

   แต่มันเป็นสิ่งที่ผมจะให้เขารู้ไม่ได้เด็ดขาดไง บางทีผมอาจต้องทำใจตีสนิทกับเธอหน่อย

   "ย้อนกลับมาเปลี่ยนคำตอบไม่ได้นะแฟร์"

   "อือ"

   "ตามใจ"

   คนอย่างเขายอมทำตามอย่างที่คนอื่นต้องการเป็นด้วยล่ะ

 

   ผมไม่ค่อยชอบงานหนังสือ

   ทั้งจำนวนคนเข้าร่วมแล้วก็ความคิดประหลาดส่วนตัวนิดหน่อย จะชอบไปซื้อตามร้านหนังสือหรือไม่ก็สั่งออนไลน์ให้มาส่งที่บ้านเลยมากกว่า ครั้งสุดท้ายที่เข้ามาเป็นนักชอปปิงก็สี่ปีที่แล้วมั้ง ตอนที่ตัวเองยังเป็นเด็กหัวเกรียนอยู่ในชั้นมัธยมปลาย

   "มีบูธไหนอยากไปเป็นพิเศษไหม?"

   หันไปมองหน้าคนถามด้วยใบหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่ คือช่วยระลึกหน่อยไหมว่าตัวเองไม่บอกแพลนอะไรของวันนี้สักอย่าง ลากผมไปรับทะเลพลอยแล้วยังดึงมาที่นี่ต่ออีก จะเอาเวลาที่ไหนไปคิดว่าวันนี้จะมาซื้อหนังสืออะไรดี

   "ไม่มี"

   "งั้นเอาแผนที่ไปดู"

   แผ่นพับขนาดใหญ่ถูกส่งมาให้ถึงมือ รับมันแล้วก็ถืออยู่อย่างนั้นไม่เปิดไปดูเนื้อในอย่างที่เขาต้องการ

   "เราไม่ได้จะมาซื้อหนังสือ เราโดยนายลากมาด้วย"

   "ก็คิดว่าจะซื้ออะไรตอนนี้เลยสิ"

   "..."

   บ้าบอที่สุด ผมว่าตัวเองพูดชัดแล้วนะว่าไม่ได้อยากจะมาด้วยเลยสักนิด

   "ประเด็นคือนายบังคับเรามา"

   "แล้วไงล่ะ"

   เลยกลายเป็นว่าโดนลากให้เดินตามไปด้วยซะงั้น ผมรู้ว่าธชาอ่านหนังสือเยอะ แต่ก็เข้าใจว่ามันคงวนเวียนอยู่กับวงโคจรของการเรียน จำพวกหนังสืออ่านนอกเวลาหรือไม่ก็เสริมสร้างทักษะชีวิต พอเห็นเขาแวะเข้าไปในดงการ์ตูนแล้วกลับออกมาพร้อมกับตั้งหนังสือสูงเกือบสามส่วนสี่ของช่วงขาเลยประหลาดใจไม่น้อย

   "เดี๋ยวกลับมาเอานะครับ"

   และมันก็เยอะเสียจนลำบากต่อการหิ้วไปมา ธชาไล่ให้ฟังตั้งแต่เริ่มเดินแล้วว่าจะไปที่บูธไหนบ้าง ตอนแรกก็ตั้งใจฟังอยู่หรอกเพราะว่าอาจจะเป็นสำนักพิมพ์ที่ซื้อประจำ พอไล่ไปสักห้าหกชื่อผมก็ปล่อยให้เขาได้ทำอย่างที่ต้องการ

   คงเป็นการซื้อแบบไล่ไปตามประเภท เรากำลังมาหยุดอยู่ร้านสองที่ไกลออกไปอีกโซน เหมือนเดิมคือเขาก็เดินเข้าไปกวาดหนังสือบนชั้นลงตะกร้าทีเดียวหลายเล่ม ผมใช้คำถูกนะ อย่างที่ธชากำลังทำมันเกินคำว่าหยิบไปแล้ว

   "แฟร์เอาเรื่องนี้ไหม?"

   "หืม?" ระหว่างรอก็เดินเล่นไปรอบๆ ผมไม่ค่อยได้อ่านการ์ตูนเท่าไหร่ตั้งแต่เด็กแล้ว พ่อแม่ไม่ได้ห้ามแต่ก็จำไม่ได้เหมือนกันว่าเพราะอะไรถึงปล่อยให้ช่วงชีวิตแบบมีหมึกติดมือหายไป "เรื่องอะไร"
   
   ตอนแรกอยู่ห่างกันนิดหน่อยจนมองไม่เห็นหน้าปกชัด ผมเดินเข้าไปหาธชาผู้ถือแพ็กหนังสือลดราคาเอาไว้ในมือ พอเห็นรูปชายหนุ่มและหญิงสาวบนนั้นถึงนึกออกว่ามันมาจากไหน

   "ก็อ่านไปแล้วไม่ใช่เหรอ ที่ส่งมาให้"

   มันคือเรื่องฉบับรวมเล่มของหญิงสาวผู้เสียชีวิตในหอคอยอย่างเมทมาลีน คนญี่ปุ่นนี่ช่างจินตนาการเหลือเกิน

   "นี่จะได้อ่านทั้งเรื่องไง"

   "ไม่เป็นไร เราไม่ได้สนใจขนาดนั้น"

   "อ่านแบบออนไลน์ผิดกฎหมาย"

   "นายเป็นคนส่งมาให้เรา"

   "ก็เลยกำลังไถ่โทษอยู่"

   ปวดหัวกับการแก้ความผิดด้วยวิธีง่ายๆ ยกมือขึ้นมานวดข้างขมับหวังว่ามันจะช่วยลดอาการตึงๆ ที่ผมกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้

   "สรุปเอาเรื่องนี้นะแฟร์"

   นั่นคือประโยคบอกเล่า ไม่ใช่ประโยคคำถามอย่างที่ควรจะเป็น ผมได้แต่ผายมือออกให้เขาได้ทำอย่างที่ต้องการ ไม่คิดซ่อนใบหน้าที่เรียกได้ว่าหน่ายกับการต่อล้อต่อเถียงเต็มทน ไม่เคยสนใจความรู้สึกของผมอยู่แล้วนี่นา จะถามทำไมให้เสียเวลา

   "ถ้าอยากได้เรื่องไหนเพิ่มก็หยิบมา"

   "ไปจ่ายเงินเถอะ"

   คราวนี้ก็สูงเป็นตั้งไม่ต่างจากร้านแรก และผมก็อดตกใจกับตัวเลขแสดงราคาตรงแคชเชียร์ไม่ได้ จำได้ว่าสมัยก่อนเวลาผ่านร้านพวกนี้ราคาก็ไม่เกินสี่สิบบาท เดี๋ยวนี้แค่ไม่กี่เล่มก็ปาเข้าไปหลายร้อยแล้ว อีกหน่อยแบงก์สีแดงหนึ่งใบคงซื้อได้แค่เล่มเดียว

   ต่อจากนั้นก็เข้าสู่ส่วนของหนังสือต่างประเทศ ค่อยเข้ากับแนวการอ่านของผมหน่อย ถึงจะไม่ได้มีหนังสือที่ตั้งใจมาซื้อแต่แรกผมก็คิดว่าการเดินวนในนั้นหนึ่งรอบจะพาให้ได้พบกับสิ่งน่าอ่านสักเล่ม หนึ่งสถานที่ต้องคำสาปสำหรับผมคือร้านหนังสือนี่แหละ เข้าไปทีไรไม่เคยออกมาตัวเปล่า

   "จ่ายรวมนะ"

   เบ้ปากใส่คนช่างเปย์ "แยก"
   
   "รวมไปแล้วกัน" นอกจากจะไม่ฟังแล้วยังหยิบหนังสือไปจากมือเลยอีกต่างหาก 

   สิ่งหนึ่งที่ผมได้รู้มากขึ้นเกี่ยวกับธชาคือเขาเป็นคนอ่านหนังสือได้หลากหลายจนน่ากลัว การ์ตูน วรรณคดีต่างประเทศ นวนิยายโรแมนติก รวมไปถึงหนังสือกึ่งวิชาการที่เห็นแค่ชื่อเรื่องแล้วยังคิดว่าต้องอ่านยากมากแน่นอน ผมล่ะอยากจะรู้ว่าเขาใช้เวลาวางแผนในการซื้อมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ต้องเก็บเงินขนาดไหนถึงเอามาผลาญได้เท่านี้

   จากนั้นผมก็ได้หนังสือสอนวิธีการเย็บสมุดในรูปแบบต่างๆ มาอีกเล่ม ไม่ค่อยเจอคนเขียนเลยคว้าเอาไว้ก่อน ได้แต่หวังว่าเนื้อหาข้างในจะน่าสนแปรผันตรงกับราคาที่เห็นแล้วแอบตกใจ

   "นั่งรออยู่ตรงนี้ก็ได้ จะไปซื้ออีกสองสามบูธ"

   "เดินไปด้วยได้" รู้ว่าถ้านั่งลงไปแล้วต้องแช่ยาวแน่ ตั้งแต่เหยียบส่วนของงานผมยังไม่ได้พักขาเลย เดินตะลอนตามธชาไม่มีหยุด

   "ของเยอะแล้ว"

   มองถุงพลาสติกจำนวนมากที่อยู่ในมือของเราสองคน ผมเองมีไม่กี่เล่มหรอกส่วนที่เหลือนั่นเป็นผลงานการจับจ่ายของเขาทั้งหมด นี่ยังไม่รวมกองการ์ตูนที่ยังไม่ได้ไปรับนะ แล้วไอ้สองสามบูธที่บอกนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีแค่สองสามเล่มด้วยสิ

   ถ้ารู้ตัวว่าจะซื้อเยอะอย่างนี้ก็น่าจะเตรียมรถเข็นมาอย่างที่หลายคนทำ หรือที่ให้ผมมาด้วยก็คือจะหลอกใช้แรงงานนะ

   สุดท้ายก็ต้องยอมทำตามที่บอก ผมนั่งลงตรงพื้นที่ที่จัดเตรียมเอาไว้ ตามองหนังสือทั้งหมดพร้อมตั้งคำถามว่าต้องใช้เวลามากแค่ไหนในการอ่านมันให้จบทั้งหมด แค่หนังสือเรียนผมยังไม่ค่อยอยากอ่าน นี่เขาต้องเป็นมนุษย์ผู้คลั่งไคล้หนังสือมากเลยล่ะ

   ควานหาของตัวเองออกมาหนึ่งเล่ม เป็นรวมเรื่องในเทพนิยายสมัยกรีกจากร้านขายหนังสือต่างประเทศ มันลดราคาอยู่เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ก็เลยหยิบมาแบบไม่คิดมาก

   ที่สะดุดตาส่วนแรกแน่นอนว่าไม่พ้นหัวข้อเรื่อง ผมไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับเทพนิยายสมัยกรีกมากเท่าไหร่ ก็พอพูดถึงแล้วมันก็จะนึกถึงทางยุโรปก่อนใช่ไหมล่ะ พอเห็นว่าเป็นเรื่องของประเทศที่เคยรุ่งเรืองมาก่อนหน้านั้นเลยเกิดความสนใจขึ้นมา

   ชื่อเรื่องย่อยในเล่มมีทั้งแบบที่ทับศัพท์แล้วก็เป็นภาษาอังกฤษ นึกครึ้มอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้เลยเปิดอ่านจากด้านหลังสุดมาข้างหน้า เรื่อสุดท้ายมีตัวอักษรเรียงต่อกันไปเพียงแค่สองหน้าเท่านั้น

   เป็นเรื่องของนักเดินทางสองคนกับเจ้าหมีในป่า ระหว่างที่พวกเขากำลังท่องเที่ยวอยู่เจ้าสัตว์ตัวใหญ่ก็ปรากฎขึ้นตรงหน้า หนึ่งในนั้นเอาตัวรอดด้วยการปีนขึ้นไปบนต้นไม้ อาศัยกิ่งก้านสาขาปิดบังตัวไว้โดยไม่ยื่นมือเข้าช่วยเพื่อนสักนิด

   เมื่อไม่ได้รับความช่วยเหลือจากคนที่อยู่ในพื้นที่ปลอดภัย นักเดินทางที่ยังเสี่ยงอันตรายจึงแสร้งล้มตัวลงกับพื้น ปล่อยให้เจ้าหมีเข้ามาสำรวจรอบกาย มันทำจมูกฟุดฟิดอยู่ตรงบริเวณใบหูของผู้สวมบทบาทเป็นบุคคลไร้วิญญาณอยู่สักพักก่อนจากไป

   พออันตรายผ่านพ้นไปแล้วนักเดินทางคนแรกจึงปีนลงมาจากต้นไม้ ยังมีอารมณ์ขันมากพอที่จะถามออกไปว่า 'เมื่อสักครู่เจ้าหมีกระซิบบอกอะไรหรือ'

   นักเดินทางคนที่สองจึงตอบกลับไปว่า 'อย่าเชื่อใจคนที่ทอดทิ้งเจ้าในยามลำบาก'

   "..."

   ผมปิดหนังสือลงแล้วกลับมาจ้องหน้าปกอีกครั้ง ชั่งใจว่าจะเอามันเก็บใส่กรุเอาไว้ตลอดกาลหรือว่าจะยังทดลองอ่านอีกสักเรื่องสองเรื่องก่อนดี ตัวเองน่ะจำไม่ค่อยได้หรอกว่าเคยอ่านเทพนิยายมามากเท่าไหร่แล้ว แต่ถ้ามันจบอย่างนี้ก็น่าเบื่อเกินไปหน่อย

   "สนุกไหม?"

   "เรื่องนี้ไม่ แต่เรื่องอื่นไม่รู้" ส่ายหัวกลับไปให้ชายผู้กลับมาพร้อมกับถุงหนังสืออีกจำนวนหนึ่ง เพื่อเป็นส่วนประกอบการตัดสินใจผมเลยเล่าเรื่องย่อที่ลดอะไรไปได้ไม่เท่าไหร่ให้ฟัง "เรากำลังคิดว่าถ้าเรื่องนี้มีตัวละครแค่ตัวเดียว จะเป็นยังไงนะ"

   ถ้าเกิดมีนักเดินทางเพียงแค่คนเดียว มันก็คงกลายเป็นฮาวทูหนีตายจากหมี แล้วประโยคเด็ดเรื่องเพื่อนตายหายากคงไม่ปรากฎ

   "ไม่ได้สิ" ธชายืนกรานตามความคิดของตัวเองเสียงเข้ม "ต้องมีสองตัวละครนั่นแหละ มันถึงเป็นเรื่องที่สมบูรณ์ได้"

   "..."

   "ถ้ายังไม่อยากอ่านเรื่องอื่นงั้นเราขอก่อนนะ" แล้วก็คว้าเอาไปจากมือของผมเฉยเลย "ไม่สิ แลกกันดีกว่า"

   "หา?" นั่งทำหน้าเอ๋ออยู่หน้ากองถุงหนังสืออีกเกือบครึ่งนาที ส่วนธชารื้อถุงพลาสติกในมือ หยิบเอาหนังสือที่ยังซีลหน้าปกเอาไว้สามสองเล่มออกมาเรียงตรงหน้า

   "คราวก่อนให้แฟร์อ่านแล้ว สลับกันบ้างก็ดี"

   "..."

   "แล้วจะมาเล่าให้ฟังนะ"


***
   ใจเจ้าอยากได้เทพนิยายทางเอเชียมากๆ เลย น่าเสียดายที่ลองหาดูแล้วไม่ค่อยเจออันที่ตรงใจสักเท่าไหร่ นี่เป็นเทพนิยายขนาดสั้นที่สุดเท่าที่เจ้าอ่านมาค่ะ ส่วนตัวเจ้าชอบไปงานหนังสือมากนะคะ ถึงจะไปแล้วล้มละลายกลับมาเสมอก็เถอะ (ฮา)
   แวะเวียนมาติดแท็กหรือคุยกันได้นะคะ เจ้าเหงามากๆ เลยค่ะ
   #หลอกลวงรัก

ออฟไลน์ Zenith

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
กราบขอโทษคุณเจ้าด้วยนะคะ ที่มีนักอ่านโง่ๆอย่างเรา แงงงง สิบสามแล้วอ่าา ทำไมยังเดาอะไรไม่ออกเลย นี้เราคงโง่เกินไปสินะ ลุ้นใจจะขาด ตอนจบคงมีพีคแน่ๆงานนี้ โอ๊ยยย มันเดายากอ่ะ โง่เองสินะ แงงงง ตอนนี้รู้สึกเริ่มไม่ค่อยชอบชาแล้วอ่ะ ชาชอบบังคับแฟร์อยู่เรื่อยเลย เราเองก็เป็นพวกไม่ชอบให้ใครบังคับ พอเจออบบนี้มันก็จะมีอาการเอือมๆนิดหน่อย555 รอคุณเจ้าเฉลยปมนะคะ ปมเยอะ แงงง แก้เองไม่เป็นนน :sad4: :sad4: :sad4:

ออฟไลน์ memomeme

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ถึงตอนที่ 13 แล้วก็ยังเดาอะไรลึกซึ้งไม่ได้เลย อยากบอกคุณเจ้าว่าตามอ่านอยู่นะคะ พอดีช่วงปีใหม่ยุ่งมากๆ มาอีกทีก็ถึงตอนที่สิบสามแล้ว (แต่ก็ยังเป็นนักอ่านที่เดาอะไรไม่ออกเหมือนเดิม) กำลังคิดว่าแฟร์น่าจะหน้าตาเหมือนคนในอดีตของธชาหรือเปล่า? แต่อ่านแล้วเราก็ยังสงสัยความรู้สึกที่แฟร์มีให้ แฟร์เหมือนจะรู้สึก แต่ก็เหมือนไม่รู้สึกอะไรเลย อันนี้ก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน :hao5:

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
เรื่องเล่าที่สิบสี่


   โอ๋เจ้านกสีฟ้าเอ๋ย ข้าจะเฝ้าคอยเจ้าอยู่ตรงนี้
   - The Blue Bird


 
   ทะเลพลอยเกิดที่กรุงเทพ พ่อแม่เป็นคนใต้ที่ย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองกรุงเพื่อแสวงหาความศิวิไลซ์

   ไม่มีพี่น้อง มีเพื่อนสนิทชื่อธชาแล้วก็เชนินทร์ แต่ช่วงมัธยมปลายไม่ได้อยู่ด้วยกันมากเพราะว่าเธอเลือกเรียนห้องกิฟต์ที่ขึ้นชื่อว่าโหดร้ายจนแทบไม่มีเวลาส่วนตัว ตอนแรกตั้งใจว่าจะเรียนต่อในกรุงเทพฯ แต่เกิดอินดี้อยากไปอยู่ไกลๆ พ่อแม่เลยเลือกแอดในมหาวิทยาลัยชื่อดังทางภาคเหนือ แล้วก็ได้อย่างที่ต้องการ

   กำลังเรียนอยู่ในคณะที่ให้อารมณ์วิศวกรรมศาสตร์ผสมกับชีววิทยา เลือกเรียนเพราะชอบทั้งฟิสิกส์แล้วก็ชีวะ การเรียนอยู่ในระดับปานกลางไม่ได้เด่นอะไร กิจกรรมทำบ้างตามโอกาสแล้วก็อารมณ์อยากมีส่วนร่วม เกือบได้เป็นหลีดคณะแต่ว่าดันไปมีปัญหากับตารางซ้อมมหาโหดเลยออกมากลางคัน

   "และที่สำคัญ...โสดสนิทจ้า"

   ผมเพิ่มเติมข้อมูลสุดท้ายลงไปในบันทึกการจำ หลังจากที่ต้องนั่งฟังเธอเล่าเรื่องของตัวเองมาพักใหญ่ วันนี้เป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์ที่โดนลากออกมานั่งอยู่ในคาเฟ่แบบเบลอๆ เห็นธชาบอกว่าพลอยอยากเจอผมอีกครั้งเลยต้องพามาหา ส่วนตัวเองไปทำธุระอย่างอื่นต่อ

   อสูรที่ว่าแน่ยังแพ้ผู้หญิงชื่อทะเลพลอย

   "ฟังเรามาตั้งนาน ไหนแฟร์เล่าเรื่องตัวเองบ้างสิ"

   "..."

   คือยังไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเท่าไหร่ว่าเอาเวลาในวันหยุดมาทิ้งไว้ตรงนี้ได้ยังไง แล้วทำไมถึงกลายเป็นว่าต้องมาเล่าประวัติของตัวเองให้คนที่เพิ่งเคยเจอหน้าครั้งที่สองฟังด้วย

   "จบจากไหนเหรอ แล้วทำไมเจอชาได้"

   พอไม่ตอบก็โดนคำถามใหม่ ผมไม่ค่อยชอบที่ต้องกลายมาเป็นผู้ต้องหาให้เจ้าพนักงานสอบสวน ถ้าไม่ติดว่าการเข้าใกล้เธออาจช่วยให้รู้เรื่องของธชามากขึ้นวันนี้ผมคงไม่ยอมออกจากบ้าน

   ผมยังไม่รู้ว่าใครคือคนที่อยู่ในกล่องความลับของอสูร

   "จบจาก... พอดีเทอมนี้ต้องทำรายงานด้วยกัน"

   "โหยไกลจากโรงเรียนเราจัง"

   ก็อยากบอกว่าโรงเรียนในกรุงเทพฯ มันมีมากเสียจนไม่น่าแปลกใจที่เราเรียนต่างสถาบัน

   “แต่ก็เดินทางไม่ได้ยากอะไร" ลูกพี่ลูกน้องของผมเรียนที่นั่นจนจบมัธยมต้น

   "ลืมถามเลยว่าแฟร์โอเคไหมที่ต้องมาหาเรา"

   นั่นเป็นสิ่งแรกที่ควรจะถามไม่ใช่หรือไงกัน ผมเก็บอาการเบื่อหน่ายเอาไว้ข้างในจนมิดชิด ตอบสิ่งที่ตรงข้ามกับความรู้สึกออกไป

   "เราโอเค"

   "ดีจัง กลัวว่าจะโดนเกลียดแล้ว"

   ความสดใสของเธอแตกต่างจากเพื่อนที่เหลืออีกสองคนจนเห็นได้ชัด ทะเลพลอยเป็นคนจำพวกที่ร่าเริงคิดบวกอยู่ตลอดเวลาจนบรรยากาศรอบข้างดูสดใสไปด้วย พูดเก่ง ยิ้มง่าย แล้วก็รู้จังหวะว่าเรื่องไหนควรพูดแล้วสิ่งไหนควรเก็บเอาไว้ก่อน

   ยังหาความเชื่อมโยงของทั้งสามคนไม่ค่อยได้เลยแฮะ

   "เกลียดทำไมล่ะ"

   "เป็นโรคจิตกลัวไปหมดน่ะ" เธอหัวเราะคิกคักพลางหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาเช็กอะไรบางอย่าง "อยู่กับสองคนนั้นนานๆ แล้วก็จะรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยปกติ"

   เอียงคอไปข้างหนึ่งแทนการแสดงออกเสริม "นี่ก็เริ่มรู้สึกว่าเป็นเหมือนกัน"

   "ใช่ไหมล่ะ!"

   "คนหนึ่งก็เอาแต่ใจ อีกคนก็เหมือนวางแผนอะไรเอาไว้อยู่ตลอด"

   "...นี่แฟร์เพิ่งรู้จักกับชาแน่นะ?"

   ชะงักค้างไปชั่วขณะเมื่อน้ำเสียงติดร่าเริงปรับโหมดจริงจังในหนึ่งประโยค "ทำไมเหรอ"

   "เปล่า ก็แค่แปลกใจ ปกติแล้วไม่ค่อยมีใครมองสองคนนั้นออก" ยกไหล่มองบน เล่าเรื่องอื่นออกมาเสริมอีก "คนอื่นรู้ว่าชาตอนนี้เป็นแบบไหน แต่ไม่ค่อยมีใครอ่านเชนออก"

   "สงสัยอยู่ด้วยกันมากไปหน่อย"

   ทะเลพลอยเป็นคนบอกว่าอยากจะมาหาที่นั่งชิล เพราะว่ารอบข้างมหาวิทยาลัยไม่มีร้านพวกนี้ได้ให้ได้เอนจอยบ้าง การกลับเข้ามาเป็นเด็กกรุงเทพฯ เลยโหยหาฟิลลิ่งเดิมๆ เป็นพิเศษ เธอยังแขวะตัวเองอยู่เลยว่าทำตัวฮิปสเตอร์ไม่รู้จักเวลา พอได้ไปอยู่ในหอกลางป่าเลยเข้าใจว่าตัวเองคิดผิดมหันต์

   พอเครื่องดื่มและของหวานมาถึงสิ่งแรกที่เธอทำก็คือการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายเก็บเอาไว้หลายมุม มีการบอกให้ผมขยับออกไปจากขอบจอด้วย หลังจากนั้นก็ยื่นมาให้ผมช่วยถ่ายเธอกับของตรงหน้า

   "เชนน่ะร้ายกาจ" บทสนทนาระหว่างลงมือรับประทานคือการนินทาคนที่ไม่อยู่ ขนาดเพื่อนสนิทตั้งแต่มัธยมยังพูดอย่างนี้เลย คิดดูสิ
   
   "มากเลยล่ะ"

   "แต่เป็นเพื่อนที่ดีนะ"

   "นั่นหมายถึงว่าอย่าเปรี้ยวทำตัวเป็นศัตรูหรือเปล่า"

   แก้วทรงสวยบรรจุชาเย็นเอาไว้ละลายเสียจนต้องคนหลอดให้มันเข้ากันอีกครั้ง ผมไม่ค่อยเข้าใจสไตล์การใช้ชีวิตของคนกรุงสมัยนี้หรอกนะ ประเภทที่หาร้านคาเฟ่สวยๆ มานั่งถ่ายรูปแต่ไม่ได้สนใจรสชาติของสินค้า อย่างแก้วนี้ผมก็ไม่เห็นว่ามันจะต่างจากแบบกล่องในเซเว่นตรงไหน

   รู้สึกผ่อนคลายและเป็นกันเองมากกว่าเมื่อเทียบกับช่วงแรกที่ได้รู้จักกับธชา ผมรู้สึกว่าบางอย่างของเราคล้ายกันจนไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจที่จะเล่าบางเรื่องออกไป

   "จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ผิด" มือข้างหนึ่งของเธอยกขึ้นเสยผมที่ปรกหน้า เส้นผมหยักเป็นลอนสวยแบบไม่ต้องแต่งเติมขยับไปตามการจัด "ไม่ต้องรู้จักสองคนนั้นน่ะดีที่สุดแล้ว"

   ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ผมก็จะบอกตัวเองอย่างนั้นเหมือนกัน

   "ก็...นะ"

   "แฟร์อยากนั่งต่อไหม?"

   "แล้วแต่สะดวก เราไม่อะไรอยู่แล้ว"

   ถ้าคิดอยากจะเรียกให้มาหาเมื่อไหร่ก็ทำแล้วไม่ต้องสนหรอกว่าผมจะอยากนั่งจุ้มปุ้กต่อหรือว่าออกไปไหน

   "งั้นไปเที่ยวกันต่อเลยเนอะ"



   โคตรเข้าไม่ถึงผู้หญิงสไตล์ทะเลพลอย

   ทำใจเอาไว้แล้วที่บอกว่าไปเที่ยวคงหนีไม่พ้นห้างสรรพสินค้าหรือไม่ก็แหล่งชอปปิงอะไรทำนองนั้น พอเห็นว่าตัวเองกำลังยืนอยู่หน้ากองจักรยานสำหรับเช่าเต็มวันโดยมีภาพพื้นหลังเป็นไวนิลเขียนเอาไว้ว่าแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติเลยปรับตัวไม่ทัน

   แถมการเดินทางมานี่ก็ไม่ได้ใช้แท็กซี่ด้วยนะ โทรไปถามเบอร์ขนส่งมวลชนว่ารถเมล์สายไหนบ้างที่จะพาเราไปถึงจุดหมายได้ สองทอดตามด้วยเรือข้ามฟาก เธอดูเอนจอยกับการใช้ชีวิตแบบไม่ต้องเร่งรีบ รถติดก็ช่าง ไปถึงช้าหน่อยก็ไม่เป็นอะไร

   "แฟร์ เลือกแบบไหนดี" เพื่อนสามคนมีหนึ่งอย่างที่เหมือนกันคือชอบหันกลับมาถามความคิดเห็น "เอาสีเทาเหมือนของเราแล้วกันเนอะ"

   แล้วก็ตัดสินใจเอาเองอยู่ดี

   "ปั่นจักรยานไม่ค่อยเก่ง"

   "ตลกล่ะ เด็กยุคไหนกัน"

   "ก็ยุคปัจจุบันนี่แหละ"

   เคยหัดขี่จักรยานแล้วทำล้มตอนสมัยอนุบาล เลยกลายเป็นฝันร้ายฝังใจที่ก้าวข้ามไปไม่ค่อยได้สักที พอเริ่มฝืนตัวเองได้ก็จะต้องมีเรื่องให้กลับไปกลัวได้ตลอด

   "แล้วจะรอดไหม นี่ต้องปั่นจักรยานตลอดทางเลยนะ"

   "ถ้าไม่รอดก็ต้องรับผิดชอบพาเรากลับออกมา"

   "ได้ เดี๋ยวโบ้ยให้ชาดูแลแทน"

   หน้าผมคงเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม เธอเลยอธิบายต่อ "ชาทำธุระเสร็จแล้ว กำลังตามมา"
         
   "อ้อ..."

   ในหนึ่งสัปดาห์ผมชักจะเจอหน้าพวกเขามากเกินไปแล้ว แค่ต้องเห็นตอนวันธรรมดาก็เบื่อเกินพอ นี่วันหยุดก็ยังตามมาหลอกหลอนได้อีก

   พอแลกบัตรอะไรเสร็จก็ได้เวลาออกเดินทาง อีกคนดูเตรียมพร้อมมากกว่าทั้งหมวกแล้วก็เสื้อแขนยาวลายสก็อตตัวนอก ส่วนผมเรียกได้ว่าอยู่ในสภาพที่เหมือนออกมาซื้อของหน้าปากซอยเท่านั้น ภาวนาให้ไม่มีแดดมากตอนนี้จะทันไหม

   "อยากแวะตรงไหนบอกเลยนะ"

   "ถ้าอยากกลับบ้านต้องบอกตอนไหนเหรอ"

   ผมคิดไว้ว่าคงได้เห็นหน้าไม่พอใจของทะเลพลอยแล้วแน่ กลับกลายเป็นว่าผมเห็นเพียงรอยยิ้มหวานซ่อนบางสิ่งกลับมา

   "บอกตอนไหนก็ไม่ให้กลับหรอก"

   นี่ไง ผมเจอสิ่งที่เพื่อนสามคนนี้เหมือนกันแล้ว

   จากจุดเช่าจักรยานผมปล่อยให้เธอได้ครอบครองแผนที่การเดินทางเอาไว้เอง อยากจะไปตรงไหนอะไรยังไงก็ตามใจเลย ผมจะเป็นลูกเป็ดที่เดินตามแม่เป็ดต้อยๆ ไม่หืออืออะไรทั้งนั้น

   "งั้นไปตลาดก่อนเลยนะ จะได้ย่อยแล้วก็รอพวกนั้นนานๆ"

   "ไปตรงนั้นคงได้เพิ่มมากกว่าย่อย"

   "คิก เอาน่า"

   ผมเริ่มปั่นจักรยานตามเธอไปแบบทุลักทุเลไม่น้อย ความรู้สึกแรกที่ต้องเหยียบขึ้นไปอยู่บนยานพาหนะสองล้อคือความกลัวปนไปกับความระแวง มันก็เป็นอย่างนี้แหละนะชีวิต คนที่กลัวจนไม่รู้ว่าการเริ่มต้นใหม่มันจะดีหรือร้ายกว่าเดิม

   ทางคอนกรีตบอกว่ามันคงเป็นสถานที่ที่มีผู้ใช้บริการไม่น้อย ด้านข้างเต็มไปด้วยบ้านที่ดัดแปลงส่วนด้านหน้าให้กลายเป็นร้านค้าจำพวกอาหารรูปแบบต่างๆ ผมลัดเลาะตามเธอไปจนถึงส่วนของตลาดน้ำ จอดจักรยานเอาไว้แถวนั้นไม่ให้รบกวนคนอื่น

   จำนวนนักท่องเที่ยวเท่าที่ประเมินด้วยสายตามากเสียจนผมชักรู้สึกผิดที่ยอมตามเธอมา

   "เปลี่ยนไปเยอะเลยแฮะ..."

   "เคยมา?"

   "อืม แต่ก็หลายปีแล้วล่ะ"

   เราเดินคู่กันไปเรื่อยๆ มองของขายที่ละลานตาทั้งซ้ายขวา ฟังเธอเล่าว่าเมื่อก่อนกับสมัยนี้มีตรงไหนที่แตกต่างกันบ้าง ของขายที่เปลี่ยนไปเป็นสัจธรรมของโลก ร้านก๋วยเตี๋ยวที่เคยขายอยู่ในเรือก็ขึ้นมาอยู่บนบกเสียหมด สินค้าที่เคยเป็นแบบ 'ชาวบ้าน' ก็กลายเป็นของเหมาะกับคนเมือง
   
   "ตอนแรกว่าจะแวะกินสักหน่อย หมดอารมณ์เลย"

   คนอยากมาสัมผัสวิถีชาวบ้านบ่นระหว่างที่เราสองคนกำลังซื้อไอติมหลอด "ทางเข้ายังเดินง่ายๆ ข้างในนี่เบียดแล้วเบียดอีก"

   "มันก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงบ้างแหละ" ผมรับแท่งน้ำแข็งสีขาวของตัวเองมาถือไว้ แล้วส่งแท่งสีเขียวกับแดงให้เธอ "เหมือนถ้าเราไม่รีบกินมันก็จะละลายแล้ว"

   ไม่อยากเชื่อเลยว่าความร้อนบนโลกใบนี้มันจะมากถึงขนาดที่ผมเพิ่งรับมันมาถือได้ไม่นานก็สัมผัสได้แล้วว่าโครงสร้างของสสารเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปตามอุณหภูมิ รีบยัดมันเข้าปากให้ไปละลายข้างในก่อนที่เสียของ

   "เหมือนได้คำคมเอาไปลงไอจีวันนี้เลย"

   "หาภาพที่เชื่อมโยงกับแคปชันให้ได้แล้วกัน"

   "ไม่เห็นยาก"

   หน้าจอโทรศัพท์สีดำสนิทของเธอเปลี่ยนเป็นกล้องหน้าอย่างรวดเร็ว ผมกดหน้าลงอัตโนมัติเมื่อเห็นใบหน้าของตัวเองไปโผล่อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยม ผมไม่ชอบการถ่ายรูปเลยล่ะ...

   "เงยหน้าเร็ว จะส่งไปอวดสองคนนั้น"

   "ไม่ล่ะ"

   "แฟร์ มองกล้อง"

   หรือว่าพวกเขาต้องอยู่กันแบบนั้นจนมองว่าการมีคนอย่างผมเข้ามาคือการเติมเต็มกันนะ คือถ้ามีแต่คนชอบบังคับมันก็จะไม่มีคนถูกบังคับไง

   ยังดื้อไม่ยอมทำตามคำสั่ง ยกมือขึ้นสองนิ้วแทนสิ่งที่เธอต้องการ รออีกสักพักจึงแอบชำเลืองมองว่าคนข้างตัววางเครื่องมือสื่อสารของตัวเองลงหรือยัง เมื่อเห็นว่าทะเลพลอยกำลังก้มหน้ามองรูปที่เพิ่งถ่ายเสร็จแล้วจึงเลิกทำตัวเป็นเด็กก้มหน้าเก็บเศษเหรียญ

   "รูปไหนดีกว่า?"

   ทำตัวตามอารมณ์ไม่ค่อยทันเท่าไหร่ ผมว่าตัวเองไม่ควรเข้าไปมีส่วนร่วมกับการตัดสินใจของเธอไม่ว่าเรื่องไหนก็ตาม

   รูปที่ให้เลือกแทบไม่มีความแตกต่าง ผมก้มหน้าชูมือเป็นสัญลักษณ์ตัววีเหมือนกัน ส่วนใบหน้าของเธอรูปที่สองยิ้มกว้างกว่ารูปแรก ส่วนที่เหลือเรียกได้ว่าไม่มีอะไรโดดเด่นออกมาเลย ผมเลยทำหน้าไม่ค่อยเข้าใจกลับไปให้ คือต้องการให้ตอบแบบไหนเหรอ

   "เราว่ามันแทบไม่ต่างกัน"

   "ฮื่อ แฟร์ตอบผิดคำถามนะ เราถามว่ารูปไหนดีกว่าไม่ใช่รูปต่างกันไหม"

   "ก็มันไม่ต่าง เราเลยบอกไม่ได้ว่ารูปไหนดีกว่าไง"

   "คุยกับแฟร์แล้วเหมือนมีภาพชาทับเลย นี่เล่นไอจีปะ เดี๋ยวเราแท็กไป"

   "ไม่เล่น"

   "แฟร์นี่แปลกดี" ทะเลพลอยแยกประสาทเก่งเหมือนกัน คุยกับผมไปพร้อมกับจิ้มหน้าจอได้ด้วย "โห ชามาไลก์เร็วเหมือนเดิมเลย"

   ผมไม่แน่ใจว่าสรุปแล้วเธอลงรูปไหนไปบ้างเพราะมันก็คล้ายกันไปหมด หนึ่งสิ่งที่เข้าไม่ค่อยถึงคือศิลปะในการลงรูปนี่แหละ เชนเองก็เคยเอารูปของชินามาให้ผมเลือกเหมือนกัน

   "เราไม่แปลกนะ"

   "ไม่เคยมีใครบอกว่าตัวเองแปลกหรอก ใช่ไหมล่ะ"

   "น่าจะเป็นอย่างนั้น"

   "แล้วที่ไปงานหนังสือมาเป็นไงบ้าง เราไม่เห็นชอบหนังสือที่มีแต่ตัวอักษรเป็นพรืดอย่างนั้นเลย"

   ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่เวลาได้ยินอะไรอย่างนั้นออกจากปากของเด็กเรียนทางสายวิทยาศาสตร์ เหมือนชินไปแล้วมั้ง

   "ก็ดี ได้ที่น่าสนใจมาหลายเล่มอยู่"

   "แล้วเรื่องที่แลกอ่านกับชาเป็นไง สนุกไหม"

   คุมอาการไม่ให้แสดงออกเกินพอดี ทำไมเธอถึงรู้เรื่องนี้ด้วยล่ะ "เพิ่งเริ่มอ่าน บอกไม่ได้"

   "แต่เหมือนชาจะอ่านเล่มของแฟร์ใกล้จบแล้วมั้ง เราเห็นเอาไว้ติดตัวตลอดเลย เมื่อเช้าก็อยู่ในรถ"

   หลังจากงานหนังสือแล้วธชาไม่ค่อยเข้ามายุ่งกับผมเท่าไหร่ บอกว่าต้องทำหน้าที่เป็นเพื่อนที่ดีให้ทะเลพลอยนี่แหละ ขับรถไปรับส่งแล้วก็อยู่ด้วยกันตามประสาเพื่อนสนิทกันมานาน

   "ดี จะได้เอาคืน"

   "แล้วแลกเล่มไหนของชาไปเหรอ"
     
   "หนังสือทั่วไป อธิบายไม่ค่อยถูก"

   เล่มที่ผมแลกมาเป็นเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์กึ่งเรื่องเล่า เอาเกร็ดความรู้ต่างๆ ในวรรณกรรมหลายชาติมาหาข้อมูลเพิ่มเติมรวมถึงวิเคราะห์ความถูกต้องของมัน บางเรื่องที่เคยเข้าใจอย่างหนึ่งมาโดยตลอดพอมาเปิดอ่านจากเล่มนี้แล้วพบว่ามันเป็นหนังคนละม้วนก็มี

   "ชาก็เคยแลกกับเรา" ใจกระตุกไปนิดหน่อยเมื่อได้ค้นพบว่าการกระทำของเขามันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร "แต่ทุกวันนี้ยังไม่เอาไปคืนเลยอะ เป็นหนังสือภาพสีหลายพันอยู่"

   "เป็นคนดีจังนะ"

   เลยเผลอประชดออกไปไม่รู้ตัว

   "ชาเป็นเพื่อนที่ดี เราเคยบินมาถึงนี่ตีสามก็ขับมารับไม่มีบ่นสักนิด"

   ถึงมันจะไม่ค่อยเกี่ยวกับเรื่องที่คุยกันก่อนหน้าเท่าไหร่ผมก็ไม่อยากขัด ปล่อยให้เธอได้เล่าเรื่องในขณะที่ใจก็อยากจะเสริมว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สร้างความเดือดร้อนให้ตลอด

   "ที่บ้านชาชอบอ่านหนังสือทุกคนเลย พ่อเป็นนักเขียนด้วย"

   ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับธชามากนักหรอก รู้อยู่แค่ไม่กี่เรื่องแล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจสักนิด พ่อเป็นนักเขียนนี่เอง ไม่อย่างนั้นแล้วคงมีผู้ชายไม่กี่คนที่เลือกเรียนในคณะอักษรศาสตร์ได้โดยไม่โดนคำห้ามจากทางบ้าน

   "ถ้าแฟร์ชอบอ่านหนังสือนะ ต้องชอบบ้านของชามากแน่เลย"

   "อ่า...เราเคยไปแต่คอนโด"

   เพราะไม่มั่นใจกับคำว่า 'บ้าน' ที่เธอใช้เลยต้องระบุรายละเอียดให้มากขึ้นอีกหน่อย 

   "อ้อ! นี่หมายถึงบ้านเลย ที่บ้านคือมีห้องกว้างๆ อุทิศให้หนังสือโดยเฉพาะอะ แต่ก็ยังไม่พอจนต้องไปซื้อห้องแถวเมืองทองเอาไว้ใช้เก็บหนังสือ"

   ถึงกับต้องซื้อห้องเอาไว้เพื่อเก็บหนังสือโดยเฉพาะนี่ต้องมีจำนวนมหาศาลขนาดไหนกันเชียว แต่ก็พูดไม่ได้หรอกนะ กองการ์ตูนวันนั้นวันเดียวยังสูงจนน่ากลัว ที่ผ่านมาไม่รู้ว่ามากกว่ากี่สิบเท่า ยังไม่รวมกับหนังสืออื่นอีก

   "ก็ดีนะ บ้านเรามีแต่ตู้ที่เต็มแล้ว"

   เรื่องเศร้าที่สุดของผมคือการมีหนังสือแต่ว่าไม่มีชั้นวางให้มันอยู่ คุณแม่เคยลากผมไปงานขายเฟอร์นิเจอร์แล้วก็ให้ผมเลือกตู้อย่างที่ชอบ นึกว่าจะได้เอามาวางกองเล่มกระดาษของตัวเองแต่ท้ายที่สุดแล้วก็ได้ส่วนแบ่งมาแค่หนึ่งในสามจากทั้งหมด จัดเข้าไปไม่เท่าไหร่ก็ไม่มีพื้นที่เพิ่มแล้ว

   เข้าใจคำว่าความผิดหวังขึ้นมาทันทีเลย

   

   ผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองดีใจกับการได้เจอธชาแล้วก็เชนินทร์เท่านี้มาก่อน

   หลังจากต้องอยู่ติดกับเธอในสภาพที่เรียกว่าเกือบตัวติดกันเป็นเวลาประมาณสองชั่วโมงกว่าโดยที่ไม่มีช่องว่างให้ผมได้แอบถามถึงเรื่องที่ค้างคาข้างใน ทะเลพลอยไม่เหมือนอย่างที่ผมประเมินเอาไว้ล่วงหน้า เธอผสมกันจนผมคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่พวกเขาสามคนจะอยู่ด้วยกันมานาน

   "ดีจ้าเลพลอย"

   "เพื่อนชั่ว ไม่คิดจะมาหากูบ้าง"

   "มึงก็ไปบอกให้ชินาเลิกติดกูสิ"

   มาถึงก็โล้งเล้งใส่กันไม่มีหยุด ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่

   "กวนประสาท"

   "แล้วจะไปที่ไหนต่อ?"

   "จะปั่นเข้าไปในสวน นี่ถ้ามาช้ากว่านี้อีกนิดจะชิ่งเข้าไปกับแฟร์สองคนแล้ว"

   เส้นทางเดิมของเราคือจะปั่นจักรยานเข้าไปในสวนที่เรียกได้ว่าเป็นไฮไลต์ในการเดินทางของวันนี้ สถานที่ที่ได้ชื่อว่าเป็นปอดของคนกรุง ผมจำไม่ได้ว่าเคยเห็นสถานที่นี้ผ่านตามาก่อนหรือไม่ พลอยเลยเปิดภาพที่ถ่ายข้างในให้ผมดูประกอบระหว่างรอเขาสองคนซื้อน้ำดื่ม

   "ชามะนาว จ่ายให้ด้วย ขอบคุณ"

   ทั้งประโยคใช้เวลาไม่ถึงสามวินาทีด้วยซ้ำไป ผมยืนมองป้ายเมนูเครื่องดื่มด้านหลังเคาท์เตอร์สั่งของค้างอยู่ตอนที่ได้ยินเสียงทะเลพลอยสั่ง ก็พอบอกว่าจะเริ่มปั่นจักรยานต่อแล้วคนมาใหม่สองคนก็ออกอาการงอแงไม่ยอมทำตามเพราะดันไปจอดรถจักรยานเอาไว้อีกฝั่งเลยต้องปั่นย้อนกลับมาเป็นระยะทางพอสมควร

   "เอาอะไรดีแฟร์"

   "...น้ำเปล่าก็ได้"

   "ฮื่อ กินอะไรที่มันหวานหน่อยสิ เราต้องเดินทางต่ออีกนะ"

   "เราโอเค ไม่เป็นไร" ที่จริงแล้วทิ้งผมเอาไว้ที่นี่แล้วค่อยแวะมารับเลยก็ยังได้ ร้านกาแฟดีไซน์สวยอยู่ติดริมแม่น้ำ ออกแบบให้มองออกไปเห็นทิวทัศน์ของอีกฟากของแม่น้ำได้ชัดเจน คิดว่าเหม่อได้นานอยู่ "เอาตามนั้นแหละ"

   "ส่วนแฟร์เอาเหมือนกันนะ จ่ายให้ด้วย ขอบคุณ"

   ย้อนกลับไปแล้วก็ยังหาไม่เจอว่าตัวเองหลุดปากพูดว่าชามะนาวออกมาตอนไหน ผมขยับปากบอกคนถือกระเป๋าเงินอย่างธชาแบบไม่มีเสียงว่าเดี๋ยวจะจ่ายคืนให้ แต่เขาคงไม่เห็นเพราะว่ากำลังคุยเรื่องอื่นกับพลอยอยู่

   เพื่อไม่ให้เกะกะลูกค้ารายอื่นผมกับผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มเลยเดินออกมาหาที่ว่างยืนรอ ไม่เน้นทำเลดีเท่าไหร่ เอาให้ไม่ให้รบกวนคนอื่นแล้วจะได้เดินทางต่อตามแผนที่วางเอาไว้ก็พอแล้ว

   "วันนี้เลยได้เข้าร้านกาแฟสองรอบเลย" พอเธอบอกอย่างนั้นก็ระลึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อเช้าผมก็เพิ่งนั่งเล่นอยู่ในร้านประมาณนี้เหมือนกัน

   "จะได้เว้นช่วงไม่ต้องเข้าอีกสักพักไง"

   ร้านนั่งดื่มไม่ใช่สไตล์การพักผ่อนของผมอยู่แล้ว สู้เปิดแอร์อยู่แล้วพร้อมกับหนังสือสักเล่มค่าไฟที่ต้องเสียอาจน้อยกว่าค่าเครื่องดื่มหนึ่งแก้วเสียอีก

   "ไม่ เข้าเมืองทั้งทีต้องเอาให้คุ้มสิ" ต้นประโยคที่ลงท้ายเสียงหนักอย่างนั้นเต็มไปด้วยความไม่พอใจ "ที่รู้สึกว่าตัวเองคิดผิดจนถึงทุกวันนี้ก็เรื่องเลือกเรียนนอกเมืองนี่แหละ"

   "ถึงตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ยกเว้นว่าจะไปเปิดแฟรนไชส์ที่นู่น"

   "เคยคิดนะ แต่นึกไปมาคิดว่าลูกค้าคงมีแต่เราคนเดียวอะ"

   "ลากสองคนนั้นเป็นไปลูกค้าประจำสิ"

   "โอย อย่างชาคงไปนั่งทำหน้าไม่รับแขกให้ลูกค้าหนี ส่วนเชนนี่ก็คงตอดของกินฟรีจนขาดทุนย่อยยับ"

   ส่วนตัวแล้วผมขอบเวลาเธอเล่าเรื่องเกี่ยวกับเขาสองคนนะ มันมีความน่าติดตามตามแบบฉบับของเพื่อนสนิทสายอินไซด์ดี

   เป็นผู้ฟังที่ดีต่ออีกสักพักธชากับเชนก็ออกมาพร้อมกับเครื่องดื่มในมือ อสูรตัวร้ายยื่นชามะนาวที่มีชิ้นเนื้อฝานอยู่ส่งไปให้คนสั่ง

   "ฉิบ ลืมบอกว่าไม่เอาหวาน"

   "สั่งให้แล้ว"

   "ดีมากเพื่อนรัก นี่สิที่เรียกว่ารู้ใจ" ตบบ่าปุๆ เสริม ผมเผลอมองพวกเขาหยอกล้อกันไปมาจนลืมให้ความสนใจว่าเครื่องดื่มในมือรสชาติเป็นอย่างไร

   ไม่รู้สิ

   มันเป็นความคิดที่เรียกว่าไร้สาระ และผมก็ควรเก็บ 'ความอิจฉา' นั้นเอาไว้คนเดียว


***
   ตอนนี้เต็มจนหาที่ใส่เทพนิยายลงไปไม่ได้เลยค่ะ ช่วงนี้ฟ้าครึ้มแต่ฝนก็ไม่ตก อย่างน้อยก็อยากให้อากาศเย็นขึ้นหน่อยจัง
   #หลอกลวงรัก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ sripaerrr

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
  เราอยากหาอ่านตามเลยค่ะในแต่ละเรื่องที่หยิบยกมา เราชอบอ่านสายสีดำก่อนที่จะถูกดัดแปลงมาเป็นสีชมพูดิสนีย์ เทพนิยายในอุดมคติกับชีวิตจริงมันสวนทางกันมาก มันสอนเราจากเหตุและผลของความจริง ไม่ต้องประโลมใจแบบเพ้อๆ
  จนถึงตอนนี้เราก็ยังผูกเรื่องในใจไม่ได้เลย ถึงแม้คุณเจ้าจะทิ้งจิ๊กซอว์อะไรไว้ก็ตาม เราไม่สามารถหาจุดเรื่มต้นของทั้งคู่ได้ว่าเกิดจากอะไร ทำไมต้องให้นม หรือว่าแฟร์เกี่ยวพันกับคนที่ธชาไม่ลืมในขั้นที่ลึกซึ้งกว่าแค่มีบางอย่างเหมือนกัน หรือว่าจะเป็นแฟร์เองที่เป็นคนที่ธชาไม่ลืม แต่แฟร์เป็นคนลืมเอง เดาสุ่มมากกกก แต่ก็สนุกมากกกกเช่นกัน

  เราชอบน้องชินามาก ต้องเลี้ยงยังไงถึงจะรู้ความขนาดนี้ เราชอบสิ่งที่ธชาสอนน้อง ชอบเหตุและผลการที่ไม่บอกฝันดี แต่บอกว่าเราจะเจอกัน ไม่ว่าจะฝันดีหรือร้ายแต่เราจะเจอกันวันพรุ่งนี้ เราชอบวิธีการใส่รายละเอียดตัวละครของคุณเจ้า แบบแต่ละคนเหมือนมีสโลแกนประจำตัวเป็น "อยู่ภายในใจเป็นหมื่นล้านคำ บอกให้เธอฟังไม่ได้สักคำ" ติดตามอยู่นะคะ อาจช้าไปบ้างแต่เรายังอยู่นะ

ออฟไลน์ Raccool

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +237/-2
จริงๆ ขัดใจชาที่ชอบบังคับแฟร์มาสักพักแล้ว
และมาเป็นเดอะแก๊งขัดใจยิ่งทำให้เราขัดใจ แบบฮึ่ยยยย :katai1:
เพราะเราก็ชอบอยู่คนเดียว ไม่ค่อยชอบให้ใครจู่ๆ ก็มาลากออกถ้ำไป 5555
อยากลากแฟร์ออกมาจริงๆ 555555

ไม่รู้ว่าที่เดอะแก๊งชอบบังคับแฟร์มีความนัยอะไรมั้ย
แต่จนตอนนี้ก็ยังงงๆ อยู่ดีด้วยความโง่ 555555

เหมือนเรื่องที่พลอยเล่ามันมีซัมติงบางอย่าง
หรือไม่ก็เพราะพลอย เลยทำให้แฟร์เกิดความรู้สึกตะงิดใจ

ยังไงก็ตามอยากรู้ปมเฉลยแล้ววว อึดอัดเหลือเกินนนน
อึดอัดแทนแฟร์ที่รู้ว่ามันมีอะไรแต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไรรร  :katai1:

ปล. ชอบเรื่องดอกกุหลาบมากเลยค่ะ 5555

ออฟไลน์ Zenith

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
รู้สึกเหมือนจะเริ่มจับความอะไรได้บ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด โอ๊ยยย อยากทุบตัวเอง;-; แฟร์เริ่มจะมีความรู้สึกอื่นแล้วอ่ะ นี้คือสิ่งที่จะบอกมั้ย555 อืออ นั้นแหละ ทะเลพลอยตอนแรกคิดว่าไม่น่ามีอะไรหรอก แต่ดันมีซะงั้น เป็นตลค.ที่จะมาแก้ปริศนาหรือเพิ่มปริศนากันแน่เนี่ย เอาเถอะยังไงเราก็ต้องแก้เองอยู่ดี ฮือออ แก้ปมอะไรไม่ได้เจ็บใจจจ :katai1: :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
เรื่องเล่าที่สิบห้า


   มอบไข่วิเศษใบนั้นมาสิ แล้วข้าจะยอมให้เจ้าได้คุยกับเจ้าชายอีกครั้ง
   - The Blue Bird (2)


 
   บางครั้งอากาศเมืองไทยก็ร้อนตลอดเวลาเสียจนไม่เข้าใจว่าจะแบ่งเป็นสามฤดูไปทำไม

   ผมปั่นจักรยานรั้งท้ายกลุ่มตั้งแต่แรกเริ่ม แค่เห็นพวกเขาสามคนจากด้านหลังก็ยังพอนึกออกเลยว่าสมัยอยู่มัธยมจะต้องเป็นกลุ่มที่ฮอตไม่ใช่เล่น ผู้ชายที่เคยแสนดี อีกคนก็ร่าเริงสดใส แล้วผู้หญิงคนเดียวก็ยังเข้าถึงง่าย

   เป็นสังคมอีกฟากฝั่งที่ผมไม่เคยได้สัมผัส

   "เมื่อไหร่จะถึงหอชมนกอะเชน"

   จบมื้อเครื่องดื่มที่จืดเสียจนไม่แน่ใจว่าคนขายสลับแก้วของผมกับเธอหรือเปล่าแล้วก็ได้เวลาเดินทางต่อ ตามแผนที่มันก็อธิบายเอาไว้ชัดแหละว่าต้องปั่นไปทางไหน ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงยังไม่เจอจุดพักใหญ่ของสวนนี้สักที ผมชักขี้เกียจปั่นแล้วนะ ยิ่งบังคับไม่เก่งอยู่

   "ใกล้แล้วล่ะ ดูจากป้ายอีกไม่กี่ร้อยเมตรเอง"

   "รีวิวแม่งโคตรหลอกลวง ไหนบอกว่าไม่ไกลไง"

   ทะเลพลอยบ่นกระปอดกระแปดแต่ก็ยังถีบจักรยานของตัวเองต่อไปไม่มีพัก ผมว่าดูจากบุคลิกของเธอแล้วไม่น่าจะใช่พวกที่เกลียดการออกกำลังกายนะ ที่จริงแล้วคนที่ควรงอแงมันน่าจะเป็นเด็กแว่นเอาแต่เรียนอย่างผมมากกว่าอีก

   "มึงยิ่งบ่นทางก็ยิ่งยาวอะเลพลอย"

   "หยุดเพ้อเจ้อสัตว์เชน"

   "ทำเป็นเก่ง ล่ะเดี๋ยวก็งอแงใส่พวกกู"

   เชนทั้งกัดทั้งจิกส่วนหญิงสาวคนเดียวก็ย้อนกลับไปไม่ลดราวาศอก เราปั่นต่อมาอีกไม่เท่าไหร่ก็เจอหอชมนก เป็นประภาคารสูงพอสมควรทำจากไม้ ดูไม่ขัดตาเมื่ออยู่กับพื้นที่สีเขียวรอบข้าง

   มุมด้านบนสวยสมกับเป็นพื้นที่ที่ไม่มีสิ่งก่อสร้างมารบกวนใจ มองออกไปได้เกือบทั้งสามร้อยหกสิบองศา บนนี้เจอแต่พื้นที่สีเขียวเต็มไปหมด ผมสูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอด หวังว่ามันจะช่วยให้อวัยวะแลกเปลี่ยนอากาศทำงานน้อยลงหลังจากที่ต้องเผชิญแต่มลพิษเป็นเวลานาน

   "เป็นหอชมนกที่เราไม่เห็นใครจะขึ้นมาดูนกเลย"

   หันไปมองต้นเสียงที่มายืนอยู่ด้านข้าง ผมประบ่าของเธอปลิวเบาๆ ไปตามแรงลม "แต่ก็ไม่ได้รู้จักชนิดของนกอยู่แล้วล่ะนะ เราเคยไปเข้าค่ายที่ต้องตื่นตีสี่กว่าเพื่อออกมาส่องนกตอนเช้าด้วยแหละ แล้วสุดท้ายวันนั้นเมฆมากจนไม่เห็นอะไรเลย"

   ถ้าให้เดาทะเลพลอยคงเลือดกรุ๊ปโอ ทั้งสีหน้าแล้วก็ท่าทางประกอบมาพร้อมกับการเล่าเรื่องทุกครั้ง งั้นก็ควรลดระดับความจริงของเรื่องเล่าลงไปหน่อยเพราะตำราบอกว่าคนกรุ๊ปนี้ชอบพูดโอเวอร์

   ผมกับเธอเดินขึ้นมาด้านบนแค่สองคน ธชาบอกว่าไม่อยากเหนื่อยส่วนเชนจะให้ถ่ายรูปจากมุมบนลงไปให้

   "เราไม่เคยไปเข้าค่ายอย่างอื่นนอกจากค่ายลูกเสือกับรด."

   ผลัดมาเล่าเรื่องของกาลวินท์บ้าง ผมไม่ชอบการใช้ชีวิตอยู่กับคนอื่นในพื้นที่ที่ไม่คุ้นเคย ทั้งกระดากแล้วก็เสี่ยงเจอคนไม่ถูกชะตาอีก อย่างตอนรด. นั่นก็เจอเพื่อนที่กรนตลอดคืน ฝึกทั้งวันก็นรกจะตายอยู่แล้วตอนนอนก็ยังไม่เจอความสงบสุขอีก

   ผมไม่ได้อยากเรียนหรอก ตั้งใจว่าจะไปเสี่ยงดวงจับสลากเกณฑ์ทหารด้วยซ้ำไป ติดอยู่ที่พ่อแม่ค้านหัวชนฝาเลยต้องยอมเรียนไปแบบเสียไม่ได้ แล้วมันก็เป็นสามปีที่โคตรแย่เลยล่ะ

   การตกอยู่ในสภาวะเป็นเบื้องล่างของผู้ใช้อำนาจเหนือโดยมีเงื่อนไขว่าปฏิเสธไม่ได้นี่น่าเศร้ายิ่งกว่าอะไรดี

   "ทำไมแฟร์ถึงใช้ชีวิตได้น่าเบื่ออย่างนี้นะ"

   ผมยกไหล่ขึ้น "เราว่ามันก็มีความสุขดี"

   "เข้าใจว่าความสุขคนเราไม่เท่ากันอยู่หรอก ...แต่ก็นะ"

   หลายครั้งตัวตนของทะเลพลอยสร้างความสงสัยปนแปลกใจให้ มองในแง่ของผู้ชายคนหนึ่งแล้วมันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะมีสถานะ 'โสดสนิท' อย่างที่เคยบอกเอาไว้ ทั้งหน้าตาที่สวยเด่น นิสัยร่าเริง แล้วก็ทัศนคติที่เป็นแง่บวกจนน่าประทับใจ

   ไม่ว่าใครก็น่าจะหลงเสน่ห์เธอได้ไม่ยาก

   ต่อให้ใครคนนั้นคืออสูรร้ายก็ตาม

   "นี่เชนหายไปไหน บอกให้ขึ้นมาเตรียมถ่ายรูปแล้วก็หายหัว"

   บ่นแบบมีของประกอบคือกล้องมิลเลอร์เลสขนาดกำลังดีห้อยอยู่ที่คอ เชนเป็นคนหิ้วมาด้วยโดยบอกว่าอยากได้รูปไปลงเฟซ ท่าทางที่ไกด์เอาไว้ล่วงหน้านั้นไม่ถึงกับพิสดารแต่ถ้าเป็นตัวผมแล้วคงไม่มีทางลองทำแน่

   "สงสัยกำลังจัดท่าอยู่"

   "เราโคตรเบื่อผู้ชายไร้เซนส์ถ่ายรูปอย่างสองคนนั้นเลย แม่งถ่ายออกมากี่รูปก็นึกว่ากดชัตเตอร์ส่งๆ"

   "ขนาดนั้นเลยเหรอ"

   ผมไม่ค่อยเห็นพวกเขาถ่ายรูปกันเอง อย่างรูปโปรไฟล์ในไลน์ที่ใช้ก็ไม่เคยเปลี่ยน เห็นบ่อยสุดก็คงเป็นรูปที่มีโมเดลเป็นเด็กหญิงชินานางนี่แหละ

   "ที่เห็นภาพสวยๆ เราถ่ายให้ทั้งนั้นแหละ ไม่งั้นนะรูปโคตรเห่ย"

   "อ้อ..."

   "รูปโปรของชานั่นก็ฝีมือเรา นี่แฟร์อยากได้รูปไปอัปไหม เราถ่ายให้"

   "ไม่ล่ะ ไม่ชอบถ่ายรูป"

   ปฏิเสธน้ำใจกลับไปเรียบๆ ผมไม่ชอบเห็นตัวเองในรูปถ่ายเท่าไหร่ มันทั้งดูไม่จืดแล้วก็เห่ยอย่างที่เธอใช้คำ

   "เหรอ น่าเสียดายออกที่จะไม่มีความทรงจำเก็บไว้"

   "งั้นต้องเริ่มจากคำถามว่าเราอยากจะเก็บความทรงจำเอาไว้หรือเปล่า"

   "คุยกับแฟร์แล้วปวดหัวเหมือนตอนเถียงกับชาเลย" เธอทำปากคว่ำ "พูดถึงนก เรามีเรื่องเกี่ยวกับนกที่ชาเคยเล่าให้ฟังด้วยแหละ"
   
   เกลียดแรงดึงดูดที่ไม่สามารถหาที่มานี่ได้เหมือนกัน ก่อนที่จะทำงานร่วมกับธชาผมไม่เคยสังเกตเลยว่าตัวเองใช้ชีวิตอยู่วังวนของเรื่องเล่าพวกนี้มากเท่าไหร่ พอนึกไปมาแล้วตั้งแต่ที่ผมถูกอสูรจับตัวเอาไว้นี่ได้รู้จักเทพนิยายเรื่องอื่นเพิ่มมากขึ้นกว่าเท่าตัว

   จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้มาจากการสิ้นพระชนม์ของราชินี ทิ้งบุตรสาวแสนงดงามอย่างฟลอลีนเอาไว้ให้บิดาเลี้ยงดูเพียงลำพัง ต่อมาพระราชาจึงอภิเษกสมรสใหม่กับแม่ม่ายผู้มีลูกติดนามทรูโทรเน่

   จนถึงช่วงเวลาที่พระราชาตัดสินพระทัยว่าถึงเวลาออกเรือนของบุตรสาวทั้งสอง ประจวบเหมาะกับการมาเยือนอาณาจักรของพระราชาผู้ทรงเสน่ห์ ราชินีประสงค์ที่จะให้ทรูโทรเน่ได้สมรสกับพระราชาต่างแคว้น จึงทำทุกวิถีทางเพื่อกีดกันไม่ให้ฟลอลีนได้พบ แต่มันก็ไม่ทันเสียแล้วเมื่อพระองค์ทรงตกหลุมรักกับหล่อนหลังจากการสบสายตากันครั้งแรก

   แผนของราชินีไม่มีทางจบลงง่ายๆ นางจึงจับฟลอลีนขังเอาไว้จนกว่าการเยือนของพระราชาจะจบลง ในช่วงเวลาที่เหลือนั้นแม่ลูกจอมอิจฉาได้ส่งของบรรณาการจำนวนมากไปให้เจ้าชาย แต่เมื่อเขาทราบว่าสิ่งเหล่านี้มาจากทรูโทรเน่พระองค์ก็ปฏิเสธอยู่ร่ำไป

   ใช่ว่าพระราชาต่างแคว้นจะปรีชาเสมอ พระองค์ทราบว่าฟลอลีนถูกขังเอาไว้อยู่บนหอคอยจึงอ้อนวอนขอให้ตนเองได้เจอนางสักครั้ง ราชินีแสนร้ายกาจจึงซ้อนแผนด้วยการอนุญาต แต่สลับตัวเองบุตรสาวของตนเองไปแทนที่เจ้าหญิงแสนงดงาม เจ้าชายผู้หลงเดินตามแผนของราชินีจึงขอนางในความมืดแต่งงาน

   "เจ้าชายนี่บทจะโง่ก็เกินทน" ผมฟังเธอเล่าไปแค่นั้นก็ไม่ค่อยถูกใจเจ้าชายเท่าไหร่ หนีมาได้ตั้งนานมาตกม้าตายตรงที่ขอแต่งงานผิดคนเนี่ยนะ

   "ความรักมันก็อย่างนั้นแหละ ...จะเอาท่านี้จริงเหรอ?" ช่วงท้ายของประโยคส่งไปให้คนที่กำลังนอนราบไปกับพื้นด้านล่าง ทำท่าเหมือนกำลังเดินชมนกชมไม้อยู่ "ถ้าไม่มีคนไลก์อย่าโทษกูนะ"

   ก็เลยเปลี่ยนตำแหน่งของตัวเองให้กลายเป็นผู้ช่วยช่างภาพด้วยการกำกับปรับเปลี่ยนท่าทางของนายแบบด้านล่างนิดหน่อยเพื่อให้มันดูธรรมชาติมากขึ้น ทะเลพลอยจ้องแค่ภาพที่ปรากฎตรงจอขณะที่ปากก็ยังบ่นเพื่อนได้สารพัดเรื่อง การขยับปรับมุมองศากล้องบอกว่าเธอเชี่ยวชาญด้านนี้มากพอควร

   "งั้นเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น?" เห็นว่าหมดหน้าที่ช่างกล้องแล้วก็เลยถามต่อ

   พอถึงวันแต่งงานพระราชาก็ได้พบความจริงว่าตนถูกคู่แม่ลูกล่อลวงให้ติดกับ พระองค์ปฏิเสธที่จะอภิเษกกับหล่อน ยืนกรานว่าต่อให้เกิดอะไรขึ้นก็ตามงานแต่งก็จะไม่มีทางเกิดขึ้น เมื่อทุกอย่างไม่เหมือนแผนที่วางเอาไว้ นางฟ้าทูนหัวของทรูโทรเน่เลยสาปให้เจ้าชายกลายเป็นนกสีฟ้าไปเสีย

   จากนั้นนางก็ไปหลอกฟลอลีนว่าเจ้าชายได้อภิเษกกับน้องสาวของตนไปแล้ว แต่เจ้านกสีฟ้าก็ได้ตามมาเล่าเรื่องจริงทั้งหมด โดยการมาหาแต่ละครั้งพระราชาในร่างของนกน้อยก็จะนำเพชรพลอยของมีค่ามาให้ด้วยเสมอ

   เวลาผ่านไป ราชินีก็ได้พบความผิดปกติเกี่ยวกับทรัพย์สมบัติของฟลอลีน ด้วยความหวาดระแวงว่าจะมีใครยื่นมือมาให้ความช่วยเหลือนางจึงตามหาจนค้นพบว่าที่แท้แล้วมีนกสีฟ้าคอยอยู่เป็นเพื่อนเจ้าหญิงแสนสวยอยู่เสมอ เพื่อเป็นการตัดไฟเสียแต่ต้นลมนางจึงใช้ให้ลูกน้องไปทำลายรังของนกเสีย พระราชาในร่างนกต้องยอมสละปีกและขาทั้งสองข้างของตัวเองเพื่อให้ตนเองหนีความตายมาได้

   เรื่องร้ายยังไม่จบแค่นั้นเมื่อราชาของเมืองสิ้นพระชนม์ ชาวเมืองต่างเรียกร้องให้ฟลอลีนได้ครองราชย์ต่อจากบิดาของตน ราชินีตัวร้ายผู้ไม่ยอมทำตามความต้องการจึงถูกชาวเมืองลอบฆ่า เจ้าหญิงแสนดีได้ขึ้นครองบัลลังก์ ส่วนลูกสาวตัวร้ายอย่างทรูโทรเน่ได้รับการช่วยเหลือจนสามารถหนีไปได้

   "เริ่มน่าสนใจ" ไม่คิดว่าราชินีจะหายไปด้วยพลังประชาชนอะไรทำนองนั้น ถึงนางเอกจะยังไม่ได้ทำอะไรเลยก็ตามทีเถอะ แค่ออกตามหาพระราชาก็ดีแล้ว "แล้วเป็นยังไงต่อ นี่ลูกเลี้ยงก็หนีไป นกสีฟ้าก็ยังไม่เจอ"

   "สงสัยต้องจังหวะอื่นแล้วล่ะแฟร์" เธอทำหน้าเบื่อใส่ตอนชี้ไปยังเพื่อนร่วมกลุ่มอีกสองคนที่โบกมือให้ "เออ กำลังไปแล้ว ...ไอ้พวกเพื่อนฉิบหาย"

   กลั้นขำเอาไว้ไม่ได้ตอนเห็นเธอบ่นอุบอิบ ผมชอบความเป็นเพื่อนของพวกเขาทั้งสามคนนะ ทั้งรักทั้งเกลียดแต่ก็ต้องอยู่ด้วยกันเพราะว่าไม่มีใครคบด้วยแล้ว

   อันนี้เชนบอก ผมไม่ได้พูดเอง

   "แต่นี่เราก็เป็นเหมือนในเรื่องอยู่นะ ฟลอลีนผู้ถูกจองจำในหอคอยไง"

   "ไม่เห็นเหมือน เดินลงไปก็หนีได้แล้ว"

   "โธ่ ไม่สนุกเลย นี่แฟร์มีเพื่อนประเสริฐแบบพวกมันบ้างไหม"

   "ถ้าอย่างนี้เรียกประเสริฐเราไม่อยากมีหรอก"

   เรามีหัวข้อในการคุยใกล้เคียงกัน มันเลยไม่มีช่วงเวลาเดตแอร์เกิดขึ้น ผมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่เจอมากับตัวเกี่ยวกับคนที่รออยู่ด้านล่างไปเรื่องสองเรื่องระหว่างเดินลงมา

   "ชามันขี้ห่วง ถ้าเจอหน้าเดี๋ยวมันจะบ่นสิบล้านเรื่องเพราะลงมาช้า"

   "รู้จักกันดีจังนะ" สาบานเลยว่านั่นไม่ใช่การประชด

   "แน่สิ อยู่ด้วยกันมาตั้งนาน"

   ตรงทางขึ้นมีเพื่อนประเสริฐทั้งสองรออยู่แล้ว เชนขอดูรูปในกล้องเป็นอย่างแรกส่วนธชาก็...

   "มึงขึ้นไปนานสัตว์ มานี่"

   เขาเดินเข้าไปช่วยจัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงจากแรงลมของทะเลพลอย ตามมาด้วยซับเหงื่อตรงข้างแก้มด้วยกระดาษทิชชู บ่นไม่ขาดปากอย่างที่เธอได้ทำนายเอาไว้แล้วล่วงหน้า

   มันเกิดหนึ่งความคิดว่าเขาสองคนช่างเหมาะสมกัน

   "ไปกันต่อเถอะ"
   
   ขึ้นคร่อมจักรยานของตัวเอง มองพวกเขาเริ่มเคลื่อนพลออกไปก่อนหน้าด้วยความรู้สึกหน่วงเล็กๆ ที่เริ่มกระจายตัวมากขึ้นทุกที พวกเขาสามคนเป็นส่วนผสมที่ลงตัวกันจนเมื่อผมลองตัดตัวเองเข้าไปแปะเสริมแล้วมันกลายเป็นส่วนเกินที่ไม่ควรมี

   การตัดสินใจถัดมาสั่งให้ผมหันหัวจักรยานไปอีกฝั่ง เร่งถีบให้ตัวเองไปถึงทางแยกให้เร็วที่สุด ไม่ต่างอะไรกับเจ้าหญิงที่ออกตามชายผู้เป็นที่รัก

   ส่วนผมกำลังตามหาอะไรอย่างนั้นเหรอ

   ก็ไม่รู้เหมือนกัน

   

   "แฟร์ไม่โกรธเราใช่ไหม"
   
   "ถ้าบอกเหตุผลมาก็จะคิดอีกที"

   "แสดงว่าโกรธแน่เลย"

   "นี่เรียกได้ว่าพวกแอบตามเลยนะ"

   สายตาที่เต็มไปความท้าทายอย่างนั้นเหมือนกันหมดทั้งสามคน "ก็พิสูจน์ให้ได้สิ เราบอกแล้วไงว่ามันเป็นแค่เรื่องบังเอิญ"

   ขอย้ำคำเดิมว่าเข้าไม่ถึงผู้หญิงชื่อทะเลพลอย

   ผมใช้เวลาในวันธรรมดาที่ว่างกะทันหันจากการแคนเซิลคลาสวิชาเลือกอย่างกฎหมายอาญาเบื้องต้นไปกับการเข้าคอร์สเรียนเย็บสมุดกับคุณครูที่รู้จักกันมาพักใหญ่แล้ว เปิดในอินเทอร์เน็ตไปเรื่อยแล้วเจอก็เลยลองมาเรียน ได้เรียนกับครูที่ถูกจริตเลยมาเท่าที่มีโอกาส

   ผลสืบเนื่องมาจากการเรียนในวันธรรมดาเลยทำให้สมาชิกในห้องมีแค่สามคนตามที่ครูบอก มาแล้วสองคนคือผมกับหญิงสาวชาวฝรั่งเศสผู้เดินทางมาเรียนโดยเฉพาะ ไม่ค่อยได้สนใจคนอื่นอยู่แล้วเลยก้มหน้าอ่านหนังสือไปคนเดียว

   จนได้ยินเสียทักทายของผู้มาใหม่นั่นแหละถึงรีบปิดแทบไม่ทัน

   ผู้หญิงคนเดิม คนที่ผมตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่แรกว่าจะต้องตามหาความลับที่อยู่ข้างในเอาไว้ให้ได้ เธอมาพร้อมกับเสื้อผ้าสไตล์ค่อนข้างชัดเจนอย่างเสื้อลายขวางฟรีไซซ์กับกางเกงเอวสูงและเข็มขัดยาวทิ้งลงข้างตัว แนะนำตัวเองว่าเป็นการมาเรียนครั้งแรกเลยไม่ถนัดเท่าไหร่

   "แฟร์มาบ่อยเหรอ เห็นครูบอกว่าเป็นนักเรียนประจำ"

   "มาเท่าที่อยากมา"

   ค่าเรียนมันสูงแบบที่กว่าจะทำใจจ่ายได้แต่ละทีก็ต้องคิดแล้วคิดอีก เลือกคอร์สที่คิดว่าหาเรียนตามอินเทอร์เน็ตไม่ได้เท่านั้น บางเรื่องมันก็เป็นเทคนิคส่วนบุคคลที่ไม่ได้เผยแพร่

   "มีงานอดิเรกที่ดีจัง"

   "แล้วพลอยไม่มีเหรอ"

   เธอส่ายหน้าไปมา วันนี้มัดผมเอาไว้มันเลยมีแค่ส่วนที่ปรกหน้าปลิวตามแรง "ไม่ล่ะ เป็นจำพวกไม่ชอบอยู่กับอะไรนานๆ"

   "แล้วมันไม่ใช่เรื่องดีหรือไง"

   "ก็มีทั้งข้อดีแล้วก็ข้อเสีย" โทนเสียงของผู้หญิงที่นั่งฝั่งตรงข้ามรื่นหู ฟังง่ายแล้วก็เต็มไปด้วยความสดใส "แอบอิจฉาคนที่ไม่ต้องตามหาความสุขตลอดเวลาเหมือนกัน"

   "ความสุขบางครั้งก็มาในรูปแบบของการที่ไม่ต้องวิ่งตามนะ"

   ไม่ใช่นักปรัชญาหรือว่าคิดคำคม มันเป็นผลมาจากการอ่านมาก เอามารวบรวมวิเคราะห์แล้วสังเคราะห์ให้เป็นข้อสรุปสำหรับตัวเอง

   "เป็นความคิดที่ดีจังแฟร์" คลาสเรียนจะเริ่มต้นในอีกไม่นาน ผมหยิบกระเป๋าข้างขึ้นมาเก็บของที่ไม่จำเป็นต่อการใช้งาน เตรียมพร้อมสำหรับการเรียน "แล้วไม่ตอบข้อความชาหน่อยเหรอ"

   ค่อยๆ รูดซิปปิดกระเป๋า พอมันมาชนกันสนิทแล้วถึงตอบ

   "ไม่ล่ะ ปกติก็อย่างนี้"

   เหมือนว่าจะโดนอสูรโกรธอยู่ล่ะมั้ง ตั้งแต่วันที่ผมแยกตัวออกมาเฉยๆ เขาก็ส่งข้อความมาหาไม่น้อยเลยล่ะ ผมใช้วิธีการเข้าไปอ่านเพื่อไม่ให้จำนวนการแจ้งเตือนมันเพิ่มขึ้น แล้วก็กดออกมาเลยโดยไม่สนใจสักตัวอักษรที่อีกฝ่ายส่งมา สำหรับเชนผมก็ใช้วิธีเดียวกัน

   "เหรอ..."

   "เรากับธชาก็อยู่กันแบบนี้แหละ"

   "ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย ถึงคิดว่ามันก็แปลกอยู่ก็เถอะ"

   คนตรงๆ อย่างเธอนี่มีเหลืออีกสักกี่คนบนโลกใบนี้นะ วันนี้คลาสเรียนของเราค่อนข้างราบรื่น ได้ความรู้ใหม่มาพอสมควร และพอหมดช่วงการสอนก็ได้เวลาที่นักเรียนจะได้ลงมือปฏิบัติ

   "สรุปแล้ว...มาทำไม?" ยังมีเรื่องค้างคาอยู่นิดหน่อย

   "มาเป็นจำเลยให้แฟร์ซักได้ตามสะดวก"

   "..."

   "นั่นเป็นเหตุผลที่ดีมากพอใช่ไหม" พูดจบก็ยิ้มจนตาหยีอีกครั้ง คราวนี้ความสดใสของมันไม่ทำให้ผมผ่อนคลายได้สักนิด ซ้ำร้ายจังหวะการเต้นของหัวใจก็ยังเร็วขึ้นอีก "เรารู้ว่าแฟร์ก็อยากสนิทกับเราใช่ไหมล่ะ"

   "ถ้าเอาตามความจริง...ก็ไม่"

   แค่สองคนก็ประสาทเสียจะแย่ ไม่อยากให้มีคนที่สามมาเพิ่มหรอก

   "จริงเหรอ..." คำถามซ่อนนัยล้อเลียนเอาไว้ "งั้นมีแต่เราที่อยากรู้จักแฟร์ก็ได้นะ"

   พอได้อยู่ด้วยนานๆ ก็เข้าใจแจ่มแจ้งดั่งแสงตะวันเลยว่าเพราะอะไรพวกเขาสามคนถึงเป็นเพื่อนสนิทกันได้ ก็ไอ้การที่ทำตัวเป็นพวกคนที่อ่านทุกอย่างออกไง

   "ไม่มีอะไรที่น่าสนใจขนาดนั้น" มือก็พับครึ่งกระดาษไปด้วย ส่วนปากก็ไม่หยุดขยับตาม "แค่เด็กแว่นไม่ที่ไม่มีเพื่อนคบ"

   "แต่เราไม่คิดอย่างนั้นแฮะ"

   "..."

   "มนุษย์เป็นสัตว์สังคมนะ วิชาสังคมสอนอย่างนั้นมาตลอด"

   "แต่ถ้าสังคมมันเพี้ยนอย่างนี้ ไม่มีก็ดีนะ" เลยผ่านคำพูดเข้าใจยากไปเสียให้หมด "แล้วตอนนี้เราก็ว่าตัวเองคิดถูก"

   "มันก็ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้น นี่ชาต้องโกรธเราแน่เลยถ้ารู้ว่าวันนี้มาเจอแฟร์"

   "ก็ปล่อยเขาไป"

   ต้องมารองรับอารมณ์แปรปรวนบ่อยๆ มันก็อยากเอาแต่ใจบ้าง

   "เอาอย่างนั้นก็ได้ เออ เรายังเล่าเรื่องให้แฟร์ฟังไม่จบเลย"

   ตอกย้ำความทรงจำในวันก่อนด้วยการส่งของตกแต่งรูปนกสีฟ้ามาให้ รูปวาดโดยใช้สีน้ำก่อนเอามาปรินต์ให้กลายเป็นสีหมึกดิจิทัล ผมเปลี่ยนความตั้งใจว่าวันนี้จะเย็บสันให้เสร็จก็พอ ส่วนหน้าปกไม่น่าเสร็จได้ในวันเดียวกัน

   "ก็เล่าต่อสิ พร้อมฟัง"

   ตัวเองก็อยากรู้ว่าต่อจากการครองอำนาจของฟลอลีนแล้วเธอจะพบเจ้าชายได้อย่างไร

   เธอออกตามหาเจ้าชายหรือว่าเจ้านกสีฟ้าตัวนั้น ระหว่างทางจึงได้พบกับหญิงชราที่เป็นร่างแปลงของแฟรี่นางหนึ่ง นางเล่าเรื่องที่เจ้าชายได้กลับคืนสู่ร่างปกติแล้วให้ฟัง แต่นั่นก็เกิดขึ้นหลังจากจากนกสีฟ้าไร้ปีกได้ให้สัญญาว่าจะอภิเษกกับทรูโทรเน่

   หญิงชราได้มอบไข่วิเศษสี่ฟองให้กับฟลอลีน สองฟองแรกนั้นใช้สำหรับการเดินทางไปยังปราสาทของพระราชา ที่นั่นเธอไม่อาจแสดงตัวต่อพระองค์ได้ว่าตนเองคือฟลอลีนยอดรัก จึงจำออกอุบายโดยการมอบเครื่องเพชรที่เจ้านกสีฟ้าเคยให้เธอกับทรูโทรเน่ไป เมื่อพระราชาเห็นสิ่งที่หญิงสาวแสนอัปลักษณ์เอามาให้ทอดพระเนตรนั้นก็ทรงระลึกได้ทันทีว่านั่นเป็นสมบัติของพระองค์เอง

   ต่อมาทรูโทรเน่ได้ย้อนกลับมาพบกับฟลอลีนที่ยังปลอมตัวอยู่อีกครั้ง คราวนี้เธอเสนอให้ฟลอลีนได้ใช้ช่องแห่งเสียงสะท้อนเพื่อแลกกับสิ่งล้ำค่าชิ้นอื่น มันเป็นสถานที่ที่เมื่อเธอได้เอ่ยอะไรออกไปก็จะส่งไปถึงห้องบรรทมของพระราชา แต่ไม่ว่าเธอจะพยายามติดต่อกับพระองค์มากเท่าไหร่มันก็ไม่เคยได้ผลเพราะชายที่รักของนางบรรทมจากยานอนหลับ

   เธอใช้ไข่วิเศษใบที่สามกับการได้เข้าไปใช้ช่องแห่งเสียงสะท้อนเป็นครั้งที่สอง และไม่ต่างจากครั้งแรกที่มันไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฟลอลีนตัดสินใจใช้ไข่วิเศษใบสุดท้ายที่มีนกร้องเพลงอยู่หกตัวแลกกับการได้เข้าไปไปข้างในอีกครั้ง รวมถึงได้มีการติดสินบนคนใช้เพื่อไม่ให้พระราชาถูกฤทธิ์ของยานอนหลับเล่นงาน ในคืนนั้นพระองค์จึงได้ยินเสียงของฟลอลีน พวกเขาทั้งสองได้เจอกัน ทรูโทรเน่ได้รับโทษ ทุกอย่างจบลงอย่างมีความสุข

   "จบแล้ว?"

   "ก็พอมีความสุข นั่นก็ต้องจบแล้วสิ"

   ในมุมของคนที่ยอมรับโลกได้ บางเรื่องเธอก็ยังเป็นพวกสุขนิยมอยู่อย่างนั้นเหรอ

   "จบง่ายดี..."

   "นี่ ขอโทษนะ"

   ยังไม่ทันถามว่าขอโทษเรื่องอะไรก็ได้คำตอบ เธอใช้เวลาเสี้ยววินาทีในการดึงแว่นกรอบใหญ่ของผมออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีความปรานีหรือถนอมรักษาเครื่องมือในการเพิ่มความคมชัดของผมเลย นี่ถ้ามันบาดหูขึ้นมาจะมีใครรับผิดชอบไหม

   "ขอคืน มองไม่เห็น"

   "เลนส์บางแค่นี้เอง ไม่ได้ไม่ชัดอะไรขนาดนั้นหรอก" จากที่หรี่ตามองผมเห็นเธอกำลังยกแว่นของผมขึ้นพินิจด้านข้างของกรอบแว่นอยู่ "แฟร์ทำตาปกติหน่อย"

   "พลอย เอาแว่นเรามา"

   "ห้าวิพอ"

   "นับถอยหลังเลยนะ"

   แกล้งตาเบิกกว้าง ออกเสียงจากห้าไปหนึ่งโดยเร็ว พอเลขหนึ่งออกจากปากของผมแล้วก็ยกมือขึ้นแบขอสิ่งที่เป็นของผมคืน "เอามาได้แล้ว"

   "โหย ใจร้ายจัง"

   "ถึงไม่บ้าตายไปก่อนเวลาอยู่กับพวกเขาไง"

   ยักไหล่ขึ้นเมื่อนึกถึง 'พวกเขา' ทั้งสองคน รับแว่นกลับมาตรวจเช็กว่าการกระชากเมื่อครู่สร้างความเสียหายอะไรหรือเปล่า

   "แต่ตอนนี้เราเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมชาถึงไม่ปล่อยแฟร์ไป"

   สารภาพตามตรงว่าผมปั้นหน้าแจ่มใสไม่ออกเมื่อได้ยินอย่างนั้น ทะเลพลอยตั้งศอกกับโต๊ะพิงหน้าเอาไว้กับช่วงมือ ยิ้มแสนสวยของหญิงสาวฝั่งตรงข้ามฉายแววรู้ทันบางอย่าง

   "ที่บอกว่ามาเป็นจำเลย พูดจริงนะ"

   "ไม่ได้ขอ"
   
   "เราบอกไม่ได้ว่า 'ใคร' ทำให้ชาเป็นอย่างนี้"

   "..."

   "แต่ถ้าถามว่า 'เพราะอะไร' มันถึงฝังใจจนถึงทุกวันนี้เราบอกได้"

   ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนโง่สุดๆ ไปเลย จากที่ตั้งใจว่าจะมาล้วงเอาความลับของเธอกลายเป็นตัวเองที่โดนหลอกให้วิ่งไปมาจนหัวปั่น สนุกมากแค่ไหนกันเชียวที่ทำให้ผมกลายเป็นหนูที่วิ่งอยู่ในกรงไร้ทางออกได้

   "ไม่ได้อยากรู้ขนาดนั้น"

   "อย่าโกหกอีกสิ" รอยแสยะยิ้มแบบคนรู้ทันไม่ต่างจากคำพูดที่ส่งมา "ชาเป็นผู้ชายที่ดี แต่มันก็โลกสวยเกินไป จะเอาอะไรมากกับความสัมพันธ์ของคนที่ไม่ได้เจอกันมานาน แต่อีกฝั่งก็ทำตัวเหมือนมีใจด้วยแหละ"

   "..."

   "ก็เก่งที่เป็นเพื่อนแชตกันมาได้เรื่อยๆ สุดท้ายกลับโดนปฏิเสธแถมบอกว่าไม่ได้คิดอะไรมากกว่าเพื่อน"

   "..."

   "มันคงคิดว่าที่ทำตัวอย่างนี้ทุกอย่างจะดีขึ้น แต่ก็นะ บางเรื่องชามันก็เป็นแค่คนโง่"

   ผมอ่านสีหน้าไร้ความกังวลของหญิงสาวฝั่งตรงข้ามไม่ออกสักนิด

   "เราไม่มีทางลืมรักครั้งแรกได้หรอก"


***
   เกลียดอากาศช่วงนี้มากเลยค่ะ แต่ก็ยังต้องออกจากบ้านอยู่ดี...
   เจ้าแอบชอบความไม่ตรงตามคอนเซปต์เทพนิยายเป๊ะของเรื่องนี้นะคะ ตั้งแต่ที่แม่เลี้ยงถูกประชาชนขับไล่ เจ้าหญิงที่ติดสินบนคนใช้ (หัวเราะ) แต่ส่วนอื่นมันก็แอบหนักจนยากที่จะย่อให้ครบมากที่สุดเลยค่ะ
  คนอ่านอาจจะปวดหัว แต่เจ้าสนุกกับการแอบซ่อนรายละเอียดมากเลยค่ะ (ฮา) แต่เรื่องอื่นคงไม่เอาขนาดนี้แล้ว หมดพลังมากๆ เลย
   #หลอกลวงรัก

ออฟไลน์ Zenith

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เห้ยย! ไม่มั้งๆ ชาคงไม่ได้เห็นแฟร์เป็นตัวแทนของรักแรกของตัวเองใช่ป่ะ ถ้างั้นมันจะน่าสงสารแฟร์มากเลยนะ นังชา! บอกสิว่าฉันเข้าใจผิด! เทพนิยายในตอนนี้มันเฟี้ยวมากเลยค่ะ ชอบอ่ะ แต่ก็ยังแบบไม่เข้าใจเทพนิยายมาก อาจเพราะไม่เคยอ่านเทพนิยาย ยังไงก็จะพยายามทำความเข้าใจและจะเตรียมพร้อมในการแก้ปมปัญหานะคะ :sad4: :sad4: :sad4:

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
เรื่องเล่าที่สิบหก


   เพราะเหตุใดข้าจึงต้องสังหารเด็กชายแสนบริสุทธิ์
   - The Pink


 
   พอครบกำหนดวันหยุดยาวทะเลพลอยก็บินกลับไปเรียนตามปกติ

   ส่วนผมเองก็กลับมาใช้ชีวิตแบบ 'ค่อนข้างปกติ' เหมือนกัน

   "ตรวจคำผิดส่วนที่ส่งให้ไปแล้วหรือยัง"

   "บ้างแล้ว แต่ยังไม่ครบ"

   ก็คือยังต้องมีธชามาวนเวียนอยู่อย่างนี้หนีไปไหนไม่ได้สักที

   งานกลุ่มใกล้ถึงวันส่งเข้าไปทุกที เรื่องเนื้อหาไม่ต้องเป็นกังวลอะไรทั้งนั้นเมื่ออยู่ในการดูแลของธชา ผมก็แค่ทำในส่วนของตัวเองไปให้เสร็จเท่าที่ความสามารถจะเอื้ออำนวย

   ส่วนที่สำคัญไม่แพ้เนื้อหาคือการตรวจสอบความถูกต้องของคำศัพท์ เพราะมันแสดงถึงความใส่ใจในการทำงานได้ไม่น้อยเลยล่ะ ผมจะเป็นคนพิสูจน์คำผิดเองก่อนที่เราจะช่วยกันตรวจอีกครั้งก่อนส่งเพื่อไม่ให้มีข้อผิดพลาดไหนหลุดออกไป

   "ให้เสร็จในเวลาแล้วกัน"

   และนั่นเป็นคำบอกลาของเขาในวันนี้ ผมมองคนทำงานกลุ่มร่วมกันเดินออกจากห้องเรียนในระหว่างที่การสอนหน้าห้องยังคงดำเนินต่อไปไม่มีสะดุด สายตาบางคู่คงมองตามอย่างที่ผมกำลังทำอยู่ นี่เป็นความไม่ปกติของธชาในช่วงนี้ เขาอารมณ์ไม่คงที่เลยล่ะ

   ชอบมาพูดห้วนสั้น สั่งมากกว่าคุยกัน แถมใบหน้าก็ยังเรียบตึงจนหลายคนไม่กล้าเข้าไปใกล้ทั้งที่มีงานจำเป็นต้องคุยให้รู้เรื่อง

   และถึงตัวเองจะเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด ผมก็ยังทำตัวไม่สะทกสะท้านอยู่ดี

   เชนบอกว่าธชาโกรธผมสุดๆ ไปเลยล่ะที่ช่วงก่อนหน้านี้ไม่ยอมรับสายหรือว่าตอบไลน์ ก็ถ้าผมตอบอะไรออกไปมันก็ไม่มีข้อรับประกันว่าเขาจะเข้าใจแล้วก็ยอมรับได้นี่นาว่าผมไม่อยากจะคุย แค่ยอมกลับมาตอบนี่ก็ดีแค่ไหนแล้วเถอะ

   กลับมาถึงบ้านก็ตั้งใจว่าทำงานให้เสร็จก่อนดีกว่า พอเปิดหน้างานที่แชร์กันทำก็ต้องประหลาดใจกับการแจ้งเตือนว่ามีคุณกิ้งก่านิรนามกำลังแก้ไขอยู่พร้อมกัน

   ผมไม่ค่อยออนไลน์พร้อมกับเขา ตัวเองจะใช้ช่วงเวลาประมาณสามทุ่มถึงสี่ทุ่มในการปั่นทุกอย่างให้เสร็จ ไม่ชัวร์ช่วงเวลาการทำงานของธชา บางครั้งก็เช้าบางทีก็ตีสามนั่นแหละ ต่อให้ผมเพิ่งตรวจก่อนเข้านอนพอตอนเช้ามันก็เคยมีบางส่วนเพิ่มเติมมา

   ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีไม่ใช่เรื่องที่น่าประทับใจเสมอไป ในเมื่อตอนนี้มันบอกเรียลไทม์เลยว่ากิ้งก่านิรนามกำลังแก้ไขส่วนไหนอยู่ ถ้าเขาจะมาเพิ่มเติมข้อมูลส่วนกลางเรื่องอย่างนี้มันก็ทำให้การตรวจคำผิดของผมไม่ถึงไหนสิ

   หลีกหนีโดยการหาจุดที่คิดว่าเหมาะกับการทำงานคนเดียว ก็ไม่อยากคิดว่าเขาจงใจที่จะตามผมมาเรื่อยๆ หรอกนะ แต่ภาพตรงหน้าก็เห็นอยู่ว่าอีกฝ่ายกำลังพิมพ์ข้อความอยู่บนบรรทัดก่อนหน้า

   - จะเข้าประชุมไหม?

   คงไม่มีหัวข้อไหนของรายงานที่ต้องใส่ประโยคนั้นเข้ามา นี่คืออารมณ์กลับมาคงที่แล้วใช่ไหมนะ

   คณะของผมจะจัดงานใหญ่ในเดือนหน้า กึ่งเป็นงานครบรอบแล้วก็เป็นโอเพ่นเฮาส์ไปในตัว เปิดโอกาสให้เด็กชั้นมัธยมปลายได้เข้ามาหาข้อมูลและซักถามกับผู้ที่กำลังเผชิญชะตากรรมอยู่จริง จะได้รู้กันไปเลยว่าสิ่งที่ตัวเองคิดว่าเหมาะสุดท้ายแล้วใช่ที่ของเราหรือไม่

   ด้วยความที่เป็นเอกไม่ใหญ่ ทุกคนเลยต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในการจัด ไม่เว้นแม้แต่คนที่แสดงออกชัดว่าไม่อยากจะสุงสิงกับเพื่อนร่วมคณะมากเท่าไหร่อย่างผม

   ยังไม่เคยเข้าประชุมเลยไม่รู้ว่าหน้าที่ตรงจุดไหนที่ถูกยัดมาให้ จะไม่ทำก็ไม่ได้อีก สังคมที่นี่ยังไม่พร้อมปล่อยให้เราแสดงออกได้โดยอิสระแบบที่ไม่มีใครมาตัดสินว่าสิ่งที่เรายืนหยัดมันถูกหรือผิด

   การเรียกร้องให้เคารพในความเป็นมนุษย์น่ะยากจะตายไป

   - ไม่

   ตอบไปตามที่คิด แต่สุดท้ายแล้วก็คงต้องเข้าแหละ น่าจะเป็นครั้งท้ายๆ ที่สรุปทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

   - ทำไม

   ทำใจว่าการทำงานในวันนี้คงจะจบลงไปแล้ว ผมตั้งค่าการเตือนตัวเองเอาไว้ว่าอย่าลืมกลับมาลบข้อความสนทนาพวกนี้ให้หมดก่อนที่จะปรินต์งานส่งแล้วตอบไป

   - ก็ไม่อยากไป

   เรื่องแค่นี้ไม่เห็นยาก เขาก็น่าจะรู้ว่าผมไม่ใช่พวกที่เป็นไทป์ทำกิจกรรมอยู่แล้ว

   ไม่ได้คุยแชตต่อเนื่องอย่างนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะ อย่างไลน์ในเครื่องของผมมันก็มักจะเป็นการคุยที่ไม่ค่อยปะติดปะต่อมากนัก กว่าจะตอบได้แต่ละครั้งก็ปาไปมากกว่าครึ่งวันเป็นอย่างน้อย

   - ไปด้วยกัน

   - สั่ง?

   - ก็รู้อยู่แล้วนี่


   "...ชีวิตต้องเจออะไรอย่างนี้ด้วยเหรอ"

   รำพันส่งไปหาใครก็ไม่รู้ ตัวเองแสดงออกยิ่งกว่าความชัดของวิดีโอสี่เคแล้วธชาก็ไม่เห็นจะสนใจเลย

   - หลังประชุมจะได้ไปซื้อต่างหูด้วยกันต่อ

   เขาทำเหมือนผมเป็นพวกว่างงานเลยใช่ไหมล่ะ ข้อเสียอย่างหนึ่งคือตอนนี้เราคุยกับผ่านตัวอักษร เพราะงั้นธชาจะไม่มีทางเห็นว่าผมกำลังทำหน้าระอาใจมากแค่ไหน อย่างที่สองคือต่อให้ผมพยายามส่งอารมณ์ผ่านทางกลุ่มคำมันก็ไม่มีทางช่วยให้เขารู้ตัว

   - ไม่ไป

   - ห้องประชุมอเนกประสงค์ สี่โมงครึ่งนะ


   ถ้าตอบตามใจจะต้องเจออะไรบ้างนะ ผมลองถามตัวเองอย่างนั้นระหว่างที่มือยังวางเอาไว้ตรงแป้นคีย์บอร์ด กดไล่ไปทีละปุ่มตามที่เคยเรียนวิชาพิมพ์ดีดมาจากหนังสือ

   - เมื่อไหร่เรื่องนี้จะจบ?

   จากนั้นก็ลบมันทิ้งเสียทั้งประโยค

   ระบบการทำงานบนเอกสารออนไลน์จะปรากฎข้อความตามที่ประมวลผลออกไปได้ทันที ผมบอกไม่ได้เหมือนกันว่าเขาจะอ่านข้อความนี้ทันไหม ก็คือถ้ายังอยู่หน้าจอตลอดต้องเห็นอยู่แล้วล่ะ ความคิดชั่ววูบที่รั้งตัวเองเอาไว้ไม่อยู่นำเอาความกังวลเล็กๆ ติดกลับมาด้วย งี่เง่าชะมัดเลย

   ปิดหน้าจอการทำงานลง เดินไปพิงขอบหน้าต่างบานใหญ่เอาไว้ ไม่ต่างจากทุกวันคือวิวด้านนอกมีแต่ความมืดปนไปกับแสงจากส่วนต่างๆ มันทั้งสวยงามแล้วก็หม่นหมองไปพร้อมกันจนผมถอนหายใจออกมา พยายามบอกตัวเองว่าอย่ากลับไปคิดถึงประโยคปริศนาของทะเลพลอย

   ความรักครั้งแรกอย่างนั้นเหรอ...



   แต่สุดท้ายก็ต้องเข้าประชุมจนได้ ผมนั่งเงียบๆ อยู่ตรงมุมห้องโดยมีคนช่างบังคับนั่งถัดออกไป ไม่เคยเข้ามาร่วมวงทำงานเลยคิดว่าทางที่เหมาะที่สุดคือการนิ่งไม่มีปากเสียง ผมไม่รู้จักคนที่กำลังยืนแจกแจงรายละเอียดอยู่ตรงนั้นด้วยซ้ำ

   "ส่วนของชาก็ดูแลซุ้มภาษานะ จะให้ใครไปช่วยก็ลิสต์มาแล้วกัน"

   เท่าที่ฟังแล้วจับใจความรู้เรื่อง ธชาจะได้รับหน้าที่ดูแลในส่วนของพาร์ตให้ความรู้ โดยจะให้คนที่มาเข้าร่วมเขียนข้อความอะไรก็ได้แล้วทางคนจัดก็จะแปลเป็นภาษาต่างๆ ตามเอกของตัวเอง

   ที่ให้เขาเป็นคนดูแลก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการใช้หน้าตามาดึงดูด

   ล้อเล่นนะ ผมเคยบอกแล้วไงว่าถึงธชาเป็นคนประเภทไม่ค่อยมีคนอยากเข้าใกล้ แต่เรื่องการจัดการงานพวกนี้ต้องยอมรับเลยว่าทำได้ดีไม่ค่อยมีที่ติ

   “แฟร์”

   เงยหน้าขึ้นมาโดยพลัน ประหม่าไม่น้อยที่สายตาทุกคู่กำลังจ้องมองมาทางผม

   “ใส่ชื่อแฟร์ลงไปได้เลย”

   คำอธิบายไม่ได้ช่วยให้ทุกอย่างดูลงตัวขึ้น หัวหน้างานพยักหน้ารับทราบพลางก้มลงไปจดรายละเอียดเพิ่มเติมในปึกกระดาษของตัวเอง "งานซุ้มเป็นชากับแฟร์รับผิดชอบหลัก เลขาจดลงไปเลย"

   เดี๋ยวสิ...ทำไมตำแหน่งของผมถึงได้ขึ้นพรวดพราดอย่างนี้ ไม่ได้มีความดีความชอบอะไรให้ตอบแทนเสียหน่อย

   อารามตกใจจนทำอะไรไม่ถูก แค่จะอ้าปากออกเสียงก็ยังไม่สำเร็จ คนที่ไม่เคยต้องอยู่ในจุดที่แบกรับภาระมากไปกว่าการเบิกอุปกรณ์มาทำป้ายชื่ออย่างผมกำลังตกที่นั่งลำบากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

   "เราทำไม่ได้หรอก" หันไปค้านกับคนข้างตัว

   "ไม่เชื่อตัวเองขนาดนั้น?"

   "แน่สิ"

   ผมไม่เคยมีตำแหน่งอะไรติดตัว ไม่ว่าจะช่วงไหนของชีวิตก็ตามที แฟร์ก็ยังเป็นคนที่มีความสุขกับการได้อยู่คนเดียวเงียบๆ ไม่สุงสิงกับใครให้ปวดสมอง นี่จะให้เป็นคนรับผิดชอบหลัก...ขอประกาศเอาไว้ตรงนี้เลยว่างานต้องล่มแหง

   "ไม่เคยลองแล้วจะรู้ได้ไง"

   "แต่ถ้าไม่ลองเราก็ไม่ต้องเสี่ยงเรื่องงานเจ๊ง"

   "มีเราอยู่ ไม่ต้องกังวลหรอก" คำพูดของเขาไม่ได้สร้างความเชื่อมั่นให้ได้เลย เครียดจริงจังแล้วนะ ผมไม่พร้อมแบกรับภาระใหญ่เอาไว้บนบ่า "ประชุมเสร็จแล้ว ไปซื้อต่างหูกัน"

   อันที่จริงแล้วเราก็ไม่ได้ออกไปไหนด้วยกันบ่อย เมื่อเทียบกับจำนวนวันที่ผมทำแค่โบกมือลาตรงหน้าห้องสมุดแล้วต่างคนก็แยกย้ายไปตามทางตัวเอง ซึ่งวันพวกนั้นมันไม่มีอะไรให้เล่าไง

   "ไม่ไป"

   ธชาหรี่ตาลงมองผมแบบคนกำลังตามหาอะไรบางอย่าง "ไป"

   "ชวนเชนสิ"

   "ทำไมต้องชวนคนที่ไม่ได้อยากให้ไปด้วย"

   "..."

   "ชวนคนที่อยากไปด้วยก็ถูกแล้วนี่"

   

   ร้านที่ธชาพาผมมาถ้ามองจากภายนอกแล้วไม่น่าเชื่อว่าจะมาซื้อเครื่องประดับ ก็ป้ายหน้าร้านที่เขียนว่า TATTOO พร้อมกับรูปตัวอย่างทั้งหลายนั่นมันไม่ต่างอะไรกับร้านสักทั่วไป ใครจะรู้ว่าพอเข้าไปแล้วมันจะมีชั้นวางต่างหูหลากหลายรูปแบบวางเรียงต่อกันจนละลานตา

   "สวัสดีครับ"

   คนอยากมาซื้อต่างหูใหม่ทักทายพนักงานคนเดียวภายในร้านอย่างคนคุ้นเคยเลยล่ะ ผมมองการแบ่งร้านคร่าวๆ พอให้รู้ว่าควรไปยืนอยู่ตรงไหน แน่นอนว่าไม่ใช่ทางเก้าอี้เอนนอนพร้อมกับอุปกรณ์สำหรับการเจาะสีลงไปในตัวแน่

   "ของใหม่อยู่ชั้นบนสุดนะ" เสียงต้อนรับอบอุ่นต่างจากรูปลักษณ์ภายนอก ผมทำเป็นมองเมินรอยสักจำนวนมากที่พ้นเสื้อของคนดูแลร้านไปเสีย ก็นี่มันร้านสัก ไม่ใช่เรื่องแปลก

   "โอเค"

   ผมเบี่ยงตัวออกมาดูของที่โชว์อยู่ในตู้ ข้างบนสุดเป็นต่างหูประเภทที่มีเม็ดพลอยติดเอาไว้ เนื่องจากมันไม่ค่อยถูกจริตเลยมองผ่านไปยังส่วนถัดไป

   คราวนี้เป็นจำพวกเครื่องหมายแล้วก็สัญลักษณ์ มีตั้งแต่เบสิกอย่างทรงเรขาคณิต ดวงดาวกับพระจันทร์ ไปถึงลายที่จับเอาของรอบข้างมาย่อส่วนให้ติดอยู่บนแป้น

   ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องเครื่องประดับ เอาจากที่เห็นด้วยสายตาบวกกับราคาที่ติดเอาไว้แล้วผมก็มั่นใจว่ามันคงเป็นของมีคุณภาพไม่น้อย เพ่งตัวงานก็สวยไม่ค่อยมีข้อตำหนิที่เห็นชัด ไม่น่าใช่พวกทำออกมาเป็นโหล

   รสนิยมของอสูรนี่ไม่เลวเลย

   แต่ถ้าจะให้เอาเงินมาลงกับเครื่องประดับพวกนี้บ่อยๆ ก็ไม่ทำหรอกนะ ผมเอาไปทุ่มกับอุปกรณ์ทำสมุดเสียยังดีกว่า

   "...?"

   เพลิดเพลินไปกับการมองงานศิลปะชิ้นจิ๋วตรงหน้า จนไปหยุดอยู่ตรงต่างหูแบบห่วงมีปีกห้อยลงมา รายละเอียดของปีกแต่ละส่วนมากเสียจนผมต้องค่อยๆ ไล่ไปตามร่องรอยการดีไซน์ มันควรจะเป็นเครื่องหมายของเทวดาหรือไม่ก็นางฟ้า แต่พอคนออกแบบเลือกที่จะใช้สีดำในการย้อมมันเลยกลายเป็นเครื่องหมายของความชั่วร้ายได้เช่นกัน

   คิดไปเองว่าคงไม่มีใครห้ามให้หยิบขึ้นมาพินิจดูอีกครั้ง ผมยกมันขึ้นในระดับสายตา ให้ส่วนปีกขยับไปมาตามกฎของแรง ความละเอียดอ่อนของมันมากเสียจนไม่แปลกใจเลยที่ราคาสูง

   "ชอบคู่นี้เหรอ?"

   เจอการจู่โจมระยะประชิดบ่อยจนเลิกสะดุ้งแล้ว 

   "ไม่" วางมันลงในกล่องตามเดิม หันมามองดูว่าธชาได้สิ่งที่ต้องการแล้วหรือยัง "เสร็จแล้วใช่ไหม"

   "พี่ครับ ถ้าเจาะหูด้วยเลยได้ไหม"

   แต่ดูเหมือนว่าเรากำลังคุยคนละเรื่องกันอยู่ล่ะ

 

   "หน้าซีดแล้วนะ" ตอนแรกผมบอกว่าเสียงของเจ้าของร้านมันอบอุ่นเหรอ มันกลายเป็นข้อความเสียงจากมัจจุราชไปแล้ว "ชา มาให้กำลังใจหน่อยเร็ว"

   สภาพของผมตอนนี้คือกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้เดี่ยวตัวสูง ด้านขวาคือชายผู้ซึ่งกำลังสาละวนอยู่กับการทำความสะอาดเครื่องประดับด้วยแอลกอฮอล์เตรียมพร้อมสำหรับการสร้างรูบนใบหูของผมอยู่ อย่าถามว่าเกิดผีเข้าอะไรขึ้นเลยยอมเจาะ ผมก็บอกไม่ได้เหมือนกัน

   อาจเป็นเพราะแค่คำว่า 'แฟร์เหมาะกับต่างหูอันนี้' เท่านั้นล่ะมั้ง

   "ไม่ได้หน้าซีดเลยเถอะ"

   ยังปากดีเถียงกลับไปได้อยู่ ผมบอกตัวเองว่าต้องควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจให้มันลดลงไปอีกหน่อย ต่อให้ทั้งสองคนจะรับรองว่าเจาะตรงใบหูมันไม่รู้สึกเท่าไหร่ก็ไม่น่าเชื่ออยู่ดี แค่โดนเข็มจิ้มยังเจ็บแล้วนับประสาอะไรกับการเอาของแหลมคมชิ้นหนึ่งแทงจนทะลุ

   "หืม งั้นเปลี่ยนไปเจาะตรงกระดูกไหม"

   คนขายยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจตั้งแต่แรกเริ่ม พอธชาบอกว่าจะให้เจาะก็เสนอไอเดียขึ้นมาว่าจะทำทั้งทีก็ซ่าให้สุด เอาตรงส่วนกระดูกที่ต้องใช้เข็มช่วยไปเลย อารมณ์ประมาณว่าตอนที่ยังมีความมุ่งมั่นอันแรงกล้าที่จะทำก็จงงัดมันออกมาให้เต็มที่

   "เจาะตรงนี้ไปแหละ"

   "ได้ๆ นี่ก็ไม่ได้เจาะด้วยมือมานานแล้วนะเนี่ย"

   และความเปรี้ยวอีกอย่างของผมก็คือจะไม่ใช้เครื่อง แต่จะเป็นการเจาะด้วยมือแบบวิธีดั้งเดิมที่มีอุปกรณ์ไม่กี่อย่าง นำมาด้วยยาหม่องแล้วก็ตัวต่างหู มีของเสริมเป็นแอลกอฮอล์ที่เอาไว้ฆ่าเชื้อก่อนที่จะใช้มันแทงทะลุเข้าไปในเนื้อของผม

   ก็พี่เขาดันเล่าว่าธชาเองก็ใช้วิธีการเจาะมือ ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเป็นพวกถือทิฐิบ้าศักดิ์ศรีไปตั้งแต่เมื่อไหร่

   นั่งมองอะไรไปเรื่อยระหว่างรอ จนมาสะดุดตากับรอยสักตรงข้อพับด้านในของคนตรงหน้า "นี่สัญลักษณ์ของอะไรเหรอครับ"

   "นี่เหรอ" พี่ช่างสักชี้ไปตรงดอกไม้ดอกสวยตรงข้อแขน มันเป็นรอยสักแบบสีที่ลงด้วยโทนชมพูทั้งหมด จะบอกว่ามันดูหัวใจคิตตี้ต่างจากใบหน้าของเขาก็ได้ "ดอกไม้อะ ชื่อเดอะพิงก์"

   "ไม่เคยได้ยินเลย"

   "พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าของจริงเป็นแบบไหน"

   เสียงหัวเราะคิกคักเล็กแหลมจนถ้าไม่เห็นหน้าคงคิดว่าเป็นสาวน้อยน่ารัก ผมมองเขาเล็งตำแหน่งที่จะเจาะผ่านกระจกตั้งโต๊ะบานเหลี่ยมที่ตั้งอยู่ตรงหน้า ตอนถูกถามว่าอยากได้ตำแหน่งอะไรประมาณไหนก็ตอบกลับไปแค่ว่าเอาที่พี่เขาคิดว่าดีเลย

   "นี่อยากส่องกระจกใกล้กว่านี้หน่อยปะ ถอดแว่นแล้วยังมองเห็นชัดอยู่ไหม"

   "เท่านี้ก็ได้ครับ ยังเห็นอยู่"

   "แสดงว่าสั้นไม่เยอะล่ะสิ พี่เคยมีลูกค้าที่สายตาสั้นแต่อยากเจาะมาก ต้องใช้วิธีถ่ายรูปให้ดูว่าตำแหน่งจะอยู่ประมาณไหน โคตรยุ่งยาก"

   "แล้วทำไมพี่ถึงสักลายนี้เหรอครับ" อย่างที่ใครเคยบอกว่าการสักมันเป็นการเล่าเรื่องราวอย่างหนึ่ง แค่เปลี่ยนจากการขีดเขียนบนแผ่นกระดาษเป็นผิวหนังของมนุษย์เท่านั้นเอง

   "แฟนเก่าของพี่เคยวาดเอาไว้ประกอบงานธีสิสก่อนที่จะเลิกเพราะเราเห็นตรงกันว่าได้เวลาเลิกแล้วอะ"

   "..."

   ก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าควรสะกิดใจคำว่าแฟนเก่าหรือได้เวลาเลิกแล้วดี คือทุกอย่างในประโยคนั้นเป็นแค่การบอกเล่าที่ดูทั่วไป ประมาณว่าถามเมื่อวานกินอะไรแล้วพี่เขาก็บอกว่าไปกินชาบูที่ไม่อร่อยมา

   "จำเนื้อเรื่องเต็มไม่ค่อยได้ล่ะ นี่เขาก็ดีไซน์ออกมาเองว่าไอ้ดอกที่ชื่อเดอะพิงก์นี่ควรเป็นแบบไหน"

   มันเป็นงานจบของแฟนเก่าที่เรียนสถาปัตย์ เลือกที่จะออกแบบดอกไม้แบบลายเส้นจากตำนานหรือไม่ก็เรื่องที่มีอยู่แล้ว ดูมาทุกลายแล้วชอบเจ้าดอกนี้มากที่สุดเลยเอาไปสัก ใช้สีชมพูให้เข้ากับชื่อเรื่อง

   "บางคนก็บอกว่าเป็นดอกคาเนชัน แต่แฟนเก่าพี่บอกมันไม่เท่เลยสร้างใหม่เอง ประมาณว่าเจ้าชายเป็นคนที่ถ้าพูดอะไรก็จะเป็นอย่างที่ขอ ดอกไม้นี่เป็นผู้หญิงที่เป็นหนึ่งในคำขอของตัวเองเหมือนกัน"

   "...อีกรอบได้ไหมครับ"

   ไม่คิดว่าเจ้าดอกชื่อแปลว่าสีชมพูจะมาจากเรื่องที่มีสตอรี่ประหลาด ต้องเหงาขนาดไหนถึงสร้างผู้หญิงขึ้นมาให้อยู่กับตัวเองเนี่ย

   "ก็เจ้าชายได้รับพรวิเศษว่าขออะไรก็จะเป็นจริง ตอนเด็กเลยมีคนลักพาตัวไป ราชินีก็โคตรซวยโดนสามีตัวเองจับให้อดตายบนหอคอยโทษฐานไม่ดูแลลูก พอโดนจับไปเจ้าชายก็ถูกบังคับให้สร้างปราสาทแล้วก็สร้างเด็กหญิงขึ้นมา แต่คนทำผิดกลัวไง เลยจะให้เด็กผู้หญิงฆ่าเจ้าชาย สุดท้ายก็ไม่ได้ฆ่าแล้วก็ขอพรให้คนร้ายกลายเป็นหมา ส่วนเด็กผู้หญิงก็กลายเป็นดอกเดอะพิงก์เก็บเอาไว้ในกระเป๋าระหว่างเดินทางกลับเมือง”

   เล่าอย่างนี้ค่อยเข้าใจได้หน่อย พอบอกแค่ว่าเด็กผู้หญิงเป็นพรที่ขอมาแล้วดูเป็นพวกหื่นกามขึ้นมาทันที

   “ก็นั่นแหละ กลับเมือง เล่าเรื่องให้พระราชาฟังแล้วก็ปล่อยราชินีออกมา เออลืมเล่า คือราชินีแม่งไม่ตายเพราะมีเทวดาช่วยเอาอาหารมาให้ตลอด แต่พอออกมาแล้วคิดว่าเดี๋ยวเทวดาก็ยังช่วยให้อิ่มเลยไม่กินอาหาร สรุปสามวันต่อมาตาย แล้วราชาก็ตรอมใจตายตาม เย้”

   จะสะดุดใจก็ตรงคำสุดท้ายนี่แหละ...

   "เจ็บก็จับมือเอาไว้"

   สัมผัสได้ถึงน้ำหนักตรงช่วงตัก ผมขยับแค่ช่วงตาเพราะพี่เขาเริ่มเอายาหม่องมานวดบริเวณใบหูแล้ว กลิ่นฉุนของสมุนไพรหลายชนิดพาลให้คิดถึงคนเฒ่าคนแก่ในครอบครัว อย่างคุณย่าของผมนี่ชอบนักแหละ แสบจมูกจะตายไป

   "ไหว"

   "หน้าซีดมากเลยนะ" ผมล่ะเบื่อคนช่างเสริม ที่เห็นตัวเองในกระจกก็ไม่ได้ซีดขนาดนั้นสักหน่อย

   "แสงไฟต่างหาก"

   เถียงกลับไปข้างๆ คูๆ ก็เห็นอยู่ว่าแสงที่มีมันสว่างจ้าเสียจนไม่เห็นว่ามันจะช่วยประหยัดไฟตรงไหน

   "นี่ชอบความใจเด็ดนะ คนที่เพิ่งเจาะรูแรกชอบแพนิกกัน กลัวเจ็บไปก่อนล่วงหน้า"

   "เหรอครับ"

   "พี่เคยเจอแบบที่จะลงแรงไปแล้วเปลี่ยนใจไม่เจาะด้วยนะ เป็นผู้ชายตัวใหญ่ๆ โคตรจี้" อาชีพของพี่เขาก็น่าสนใจตรงที่ได้เจอผู้คนหลากหลายประเภทนี่แหละ ซึ่งไม่เหมาะกับลักษณะนิสัยของผมเลยสักนิด "แฟร์ไม่กลัวเจ็บบ้างเหรอ"

   "คิดว่าผ่านความเจ็บที่สุดในชีวิตมาแล้วน่ะครับ"

   "เหยด โคตรเท่ เรื่องอะไรอะ"

   "ใครจะบอก" นึกถึงเรื่องราวที่ตนเองเคยเข้าไปเป็นส่วนหนึ่ง การเลือกทางเดินที่นำไปสู่ตอนจบแบบที่ไม่ต้องการ "คนเราก็ต้องมีช่วงเวลาเห็นแก่ตัวจนตัดสินใจผิดพลาดกันบ้างแหละ"

   หัวเราะในลำคอ ยังไม่ทันจะได้คิดอะไรต่อก็ได้ยินเสียงของแหลมทะลุผ่านเข้าไปในผิวเนื้อ ผมยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมระหว่างที่พี่เขาจัดการปิดห่วงต่างหูให้เรียบร้อย กะพริบตาสร้างความมั่นใจว่าเรื่องทั้งหมดมันผ่านไปแล้ว

   มันไม่ได้เจ็บอย่างที่คิดเอาไว้ตอนแรก

   แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่รู้สึกอะไร

   "พี่ประทับใจวะ ไม่เคยเจอลูกค้าแบบน้องเลย"

   "แบบผม?" หยิบแว่นกลับมาสวมตามเดิม ขยับช่วงศีรษะนิดหน่อยพอให้ต่างหูมันขยับไปมา แอบหนักอยู่เหมือนกัน "มันก็ไม่เจ็บอย่างที่พี่บอกจริงๆ แหละครับ"

   เอาแต่คุยเล่นด้วยเลยไม่มีเวลาไปสนใจ ผมจำความรู้สึกตอนที่เข็มเจาะผ่านเนื้อเข้าไปไม่ได้ด้วยซ้ำ

   "จำไว้ว่าห้ามกินพวกไข่กับหน่อไม้สามวันนะ"

   "หา?"

   คุยยังไม่จบดีเสียงที่สามก็แทรกขึ้นมา ใบหน้าจริงจังของธชากับข้อห้ามหลังจากเจาะหูมันดูเข้ากันไม่ค่อยได้จนผมสงสัย จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงหัวเราะพรืดของเจ้าของผลงานที่กำลังห้อยต่องแต่งอยู่บนหูของผม

   นอกจากหนักมันยังรั้งแปลกๆ อีกด้วย

   "อย่าหลอกเพื่อนอย่างนั้นสิ"

   "เรื่องจริง มีคนเคยหูอักเสบเพราะกินไข่เจียวหลังจากเจาะหู"

   "..."

   "ไม่เชื่อลองเปิดกูเกิลดูก็ได้"

   "..."

   ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าธชานี่ก็มีมุกไม่ฮาพาเครียดเหมือนกัน

   "ถ้าไม่เชื่อก็กินไป เดี๋ยวจะรอใส่ยาให้"

   "นี่ก็ไม่เลิก หลังเจาะพี่ยังพาไปเลี้ยงมื้อใหญ่อยู่เลย" เป็นบุญตาที่ได้เห็นคนกล้าเล่นหัวอสูรต่อหน้า "เจาะเมื่อไหร่นะชา ช่วงก่อนเข้ามหาลัยใช่ไหม?"

   "หลังเข้าไปประมาณเดือนหนึ่ง"

   ถึงว่าก่อนหน้านั้นไม่เคยเห็น ผมไม่เคยสังเกตว่าต่างหูดีไซน์สวยแปลกมันมีมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ได้มาเห็นจริงจังก็ช่วงที่ต้องทำงานด้วยกันนี่แหละ

   "ตอนนั้นบอกพี่ว่าเจาะเพราะอะไรนะ?"

   "เอาไว้ย้ำว่าเคยเจ็บกับอะไรมา"

   คงดึงตัวเองออกมาอยู่นอกวงสนทนาได้อย่างสนิทใจ ถ้าประโยคนั้นเขาไม่ได้เอ่ยตอนที่สบตากับผมอยู่...

   นัยน์ตาของอสูรเปลี่ยนสีไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเมื่อกระทบกับแสงไฟ ช่วงตาคมเรียวสวยส่งข้อความบางอย่างที่ดูแล้วไปกันไม่ค่อยได้กับคำอธิบาย

   "อ้อ ที่เคยเจาะแล้วก็ต้องเอาออกเพราะคุณครูไม่ให้"

   "ใช่ เจาะตอนฉลองขึ้นม.ปลาย"

   ลองนึกต่อไปแล้วก็ตลกดีที่เห็นภาพธชายืนทำหน้านิ่งระหว่างฟังครูเทศนาเรื่องไม่ให้ใส่เครื่องประดับไปเรียน ปากก็บอกครับๆ แต่คงไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ

   "ตอนนั้นมันเล่นใหญ่กว่านี้อีก แบบบาร์เบล"

   หน้าของผมคงแสดงออกชัดว่าไม่เข้าใจศัพท์เฉพาะทางจนช่างสักบวกช่างเจาะหันข้างแล้วเอามือระบุตำแหน่งให้ "เจาะสองรูแล้วใช้แบบแท่งดามไปน่ะ"

   ใบหน้ามีปฏิกิริยาตอบกลับโดยพลัน ผมทั้งเบ้ปากแล้วก็ทำหน้าสยดสยองกับตำแหน่งการเจาะ ทำไมคนเราต้องหาเรื่องทำให้ตัวเองเจ็บด้วยนะ

   "เสียดาย แต่ก็ไม่อยากเจาะใหม่ที่ตำแหน่งเดิม" เขาส่งแบงก์สีเทาสองใบไปให้เจ้าของ ผมลืมถามเลยว่านอกจากค่าต่างหูแล้วยังมีค่าบริการเจาะไหม "คิดไปทั้งหมดเลยนะครับ"

   เลยชะโงกหน้ากลับไปดูราคาต่างหูของตัวเอง ทดเอาไว้ในใจว่าจะต้องคืนเท่าไหร่บ้าง

   "เอาแค่ค่าต่างหูไม่คิดค่าเจาะแล้วกัน เนื่องในโอกาสแฟนชาน่ารัก"

   ทำได้เพียงส่งรอยยิ้มจางไปให้ ซ่อนความหน่วงที่แทรกเข้ามาในความรู้สึกแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ใต้ใบหน้าปกติ บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเพราะอะไรตอนที่พี่เขาพูดคำนั้นออกมาผมถึงเกือบหลุดหัวเราะด้วยความสมเพช

   ธชาเดินออกจากร้านไปก่อนแล้ว และเป็นผมที่ก้มหัวแทนคำขอบคุณอีกครั้งก่อนที่จะปิดประตูกระจกบานใหญ่ลง ภาพสะท้อนกลับมาคือกาลวินท์คนเดิมพร้อมเครื่องประดับชิ้นใหม่ตรงใบหู ส่วนอย่างที่สอง...

   "..."

   ตาฟาดไปหรือเปล่านะ

   อสูรเลือดเย็นกำลังยิ้มอยู่อย่างนั้นเหรอ


***
   เจ้าเป็นมนุษย์ที่โชคดีเวลาเจาะหูค่ะ ไม่ว่าจะเจาะมือ เครื่อง หรือใช้เข็มมันก็ไม่ค่อยอักเสบเท่าไหร่ แต่เดี๋ยวนี้ก็ใส่จริงจังแค่รูเดียวเองค่ะ ไม่รู้ตอนนั้นจะเจาะอะไรมากมาย (หัวเราะ)
   #หลอกลวงรัก

ออฟไลน์ pigarea

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
แปะไว้ก่อนนะ

ออฟไลน์ Zenith

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
รู้สึกอึ้งอ่ะ ทำไมพี่เจ้าของร้านรู้จักพวกเทพนิยายด้วยยย 5555 เริ่มรู้สึกถึงอะไรบ้างอย่างแหละ เริ่มรู้สึกได้แล้ว แต่มันถูกตัดโดยความเอาแต่ใจของนังชา! แฟร์ไม่ชอบ ชาชอบ(บังคับ) สงสารแฟร์อ่ะ ไม่ได้อยากมากับเจาเลยแต่ดันโดนเจาะหูด้วยอีก วงวารรร :mew6: :mew6: :mew6:

ออฟไลน์ sripaerrr

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
ทุกคนมีอดีตที่ไม่ยอมปล่อยมือ ดูท่าจะหนักหน่วงมากเลยอะถึงตองสร้างรอยรำลึกไว้กับตัว

หรือว่าแฟร์คือเพื่อนแชทคนนั้นของชา???  งือออเราอยากรู้ๆๆๆแฟร์ไม่ถามเลยอะ

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
เรื่องเล่าที่สิบเจ็ด


   จำไว้ เจ้าจะเปิดเข้าไปในห้องไหนก็ได้ ยกเว้นแต่ห้องใต้ดิน
   - The Blue Beard

 

   รายงานของเราสองคนเสร็จลงไปเป็นที่เรียบร้อย ดูเหมือนว่ามันจะมีช่วงเวลาปลดปล่อยให้ได้มีความสุขบ้างใช่ไหมล่ะ แต่ความจริงแล้วคือไม่ใช่เลย พอทำงานเสร็จฝันร้ายที่เรียกว่าสอบกลางภาคก็ตามมาหลอกหลอนแบบไม่ทันได้เตรียมใจ

   และสัจธรรมอย่างหนึ่งของช่วงสอบคือสงครามแย่งชิงที่อ่านหนังสือ

   จากพื้นที่ที่เคยเป็นส่วนตัวสำหรับเราสามคนก็ถูกรุกรานทีละน้อยจนกลายเป็นพื้นที่สาธารณะ ความเงียบสงบที่ผมเคยรักนักหนาถูกเสียงพูดคุยปรึกษาและติวหนังสือเข้ามาแทนที่จนเป็นผมเองที่ขอยอมแพ้

   จะไปหาที่นั่งอ่านที่ไหนให้มันได้ฟิลลิ่งนี้อีกนะ

   "แล้วแฟร์จะไปอยู่ไหนล่ะ"

   "ยังไม่รู้"

   ถึงจะบอกว่าต้องเริ่มตามหาที่อ่านใหม่แต่นี่มันก็เข้าวันที่สามแล้วที่ผมยังล่องลอยไปทั่ว ไม่ต้องพูดถึงละแวกตึกเรียนเพราะทุกพื้นที่มันถูกจับจองไปด้วยนักศึกษาผู้ต้องเผชิญกับการสอบเหมือนกัน แถวบ้านผมก็ไม่มีสถานที่เหมาะกับนั่งอ่านนานๆ จะให้ไปสิงร้านกาแฟทุกวันมันก็เปลืองเงินในกระเป๋าเกินไปหน่อย

   "ปกติอ่านเยอะแค่ไหนอะ"

   "เท่าที่คิดว่าพอแล้ว"

   ซึ่ง...ตามปกติแล้วต่อให้อยู่หน้าห้องสอบผมก็ไม่คิดว่ามันเพียงพออยู่ดี

   "โหย งั้นต้องรีบหาที่อ่านใหม่แล้วมั้ง"

   "ไม่ต้องรีบ อ่านที่บ้านก็ไม่ได้แย่อะไร"

   ผมว่าตัวเองยังโชคดีว่าบางคนตรงที่บ้านมีพื้นที่สำหรับการอ่านหนังสือโดยเฉพาะ แต่เข้าใจไหมล่ะ มันคือบ้านนะ ควรเป็นที่พักผ่อนไม่ใช่ที่อ่านหนังสือเรียนเสียหน่อย อีกอย่างคือถ้าเหนื่อยก็ลากสังขารขึ้นไปนอนบนห้องได้ง่ายเกินไป ตื่นมาอีกทีก็พบว่าเวลาชีวิตหายไปเป็นกระบุง

   "แฟร์ต้องสตรองแค่ไหนถึงอยู่บ้านได้เนี่ย"

   "เขาเรียกไม่มีทางเลือกต่างหาก"

   "ก็ดีนะ นี่ต้องเร่ร่อนหาที่อ่านใหม่ตลอด"

   "แล้วคราวนี้คิดว่าจะไปไหน" เผื่อว่าจะมีไอเดียหาที่นั่งอ่านหนังสือใหม่ๆ บ้าง

   "อืม...ก็ต้องดูก่อน ปีที่แล้วมันเป็นตัวทั่วไปเลยอ่านกับชาบ่อย แต่ปีนี้ตัวคณะเยอะอาจต้องไปให้เพื่อนช่วยติว"

   "มีเพื่อนกับเขาด้วยเหรอ?" สาบานเลยว่าผมไม่ได้หลุดปาก ตั้งใจพูดออกไปเลยล่ะ

   มันสนุกดีเวลาที่เห็นเขายิ้มเล็กๆ ตรงมุมปากกลับมา "ถามตัวเองดีกว่าไหมแฟร์"

   "ก็ตอบได้เลยว่าไม่มีไง" ไม่ยี่หระกับความจริงที่ต้องยอมรับ "คนอย่างเราใครอยากมาเป็นเพื่อน"

   "เราเป็นเพื่อนให้ได้นะ บอกแล้วไงว่าเต็มใจ"

   ต่อให้ทำปากคว่ำจนกลายเป็นรูปตัวยูหรือว่ากลอกตาเป็นเลขแปดเขาก็ไม่สะทกสะท้านหรอก ซ้ำร้ายแล้วถ้าเชนินทร์ส่งยิ้มกว้างกลับมานั่นน่าระแวงกว่าอีก

   "ไม่ต้อง เกรงใจ"

   "ที่จริงคอนโดชามันก็มีห้องอ่านหนังสือนะ เห็นมันเคยบอกว่าจะลองไปดู"

   "ก็ไปสิ"

   ผมนึกไม่ออกว่าอยู่ส่วนไหน ไปกี่ครั้งก็ตรงขึ้นห้องเลยไม่ทันได้มีเวลาให้สำรวจพื้นที่ส่วนกลางที่เอาไว้ใช้สอยร่วมกัน

   "ไปกันไหมล่ะ ให้ชามันติวด้วย"

   "ไม่ดีกว่า ไกลบ้าน"

   มันเดินทางไม่สะดวกจริงอย่างที่บอกไป ตื่นเช้ามาเรียนปกติผมยังทรมานจะแย่ แล้วสำคัญที่สุดเลยคือผมไม่ยอมเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยหรอก พอแล้วกับห้องของธชา ไปทีไรก็เอาแต่คิดถึงตู้ชั้นวางที่มีก้านดอกไม้แห้งเหี่ยววางอยู่

   "ก็ไปค้างสิ มีห้องว่างอยู่แล้ว"

   "ไม่อยากไป"

   บอกไปง่ายๆ ตรงๆ พูดอ้อมโลกแล้วไม่เข้าใจก็ต้องใช้ระยะทางกระจัดอย่างนี้

   "จะไปค้างสินะ เดี๋ยวบอกชาให้ มันไม่มีปัญหาอยู่แล้วล่ะ" บุคคลที่ไม่น่าไว้วางใจยิ้มระรื่นราวกับว่าระบบการได้ยินของเขามีการทำงานที่ตรงข้ามกับคนทั่วไป อะไรที่ทำให้คำว่า 'ไม่อยากไป' กลายเป็นว่าผมเต็มใจจะไปค้างเสียได้ "สักสัปดาห์กำลังดีเนอะ หรือว่าไปค้างอีกคนด้วยดี"

   "นี่..."

   "ทักแชตไปแม่งไม่ตอบอีกแหง โทรดีกว่า"

   ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วจนผมปรับตัวไม่ทัน เชนินทร์ล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง นิ้วโป้งกดไปตามส่วนต่างๆ ของหน้าจอรวดเร็วก่อนที่จะยกขึ้นแนบหู "บางทีก็อยากจะถามชาว่ามันจะมีไลน์ไว้ทำไมถ้าไม่คิดจะเปิดเข้าไปอ่าน"

   "ทำไมธชาถึงไม่ชอบตอบแชตเหรอ"

   มันเป็นการเสี่ยงที่ผมไม่มีเวลาคิดก่อนตัดสินใจ เชนเคยเกือบหลุดปากเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง แล้วตอนนี้ดูเหมือนว่ามันเป็นจังหวะที่เหมาะสม การที่อีกฝ่ายต้องแบ่งสมาธิไปสนใจอย่างอื่นด้วยมันอาจจะช่วยให้บางเรื่องออกจากปากได้ง่ายขึ้น

   "เพราะไม่รู้ว่าตัวอักษรพวกนั้นมันจริงใจแค่ไหนล่ะมั้ง เอาเข้าจริงแล้วเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุยอยู่กับใคร"

   "..."

   "แม่งไม่รับ เดี๋ยวค่อยโทรใหม่"

   "เชน..."

   "พอสอบเสร็จก็จัดปาร์ตี้ฉลอง เพอร์เฟกต์สุดๆ" การขยับยิ้มให้ความมั่นใจบอกผมว่ามันไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ "มันต้องเป็นการติวหนังสือที่สนุกมากแน่เลยล่ะ"

   

   มันเลยกลายเป็นว่าผมได้มาเข้าค่ายติวหนังสือเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ก่อนเริ่มสอบตัวแรก

   "รองเท้าของแฟร์อยู่ในถุง"

   วางกระเป๋าเดินทางใบเล็กสีเทาเข้มของตัวเองตรงข้างขอบประตูห้องนอนเล็ก ด้วยความที่เคยเข้ามาแล้วหลายครั้งก็เลยไม่มีอาการประดักประเดิกอย่างเช่นครั้งแรกเมื่อตอนมากับชินา

   ผมมองตามทิศทางการชี้ของธชาไปยังพื้นที่วางรองเท้า ส่วนของชั้นวางเต็มไปด้วยรองเท้าหลายแบบที่เหมาะกับการใช้งานในสถานการณ์แตกต่างกัน มีถุงพลาสติกสีชมพูสกรีนลายแมวไร้ปากเอาไว้วางอยู่โดดเดี่ยว ผมเอื้อมมือไปหยิบมันพร้อมกับเปิดดูของข้างใน มันคือรองเท้าใส่ในบ้านลายเพนกวินสีดำจอมเอาแต่ใจ ปากสีเหลืองเบะคว่ำราวกับคนเบื่อโลกตลอดเวลา

   เหมือนตอนที่ผมทำหน้าเหนื่อยใส่ธชากับเชนเลย

   "ขอบคุณ"

   มนุษย์มีการเรียนรู้และพัฒนาอยู่เสมอ ผมเลยตามน้ำด้วยการแกะมันออกมาใส่โดยไม่ปฏิเสธให้เสียเวลาเปล่าอีก ไซซ์เอ็กซ์แอลพอดีกับช่วงเท้า ความนุ่มของมันมากเสียจนผมรู้สึกผิดที่เพิ่งได้รู้จักสิ่งประดิษฐ์นี้

   "โหย ทำไมแฟร์ได้แบดแบด แต่กูต้องใช้กิกิลาลาวะ"

   เจ้ากิกิอะไรนั่นคงเป็นชื่อของเทวดาฝาแฝดสีชมพูฟ้าที่ผมใช้คราวก่อน และมันก็อยู่ตรงเท้าของเชนเวลานี้

   "มึงก็โทษตัวเองที่บอกให้ชินาเลือกสิ"

   ซ่อนยิ้มเอาไว้กับตัวเอง ถึงว่าทำไมเชนถึงใช้รองเท้าลายมุ้งมิ้งไม่เข้ากับนิสัย เอาแค่ในแง่การเป็นพี่ชายบางมุมเชนน่ารักกับน้องสาวคนเดียวมากเลย ตั้งแต่ตามใจพาไปไหนมาไหน แล้วนี่ยังใส่รองเท้าให้คล้ายกันอีก

   "ตอนซื้อแม่งมีตั้งหลายแบบ ใครจะคิดว่าน้องกูจะเลือกลายนี้"

   "รับกรรมที่ตามน้องไม่ทันไปซะ" เจ้าของห้องเดินสวนไปมาเพื่อเก็บของบางอย่างที่เกะกะตามพื้นและเก้าอี้ เคลียร์พื้นที่ให้คนสามคนอยู่สะดวก "แล้วใครจะนอนห้องเล็ก"

   แต่การมาครั้งนี้มีการเปลี่ยนตัวจากเด็กหญิงชินานางเป็นนายเชนินทร์แทน เชนไม่ได้เข้าร่วมการทบทวนบทเรียนก่อนสอบเพราะเนื้อหาที่เราใช้เรียนมันต่างกันคนละโลก เขาแค่ใช้ที่นี่เป็นสถานที่เก็บของแล้วก็กลับมานอนเท่านั้น ไปกลับจากบ้านไม่ไหวเพราะไกลจากตัวเมืองพอสมควร

   "กูสิ ตารางชีวิตไม่นิ่งขนาดนี้" เป็นเชนที่ตะโกนออกมาจากส่วนของห้องครัว ก่อนที่จะอธิบายเสริม "ไม่รู้จะกลับเวลาไหน ให้นอนกับมึงก็รบกวนเปล่าๆ"

   "ก็จริง"

   ห้องเล็กก็คือที่พักพิงครั้งที่แล้วของผมนั่นแหละ และที่ตั้งใจเอาไว้แต่แรกคือจะมานอนค้างห้องนั้นต่อ ดูเหมือนสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้จะไม่ได้มาง่ายๆ แล้วแฮะ

   "เราอยากนอนห้องเล็ก"

   ก็ต้องลองสักตั้ง แค่ต้องมาอยู่กับธชาเกือบตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงนี่ก็แย่แล้ว ถ้าต้องร่วมเตียงกันด้วยมันจะใจร้ายเกินไป

   "ห้องชามีสองเตียง แต่มีสามคน และเราเป็นคนไม่ชัวร์เรื่องเวลากลับที่สุด"

   คนที่ตารางเวลาไม่แน่นอนที่สุดเดินมาเผชิญหน้ากับผม ท่าทางและสายตาที่ส่งกลับมาดูไม่มีพิษภัยต่างกับมือที่กำลังกระชับข้อแขนของผมไว้แน่นจนเกือบเป็นการรัด

   เนี่ย ที่มาของคำว่าบีบบังคับ

   "แล้วที่บ้านไม่ว่าใช่ไหมที่ต้องมาค้างเป็นสัปดาห์อย่างนี้"

   ยกไหล่ไม่ซีเรียสอะไร "อยู่คนเดียวอยู่แล้ว"

   "อ้าวเหรอ งั้นไว้ไปนอนบ้านแฟร์บ้างดีกว่า" ผมทำตาถลึงใส่ เจ้าของบ้านทำหน้าไม่รับแขกอยู่อย่างนี้แล้วยังกล้าขออีก "กูไปล่ะ พวกมันนัดเอาไว้ตอนสิบโมง"

   "ไม่ต้องรีบกลับมาก็ได้"

   มุมปากของคนไม่น่าเข้าใกล้ขยับขึ้นเล็กน้อย "ต่างหูสวยดีนะ"

   ผมบอกว่าตัวเองเกลียดเชนไปแล้วกี่ครั้งกัน

   

   ชีวิตเด็กหอก็ต้องพึ่งอาหารจากข้างนอกเป็นเรื่องปกตินั่นแหละ

   ต่อให้มันทั้งแพงแล้วก็ไม่ค่อยมีประโยชน์ต่อสุขภาพแต่เพื่อความสะดวกบวกกับไม่ต้องเสี่ยงกับรสมือของตัวเองแล้วมันก็หักลบกันได้อยู่

   "ยาโยอิ จะกินอะไร"

   "ข้าวหน้าไก่แกงเขียวหวานของเคเอฟซีไม่ได้เหรอวะ"

   และวันนี้คนที่บอกว่ากลับห้องไม่เป็นเวลาก็ทำตัวว่างอยู่ห้องตั้งแต่เช้า เชนบอกว่าออกไปสู้รบกับหนังสือมาติดต่อกันตั้งสามวันแล้ว มันก็ถึงเวลาที่ให้ทั้งสมองแล้วก็ร่างกายได้พักผ่อนบ้าง ถ้าใช้งานมันหนักจนเออเร่อก็คงไม่ดีเท่าไหร่

   "อยากกินอย่างอื่นก็สั่งเอง"

   "แต่ถ้ามึงสั่งคนออกเงินก็จะไม่ใช่กูไง"

   "งั้นก็เลือกมาว่าเอาข้าวอะไร"

   เมื่อไหร่ธชาจะเลิกทำตัวเป็น 'สายเปย์' สักที ถึงเชนจะคอยย้ำนักย้ำหนาว่าถ้าได้อยู่กับเขาแล้วไม่ต้องห่วงเรื่องเงินทองมากเท่าไหร่ เหมือนกับว่าเงินที่มีใช้ไปกับเรื่องของกินแล้วก็หนังสือเท่านั้น

   "กูอยากแดกข้าวหน้าเนื้อ"

   "อย่างอื่น?"

   "มึงอยากจ่ายอะไรก็ตามใจเลย"

   เอาเข้าจริงการได้มีช่วงชีวิตวัยรุ่นอย่างนี้มันก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่นะ พวกปาร์ตี้อาหารเย็นกับเพื่อนหรือไม่ก็หาเรื่องทำอะไรทานเองง่ายๆ แบบที่ต้องมานั่งลุ้นกับรสชาติอีกที

   เพื่อไม่ให้เสียเวลาเปล่าผมเลยฆ่าเวลาในการรออาหารเย็นด้วยการเดินออกไปนั่งมองต้นไม้สีเขียวที่ไม่ได้สังเกตว่ามีเพิ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ มันเป็นไม้แบบพุ่มขนาดกลางเหมาะสำหรับวางไว้ที่ระเบียง ที่วางอยู่ด้านข้างก็คือถุงปุ๋ยขนาดเล็กเขียนสรรพคุณและวิธีการใช้เอาไว้

   "ออกมานั่งอย่างนี้เดี๋ยวยุงก็กัดหรอกแฟร์"

   "นี่ต้นอะไรเหรอ" นิสัยที่ติดมาจากการดูแลสารพัดต้นไม้รอบบ้าน ถ้ามันน่าสนใจก็จะได้ไปหามาลงเพิ่ม

   "ไม่รู้"

   "อ้าว?"

   "เห็นคนเข็นต้นไม้ขาย ชอบก็เลยซื้อ"

   "...อย่างน้อยก็ควรถามชื่อให้รู้วิธีการเลี้ยงไหมล่ะ"
   
   "ให้น้ำไปมันก็ไม่ตายแล้ว"

   นั่นมันตำราการเลี้ยงต้นไม้ฉบับไหนกันนะ ผมชักจะสงสารต้นสีเขียวพวกนี้ที่ต้องมีเจ้าของไร้ความรับผิดชอบอย่างนี้แล้วสิ

   "ต้นไม้มันต้องการการดูแลนะ รักและเอาใจใส่น่ะ"

   "เราเคยใส่ความรักลงไปเยอะมากเลย แต่สุดท้ายมันก็ตายอยู่ดี"

   "..."

   ทำไมนะ

   เขาถึงชอบโยงทุกอย่างให้กลับเข้ามาเป็นเรื่องประมาณนี้ได้ทุกที

 

   และในท้ายที่สุดแล้วผมก็ต้องระเห็จตัวเองมานอนอยู่ในห้องของธชาจนได้

   หลังจากที่พยายามยื้อแย่งกันมาอยู่หลายวัน เชนก็แสดงความเป็นเจ้าของโดยการโยนของใช้ทั้งหมดไปไว้บนเตียง ตั้งแต่เสื้อผ้าไปถึงกระเป๋าเดินทาง หนังสือเรียน กองเอกสารเอาไว้อ่านเพิ่มเติม แล้วก็สารพัดของที่เขาพอใจจะวางเอาไว้ ดูจากสภาพแล้วมันไม่ควรเรียกว่าเตียงนอนแล้วด้วยซ้ำ

   "ให้เรานอนฝั่งไหน"

   ตอนเห็นชินานอนมันก็ดูเหลือพื้นที่ว่างเยอะอยู่แหละ นั่นมันเด็กไม่กี่ขวบไง ดูขนาดตัวของผมก่อน

   "เอาที่สะดวกเลย"

   เกือบอ้าปากเพื่อจะบอกว่าเจ้าของห้องควรจะเลือกก่อน มันหุบลงพลันเมื่อสายตาเจ้ากรรมดันมองไปเห็นบางสิ่งก่อน

   "...งั้นฝั่งขวานะ"

   หรือฝั่งที่ติดประตูมากกว่า ก็ถ้าเป็นทางซ้ายมันสามารถมองเห็นตู้โชว์สุดท้ายได้ชัดเจนจนเกินไป

   ก้านดอกไม้ไร้กลีบและไม่อาจตามหาความเป็นมา

   มันไม่เหมือนกับเรื่องเล่าของโฉมงามและเจ้าชายอสูร ที่ดอกกุหลาบนั้นจะโรยราไปตามกาลเวลา หากพบรักแท้ก่อนที่กลีบสุดท้ายจะร่วงหล่นก็จะคืนกลับเป็นมนุษย์ ไม่เช่นนั้นแล้วเขาจะต้องทรมานอยู่ในร่างอสูรไปตลอดกาล

   แล้วดอกไม้ที่แห้งเหี่ยวไปหมดเช่นนี้เป็นสัญลักษณ์บอกว่าอสูรนั้นจะไม่มีทางกลับคืนร่างเป็นเจ้าชายรูปงามอีกแล้วหรือเปล่า

   "งั้นปิดไฟเลยนะ"

   "อืม"

   แสงสว่างที่เคยอยู่รอบตัวถูกความมืดกลืนกินในวินาทีถัดไป ผมขยับตัวมาชิดกับเตียงฝั่งหนึ่งให้มากขึ้นเพื่อที่ว่าจะได้ไม่เป็นการรบกวนเจ้าของห้องมากเกินไป ได้ยินเสียงลากรองเท้าเดินในบ้านใกล้เข้ามาจนมันหายไปพร้อมกับเตียงที่ยุบตัวลงเล็กน้อย ตามมาด้วยการจัดหมอนและผ้าห่มให้เหมาะกับการนอน

   "เราควรจะลาก่อนนอนด้วยคำว่าอะไรดี"

   เป็นธชาที่เปิดประเด็นใหม่ขึ้นมาในความเงียบที่มีแต่เสียงของเครื่องปรับอากาศปนไปกับเสียงเครื่องยนต์จากภายนอก

   "ไม่ต้องลา จะได้ไม่ต้องคิด"
   
   "เจอกันตอนเช้า"

   "..."

   เสียงนุ่มทุ้มอ่อนโยนนั่นไม่ทำให้สะกิดใจได้เท่าคำกล่าวแทนการราตรีสวัสดิ์...ที่เขาเคยใช้ก่อนหน้านี้แล้ว ต่างกันที่ตอนนั้นมันมีคำอื่นต่อท้ายอีกนิดหน่อย และมันก็เป็นเรื่องดีที่เขาตัดออก

   "เป็นคำที่ดีนะ"

   "ไม่" สวนกลับไปพลันตามความรู้สึก

   "ทำไมล่ะ"

   "..."

   อยากจะตีความไปกี่แง่ก็เรื่องของเขาเลย ผมปล่อยให้สามารถวิเคราะห์ได้โดยอิสระ

   "งั้นถ้านอนไม่หลับ เดี๋ยวจะอ่านนิทานให้ฟัง"
   
   "นิทาน?"

   "ซื้อมาเผื่อเอาไว้ เวลาชินามานอนด้วยจะได้หลับง่ายๆ"

   จำได้ที่ชินาเคยบอกว่าแวะมาบ่อยครั้ง นี่ก็เป็นเพื่อนพี่ชายที่ประเสริฐเหลือเกิน

   "เรื่องอะไรล่ะ" รู้ระบบการทำงานร่างกายของตัวเองดีว่ายังไงก็คงนอนไม่หลับง่ายๆ "จะแฟนตาซีได้เท่าเรื่องที่ชินาชอบหรือเปล่า"

   "ไม่รู้เหมือนกัน นี่ก็ยังไม่เคยเปิด"

   "งั้นก็ลองอ่านเป็นรอบซ้อมไปแล้วกัน"

   เรื่องของชายผู้ร่ำรวยที่ชื่อ Blue beard บางคนก็แปลไทยว่าเจ้าเคราสีน้ำเงิน ซึ่งมันดีกว่าเจ้าเคราสีฟ้าอะไรทำนองนั้น แม้จะเป็นชายที่แสนร่ำรวยมากแค่ไหนก็ตามเขากลับอับโชคเรื่องความรัก ไม่ว่าจะแต่งงานกี่ครั้งต่อกี่ครั้งภรรยาก็มักหายตัวไปอย่างลึกลับเสมอ

   ต่อมาชายเคราน้ำเงินได้เดินทางไปพบกับพี่น้องสาวสวยคู่หนึ่ง เขาได้ชักชวนให้เธอทั้งคู่มาเป็นภรรยาของตน และทั้งคู่ต่างปฏิเสธข้อเสนอเสียเนื่องจากข่าวลือเรื่องของภรรยาคนก่อนๆ เพื่อเป็นการชักจูงให้คู่พี่น้องใจอ่อน ชายเคราน้ำเงินจึงจัดงานเลี้ยงที่บ้านของตัวเองเสียใหญ่โต เมื่อหญิงคนน้องพบว่ามันไม่ได้มีอะไรที่น่ากลัวอย่างที่คิดเอาไว้ทีแรก เธอจึงตกลงที่จะแต่งงานกับเขา

   "ง่ายจัง แค่รวยก็ยอมแต่งแล้ว"

   "ปัจจุบันก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่นี่"

   เสียงของธชาทุ้มเป็นกราฟเดิมไม่มีเปลี่ยน ผมว่าเขาเหมาะกับการอ่านนิทานอะไรทำนองนี้มากเลยนะ เสียงที่ไม่ต่ำจนระคายหูเกินไป การออกเสียงชัดเจนไม่ค่อยติดขัด แถมยังรู้ว่าตรงไหนควรจะเว้นจังหวะเพื่อให้อารมณ์มันต่อเนื่อง ชินาฟังแค่ไม่กี่หน้าผมว่าก็พร้อมหลับแล้วล่ะ

   ต่อมาไม่นานเศรษฐีจำต้องออกเดินทางไกล เขาจึงมอบพวงกุญแจห้องเก็บสมบัติพวงหนึ่งให้กับเธอเอาไว้ โดยบอกว่าสามารถเปิดเข้าไปใช้ห้องได้ตลอด นอกจากนั้นเขายังมอบกุญแจดอกเล็กอีกหนึ่งดอกสำหรับไขห้องใต้ดินเอาไว้ โดยกำชับว่าเธอห้ามใช้กุญแจดอกนี้อย่างเด็ดขาด

   เมื่อการเดินทางของชายเคราน้ำเงินเริ่มต้นขึ้น เหล่าเพื่อนฝูงของน้องสาวคนเล็กก็เข้ามาพิสูจน์ถึงความร่ำรวย ในปราสาทพวกเขาออกสำรวจความหรูหราในทุกพื้นที่ นั่นเลยทำให้เธอคับข้องใจเหลือเกินว่าห้องที่สามีของตนห้ามไม่ให้เข้าไปใช้นั้นมีอะไรซ่อนเอาไว้กันแน่

   ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเธอจึงใช้กุญแจดอกเล็กไขเข้าไปยังห้องปริศนา และเธอก็ได้พบกับความลับที่ซ่อนเอาไว้ พื้นห้องนั้นเต็มไปด้วยรอยเลือดและซากศพของเหล่าภรรยาคนก่อนๆ ของเศรษฐี ด้วยความตกใจเธอเผลอทำกุญแจห้องตกลงไปในกองเลือด และไม่ว่าจะพยายามเช็ดมากแค่ไหนคราบเลือดก็ไม่ยอมเลือนหายไป

   เรื่องทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อชายเคราน้ำเงินเดินทางกลับมากะทันหัน และความลับไม่อาจเก็บซ่อนเอาไว้ได้อีกต่อไปเมื่อเขาพบว่ากุญแจดอกเล็กที่สุดมีคราบเลือดติดอยู่ หญิงสาวยอมรับผิดและขอเวลาสวดมนต์ภาวนาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะถูกสังหาร และระยะเวลาที่ได้รับเธอต่อชีวิตของตัวเองด้วยการเล่าเรื่องทั้งหมดให้พี่สาวฟัง

   "พี่สาวมาจากไหน?"

   ตอนแรกก็ฟังไปเรื่อย เอาให้เคลิ้มจะได้หลับไปไม่ต้องรู้ตัว ดันมาเจอเรื่องเล่าเกี่ยวกับพี่สาวนี่ถึงกับตาสว่างลุกขึ้นมานั่งบนเตียงดีๆ เลย

   "อืม..." ผมมองธชาเปิดกลับไปยังหน้าที่อ่านก่อนหน้าไปแล้ว "เหมือนว่าพี่สาวจะอยู่ที่นั่นเหมือนกัน"

   "เราว่าเรื่องนี้ไม่ได้เหมาะที่จะเล่าให้ชินาฟัง" ทั้งฆ่าภรรยาคนก่อนแล้วก็กำลังจะลงมือกับคนปัจจุบันด้วย "ยังไม่ต้องยัดความโหดร้ายให้เด็กขนาดนั้นก็ได้"

   "มีข้อดีอะไรที่จะหลอกเด็กให้อยู่ในโลกแห่งอุดมคติเหรอแฟร์"

   "..."
   
   "ชินาไม่ใช่เด็กโลกสวยอยู่แล้ว ที่จริงถ้าอ่านให้ฟังน้องคงบอกตั้งแต่ต้นแล้วว่าจะไม่แต่งงานกับผู้ชายที่หวังเคลมทั้งพี่แล้วก็น้องหรอก"

   มันก็จริงอย่างที่เขาบอก เด็กหญิงตาโตพูดจาฉะฉานที่บอกว่าตัวเองอยากเป็นแม่มดเพราะมันช่วยให้คนสองคนรักกันได้

   คราวนี้ธชาขยับตัวเข้ามาใกล้เพื่อซบหน้าตรงช่วงไหล่ของผม รู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อยเมื่อเส้นผมมันจิ้มผ่านผิวหนังลงไป

   ด้วยความช่วยเหลือของพี่สาว ท้ายที่สุดเธอก็สามารถยื้อเวลาตายของตัวเองได้จนถึงช่วงที่พี่ชายทั้งสองเดินทางมาเยี่ยมในวันนั้นพอดี และเนื่องจากฆาตกรในคราบเศรษฐีแสนร่ำรวยไม่ได้มีญาติคนอื่นอีกทรัพย์สมบัติมหาศาลจึงตกเป็นของเธอคนเดียว หญิงสาวได้แบ่งสมบัติบางส่วนให้พี่สาวและพี่ชายทั้งสอง ไม่นานหลังจากนั้นเธอเองก็ได้แต่งงานใหม่กับชายหนุ่มผู้ร่ำรวย

   เป็นการจบเรื่องราวที่ปาหมอนได้อีก

   "เลือกเรื่องมาได้แย่มากเลย"

   "นั่นสิ"

   "ไม่ต้องเอาไปเล่าให้ชินาฟังเลย"

   "ซื้อมาแล้วก็ต้องเล่าสิ"

   "ตามใจ"

   นิทานที่ควรจะกล่อมให้เข้าสู่นิทรากลายเป็นคาเฟอีนที่ทำให้ตาสว่าง ผมมุดตัวกลับเข้าไปอยู่ในผ้าห่มผืนหนาอีกครั้ง ดันแว่นสายตาเก็บเอาไว้ข้างหมอนแล้วจัดท่านอนแบบหันหน้าออกนอกเตียง

   สงสัยต้องนับแกะตั้งแต่หนึ่งถึงพัน มันอาจจะทำให้หลับสบายกว่าเรื่องเล่าก่อนนอนเมื่อสักครู่

   นับไปเรื่อยแล้วก็ยังสัมผัสไม่ได้ว่าคนนอนร่วมเตียงจะขยับตัวลงมาอยู่ใต้ผ้าห่มอย่างผม ธชาอาจจะยังไม่ง่วง หรือไม่ก็เขาคงมีอะไรที่ต้องทำ ผมพยายามกลับไปนับตัวเลขต่อจากที่ค้างเอาไว้ หวังว่าการนอนเตียงเดียวกับอสูรในคืนนี้มันจะผ่านไปโดยปลอดภัย

   "แฟร์"

   "ว่า" ตอบรับทั้งที่ตายังปิดสนิทอยู่

   “รู้ใช่ไหมว่าการเข้ามาในห้องนี้มันคือการเสี่ยงอันตราย”

   ไม่ต่างกับหญิงสาวที่ยืนอยู่หน้าห้องใต้ดินต้องห้าม...

   “มันเสี่ยงตั้งแต่เริ่มต้นแล้วต่างหากธชา”

   บึนปากทั้งที่ก็รู้เขาคงไม่เห็น เท่าที่ตั้งใจฟังผมไม่ได้ยินเสียงในลำคอหรือว่าถอนหายใจหลุดออกมา มันมีแต่เสียงจังหวะการเต้นของหัวใจตัวเองที่เปลี่ยนไปเท่านั้น

   ผมกำลังสอดลูกกุญแจเข้าไป แต่ยังไม่กล้าที่จะปลดล็อกกลไกการทำงานของมัน...

   "หมายถึงเรา?"

   "เราทั้งสองคน"

   ย้ำเตือนว่าคนที่กำลังเล่นกับความไม่แน่นอนไม่ใช่แค่ผม แต่รวมถึงตัวเขาเองเช่นกัน

   เทวดายังตามหากล่องแห่งความลับ

   ส่วนอสูรก็เก็บซ่อนมันเอาไว้มิดชิด

   "โง่เนอะ"

   กลายเป็นผมเองที่หลุดหัวเราะสั้น "แต่มันก็ทำให้สบายใจไง"

   "ก็จริงอยู่" เบิกตาโพลงในความมืดเมื่อสัมผัสได้ถึงสิ่งแปลกปลอมบางอย่างที่อยู่ตรงข้างแก้ม ปลายนิ้วที่คงเย็นจากเครื่องปรับอากาศไล้ขึ้นลงก่อนไปจบตรงใบหูที่มีเครื่องประดับอยู่ครู่ใหญ่ก่อนถอนออกไป "คนเรานี่แปลก"

   "..."

   ผมตั้งใจจะผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ พอให้คลายความตกใจจากการกระทำที่ไม่คุ้น แต่มันก็ไม่มีช่องเมื่อความหยุ่นบางอย่างประทับตรงหน้าผาก

   สัมผัสเชื่องช้าส่งความอบอุ่นและข้อความบางอย่างที่ผมไม่ควรตีความไปเอง

   "เจอกันตอนเช้า"

   "อืม"

   ในท้ายสุดผมก็ยังคงเปิดประตูต้องห้ามอยู่ดี...


***
   วันนี้อากาศดีจังค่ะ แต่มันก็คงดีอย่างนี้ไปได้อีกแค่ไม่กี่วันล่ะนะ (หัวเราะ)
   #หลอกลวงรัก

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด