I BITE :: Chapter.22 Count To Three (06/04/2560)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: I BITE :: Chapter.22 Count To Three (06/04/2560)  (อ่าน 35763 ครั้ง)

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: I BITE :: Chapter.12 Buried Alive In The Blues (24/01/2560)
«ตอบ #30 เมื่อ25-01-2017 01:11:14 »

สนุกมากเลยค่ะะะะ ติดตาม  :L2:

ออฟไลน์ mecinzano505

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
Re: I BITE :: Chapter.13 Strange Brew (25/01/2560)
«ตอบ #31 เมื่อ25-01-2017 02:44:26 »


13_
Strange Brew




เขากำลังนิ่งรอ

นิ่งรอราวกับว่าต้องการได้ยินคำสัญญานั่นจากปากผมจริงๆ ผมทิ้งสายตาเลื่อนลอยข้ามผ่านไหล่ที่บดบังครึ่งหน้าของตัวเองอยู่ไป จับจ้องปืนลูกซองยาวที่ติดไว้กับผนัง ลมหายใจอุ่นยังเป่ารดอยู่ที่ผิวเนื้อ เดฟค่อยๆ ขยับตัวออก เขามองหน้าผมไม่วางตา

ผมมองเห็นการวอนขอ.. ไม่ใช่การข่มขู่บังคับเอาแต่ใจเหมือนกับหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา

ผมรู้ดี ว่าไม่ควรเอาตัวเองมาผูกกับอะไรแบบนี้ ไม่ควรสัญญา เพราะคำสัญญามักจะทำให้เดือดร้อนหรืออึดอัดใจในภายหลังเสมอ

คนที่เคยสัญญา หรือร้องขอคำมั่น… สุดท้ายแล้วก็เป็นฝ่ายจากไปก่อนทั้งนั้น

‘เจลิน.. อย่าทิ้งแม่ไว้ที่นี่คนเดียว อย่าทิ้งแม่ไว้คนเดียว สัญญากับแม่นะ’

แต่ก็มีไม่กี่คนนัก.. ผมสามารถนับจำนวนได้เลย นับได้ภายในเสี้ยววินาทีที่กะพริบตา

คนที่แสดงออกว่าผมมีความสำคัญ

ฝ่ามือเริ่มกำเข้าหากันแน่น ก่อนจะปล่อยออกจากกันในเวลาสั้นๆ ต่อมา

ผมเลื่อนสายตากลับมาสบกับเดฟ ทั้งๆ ที่ลำคอแห้งผาก แต่ภายในของผมกลับไม่รู้สึกอย่างนั้นเลยแม้แต่น้อย

ทั้งๆ ที่ก็รู้ดีอยู่แล้ว.. ว่าอย่าสร้างภาระผูกตัวเองไว้กับอะไรก็ตาม

“สัญญา”

แต่ผมก็พูดออกไปจนได้

เดฟไม่ได้พูดหรือแสดงท่าทางอะไรพิเศษออกมาหลังจากนั้น ผมเองก็ไม่ได้คาดหวังให้มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งหมดที่เขาทำ คือแค่ทิ้งสายตาไว้ที่ผมนานขึ้น ฝ่ามือรูดลงตามผนัง หยุดชะงักเหนือไหล่ของผม ก่อนที่เขาจะขยับตัวออกไป

ดวงตาสีเข้มเลื่อนมองนาฬิกาที่ติดอยู่ไม่ไกลลวกๆ

“ดึกแล้ว นายคงเพลีย” เขาเกริ่น

“ผมว่าจะไปนอนแล้วเหมือนกัน” ผมรีบสานต่อประโยคในทันที ฝ่าเท้าก้าวถอยหลัง พาตัวเองออกห่างจากเดฟช้าๆ ทั้งที่ดวงตายังประสานกันอยู่ เดฟปล่อยให้ผมห่างจากเขาเรื่อยๆ โดยไม่ได้ทักท้วงหรือพูดอะไรอีก

ราตรีสวัสดิ์..

คำอวยพรนั้นดังขึ้นแค่ภายในใจเท่านั้น ผมพยักหน้ากับตัวเองเบาๆ ก่อนจะหันหลังแล้วตรงดิ่งเข้าไปในห้องนอน

นั่นเป็นคืนแรก ที่ผมคิดอะไรแปลกประหลาดอย่างเช่นคำอวยพรนั่นออกมาด้วยตัวเอง ผมเคยมองว่าการพูดอะไรพวกนั้นใส่กันเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น

ผมจะนึกถึงฝันดีได้ยังไง ในเมื่อทุกวินาทีที่ลืมตา ผมถูกกระตุ้นและมองเห็นแค่สิ่งที่ไม่ดี

ผมสอดตัวเองเข้าไปในผ้าห่ม ร่างกายพลิกตะแคงหันข้างและงอตัว กลิ่นอ่อนๆ ที่ติดอยู่บนผ้ากับความอบอุ่นที่ผมได้รับ มันทำให้เกิดความรู้สึกปลอดภัยโดยไม่รู้ตัว

ผมดึงผ้าห่มขึ้นมาจนคลุมอยู่เหนือสันจมูก ก่อนจะค่อยๆ หรี่ตาลงจนปิดสนิท

ผมไม่ใช่คนที่หลับง่ายมากนัก ไม่ใช่คนที่พอหลับตา นับหนึ่งถึงสิบแล้วจะดำดิ่งสู่ความมืดและเงียบสงบได้

ผมยังคงนอนหลับตา แล้วก็ปล่อยให้หูได้ยินเสียงหลายๆ อย่างที่แว่วมาให้ได้ยินเป็นระยะ

เสียงเล็บของแทซขูดเข้ากับพื้นตอนที่เดินไปมา เสียงวางของ เสียงเปิดประตูห้องน้ำ เสียงฝีเท้าที่แม้จะแผ่วเบา แต่ผมก็ยังได้ยินตอนที่มันขยับเข้ามาใกล้

แล้วก็ยังมีความรู้สึก แบบเวลาที่มีสายตาอื่นจ้องมองมาด้วย

ผมเปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ ก่อนจะมองฝ่าความมืดไปยังบานประตูที่เปิดค้างอยู่ เดฟยืดถือขวดน้ำ เขาเอนไหล่ตัวเองพิงกับกรอบประตู และมองฝ่าความเงียบงันภายในห้องมายังผม

คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเราประสานสายตากัน

“มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่า” ผมถาม ค่อยๆ ยันตัวเองขึ้นนั่ง

อีกฝ่ายส่ายหน้าเล็กๆ แทนคำตอบ ก่อนที่ขวดน้ำจะถูกยกขึ้นจรดริมฝีปาก

“แล้ว.. มีอะไรหรือเปล่า” ผมถามอีกครั้ง

เขาทำสีหน้าครุ่นคิด ใช้เวลาไม่นาน ในการวางขวดน้ำลงบนโต๊ะเล็กๆ ที่วางอยู่ใกล้ประตู แล้วเดินตรงมาหยุดอยู่ข้างเตียง

“เขยิบ” เขาออกคำสั่งห้วนๆ พยักพเยิดไปยังที่วางของเตียง “ฉันจะนอนตรงนี้”

“อะไรนะ” ผมขมวดคิ้วทันที ทาบฝ่ามือกับเตียงเพื่อตั้งหลัก

เดฟขยับยิ้ม ก่อนที่เขาจะหุบมันจนเหลือเพียงแค่สีหน้านิ่งเรียบ “คงไม่คิดว่าฉันจะยอมนอนโซฟาไปตลอดใช่ไหม..” เขาเริ่มขมวดคิ้ว พลางยกฝ่ามือขึ้นหนึ่งขึ้นแตะแผ่นหลังตัวเอง “ปัญหาเรื่องหลังน่ะ เข้าใจหรือเปล่า”

ผมเผยออ้าปากเล็กๆ ก่อนจะดันตัวเองขึ้นจากเตียง

ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าอีกฝ่ายมีปัญหาเรื่องหลังหรืออะไรพวกนั้น ถ้าผมรู้ตั้งแต่แรก คนที่นอนบนโซฟาเก่าๆ นั่นจะเป็นผม ไม่ใช่เจ้าของบ้านแน่ๆ

“ถ้างั้นผม..” เดฟขัดทุกคำพูดที่ผมกำลังจะพูดด้วยการยกมือดันผมกลับไป ผมรีบขยับตัวหนีไปที่อีกฝั่งของตัวด้วยความรวดเร็วเมื่อเดฟทิ้งตัวลงนอนโดยไม่พูดไม่จา

ฝ่ามืออุ่นคว้าเข้าที่ข้อมือและออกแรงดึงเบาๆ เมื่อผมตั้งท่าจะลุกอีกครั้ง

“อย่าทำให้มันยุ่งยาก” ดวงตาสีน้ำตาลฉายประกายเอาเรื่อง คล้ายกับว่าผมกำลังทำให้เขาหงุดหงิด “นอนซะ”

ผมรับฟังคำสั่งเด็ดขาดนั่น ลงความเห็นกับตัวเองว่าเตียงนี่ไม่ได้เหมาะสำหรับใช้งานโดยผู้ชายสองคนในเวลาเดียวกันเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะตัดสินใจหุบปากให้สนิทเมื่อเห็นสายตาที่อยู่ห่างไปไม่ถึงสองฟุต

ผมไม่มีทางเลือกอีกแล้ว.. ตราบใดที่ยังไม่อยากเสียพลังงานไปโดยเปล่าประโยชน์

ผมพยักหน้ารับคำ ล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ก่อนจะพลิกหันหน้าออก กลิ่นและไออุ่นไม่ได้มาจากผ้าห่มเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป มันแนบชิดอยู่ด้านหลังของผม ทำให้รู้สึกนิ่งสงบและลิงโลดในเวลาเดียวกัน

ผมนึกโมโหร่างกายตัวเองในช่วงเวลานั้น

“หวังว่านายจะจำได้นะ สัญญาที่ให้ไว้วันนี้.. หวังว่าจะจำได้ไปตลอด” เดฟพูดขึ้นเบาๆท่ามกลางความมืด

ผมไล้ฝ่ามือขึ้นตามผ้าปูที่นอน ก่อนจะวางมันชิดกับปลายคาง จรดริมฝีปากกับผิวเนื้อตัวเอง ระหว่างที่สมองกำลังสับสนในอะไรบางอย่าง

ผมไม่ได้ตอบรับประโยคนั้นของเดฟ

แต่ผมพูดกลับไป ในประโยคเดียวกัน

“ผมเองก็หวัง.. ว่าคุณจะจำได้ไปตลอดเหมือนกัน” ผมกระซิบ หรี่เปลือกตาให้ปิดสนิทเพื่อเตรียมตัดตัวเองออกจากสถานที่นี้

“เหตุผล ว่าทำไมคุณถึงต้องการคำสัญญานั่นมากเหลือเกินในวันนี้”

จำให้ได้ และอย่าเป็นฝ่ายทำลายมันลงก่อน

เพราะนี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะยอมเชื่อในอะไรสักอย่าง จนถึงขนาดยอมเอาตัวเองไปผูกกับมัน







หลังจากคืนนั้น.. เดฟก็เริ่มโผล่เข้ามาในห้องนอนตอนกลางคืน อ้างเรื่องปวดหลังปวดตัวได้ทุกวัน จนแค่หนึ่งอาทิตย์หลังจากนั้น ทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็กลายเป็นความเคยชิน

เตียงที่เคยเล็กเกินไป อยู่ดีๆ ก็กลายเป็นเตียงที่พอดีขึ้นมาซะอย่างนั้น

ผมไม่รู้ว่าเดฟต้องการอะไรในการทำทั้งหมดนี่ ความไม่เข้าใจนั้นถูกข่มเอาไว้ ผมไม่ได้ถามออกไป ถึงแม้ว่าจะสงสัยมากแค่ไหนก็ตาม

เพราะทุกๆ คืน ที่ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก.. จะไม่มีเดฟนอนอยู่บนเตียงอีกต่อไป

ร่างสูงจะนอนหลับสนิทอยู่บนโซฟาตัวเดิมที่ห้องรับแขก ด้านล่างมีแทซตัวใหญ่หนุนหัวเข้ากับพื้นพรมเก่าๆ เป็นแบบนี้ไม่ใช่แค่คืนเดียว แต่เป็นทุกๆ คืน

ราวกับว่าเขารอให้ผมหลับสนิท แล้วถึงพาตัวเองกลับไปอยู่ที่เดิม

นั่นล่ะ เป็นสิ่งที่ผมไม่เข้าใจ

“นี่.. เงินของผมออกแล้ว คุณจะให้ผมจ่ายเท่าไหร่” ผมเกริ่น ถูปลายเท้าของตัวเองเข้าหากันเบาๆ เมื่อสัมผัสได้ถึงความหนาว เดฟนั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงานที่รกไปด้วยกระดาษและเอกสารสีขาว เขาหันหน้ามามองผม ก่อนจะถอดแว่นกรอบเหลี่ยมที่สวมใส่อยู่ออกช้าๆ

“งั้นเหรอ” คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูง เขาแสดงสีหน้าครุ่นคิดออกมา ซึ่งผมรู้ว่านั่นเป็นแค่การแสร้งทำ “นายอยากจ่ายเท่าไหร่ก็วางไว้”

แล้วเขาก็เลิกขัดเวลาที่ผมต้องการจะจ่ายค่านู่นนี่นั่นให้เขาไปแล้วด้วย เช่นเดียวกันกับผมที่เลิกขัดเวลาที่อีกฝ่ายออกคำสั่งหรือแสดงความต้องการให้ผมทำนู่นทำนี่

เพราะผมรู้ดี ว่าเขาจะไม่มีวันยอมเลิกถ้าผมไม่ตกลง เหมือนกับเดฟที่รู้ ว่าผมจะไม่มีหยุดถ้าเขายังไม่ยอมรับเงินของผม

“คุณดูเหนื่อย” ผมถามออกไปสั้นๆ เมื่อเห็นใบหน้าอิดโรยของอีกฝ่าย เดฟในช่วงสองสามวันมานี้ โหมทำงานหนัก เอาแต่ขลุกตัวอยู่ที่โต๊ะนี่สลับกับขี่ฮาร์เลย์ออกไปด้านนอก เดาว่าเขาคงไปที่คลับหรืออะไรทำนองนั้น “อยากดื่มอะไรไหม”

เดฟเม้มปาก เขาเผยรอยยิ้มออกมาจางๆ เดฟที่ลดความขี้เล่นของตัวเองลงไปเยอะ ไม่ต้องพยายามคิดเลยว่างานที่เขาพบเจออยู่สร้างความตึงเครียดได้มากขนาดไหน

ผมคิดว่าเขาแค่ขายยา.. แค่ขายยาออกไปแล้วก็รับเงิน

แต่ความคิดนั้นโคตรผิด ผมเคยนั่งฟัง เวลาเดฟคุยโทรศัพท์เรื่องงาน นอกจากมันจะฟังดูตึงเครียดแม้กระทั่งกับผมที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแล้ว ผมก็ได้เห็นอะไรเพิ่มอีกหลายอย่าง

การข่มขู่ของเดฟ ที่ไม่เคยรุนแรงขนาดนี้มาก่อน

การตะคอก แบบที่ผมไม่เคยได้รับ

“นาย ดูเหนื่อยกว่าฉันอีก” เขาทิ้งปากกาลงบนโต๊ะ ก่อนจะหมุนเก้าอี้ให้หันมาทางผม “มีอะไรหรือเปล่า”

ผมกะพริบตา เพราะว่าผมเห็นเดฟทำตัวยุ่งอยู่ตลอดเวลา ผมถึงไม่อยากให้เขาต้องมาคิดเรื่องของผมเพิ่มเข้าไปอีก

“ผมจะมาบอก ที่ทำงานน่ะ” ผมเกริ่น หลุบตาลงมองปลายนิ้วตัวเองที่เกี่ยวพันกันเบาๆ “ไม่ต้องไปรับผมแล้วก็ได้”

เดฟจ้องหน้าผมนิ่ง เขาไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับมาในทันที มีเพียงคำถามสั้นๆ เท่านั้นที่ดังขึ้น

“ทำไม”

“ผมว่าผมเดินกลับเองได้แล้ว” ผมตอบไปตามตรง ถึงที่ทำงานจะไกลจากบ้านหลังนี้มากกว่าห้องพักเก่าของผม แต่ก็อย่างที่บอก

ผมไม่คิดว่าเรื่องของตัวเองสมควรเข้าไปเพิ่มความหนักใจหรือเป็นภาระให้อีกฝ่ายตอนนี้

แล้วถ้าดูแลตัวเองได้ ผมคิดว่านั่นก็เป็นทางเลือกที่ดีกว่าอยู่แล้ว ไม่ใช่เหรอ..

เดฟนิ่งคิด เขาจ้องลึกเข้ามาในตาของผม และทันทีที่ผมจ้องกลับไป อีกฝ่ายก็เริ่มพยักหน้าเบาๆ

“ก็ตามใจสิ”

“ขอบคุณ.. ผมไม่กวนแล้วทำงานต่อเถอะ” ผมหลุดยิ้มออกไป มองเห็นเดฟนิ่งชะงักเล็กๆ ก่อนที่สัมผัสอุ่นจะคว้าจับเข้าที่ข้อมือแล้วออกแรงกระตุกให้ผมไปยืนอยู่ระหว่างขา

เสียงร้องหลุดออกจากลำคอแผ่วเบา เดฟจ้องผมไม่กะพริบ ปลายนิ้วอุ่นลากผ่านผิวเนื้อตรงหลังมือ

สายตาที่มองมาสร้างความรู้สึกแปลกๆ ให้เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว อะไรบางอย่างตีวนรุนแรงอยู่ในช่องท้องตอนที่อีกฝ่ายยืดตัวขึ้นยืนเต็มความสูง

ร่างของผมถอยหลังช้าๆ จนสัมผัสชั้นหนังสือสูง ฝ่ามือที่เคล้าคลึงอยู่ตรงสะโพกทำให้ผมเผลอกัดริมฝีปากล่าง

หัวใจเต้นแรง

ผมมองไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะเปลือกตาที่ปิดสนิท แต่ลมหายใจอุ่นที่รดอยู่เหนือริมฝีปาก

มันควรจะสร้างความรู้สึกดี.. อย่างน้อยก็ควรจะทำให้รู้สึกดีมากกว่ารู้สึกกังวล

ผมขมวดคิ้วแน่น และก่อนที่อะไรจะถูกลากให้ไปไกลมากกว่าที่เป็นอยู่ ใบหน้าก็สะบัดหันหนีโดยไม่ทันรู้ตัว มันเหมือนเป็นหนึ่งในกลไกที่ร่างกายบังคับทำ

ผมลืมตา ก่อนจะทิ้งการมองเห็นลงที่โคมไฟตั้งโต๊ะสีแดงเข้ม ขณะที่เดฟชะงักทุกการกระทำ เขาผ่อนลมหายใจออกหนักๆ ใบหน้าตกลง จนหน้าผากกดทับอยู่ที่ไหล่

“.. 5 นาที” เขาร้องขอ สัมผัสหนักๆ ไม่ได้สร้างความรำคาญแม้แต่น้อย ผมอยากยกมือขึ้นลูบแผ่นหลังกว้าง แต่นั่นก็เป็นแค่ความอยากที่ถูกดำเนินการแค่ในความคิดเท่านั้น

ผมรู้สึกเป็นห่วงในการกระทำแปลกๆ ที่อีกฝ่ายแสดงออกมา นึกสงสัยว่าอะไรกัน ที่ทำให้เดฟเผยด้านที่ผมไม่เคยเห็นนี่ออกมา

แต่มากกว่านั้น คือผมหวาดกลัวเกินกว่าจะทำอะไรออกไป

มีอะไรบางอย่างในร่างกาย ที่ผมยังไม่พร้อมจะแสดงให้เดฟได้เห็น.. ผมกำมือแน่น เพราะอะไรบางอย่างที่ว่านั่น

กำลังตามหลอกหลอนผมอยู่

“เดฟ..” ผมพึมพำออกมาเบาๆ เมื่อปล่อยให้เวลาผ่านไปสักพัก ความคิดตึงเครียดในหัวทำให้เสียงของผมที่เปล่งออกไปฟังดูไม่ค่อยดีนัก ผมรู้สึกผิด อีกนัยน์หนึ่งก็คือกลัวเดฟจะเข้าใจผิด แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป

เสียงถอนหายใจดังออกมาให้ได้ยิน เดฟนิ่งค้างอยู่อย่างนั้นอีกพักใหญ่ ก่อนที่เขาจะผละตัวออกไป พร้อมกับบางสิ่งบางอย่างที่ผมจับได้

ดวงตาคมเข้มคู่นั้นฉายแววประหลาด

และกำลังหลบเลี่ยงที่จะมองมาทางผม

“นายไปนอนเถอะ” เขาพูดขึ้นมาเรียบๆ ขณะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิม ใบหน้านิ่งเรียบก้มลงมองเอกสารสีขาวบนโต๊ะ

ผมไล่มองทุกอย่างข้างหน้า แว่นตากรอบเหลี่ยมที่วางนิ่งสนิท หนังสือพิมพ์เก่าๆ สองฉบับบนโต๊ะ ฝ่ามือ เส้นผมและเสี้ยวหน้าของเดฟ

“ราตรีสวัสดิ์” ผมพูดขึ้นในที่สุด และเมื่อแน่ใจว่าเดฟไม่ต้องการจะพูดหรือตอบกลับอะไรอีกหลังจากนั้น ผมถึงขยับถอยหลังพาตัวเองออกมา

ความนิ่มยวบสัมผัสกับสีข้างเมื่อผมทิ้งร่างลงนอนบนเตียง ผ้าปูที่นอนขยับเป็นรอยย่นเมื่อลากมือผ่าน ผมกดปลายจมูกลงไป และเริ่มสูดหายใจเข้าลึก

ผมรู้ดี ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อครู่ รู้ดีว่าเดฟต้องการอะไรในการกระทำทั้งหมดนั่น และสิ่งที่เดฟต้องการ ผมสามารถให้เขาได้ง่ายๆ

แต่ว่ามีอะไรบางอย่างเปลี่ยนไป

.. ผมกำลังเปลี่ยนไป

ร่างกายที่ปล่อยให้หลายๆ คนได้เห็น ได้สัมผัส ครั้งหนึ่ง ผมเคยเกือบจะยกมันให้กับเดฟ ในตอนนั้น ผมไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่า ถ้าเป็นเดฟ ยอมทำอีกสักครั้งก็คงไม่เป็นไร

แต่พอมาวันนี้.. เมื่อครู่นี้.. ผมไม่สามารถทำแบบนั้นได้อีกแล้ว

เดฟไม่ได้ให้ความรู้สึกแปลกหน้าและห่างไกลเหมือนผู้ชายพวกนั้น เขาไม่ใช่ ใครก็ได้ ที่สามารถสัมผัสผมได้อีกต่อไป

แต่กลับกลายเป็น ใครสักคน.. ที่ผมไม่อยากให้ถลำลึกเข้ามา และรับรู้ว่าตัวผมนั้นสกปรกมากแค่ไหน

ใครสักคน.. ที่ผมเพิ่งเคยรู้สึกแบบนี้ด้วยเป็นครั้งแรก

ผมหรี่เปลือกตาลงจนกลายเป็นปิดสนิท พลางรับตัวตนของเดฟที่เด่นชัดอยู่รอบตัว

ขี้ขลาด.. เห็นแก่ตัว.. ผมทวนคำพวกนั้นซ้ำไปซ้ำมาในหัว ก่อนจะปล่อยให้ตัวเองนอนเพ่งความมืดอยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน

นานจนได้ยินเสียงล็อคประตูจากด้านนอก

นานจนผมมั่นใจ.. ว่าในคืนนี้ เดฟไม่ได้เข้ามาที่ห้องนี้

เขาไม่ได้เข้ามา เพื่อนอนนิ่งๆ อยู่ข้างๆ ผมเหมือนกับทุกครั้ง



____

1คอมเม้นต์1กำลังใจ
รักเสมอ

Cinzano 505.

ออฟไลน์ lnudeel

  • I wanna be a CAT!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-5
Re: I BITE :: Chapter.13 Strange Brew (25/01/2560)
«ตอบ #32 เมื่อ25-01-2017 06:54:46 »

เดฟสู้ๆนะ :mew1:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: I BITE :: Chapter.13 Strange Brew (25/01/2560)
«ตอบ #33 เมื่อ25-01-2017 07:24:26 »

เดฟ ฟลอยด์  :ling1: :ling1: :ling1:
ความสัมพันธ์ที่ดูเหมือนจะพัฒนา
แต่ก็ชะงักไป ทั้งที่มีการสัญญากันแล้ว
การชะงักงัน มาจากทั้งฝั่งเดฟ และฟลอยด์
เดฟ ดูไม่กล้าเข้าหาใกล้ชิด ทั้งที่ในใจอยาก
ส่วนฟลอยด์ มีอดีตที่ฝังใจว่าตัวเองสกปรก ขี้ขลาด
เลยแสดงออก เหมือนไม่อยากให้เดฟสัมผัส
เลยยิ่งทำให้ระยะที่หดแคบเข้ามา
ห่างออกไปใหม่อีก  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
ไรท์ ลงก็ไม่สั้นนะ แต่คนอ่านเหมือนอ่านไม่พอ
อยากอ่านอีกๆๆๆๆๆ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-01-2017 17:24:02 โดย ♥►MAGNOLIA◄♥ »

ออฟไลน์ mkianit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-3
Re: I BITE :: Chapter.13 Strange Brew (25/01/2560)
«ตอบ #34 เมื่อ25-01-2017 11:33:38 »

ไม่ได้เข้ามาแปปเดียวอัพเยอะมากก ขอบคุณมากนะค้าาา ขอให้ข้ามผ่านไปให้ได้นะฟลอยด์  :hao5:

ออฟไลน์ panitanun

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
Re: I BITE :: Chapter.13 Strange Brew (25/01/2560)
«ตอบ #35 เมื่อ25-01-2017 11:48:24 »

รู้สึกเหมือนเดฟบอกรักฟลอยด์ตลอดเวลา :katai5:

ออฟไลน์ felixia

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 103
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-4
Re: I BITE :: Chapter.13 Strange Brew (25/01/2560)
«ตอบ #36 เมื่อ25-01-2017 12:12:14 »

เหมือนจะใกล้กันมากขึ้นแต่ก็ไม่
ฟรอยยังแค่แง้มๆประตูยังไม่ยอมให้เดฟเข้ามาทั้งหมด
พี่เดฟสู้ๆนะคะ
รู้สึกว่าถ้าเขาคลิกกันทั้งคู่เมื่อไหร่คงจะแบบ หวานเว่อมากๆแน่ๆ
เพิ่งได้มาอ่าน ชอบอะไรแบบนี้จังเลย

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
Re: I BITE :: Chapter.13 Strange Brew (25/01/2560)
«ตอบ #37 เมื่อ25-01-2017 14:53:45 »

เป็นนิยายเรื่องแรกเลยมั้งครับ ที่ตัวเอกเคยทำเรื่องไม่ดีมาก่อน แล้วมีความคิดที่เป็น consciousness ที่ดี ปกติหายากมากนะครับที่จะมีแนวแบบนี้ออกมา นิยายส่วนมากจะทำให้พอตัวเอกมีพื้นของการค้าประเวณี แล้วก็จะบ้าเซ็กซ์บ้ากามอะไรไปตามเรื่อง หรือไม่ก็คือใช้ตัวเข้าแลกเพื่อทำนู้นนี่นั่นไปเรื่อยๆ ซึ่งมันไม่ได้สะท้อนถึงค่านิยมของการรักษาคุณค่าของจิตใจตัวเอง ไม่ได้เป็นการดึงจิตสำนึกที่ดีและสร้างระบบการคิดที่สมจริงออกมา

แต่เจนีนไม่ใช่ทั้งหมดนั่น สารภาพตอนแรกเลยครับว่าพออ่านเจอว่าเจนีนเคยค้าประเวณีมาก่อนนี่ผมแบบ เรื่องนี้จะออกแนวกามๆอีกเรื่องรึเปล่าวะเนี่ย แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ เจนีนเป็นตัวอย่างที่ดีของมนุษย์ที่ทำเรื่องเลวร้ายไม่ใช่เพราะอยากจะทำ แต่เพราะเขาถูกบีบให้ทำเพื่อความอยู่รอด และเขาเองเมื่อทำแล้ว 'ก็ไม่ได้เสพติดหรือหลงมัวเมา' กับสิ่งนั้นๆ เขาไม่ได้ชอบเซ็กซ์ เขาทำเพราะต้องดูแลแม่และเขาไม่ได้มีโอกาสที่ดีอย่างอื่น เมื่อไม่มีแม่แล้ว เจนีนเองก็พยายามหนีออกจากวังวนนี้อย่างสุดกำลัง ทำอะไรก็ได้ที่จะไม่ลดคุณค่าของเขาลง เขายอมที่จะได้เงินน้อยลง แต่มีคุณค่าของจิตใจตัวเองมากขึ้น เขาไม่ยอมที่จะพึ่งพิงคนอื่นที่อาจจะเรียกค่าตอบแทนเป็นร่างกายของเขา เขาต้องการที่จะยืนหยัดด้วยตัวเอง นี่เป็นข้อคิดเชิงค่านิยมสังคมที่ดีมากๆ และควรสะท้อนให้เยาวชนอ่านและซึมซับครับ

สังเกตว่าเจนีนมีความคิดที่ต่อต้านการค้าประเวณีทุกครั้ง เขาเกลียดการทำแบบนี้ เขารู้ว่าการทำแบบนี้ผิด และเขาก็ 'ไม่ยินดี' รวมถึงถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ไม่ยินยอมที่จะทำ (ขัดกับหลายๆตัวละครที่เรามักจะเห็น ปากบอกไม่ดีๆไม่ทำๆ แต่พฤติกรรมทั้งเรื่องคุณมีเซ็กซ์มากกว่า 4-5 บทหรือแม้กระทั่งยอมไปพึ่งคนอื่นที่สุดท้ายก็มาจบที่เซ็กซ์ ทำให้นี่มันก็คงไม่สอดคล้องกับสิ่งที่คุณพูดน่ะนะ)

สิ่งที่ต้องพูดต่อมาก็คือตัวพระ ตัวพระเรื่องนี้โดดเด่นครับ ในแง่บุคลิกนะ ไม่ใช่ในแง่รูปลักษณ์ ถ้าเราพิจารณาว่านิยายเรื่องนี้มีพื้นหลังของชีวิตตัวละครเป็นสีเทาจนเกือบดำกันแทบทุกคน ถ้าเป็นนิยายพื้นหลังประเภทนี้ ส่วนมากจะเมนไปโฟกัสที่พระเอกหล่อล่ำรวย นางเอกอยากทำดี บลาๆ สุดท้ายพระเอกก็ปู้ยี่ปู้ยำและรักกัน(?) พระเอกเป็นเพอร์เฟกต์แมนที่ทำเรื่องติดกิเลสได้ทุกอย่าง โนสนโนแคร์ความรู้สึก แต่สักพักก็จะรักกันด้วยความดีของนางเอก(??) นี่เป็นพล็อตนิยมครับ

แต่เดฟไม่ใช่ ในแง่รูปลักษณ์ เขาตรงกับข้างบนเกือบหมดเลยครับ แต่ในแง่นิสัย เดฟแตกต่างมาก เขารู้ว่าเจนีนรู้สึกกับจิตใจของตัวเองยังไง แล้วก็เคารพกับความรู้สึกนั้น เดฟให้เกียรติเจนีนในฐานะมนุษย์คนนึงที่ควรได้รับโอกาสที่สอง มันเป็นบุคลิกที่โดดเด่นมาก แล้วพอมันแสดงออกเป็นพฤติกรรม มันก็ยิ่งทำให้ตัวละครนี้มีความแปลกใหม่และน่าชื่นชมพอๆกับตัวนางมากขึ้นไปอีก

สรุปแล้วคือคาแรกเตอร์ของเรื่องนี้มี 'นัยยะของความดี' แฝงอยู่ได้อย่างดีมาก ไม่ใช่ความดีที่เราพบเห็นทั่วๆไป แต่เป็นเรื่องของจิตสำนึกที่พยายามเข้มแข็ง การให้เกียรติคนที่เคยทำเรื่องไม่ดีและพยายามแก้ไข แค่นี้ก็ทำให้ผมแทบจะเรียกว่าเรื่องนี้เป็นนิยายที่ดีมากๆเรื่องนึงแล้วครับ

นี่ยังไม่นับการบรรยายที่ลื่นไหล การเล่าเรื่องที่ให้โทนเหมือนดูหนังต่างประเทศแนวดาร์คปนสืบสวนอยู่ เรื่องผมคิดว่าเน้นเรื่องบทพูดกับเรื่องความรู้สึกของเจนีน สิ่งที่เขาเห็น สิ่งที่เขาคิด สิ่งที่เขารู้สึก แค่นี้มันก็มีเสน่ห์มากพอในระดับหนึ่งแล้วโดยไม่ต้องมีการบรรยายองค์ประกอบเพิ่มเติม การใช้ภาษาก็ถือว่าดีเลยครับ น่าติดตามอ่านต่อมาก

ที่ควรระวังนิดหนึ่งคือต้องเลือกว่าจะให้ปมไหนเด่นกว่ากัน ปมความรู้สึกของตัวละครที่จะค่อยๆมีการพัฒนา หรือจะเล่นปมใหญ่ของสังคมในเมืองประหลาดๆนี้ ส่วนตัวผมคิดว่าเน้นปมแรกให้เด่นกว่าจะดี เพราะตัวคาแรกเตอร์แน่นมาก มีมิติที่เด่นมากพอจะทำให้เห็นตอนจบของปมความรู้สึกแล้วสามารถทำให้ผู้อ่านจบแบบ 'อิ่ม' ได้โดยไม่ค้างคา และเราไม่จำเป็นต้องไปโฟกัสเรื่องปมใหญ่ของสังคมด้วยซ้ำครับ แต่อาจจะต้องมีการสอดแทรกเพื่อรู้ความเป็นไปของสองคนนี้ในอนาคตหน่อยเพื่อทำให้โทนเรื่องจบได้อย่างลื่นไหล
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-01-2017 23:03:09 โดย Grey Twilight »

ออฟไลน์ mecinzano505

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
Re: I BITE :: Chapter.14 Waiting In Vain (25/01/2560)
«ตอบ #38 เมื่อ25-01-2017 17:12:56 »


14_
Waiting In Vain




“นายดูแปลกๆ ไป”

คำทักนั้นดึงผมให้หลุดจากความคิดในหัว โจนั่งอยู่ตรงบันไดเหล็กที่ขึ้นสนิม ข้อศอกทั้งสองข้างวางแนบกับเข่า ที่ยกขึ้นมา พร้อมกับบุหรี่ที่ถืออยู่ในมือ

“ถ้าโรสจับได้ว่านายสูบบุหรี่ในนี้ นายมีปัญหาแน่” ผมเปลี่ยนเรื่อง เช็ดวนผ้าสีขาวกับจานใบใหญ่

โจเลิกคิ้ว เขาหลุดหัวเราะออกมาพลางสูบบุหรี่ต่ออย่างไม่ระแคะระคายต่อคำเตือนนั้น

เส้นผมสีบลอนด์สว่างแนบสัมผัสอยู่กับผนังปูนที่มีรอยร้าว “ก็ให้รู้ไปสิ แค่สูบบุหรี่มันจะอะไรนักหนา”

ผมยักไหล่ เพราะว่าไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ก็เลยปิดบทสนทนาแล้วตั้งใจทำงานต่อ

“นายขยัน” โจเป็นฝ่ายพูดขึ้นมา เขาจ้องผมไม่วางตา “รู้ไหม ถ้าขยันต่อไปอีกแบบนี้ พวกนั้นจะพานายไปจากฉันแน่”

“ใครจะพาไปไหนกันล่ะ” ผมถามเรียบๆ

“พวกนั้นไง โรส.. อาจจะเลื่อนขั้นให้นาย บางทีนายอาจจะอยากไปยืนหั่นผักดู หรือไม่ก็.. ไม่รู้สินะ เตรียมของสดล่ะมั้ง”

“ฉันทำอะไรก็ได้ ถ้าพวกนั้นให้เงินล่ะก็นะ” ผมยักไหล่อีกครั้ง ก่อนจะวางจานลงที่พัก

“ฮื้อ.. นายพูดจาเหมือนฉันขึ้นทุกวัน” โจทำหน้าประหลาดออกมา ก่อนจะนิ่งเงียบไปพร้อมกับรอยยิ้มค้างอยู่บนริมฝีปาก

ผมส่ายหัวเล็กๆ เช็ดมือทั้งสองข้างเข้ากับผ้ากันเปื้อน แล้วพาตัวเองไปนั่งข้างๆ โจ

“เป็นอะไรไป” ผมถาม สีหน้าของโจเหมือนคนที่มีอะไรสักอย่าง บางทีอาจจะคิดอะไรอยู่ อาจจะอยากบอกผมหรือไม่อยากบอกผม แต่ผมก็ถามออกไปแล้ว

“นายอยากรู้ความลับไหม” โจเกริ่น เขาเอียงหน้าเล็กน้อย

“ถ้าอยากบอกก็บอก” ผมตอบ “ต่อให้อยากรู้ถ้าไม่อยากบอก นายก็ไม่บอกอยู่ดี”

“เออน่า” โจตอบปัด ก่อนที่เขาจะพยักหน้าเบาๆ “ขยับมา”

ขยับกว่านี้ก็นั่งซ้อนกันได้แล้ว.. ผมขมวดคิ้ว แต่ก็ยอมเอนหัวเข้าไปใกล้กว่าเดิม

“วันนี้วันเกิดฉัน” เขาพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“อ้อ.. งั้นก็สุขสันต์วันเกิด” ผมอวยพร ถึงแม้จะไม่ค่อยเชื่อเรื่องการอวยพรเท่าไหร่นักก็ตาม “มีความสุขมากๆ นะ”

“ว่างั้นเหรอ” โจถามเสียงสูง ก่อนจะผละตัวออกแล้วเท้าคางตัวเองบนท่อนแขน ดวงตาสีอ่อนจ้องผมไม่กะพริบ “นำความสุขแรกมาให้หน่อยสิ”

“ความสุขอะไร”

“วันนี้..” โจเว้นจังหวะไป พร้อมกับแสดงสีหน้าไม่มั่นใจออกมา “ไปดื่มเป็นเพื่อนหน่อยได้หรือเปล่า”

นั่นถือเป็นคำขอ ผมคิดในใจ

โจก็นับเป็นคนหนึ่งที่ผมมองว่าเป็นเพื่อน.. และใช่ เพราะว่าเราทำงาน พูดคุยและเจอหน้ากันอยู่เกือบทุกวัน ถ้านั่นเป็นคำร้องขอ ผมก็คิดว่าไม่เสียหายอะไรที่จะให้

แล้วคำขอนั้นก็ฟังดูง่ายมากๆ  ด้วย

“ไปสิ” ผมตอบ ในใจนึกคิดถึงเดฟและบ้าน อย่างน้อยถ้าได้บอกอีกฝ่ายก่อน เขาจะได้ไม่ต้องสงสัยหรือคิดอะไรที่ผมกลับบ้านไม่ตรงเวลา

แต่ผมไม่มีโทรศัพท์และต่อให้มีโทรศัพท์ ผมก็ไม่มีเบอร์ของเดฟอยู่ดี

“ใกล้เลิกงานแล้ว” โจพึมพำหลังจากก้มดูนาฬิกาข้อมือ “นายถอดผ้ากันเปื้อนแล้วออกไปรอข้างนอกเลยก็ได้ ฉันจะเคลียร์รอบนี้ให้แล้วตามออกไป”

“ฉันช่วยก็ได้” ผมรีบเสนอ

“นายไปรอข้างนอก” แล้วโจก็พูดซ้ำประโยคเดิม “ฉันอู้งานมาเยอะแล้ว ไม่อยากทำไม่ดีฉลองวันเกิดตัวเอง ไปสิ”

ผมหลุดยิ้มออกมาตอนที่โจเอ่ยปากไล่ เพราะสีหน้าจริงจังนั่นขัดกับทุกบุคลิกที่เป็นโจ ความขยันและการอาสาทำโดยไม่ต้องให้ช่วยนั่นก็ขัดกับความเป็นโจเหมือนกัน

ผมปลดผ้ากันเปื้อนที่เกินเปื้อนไปแล้วออก ก่อนจะแขวนมันเข้าที่ประจำ สายตาหันไปมองโจที่ขะมักเขม้นกับการล้างจานในอ่างของตัวเองเป็นรอบสุดท้าย

“รอข้างนอกนะ” ผมกำชับ และทันทีที่โจหันมาพยักหน้ารับคำ ผมก็พาตัวเองออกจากห้องนั้น

รองเท้าผ้าใบย่ำแตะลงบนพื้นคอนกรีต ผมยกแขนทั้งสองข้างขึ้นกอดตัวเองหลวมๆ เมื่อร่างกายปะทะเข้ากับอากาศเย็นด้านนอก กลิ่นชื้นที่ลอยมาแตะจมูกกับพื้นถนนที่เปียกทำให้พอเดาได้ว่าฝนเพิ่งตกไปตอนที่ผมอยู่ในร้าน

“นั่นมันแรงมากนะ.. ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก ฉันทำไม่ได้”

เสียงผู้หญิงที่ดังขึ้นดึงผมให้หยุดชะงัก ถึงเธอจะไม่ได้พูดขึ้นด้วยเสียงที่ดังมากมาย แต่เพราะระยะห่างที่มีอยู่น้อยนิดทำให้ผมได้ยินมันเข้าเต็มๆ

มุมถนน ถัดจากประตูหลังร้านที่ผมยืนอยู่ไป มีผู้หญิงรูปร่างดีในชุดเสื้อผ้ารัดรูป กับผู้ชายตัวสูงใหญ่อีกหนึ่งคน

พวกเขายังไม่รับรู้ถึงการมีตัวตนของผม

“ถ้ามีใครรู้.. ถ้าพวกเขารู้ว่าฉันเป็นคนทำ ฉันตายแน่ นายเข้าใจใช่ไหม ฉันทำไม่ได้หรอก” ผู้หญิงผมแดงยาวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงรัวเร็ว ก่อนที่ทั้งร่างจะถูกผลักชิดผนัง

“เธอทำได้สิ” เขาพูด ปลายนิ้วเรียวสัมผัสเข้าที่ข้างแก้มผู้หญิงเบาๆ “ไหนบอกว่าจะทำทุกอย่างที่ฉันขอไง”

“ไทเลอร์.. ขอร้องล่ะ”

ผมไม่ได้อยากมาอยู่ในสถานการณ์พวกนี้มากนัก ผมไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเขาและไม่รู้ว่าพวกเขากำลังพูดเรื่องอะไร

แต่สถานการณ์ในตอนนี้บีบบังคับและกดดันแม้แต่กับผมที่เป็นคนนอก

ผมทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากภาวนาให้โจรีบจัดการงานพวกนั้นของเขาแล้วออกมาเร็วๆ และเบือนหน้าหนีออกจากชายหญิงคู่นั้น เผื่อว่ามันจะทำให้ผมกลายเป็นคนสอดรู้สอดเห็นน้อยกว่านี้

“แค่หาทางใส่ยานี่ลงไป อย่าให้ใครเห็น แค่นั้นเอง ถ้าไม่มีใครเห็น ก็จะไม่มีใครรู้ว่าเธอทำ ทำเพื่อฉันได้ใช่ไหม.. และต่อให้เธอโดนจับได้ เธอก็จะไม่ตายเพราะฉันจะไม่ให้ไอ้หน้าไหนมาแตะเธอ”

“…”

“เลือกเอาสิ เพราะว่าถ้าเธอยังไม่ยอมทำ..” ผมหลับตาแน่น ยังคงย้ำคำเดิมว่าอยากพาตัวเองออกไปจากที่ตรงนี้เดี๋ยวนี้

ผมยกมือขึ้นกุมรอบหัวตัวเอง ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งยองๆ พลางใช้หลังพิงผนังอิฐนอกร้าน ก่อนที่ดวงตาจะเบิกกว้างกับประโยคถัดไปที่ได้ยิน

“ฉันจะเป็นคนฆ่าเธอเอง ตอนนี้เลย”

 







“จะแวะซื้ออะไรเข้าไปเลยไหม แวะร้านของเบิร์คเบอร์ตันก็ได้” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นใกล้ตัวกระตุกให้ในผมเต้นผิดจังหวะไปวูบหนึ่ง ความลนลานประหลาดๆ ถูกซัดขึ้นสมอง พร้อมๆ กับคำสบถ ก่อนที่ผมจะรีบเหลือบตาไปมองทางอีกฝั่งทันที

แย่แล้ว..

พวกเขารับรู้ถึงการมีตัวตนของผม

“เฮ้ นายเป็นอะไร” โจเอี้ยวตัวมาดักหน้า เขาขมวดคิ้วพลางทำหน้าสงสัย ผิดกับอีกสองคนที่เหลือ..

ผู้ชายคนนั้นตีหน้าเรียบ เขาจ้องผมไม่วางตา แต่ก็ไม่ได้ทำท่าจะก้าวเข้ามาหรือทำอะไรมากไปกว่าจ้องมอง

เป็นการจ้องมอง.. ที่ทำให้รู้สึกไม่ดี

โจหยุดโบกไม้โบกมือผ่านหน้าผมเมื่อเห็นผมไม่เล่นตัว เขาค่อยๆ หันไปมองตามทิศทางเดียวกับผม ก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนไปแทบในทันที

มันนิ่งเรียบ แล้วก็กลายเป็นการยิ้มกว้าง

“โทษทีพี่ชาย พวกเราแค่ผ่านมา ถ้าเผลอขัดอะไรก็ขอโทษด้วยนะ!” เสียงตะโกนดังลั่นด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรจนเกินพอดี โจผงกหัวเบาๆ สองสามครั้ง ก่อนจะคว้าข้อมือผมแล้วออกแรงกระชากให้เดินไปอีกทาง

“ทำไมพวกนั้นถึงจ้องนายแบบนั้น” โจถามเสียงเบา ขณะที่เท้ายังก้าวไปข้างหน้าไม่หยุด

ผมไม่ตอบ

และใช่ ในขณะเดียวกัน ก็นึกถึงสิ่งที่เพิ่งได้ยินมา

‘ฉันจะเป็นคนฆ่าเธอเอง ตอนนี้เลย’

นั่นเป็นการข่มขู่.. ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรจะต้องพูดอะไรหรือเปล่าในตอนนี้ เกี่ยวกับสิ่งที่เพิ่งรับรู้มา พวกเขาสองคน ดูเหมือนเป็นคู่รักกัน ถ้ามองผ่านๆ การสัมผัสและการเข้าใกล้ในระยะนั้น ถ้าอยู่ในมุมไกลๆ ใครๆ ก็คิดว่าเป็นหนุ่มสาวมาพลอดรักกัน

แต่นั่น.. มันคือการข่มขู่

“ไม่รู้สิ” ผมตอบกลับไปสั้นๆ ก่อนจะอ้าปากหอบหายใจเข้าปอดเพราะโจยังคงลากผมให้เดินเร็วจนแทบจะเป็นวิ่งไม่เลิก “ปล่อยได้แล้วโจ”

“อะ .. โทษที” อีกฝ่ายหยุดชะงัก มือที่เคยบีบข้อมือผมไว้ชูค้างกลางอากาศ

“อือ” ผมส่งเสียงตอบในคอ หันซ้ายหันขวามองรอบตัว มันเป็นที่ที่ผมไม่คุ้นเคย เพราะว่าเราเดินมาทางถนนด้านหลังของร้าน ผ่านย่านที่อยู่อาศัยที่ผมไม่แม้แต่จะเคยคิดเข้าไปสำรวจ ถนนเปลี่ยวๆ ไร้รถรา กับไฟข้างทางที่ส่องออกมาริบหรี่ผ่านกระจกครอบเก่าๆ

“เดินต่ออีกหน่อย เดี๋ยวก็ถึงแล้วล่ะ ผ่านร้านเบอร์ตันมาแล้ว แต่ใต้ตึกก็มีขายอยู่เหมือนกัน ถึงยัยบ้านั่นจะพูดมากก็ตามเถอะ”

โจเปลี่ยนเรื่อง เขาเริ่มออกตัวเดินช้าๆ อีกครั้ง พร้อมท่าทางลุกลี้ลุกลนแปลกๆ ที่ค่อยๆ จางหายไป

“รู้จักเหรอ” ผมถาม ล้วงฝ่ามือทั้งสองข้างเข้ากระเป๋ากางเกง “พวกนั้น..”

“หือ?”

ผมปรายตามองโจ ก่อนจะก้มหน้าลงมองปลายรองเท้าผ้าใบตัวเองที่ก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆ “พวกนั้น ผู้หญิงผมสีแดง กับผู้ชายที่ข้างกำแพงร้านนั่น”

“นายไม่ได้รู้จักเธออยู่แล้วเหรอ” เขาย้อนถาม

และผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป

“ไม่รู้สิ ถ้าหมายถึงผู้ชายคนนั้น แต่ถ้าผู้หญิงผมแดง.. นายไม่รู้จักเธอก็เป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว นั่นน่ะนีย่า” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “เธอไม่มีอะไรหรอก นอกจากทำตัวเหมือนอีตัวไปวันๆ เข้าร้านเสริมสวย แล้วก็เที่ยวไล่เคาะประตูบ้านคนในแก๊งค์”

ผมชะงักกับประโยคที่ได้ยิน การกระทำนั้นอยู่ในสายตาของโจ อีกฝ่ายจึงพูดต่อเบาๆ “นั่นสินะ.. ฉันก็แปลกใจว่าทำไมนายถึงไม่รู้จัก ในเมื่อนีย่าคนนั้น เป็นพวกเดียวกันกับเดฟของนาย”

“อะไรนะ” ผมทวนคำ เงยหน้าขึ้นสบตาโจ ท่าทางแปลกๆ และประโยคพวกนั้นดังลั่นอยู่ในหัวของผมซ้ำไปซ้ำมา

เรื่องยา.. การข่มขู่.. แก๊งค์..

นั่นสินะ ผมก็น่าจะรู้สึกอะไรบ้าง

พวกนั้นดูน่ากลัว ผมเองก็รู้อยู่ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น.. น่ากลัว ไม่ต่างจากผู้ชายอีกคนที่ผมรู้จัก

จนถ้าบอกว่าเป็นพวกเดียวกัน ผมเองก็ไม่ควรจะแปลกใจ

“นีย่า ผมสีแดงที่นายพูดถึง ฉันกำลังบอกว่าเธอเป็นพวกเดียวกันกับเดฟที่นายอยู่ด้วย.. เอาจริงนะ ฉันไม่เข้าใจนายเลยว่ะ ฉันก็เคยเตือนไปแล้ว ว่าพวกนั้นอันตรายแค่ไหน นายก็ยังวนเวียนอยู่รอบๆ พวกนั้น นาย..” โจเว้นจังหวะไป เขาหันมาจ้องผมด้วยแววตาจริงจัง “นาย เป็นอะไรกับเดฟกันแน่”

.. ลมหายใจผมสะดุดไปในเสี้ยววินาที

นั่นเป็นคำถามที่ดี นั่นเป็นคำถามที่ดีจริงๆ

ผมเองก็อยากรู้ ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ แล้วกำลังมีตัวตนอยู่ในสถานะไหนกันแน่ในตอนนี้

สิ่งที่เดฟทำนั้นชัดเจน ทั้งการกระทำ คำพูด จนผมน่าจะรู้ทุกอย่างแล้วแท้ๆ

แต่ในเสี้ยวพริบตาหนึ่ง.. ผมก็นึกคิดได้

ว่าผมไม่รู้อะไรเลย

ในความชัดเจนที่ผมได้รับ มีความกำกวมแฝงอยู่เต็มไปหมด ผมอยู่กับเดฟ และดูเหมือนจะรู้จักเขาดีกว่าใคร เพราะเวลาที่ใช้ร่วมกันในบ้านมันยาวนานมากกว่าหนึ่งหรือสองชั่วโมงต่อวัน

แต่ผมก็ไม่รู้อะไรเลย ในความเป็นจริง

ปัญหา อาจจะไม่ได้อยู่ที่เดฟ แต่เป็นตัวของผมเองก็ได้

ผมสบตากับโจ ความมืดที่ปกคลุมทำให้มองเห็นอะไรอะไรไม่ชัดเจนเท่าที่ควร โจดูเลือนราง และเสียงของผมก็ฟังดูห่างไกล



“ฉันเอง.. ก็อยากรู้คำตอบนั่นเหมือนกัน”









โจนิ่งไปตอนที่ได้ยิน

ผมไม่รู้ว่าโจกำลังคิดอะไรอยู่ ภายใต้ใบหน้านิ่งเรียบ กับรอยยิ้มที่เปื้อนเล็กๆ ตรงมุมปาก โจจ้องผม และปล่อยให้ความเงียบทำงานระหว่างเรา

“บางที อาจจะเป็นคนแปลกหน้าที่บังเอิญมีโชคให้คนเห็นอกเห็นใจ” ผมสานต่อประโยค เมื่อคิดว่าบรรยากาศรอบตัวแปลกไป

แล้วโจก็ยิ้มกว้าง ฟันสีขาวสบกันสนิทเผยให้เห็นในสายตา

เขาดูเหมือนขบขันกับสิ่งที่ผมพูด แต่ในอีกมุมหนึ่ง ก็ดูจะไม่เป็นแบบนั้น

“อาฮะ.. อาจจะ” เขาหรี่ตาลงข้างหนึ่ง ก่อนจะกลับมาทำสีหน้าปกติ บทสนทนาระหว่างเราชะงักไปร่วมนาที ผมกับโจเดินต่อไปเรื่อยๆ บนทางเท้าที่ปกคลุมไปด้วยเงาจากต้นวิลโลว์ ผมกวัดแกว่งมือตัวเองไปในอากาศ กลบเกลื่อนความจืดเจื่อนที่เกิดขึ้นรอบตัว

เสียงโซ่จักรยานดังขึ้น ก่อนจะเผยให้เห็นเด็กวัยรุ่นผู้ชายคนหนึ่งปั่นมันผ่านไป หมวกกันกระแทกสีส้มสด เสื้อยืดสีฟ้าซีดๆ กับกางเกงสามส่วน

ผมมองตามจักรยานนั่นจนมันหายไปในความมืด รอยยิ้มอ่อนล้าถูกวาดขึ้น ก่อนจะจางหายไปในเวลารวดเร็ว

“เขาได้อะไร” แล้วโจก็ถามขึ้นมา เขามองตรงไปข้างหน้า มีเพียงเสี้ยววินาทีที่ดวงตาสีสว่างนั่นเหลือบมาสบกับผม

“นายได้ที่พัก อาจจะ.. อาหารฟรี นายได้งานทำ” โจพูดต่อ “แล้วเขา.. ได้อะไร”

นั่นเป็นคำถามที่ผมรู้ดี ว่าผมไม่สามารถตอบได้ แม้จะด้วยการคาดเดาก็ตาม

เพราะมันก็เป็นสิ่งที่ผมพยายามหาคำตอบมานานเหมือนกัน หมายถึงคำตอบที่เป็นความจริงจริงๆ

“ไม่รู้สิ บางทีเขาอาจจะเป็นพวกชอบเล่นเกมเลี้ยงตุ๊กตาก็ได้” ผมตอบส่งๆ เพราะในสมองว่างเปล่าเกินกว่าจะคิดคำตอบที่เข้าท่ากว่านี้ได้

โจหยุดเดิน เขาหันหน้ามาจ้องผมแทบจะในทันที ความจริงจังถูกกระตุกให้เพิ่มขึ้นสูง

“นายจะไม่พูดแบบนั้น” ผมยิ้มกับสิ่งที่ได้ยิน ก่อนจะโคลงหัวเล็กๆ และไม่พูดอะไรต่อ

“เราถึงแล้ว” โจพยักเพยิดไปทางข้างหน้า ร้านขายของเก่าๆ พร้อมกับป้ายไฟว่า [เปิด] ติดยื่นออกมาจากอิฐเก่าๆ หน้าร้าน “นายจะดื่มอะไร”

“ตามใจเจ้าภาพสิ” ผมยักไหล่ มองเข้าไปในกระจกใสๆ ผู้ชายแก่ผมสีดอกเลายืนอ่านอะไรสักอย่างอยู่ตรงเคาน์เตอร์ และผู้หญิงผิวแทนรูปร่างดียืนม้วนผมหยิกสีดำสนิทของตัวเองอยู่ด้านใน โจกลอกตาขึ้นด้านบน ดูเหมือนครุ่นคิด ก่อนจะยิ้มกว้างแล้วผละตัวไป

สามนาทีเท่านั้น ทีผมยืนกอดอกอยู่นอกร้าน จ้องมองโจเดินเข้าไปเลือกหยิบของด้วยความรวดเร็วเหมือนคิดทุกรายการก่อนแล้ว เบียร์ขวด 2 แพคห้อยนิ่งอยู่ตรงปลายนิ้วชี้ทั้งสองข้าง และขนมเคี้ยวเล่นในอ้อมแขน ผมเห็นโจทำสีหน้าเหนื่อยหน่ายตอนรอคิดเงินตรงเคาน์เตอร์ ขณะที่ผู้หญิงผมดำคนนั้นกำลังพูดอะไรสักอย่าง

ไม่นานนักเขาก็เดินออกมา โยนเบียร์ให้ผมถือหนึ่งแพค “รับไป”

“ไม่คิดว่านี่เยอะเกินไปเหรอ สำหรับพรุ่งนี้ที่ไม่ใช่วันหยุดด้วยซ้ำ” ผมเลิกคิ้ว เริ่มก้าวไปข้างหน้าเอื่อยๆ พลางเหลือบมองโจที่เดินตีคู่อยู่ข้างๆ

“ฉันไม่คิดว่านี่เยอะเกินไป” เขาทวนคำตอบ และหรี่ตาลงอีกครั้ง พร้อมสีหน้าเหมือนกับจะพูดคำว่า ‘งั้นๆ’ หรืออะไรทำนองนั้น

ผมหลุดหัวเราะ ไม่ได้คาดหวังให้โจยอมรับและพูดออกมาว่านี่มันมากไปตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ดูก็รู้ เผลอๆ ผู้ชายคนนี้อาจจะเป็นพวกที่ผลาญเงินค่าจ้างตัวเองไปกับการซื้อเบียร์มาเทราดตัวเองทุกวันก็ได้

“เดินต่อไปอีกไม่กี่ช่วงตึก โจก็หยุดนิ่งหน้าตึกเก่าๆ เขาก้าวขึ้นบันไดสีเงินขึ้นสนิมไปจนถึงชั้นสอง ก่อนจะหันกลับมาจ้องผม พร้อมกับเริ่มส่งสัญญาณบอกใบ้อะไรสักอย่างที่ผมไม่เข้าใจ

“อะไร” ผมถาม

“นี่.. หยิบกุญแจที ในกระเป๋ากางเกง” เขาสั่ง พยักหน้าลงต่ำสองสามครั้ง

ผมขมวดคิ้ว ก้าวเข้าไปใกล้ แพคเบียร์ถ่วงน้ำหนักอยู่บนแขนซ้าย “ไหน กระเป๋าข้างไหน”

“ไม่ ไม่ ไม่ใช่ข้างนั้น กระเป๋าซ้าย”

“เดี๋ยว” ผมพูด ย้ายเบียร์ที่ถืออยู่ไปกอดไว้อีกข้าง ก่อนจะสอดมือเข้าไปควานหากุญแจตามที่โจบอก ขณะที่เจ้าตัวจ้องผมไม่กะพริบ

“เจอแล้ว” ผมบอก เมื่อปลายนิ้วแตะเข้ากับโลหะและหนังเล็กๆ ซึ่งพอหยิบออกมาก็ปรากฎเป็นที่ห้อยกุญแจหนังสี่เหลี่ยมเรียบๆ สีน้ำตาล

“เจอแล้ว โจ” ผมทวน ยื่นสิ่งที่ถืออยู่ให้คนตรงหน้าที่ยังนิ่งค้างอยู่กับที่ “โจ”

“ฮะ.. โอเค.. โอเค” เขาพูดรัว หลบทางให้ผมบนบันไดที่คับแคบ “ขึ้นไปชั้นสาม แล้วไขประตูนั้นล่ะ”

ผมเม้มปาก แต่ก็ทำตามง่ายๆ ด้วยการเดินเบียดผ่านอีกร่างไป บันไดสั่นไหวเบาๆ เมื่อผมก้าวผ่าน เพราะบันไดนี่เชื่อมอยู่ข้างๆ ตึก และแต่ละชั้น มีประตูเพียงแค่หนึ่งบานสำหรับการเข้าห้องหนึ่งห้อง

ผมเสียบกุญแจเข้าไป หมุนขวา จนได้ยินเสียงกริ๊กเบาๆ

“เข้าไปเลย”  เสียงของโจสนับสนุนอยู่ด้านหลัง

“ขออนุญาตด้วย” ผมพูดเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ  ดันประตูให้เปิดออก ภายในมืดสนิทจนต้องเอื้อมฝ่ามือควานแตะข้างหน้าเผื่อว่ามีสิ่งกีดขวางอะไร

แล้วทั้งห้องก็สว่าง โจถอนหายใจออกมาหนักๆ พร้อมใช้เท้าดันประตูให้ปิดสนิทกลับไปเหมือนเดิม ขณะที่ผมกวาดตาสำรวจรอบๆ ห้อง

ห้องขนาดไม่ใหญ่มากนัก ผนังสีครีม ตัดกับอีกด้านที่เป็นสีเขียวมะนาวลอกๆ.. ผมจ้องมันอยู่นาน เปรียบเทียบกับบุคลิกของเจ้าของห้องที่ก้าวมายืนข้างๆ

“ใช่.. ฉันไม่ค่อยชอบมันเท่าไหร่นักหรอก แต่ก็ขี้เกียจเกินกว่าจะลุกขึ้นมาจัดการอะไรๆ ให้เป็นไปตามที่ต้องการ” เขาแก้ตัว ปัดป่ายปลายนิ้วไปที่สีเขียวสด

“อาฮะ” ผมส่งเสียงตอบในลำคอ ส่งยิ้มล้อออกไปเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้ามองอย่างอื่นต่อ โซฟาสามที่นั่งสีน้ำเงินเข้มติดหน้าต่างสีขาวกับผ้าม่านเก่าๆ สีเดียวกัน พื้นปูกระเบื้องสีเทามีลาย พรมเช็ดเท้าที่เหมือนผ่านการใช้งานมาอย่างสมบุกสมบันกลางห้อง โต๊ะไม้เล็กๆ วางข้างกับโซฟาสีน้ำเงินอีกฝั่งหนึ่ง

ที่เหลือก็.. ขวดเบียร์ ขวดเบียร์ ขวดเบียร์ กระป๋องเบียร์ และถุงบุชคอร์เนอร์

“ไม่มีอะไรมากนักห้องนี้” เขาพูดอย่างไม่แยแส ก่อนจะเดินนำไปยังประตูบ้านเล็กที่ติดอยู่ “นี่ห้องนอน”

ถึงผมจะไม่มีความต้องการจะดูห้องที่นับว่าเป็นพื้นที่ส่วนตัว แต่ถ้าเจ้าบ้านกระตือรือร้นที่จะโชว์มัน ผมก็ไม่ขัดอะไร

“ที่นอนนี่ ฉันซื้อมันมาจากทอม รู้ไหม เขาเป็นไอ้เพี้ยนที่เมาจากเหล้าที่ขโมยมาจากหลังบาร์ แล้วก็เดินร้องเพลงเสียงดังไปตามถนนตอนกลางคืน ไอ้เพี้ยนที่เป็นคนจรจัด มีเตียง และฉันซื้อมันต่อมาจากเขา” โจดูจะภูมิใจกับสิ่งที่กำลังอวดอยู่ไม่น้อย เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นกอดอก “70 เหรียญ กับเบียร์อีกหนึ่งลัง.. 70 เหรียญเท่านั้น ฉันจ่ายไปง่ายๆ ไม่ต้องง้อพวกเตียงงี่เง่าราคา 400 เหรียญจากอิเกียห่าเหวอะไรนั่นด้วยซ้ำ”

เขาเบ้ปากในตอนท้าย ก่อนจะหันมายิ้มกว้างให้ผมพร้อมหลิ่วตา “ถ้านายอยากได้บ้าง ฉันหาให้ได้นะ”

ผมยกไหล่ขึ้นเล็กน้อย “จะจำประโยคนั้นไว้ ขอบคุณ”

“ดื่มเถอะ เปิดเบียร์เลย” เขาตัดประโยค ปิดไฟห้องนอนที่ไม่มีอะไรมากไปกว่าที่นอนบนพื้น กับโคมไฟและราวแขวนเสื้อเก่าๆ ใกล้พัง

“ฉันสบายใจนะรู้ไหม” เขาเริ่มชวนคุยอีกครั้ง หลังจากที่ทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง ผมเอนหลังพิงโซฟา พักขวดเบียร์ไว้บนเข่าที่สอดขัดสมาธิกันอยู่บนพื้น “อยู่ที่นี่ มันเป็นสวรรค์ของฉันเลย ถึงแม้สภาพจะดูเหมือนนรกก็ตาม”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก” ผมพูดขัด “ที่นี่ก็ไม่เลว อย่างน้อยนายก็จ่ายค่าที่ซุกหัวนอนนี่ด้วยตัวนายเอง”

โจชะงักเล็กๆ เขาวางขวดเบียร์ลงบนพื้น ดวงตาสีอ่อนจ้องผมราวกับจะคาดคั้นเอาคำตอบ

“นายไม่ได้จ่ายหรอกเหรอ” เขาหรี่ตา

พลาด ..

ผมพลาดอีกแล้ว

“จ่ายสิ” ผมแลบลิ้นเลียริมฝีปากที่แห้งผากเบาๆ ก่อนจะขบฟันลงบนปากล่างแล้วฉีกยิ้มกลวงๆ แรงกดดันเพิ่มมากขึ้นเพราะโจเอาแต่จ้องไม่หยุด “อย่ามองฉันแบบนั้นน่ะ”

“เท่าไหร่” เขาถามจี้

“อะไร”

“นายจ่ายเงินเท่าไหร่ ในการเข้าไปอยู่ในบ้านหลังนั้น อยู่ในความคุ้มครองของผู้ชายคนนั้น”

รอยยิ้มที่ปรากฎอยู่บนหน้าเริ่มเลือนหายไป จนกลายเป็นใบหน้านิ่งสนิทโดยสมบูรณ์ ผมสบตากับโจ ก่อนจะหลุบตาลงมองปากขวดเบียร์ที่ถืออยู่

“300 เหรียญ” ผมตอบไปสั้นๆ เสียงหัวเราะเสียดสีดังออกจากลำคอตรงหน้า

โจกะพริบตา มีความเคลือบแคลงสอดแทรกอยู่ในนั้น

“นายจ่าย 300 เหรียญ แล้วได้อยู่ในบ้านแสนอบอุ่นนั่นเหรอ” เขาเอียงหัว “300 เหรียญ ที่ถูกกว่าที่นอนในอิเกียห่วยๆ นั่นอีก แล้วได้อยู่ที่นั่นน่ะนะ”

“...” ผมเงียบ ภายในเต้นกระตุกด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด ผมกลืนน้ำลายลงคอ รู้ดีว่านั่นเป็นสิ่งที่แปลก แต่ก็ไม่คิด ว่าจะแปลกขนาดที่ทำให้โจแสดงอาการหัวเสียออกมาแบบนี้

“คนแปลกหน้าที่บังเอิญได้รับความเห็นอกเห็นใจ นายคิดว่างั้นเหรอ” เขาถามเสียงสูง “รู้ไหมว่านี่มันห่างไกลจากคำว่าเห็นอกเห็นใจมาไกลมากแค่ไหน”

ผมทิ้งสายตาลงที่ขวดเบียร์เนิ่นนาน ไม่มีความคิดที่จะเลื่อนมันขึ้นมาสบกับโจเลยแม้แต่น้อย ความคิดในหัวตีกันยุ่งไปหมด พันกันยุ่งเหยิงเหมือนกับเชือกโง่ๆ ที่หาทางแก้ไม่ได้

“รู้ไหม.. หมาน่ะ มันไม่ยกกระดูกหรือบ้านของตัวเองให้ใครง่ายๆ หรอกนะ โดยเฉพาะจากความ ‘เห็นอกเห็นใจ’.. ยิ่งกับหมาที่ฉลาด ฉลาดมากๆ พอๆ กับความหวงของที่มีอยู่ในสายเลือดน่ะ”

“...”

“นายจะรู้ได้ยังไง ว่าเขาไม่ได้มีอะไรที่อยากได้จากนายจริงๆ” ผมขบฟันลงปากล่างตัวเอง สติถูกดึงกลับมาพร้อมกับความรู้สึกเหมือนโดนตบเข้าจังๆ ที่บ้องหู

อะไรที่อยากได้จากผม

ผมรู้ว่าเดฟต้องการอะไรจากผม ผมรู้แน่นอน ในเมื่อเขาเป็นคนประกาศมันชัดเจนแบบนั้น

แต่ผมแค่ไม่รู้..

ว่าสิ่งที่ผมเข้าใจในตอนนี้ มันถูกต้องและตรงกับความเป็นจริงมากแค่ไหน

“รู้ใช่ไหม ว่าพวกเขาอันตราย” โจกระซิบ มองผมด้วยสายตาจริงจัง และแฝง

.. ความเว้าวอน

“อย่าตกเป็นเครื่องมือของพวกนั้น” โจทำเสียงขึ้นจมูก และในช่วงเวลาที่ผมกำลังใช้ความคิดกับตัวเองอย่างถึงที่สุด ฝ่ามืออุ่นแตะเบาๆ ลงบนหัวเข่า

สายตาจริงใจและขอร้องจากคนที่ผมนับเป็นเพื่อนถูกส่งมาตรงๆ

 

“ย้ายมาอยู่ด้วยกันกับฉันไหม”



____
#เดฟฟลอยด์

1คอมเม้นต์1กำลังใจ
รักเสมอ

Cinzano 505.

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: I BITE :: Chapter.13 Strange Brew (25/01/2560)
«ตอบ #39 เมื่อ25-01-2017 18:48:43 »

เจนิน พยายามทำทุกอย่างด้วยตนเอง
แม้ค่าแรงที่ได้จะน้อยมาก
แม้งานล้างจานนั้นจะซ้ำซาก แสบมือ แล้วก็เสียงดัง
แม้เดฟ จะขี่รถไปรับ ก็ขอเดินกลับเอง
โจ คิดไรกับเจนิน ชวนเจนินมาอยู่ด้วย
แต่โจ ปกป้องเจนินได้หรือ  :katai1: :katai1: :katai1:
มีคนเข้าหาเจนินตลอด
เจนิน จะตัดสินใจอย่างไร ในเมื่อเดฟบอกแล้ว
ฟลอยด์ไปไหนก็ตาม จะต้องอยู่ในสายตาเดฟ  :ling1: :ling1: :ling1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: I BITE :: Chapter.13 Strange Brew (25/01/2560)
« ตอบ #39 เมื่อ: 25-01-2017 18:48:43 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ mecinzano505

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
Re: I BITE :: Chapter.15 A Punch And A Kiss (25/01/2560)
«ตอบ #40 เมื่อ25-01-2017 21:43:20 »


15_
A Punch And A Kiss




ความจริงจังที่ได้รับ ทำให้เกิดความลังเล

“โจ..” ผมพึมพำ ในช่วงหนึ่ง ก็เป็นเหมือนแค่การเปล่งเสียงกับตัวเอง เจ้าของชื่อไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เขาพยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ ก่อนที่มือจะคว้าจับขวดเบียร์ขึ้นมาจรดริมฝีปาก

“นายเก็บกลับไปคิดก่อนก็ได้.. ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนหรอก” โจพูดช้าๆ “เก็บกลับไปคิดดีๆ”

ใช้เวลาไม่นานนักในการไตร่ตรองสิ่งที่เพิ่งได้ยิน ผมหลุบตาลงมองปลายนิ้วตัวเอง จรดจ้องมันเนิ่นนาน

โจเป็นเพื่อนที่ดี เขากำลังจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือผม ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ลำบากพออยู่แล้ว

มันก็อาจจะจริง ที่ว่าย้ายมาอยู่ที่นี่จะสร้างความรู้สึกสบายใจให้กับตัวเองได้มากกว่า แต่มีบางอย่าง ที่ดึงรั้งผมเอาไว้

“เรา.. มีอะไรติดค้างกันอยู่” ผมเปรย รับรู้ได้ถึงสายตาที่มองตรงมา “ฉัน กับผู้ชายคนนั้น”

เสียงขวดแก้วปะทะกับพื้นดังเข้าโสตประสาท โจดื่มเบียร์ในมือไปเรื่อยๆ ตั้งใจฟังสิ่งที่ผมกำลังจะสื่อสารโดยไม่ขัด ขณะที่ผมเลื่อนสายตาขึ้นสบกับอีกฝ่าย

“รู้ไหม ตอนที่ฉันลำบาก เขาก็เป็นหนึ่งคนที่ยื่นมือเข้ามาช่วย”

“นายไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องการตอบแทนบุญคุณทุกคนที่เข้ามาทำดีกับนายหรอกนะ” โจขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงห้วนแข็ง ก่อนที่เขาจะรีบปรับให้มันกลับสู่โทนปรกติ “มีไม่น้อยเลย ที่ทำดีกับคนอื่นเพราะอยากได้อะไรสักอย่างตอบแทน”

ผมเงียบ ลอบขบฟันลงบนริมฝีปากล่างเบาๆ ขณะที่ในหัวกำลังทำงานอย่างหนัก ความเงียบที่ผมหยิบยื่นกลับไป ทำให้โจตัดสินใจยุติบทสนทนานี้

ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกหลังจากนั้น

ขวดเบียร์สลับผ่านเข้ามาในฝ่ามือ ขวดแล้วขวดเล่า พร้อมกับความหนืดหน่วงที่เกาะค้างอยู่ในดวงตา ลมหายใจที่เต็มไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์ไม่ทำให้ผมหยุดการดื่มกินมัน

เพราะมีบางอย่างในหัว รบเร้าจนผมปล่อยให้ตัวเองอยู่เฉยๆ ไม่ได้

ความเยียบเย็นไล่ลามผ่านปลายเท้า ผมทิ้งศีรษะตัวเองลงบนโซฟาที่พิงอยู่ ได้ยินเสียงโจพึมพำอะไรสักอย่างที่ผมจับรูปประโยคไม่ได้

ดวงตาหรี่ปิดลงช้าๆ ทิ้งผมให้จมดิ่งอยู่กับความมืดที่สร้างขึ้นด้วยตัวเอง

มีอะไรบางอย่างสัมผัสแผ่วเบาที่สันกราม..

มันคือปลายนิ้วของโจ ตอนที่ผมลืมตาขึ้นมอง

ดวงตาสีอ่อนทอดมองมานิ่ง กับเส้นผมสีบลอนด์สว่างที่ตกลงจนระผิวแก้ม ผมกะพริบตาถี่ๆ ก่อนที่อะไรบางอย่างในตัวจะกระตุกรุนแรง พร้อมกับฝ่ามือที่ยกขึ้นปัดมือของโจออกไป

“อย่าจับ..” น้ำเสียงของผมแหบพร่า มันเป็นเสียงที่ดังก้องอยู่ในหัว เสียงที่กำลังตะโกนความคิดเห็นที่มีต่อร่างกายตัวเอง ความคิดเห็นที่มีต่อการสัมผัสร่างกายจากคนที่ผมไม่ได้รู้สึกอะไรด้วย

ปลายนิ้วจิกลากผ่านผิวเนื้อของตัวเอง ผมไม่แน่ใจ ว่ามันเป็นพฤติกรรมที่เกิดจากอะไรกันแน่ สาเหตุ คือผม หรือคนตรงหน้า

โจชะงักไป เขาเหยียดหัวเราะออกมาแผ่วเบา ใบหน้าส่ายไปมาราวกับไม่เห็นด้วย

“แม้แต่ในสิ่งที่สกปรก ก็ยังมีความงาม นายไม่คิดงั้นเหรอ” ผมเม้มปากกับสิ่งที่ได้ยิน ความรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวมาพร้อมกับการต่อต้านที่ผมห้ามไม่ได้

มันไม่ใช่แบบนั้นหรอก ..

“นายไม่เหมือนกับที่นายคิดหรอก” โจกระซิบ ดวงตาทิ้งนิ่งที่ใบหน้าของผม “นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันชอบนาย”

ทั้งร่างของผมเกร็ง พร้อมกับอะไรบางอย่างที่กดทุกประสาทสัมผัสเอาไว้ โจขยับเข้ามาใกล้ ขณะที่ผมหลับตาแน่น เสียงหอบหายใจดังขึ้นถี่รัวในกกหู

กลิ่นแอลกอฮอล์ เสียงกระซิบพึมพำ และสัมผัสอุ่นที่แตะลงบนริมฝีปาก

ตัวผมไม่รับรู้ถึงอะไรทั้งนั้น

นอกจากการต่อต้าน ..

ที่ผมมีต่อร่างกายของตัวเอง





 

ความมืดภายในห้อง เป็นสิ่งแรกที่เข้ามาสู่การรับรู้ของผม

จากนั้นก็.. ขวดเบียร์ กลิ่นแอลกอฮอล์ โจ.. ที่นอนไม่ได้สติอยู่บนพื้น ห่างไปไม่ถึงสองเอื้อมมือ..

ความปวดหน่วงตรงท้ายทอย ไล่ลามจนถึงเบ้าตาและขมับ

ผมยกมือขึ้นแตะหน้าผากของตัวเอง เสียงสบถดังแผ่วเบาออกจากลำคอ ผมจำไม่ได้ ว่าตัวเองหมดสติไปตอนไหน ใช้เวลาเพียงไม่นานนัก ในการรื้อฟื้นความทรงจำล่าสุดที่เกิดขึ้น ผมก้มมองตัวเอง ก่อนจะเหลือบมองโจที่ยังนอนนิ่งอยู่ที่เดิม

เสื้อผ้าที่ยังอยู่ครบ ทำให้ผมคลายวิตก และลงความเห็นกับตัวเองไปว่าเราอาจจะเมาจนหมดสติไปทั้งคู่

แม้แต่ในสิ่งที่สกปรก ก็ยังมีความงาม ..

นั่นเป็นประโยค..

ที่ชวนให้รู้สึกดีแบบพิลึก

ในความคิดของผม มันแสดงถึงการยอมรับ ไม่ใช่การปัดป้องและปฏิเสธว่าผมไม่ได้เป็นแบบนั้น แต่เป็นการยอมรับในสิ่งที่ผมเป็น

โจก็คือโจ ผมให้ความรู้สึกสบายใจยามอยู่กับโจในบางครั้ง

ก็เพราะว่าเราผ่านอะไรที่ไม่น่าจดจำมาเหมือนกัน ในอดีต ชีวิตที่แหลกเหลว ไร้จุดยืนมั่นคง

ผมค่อยๆ ดันตัวขึ้นยืน ถึงแม้ว่าผ้าม่านจะหนาจนบดบังเกือบทุกแสงที่สาดเข้ามาในห้อง แต่ผมก็ยังมองเห็นขวดเบียร์ระเกะระกะตามพื้นได้จากแสงสลัวๆ ฝ่าเท้าเดินหลบเลี่ยง และโค้งตัวลงไปเก็บพวกมันขึ้นมาใส่ถุงช้าๆ ให้เกิดเสียงรบกวนน้อยที่สุด

ผมยังไม่อยาก.. เผชิญหน้ากับเจ้าของห้องตอนนี้

ผมเม้มปาก จ้องมองโจเป็นครั้งสุดท้าย เส้นผมสีบลอนด์อ่อนคลอเคลียอยู่ตรงหน้าผาก จมูกโด่งได้รูป กับริมฝีปากที่เผยอออกเล็กน้อย

ผู้ชายคนนี้ มอบความหวังดีให้ผมอย่างเต็มที่ ผมไม่ได้รังเกียจโจ เขาเป็นคนหนึ่งที่ผมกล้าพูดได้ว่าดี

แต่ผมไม่คิดว่าตัวเองพร้อมจะรับมันมาในเวลานี้

“สุขสันต์วันเกิด” ผมพึมพำ ไม่ได้ตั้งใจจะให้ใครได้ยิน ก่อนจะพาตัวเองออกมาจากห้องนั้น ภายใต้ความเงียบที่จะไม่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกตัวและตื่นขึ้นมา

และเพราะว่าสถานที่ทำงานของผม อยู่ใกล้กับที่พักของโจมากกว่าบ้าน ผมถึงได้ตัดสินใจพาตัวเองตรงดิ่งไปที่ร้านทันที และตั้งใจจะอยู่ที่นั่นจนกว่าจะเริ่มเวลาทำงาน

Velveeta’s อยู่ห่างไปอีกไม่ถึงหนึ่งช่วงตึก แต่แค่นั้นก็มากพอแล้วที่จะทำให้ผมมองเห็นเรื่องบังเอิญแรกของวัน

ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ฝ่ามือยกขึ้นแตะแขนอีกข้าง ก่อนจะกำมันไว้หลวมๆ

เขายืนอยู่ตรงนั้น ปลายนิ้วเรียวยาวคีบบุหรี่สีขาวที่ผมจำกลิ่นได้แม้ไม่ได้เข้าไปใกล้

ดวงตาสีเข้มจับจ้องตรงมา

ทำให้ผมรู้สึกร้อนรน โดยไม่ต้องทำอะไรไปมากกว่านั้น

เดฟยืนอยู่ข้างฮาร์เลย์คันเดิม เขาไม่ส่งเสียงทักทาย ไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมาทั้งนั้น ร่างสูงทำเพียงแค่กะพริบตา สูบอัดควันสีมัวเข้าไปในร่างกาย และส่งสายตาที่ทำให้รู้สึกกดดันมา

ผมค่อยๆ เดินเข้าไปหาอีกฝ่ายช้าๆ ถึงจะรู้ดีว่าการยืดถ่วงเวลาไม่ได้ช่วยให้ผมหลุดพ้นจากสถานการณ์นี้ก็ตาม

แล้วเราก็เผชิญหน้ากัน ผมหลุบตาลงมองปลายเท้า ก่อนจะเลื่อนขึ้นสบดวงตาสีเข้ม มองเห็นร่อยรอยประหลาด พร้อมกับมุมปากที่หยักโค้งขึ้นทำรอยยิ้มเล็กๆ

เป็นรอยยิ้ม ที่เหมือนแช่เอาทุกความรู้สึกของผมให้ด้านชา

“คุณมาทำอะไรที่นี่” น้ำเสียงของผมแหบแห้ง ลมเย็นๆ พัดแตะข้างใบหู

เวลายังไม่ถึงเที่ยงวัน กิจวัตรประจำวันของเดฟ ไม่สมควรจะมาเฉียดละแวกนี้ด้วยซ้ำ

เดฟหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ขัดกับดวงตาที่นิ่งจนน่ากลัว “ฉันตั้งใจมาดู เผื่อว่าร้านนี้ใช้งานนายหนักจนสลบไป หรือกักไว้เป็นแรงงานทาสจนทำให้กลับบ้านไม่ได้”

ฉับพลัน รอยยิ้มก็เลือนหายไปจากใบหน้าราวกับสับสวิตซ์

“แต่ดูจากกลิ่นเบียร์.. แล้วก็การเดินมาจากทางอื่น” เดฟชะงักคำพูดไปชั่วครู่ “เดาว่าฉันคงเป็นคนเดียวที่นั่งแทบไม่ติดที่เมื่อคืน”

เดฟก้มหน้าลงเล็กน้อย ก่อนที่ดวงตาสีเข้มจะช้อนขึ้นจ้องผมเขม็ง

“สนุกหรือเปล่าล่ะ” เดฟถาม

ผมเม้มปาก ทั้งๆ ที่อยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่หัวสมองของผมก็ตื้อเกินกว่าจะคิดอะไรที่เข้าท่าได้ตอนนี้

ทุกอย่างไม่ใช่ความผิดพลาด ผมไปที่นั่นด้วยความตั้งใจของตัวเอง และผมรู้ดี รู้ด้วยสติที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ตอนที่ไม่ได้หาทางติดต่อกับเดฟเมื่อคืน

“ผมแค่ ไปดื่ม ฉลองวันเกิดเพื่อนร่วมงานเท่านั้น เขา.. ขอให้ผมไปด้วย” ผมอธิบาย พยายามสบตากับเดฟตรงๆ เพื่อยืนยันสิ่งที่พูด “แต่ผมก็ต้องขอโทษด้วย ที่ไม่ได้บอกคุณก่อน”

เดฟเบือนหน้าหนีทันทีที่ผมพูดจบ เขาทิ้งสายตาไปที่ถนน คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน

ท่าทางนั้นหยุดทุกการกระทำและความคิดของผมไปเลย

“เราจะคุยเรื่องนี้กันทีหลัง” เขาตัดบท “กลับเข้าไปข้างในซะ”

อาจจะเป็นเพราะผมที่ยังไม่ทันตั้งตัว.. เท้าถึงได้ชาหนึบและยังปักหลักยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

เดฟทิ้งบุหรี่ที่ถืออยู่ลงบนพื้น ไฟสีแดงปะปนอยู่ที่ปลายมวน ก่อนจะดับไปเองในที่สุด

อากาศรอบตัวเย็นเยือก.. เพราะเป็นช่วงเวลาเช้า ลมหนาวพัดกรีดผิวหนังจนชา แต่นั่นเทียบไม่ได้เลย เมื่อเดฟเหยียดยิ้มหยันขึ้นเล็กๆ อีกครั้ง เปลือกตากะพริบแผ่วเบา ซ่อนความรู้สึกนึกคิดที่ผมไม่แม้แต่จะสามารถอ่านออก

“ไปสิ..” เขาออกคำสั่งอีกครั้ง พร้อมกับดวงตาที่แข็งกร้าวขึ้น “กลิ่นที่ติดมากับนาย กำลังจะทำให้ฉันสติแตก”

และนั่นเป็นเสียงสุดท้าย ที่ผมได้ยินจากปากของเดฟในเช้าวันนี้

ก่อนที่ผมจะค่อยๆ ถอยหลัง แล้วพาตัวเองกลับเข้าไปข้างในร้านให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

ภายในร่างเหมือนถูกกดดันด้วยอะไรสักอย่างที่มองไม่เห็น ผมเผยอปาก รับเอาอากาศเข้าไป พร้อมกับความรู้สึกร้อนที่ไล่ลามทั่วเปลือกตา

ชั่ววินาทีหนึ่ง.. แค่พริบตาเดียวเท่านั้น ก่อนที่ผมจะหันหลัง

สายตานิ่งเรียบของเดฟเปลี่ยนไป มันฉายประกายกรุ่นโกรธออกมาชัดเจน

และนั่นทำให้ผมแตะสัมผัสความกลัวได้แทบจะในทันที โดยที่เขาไม่ต้องใช้กำลังหรือข่มขู่เลยแม้แต่นิดเดียว



tobecontinued.


____
#เดฟฟลอยด์

1คอมเม้นต์1กำลังใจ
รักเสมอ

Cinzano 505.

ออฟไลน์ mecinzano505

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
Re: I BITE :: Chapter.15 A Punch And A Kiss (25/01/2560)
«ตอบ #41 เมื่อ25-01-2017 21:46:12 »


15_
A Punch And A Kiss

(ต่อ)



 

ผมนั่งอยู่ในร้าน ตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น เนื่องจากยังไม่มีอะไรให้ทำ ผมเลยจบการตัดสินใจด้วยการพาตัวเองมานั่งอยู่ตรงบาร์ด้านหน้าร้าน ดูหนังจากโทรทัศน์ที่ห้อยลงมาจากเพดาน

มีหลายคนเดินเข้ามาทัก เรื่องกลิ่นแอลกอฮอล์ที่ติดอยู่บนตัวผม

เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ผมมีพฤติกรรมแบบนี้

จนเวลางานเริ่ม ผมก็พาตัวเองกลับเข้าไปที่หลังร้าน พบเจอกับโจที่มาเข้างานตรงเวลาผิดวิสัย เขาพยายามจะพูดอะไรสักอย่างกับผม

แต่โรสก็เดินเข้ามาแทรกบทสนทนาซะก่อน เธอว่าวันนี้จะให้ผมหยุดล้างจานแล้วเข้าไปช่วยงานในครัว เพราะว่ามีคนขาดหนึ่งคน

ดังนั้น.. ผมก็เลยไป

มันไม่ใช่การหนีหน้าหรืออะไรงี่เง่าพวกนั้นหรอก ที่ผมกำลังทำอยู่.. อย่างน้อยถ้าใช้คำว่าหนีหน้า ผมก็คงไม่มาอยู่ที่ทำงาน เพื่อให้อีกฝ่ายเจอง่ายๆ แบบนี้

ผมแค่ ยังคาดเดาไม่ออก ว่าโจจะพูดอะไรตอนที่เราต้องคุยกัน และผมควรจะต้องตอบอะไรกลับไป ให้มันผลมันออกมาดีที่สุด

และเพราะโซนล้างจานที่โจยืนอยู่ แทบจะอยู่ติดกับที่ของผม ทุกอย่างเกือบจะเป็นปรกดี สำหรับชีวิตการทำงานวันนี้ จนกระทั่งผมได้ยินเสียงจานแตกมาจากหลังผนังเก่าๆ ตามมาด้วยเสียงโวยวายของโรสที่เดินลงมาดู

“หมอนั่นมันบ้า” เพื่อนร่วมงานอีกคน ที่ยืนล้างผักอยู่ข้างๆ ผมเปรยขึ้นเบาๆ ดวงตาตวัดมองไปทางต้นเสียง “นายสนิทกับมันไหมล่ะ”

“.. ก็ไม่เชิง” ผมตอบสั้นๆ ทั้งๆ ที่ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกไปเป็นพิเศษ แต่ข้างในผมกำลังรู้สึกไม่เห็นด้วย กับคำต่อว่าที่เขามีให้โจ

พอเลิกงาน ผมก็เดินออกจากร้านทันที สมองปัดเรื่องของโจทิ้งไป และจมปลักอยู่กับแค่เรื่องเดียว

วันนี้ผมจะต้องกลับบ้าน และอย่างที่เดฟบอก

เราจะต้องคุยอะไรสักอย่างกัน

“เฮ้..” เท้าของผมหยุดชะงัก หลังจากได้ยินเสียงทักและแรงจับเบาๆ ที่แขน

ภาพตรงหน้าถูกปกคลุมด้วยสีดำของท้องฟ้า หลังร้านยังเงียบและปราศจากผู้คนเหมือนเดิม ผมหันหน้ากลับไปหาโจ โจที่ตอนนี้กำลังแสดงสีหน้าแบบกลืนไม่เข้าคายไม่ออกสุดๆ อยู่

“โจ” ผมทัก

“นาย.. เรื่องเมื่อคืนนี้” เขาเกริ่น เตรียมจะกระโดดเข้าเรื่องตรงๆ โดยไม่เสียเวลาอ้อมค้อม “จูบนั่น ฉัน..”

“โจ เอาไว้ก่อนได้หรือเปล่า” ผมขัด ความไม่แน่ใจฉายวาบในหัว ก่อนที่ผมจะลงความเห็นกับตัวเองว่าสิ่งที่ตัดสินใจไปนั้นดีแล้ว

“เราคุยเรื่องนี้กันทีหลังนะ” ผมพูดย้ำ ดวงตาตรึงการมองเห็นของโจเอาไว้ และผมกำลังร้องขอ โจชะงักไปตอนที่ได้ยิน เขาพยักหน้าเบาๆ อย่างยอมแพ้

“แต่นายต้องสัญญาว่าเราจะคุยเรื่องนี้กันจริงๆ.. เฮ้ ฟังนะ ฉันกำลังจริงจังอยู่ โอเคไหม.. เรื่องจูบนั่นน่ะ ไม่วิ่งหนี ตกลงนะ” ฝ่ามือที่จับแขนผมอยู่กำแน่นขึ้นเล็กน้อย

“นายเก็บไปคุยกันทีหลังได้ไหมล่ะ” อีกเสียงของผู้มาใหม่ที่ดังขึ้น เรียกหน้าผมให้หันไปมองได้ในเวลารวดเร็ว “ฉันก็มีเรื่องจะคุยกับผู้ชายคนนี้เหมือนกัน”

เดฟยืนนิ่ง ห่างจากผมไปแค่เอื้อมมือเดียว ใบหน้าฉายรอยยิ้มกลวงๆ กับดวงตาที่นิ่งสนิท ผมไม่รู้เลยว่าเดฟเดินมาตรงนี้ตั้งแต่ตอนไหน

เดฟก้าวเข้ามาข้างหน้าเพิ่มอีกหนึ่งก้าว เขาจ้องโจเขม็ง ไม่ว่าจะเพราะอารมณ์ที่แผ่ออกมา หรือขนาดร่างกาย

ผมไม่ชอบบรรยากาศตอนนี้เอามากๆ เลย

นั่น.. มันเป็นท่าทางของการแสดงอำนาจ

โจทำท่าจะพูดอะไรออกมา แต่ก็เงียบไป เขากัดริมฝีปากล่างตัวเองแรง ก่อนจะถอยหลังไปหนึ่งก้าวราวกับจะประกาศการยอมแพ้

“ครับ” เขาพึมพำเสียงเบา

และทันทีที่เสียงนั้นหลุดออกมา เดฟก็หันหลังเดินไปทันที ผมเหลือบมองโจเป็นครั้งสุดท้าย สีหน้าย่ำแย่นั่น ผมน่าจะทำอะไรได้สักอย่าง แต่ก็ไม่มีอะไรที่ผมทำได้ นอกจากทิ้งเขาไว้ตรงนั้นแล้วรีบวิ่งตามเดฟที่เดินนำไปไกล

ฮาร์เลย์คันใหญ่ไม่ได้จอดอยู่ในที่เดิมที่เขาเคยจอดรอผม มันจอดอยู่ด้านข้างของร้าน ไม่ต้องเดาเลยว่าทำไมมันถึงเงียบนักตอนที่เดฟเข้าถึงตัวพวกเรา

เดฟไม่ปริปากพูดอะไรออกมาสักพยางค์ ตอนที่ผมขยับขึ้นซ้อนท้าย เขาแค่กระชากฮาร์เลย์ออกไปด้วยความเร็วจนน่าตกใจ และถึงแม้ผมจะขยับมือขึ้นจับเอวแข็งแรงแน่น

ความเร็วก็ไม่ได้น้อยลงเลย แต่กลับเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

ห่วยแตก..

ทุกอย่างเป็นภาพตัดไปตัดมา จนข้างในของผมเหมือนถูกแช่ให้แข็งค้างด้วยความกลัว

“เดฟ..” ผมส่งเสียงเรียก ไม่แน่ใจว่ามันสามารถช่วยอะไรได้ในตอนนี้ จนกระทั่งเดฟค่อยๆ ผ่อนความเร็วลง และจอดนิ่งสนิทอยู่ฝั่งตรงข้ามร้านบุชคอร์เนอร์

ร่างสูงดูหงุดหงิด งุ่นง่าน.. เขาดับเครื่องยนต์ ก่อนจะก้าวลงจากฮาร์เลย์แล้วหยุดยืนบนพื้นถนน ดวงตาสีเข้มฉายหลายๆ อารมณ์ออกมาในช่วงสั้นๆ ก่อนจะถูกกลบสนิทจนมองเห็นแค่ความหงุดหงิดเล็กๆ

“นั่นมันอะไร” เขาถามเสียงห้วน ขณะที่ผมค่อยๆ ขยับขาขึ้น เปลี่ยนจากการนั่งคร่อมบนเบาะ เป็นการนั่งหันหน้าเข้าหาเดฟ ฝ่ามือสอดประสานกันอยู่บนหน้าตัก

“หมายถึงอะไร” ผมถาม รับรู้ถึงความเย็นชืดบนผิวเนื้อของตัวเอง

“ช่วงนี้ สนิทกับผู้ชายคนนั้นหรือไง”

“.. อืม” ผมตอบไปตรงๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องหาคำอะไรมาเสริมเพิ่ม ในเมื่อ ใช่ โจเป็นเพื่อนคนเดียวที่ผมมีที่ทำงาน ในเมืองนี้

แล้วเดฟก็กระตุกยิ้มเหยียดออกมา เขาเอียงใบหน้าเล็กน้อย ทั้งๆ ทื่สายตาจะไม่ปลดออกไปจากผม

“แน่สินายคงสนิทกันมาก” เขากระซิบ “ถึงขนาดต้องให้ของขวัญเป็นจูบกันเลยใช่หรือเปล่า”

ตอนนั้น ผมรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าจากมือที่มองไม่เห็น

หนึ่งก็คือเดฟได้ยิน สิ่งที่ผมไม่อยากให้ได้ยินมากที่สุด

สองก็คือ.. คำพูดพวกนั้น

ผมบีบมือที่ประสานกันอยู่แน่น พยายามอย่างมากที่จะดึงทุกสติให้กลับมาครบถ้วนสมบูรณ์เหมือนเดิม เดฟยิ้มค้าง ไม่ได้พูดอะไรต่อ มีเพียงสายตาที่ขยับขึ้นมองอะไรสักอย่างผ่านช่วงไหล่ของผมไป

“ฉันจะเข้าไปซื้อบุหรี่” เขาพูด สายตามองผ่านผมไป พร้อมกับเท้าที่เริ่มขยับออก

แน่นอนว่าตอนนั้น ผมไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร

รู้แค่ว่า ผมควรจะไปกับเดฟ.. หมายถึงผมควรจะตามเขาไป

ร้านขายของเล็กๆ ที่ตอนนั้นมีเรื่องเกิดขึ้น กระจกที่แตกตอนนี้กลับมาอยู่ในสภาพเดิมเรียบร้อย เดฟผลักประตูร้านลวกๆ ก่อนจะเดินเข้าไปโดยมีผมเดินตามเงียบๆ

ร่างสูงหยิบขนมเคี้ยวเล่นสองสามถุง โยนมันลงบนเคาน์เตอร์ที่มีผู้ชายคนเดิมนั่งเฝ้าอยู่ อีกฝ่ายยังไม่เงยหน้าขึ้นมา เขาก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือที่ถืออยู่

จนกระทั่งเดฟพูดประโยคแรกออกไป

“เอาบุหรี่ .. เหมือนเดิม” เสียงทุ้มเรียบเรื่อย แฝงไปด้วยความแข็งกระด้าง

ผู้ชายผมบลอนด์คนนั้นรีบเงยหน้าขึ้นมาทันที พร้อมกับดวงตาที่เบิกกว้างขึ้น ผมเพิ่งได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดเจนก็ครั้งนี้ หลายๆ ครั้งที่ผ่านมา เขาไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาสนใจ และใช่ ครั้งล่าสุด ความมืดจากด้านนอกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ผมไม่ได้สนใจใบหน้าเขาเท่าที่ควร

ผิวขาว ซีด ราวกับคนไม่เคยออกไปโดนแดด.. ผมสีบลอนด์เป็นลอนดัดยาวจนถึงต้นคอ ดวงตาสีอ่อน เหมือนกับสีคิ้ว.. จมูกเชิดเล็กๆ เริ่มขึ้นสีแดงอ่อนตรงปลาย กับริมฝีปากที่เผยอออกเล็กน้อย

เขากะพริบตา.. และกะพริบตาอีกครั้ง

ก่อนจะส่งเสียงพึมพำออกมาแผ่วเบา

“เดฟ”

เจ้าของชื่อเลิกคิ้วสูง ก่อนจะพูดซ้ำเมื่อผู้ชายคนนั้นยังยืนนิ่งไม่ขยับ “บุหรี่ บี”

ผู้ชายคนนั้นเบิกตากว้างขึ้น ฝ่ามือแตะไล้ตรงชั้นวางบุหรี่ ก่อนจะหยิบมาออกมาหนึ่งซองโดยที่ตายังสอดประสานกับเดฟอยู่

เขาวางบุหรี่ลงบนเคาน์เตอร์

“บี.. คุณเพิ่งเรียกผมแบบนั้น” เขาพึมพำ ชั่ววินาทีหนึ่งที่ดวงตาถูกเติมเต็มด้วยความหวัง “เราคุยกันได้ไหม”

“ไม่” แล้วเดฟก็ทำลายมันลงในเวลารวดเร็ว เขาวางเงินลงบนเคาน์เตอร์ ดวงตาหลุบต่ำมองบุหรี่ที่ยังอยู่ใต้ฝ่ามืออีกคน “ส่งนั่นมาให้ฉัน”

ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนนี้ ความรู้สึกแปลกๆ จู่โจมเข้ามาในร่างกาย จนกระทั่งผู้ชายที่ถูกเรียกว่า บี พาเดินออกจากหลังเคาน์เตอร์ ตอนนั้น ผมได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ จากร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างๆ เดฟก้มหน้าลง ก่อนจะพูดเปรยออกมาลอยๆ โดยไม่ได้หันมามองผม

“แน่ใจเป็นบ้า ว่านายอยากออกไปรอข้างนอกก่อน” นั่นเป็นประโยคคำสั่ง

และผมทำตามอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง

อากาศด้านนอกเย็นลง ภายในเวลาสั้นๆ ที่เราเข้าไปข้างใน ปลายจมูกผมสัมผัสกับกลิ่นชื้น ต่อให้ไม่ต้องเดา ผมก็พอรู้อยู่ว่าฝนกำลังจะตก

ลมหนาวทำให้ขนอ่อนทั่วร่างลุกชัน ผมวาดมือขึ้นลูบต้นแขนตัวเองซ้ำไปซ้ำมา สัมผัสปลายนิ้วเย็นเยียบเข้ากับผิวอุ่น.. บุชคอร์เนอร์ที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม เปิดไฟสว่างจ้า กระจกใสๆ ทำให้มองเห็นภายในที่เต็มไปด้วยลูกค้าหน้าเดิมๆ

ผมยกมือขึ้นแตะหน้าผากตัวเอง ทุกอย่างดูฝืดเคืองไปหมดในความรู้สึก ก่อนที่ผมจะห้ามความคิดที่อยากจะหันกลับไปมองด้านในไว้ไม่ได้

พอสูญเสียการควบคุมตัวเองไป ผมก็ทำตามที่สมองสั่งทันที

ผมจะพูดยังไงดี

.. คุณเคยรู้สึก เหมือนกับอยู่ดีๆ เลือดที่มีอยู่ในร่างกาย ก็ไปหล่อเลี้ยงสมองและอวัยวะส่วนต่างๆ ไม่พอหรือเปล่า

เหมือนกับเลือดที่เคยไหลวนอยู่ทั่วร่าง หายไปทั้งหมด

ฝ่ามือของผม.. เย็นเยียบ

ตอนที่ฝ่ามือของ บี สัมผัสอยู่ที่ลาดไหล่ของเดฟ

ผมก็ยังไม่รู้ ว่าภายในไม่กี่วินาทีที่ผมหันหลังเดินออกมา เกิดอะไรขึ้นด้านใน แต่ในวินาทีนี้ ผมได้แต่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เหมือนคนโง่ที่ทำอะไรไม่ได้

ทุกความรู้สึกนึกคิดถูกสั่งให้หยุดทำงาน

ตอนที่ดวงตาผมสะท้อนภาพที่กำลังมองเห็น

เดฟไม่ได้ผลักอีกฝ่ายออก และในขณะเดียวกัน เขาก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่ายืนเฉยๆ แล้วอนุญาตให้ผู้ชายคนนั้นทำสิ่งที่อยากทำ

ผมยืนอยู่ตรงนี้ นิ่งรอ.. จนกระทั่งริมฝีปากของทั้งคู่สัมผัสกัน ร่างของผู้ชายคนนั้น ถูกยกขึ้นนั่งบนเคาน์เตอร์

นั่นเป็นเส้นคาบเกี่ยวสุดท้ายที่ยึดสติของผมเอาไว้ ก่อนที่มันจะขาดลง

ผมจำไม่ได้ว่าตัวเองเดินออกมาตอนไหน

จำไม่ได้ว่าฝนเฮงซวยพวกนี้ตกลงมาเมื่อไหร่

และตู้โทรศัพท์ที่ผมกำลังใช้หลบเม็ดฝนและความสับสนที่ตกกระแทกลงมาสัมผัสใบหน้านี่ คือที่ไหน

ผมไม่คิดว่าตัวเองสามารถคิดอะไรออกในตอนนี้ ดวงตาจ้องค้างอยู่ที่รอยฝ้าขุ่นมัวตรงกระจก ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าช้าๆ

กลิ่นฝน ไม่เคยทำให้รู้สึกอึดอัดและสะอิดสะเอียนเท่านี้มาก่อน

เสียงเครื่องยนต์ทำงานหนักแล่นเข้ามาในโสตประสาต ผมเหยียดยิ้ม ทั้งๆ ที่ไม่มีรอยยิ้มใดปรากฏบนใบหน้า ก่อนที่เงาสีดำจะพาดผ่านทั้งร่าง

เดฟ ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น

เนื้อตัวเปียกปอนไม่ต่างจากผม

“ทำไมนายถึงวิ่งหนี” นั่นเป็นประโยคแรกที่เขาถามเพื่อทำลายความเงียบระหว่างเรา

ผมเม้มปาก และแน่นอน

ไม่มีคำตอบใดหลุดออกไป

“ทำไมถึงไม่ตอบ” เขาถามซ้ำ ขยับเข้ามาเพิ่มอีกหนึ่งก้าว ดวงตาสีเข้มช้อนมองผมนิ่ง ใบหน้าจริงจัง ทำให้ผมยิ่งคิดอะไรไม่ออก

ใบหน้าเบือนหนีฝ่ามือที่เอื้อมเข้ามาใกล้

เดฟหยุดชะงักทุกการกระทำตรงนั้น เขายกมือค้างกลางอากาศ ห่างจากหน้าของผมไปเพียงแค่ไม่กี่นิ้ว น้ำเสียงทุ้มต่ำทอดอ่อน เป็นคำถามที่เหมือนกระตุกทุกอย่างที่ผมพยายามปิดบังไว้ให้แสดงออกมา

“ทำไม” เขาพึมพำ ปลายนิ้วสั่นเล็กๆ ก่อนจะหยุดนิ่งเหมือนเดิม “ถึงร้องไห้”

ตอนนั้น สติของผมขาวโพลน ตัดเป็นภาพสลับกับสีดำสนิท

ผมหลุดหัวเราะ จับน้ำเสียงตัวเองได้ว่ามันฝืดเฝื่อน ผมปัดมือของเดฟออกไป เลือกที่จะหันหน้าหนีไปอีกทาง

“เปล่า ผมไม่ได้ร้อง” ผมพูด ใช้ความพยายามอย่างมากในการควบคุมจังหวะหายใจของตัวเองให้คงที่ “หมดธุระแค่นี้ใช่ไหม.. ทำไมคุณไม่ไสหัวไปซะล่ะ”

เดฟเบิกตาเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะหลุดยิ้มกลวงๆ ออกมา “แล้วนายโมโหอะไรล่ะ”

เขาขยับเข้ามา เพิ่มอีกหนึ่งก้าว

“ทำไมไม่บอกล่ะ” เขาเริ่มต้อน ก่อนที่ผมจะหลุดตะคอกกลับไปเสียงดัง

“อย่า.. บังคับผม!” ผมหลับตาแน่น คิ้วขมวดเข้าหากันพร้อมกับความรู้สึกอื้ออึงตรงใบหู

มันคือความกดดัน

“ถอยออกไป” ผมออกคำสั่งเสียงแข็ง ดวงตาเปิดขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับเท้าที่ถอยหลังช้าๆ “อย่าแตะ! แล้วก็ถอยออกไป เดฟ!”

ดวงตาสีเข้มแน่วแน่ เขาขยับเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ คล้ายกับสิ่งที่ผมพูดออกไปไม่มีความหมายอะไรเลยสักนิดเดียว

“พูดสิ นายโมโหอะไร” เขาถามซ้ำ

“หยุด”

“นายโมโหอะไร ฟลอยด์”

นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่ผมได้ยิน ก่อนที่ร่างกายจะต่อต้านทุกคำสั่งที่ผมออกในหัว แรงกระแทกปะทะเข้าที่หลังมือ พร้อมกับเสียงที่ดังจนน่าตกใจ

เสียงของเดฟชะงักไป ขณะที่ใบหน้าสะบัดหันไปอีกทาง

.. ในช่วงเวลานั้น ความเงียบเริ่มโรยตัวช้าๆ

ผมหอบหายใจ ดวงตาจับจ้องเดฟ ที่ค่อยๆ หันใบหน้ากลับมา พร้อมกับรอยแตกเล็กๆ ตรงมุมปาก

นั่น เป็นการเหวี่ยงหมัดครั้งแรกในชีวิตของผม

.. และเป็นครั้งแรก ที่ผมคนนี้ ทำให้เดฟเจ็บตัว

อีกฝ่ายกะพริบตา ปลายนิ้วยกขึ้นแตะบาดแผลตัวเองเบาๆ ดวงตาสีเข้มฉายประกายประหลาด

“นายโมโหอะไร” เขาถามคำถามนั้นอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

ผมนิ่งค้างไปเกือบนาที ใบหน้าก้มลงต่ำ พร้อมกับร่างกายที่รับรู้แรงสั่นเบาๆ “คุณเป็นคนพูดมันออกมาเอง…”

เดฟนิ่งฟังโดยไม่พูดอะไรขัดออกมา

และผมเริ่มพูดต่อ “อย่ายกอะไรให้ใครคนอื่น.. น่าตลกดีนะ ที่คุณกลับเป็นฝ่ายทำมันเหมือนกัน จูบนั่น คุณก็ยกให้คนอื่นเหมือนกัน ไม่ใช่หรือไง”

“แล้วทำไม นายแคร์หรือไง” เขาสวนกลับแทบจะในทันทีที่ผมพูดจบ

ความเงียบเป็นสิ่งที่ผมตอบโต้กลับไป และใช่ อีกหนึ่งเหตุผลก็คือ ผมก็กำลังนิ่งคิดคำตอบนั้นกับตัวเองเหมือนกัน

“นายโกรธ ที่ฉันจูบกับคนอื่น.. ทั้งๆ ที่นายก็เพิ่งทำมันมาน่ะเหรอ” เขาถามเสียงสูง “มันไม่ฟังดูเป็นมุขตลกที่เท่าเทียมกันไปหน่อยหรือไง”

“ผมไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนั้น” ผมรีบพูด รู้สึกเหมือนทุกอย่างในร่างกาย ที่ผมพยายามกดเอาไว้ปะทุออกมาจนห้ามไม่อยู่อีกต่อไป

“คิดว่าผมเป็นคนแบบนั้นใช่ไหม ให้ใครก็ไม่รู้มาทำอะไรกับร่างกายตัวเองได้ตลอดเวลา .. สรุปก็คิดว่าผมเป็นคนแบบนั้นสินะ”

เดฟไม่ตอบในทันที เขาผ่อนลมหายใจตัวเองช้าๆ ดวงตาที่ช้อนมองผมอยู่วูบไหว

“เปล่า ฉันเปล่า” แล้วเขาก็กระซิบออกมาเบาๆ

แน่ล่ะ.. แน่ล่ะว่าเขาต้องคิดแบบนั้นอยู่แล้ว

ผมพ่นเสียงหัวเราะออกมา เดฟจ้องมองทุกการกระทำด้วยความนิ่ง ก่อนที่เขาจะถาม สิ่งที่แม้แต่ผมเองก็ยังไม่เข้าใจอย่างสมบูรณ์

“นายยังไม่ตอบคำถามสักคำถามเดียว ฟลอยด์” เขาเตือน ฝ่าเท้าขยับเข้ามาใกล้อีกก้าว จนปลายเท้าเขาแตะสัมผัสกับของผมที่ขยับถอยหนีอีกครั้ง

“ทำไมนายถึงวิ่งหนี..” เขาเปรย “ทำไมนายถึงโมโหขนาดนี้”

แผ่นหลังของผมสัมผัสกระจก เป็นจังหวะเดียวกับที่เดฟวางฝ่ามือทาบมันไว้ ใบหน้าเรียบนิ่งขยับเข้ามาใกล้

“บอกสิ ว่านายรู้สึกยังไง.. คิดอะไรอยู่” เสียงทุ้มอ่อนลง ให้ความรู้สึกเหมือนถูกหลอกล่อมากกว่าบีบบังคับ เดฟลดใบหน้าลง จนสายตาเราอยู่ในระดับเดียวกัน

ผมแสวงหาอะไรสักอย่างในดวงตาคู่ตรงหน้า..

ก่อนจะสัมผัสเข้าจังๆ กับความจริงใจและการรอคอยคำตอบ

“พูด”

ผมเม้มปาก ในช่องท้องตีรวนไปหมด พอๆ กับในหัวสมองที่ถูกปั่นเละ ทุกความคิดกระจัดกระจายไม่เป็นรูปร่าง

“ผมรู้สึก” ผมขมวดคิ้ว ฝ่ามือเย็นชื้นกำเข้าหากันแน่น “เหมือนกับตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทาง”

เดฟกะพริบตา

“ผมรู้สึก เหมือนกับว่า ผมไม่ควรยืนอยู่ตรงนั้น.. ไม่สามารถยืนอยู่ตรงนั้นได้”

“ตอนที่คุณจูบกับผู้ชายคนนั้น” ผมหลุบตาลงต่ำ หลีกเลี่ยงสายตาที่มองมาอย่างเค้นเอาคำตอบ “มันให้ความรู้สึก.. ทรมาน”

ชั่ววินาทีหนึ่ง ที่ผมตัดสินใจเลื่อนสายตาขึ้นสบกับเดฟ ภาพของตัวผมเองสะท้อนค้างอยู่ในดวงตาคู่นั้น

ชั่ววินาทีเดียวเท่านั้น.. ก่อนที่เดฟจะโน้มหน้าเข้ามาใกล้มากกว่าเดิม พร้อมกับริมฝีปากที่แตะทาบเหนือปากของผม จูบอบอุ่นทำให้รู้สึกอ่อนแอ

ผมกะพริบตา และสัมผัสได้ถึงความร้อนที่ตกออกจากดวงตา

ฝ่ามือทั้งสองข้างขยับขึ้นกำเสื้อที่เปียกชุ่มของอีกฝ่ายเอาไว้ ก่อนที่ผมจะออกแรงผลัก ตามที่สมองสั่งให้ทำ

เดฟกัดริมฝีปากล่างผม ลิ้นอุ่นสอดเข้ามาทันทีที่ผมเผลออ้าปาก เขาส่งเสียงทุ้มต่ำในลำคอ ก่อนจะรวบมือทั้งสองข้างของผมไว้ด้วยมือข้างเดียว พร้อมกับเบียดตัวเข้ามาใกล้มากกว่าเดิม

ตอนนั้น.. ในหัวของผมว่างเปล่า

มีเพียงลมหายใจของเดฟที่เป่ารดอยู่บนใบหน้า ริมฝีปากเจือกลิ่นบุหรี่กดย้ำลงมา ร่างของผมถูกดันชิดกระจกจนแทบจะกลืนเป็นสิ่งเดียวกัน สะโพกรับรู้ถึงแรงบีบเค้นจากฝ่ามือ เสียงหอบหายใจดังลั่นในกกหู

ทั้งร่างของผมสะดุ้ง ตอนที่เดฟขบฟันลงมาบนริมฝีปากล่าง ปลายจมูกชื้นลากผ่านผิวแก้มของผมแรงๆ พร้อมกับริมฝีปากที่ทาบอยู่เหนือผิวเนื้อ

“นั่นก็เป็นสิ่งที่ฉันรู้สึก ตอนที่รู้ว่านายยอมมอบจูบให้คนอื่น”

เขากระซิบ

ฝ่ามือแข็งแรงบีบเข้าที่กรอบหน้าของผม ก่อนจะออกแรงบังคับให้หันเข้าหา ดวงตาสีเข้มหลุบต่ำ จ้องค้างเข้ามาในดวงตา

“คงไม่ว่าอะไรนะ ถ้าฉันจะขอทวงคืน”

____
#เดฟฟลอยด์

1คอมเม้นต์1กำลังใจ
รักเสมอ

Cinzano 505.

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
Re: I BITE :: Chapter.15 A Punch And A Kiss (25/01/2560)
«ตอบ #42 เมื่อ25-01-2017 23:28:13 »

ก็...บอกไม่ถูก เข้าใจว่านางก็อยู่ในโลกนั้นมานาน แต่ว่านะ... พูดยาก

ออฟไลน์ lnudeel

  • I wanna be a CAT!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-5
Re: I BITE :: Chapter.15 A Punch And A Kiss (25/01/2560)
«ตอบ #43 เมื่อ26-01-2017 00:10:44 »

 :hao4: :hao4:

ออฟไลน์ toru10969

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: I BITE :: Chapter.15 A Punch And A Kiss (25/01/2560)
«ตอบ #44 เมื่อ26-01-2017 00:50:36 »

เนื้อเรื่องดีมากเลยค่ะ o13 o13 o13 o13 ภาษาอ่านแล้วไม่สะดุด เรียบเรียงดีมากๆ ตัวละครมีมิติ รอตอนต่อไปค่ะ

เอาใจช่วยทั้งคู่ :sad11: :กอด1:

ปล.ขอบคุณที่สร้างสรรค์งานเขียนอย่างปราณีตแบบนี้มาให้ได้อ่านนะคะ  :pig4: :กอด1:

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
Re: I BITE :: Chapter.15 A Punch And A Kiss (25/01/2560)
«ตอบ #45 เมื่อ26-01-2017 01:10:59 »

คั้นเวอร์ นิช้ำไปหมดละ แต่ชอบอะ ><

ออฟไลน์ mkianit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-3
Re: I BITE :: Chapter.15 A Punch And A Kiss (25/01/2560)
«ตอบ #46 เมื่อ26-01-2017 01:56:22 »

อ่านไปกดดันไป สนุกค่ะ555555555555อ่านแล้วลื่นดีจริงๆ  :katai2-1:

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
Re: I BITE :: Chapter.15 A Punch And A Kiss (25/01/2560)
«ตอบ #47 เมื่อ26-01-2017 02:11:47 »

เขียนดีสุดยอด

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: I BITE :: Chapter.15 A Punch And A Kiss (25/01/2560)
«ตอบ #48 เมื่อ26-01-2017 07:12:48 »

ทั้งคู่ทรมานจากการที่อีกฝ่ายมีคนมาจูบ
เดฟ จูบฟลอยด์ เอาคืนความหึงหวงซะเลย ชอบบบบ  :impress2:
ฟลอยด์ น่าจะรู้ตัวซะที ว่ารู้สึกดีๆกับเดฟแล้ว
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:     

ออฟไลน์ exo_yaoi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: I BITE :: Chapter.15 A Punch And A Kiss (25/01/2560)
«ตอบ #49 เมื่อ26-01-2017 08:53:45 »

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: 

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: I BITE :: Chapter.15 A Punch And A Kiss (25/01/2560)
« ตอบ #49 เมื่อ: 26-01-2017 08:53:45 »





ออฟไลน์ -.NF.-

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: I BITE :: Chapter.15 A Punch And A Kiss (25/01/2560)
«ตอบ #50 เมื่อ26-01-2017 15:50:23 »

เรื่องนี้ดีมากเลยค่ะ คนเขียนสู้ๆนะคะ ทั้งฟินทั้งรู้สึกดี

ออฟไลน์ mecinzano505

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
Re: I BITE :: Chapter.16 As A Pain Killer (26/01/2560)
«ตอบ #51 เมื่อ26-01-2017 19:46:57 »


16_
As A Pain Killer




เรากลับมาถึงที่บ้าน

ฝนยังไม่หยุดตก แต่เราทั้งคู่ก็เปียกเกินกว่าจะกังวลกับเรื่องนั้น เสียงขูดเบาๆ ดังมาจากหลังประตู ผมเดาว่าเป็นแทซกำลังตะกุยเพราะว่าได้ยินเสียงฝีเท้าของเรา

แทซเลิกขู่หรือทำอะไรให้ผมระแวงไปสักพักหนึ่งแล้ว แต่แทซก็ยังเป็นแทซ

มันไม่มาสุงสิงกับผมถ้าไม่จำเป็น จะมีบางเวลาที่มันพาร่างที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อมานอนอยู่ใกล้ๆ แต่ผมก็ไม่คิดว่าตัวเองสนิทสนมกับมันมากจนสามารถจับหรือสัมผัสได้

เหมือนกับการต่างคนต่างอยู่กลายๆ ซึ่งผมก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับส่วนนั้น

เดฟไขลูกบิดประตู ก่อนจะผลักมันให้เปิดกว้างแล้วหลบทางให้ ผมลอบมองอีกฝ่าย ก่อนจะรีบหลบตาเมื่อเขาเงยหน้าขึ้น

ผมเบี่ยงตัวเองเล็กน้อย ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปด้านใน เสียงปิดประตูดังตามมาหลังจากนั้น ความเงียบยังทำหน้าที่ของตัวเองอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ตั้งแต่ตอนที่ผมกับเดฟออกจากตู้โทรศัพท์นั่น

ผมเพ่งมองผ่านความมืดภายในบ้าน ได้ยินเสียงกระทบของอะไรสักอย่าง กับเสียงเดินไปเดินมาของแทซ ตั้งใจจะเอื้อมมือไปกดเปิดไฟ เมื่อแน่ใจว่าเดฟไม่คิดจะทำแบบนั้น

.. แล้วแขนของผมก็ถูกดันเบาๆ พร้อมกับวงแขนอุ่นที่สอดรัดเข้าตรงหน้าท้อง

ทั้งร่าง เหมือนถูกกดให้หยุดการเคลื่อนไหวในทันที

“จูบที่ร้านนั่น..” เดฟกระซิบเสียงเบา ใบหน้ากดลงวางบนลาดไหล่ผม “ฉันขอโทษ”

ผมไม่คิดว่าจะได้ยินประโยคนี้

ไม่คิดด้วยซ้ำว่าเดฟจะพูดขอโทษออกมาง่ายๆ

แต่นั่น ก็ทำให้ความรู้สึกเลวร้ายที่เกิดขึ้นเจือจางลง เจือจาง.. แต่ก็ยังไม่หายไปไหน

“ตอนนั้น ฉันแค่อยากเรียกร้องความสนใจจากนายก็เท่านั้น” พอเห็นผมเงียบ เดฟก็พูดต่อ คำสารภาพง่ายๆ ทำให้ภายในผมเริ่มทำงานไม่เหมือนเดิมอีกครั้ง

“ทำไมคุณถึงจะต้องทำแบบนั้นด้วย” และนั่นเป็นความสงสัย ผมถามกลับไป รับรู้ถึงแรงกอดที่แน่นขึ้น

ใกล้เกินไป

ผมเม้มปาก ค่อยๆ แกะมือเดฟออก ก่อนจะผละตัวเองออกจากวงแขนนั่นช้าๆ

เดฟจ้องมองมา เขายอมให้ผมทำแบบนั้นโดยไม่ได้ขัดขวางหรือทักท้วงอะไร จนกระทั่งผมหันกลับไปเผชิญหน้ากับเขาตรงๆ

“นายไม่รู้เหรอ” เขาถามเสียงสูง ให้ความรู้สึกประชดประชันมากกว่าจะเป็นสงสัย เดฟเริ่มขยับเข้ามาใกล้ผมอีกครั้ง และผมไม่ได้ถอยหนีในครั้งนี้

“เพราะว่าตอนฉันเข้าหานาย นายผลักออกและถอยหนี.. นั่นโอเค ฉันก็เลยให้ช่องว่างกับนาย” เขาพูด ดวงตาสีน้ำตาลเข้มขึ้นจนเกือบเป็นสีดำกลืนไปกับความมืดในห้อง “แล้วยังไงต่อ ช่องว่างที่ฉันให้มันเยอะเกินไปเหรอ นายถึงหายตัวไป ทั้งคืน แล้วตอบแทนกันด้วยการจูบกับไอ้เวรที่ไหนก็ไม่รู้”

“ผมก็ไม่คิดว่าเรื่องจะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน” ผมสวน จ้องอีกฝ่ายไม่วางตา “แล้วคุณก็ไม่ได้ถามอะไรด้วยเหมือนกัน”

เดฟหลบตาลงต่ำ ก่อนจะเหลือบขึ้นสบกับผมอีกครั้ง

พร้อมกับใบหน้า.. เหมือนคนสำนึกผิด

“นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันขอโทษ”

สำนึกผิดแบบเกินจริงซะด้วย

“แล้ว.. ผู้ชายคนนั้น” ผมเกริ่น ก่อนจะชะงักเมื่อมองเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายเคร่งเครียดขึ้น “คุณไม่ต้องบอกก็ได้ ถ้าไม่อยากบอก”

“ไม่.. เขาเป็น” เดฟรีบพูด คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแน่น พร้อมกับดวงตาที่หลับลงสองสามวิ “แฟนเก่า จะใช้คำแบบนั้นก็ได้”

ผมกดหน้าลงต่ำ ก่อนจะช้อนตาขึ้นจ้องอีกฝ่ายนิ่ง “แล้วคุณก็กลับไป จูบกับเขา?”

เดฟสะบัดหน้าไปอีกฝั่งพร้อมหลุดสบถออกมาเบาๆ ขณะที่ผมเริ่มก้าวถอยหลังช้าๆ

“ถ้างั้นก็ไม่ควรมีแค่ผมคนเดียว ที่ได้รับคำขอโทษ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “เล่นกับความรู้สึกของคน มันไม่ใช่เรื่องที่ดีนะ คุณรู้ใช่ไหม”

พอเห็นเดฟเงียบ ผมก็ไม่พูดอะไรต่อ มันไม่ใช่เรื่องที่ผมจะต้องไปเซ้าซี้อะไรอีกฝ่ายอยู่แล้ว

“ถ้างั้นผมขอตัวไปอาบน้ำ” ผมตัดบท มองเห็นเดฟพยักหน้าเบาๆ เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันหลังแล้วเดินฝ่าความมืดเข้าไปในบ้าน

น่าแปลกดี

ผมคุ้นเคยกับสถานที่นี้จนสามารถเดินแบบมองไม่เห็นได้ตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้

สายน้ำเย็นๆ ช่วยทำให้ผมเย็นลงจนกลับเข้าสู่โหมดปรกติ พอออกมา เดฟก็เดินแทรกเข้าไป ในจังหวะที่สวนกัน รอยแผลเล็กๆ ตรงมุมปากอีกฝ่ายเด่นชัดในสายตา และย้ำเตือนว่าผมเผลอทำอะไรไปบ้างตอนขาดสติ

ผมเดินหากล่องอุปกรณ์ทำแผล พบมันที่ในตู้เก็บของห้องครัว กล่องเดียวกับที่เดฟเคยหยิบมาให้ผม หลังจากมีเรื่องที่เดอะรูท

หลังจากนั้นไม่นาน เดฟก็เดินออกจากห้องน้ำ ร่างสูงในชุดเสื้อยืดกับกางเกงวอร์มสีเทาเข้มเรียบๆ ตั้งท่าจะเดินผ่านผมไป แต่แล้วเขาก็ชะงักเมื่อเราสบตากัน ก่อนที่เขาจะพาตัวเองมาหยุดยืนอยู่ใกล้ๆ

และนั่งลงข้างๆ ผม

ผมหลุดถอนหายใจเบาๆ แน่นอนว่าอาจจะเป็นเพราะเดฟมองเห็นอุปกรณ์ทำแผลที่เตรียมพร้อมอยู่ตรงนี้ หรืออาจจะเป็นเพราะเขารับรู้ว่าผมคนนี้อยากจะสื่อสารอะไรบางอย่างด้วย ผมไม่แน่ใจ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญนัก

ผมปลดสายตาจากใบหน้าอีกฝ่าย ก่อนหยิบอุปกรณ์ที่เตรียมไว้ขึ้นท่ามกลางความเงียบ

“นายไม่ต้องทำอะไรก็ได้.. แค่ปล่อยมันเอาไว้” เดฟขัดขึ้นเสียงเบา ก่อนจะเงียบไปเมื่อผมช้อนตาขึ้นสบ

แล้วนี่ก็เป็นอีกครั้ง ที่ผมได้ทำแผลให้คนตรงหน้า

ผมไม่น่าทำแบบนั้น.. ทั้งทำร้ายร่างกายอีกฝ่าย แล้วก็การปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือสติ

“ผมขอโทษ” ผมพึมพำ พลาสเตอร์ใสๆ แปะลงตรงมุมปากเบาๆ พร้อมกับดวงตาของผมที่ล็อคเข้ากับของอีกฝ่ายพอดี

แล้วเดฟก็หลุดยิ้มออกมา

“ไม่เป็นไร” เขาตอบกลับเรียบง่าย ก่อนที่คิ้วเข้มจะเลิกขึ้นสูง “อย่างน้อยฉันก็ได้รู้ ว่าฉันไม่ได้มีความรู้สึกไปเองคนเดียว”

ผมเม้มปาก ในตอนนั้น ความรู้สึกเหมือนทุกความร้อนที่มีอยู่ในร่างกายไหลไปรวมกันอยู่ที่ต้นคอและกกหู

“นายหลบตา” เขาทักด้วยน้ำเสียงล้อเลียน และผมรีบลบคำกล่าวหานั้นด้วยการสบตาเขาทันที

“ผมเปล่า” แล้วเดฟก็เลิกคิ้วแล้วพยักหน้า นั่นดู.. ช่างล้อเลียนดีชะมัด

“ตอนนั้น นายบอกว่ารู้สึกทรมาน” เขาวาดปลายนิ้วขึ้นไล้เหนือพลาสเตอร์ที่ผมแปะให้ ดวงตาคมจ้องผมไม่กะพริบ

“นั่นมันแปลว่านายก็ชอบฉันได้หรือเปล่า”

ผมเผลอจิกปลายเล็บเข้าฝ่ามือตัวเอง ความพยายามในการกดทุกอย่างให้สงบเริ่มลดน้อยลงเรื่อยๆ

“นั่นมัน..” ผมขมวดคิ้ว อยู่ดีๆ ก็รู้สึกเหมือนทุกคำพูดหายไปจากหัวสมอง

ผมรู้ดี ผมไม่ได้เป็นคนโง่ที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งตัวเอง

แต่ผมแค่ ยังไม่อยากจะยอมรับมันง่ายๆ แบบนั้น

ยังไม่อยากที่จะต้องเปลี่ยนความคิด

ผมรู้ว่ามันฟังดูบ้าบอ แต่เชื่อเถอะ ว่าครั้งหนึ่งที่เราตัดสินใจที่จะมีชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวแล้ว การที่ต้องยอมรับว่ามีใครอีกคนเข้ามามีบทบาท ไม่ใช่สิ่งที่น่ายินดีและทำได้ง่ายๆ

เพราะการมีชีวิตอยู่ โดยที่สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่ตัวเองแต่เป็นคนอื่น

ทำให้อะไรๆ ยุ่งยากมากขึ้น

“ถ้านั่นตีความหมายเป็นคำว่าชอบ คงเป็นคำว่าชอบที่ฟังดูประหลาดที่สุดที่ผมเคยได้ยิน..” ผมกดเสียงตัวเองให้นิ่งเรียบ อดไม่ได้ที่จะหลุบตาลงเพื่อหลีกเลี่ยงการสบตาอีกครั้ง “ทรมาน..”

ผมรู้สึกได้ถึงสายตาของเดฟที่จ้องมองมา

เสียงถอนหายใจดังๆ เป็นสิ่งแรกที่ผมได้ยินถัดจากความเงียบที่กู่ร้องลั่น ผมทิ้งสายตาลงที่หน้าตักตัวเอง ความกดดัน ความสับสน

ทุกอย่างทำหน้าที่อย่างไม่ขาดตกบกพร่องในหัวสมองกลวงๆ ของผม

แล้วเสียงเนื้อผ้าครูดกับโซฟาก็ดังขึ้น เงาดำที่พาดผ่านร่างทำให้ผมรู้ว่าเดฟยืนขึ้น ก่อนที่อีกฝ่ายจะทรุดตัวลงนั่งลงบนพื้น

ตรงหน้าของผม

ฝ่ามือทั้งสองข้างวางทาบกับเบาะโซฟา ปักหลักอย่างต้องการจะประกาศ ว่าเขาจะไม่ถอยไปไหนง่ายๆ

“เพราะอะไร ฟลอยด์” เขาถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ดวงตายังแสวงหาอะไรบางอย่างจากผมที่เอาแต่หลบหนี “เพราะอะไร ทุกครั้งที่ฉันเข้าหา นายถึงต้องถอยหลังแล้วกั้นกำแพงขึ้นตลอดเวลา”

หัวใจของผมเต้นกระตุก ก่อนที่ปลายนิ้วจะจิกเกร็งเข้าฝ่ามือแน่นกว่าเดิม

ผมไม่ตอบคำถาม และเดฟก็เอาแต่จ้องมาไม่หยุด

“แล้วนายจะทำยังไง” เขาโน้มตัวเข้ามาใกล้จนสีข้างแข็งแรงเสียดสีกับหัวเข่าของผม “นายจะทำยังไงถ้าฉันบอกว่าตอนนี้ ฉันอยากกอดนาย แรงๆ”

ทั้งร่างของผมนิ่งชะงักไป พร้อมกับลมหายใจที่เหมือนถูกพรากไปจากอก

ความวูบไหวรุนแรงวิ่งพล่านในเส้นเลือด

เดฟยิ้มเยาะ ดวงตาของเขากวาดมองทั่วร่างของผมช้าๆ ก่อนจะหยุดลงที่ใบหน้า “นาย.. ไม่ว่ามันจะคืออะไร ความกลัว ความไม่เข้าใจ หรือการหลอกตัวเอง”

ฝ่ามือข้างหนึ่งของเดฟผละออกจากโซฟา แรงสัมผัสแผ่วเบาแตะเข้าที่ช่วงเอวของผม ก่อนจะลากลงหยุดตรงสะโพก

“ต้องให้ฉันช่วยแสดงให้เห็นไหม ว่าร่างกายของนายอยากปฏิเสธคำสั่งในหัวของนายมากแค่ไหนตอนนี้”

ในตอนนั้น ผมนึกสงสัย ตั้งคำถาม.. ว่าเดฟรู้จักผมดีแค่ไหน เขามั่นใจแค่ไหนถึงได้พูดประโยคแบบนั้นออกมา

เขามองเห็นผม.. ชัดเจนกว่าที่ผมมองเห็นตัวเองหรือเปล่า

อาจจะเพราะเป็นความสับสนอะไรสักอย่างที่เข้ายึดพื้นที่ในสมอง ผมไม่ได้ผลักหรือแสดงท่าทางต่อต้านอีกฝ่ายออกไปในทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ตรงกันข้าม ทั้งร่างของผม เหมือนถูกแช่แข็งเอาไว้ ทำอะไรไม่ได้ มากไปกว่าการกะพริบตาและจ้องมองอีกฝ่าย

เดฟเว้นระยะว่างในช่องเวลา เขานิ่งรอ จนกระทั่งแน่ใจ

ใบหน้าเรียบนิ่งขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ลมหายใจอุ่นแตะรดปลายจมูก ผมไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไป แต่ในช่วงเวลาเดียวกัน ผมก็ไม่ได้ปฏิเสธหรือถอยหนีอีก

ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น แม้กระทั่งตอนที่ริมฝีปากตรงหน้ากดทาบลงมา

ผมไม่ได้เปิดริมฝีปาก และเดฟก็ไม่ได้บังคับจะทำให้มันกลายเป็นจูบที่ลึกซึ้ง เขาแค่แตะทาบไว้แผ่วเบา ก่อนจะสลับเป็นเบียดย้ำลงมาโดยไม่ได้รุกล้ำเข้ามาข้างใน

แน่นอนว่าตอนนั้น.. สติของผมหมุนคว้าง ไม่ต่างจากขวดจอห์นนี่ วอล์กเกอร์ที่ถูกใช้ในเกมวงเหล้า

ฝ่ามือที่แตะสัมผัสอยู่ด้านนอก ค่อยๆ สอดเข้าไปในเสื้อยืด ลากผ่านผิวเนื้อของผมเบาๆ ชวนให้รู้สึกดี

มันไม่ใช่ความรู้สึกของการถูกโอ้โลม.. แต่กลับกลายเป็นเหมือนกำลังถูกปลอบใจ

ทุกความรู้สึกนึกคิดของผมหลุดลอยไปไกล ความเงียบภายในห้อง เสียงเสียดสีของเนื้อผ้าและการขยับตัว

ผมสะดุ้งเฮือก พร้อมกับฝ่ามือที่ดันไหล่แข็งแรงตรงหน้าออกแรงๆ เพราะริมฝีปากที่แนบลงตรงลาดไหล่

“สกปรก!”

แล้วคำจำกัดความนั้นก็หลุดออกจากปากของผมอีกครั้ง ผมไม่ได้ตั้งใจให้มันหลุดลอดออกไป ความคิดที่เหยียบเอาไว้ แตกกระจายและฉายตัวตนต่อหน้าคนอื่น

ผมชะงักค้าง พอๆ กับเดฟที่จ้องมองมาด้วยสายตานิ่งงัน

เป็นผมเอง ที่เดาไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

พอจ้องเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลเข้ม ทุกอย่างก็ประเดประดังเข้ามา .. ผมเริ่มสั่น และนั่นไม่ใช่การสั่นจากความรู้สึกที่ดี

การจ้องมองอีกฝ่าย ทำให้ความกลัวที่สุดของผมเด่นชัดในความมืดมิด

สิ่งที่ผมกลัวที่สุด คือการรู้สึกเสียใจ ต่อสิ่งที่ตัวเองเคยทำไป

ผมเกลียด ผมขยะแขยงตัวเองในช่วงเวลานั้น แต่ผมไม่เคยรู้สึกเสียใจที่ทำมัน .. เพราะว่ามันไม่มีทางเลือกอะไรให้รู้สึกเสียใจในตอนนั้น

ยี่สิบสองเกือบยี่สิบสามปีที่ผมมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ความคิดความของผมตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงปัจจุบัน กำลังจะเปลี่ยนไป แค่เพราะผมกำลังสบตากับผู้ชายที่ผมไม่ได้รู้จักดีคนหนึ่งอยู่

ผมกำลังรู้สึกเสียใจ..

ผมรู้สึกดีกับผู้ชายคนนี้ .. มีสิ่งหนึ่งที่เขาอยากได้และผมอยากให้

แต่สิ่งนั้น มันไม่ต่างกับขยะที่ไร้ค่า

“นายไม่ได้สกปรก” หลังจากความเงียบอันแสนเนิ่นนาน เดฟก็พึมพำขึ้นแผ่วเบา ดวงตาช้อนมองผมนิ่ง ไม่ผละหนีไปไหน ฝ่ามือที่แตะหลังผมอยู่ ลากไล้เบาๆ ให้สัมผัสอ่อนโยนจนน่าใจหาย “ต้องให้ฉันพูดประโยคนี้กี่รอบกัน”

เขาขมวดคิ้ว

ขณะที่ผมเม้มปากแน่น ปลายนิ้วที่จับค้างอยู่บนไหล่อีกฝ่าย จิกเข้าหากันจนกลายเป็นการขยำเสื้อยืดสีขาวไว้ในมือ

เดฟเอียงหน้าเล็กน้อย ฝ่ามือหยุดการเคลื่อนไหว

“หรือถ้านายอยากคิดแบบนั้นมากจนทนไม่ได้ ทำไมไม่ลองคิดว่าฉันคนนี้ก็สกปรกไม่ต่างกันบ้างล่ะ”

มือของผมสั่นเบาๆ จากประโยคที่ได้ยิน ดวงตาของอีกฝ่ายฉายแววขบขันเล็กๆ ออกมา ก่อนที่มันจะสว่างวาบแล้วเปลี่ยนไป ตอนที่ฝ่ามืออุ่นเปลี่ยนมาวางทาบลงบนต้นขาของผม

“เดฟ” ผมหลุดเรียกชื่ออีกฝ่ายออกไป แต่ดูเหมือนเขาไม่ใส่ใจจะฟังผมพูดอะไรตอนนี้

“แต่ไม่สำคัญหรอก..  ความคิดติดลบพวกนั้นจะอยู่กับนายอีกไม่นาน”

เดฟช้อนดวงตาสีเข้มขึ้นมอง

“เพราะฉันจะแสดงให้นายเห็นเอง ว่าร่างกายของนายบริสุทธิ์แค่ไหนสำหรับผู้ชายคนนี้”

คำพูดนั้นหนักแน่น จนกลายเป็นผมเองที่หลุดยิ้มหยันออกมา

ไม่หรอก ที่เขาพูดแบบนั้น เพราะว่าเขายังไม่รู้อะไร

ไม่รู้ อะไรเลย

“คุณไม่จำเป็นต้องทำอะไรแบบนี้” มันไม่มีประโยชน์อะไร

เดฟตวัดดวงตาลงจ้องฝ่ามือตัวเอง ดวงตานิ่ง แฝงไปด้วยกระแสความจริงจัง

“นายก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรเหมือนกัน” เขาพูด พร้อมกับยืดตัวขึ้นสูงอีกครั้งจนสายตาเราอยู่ในระดับเดียวกัน ริมฝีปากกดลงข้างขมับของผมหนักๆ “แค่รอดู ความจริงใจทั้งหมดที่ฉันมีให้ก็พอ”

ผมพ่นลมหายใจออกทางจมูก เหมือนกับการแค่นหัวเราะ ทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรน่าขำ

“ไม่มีอะไรทำให้ร่างกายนี้ดีขึ้นมาได้หรอก” ผมเฉลย ดวงตาเกลือกขึ้นจ้องมองผนังสีขาวสนิท “ไม่มี”

“มีสิ” เขาเถียง ผมรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นและสัมผัสจากริมฝีปากที่ลากลงจนหยุดที่สันกราม “ฉันไง”

“ไม่.. คุณ..” แล้วถ้อยคำของผมก็ถูกกระชากให้หายไปกลางอากาศ เดฟใช้มือข้างหนึ่งประคองใบหน้าของผมไว้ ปลายนิ้วโป้งเกลี่ยเบาๆ ที่ข้างแก้ม ขณะที่ริมฝีปากบดเบียดเข้าหาผม ทั้งสัมผัสจากฝ่ามือ ทั้งปลายลิ้นที่แตะไล้เบาๆ ตรงปากล่าง

เหมือนกับการวอนขอ ให้ผมยอมเปิดทางให้

แต่ผมก็ยังคงนิ่ง ขัดกับฝ่ามือที่จิกทึ้งเสื้อของอีกฝ่ายราวกับจะบอกว่าผมกำลังต่อต้าน

เดฟใจเย็นกว่าที่ผมคิดเอาไว้ ไม่มีร่องรอยของความรีบ ไม่มีการเร่งให้รู้สึกลำบากใจ ไม่มีแม้แต่การบังคับหรือแสดงท่าทางหัวเสียออกมา

เขาแค่ถอยห่างออกไป เว้นระยะว่างระหว่างเรา สบตาผมนิ่ง ก่อนจะกดจูบลงมาอีกครั้งตรงมุมปาก

ผมเริ่มหรี่เปลือกตาลง จนกลายเป็นปิดสนิท ทุกความเหนื่อยล้าที่เคยสะสมมากำลังจะออกมาแสดงตัว เพราะร่างกายน่ารังเกียจนี้กำลังพบเจอกับความรู้สึกที่ชาตินี้ ผมไม่เคยคิดฝันว่าจะได้รับ

ทำราวกับมันสำคัญมากนัก

ทำราวกับว่ามันเปราะบาง จนจับต้องแรงๆ ไม่ได้

ริมฝีปากของผมค่อยๆ เปิดอ้าออกช้าๆ พร้อมกับลิ้นอุ่นร้อนที่แทรกตัวเข้ามา แตะสัมผัสเบาๆ กับปลายลิ้นของผมราวกับขออนุญาตอย่างเป็นทางการ

ไม่เห็นจะต้องทำให้มันดูมีค่าขึ้นมาขนาดนั้น

ลมหายใจของผมเริ่มติดขัด จูบของเดฟหนักแน่นขึ้นราวกำลังประกาศความจริงใจอยากที่เจ้าตัวว่า ชักนำ แต่ไม่ได้กระชากให้ผมไปตามทางที่เขาต้องการ

จูบนี้ให้ความรู้สึกที่ดีจนน่าใจหาย พอๆ กับความรู้สึกโกรธตัวเองที่มากขึ้นเทียบเท่ากัน

เพราะผมให้สิ่งที่ดีเท่าเทียมตอบแทนไม่ได้

ริมฝีปากอุ่นผละออกอย่างอ้อยอิ่ง ก่อนจะแนบลงอีกครั้งที่ข้างแก้ม กดสัมผัสเนิ่นนาน ก่อนจะผละออกแล้วเลื่อนขึ้นไปตรงขมับอีกครั้ง ทำแบบเดียวกัน .. แล้วเปลี่ยนไปหยุดตรงหน้าผาก

ปลายคิ้ว.. เปลือกตา.. ปลายจมูก.. ริมฝีปาก.. คาง..

เสื้อยืดของอีกฝ่ายยับยู่ยี่อยู่ในมือของผม ก่อนที่ผมจะเริ่มคลายมันออก

ความคิดในหัวตีกันวุ่นวาย จนพอถึงจุดหนึ่ง ทุกอย่างก็หายวับไป เหลือไว้เพียงความว่างเปล่า กับสัมผัสเนิบนาบที่จรดลงบนผิวของผมช้าๆ เปลี่ยนตำแหน่งไปเรื่อยๆ จนแทบจะเป็นการจูบเอาทุกอย่างที่ผมมีบนร่างกาย

ลำคอ.. ไหปลาร้า.. ลาดไหล่.. แผ่นหลังของผมถูกเอนลงจนสัมผัสกับความอบอุ่นของโซฟา ขัดกับความหนาวเย็นที่ปะทะเข้าผิวหนัง ตอนที่เสื้อถูกเลิกขึ้นสูง

ผมไม่กล้าแม้แต่จะลืมตาขึ้นมอง หรือขยับตัว

แล้วจูบสะเปะสะปะก็พรมลงบนร่างกายอีกครั้ง พร้อมกับลมหายใจของผมที่เริ่มขาดเป็นห้วง

ฝ่ามือแข็งแรงบีบนวดไปตามช่วงสะโพก ก่อนจะหยุดนิ่งตรงต้นขา ผมผวาสะดุ้ง ตอนที่สะบักรับรู้ถึงปลายลิ้นและการลากเลียเนิบช้า

สัมผัสที่ได้ ไม่ใช่ความนุ่มนิ่ม

มันหยาบดิบไม่ต่างกับผู้กระทำ .. แต่สิ่งที่ผมไม่เคยเจอมาก่อนทั้งชีวิต คือสัมผัสที่ให้ความรู้สึกอ้อยอิ่งนี่ มันชวนให้รู้สึกว่าเขากำลังยกผมเป็นศูนย์กลางของสิ่งที่กำลังดำเนินอยู่ตอนนี้ ไม่ใช่ตัวเขาเอง

เขากำลังตามใจผม ไม่ใช่ตัวเอง

สัมผัสทั้งหมด เกิดขึ้นเพื่อผม ..

ผมสูดลมหายใจเข้า ก่อนจะเผลอกลั้นมันไว้พร้อมกับร่างกายทั้งเกร็งเครียด กางเกงผ้าที่สวมใส่อยู่ถูกรูดลงจนหลุดจากข้อเท้า

ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้นอีกเกือบนาที

“ลืมตาสิ” เดฟพูดขึ้นเบาๆ และผมใช้เวลาอีกร่วมนาที ในการทำตามคำพูดนั้น

ดวงตาของผมเลื่อนสบกับเดฟพอดี ราวกับว่าอีกฝ่ายกำลังจับจ้องผมอยู่ก่อนแล้ว ตลอดเวลา

เดฟพยักหน้าช้าๆ ก่อนที่ริมฝีปากร้อนจะกดลงตรงต้นขาผม ดวงตาช้อนขึ้นมอง ตรึงผมให้เห็นทุกการกระทำที่กำลังเกิดขึ้น

ไม่มีการสร้างรอย ไม่มีการรุกล้ำ เหมือนเดิม ..

มีเพียงแค่จูบหนักๆ ที่กดลงบนผิวของผมเนิ่นนาน ก่อนที่เรียวขาของผมจะถูกยกขึ้นพาดบนบ่าแข็งแรง เดฟทำทุกอย่างด้วยความไม่เร่งรีบ และไม่ปลดสายตาออกตาของผมด้วยเช่นกัน

ผมถอนหายใจหนักๆ ออกมา ตอนที่เขาประทับจูบลงตรงต้นขาด้านใน ริมฝีปากเผยออ้าเล็กน้อย พร้อมกับฟันขาวที่เสียดเบาๆ กับผิวเนื้อ ลมหายใจอุ่นร้อนลากเลียร่างกาย ก่อนที่ปลายลิ้นจะแตะไล้เป็นจังหวะเนิบนาบ

ตอนนั้น ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะเป็นบ้าไป

ทุกสติแตกคว้างเป็นเศษเสี้ยว

รู้ตัวอีกที.. น้ำอุ่นๆ ก็หยดไหลออกจากดวงตา

“ฉันจะไม่ทำอะไร ถ้านายไม่ต้องการ” เดฟเอียงใบหน้า ก่อนจะแนบแก้มเขากับเรียวขาของผม ปลายนิ้วลากย้ำผ่านซ้ำไปซ้ำมา สร้างความรู้สึกสบายใจ

ผมยกหลังมือขึ้นปิดริมฝีปาก ฟันคมๆ กัดลงบนปากล่างจนรู้สึกเจ็บ ร่างกายสั่นไหว จากการสะอื้นจนตัวโยน ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากลำคออย่างที่ผมตั้งใจกดเหยียบมันเอาไว้

ผมกำลังรู้สึกอ่อนแอ

และเดฟกำลังแสดงท่าทางปกป้องออกมา

“จริงๆ นะ.. ฉันจะไม่ทำอะไร แค่นายสั่งให้หยุด” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน พร้อมกับสีหน้าเครียดขึง ความทรมานกระจายตัวอยู่บนใบหน้า และผมรู้ดีว่าเดฟกำลังพยายามหนักมากขนาดไหน

เดฟหายใจเข้าลึก

“มันก็แค่.. ต้องพยายามข่มอารมณ์เพิ่มขึ้นอีกหน่อยก็เท่านั้น"



____
#เดฟฟลอยด์

1คอมเม้นต์1กำลังใจ
รักเสมอ

Cinzano 505.

ออฟไลน์ candynosugar+

  • กลัวแล้ว
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 190
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-2
    • CDNSG+
Re: I BITE :: Chapter.16 As A Pain Killer (26/01/2560)
«ตอบ #52 เมื่อ26-01-2017 22:09:59 »

ดีงามจริงๆ

เป็นกำลังใจให้เช่นเคยนะคะ สู้ๆ  :o8:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: I BITE :: Chapter.16 As A Pain Killer (26/01/2560)
«ตอบ #53 เมื่อ26-01-2017 22:43:22 »

เดฟ เป็นผู้ชายที่ยอดเยี่ยมจริงๆ
สะกดกลั้นอารมณ์ใคร่ที่เกิดขึ้น
ไม่รีบร้อน รุกเร้าตะโบม เอาแต่ใจตัวเอง ให้เสร็จๆไป
จูบอย่างเชื่องช้า ไม่เกินเลย สุภาพ ยอมกับเจ้าของเรือนร่าง
แค่คิดว่าให้เกียรติ ฟลอยด์  ก็อบอุ่น น่ารักแล้ว
ทั้งที่ต้อง อดกลั้น ระงับอารมณ์ตัวเองแทบตาย
ไรท์ ใช้ภาษาสวยงาม ยอดมาก  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ lnudeel

  • I wanna be a CAT!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-5
Re: I BITE :: Chapter.16 As A Pain Killer (26/01/2560)
«ตอบ #54 เมื่อ26-01-2017 22:55:51 »

เดฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ~ :กอด1: :mew6: :katai2-1:

ออฟไลน์ mkianit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-3
Re: I BITE :: Chapter.16 As A Pain Killer (26/01/2560)
«ตอบ #55 เมื่อ26-01-2017 23:10:08 »

เปิดใจดูสิฟลอยด์มันอาจจะเป็นโลกใบใหม่เลยก็ได้ ลองเชื่ออีกสักครั้ง  :hao5:

ออฟไลน์ mecinzano505

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
Re: I BITE :: Who'll Stop The Rain (27/01/2560)
«ตอบ #56 เมื่อ27-01-2017 17:00:13 »


17_
Who'll Stop The Rain




ทั้งๆ ที่เขายอมทำถึงขนาดนี้.. ทำให้ผมเริ่มรู้สึกดีกับร่างกายห่วยๆ นี่ ทำให้เห็นว่ามันมีค่าจนน่าตกใจในสายตาของเขา

แต่แล้ว ก็เป็นผมเองที่ทำลายทุกอย่างลง

มันเป็นเพราะความไม่แน่ใจในอะไรบางอย่าง ความรู้สึกหวาดกลัว ระแวดระวัง และเหมือนว่าผมกำลังจะสูญเสียอะไรบางอย่างไป ทุกอย่างมันเยอะเกินไป เกินกว่าที่ผมจะทำความเข้าใจได้ทั้งหมด

“ไม่..” เสียงของผมเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็หนักแน่นพอจะทำให้ดวงตาคู่ตรงข้ามหม่นวูบไปชั่วขณะ เดฟผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ ใบหน้าที่แนบชิดกับขาผมอยู่ก้มลงจนกลายเป็นเส้นผมที่เสียดสี

ฝ่ามืออุ่นลากตกลงอย่างหมดแรง และหยุดนิ่งอยู่ตรงข้อเท้าของผม

“นาย ยังไม่ยอมเปิดให้ฉันเข้าไปจริงๆ สินะ” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูห่างไกล รอยยิ้มจางๆ ถูกจุดขึ้นมุมปาก “แต่นั่นไม่เป็นไร”

เดฟยืดตัวขึ้นยืน หมอนอิงใบใหญ่ที่วางอยู่ถูกหยิบมาวางบังต้นขาที่เปล่าเปลือยของผมไว้ เขาจ้องค้างมา ก่อนจะปิดเปลือกตาแน่นแล้วสะบัดหน้าไปอีกทาง “ขอโทษด้วย ที่เร่งนายเกินไป”

น้ำเสียงนั้นห้วนกระด้าง.. ถ้าคิดในแง่ดี ผมคิดว่าเดฟไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะมาพูดจาเชิงอ่อนหวานกับใครในตอนนี้

ดูจากสันกรามที่บดเข้าหากัน กับจังหวะหายใจหนักๆ นั่น

ไม่ใช่ความโมโห ถึงจะดูเหมือนก็ตาม

ผมนึกสะท้อนแปลกๆ ในใจ มองความอึดอัดและการพยายามสกัดกลั้นอารมณ์ตรงหน้า

เดฟแตะปลายนิ้วเข้าที่หมอนอิง นิ่งค้างอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะผละออกไปเร็วๆ เสียงประตูห้องน้ำกระแทกปิด ก่อนที่ความเงียบจะครอบงำผมที่นั่งอยู่ตรงนี้คนเดียว

.. ยากเกินไป

การมีอะไรกับผู้ชายนับไม่ถ้วนที่ผมจำแม้กระทั่งหน้าไม่ได้ ทำให้ผมรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง เวลาที่คิดว่าจะต้องเปิดเผยความง่ายนั้น .. ให้คนที่ผมมีความรู้สึกด้วยเห็น

ผมขยับข้อมือกำรอบกางเกงตัวเอง ก่อนจะดึงขึ้นมาใส่เหมือนเดิม ความหนักอึ้งถ่วงหนักอยู่ในอกและสมอง ปลายเท้าสัมผัสกับพื้นเย็นๆ พาร่างของผมกลับเข้าไปในห้องนอน

นั่นเป็นอีกคืน

ที่ผมนอนไม่หลับ แม้จะพยายามข่มตาและนอนนิ่งๆ อยู่ทั้งคืน

 

 

 

 

พอตื่นขึ้นมาตอนเช้า ผมก็ต้องพบกับความรู้สึก.. ทำนองว่าวางตัวไม่ถูกอีกครั้ง

ผู้ชายผมสีบลอนด์ที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า กับเดฟที่นิ่งชะงักอยู่ด้านหลัง

ฝ่ามือของผมแตะค้างอยู่ที่ลูกบิดประตู เพราะมีใครสักคนมาเคาะมัน ผมถึงได้เดินออกมาเปิดเพราะว่าเดฟอยู่ในห้องน้ำ

สายตาที่มองมา ไม่เป็นมิตรและเย็นชาจนผมรู้ซึ้งได้ทันทีโดยไม่ต้องคาดเดา ว่าคนตรงหน้ามีความรู้สึกด้านบวกให้ผมมากน้อยขนาดไหน

“ขอคุยด้วยได้หรือเปล่า” เขาพูดขึ้นด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก กับสายตาที่มองเลยผ่านผมไปราวกับผมเป็นอากาศที่ขวางทางอยู่

ความรู้สึกอึดอัดแบบแปลกๆ เข้าเกาะกุม ก่อนจะสลายหายไปในไม่ถึงนาที เมื่อแผ่นหลังผมรับรู้ถึงความอบอุ่นที่ซ้อนทาบ

เดฟวางมือซ้อนมือของผม ประตูถูกบังคับให้เปิดกว้างขึ้น ก่อนที่ร่างของผมจะถูกดึงให้ถอยหลัง แรงบีบเบาๆ ตรงไหล่ ผมไม่แน่ใจว่าเดฟตั้งใจจะสื่อสารอะไรหรือแค่เผลอพลั้งมือจากอารมณ์ที่ไม่คงที่

“ส่วนตัว ไม่ได้เหรอ?” ผู้ชายที่เดฟเคยเรียกว่าบีร้องขอ ดวงตาตวัดมองผม ก่อนที่การแค่นหัวเราะจะหลุดออกมาเพราะคำตอบที่ได้รับ

“มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรตอนไหนกัน” นั่นเย็นชาน่าดู แม้แต่กับผมที่ไม่ได้เป็นคนรับประโยคนั้นโดยตรงยังสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงนั่น

บีเม้มปาก หน้าเสีย และดวงตาที่เริ่มขึ้นสีแดงจางๆ

เขาเดินไปทรุดตัวนั่งบนโซฟา ฝ่ามือประสานเข้าหากัน .. มันแข็งเกร็ง ขัดกับท่าทางสบายๆ ที่อีกฝ่ายพยายามแสดงออกมา

ผมคิดว่าตัวเองไม่ควรอยู่ตรงนี้สักเท่าไหร่ อย่างน้อย ถ้ามีอะไรระหว่างสองคนนี้ ผมก็ไม่คิดว่าตัวเองต้องมีส่วนรู้เห็นด้วยในเรื่องนี้

บีก็อาจจะกำลังรู้สึกแบบนั้นก็ได้ ..

“ผมออกไปข้างนอกดีกว่า” แล้วผมก็พูดขัดออกไป เดฟปรายตามองมา เขาไม่ได้อนุญาต แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธต่อคำพูดนั้น สีหน้าเรียบนิ่งให้อารมณ์ทำนองว่า ‘อยากทำอะไรก็ทำ’

“นายก็อยู่ต่อสิ” กลับกลายเป็นบีที่พูดขึ้นมา ดวงตาจับจ้องค้างไปที่เดฟ ทั้งๆ ที่กำลังพูดอยู่กับผม “มีสิทธิ์อยู่ ก็ควรจะอยู่”

เสียง เหอะ หลุดออกจากลำคอของเดฟเบาๆ เขาเอียงหน้าเล็กๆ พร้อมกับแผ่นหลังที่เอนพิงตู้เก็บของด้านหลัง “ถ้าจะมาแค่ประชดแบบนี้ ไม่คิดว่าน่ารำคาญไปหน่อยหรือไง”

“ทำไมต้องพูดแรงใส่กันขนาดนี้ด้วย”

“แล้วทำไมนายไม่ถามตัวเองด้วยคำถามนั้นล่ะ ทำไมถึงได้ทำใส่กันได้แรงขนาดนั้น” เดฟสวนกลับไปแทบจะในทันที สีหน้าเรียบนิ่งเหมือนเดิม แต่ให้ความรู้สึกแตกต่างจากยามปรกติอย่างเห็นได้ชัด “แค่คำพูดพวกนี้ มันเทียบกันได้ไหมล่ะ”

“ผมก็ขอโทษแล้วไง ผมขอโทษไปแล้วไง!” บีลุกขึ้นยืน ขาก้าวยาวๆ มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าร่างสูง พร้อมกับฝ่ามือที่กำเข้าหากันแน่น

เดฟกัดริมฝีปากล่างเบาๆ รอยยิ้มเย้ยหยันวาดขึ้นชัดเจนอย่างจงใจ

“แล้วฉันต้องรับมันง่ายๆ ..” ดวงตาสีเข้มช้อนขึ้นจ้องอีกฝ่ายเขม็ง “เหมือนกับที่นายรับไอ้เวรนั่นให้เข้าไปอยู่ในร่างกายน่ะเหรอ”

!

“ผมไปข้างนอกดีกว่า” ผมพูดแทรกขึ้นไป ตั้งใจจะให้รบกวนการสนทนาพวกนี้ให้น้อยที่สุด แต่แรงบีบหนักๆ ตรงช่วงต้นแขนกระชากผมไว้ให้อยู่ที่เดิม

ฝ่ามือของบีเกร็งแน่นจนเห็นเส้นเลือด เขาส่งสายตาท้าทายไปที่คนตรงหน้า ขณะที่เดฟเริ่มมีสีหน้าที่น่ากลัวขึ้น

“นายไม่อยากลองดีแน่” เดฟพูดช้าๆ ด้วยโทนเสียงหนักแน่น

บีหลุดหัวเราะออกมา สีหน้าเขาย่ำแย่จนเห็นได้ชัด ดวงตาเริ่มแดงก่ำ พร้อมกับของเหลวใสๆ ที่คลอแน่นอยู่ “เปลี่ยนใจเร็วเหลือเกินนะเดฟ ไม่กี่เดือน คุณก็มาเอาคนใหม่ไม่ต่างกันนั่นแหละ”

คิ้วผมกระตุกจากคำพูดที่สาดใส่ร่างกาย ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังโมโห คนโมโหสามารถพูดอะไรก็ได้ แต่นั่นไม่ได้ช่วยให้ความกรุ่นโกรธเล็กๆ ที่เกิดขึ้นในตัวจางลงได้เลย

เขากำลังล้ำเส้น..

“เบน” เดฟกดเสียงต่ำ นั่นอาจจะเป็นชื่อจริงๆ ของผู้ชายคนนี้ ฝ่าเท้าก้าวเข้าหาช้าๆ อย่างคุกคาม ก่อนที่ร่างของเบนจะถูกเหวี่ยงแรงๆ จนกระแทกกับโซฟา

ผมเบิกตากว้าง เพราะความตกใจทำอีกฝ่ายเผลอปล่อยมือที่จับผมอยู่ และใช่ ผมเองก็ตกใจไม่ต่างกัน เพราะเสียงปะทะที่ดังลั่นเมื่อครู่

ดวงตาของเดฟมุ่งร้าย ขณะที่เขาตรงเข้าไปบีบไหล่อีกฝ่ายด้วยสองมือ

ในความโกรธที่แสดงออกมา..

มีความผิดหวังแทรกซึมอยู่ จนเป็นผมเองที่รู้สึกวูบโหวงแปลกๆ จากการมองเห็นมัน

“เข้ามาหา แล้วบอกว่าอยากให้ฉันชอบนาย” เดฟพ่นลมหายใจออกทางจมูก คล้ายกับการเยาะเหยียด “พอฉันเริ่มที่จะรู้สึกแบบนั้น..”

เบนเบิกตากว้าง น้ำตาที่เก็บอยู่ไหลลงในทันทีที่กะพริบตา

“ถ้าอยากเอากับคนอื่นมากนัก ฉันก็หลีกทางให้แล้วไง ต้องการอะไรอีก”

เบนเม้มปาก แรงสะอื้นเบาๆ เกิดขึ้น ก่อนจะกลายเป็นการร้องไห้อย่างสมบูรณ์แบบ ฝ่ามือผอมบางยกขึ้นจับเสื้อของเดฟก่อนจะบีบไว้แน่น

ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาหลังจากนั้น

“นายเป็นคนทำลายทุกอย่างทิ้งไปเอง ทุกอย่างที่ฉันให้ แล้วทีนี้ยังไง”

เดฟบีบไหล่อีกฝ่ายแน่นจนเห็นแรงสั่น “อยากได้โอกาสเหรอ” เขาถามเสียงสูง

ดวงตาของเบนหรี่ปิดลงแน่น ราวกับกำลังหลีกหนีจากสิ่งที่เผชิญอยู่

ไม่ต่างจากผมเองที่ก็ทำได้แค่ยืนนิ่งค้างอยู่กับที่ เริ่มรู้สึก เหมือนกับตัวเองไม่มีตัวตนอยู่ในสถานที่แห่งนี้ จนกระทั่งร่างสูงพูดประโยคถัดไปออกมา

 

“มันไม่มีหรอก ได้ยินไหม ไม่มีโอกาสอะไรทั้งนั้น เพราะว่าทุกอย่างที่ฉันมีในตอนนี้ คนที่ฉันอยากมอบทุกอย่างให้ในตอนนี้ ไม่ใช่นาย..”

ดวงตาสีเข้มเหลือบกลับมาสบกับผม กระแสความรู้สึกหนักแน่นไหลเวียน กระชากให้ผมกลับมายืนอยู่ตรงนี้

กลับมามีตัวตนอยู่ที่นี่อีกครั้ง

“แต่เป็นผู้ชายคนนั้น”









 

“เฮ้ ฟลอยด์!” สัมผัสที่คว้าเข้าตรงไหล่เรียกให้ทั้งร่างผมสะดุ้ง เหมือนถูกปลดออกจากความคิดซับซ้อนในหัว โจยืนอยู่ข้างๆ รอบตัวเราคือด้านหลังร้าน ที่ทำงานของผม

ตอนนั้น.. เป็นผมเองที่ไม่รู้ว่าควรจะต้องพูดหรือแสดงสีหน้ายังไง เช่นเดียวกันกับเบนที่นิ่งชะงักไป ริมฝีปากสีสดเม้มเป็นเส้นตรง ก่อนที่เขาจะพาตัวเองออกไป

ความเงียบโรยตัวหลังจากนั้น และผมก็เป็นฝ่ายเอ่ยประโยคขอตัวเบาๆ เพื่อหลบหนีจากทุกความกดดันที่เกิดขึ้นในสถานที่นั้น

ขี้แพ้

ผมรู้ดีว่าตัวเองเหมาะกับคำบรรยายนั้นมากแค่ไหน

“เฮ้!” เป็นอีกครั้งที่โจตะโกนออกมาเสียงดัง พร้อมกับฝ่ามือที่โบกไปมาตรงหน้าของผม ผมกะพริบตา เริ่มรับสภาพของปัจจุบันเข้ามาแทนที่อดีตที่จมอยู่

“โทษที”

“เป็นอะไรหรือเปล่า นายเหม่อ” โจถาม ดวงตาจ้องผมอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ “เหม่อทั้งวันเลยด้วย”

“ไม่มีอะไร”

“โกหก” ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ ยกมือขึ้นปัดไปมาราวกับจะปฏิเสธคำกล่าวนั้น

“ต่อให้มีก็ไม่อยากพูดตอนนี้ เข้าใจไหม” ความซื่อตรงเป็นสิ่งที่ทำให้โจหยุดรบเร้า เขาเม้มปาก ก่อนจะเอนตัวพิงเคาน์เตอร์ด้านหลัง เพราะว่าร้านใกล้จะปิดแล้ว พวกผมถึงมีเวลามายืนเฉยๆ กันแบบนี้ และใช่ เพราะว่าล้างจานเสร็จไปหมดแล้วด้วย

วันนี้คนที่ทำหน้าที่ในครัวคนนั้นกลับมาทำงานตามปรกติ ผมจึงถูกย้ายกลับมาทำตำแหน่งเดิมอย่างเลี่ยงไม่ได้ นั่นหมายความถึงการเผชิญหน้ากับโจด้วย

แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะผมไม่คิดว่าจะมีอะไรรบกวนจิตใจและความเครียดของผมไปได้มากกว่าผู้ชายอีกคนที่อยู่ที่บ้านหรอกตอนนี้

เรื่องของโจ กลายเป็นเรื่องเล็กๆ ที่ผมแทบไม่ใส่ใจเลยด้วยซ้ำ.. มันอาจจะฟังดูโหดร้าย แต่ผมบังคับความคิดความรู้สึกของตัวเองไม่ได้

ทำได้แค่เหยียบมันไว้ และแสดงออกราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเท่านั้น

“คราวนี้ เราจะคุยกันได้แล้วหรือยัง” อยู่ดีๆ โจก็พูดขึ้นมา และการเริ่มเรื่องแบบนี้ ผมไม่แปลกใจเลยสักนิด จากสีหน้ากระอักกระอ่วน และการหันมาแอบมองผมแทบจะตลอดเวลาตอนทำงาน ทำอย่างกับว่าผมไม่รู้ตัว แค่ไม่ได้หันไปมองเพราะว่าไม่รู้จะแสดงสีหน้ายังไงกลับไป

เขารอคอยช่วงเวลานี้มาตลอด

“คุยสิ” ผมผ่อนลมหายใจออกช้าๆ เป็นจังหวะเนิบนาบ ก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนขั้นบันไดขั้นที่สาม เขี่ยปลายเท้าเข้ากับพื้นสกปรก ก่อนจะหยุดนิ่งพร้อมกับมือสองข้างที่ประสานกันบนหน้าขา

“อยากคุยเรื่องอะไร” ผมถามไปอย่างนั้นเอง อาจจะเป็นการช่วยให้คนตรงหน้าเริ่มประเด็นได้ง่ายขึ้นด้วยล่ะมั้ง

โจที่ดูไม่เคยกลัวอะไร ตอนนี้มีสีหน้าพิลึกจนผมเกือบหลุดหัวเราะออกมา

ถ้าไม่ติดว่าไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะทำแบบนั้นเลยสักนิด

“จูบนั่น..” โจเกริ่น อย่างที่ผมคิดว่าเขาจะทำ “ที่ฉัน.. จูบนาย ที่ห้องวันนั้น”

“จำได้น่ะ ไม่ได้ความจำเสื่อมนะ” ผมขมวดคิ้ว รู้สึกแปลกๆ กับการฟังคำบรรยายยาวเหยียดเจาะจง ที่เหมือนดึงผมให้กลับไปมองเห็นภาพนั้นชัดเจนอีกครั้ง

ผมไม่ถือสาหรอก ความจริงแล้ว มันก็เป็นแค่จูบ.. กับคนเมาด้วยยิ่งแล้วใหญ่ นั่นหมายถึง ยังไงล่ะ สติเกินครึ่งของอีกฝ่ายถูกละลายเป็นเต้าหู้เหลวๆ เพราะแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไป

สิ่งที่ผมกังวล ไม่ใช่เรื่องการเอาปากมาสัมผัสกันโดยไม่มีสติ แต่เป็นความรู้สึกหลังจากนั้นต่างหาก

ผมยังไม่อยากเสียเพื่อนไปตอนนี้… ยิ่งเป็นเพื่อนจำนวนเท่าหยิบมือที่ผมมีอยู่ด้วย

“ฉัน.. ไม่.. ฉัน” โจอ้ำอึ้ง ขณะที่ผมเริ่มสอดปลายนิ้วเข้าหากันแล้วขยับเสียดสีเบาๆ “ฉัน.. ฉิบ!”

“โอเคไหม” ผมถาม โจในสายตาของผมตอนนี้ ดูงุ่นง่านจนน่าสงสาร เขาเหมือนคนที่คลำหาคำพูดของตัวเองไม่เจอ

โจเงยหน้าขึ้นมา จ้องผมเขม็ง ก่อนที่ทุกปลายประสาทในร่างกายผมจะแข็งทื่อ เมื่ออีกฝ่ายพุ่งเข้ามาหาด้วยความเร็วที่มากเกินกว่าจะตั้งตัวทัน

ริมฝีปากอุ่นบดเบียดเข้ามา พร้อมกับฝ่ามือที่ล็อคใบหน้าผมไว้

.. นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมเคยคาดเดาเอาไว้ว่าจะเกิดขึ้น

แรงขัดขืนเล็กๆ เกิดขึ้นในตอนแรก และโจดูเหมือนตั้งใจเพิกเฉยมัน หรือไม่ก็ขาดสติจนไม่ทันสังเกตเห็นอะไร พอเป็นแบบนั้น ผมถึงเริ่มออกแรงมากขึ้น

จูบที่อีกฝ่ายพยายามยัดเยียดให้ผมเริ่มเปลี่ยนไป

ในตอนแรก มันทาบทับลงมาคล้ายหวังให้ผมเปิดทางให้ เหมือนการร้องขอ

แต่ในตอนนี้ ยิ่งผมพยายามบิดตัวเองออกจากการจับกุมมากเท่าไหร่ ความรุนแรงและการยัดเยียดยิ่งเผยตัวตนชัดขึ้นเท่านั้น

ไม่ใช่แบบนี้..

ผมส่งเสียงประท้วงในลำคอ ก่อนจะรวบแรงทั้งหมดที่มีเพื่อผลักอีกฝ่ายออกไป พร้อมกับทั้งร่างที่ผุดลุกขึ้นยืน โจหอบหายใจ ขณะที่ผมยกปลายนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากตัวเอง

มันแสบ.. แล้วก็เห่อช้ำ

“คิดว่าตัวเองทำอะไรอยู่” เสียงของผมให้ความรู้สึกห่างไกลจนน่าตกใจ มันเป็นเสียง ที่ผมไม่คิดว่าตัวเองจะใช้พูดกับใครอีกในตอนนี้

โจถอยหลังไปสองสามก้าว ฝ่ามือทั้งสองข้างยกขึ้นกุมรอบศีรษะด้วยท่าทางสับสน ผมมองท่าทางนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ความโกรธแล่นริ้วในหัวสมอง

ครั้งแรกที่ห้องนั้น ผมไม่มองว่ามันเป็นอะไรทั้งนั้นนอกจากความผิดพลาด

แต่ในครั้งนี้.. มันให้ความรู้สึกของการบังคับมากเกินไป จนทำให้ผมรู้สึกโกรธ

แล้วภายในความรู้สึกไม่พอใจทั้งหมดที่เกิดขึ้น.. ใบหน้าของใครอีกคนแฝงตัวอยู่เงียบงัน แต่ชัดเจนหลังเปลือกตา

“ไม่คิดว่าเราจะคุยกันรู้เรื่อง” ผมเปรย ก่อนจะถอดผ้ากันเปื้อน พับมันลวกๆ แล้ววางไว้บนเคาน์เตอร์ ในชั่วขณะหนึ่งที่ผมจับท่าทางของตัวองได้ ชั่วขณะหนึ่งที่เดินผ่านร่างสูงที่ยืนนิ่งอยู่ มันคือการหลีกหนี ราวกับไม่อยากเข้าใกล้หรือสัมผัสตัว

ฝ่าเท้าของผมหยุดชะงักอีกครั้ง แรงบีบตรงข้อมือ ไล่ลามขึ้นมาถึงต้นแขน

ผมเพ่งสายตาไปที่ผนังมืดๆ ที่ไฟส่องไปไม่ถึง เสียงหอบหายใจของโจดังลั่นอยู่ในกกหู

“นาย ถือตัวกับฉันเหรอ” น้ำเสียงของเขาเหยียดหยัน คำพูดที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยินจากปากคนคนนี้ เริ่มหลุดร่วงออกมาทีละเล็กละน้อย

“ดูสิ่งที่นายเคยทำที่เนวาด้าสิ นายทำอะไรที่นั่นกัน ไม่อยากจะเดาเลย” คำพูดนั้นเรียกเลือดลมในตัวผมให้สูบพล่าน ดวงตาเริ่มพร่ามัวและฉายอะไรเก่าๆ ที่ผมไม่อยากเห็น “แล้วทีนี้ นายกลับมาหวงตัวกับฉันเนี่ยนะ”

นั่น.. ร้ายกาจเป็นบ้า

ชวนให้รู้สึกเจ็บ กว่าคนแปลกหน้าที่ผมจำชื่อจำหน้าไม่ได้มาพูดใส่ซะอีก

เพราะสถานะที่ผมหยิบยื่นให้อีกฝ่าย มันคือมิตรภาพที่ผมตั้งใจให้ แต่ดูตอนนี้สิ..

พังไม่เหลือชิ้นดี แค่เพราะคำพูดที่ใช้เวลาเปล่งออกมาไม่ถึงสิบวินาที

พลั่ก!

แล้วเสียงหมัดกระทบเนื้อก็ดังลั่นขึ้น ผมสะบัดมือตัวเองเบาๆ ดวงตาปรายต่ำมองโจที่ทรุดลงไปนั่งที่พื้น

ถ้าผมเคยทำคนอย่างเดฟเลือดออกได้ หมัดในรอบที่ที่จงใจกว่ามากก็ทำให้โจอยู่ในสภาพไม่ต่างกัน ปลายนิ้วเรียวยาวยกขึ้นแตะเลือดและรอยช้ำวงใหญ่ตรงมุมปากและแก้มตัวเอง และก่อนที่เขาจะได้ทำอะไรมากกว่านั้น

ผมก็หันหลังแล้วเดินออกจากตรงนั้นทันที

เดินเร็วขึ้นเรื่อยๆ .. จนกลายเป็นการวิ่ง พร้อมทั้งความอึดอัดและการบีบรัดจนเจ็บที่หน้าอก ปลายนิ้วยกขึ้นกำเสื้อตรงอกตัวเองแน่น จิกย้ำลงไปเพื่อรับรู้ความชาที่ลุกลามใหญ่โต

 

ผมอาจจะเป็นบ้า

แต่ในตอนนี้ ผมยอมรับได้เต็มปากเต็มคำ

ว่าคิดถึงผู้ชายคนนั้นมากแค่ไหน









ฮาร์เลย์ของเดฟจอดนิ่งอยู่หน้าบ้านตอนที่ผมกลับไปถึง ผมไม่ได้ตรงกลับไปที่นั่นในทันทีที่เกิดเรื่อง แต่กลับพาตัวเองไปทิ้งดิ่งอยู่ที่บาร์เล็กๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่บาร์เดียวกับที่พวกเดฟสุมหัวอยู่

เงินทั้งหมดที่ผมมี ถูกยื่นไปเพื่อแลกกับแก้วช็อตนับไม่ถ้วน

จำไม่ได้แล้วว่าดื่มไปเท่าไหร่ …

ไม่ใช่โจหรอก ที่เป็นต้นเหตุในการทำตัวไร้สติแบบนี้ อย่างน้อยก็ไม่ใช่โจไปซะทั้งหมด

พอถูกสะกิดแผลเข้านิดหน่อย.. สมองห่วยๆ นี่ก็กลับไปลากเอาทุกอย่างที่ผมมีในอดีตมาตบหน้าผมแรงๆ จนชา ความร้อนที่ไหลวนผ่านปลายลิ้นและลำคอบาดเฉือนภาพความทรงจำพวกนั้นให้ขาดวิ่น เยียวยาได้ไม่ถึงหนึ่งนาที ก็จำเป็นที่จะต้องดื่มกินลงไปซ้ำเพื่อให้ได้ผลลัพธ์แบบเดิม

เมาซะแล้ว …

ผมเตือนสติตัวเองย้ำๆ ตลอดทุกฝีก้าวที่มีตลอดทางกลับมาที่บ้าน ดวงตาจ้องค้างไปที่ฮาร์เลย์สีดำ ก่อนจะลากกลับไปมองประตูบ้าน

ตรงโซฟา.. ไม่มีใครอยู่ ปลายเท้าผมลากผ่านบนพื้นไปเรื่อยๆ จนเกิดเสียงเสียดสี กองหนังสือพิมพ์ยังวางเป็นระเบียบอยู่ตามพื้น ยกระดับสูงขึ้นมาจนเกือบจะเท่ากับตัวผม หนังสือตามชั้นวางอยู่ที่เดิม สะเปะสะปะแต่ก็ดูเป็นระเบียบอยู่ในที

แล้วผมก็พบเดฟ นั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน แผ่นหลังกว้างให้ความรู้สึกหลากหลายเวลามอง

แต่ไม่มีความคิดใดโผล่ขึ้นมาในหัวของผมเลยในช่วงเวลานั้น

“กลับช้านะ” เดฟทัก โดยที่ไม่หันมามอง “.. นึกว่าจะไม่กลับมาแล้ว”

ผมหลุดยิ้มฝืดเคือง อาจจะเป็นแบบนั้น.. ผมเป็นคนหนีออกไปจากที่นี่เอง ตอนที่มีเรื่องกันตอนเช้า

แล้วเดฟก็ชะงักไป ผมเดาได้ในทันทีว่าเขาสัมผัสได้ถึงอะไรที่แปลกไป อย่างเช่น กลิ่นแอลกอฮอล์ที่ลอยออกจากตัวผมตอนนี้เป็นไง

เพราะอะไรสักอย่าง ทำให้บรรยากาศระหว่างเราตอนนี้ผิดเพี้ยนไป ไม่สิ ถ้าพูดให้ถูกก็คือ เหมือนยกเอาความอึดอัดที่สะสมใส่กันมาวางไว้รอบตัวก็คงได้

แม้กระทั่งตอนที่ผมขยับตัวเข้าไปใกล้มากขึ้นกว่าเดิม เดฟก็ยังคงนั่งนิ่งและไม่หันมา ทำท่าราวกับกำลังสนใจกระดาษในมือมากมาย.. อาจจะเหนื่อยแล้วกับการสนใจแล้วก็เข้าหาผมก็ได้

ผมปลดกระดุมออกหนึ่งเม็ด ความร้อนเริ่มไล่ลามขึ้นตามช่องอกและสันกราม ไม่แน่ใจนักในตอนนี้ ว่าเหล้าทั้งหมดที่ผมดื่มไปช่วยลบล้างอะไรได้บ้าง

เศษความทรงจำยังติดค้างอยู่ที่ปลายสายตา

“คุณ .. ชอบผมใช่หรือเปล่า” เพราะอะไรผมเองก็ไม่แน่ใจ แต่คำถามนั้นก็หลุดออกจากริมฝีปากไปแล้ว

ปราศจากการไตร่ตรอง

เดฟหมุนเก้าอี้กลับมา เขาจ้องมองผมไม่วางตาด้วยสีหน้าประหลาดใจ อาจจะคิดไม่ถึงว่าผมจะกลายเป็นฝ่ายเริ่มประเด็นนี้ขึ้นมาก่อน

“ใช่” คำตอบเรียบง่าย

แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่มีคนบอกว่าชอบผม

ว่ากันตามจริง.. ใครๆ ก็ชอบผมทั้งนั้น

“บอกได้ไหมว่าทำไม”

อีกฝ่ายนิ่งไป สีหน้าราวกับครุ่นคิด ก่อนที่เขาจะสบตากับผม ริมฝีปากขยับช้าๆ เอ่ยคำตอบออกมาเป็นจังหวะเนิบช้า

“เพราะนายเรียกร้องให้ฉันเข้าหา” ผมกะพริบตา ไม่แน่ใจนักกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน

“ผมทำแบบนั้นตอนไหนกัน”

เดฟเผยรอยยิ้มออกมา ราวกับกำลังขบขันต่อคำถามนั้น ร่างสูงยืดตัวขึ้นยืน ก่อนจะสาวเท้าเข้ามาจนชิดกับผม แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเว้นระยะห่างไม่ให้ตัวเราสัมผัสกัน

ปลายนิ้วยกขึ้นทำท่าเหมือนจะจับใบหน้าของผม แต่ก็ชะงักค้างไว้กลางอากาศ

“ดวงตาคู่นี้มองตรงมาที่ฉัน.. ทั้งความหม่นเศร้า ความสงสัยใคร่รู้ ดึงดูดให้ฉันเข้าหา” เขาพึมพำ ดวงตาที่ทอดมองมาให้ความรู้อ่อนโยนผิดวิสัย “นายอาจจะไม่รู้ตัว ว่าทำสีหน้าแบบไหนใส่คนแปลกหน้าคนนี้ในวันนั้น”

เป็นอีกครั้งที่ผมละสายตาจากใบหน้าอีกฝ่ายไม่ได้

เดฟยังคงรักษาระยะห่างระหว่างเรา

“นายบอบบาง แต่ไม่ได้อ่อนแอ นั่นยิ่งทำให้ฉันปล่อยมือจากนายไม่ได้ รู้ไหม”

หลายๆ ความรู้สึกแฝงมาในรูปประโยคเรียบง่ายนั่น น่าแปลก ที่ผมสัมผัสได้ถึงทั้งการชื่นชม การยอมรับ การปกป้อง และการให้คำสัญญา

น่าแปลก ที่ความรู้สึกมากมายขนาดนั้น.. ทำให้ผมนึกหดหู่ แทนที่จะเป็นดีใจ

ภาพในอดีตยังซ้อนทับกับภาพที่ผมมองเห็นในปัจจุบัน ผมเม้มปากแน่น การตัดสินใจไม่ได้เกิดขึ้นจากสติที่ครบถ้วนสมบูรณ์

อันที่จริง ไม่มีการตัดสินใจอะไรเกิดขึ้นเลยมากกว่า ไม่มีอะไรทั้งนั้น นอกจากความรู้สึกสมเพชตัวเองและการประชดประชันที่มีเพียงผมคนเดียวที่จะรู้สึกเจ็บ

กลิ่นแอลกอฮอล์ยังคลอเคลียอยู่ตรงปลายจมูก ผ่อนผ่านออกมาสัมผัสอากาศพร้อมกับลมหายใจ

ผมกะพริบตา ก่อนจะก้าวปลายเท้าไปข้างหน้าเล็กน้อย ซ้อนนิ้วเท้าไว้บนปลายเท้าอีกฝ่ายเบาๆ พร้อมกับดวงตาที่ช้อนขึ้น

 

อีกแล้ว …

ความรู้สึกอึดอัดจนอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ แบบนี้

 

“แสดงให้เห็นสิ”

เข็มนาฬิกาเดินไปข้างหน้าช้าๆ ลมหายใจของผมถูกกำหนดเข้าออกเป็นจังหวะที่กดดันในตัวเอง.. เดฟต่อเวลาให้ผมด้วยการนิ่งราวกับต้องการจะดูเชิง

ก่อนที่เขาจะพรากทุกอย่างไปจากผม ทุกลมหายใจ ทุกสตินึกคิด ทุกการควบคุมตัวเอง

ร่างของผมถูกกระชากเข้าไป แรงกอดรัดตรงช่วงเอวแน่นจนทำให้หายใจลำบาก ริมฝีปากอุ่นร้อนบดเบียดเข้ามาโดยไม่รอให้ตั้งตัว ตัวผมถูกดันให้ถอยหลังช้าๆ จนสัมผัสแรงกระแทกเบาๆ ที่แผ่นหลัง

จูบนี้ให้ทั้งความรู้สึกดิบเถื่อน และความต้องการอยากจะครอบครอง

หนึ่งวินาทีรุนแรง หนึ่งวินาทีต่อมาก็เบาบางลงคล้ายกับเจ้าตัวพยายามกดมันเอาไว้

สะโพกของผมถูกเค้นหนักจากฝ่ามือแข็งแรง เรียวลิ้นที่สอดเข้ามาตวัดเกี่ยวกับลิ้นของผม ความอื้ออึงแทรกซ้อนเข้ามาในกกหู

ผมยกแขนโอบรอบคออีกฝ่าย พร้อมกับปลายนิ้วที่จิกแน่นลงบนช่วงไหล่ที่เต็มด้วยกล้ามเนื้อ

“ฮื่อ..” เพราะว่าเริ่มหายใจไม่ออก ผมถึงส่งเสียงประท้วงออกไป

ไม่แน่ใจว่าเดฟตีความหมายมันไปในทิศทางใด แต่หลังจากนั้น ร่างของผมก็ถูกยกลอยขึ้นจากพื้นทันที พร้อมกับร่างกายของอีกฝ่ายที่แทรกเข้าตรงระหว่างขา เบียดชิดเข้ามาจนแทบไม่มีพื้นที่ว่างระหว่างเรา

ผมเกี่ยวขาทั้งสองข้างเข้าที่สะโพกแข็งแรง ดวงตาเริ่มพร่าเลือนจนแทบมองไม่เห็นอะไรนอกจากกระแสความร้อนที่แผ่อยู่รอบกาย

เดฟถอนริมฝีปากออกไป ปลายนิ้วกดลงบนริมฝีปากล่างของผม ก่อนจะออกแรงปาดมันหนักๆ จนเผลอนิ่วหน้าออกมาเพราะรู้สึกเจ็บ

“ปากช้ำ..” เขาเกริ่นเสียงแหบ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจับจ้องผมในระยะใกล้ ตอนนั้น ผมจับความรู้สึกราวกับกำลังถูกรีดเค้นข้อมูล “ไปจูบกับใครมา”

ผมเม้มปาก ความเงียบที่ตอบโต้กลับไปยิ่งทำให้เดฟเบียดตัวเข้ามาใกล้มากกว่าเดิม

“ไม่ได้ตั้งใจ” นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ผมคิดได้ในตอนนี้

เขาเผยรอยยิ้มเครียดออกมา ชั่วพริบตาหนึ่งถึงจางหายไป “ครั้งที่แล้วก็ไม่ตั้งใจ”

ปลายนิ้วผมจิกลึกลงไปในผิวเนื้ออีกฝ่ายแรงกว่าเดิมเพราะความประหม่า เดฟนิ่วหน้า แต่ก็ไม่ได้ทักท้วงหรือว่าอะไรออกมา

ทั้งถูกกดดันในระยะใกล้ขนาดนี้.. ทั้งจูบที่ทำให้สมองหมุนคว้าง.. ทั้งกลิ่นเหล้าที่เหมือนยิ่งมอมเมาให้ผมตกลงไปในหลุมว่างเปล่า

ผมสูดลมหายใจลึก ก่อนจะทิ้งใบหน้าลงบนบ่ากว้างแล้วขยับเอียงเล็กน้อย ลมหายใจอุ่นเป่ารดอยู่ตรงช่วงลำคอที่เกร็งขึ้น

“ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ” ผมกระซิบ

ชั่งใจคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะรู้ตัว ริมฝีปากก็กดแนบลงไปตรงลำคอตรงหน้าแล้ว

คิดอะไรไม่ออก.. ผมกะพริบตา รู้สึกรั้นๆ ที่ปลายจมูกคล้ายกับคนใกล้จะร้องไห้

“แต่ตอนนี้ตั้งใจ”

ลมหายใจของเดฟสะดุดไปกลางอากาศ ก่อนที่ผมจะถูกกระแทกแรงๆ จนศีรษะปะทะเข้ากับผนังที่พิงอยู่ เดฟโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้จนหน้าผากเราสัมผัสกัน ดวงตาหรี่ลง ขณะที่วงแขนกระชับร่างของผมไว้ไม่ให้ตกลงไปที่พื้น

“ปั่นหัวกันเหรอ” เขากระซิบเสียงลอดไรฟัน ทั้งร่างเกร็งไปหมด ผิดกับผมที่เหมือนกล้ามเนื้อทุกส่วนไม่ทำงาน เหลือไว้เพียงร่างที่อ่อนปวกเปียก

ปั่นหัวเหรอ

ผมไม่แน่ใจนักว่าใครเป็นคนปั่นหัวใครกันแน่

เดฟทาบริมฝีปากลงมาอีกครั้ง บดเบียดแผ่วเบา ก่อนจะพึมพำทั้งๆ ที่ยังไม่ผละไปไหน

 

“ทำให้หวง ตั้งใจใช่ไหม”

 

ผมไม่ได้ตอบคำถามนั้น ไม่ได้สนใจอะไรทั้งนั้นนอกจากความคิดที่วิ่งวนอยู่ในหัวของตัวเอง

ปลายนิ้วที่จิกค้างอยู่บนร่างกายอีกฝ่ายค่อยๆ คลายออก ผมลูบฝ่ามือไปมาเบาๆ ราวกับขอโทษต่อบาดแผลที่ตัวเองเป็นคนสร้าง ก่อนจะไล่มันขึ้นช้าๆ จนหยุดอยู่ที่สองข้างแก้มอุ่น

เดฟหายใจแรง

ผิดกับผมที่แทบไม่หายใจ ตอนที่กล่าวประโยคในความคิดออกไป

 

“กอดนั่น.. ผมยังใช้สิทธิ์ได้อยู่หรือเปล่า”



____
#เดฟฟลอยด์

1คอมเม้นต์1กำลังใจ
รักเสมอ

Cinzano 505.

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
Re: I BITE :: Chapter.17 Who'll Stop The Rain (27/01/2560)
«ตอบ #57 เมื่อ27-01-2017 17:44:27 »

 :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ lnudeel

  • I wanna be a CAT!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-5
Re: I BITE :: Chapter.17 Who'll Stop The Rain (27/01/2560)
«ตอบ #58 เมื่อ27-01-2017 19:18:28 »

เดฟฟฟฟฟฟ!~~~~~ เราดีใจกับนสยด้วยนะ :mc4: :katai2-1:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: I BITE :: Chapter.17 Who'll Stop The Rain (27/01/2560)
«ตอบ #59 เมื่อ27-01-2017 19:52:03 »

การดำเนินเรื่องมันยอดมาก  :mew1: :mew1: :mew1:
อ่านไป ลุ้นไป สนุกกกก :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
โจ นายถูกฟลอยด์ตัดจากการเป็นเพื่อนแล้ว และนายสมควรโดนต่อยที่สุด  :z6: :z6: :z6:
แต่การกระทำของโจ ทำให้ภาพลักษณ์ของเดฟเด่นขึ้นในใจฟลอยด์
ทำให้ฟลอยด์ คิดถึงเดฟ
ชอบที่เดฟ บอกชอบฟลอยด์ เพราะฟลอยด์ดึงดูดเดฟให้เข้าหา
“ดวงตาคู่นี้มองตรงมาที่ฉัน.. ทั้งความหม่นเศร้า ความสงสัยใคร่รู้ ดึงดูดให้ฉันเข้าหา"
ไม่ใช่เพราะเดฟต้องการเซ็กส์ เหมือนคนอื่นๆ
ฟลอยด์ จูบเดฟ แบบตั้งใจ แถมบอกเดฟด้วย
“กอดนั่น.. ผมยังใช้สิทธิ์ได้อยู่หรือเปล่า”  :ling1: :ling1: :ling1:
เอิ่ม....เดฟ ถูกใจละสิ  :กอด1::กอด1::กอด1:
ไรท์ ขอ NC นะ :mew1: :mew1: :mew1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด