17_
Who'll Stop The Rain
ทั้งๆ ที่เขายอมทำถึงขนาดนี้.. ทำให้ผมเริ่มรู้สึกดีกับร่างกายห่วยๆ นี่ ทำให้เห็นว่ามันมีค่าจนน่าตกใจในสายตาของเขา
แต่แล้ว ก็เป็นผมเองที่ทำลายทุกอย่างลง
มันเป็นเพราะความไม่แน่ใจในอะไรบางอย่าง ความรู้สึกหวาดกลัว ระแวดระวัง และเหมือนว่าผมกำลังจะสูญเสียอะไรบางอย่างไป ทุกอย่างมันเยอะเกินไป เกินกว่าที่ผมจะทำความเข้าใจได้ทั้งหมด
“ไม่..” เสียงของผมเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็หนักแน่นพอจะทำให้ดวงตาคู่ตรงข้ามหม่นวูบไปชั่วขณะ เดฟผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ ใบหน้าที่แนบชิดกับขาผมอยู่ก้มลงจนกลายเป็นเส้นผมที่เสียดสี
ฝ่ามืออุ่นลากตกลงอย่างหมดแรง และหยุดนิ่งอยู่ตรงข้อเท้าของผม
“นาย ยังไม่ยอมเปิดให้ฉันเข้าไปจริงๆ สินะ” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูห่างไกล รอยยิ้มจางๆ ถูกจุดขึ้นมุมปาก “แต่นั่นไม่เป็นไร”
เดฟยืดตัวขึ้นยืน หมอนอิงใบใหญ่ที่วางอยู่ถูกหยิบมาวางบังต้นขาที่เปล่าเปลือยของผมไว้ เขาจ้องค้างมา ก่อนจะปิดเปลือกตาแน่นแล้วสะบัดหน้าไปอีกทาง “ขอโทษด้วย ที่เร่งนายเกินไป”
น้ำเสียงนั้นห้วนกระด้าง.. ถ้าคิดในแง่ดี ผมคิดว่าเดฟไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะมาพูดจาเชิงอ่อนหวานกับใครในตอนนี้
ดูจากสันกรามที่บดเข้าหากัน กับจังหวะหายใจหนักๆ นั่น
ไม่ใช่ความโมโห ถึงจะดูเหมือนก็ตาม
ผมนึกสะท้อนแปลกๆ ในใจ มองความอึดอัดและการพยายามสกัดกลั้นอารมณ์ตรงหน้า
เดฟแตะปลายนิ้วเข้าที่หมอนอิง นิ่งค้างอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะผละออกไปเร็วๆ เสียงประตูห้องน้ำกระแทกปิด ก่อนที่ความเงียบจะครอบงำผมที่นั่งอยู่ตรงนี้คนเดียว
.. ยากเกินไป
การมีอะไรกับผู้ชายนับไม่ถ้วนที่ผมจำแม้กระทั่งหน้าไม่ได้ ทำให้ผมรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง เวลาที่คิดว่าจะต้องเปิดเผยความง่ายนั้น .. ให้คนที่ผมมีความรู้สึกด้วยเห็น
ผมขยับข้อมือกำรอบกางเกงตัวเอง ก่อนจะดึงขึ้นมาใส่เหมือนเดิม ความหนักอึ้งถ่วงหนักอยู่ในอกและสมอง ปลายเท้าสัมผัสกับพื้นเย็นๆ พาร่างของผมกลับเข้าไปในห้องนอน
นั่นเป็นอีกคืน
ที่ผมนอนไม่หลับ แม้จะพยายามข่มตาและนอนนิ่งๆ อยู่ทั้งคืน
พอตื่นขึ้นมาตอนเช้า ผมก็ต้องพบกับความรู้สึก.. ทำนองว่าวางตัวไม่ถูกอีกครั้ง
ผู้ชายผมสีบลอนด์ที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า กับเดฟที่นิ่งชะงักอยู่ด้านหลัง
ฝ่ามือของผมแตะค้างอยู่ที่ลูกบิดประตู เพราะมีใครสักคนมาเคาะมัน ผมถึงได้เดินออกมาเปิดเพราะว่าเดฟอยู่ในห้องน้ำ
สายตาที่มองมา ไม่เป็นมิตรและเย็นชาจนผมรู้ซึ้งได้ทันทีโดยไม่ต้องคาดเดา ว่าคนตรงหน้ามีความรู้สึกด้านบวกให้ผมมากน้อยขนาดไหน
“ขอคุยด้วยได้หรือเปล่า” เขาพูดขึ้นด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก กับสายตาที่มองเลยผ่านผมไปราวกับผมเป็นอากาศที่ขวางทางอยู่
ความรู้สึกอึดอัดแบบแปลกๆ เข้าเกาะกุม ก่อนจะสลายหายไปในไม่ถึงนาที เมื่อแผ่นหลังผมรับรู้ถึงความอบอุ่นที่ซ้อนทาบ
เดฟวางมือซ้อนมือของผม ประตูถูกบังคับให้เปิดกว้างขึ้น ก่อนที่ร่างของผมจะถูกดึงให้ถอยหลัง แรงบีบเบาๆ ตรงไหล่ ผมไม่แน่ใจว่าเดฟตั้งใจจะสื่อสารอะไรหรือแค่เผลอพลั้งมือจากอารมณ์ที่ไม่คงที่
“ส่วนตัว ไม่ได้เหรอ?” ผู้ชายที่เดฟเคยเรียกว่าบีร้องขอ ดวงตาตวัดมองผม ก่อนที่การแค่นหัวเราะจะหลุดออกมาเพราะคำตอบที่ได้รับ
“มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรตอนไหนกัน” นั่นเย็นชาน่าดู แม้แต่กับผมที่ไม่ได้เป็นคนรับประโยคนั้นโดยตรงยังสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงนั่น
บีเม้มปาก หน้าเสีย และดวงตาที่เริ่มขึ้นสีแดงจางๆ
เขาเดินไปทรุดตัวนั่งบนโซฟา ฝ่ามือประสานเข้าหากัน .. มันแข็งเกร็ง ขัดกับท่าทางสบายๆ ที่อีกฝ่ายพยายามแสดงออกมา
ผมคิดว่าตัวเองไม่ควรอยู่ตรงนี้สักเท่าไหร่ อย่างน้อย ถ้ามีอะไรระหว่างสองคนนี้ ผมก็ไม่คิดว่าตัวเองต้องมีส่วนรู้เห็นด้วยในเรื่องนี้
บีก็อาจจะกำลังรู้สึกแบบนั้นก็ได้ ..
“ผมออกไปข้างนอกดีกว่า” แล้วผมก็พูดขัดออกไป เดฟปรายตามองมา เขาไม่ได้อนุญาต แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธต่อคำพูดนั้น สีหน้าเรียบนิ่งให้อารมณ์ทำนองว่า ‘อยากทำอะไรก็ทำ’
“นายก็อยู่ต่อสิ” กลับกลายเป็นบีที่พูดขึ้นมา ดวงตาจับจ้องค้างไปที่เดฟ ทั้งๆ ที่กำลังพูดอยู่กับผม “มีสิทธิ์อยู่ ก็ควรจะอยู่”
เสียง เหอะ หลุดออกจากลำคอของเดฟเบาๆ เขาเอียงหน้าเล็กๆ พร้อมกับแผ่นหลังที่เอนพิงตู้เก็บของด้านหลัง “ถ้าจะมาแค่ประชดแบบนี้ ไม่คิดว่าน่ารำคาญไปหน่อยหรือไง”
“ทำไมต้องพูดแรงใส่กันขนาดนี้ด้วย”
“แล้วทำไมนายไม่ถามตัวเองด้วยคำถามนั้นล่ะ ทำไมถึงได้ทำใส่กันได้แรงขนาดนั้น” เดฟสวนกลับไปแทบจะในทันที สีหน้าเรียบนิ่งเหมือนเดิม แต่ให้ความรู้สึกแตกต่างจากยามปรกติอย่างเห็นได้ชัด “แค่คำพูดพวกนี้ มันเทียบกันได้ไหมล่ะ”
“ผมก็ขอโทษแล้วไง ผมขอโทษไปแล้วไง!” บีลุกขึ้นยืน ขาก้าวยาวๆ มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าร่างสูง พร้อมกับฝ่ามือที่กำเข้าหากันแน่น
เดฟกัดริมฝีปากล่างเบาๆ รอยยิ้มเย้ยหยันวาดขึ้นชัดเจนอย่างจงใจ
“แล้วฉันต้องรับมันง่ายๆ ..” ดวงตาสีเข้มช้อนขึ้นจ้องอีกฝ่ายเขม็ง “เหมือนกับที่นายรับไอ้เวรนั่นให้เข้าไปอยู่ในร่างกายน่ะเหรอ”
!
“ผมไปข้างนอกดีกว่า” ผมพูดแทรกขึ้นไป ตั้งใจจะให้รบกวนการสนทนาพวกนี้ให้น้อยที่สุด แต่แรงบีบหนักๆ ตรงช่วงต้นแขนกระชากผมไว้ให้อยู่ที่เดิม
ฝ่ามือของบีเกร็งแน่นจนเห็นเส้นเลือด เขาส่งสายตาท้าทายไปที่คนตรงหน้า ขณะที่เดฟเริ่มมีสีหน้าที่น่ากลัวขึ้น
“นายไม่อยากลองดีแน่” เดฟพูดช้าๆ ด้วยโทนเสียงหนักแน่น
บีหลุดหัวเราะออกมา สีหน้าเขาย่ำแย่จนเห็นได้ชัด ดวงตาเริ่มแดงก่ำ พร้อมกับของเหลวใสๆ ที่คลอแน่นอยู่ “เปลี่ยนใจเร็วเหลือเกินนะเดฟ ไม่กี่เดือน คุณก็มาเอาคนใหม่ไม่ต่างกันนั่นแหละ”
คิ้วผมกระตุกจากคำพูดที่สาดใส่ร่างกาย ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังโมโห คนโมโหสามารถพูดอะไรก็ได้ แต่นั่นไม่ได้ช่วยให้ความกรุ่นโกรธเล็กๆ ที่เกิดขึ้นในตัวจางลงได้เลย
เขากำลังล้ำเส้น..
“เบน” เดฟกดเสียงต่ำ นั่นอาจจะเป็นชื่อจริงๆ ของผู้ชายคนนี้ ฝ่าเท้าก้าวเข้าหาช้าๆ อย่างคุกคาม ก่อนที่ร่างของเบนจะถูกเหวี่ยงแรงๆ จนกระแทกกับโซฟา
ผมเบิกตากว้าง เพราะความตกใจทำอีกฝ่ายเผลอปล่อยมือที่จับผมอยู่ และใช่ ผมเองก็ตกใจไม่ต่างกัน เพราะเสียงปะทะที่ดังลั่นเมื่อครู่
ดวงตาของเดฟมุ่งร้าย ขณะที่เขาตรงเข้าไปบีบไหล่อีกฝ่ายด้วยสองมือ
ในความโกรธที่แสดงออกมา..
มีความผิดหวังแทรกซึมอยู่ จนเป็นผมเองที่รู้สึกวูบโหวงแปลกๆ จากการมองเห็นมัน
“เข้ามาหา แล้วบอกว่าอยากให้ฉันชอบนาย” เดฟพ่นลมหายใจออกทางจมูก คล้ายกับการเยาะเหยียด “พอฉันเริ่มที่จะรู้สึกแบบนั้น..”
เบนเบิกตากว้าง น้ำตาที่เก็บอยู่ไหลลงในทันทีที่กะพริบตา
“ถ้าอยากเอากับคนอื่นมากนัก ฉันก็หลีกทางให้แล้วไง ต้องการอะไรอีก”
เบนเม้มปาก แรงสะอื้นเบาๆ เกิดขึ้น ก่อนจะกลายเป็นการร้องไห้อย่างสมบูรณ์แบบ ฝ่ามือผอมบางยกขึ้นจับเสื้อของเดฟก่อนจะบีบไว้แน่น
ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาหลังจากนั้น
“นายเป็นคนทำลายทุกอย่างทิ้งไปเอง ทุกอย่างที่ฉันให้ แล้วทีนี้ยังไง”
เดฟบีบไหล่อีกฝ่ายแน่นจนเห็นแรงสั่น “อยากได้โอกาสเหรอ” เขาถามเสียงสูง
ดวงตาของเบนหรี่ปิดลงแน่น ราวกับกำลังหลีกหนีจากสิ่งที่เผชิญอยู่
ไม่ต่างจากผมเองที่ก็ทำได้แค่ยืนนิ่งค้างอยู่กับที่ เริ่มรู้สึก เหมือนกับตัวเองไม่มีตัวตนอยู่ในสถานที่แห่งนี้ จนกระทั่งร่างสูงพูดประโยคถัดไปออกมา
“มันไม่มีหรอก ได้ยินไหม ไม่มีโอกาสอะไรทั้งนั้น เพราะว่าทุกอย่างที่ฉันมีในตอนนี้ คนที่ฉันอยากมอบทุกอย่างให้ในตอนนี้ ไม่ใช่นาย..”
ดวงตาสีเข้มเหลือบกลับมาสบกับผม กระแสความรู้สึกหนักแน่นไหลเวียน กระชากให้ผมกลับมายืนอยู่ตรงนี้
กลับมามีตัวตนอยู่ที่นี่อีกครั้ง
“แต่เป็นผู้ชายคนนั้น”
“เฮ้ ฟลอยด์!” สัมผัสที่คว้าเข้าตรงไหล่เรียกให้ทั้งร่างผมสะดุ้ง เหมือนถูกปลดออกจากความคิดซับซ้อนในหัว โจยืนอยู่ข้างๆ รอบตัวเราคือด้านหลังร้าน ที่ทำงานของผม
ตอนนั้น.. เป็นผมเองที่ไม่รู้ว่าควรจะต้องพูดหรือแสดงสีหน้ายังไง เช่นเดียวกันกับเบนที่นิ่งชะงักไป ริมฝีปากสีสดเม้มเป็นเส้นตรง ก่อนที่เขาจะพาตัวเองออกไป
ความเงียบโรยตัวหลังจากนั้น และผมก็เป็นฝ่ายเอ่ยประโยคขอตัวเบาๆ เพื่อหลบหนีจากทุกความกดดันที่เกิดขึ้นในสถานที่นั้น
ขี้แพ้
ผมรู้ดีว่าตัวเองเหมาะกับคำบรรยายนั้นมากแค่ไหน
“เฮ้!” เป็นอีกครั้งที่โจตะโกนออกมาเสียงดัง พร้อมกับฝ่ามือที่โบกไปมาตรงหน้าของผม ผมกะพริบตา เริ่มรับสภาพของปัจจุบันเข้ามาแทนที่อดีตที่จมอยู่
“โทษที”
“เป็นอะไรหรือเปล่า นายเหม่อ” โจถาม ดวงตาจ้องผมอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ “เหม่อทั้งวันเลยด้วย”
“ไม่มีอะไร”
“โกหก” ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ ยกมือขึ้นปัดไปมาราวกับจะปฏิเสธคำกล่าวนั้น
“ต่อให้มีก็ไม่อยากพูดตอนนี้ เข้าใจไหม” ความซื่อตรงเป็นสิ่งที่ทำให้โจหยุดรบเร้า เขาเม้มปาก ก่อนจะเอนตัวพิงเคาน์เตอร์ด้านหลัง เพราะว่าร้านใกล้จะปิดแล้ว พวกผมถึงมีเวลามายืนเฉยๆ กันแบบนี้ และใช่ เพราะว่าล้างจานเสร็จไปหมดแล้วด้วย
วันนี้คนที่ทำหน้าที่ในครัวคนนั้นกลับมาทำงานตามปรกติ ผมจึงถูกย้ายกลับมาทำตำแหน่งเดิมอย่างเลี่ยงไม่ได้ นั่นหมายความถึงการเผชิญหน้ากับโจด้วย
แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะผมไม่คิดว่าจะมีอะไรรบกวนจิตใจและความเครียดของผมไปได้มากกว่าผู้ชายอีกคนที่อยู่ที่บ้านหรอกตอนนี้
เรื่องของโจ กลายเป็นเรื่องเล็กๆ ที่ผมแทบไม่ใส่ใจเลยด้วยซ้ำ.. มันอาจจะฟังดูโหดร้าย แต่ผมบังคับความคิดความรู้สึกของตัวเองไม่ได้
ทำได้แค่เหยียบมันไว้ และแสดงออกราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเท่านั้น
“คราวนี้ เราจะคุยกันได้แล้วหรือยัง” อยู่ดีๆ โจก็พูดขึ้นมา และการเริ่มเรื่องแบบนี้ ผมไม่แปลกใจเลยสักนิด จากสีหน้ากระอักกระอ่วน และการหันมาแอบมองผมแทบจะตลอดเวลาตอนทำงาน ทำอย่างกับว่าผมไม่รู้ตัว แค่ไม่ได้หันไปมองเพราะว่าไม่รู้จะแสดงสีหน้ายังไงกลับไป
เขารอคอยช่วงเวลานี้มาตลอด
“คุยสิ” ผมผ่อนลมหายใจออกช้าๆ เป็นจังหวะเนิบนาบ ก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนขั้นบันไดขั้นที่สาม เขี่ยปลายเท้าเข้ากับพื้นสกปรก ก่อนจะหยุดนิ่งพร้อมกับมือสองข้างที่ประสานกันบนหน้าขา
“อยากคุยเรื่องอะไร” ผมถามไปอย่างนั้นเอง อาจจะเป็นการช่วยให้คนตรงหน้าเริ่มประเด็นได้ง่ายขึ้นด้วยล่ะมั้ง
โจที่ดูไม่เคยกลัวอะไร ตอนนี้มีสีหน้าพิลึกจนผมเกือบหลุดหัวเราะออกมา
ถ้าไม่ติดว่าไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะทำแบบนั้นเลยสักนิด
“จูบนั่น..” โจเกริ่น อย่างที่ผมคิดว่าเขาจะทำ “ที่ฉัน.. จูบนาย ที่ห้องวันนั้น”
“จำได้น่ะ ไม่ได้ความจำเสื่อมนะ” ผมขมวดคิ้ว รู้สึกแปลกๆ กับการฟังคำบรรยายยาวเหยียดเจาะจง ที่เหมือนดึงผมให้กลับไปมองเห็นภาพนั้นชัดเจนอีกครั้ง
ผมไม่ถือสาหรอก ความจริงแล้ว มันก็เป็นแค่จูบ.. กับคนเมาด้วยยิ่งแล้วใหญ่ นั่นหมายถึง ยังไงล่ะ สติเกินครึ่งของอีกฝ่ายถูกละลายเป็นเต้าหู้เหลวๆ เพราะแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไป
สิ่งที่ผมกังวล ไม่ใช่เรื่องการเอาปากมาสัมผัสกันโดยไม่มีสติ แต่เป็นความรู้สึกหลังจากนั้นต่างหาก
ผมยังไม่อยากเสียเพื่อนไปตอนนี้… ยิ่งเป็นเพื่อนจำนวนเท่าหยิบมือที่ผมมีอยู่ด้วย
“ฉัน.. ไม่.. ฉัน” โจอ้ำอึ้ง ขณะที่ผมเริ่มสอดปลายนิ้วเข้าหากันแล้วขยับเสียดสีเบาๆ “ฉัน.. ฉิบ!”
“โอเคไหม” ผมถาม โจในสายตาของผมตอนนี้ ดูงุ่นง่านจนน่าสงสาร เขาเหมือนคนที่คลำหาคำพูดของตัวเองไม่เจอ
โจเงยหน้าขึ้นมา จ้องผมเขม็ง ก่อนที่ทุกปลายประสาทในร่างกายผมจะแข็งทื่อ เมื่ออีกฝ่ายพุ่งเข้ามาหาด้วยความเร็วที่มากเกินกว่าจะตั้งตัวทัน
ริมฝีปากอุ่นบดเบียดเข้ามา พร้อมกับฝ่ามือที่ล็อคใบหน้าผมไว้
.. นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมเคยคาดเดาเอาไว้ว่าจะเกิดขึ้น
แรงขัดขืนเล็กๆ เกิดขึ้นในตอนแรก และโจดูเหมือนตั้งใจเพิกเฉยมัน หรือไม่ก็ขาดสติจนไม่ทันสังเกตเห็นอะไร พอเป็นแบบนั้น ผมถึงเริ่มออกแรงมากขึ้น
จูบที่อีกฝ่ายพยายามยัดเยียดให้ผมเริ่มเปลี่ยนไป
ในตอนแรก มันทาบทับลงมาคล้ายหวังให้ผมเปิดทางให้ เหมือนการร้องขอ
แต่ในตอนนี้ ยิ่งผมพยายามบิดตัวเองออกจากการจับกุมมากเท่าไหร่ ความรุนแรงและการยัดเยียดยิ่งเผยตัวตนชัดขึ้นเท่านั้น
ไม่ใช่แบบนี้..
ผมส่งเสียงประท้วงในลำคอ ก่อนจะรวบแรงทั้งหมดที่มีเพื่อผลักอีกฝ่ายออกไป พร้อมกับทั้งร่างที่ผุดลุกขึ้นยืน โจหอบหายใจ ขณะที่ผมยกปลายนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากตัวเอง
มันแสบ.. แล้วก็เห่อช้ำ
“คิดว่าตัวเองทำอะไรอยู่” เสียงของผมให้ความรู้สึกห่างไกลจนน่าตกใจ มันเป็นเสียง ที่ผมไม่คิดว่าตัวเองจะใช้พูดกับใครอีกในตอนนี้
โจถอยหลังไปสองสามก้าว ฝ่ามือทั้งสองข้างยกขึ้นกุมรอบศีรษะด้วยท่าทางสับสน ผมมองท่าทางนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ความโกรธแล่นริ้วในหัวสมอง
ครั้งแรกที่ห้องนั้น ผมไม่มองว่ามันเป็นอะไรทั้งนั้นนอกจากความผิดพลาด
แต่ในครั้งนี้.. มันให้ความรู้สึกของการบังคับมากเกินไป จนทำให้ผมรู้สึกโกรธ
แล้วภายในความรู้สึกไม่พอใจทั้งหมดที่เกิดขึ้น.. ใบหน้าของใครอีกคนแฝงตัวอยู่เงียบงัน แต่ชัดเจนหลังเปลือกตา
“ไม่คิดว่าเราจะคุยกันรู้เรื่อง” ผมเปรย ก่อนจะถอดผ้ากันเปื้อน พับมันลวกๆ แล้ววางไว้บนเคาน์เตอร์ ในชั่วขณะหนึ่งที่ผมจับท่าทางของตัวองได้ ชั่วขณะหนึ่งที่เดินผ่านร่างสูงที่ยืนนิ่งอยู่ มันคือการหลีกหนี ราวกับไม่อยากเข้าใกล้หรือสัมผัสตัว
ฝ่าเท้าของผมหยุดชะงักอีกครั้ง แรงบีบตรงข้อมือ ไล่ลามขึ้นมาถึงต้นแขน
ผมเพ่งสายตาไปที่ผนังมืดๆ ที่ไฟส่องไปไม่ถึง เสียงหอบหายใจของโจดังลั่นอยู่ในกกหู
“นาย ถือตัวกับฉันเหรอ” น้ำเสียงของเขาเหยียดหยัน คำพูดที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยินจากปากคนคนนี้ เริ่มหลุดร่วงออกมาทีละเล็กละน้อย
“ดูสิ่งที่นายเคยทำที่เนวาด้าสิ นายทำอะไรที่นั่นกัน ไม่อยากจะเดาเลย” คำพูดนั้นเรียกเลือดลมในตัวผมให้สูบพล่าน ดวงตาเริ่มพร่ามัวและฉายอะไรเก่าๆ ที่ผมไม่อยากเห็น “แล้วทีนี้ นายกลับมาหวงตัวกับฉันเนี่ยนะ”
นั่น.. ร้ายกาจเป็นบ้า
ชวนให้รู้สึกเจ็บ กว่าคนแปลกหน้าที่ผมจำชื่อจำหน้าไม่ได้มาพูดใส่ซะอีก
เพราะสถานะที่ผมหยิบยื่นให้อีกฝ่าย มันคือมิตรภาพที่ผมตั้งใจให้ แต่ดูตอนนี้สิ..
พังไม่เหลือชิ้นดี แค่เพราะคำพูดที่ใช้เวลาเปล่งออกมาไม่ถึงสิบวินาที
พลั่ก!
แล้วเสียงหมัดกระทบเนื้อก็ดังลั่นขึ้น ผมสะบัดมือตัวเองเบาๆ ดวงตาปรายต่ำมองโจที่ทรุดลงไปนั่งที่พื้น
ถ้าผมเคยทำคนอย่างเดฟเลือดออกได้ หมัดในรอบที่ที่จงใจกว่ามากก็ทำให้โจอยู่ในสภาพไม่ต่างกัน ปลายนิ้วเรียวยาวยกขึ้นแตะเลือดและรอยช้ำวงใหญ่ตรงมุมปากและแก้มตัวเอง และก่อนที่เขาจะได้ทำอะไรมากกว่านั้น
ผมก็หันหลังแล้วเดินออกจากตรงนั้นทันที
เดินเร็วขึ้นเรื่อยๆ .. จนกลายเป็นการวิ่ง พร้อมทั้งความอึดอัดและการบีบรัดจนเจ็บที่หน้าอก ปลายนิ้วยกขึ้นกำเสื้อตรงอกตัวเองแน่น จิกย้ำลงไปเพื่อรับรู้ความชาที่ลุกลามใหญ่โต
ผมอาจจะเป็นบ้า
แต่ในตอนนี้ ผมยอมรับได้เต็มปากเต็มคำ
ว่าคิดถึงผู้ชายคนนั้นมากแค่ไหน
ฮาร์เลย์ของเดฟจอดนิ่งอยู่หน้าบ้านตอนที่ผมกลับไปถึง ผมไม่ได้ตรงกลับไปที่นั่นในทันทีที่เกิดเรื่อง แต่กลับพาตัวเองไปทิ้งดิ่งอยู่ที่บาร์เล็กๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่บาร์เดียวกับที่พวกเดฟสุมหัวอยู่
เงินทั้งหมดที่ผมมี ถูกยื่นไปเพื่อแลกกับแก้วช็อตนับไม่ถ้วน
จำไม่ได้แล้วว่าดื่มไปเท่าไหร่ …
ไม่ใช่โจหรอก ที่เป็นต้นเหตุในการทำตัวไร้สติแบบนี้ อย่างน้อยก็ไม่ใช่โจไปซะทั้งหมด
พอถูกสะกิดแผลเข้านิดหน่อย.. สมองห่วยๆ นี่ก็กลับไปลากเอาทุกอย่างที่ผมมีในอดีตมาตบหน้าผมแรงๆ จนชา ความร้อนที่ไหลวนผ่านปลายลิ้นและลำคอบาดเฉือนภาพความทรงจำพวกนั้นให้ขาดวิ่น เยียวยาได้ไม่ถึงหนึ่งนาที ก็จำเป็นที่จะต้องดื่มกินลงไปซ้ำเพื่อให้ได้ผลลัพธ์แบบเดิม
เมาซะแล้ว …
ผมเตือนสติตัวเองย้ำๆ ตลอดทุกฝีก้าวที่มีตลอดทางกลับมาที่บ้าน ดวงตาจ้องค้างไปที่ฮาร์เลย์สีดำ ก่อนจะลากกลับไปมองประตูบ้าน
ตรงโซฟา.. ไม่มีใครอยู่ ปลายเท้าผมลากผ่านบนพื้นไปเรื่อยๆ จนเกิดเสียงเสียดสี กองหนังสือพิมพ์ยังวางเป็นระเบียบอยู่ตามพื้น ยกระดับสูงขึ้นมาจนเกือบจะเท่ากับตัวผม หนังสือตามชั้นวางอยู่ที่เดิม สะเปะสะปะแต่ก็ดูเป็นระเบียบอยู่ในที
แล้วผมก็พบเดฟ นั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน แผ่นหลังกว้างให้ความรู้สึกหลากหลายเวลามอง
แต่ไม่มีความคิดใดโผล่ขึ้นมาในหัวของผมเลยในช่วงเวลานั้น
“กลับช้านะ” เดฟทัก โดยที่ไม่หันมามอง “.. นึกว่าจะไม่กลับมาแล้ว”
ผมหลุดยิ้มฝืดเคือง อาจจะเป็นแบบนั้น.. ผมเป็นคนหนีออกไปจากที่นี่เอง ตอนที่มีเรื่องกันตอนเช้า
แล้วเดฟก็ชะงักไป ผมเดาได้ในทันทีว่าเขาสัมผัสได้ถึงอะไรที่แปลกไป อย่างเช่น กลิ่นแอลกอฮอล์ที่ลอยออกจากตัวผมตอนนี้เป็นไง
เพราะอะไรสักอย่าง ทำให้บรรยากาศระหว่างเราตอนนี้ผิดเพี้ยนไป ไม่สิ ถ้าพูดให้ถูกก็คือ เหมือนยกเอาความอึดอัดที่สะสมใส่กันมาวางไว้รอบตัวก็คงได้
แม้กระทั่งตอนที่ผมขยับตัวเข้าไปใกล้มากขึ้นกว่าเดิม เดฟก็ยังคงนั่งนิ่งและไม่หันมา ทำท่าราวกับกำลังสนใจกระดาษในมือมากมาย.. อาจจะเหนื่อยแล้วกับการสนใจแล้วก็เข้าหาผมก็ได้
ผมปลดกระดุมออกหนึ่งเม็ด ความร้อนเริ่มไล่ลามขึ้นตามช่องอกและสันกราม ไม่แน่ใจนักในตอนนี้ ว่าเหล้าทั้งหมดที่ผมดื่มไปช่วยลบล้างอะไรได้บ้าง
เศษความทรงจำยังติดค้างอยู่ที่ปลายสายตา
“คุณ .. ชอบผมใช่หรือเปล่า” เพราะอะไรผมเองก็ไม่แน่ใจ แต่คำถามนั้นก็หลุดออกจากริมฝีปากไปแล้ว
ปราศจากการไตร่ตรอง
เดฟหมุนเก้าอี้กลับมา เขาจ้องมองผมไม่วางตาด้วยสีหน้าประหลาดใจ อาจจะคิดไม่ถึงว่าผมจะกลายเป็นฝ่ายเริ่มประเด็นนี้ขึ้นมาก่อน
“ใช่” คำตอบเรียบง่าย
แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่มีคนบอกว่าชอบผม
ว่ากันตามจริง.. ใครๆ ก็ชอบผมทั้งนั้น
“บอกได้ไหมว่าทำไม”
อีกฝ่ายนิ่งไป สีหน้าราวกับครุ่นคิด ก่อนที่เขาจะสบตากับผม ริมฝีปากขยับช้าๆ เอ่ยคำตอบออกมาเป็นจังหวะเนิบช้า
“เพราะนายเรียกร้องให้ฉันเข้าหา” ผมกะพริบตา ไม่แน่ใจนักกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน
“ผมทำแบบนั้นตอนไหนกัน”
เดฟเผยรอยยิ้มออกมา ราวกับกำลังขบขันต่อคำถามนั้น ร่างสูงยืดตัวขึ้นยืน ก่อนจะสาวเท้าเข้ามาจนชิดกับผม แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเว้นระยะห่างไม่ให้ตัวเราสัมผัสกัน
ปลายนิ้วยกขึ้นทำท่าเหมือนจะจับใบหน้าของผม แต่ก็ชะงักค้างไว้กลางอากาศ
“ดวงตาคู่นี้มองตรงมาที่ฉัน.. ทั้งความหม่นเศร้า ความสงสัยใคร่รู้ ดึงดูดให้ฉันเข้าหา” เขาพึมพำ ดวงตาที่ทอดมองมาให้ความรู้อ่อนโยนผิดวิสัย “นายอาจจะไม่รู้ตัว ว่าทำสีหน้าแบบไหนใส่คนแปลกหน้าคนนี้ในวันนั้น”
เป็นอีกครั้งที่ผมละสายตาจากใบหน้าอีกฝ่ายไม่ได้
เดฟยังคงรักษาระยะห่างระหว่างเรา
“นายบอบบาง แต่ไม่ได้อ่อนแอ นั่นยิ่งทำให้ฉันปล่อยมือจากนายไม่ได้ รู้ไหม”
หลายๆ ความรู้สึกแฝงมาในรูปประโยคเรียบง่ายนั่น น่าแปลก ที่ผมสัมผัสได้ถึงทั้งการชื่นชม การยอมรับ การปกป้อง และการให้คำสัญญา
น่าแปลก ที่ความรู้สึกมากมายขนาดนั้น.. ทำให้ผมนึกหดหู่ แทนที่จะเป็นดีใจ
ภาพในอดีตยังซ้อนทับกับภาพที่ผมมองเห็นในปัจจุบัน ผมเม้มปากแน่น การตัดสินใจไม่ได้เกิดขึ้นจากสติที่ครบถ้วนสมบูรณ์
อันที่จริง ไม่มีการตัดสินใจอะไรเกิดขึ้นเลยมากกว่า ไม่มีอะไรทั้งนั้น นอกจากความรู้สึกสมเพชตัวเองและการประชดประชันที่มีเพียงผมคนเดียวที่จะรู้สึกเจ็บ
กลิ่นแอลกอฮอล์ยังคลอเคลียอยู่ตรงปลายจมูก ผ่อนผ่านออกมาสัมผัสอากาศพร้อมกับลมหายใจ
ผมกะพริบตา ก่อนจะก้าวปลายเท้าไปข้างหน้าเล็กน้อย ซ้อนนิ้วเท้าไว้บนปลายเท้าอีกฝ่ายเบาๆ พร้อมกับดวงตาที่ช้อนขึ้น
อีกแล้ว …
ความรู้สึกอึดอัดจนอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ แบบนี้
“แสดงให้เห็นสิ”
เข็มนาฬิกาเดินไปข้างหน้าช้าๆ ลมหายใจของผมถูกกำหนดเข้าออกเป็นจังหวะที่กดดันในตัวเอง.. เดฟต่อเวลาให้ผมด้วยการนิ่งราวกับต้องการจะดูเชิง
ก่อนที่เขาจะพรากทุกอย่างไปจากผม ทุกลมหายใจ ทุกสตินึกคิด ทุกการควบคุมตัวเอง
ร่างของผมถูกกระชากเข้าไป แรงกอดรัดตรงช่วงเอวแน่นจนทำให้หายใจลำบาก ริมฝีปากอุ่นร้อนบดเบียดเข้ามาโดยไม่รอให้ตั้งตัว ตัวผมถูกดันให้ถอยหลังช้าๆ จนสัมผัสแรงกระแทกเบาๆ ที่แผ่นหลัง
จูบนี้ให้ทั้งความรู้สึกดิบเถื่อน และความต้องการอยากจะครอบครอง
หนึ่งวินาทีรุนแรง หนึ่งวินาทีต่อมาก็เบาบางลงคล้ายกับเจ้าตัวพยายามกดมันเอาไว้
สะโพกของผมถูกเค้นหนักจากฝ่ามือแข็งแรง เรียวลิ้นที่สอดเข้ามาตวัดเกี่ยวกับลิ้นของผม ความอื้ออึงแทรกซ้อนเข้ามาในกกหู
ผมยกแขนโอบรอบคออีกฝ่าย พร้อมกับปลายนิ้วที่จิกแน่นลงบนช่วงไหล่ที่เต็มด้วยกล้ามเนื้อ
“ฮื่อ..” เพราะว่าเริ่มหายใจไม่ออก ผมถึงส่งเสียงประท้วงออกไป
ไม่แน่ใจว่าเดฟตีความหมายมันไปในทิศทางใด แต่หลังจากนั้น ร่างของผมก็ถูกยกลอยขึ้นจากพื้นทันที พร้อมกับร่างกายของอีกฝ่ายที่แทรกเข้าตรงระหว่างขา เบียดชิดเข้ามาจนแทบไม่มีพื้นที่ว่างระหว่างเรา
ผมเกี่ยวขาทั้งสองข้างเข้าที่สะโพกแข็งแรง ดวงตาเริ่มพร่าเลือนจนแทบมองไม่เห็นอะไรนอกจากกระแสความร้อนที่แผ่อยู่รอบกาย
เดฟถอนริมฝีปากออกไป ปลายนิ้วกดลงบนริมฝีปากล่างของผม ก่อนจะออกแรงปาดมันหนักๆ จนเผลอนิ่วหน้าออกมาเพราะรู้สึกเจ็บ
“ปากช้ำ..” เขาเกริ่นเสียงแหบ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจับจ้องผมในระยะใกล้ ตอนนั้น ผมจับความรู้สึกราวกับกำลังถูกรีดเค้นข้อมูล “ไปจูบกับใครมา”
ผมเม้มปาก ความเงียบที่ตอบโต้กลับไปยิ่งทำให้เดฟเบียดตัวเข้ามาใกล้มากกว่าเดิม
“ไม่ได้ตั้งใจ” นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ผมคิดได้ในตอนนี้
เขาเผยรอยยิ้มเครียดออกมา ชั่วพริบตาหนึ่งถึงจางหายไป “ครั้งที่แล้วก็ไม่ตั้งใจ”
ปลายนิ้วผมจิกลึกลงไปในผิวเนื้ออีกฝ่ายแรงกว่าเดิมเพราะความประหม่า เดฟนิ่วหน้า แต่ก็ไม่ได้ทักท้วงหรือว่าอะไรออกมา
ทั้งถูกกดดันในระยะใกล้ขนาดนี้.. ทั้งจูบที่ทำให้สมองหมุนคว้าง.. ทั้งกลิ่นเหล้าที่เหมือนยิ่งมอมเมาให้ผมตกลงไปในหลุมว่างเปล่า
ผมสูดลมหายใจลึก ก่อนจะทิ้งใบหน้าลงบนบ่ากว้างแล้วขยับเอียงเล็กน้อย ลมหายใจอุ่นเป่ารดอยู่ตรงช่วงลำคอที่เกร็งขึ้น
“ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ” ผมกระซิบ
ชั่งใจคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะรู้ตัว ริมฝีปากก็กดแนบลงไปตรงลำคอตรงหน้าแล้ว
คิดอะไรไม่ออก.. ผมกะพริบตา รู้สึกรั้นๆ ที่ปลายจมูกคล้ายกับคนใกล้จะร้องไห้
“แต่ตอนนี้ตั้งใจ”
ลมหายใจของเดฟสะดุดไปกลางอากาศ ก่อนที่ผมจะถูกกระแทกแรงๆ จนศีรษะปะทะเข้ากับผนังที่พิงอยู่ เดฟโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้จนหน้าผากเราสัมผัสกัน ดวงตาหรี่ลง ขณะที่วงแขนกระชับร่างของผมไว้ไม่ให้ตกลงไปที่พื้น
“ปั่นหัวกันเหรอ” เขากระซิบเสียงลอดไรฟัน ทั้งร่างเกร็งไปหมด ผิดกับผมที่เหมือนกล้ามเนื้อทุกส่วนไม่ทำงาน เหลือไว้เพียงร่างที่อ่อนปวกเปียก
ปั่นหัวเหรอ
ผมไม่แน่ใจนักว่าใครเป็นคนปั่นหัวใครกันแน่
เดฟทาบริมฝีปากลงมาอีกครั้ง บดเบียดแผ่วเบา ก่อนจะพึมพำทั้งๆ ที่ยังไม่ผละไปไหน
“ทำให้หวง ตั้งใจใช่ไหม”
ผมไม่ได้ตอบคำถามนั้น ไม่ได้สนใจอะไรทั้งนั้นนอกจากความคิดที่วิ่งวนอยู่ในหัวของตัวเอง
ปลายนิ้วที่จิกค้างอยู่บนร่างกายอีกฝ่ายค่อยๆ คลายออก ผมลูบฝ่ามือไปมาเบาๆ ราวกับขอโทษต่อบาดแผลที่ตัวเองเป็นคนสร้าง ก่อนจะไล่มันขึ้นช้าๆ จนหยุดอยู่ที่สองข้างแก้มอุ่น
เดฟหายใจแรง
ผิดกับผมที่แทบไม่หายใจ ตอนที่กล่าวประโยคในความคิดออกไป
“กอดนั่น.. ผมยังใช้สิทธิ์ได้อยู่หรือเปล่า”____
#เดฟฟลอยด์
1คอมเม้นต์1กำลังใจ
รักเสมอ
Cinzano 505.