.:*・สร้างรัก・*:. วันที่4
ในวันหยุดสุดสัปดาห์ซึ่งไม่วิชาเรียนผมก็มักจะนั่งรถกลับบ้านเสมอ บ้านใหม่สองชั้นขนาดกลางมี3ห้องนอนสำหรับพ่อแม่ น้องสาวและผมคนละห้อง จากวันที่ย้ายมหาลัยมาก็ผ่านไปเดือนหน่อยๆ ทุกครั้งที่ผมกลับบ้านก็มักจะคอยย้ำรูมเมทหรือเจ้าของห้องอาย่างฌอนให้หาอะไรกินด้วย
สิ่งเดียวที่ผมกังวลคือเมื่อกลับไปหอแล้วจะเจอคนเป็นลมอยู่ท่ามกลางภาพวาดและอุปกรณ์ศิลปะ ยิ่งรู้จักกันนานเท่าไหร่ก็รู้สึกเหมือนอีกฝ่ายเริ่มเปิดใจให้มากขึ้น ภาพในวันแรกที่เจอกันกับในวันนี้ช่างกันราวกับผลิกหน้ามือเป็นหลังมือ
การเปลี่ยนแปลงอาจเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ผมเปิดประตูเข้าไปเห็นฌอนกำลังขยำภาพทุ่งดอกไม้ซึ่งใช้เวลาเกือบอาทิตย์ในการวาด ใบหน้าและความรู้สึกของฌอนมันสื่อมาถึงความเจ็บปวดทนผมทนไม่ไว้เข้าไปกอดอีกฝ่ายไว้แน่น
มันอาจดูแปลกที่เข้าไปกอดได้ง่ายขนาดนั้น สำหรับตัวผมคิดว่าสิ่งที่ช่วยปลอบได้ไม่ใช่คำพูดที่บอกว่าสู้ๆหรือพยายามเข้าแต่เป็นการสัมผัสโดยไม่จำเป็นต้องมีคำพูดใดๆ
ผมรู้สึกดีที่ฌอนได้ระบายมันออกมา
ภาพทุ่งดอกไม้ขาวดำที่ถูกผมและเจ้าของภาพช่วยกันลงสีอย่างสนุกสนานตอนนี้ก็ติดอยู่ยังกำแพงของห้องพัก ดูกี่ทีผมก็รู้สึกภูมิใจกับฝีมือการวาดภาพที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัวโดยเฉพาะสิงโตตัวใหญ่นั่น
“ทำหน้าภูมิใจอะไรอยู่ฮะน้ำเปล่า”เสียงตะโกนดังขึ้นพร้อมกับแม่เดินหอบถุงใส่วัตถุดิบในการทำอาหารมื้อเย็นเข้าบ้าน
“กลับมาแล้วเหรอแม่ เดี๋ยวผมช่วย”ผมรีบลุกขึ้นไปช่วยแม่ถือของ
ผมพึ่งกลับมาถึงบ้านเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้และพอกลับมาถึงก็ไม่เห็นรถของแม่จอดอยู่ นั่นทำให้รู้โดยไม่ต้องโทรถามว่าคงออกไปซื้อของยังห้างแถวนี้แน่นอน
“ไหนๆก็มาช่วยทำมื้อเย็นด้วยเลยสิ”
“ได้ครับๆ...วันนี้ส้มกลับมากินไหม”ผมถามถึงน้องสาวตัวเองที่เรียนอยู่ชั้นม.6
“กลับสิ อาทิตย์ที่แล้วก็ไม่กลับถ้าอาทิตย์นี้ไม่กลับอีกแม่จะไปลากตัวมาจากหอเอง”แม่พูดด้วยน้ำเสียงโกรธๆ ส้มหรือน้ำส้ม...น้องสาวผมออกไปอยู่หอแถวโรงเรียนเช่นเดียวกับผมเนื่องจากระยะจากบ้านไปถึงโรงเรียนค่อนข้างไกลและแม่ไม่สะดวกไปรับส่ง
แม่ผมไม่ได้ทำงานเลยอยู่แต่บ้านซึ่งน่าจะเป็นคนไปรับส่งลูกทว่าแม่ผมกลับเป็นคนตื่นสายด้วยเหตุผลไร้สาระอย่างติดดูซีรี่ย์เกาหลีจนเข้าวันใหม่
ถึงจะพูดว่าอยากให้ใช้ชีวิตแต่ก็ชอบให้ครอบครัวอยู่พร้อมหน้าทำให้เสาร์อาทิตย์ผมต้องกลับมาบ้านเสมอ
ใจจริงผมก็เป็นห่วงฌอนอยู่หรอก...
จะกินข้าวรึยังนะ
เบอร์โทรก็ไม่ได้ขอไว้
กะจะขอตั้งนานแล้วแต่พอเจอกันทีไรเป็นต้องถกเถียงเรื่องไร้สาระจนลืมไปทุกที
“แม่จะทำกุ้งผัดขี้เมากับต้มฟักใส่ไก่สินะ”ผมหันไปถามระหว่างหยิบวัตถุดิบต่างๆออกมาจากถุง
“ถูกต้อง สมแล้วที่เป็นลูกแม่...ถ้าส้มได้อย่างเราก็คงดีสินะ ผู้หญิงควรจะทำอาหารเป็นแท้ๆ”แม่บ่นพลางหยิบฟักไปล้าง
“ถึงส้มจะทำอาหารไม่ได้แต่ซ่อมของเก่งนะ”มันอาจดูแปลกๆที่ผู้ชายอย่างผมทำอาหารเก่ง ความจริงก็ไม่แปลกเท่าไหร่หรอก เพราะเป็นลูกคนแรกแม่เลยมักจะให้มาช่วยงานในครัวทำให้ตอนแม่ท้องน้ำส้มผมเลยเป็นคนทำอาหารแทน
พอน้ำส้มเกิดและเริ่มโตแม่ก็อยากให้ทำอาหารเลยให้ลองเข้าครัวแต่น้องผมกลับส่ายหัวดิ๊กๆบอกว่าไม่ชอบทำอาหาร แต่เวลาที่มีอะไรเสียน้องสาวผมนี่แหละที่เป็นซ่อมซะส่วนมากจนแม่ยังบอกเลยว่าจะให้ไปต่อสายอาชีพแทนหลังจบม.6
ผมก็ว่าดีอยู่ถึงจะไม่ค่อยเหมาะกับผู้หญิงเท่าไหร่ก็เถอะ
แกร็ก
“กลับมาแล้วแม่ มีอะไรกินบ้าง”เสียงห้าวๆตะโกนทันทีที่เปิดประตูพร้อมกับวิ่งมายังห้องครัว
“มาถึงก็ถามหาของกินเลยนะ”
“ก็หิวนี่นา สวัสดีพี่...วันนี้หนูอยากกินเครปเย็นเป็นของหวานหลังอาหารนะ”ทักทายเสร็จก็บอกความต้องการออกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“อยากกินก็มาช่วยทำสิ”ผมบอกพลางยิ้มนิดๆ
“โหย ไม่ไหวหรอกแค่ตอกไข่ไม่ให้มีเปลือกลงยังทำไม่ได้เลย”
“แม่ซื้อเค้กมาเครปไว้พรุ่งนี้ละกันส้ม”ผมบอกเมื่อนึกได้ว่าตัวเองพ่งเอาเค้กไปแช่ตู้เย็น
“เค้กเหรอ...หนูลดความอ้วนอยู่นะ”
“มันก็พอๆกับเครปที่แกอยากกินแหละส้ม”ครั้งนี้แม่พูดขึ้นบ้าง
“แหะๆ นั่นสิ...พ่อไลน์มาบอกในไลน์กลุ่มวันประชุมเสร็จแล้วกำลังจะกลับ”
“งั้นรีบทำกันเถอะ”แม่หันมาบอกผม
“ได้ครับ”ผมพยักหน้าตอบ
ปกติวันเสาร์พวกเราจะอยู่พร้อมหน้ากันทั้งครอบแต่วันนี้น้องผมมีงานกลุ่มเลยกลับช้า เช่นเดียวกับพ่อที่มีประชุมด่วนเลยต้องออกไปบริษัทในวันหยุด
ผ่านไปประมาณ15นาทีพ่อก็กลับมาถึงพร้อมของฝากจากที่ทำงานอย่างเค้กทั้งก้อน แม่ที่เห็นก็ส่งสายตาเคืองๆไปทางพ่อที่ไม่ยอมบอกว่ามีเค้กจะได้ไม่ต้องเสียเงินซื้อ
มื้อเย็นของครัวครัวผ่านไปด้วยดี น้ำส้มปากก็บอกว่าลดความอ้วนแต่ก็ซัดเค้กไปครึ่งนึงคนเดียวจนผมหลุดหัวเราะออกมา
ห้องนอนผมอยู่บนชั้น2ด้านริมในสุดของทางเดินฝั่งขวามือ ห้องนี้ขนาดเล็กกว่าห้องที่อยู่กับฌอนอีก...ห้องน้ำเองก็อยู่ตรงทางเดินเวลาอาบน้ำก็ต้องแย่งกัน ใครไม่อยากแย่งก็ต้องวิ่งลงไปยังห้องน้ำชั้นแรก
“เฮ้อ...อิ่มสุดๆ”ผมทิ้งตัวลงบนเตียงก่อนจะยกมือขึ้นลูบหน้าท้องตัวเองไปมา
“...หวังว่าจะกินข้าวแล้วนะฌอน”ผมพึมพำเสียงเบา
ฌอนเป็นพวกมีสมาธิในการวาดภาพอย่างมาก เขาจะจมอยู่กันมันได้เป็นวันๆถ้าไม่มีใครเข้าไปแทรก นั่นทำให้ผมเป็นห่วงอยู่พอสมควร
ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้อยู่มาได้ยังไง
แถมเอาแต่นั่งอยู่ในห้องสักวันได้เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงพอดี
“อืม...พาออกไปไหนดีไหมนะ”ผมพึมพำพลางยกโทรศัพท์ขึ้นมากดค้นหาสถานที่พักผ่อนบริเวณใกล้เคียง
สถานที่จะไปต้องไม่มีคนเยอะ
ต้องไม่เสียงดัง
ต้องไม่วุ่นวาย
“เรื่องมาก”ผมบ่นเสียงดัง
ก็เรื่องมาจริงไหมล่ะ
สมัยนี้เขาก็ไปเที่ยวห้างไม่ก็เดินจตุจักกันทั้งนั้น
แต่นอกจากคนจะเยอะแล้วยังเสียงดังอีก
รับลองถ้าพาไปได้หน้าหยิกแบบไม่ต้องเดา
มันจะเหลือที่ไหนอีกไหมเนี่ย
แถวนี้ก็มีแต่ห้างสรรพสินค้า
“หื้ม?...ที่นี่มัน...”สายตาผมจับจ้องไปยังเนื้อหาในโทรศัพท์อย่างสนใจ
สวนสาธารณะ
“นี่แหละ”ผมเด้งตัวขึ้นด้วยรอยยิ้มกว้าง
ในที่สุดก็เจอแล้ว
ถ้าเป็นที่นี่คนคงไม่เยอะเท่าห้าง
วันรุ่งขึ้นผมตื่นเช้าขึ้นมาทำอาหารง่ายๆเตรียมให้ครอบครัว ในวันที่ผมอยู่แม่มักจะตื่นสายมากกว่าปกติเพราะรู้ว่ายังไงก็ยังมีผมทำหน้าที่แทนได้ อาหารเช้าง่ายๆอย่างข้าวผักหมูและต้มจืดเต้าหู้เสร็จภายในเวลาไม่นาน
เมื่อเห็นว่ายังไม่มีใครมีทีท่าว่าจะออกมาจากห้องผมเลยตัดสินใจทำอาหารเพิ่มเติมแต่ไม่ได้ให้ที่บ้านหรอกนะ แซนด์วิชแฮมและทูน่าถูกจัดใส่กล่องเตรียมไว้สำหรับให้รูมเมทตัวเอง
“ตื่นเช้าเหมือนเดิมเลยนะน้ำเปล่า”เสียงของพ่อดังขึ้นพร้อมกันเดินเข้ามาหาโดยที่ยังสวมชุดนอน
“นอนต่ออีกหน่อยก็ได้นะพ่อเมื่อวานประชุมนี่”
“ไม่ได้หนักอะไรหรอก แซนด์วิชเหรอ?”พ่อมองแซนด์วิชในกล่องด้วยสายตาสงสัย
“ผมกำลังจะขึ้นไปหาพอดีเลย ขอยืมมอเตอร์ไซค์หน่อยนะครับ”ถ้าให้นั่งรถไปหมาลัยคงใช้เวลานานอยู่
“จะไปไหนล่ะ”
“ไปหารูมเมทน่ะครับ แล้วจะขับไปสวนสาธารณะด้วย”ผมบอกไปตามตรง
“ใช่รูมเมทที่เคยเล่าให้ฟังว่าวาดรูปเก่งรึเปล่า”
“ใช่ครับ”
“ดูสนิทกันดีนี่”
“ก็...จะว่าสนิทก็คงสนิทละนะ”
“ไว้วันไหนพามาบ้านเราบ้างสิ”
“ได้เลยครับ แล้วเรื่องมอเตอร์ไซค์...”
“ใช้ได้ตามสบายเลย”พ่อบอกพร้อมรอยยิ้ม
“ขอบคุณครับ...งั้นผมไปก่อนนะฝากบอกแม่กับน้ำส้มด้วย”
“ได้ ขับระวังด้วยล่ะรถที่นี่เยอะนะ”
“ครับ”ผมขานรับก่อนจะรับกุญแจรถมาจากพ่อ
มอเตอร์ไซค์คันสีดำถูกขับออกสู่ถนนใหญ่อันเต็มไปด้วยรถมากมายผิดกับต่างจังหวัดลิบลับ ผมฝึกขับมอเตอร์ไซค์มาตั้งแต่ยังเด็กเลยค่อนข้างมีประสบการณืแต่ยังไม่เคยขับบนถนนที่มีรถเยอะขนาดนี้มาก่อน
ด้วยความไม่ชินผมเลยไม่เร่งความเร็วมากนักทำให้ใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะขับมาถึงยังหอพักในมหาลัย แม้จะเป็นช่วงวันหยุดแต่ก็มีนักศึกษาอยู่ค่อนข้างมากเพราะมีหลายคนที่มีเรียนวันเสาร์อาทิตย์
ผมเหมือนจะโชคดีที่เทอมนี้ไม่มีเรียนเสาร์อาทิตย์
ไม่รู้ว่าเทอมหน้าจะมีไหม
ขึ้นลิฟท์มาถึงชั้น12ผมก็เปิดประตูเข้าไปภายในห้อง1216โดยไม่ต้องหยิบกุญแจขึ้นมาไข อยู่ด้วยกันมาเกือบเดือนทำให้รู้ว่าฌอนไม่เคยล๊อคประตูห้อง ทุกครั้งที่ห้องล๊อคนั่นแปลว่าคือฝีมือผม ครั้งนี้ที่กลับบ้านผมก็เลือกที่จะไม่ล๊อคเผื่อเกิดอะไรขึ้นจะได้เปิดเข้าไปได้เลย
ดวงตาสีน้ำตาลของผมมองเข้าไปยังด้านในพร้อมกับถอนหายใจยาวๆออกมา สภาพของห้องไม่ว่าจะเป็นข้าวของรอบๆ อุปกรณ์ศิลปะ แผ่นกระดาษกลางห้องหรือเจ้าของห้องที่นั่งอยู่มุมกระดาษ ทุกอย่างล้วนอยู่ในตำแหน่งเดิมก่อนที่ผมจะกลับบ้านแทบทุกอย่างแม้แต่เสื้อผ้าฌอนก็ยังอยู่ในชุดเดิมเลย
สิ่งเดียวที่เปลี่ยนไปคือกระดาษวาดเขียนขนาดกลางปรากฏรูปทะเลสาบที่มีภูเขาล้อมรอบต่างจากเมื่อวันก่อนซึ่งมีเพียงกระดาษเปล่า
“นายนี่นะ สักวันได้เป็นลมจริงๆแน่”ผมบ่นพลางนั่งยองๆมองอีกฝ่ายก้มหน้าก้มตาใช้ดินสอลงเส้นสีเข้มตามแนวของภูเขา
สมาธิของฌอนสมแล้วก็ที่สามารถวาดรูปสวยๆออกมาได้ งานศิลปะทุกอย่างขึ้นอยู่กับสมาธิยิ่งมีสภาธิมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรังสรรค์ผลงานอันยอดเยี่ยมออกมาได้
แต่...
เรื่องผลงานกับเรื่องการใช้ชีวิตมันไม่เหมือนกัน
“ช้อน!!”ผมตะโกนเรียกคนตรงหน้าเสียงดังจนมือที่กำลังลากเส้นชะงัก ดวงตาสีเทาอ่อนเงยขึ้นมาสบก่อนจะขมวดคิ้วแน่นยามเห็นใบหน้าผม
“...นี่วันจันทร์แล้ว?”ประโยคที่ดูเหมือนเป็นคำทักทายนั่นทำเอาผมเลิกคิ้วขึ้น
นี่ใช้ผมเป็นตัวบอกเวลารึไง
ก็จริงที่ผมมักจะกลับมาตอนเช้าของวันจันทร์แต่จะมีใครที่ไหนจมอยู่กับภาพวาดโดยไม่สนใจวันเวลาอย่างฌอนอีกบ้างล่ะ
ไม่จำเป็นต้องถามก็รู้เลยว่าคงยังไม่ได้กินอะไรแน่
“เหมือนฉันจะบอกแล้วนะว่าอย่าลืมกินข้าวน่ะ”
“กินน้ำแล้วไง หมดเป็นขวดเลยเห็นไหม”ฌอนตอบพลางใช้สายตาหันไปมองยังขวดน้ำสี่ขวดใหญ่ที่ถูกจัดการไปจนเหลือเพียงขวดเดียว
“น้ำมันไม่ใช่ข้าวสักหน่อย”
“กินพวกขนมปังแล้ว”
“ขนมปัง? นายออกไปซื้อ”ผมถามอย่างไม่ค่อยเชื่อนัก
“เปล่า...ให้พี่ต้าร์เอามาให้”ฌอนตอบกลับทันที
“ก็ว่าอยู่”อย่างฌอนจะให้ลุกออกไปซื้อข้าวกินข้างนอกเองน่ะเหรอ
รอฝนตกทั้งที่แดดออกละกัน
“สรุปนี่วันจันทร์แล้ว?”คำถามเดิมถูกถามซ้ำอีกรอบ
“ไม่รู้สินะ”ผมกวนกลับ
“เปล่า”
“บอกให้เรียกน้ำเปล่าไง”
“ฉันต้องฟังคนที่บังเรียกฉันว่าช้อนรึไง”
“เรียกดีๆแล้วเคยสนใจไหมล่ะ”
“หึ...”
“หึอะไรเล่า วันนี้วันอาทิตย์เวลา10โมง30นาที52วินาทีครับผม”ผมมองนาฬิกาข้อมือระหว่างตอบ
“ไม่ต้องอะเอียดขนาดนั้นก็ได้”
“ใครจะรู้ นึกว่าอยากให้ลงรายละเอียด”
“ถูกไล่ออกจากบ้าน?”คำถามกวนๆทำเอาผมเม้มปากด้วยความหงุดหงิด
“ปากเสีย คนอุตส่าเป็นห่วงเลยกลับมาหาแท้ๆ”ผมสวนกลับพร้อมระบายความหงุดหงิดโดยการใช้เท้าถีบขาอีกฝ่าย
“ห่วงฉัน?”ใบหน้างงนั่นยิ่งเพิ่มความหงุดหงิดเป็นทวีคูณ
“ห่วงภาพวาดนายมั้ง”
“...คิดถึงกันก็บอกมา”น้ำเสียงหวานๆที่แตกต่างจากปกติทำเอาผมอ้าปากกว้างด้วยความตกใจ
“คะ...ใครคิดถึงกัน”
“ก็แค่พูดไปเรื่อย”
“กวนจริงๆนะฌอน”
“บอกตัวเองเถอะเปล่า”
“ชิ...ไม่เถียงไร้สาระกับนายแล้ว รีบๆลุกขึ้นเลยเราจะไปข้างนอกกัน”ผมก้มลงไปดึงแขนฌอนให้ลุกขึ้นแต่อีกฝ่ายกลับขืนไว้ไม่ยอมลุก
ทั้งที่ไม่ได้ออกกำลังแล้วไปเอาแรงพวกนี้มาจากไหนนะ
“ไม่ไป อยากไปก็ไปคนเดียวสิ”
“ถ้าฉันจะไปคนเดียวคงถ่อมาลากนายถึงห้องหรอก ไปเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง...เอาอุปกรณ์ศิลปะไปด้วยนะ”
“เอาไปทำไม”ฌอนขมวดคิ้วระหว่างถาม คงจะสงสัยว่าผมจะพาไปไหนถึงต้องเอาอุปกรณ์วาดภาพไปด้วย
“เอาไว้เผื่ออยากวาดรูปไง ฉันจะพาไปสวนสาธารณะที่อยู่ในตัวเมือง ที่นั่นไม่ค่อยมีคนแถมยังเงียบเหมาะกันคนไม่ชอบเข้าสังคมอย่างนายเป๊ะเลย”ผมอธิบาย
“ขี้เกียจ”เพียงคำเดียวที่เอ่ยออกมาทำเอารอยยิ้มผมค้างกลางอากาศ
“ฌอน”
“จะวาดรูปต่อแล้ว...”
“ไม่ๆๆ ลุกไปอาบน้ำแล้วไปเที่ยวกันดีกว่า วัยรุ่นทั้งทีอย่าเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องเลยน่า”ผมยังคงออกแรงดึงแขนให้ฌอนลุกขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้
“เฮ้อ...ถ้าฉันไม่ไปคงไม่ยอมสินะ”เสียงถอนหายใจยาวดังขึ้น
“แน่นอน”จะกวนจนวาดไม่ได้เลย
“แลว่างเนอะ”
“อืม ว่างสุดๆเลยด้วย”ผมไม่สนน้ำเสียงประชดเล็กๆนั่นหรอก
“แล้วจะไปยังไง นั่งรถไป?”ฌอนลุกขึ้นพลางเดินไปหยิบพาขนหนูบนเตียง
“ฉันยืมมอเตอร์ไซค์พ่อมาน่ะ”
“ขับเป็นด้วย?”สายตาดูถูกนั่นไม่สบอารมณ์เลยแฮะ
“เป็นสิ เก่งด้วย”ถึงจะพึ่งเคยขับบนถนนที่มีรถเยอะขนาดนี้ครั้งแรกก็ตาม
“จะลองเชื่อดูละกัน”พูดจบฌอนก็เดินเข้าไปยังห้องน้ำ
ระหว่างรอฌอนอาบน้ำผมก็เดินดูกองกระดาษวาดเขียนรอบๆห้อง ภาพที่ฌอนวาดหลายสิบหลายร้อยใบวางกองอยู่ตามพื้นห้อง มีหลายแผ่นที่ผมไม่คุ้นแปลว่าคงพึ่งวาดเสร็จช่วงผมกลับบ้าน
สมแล้วกับที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าชาย
ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์หรือผลงานก็ล้วนแต่งดงาม...
ยกเว้นคำพูดกวนๆนั่นละนะ
“นายแน่ใจว่าขับได้แน่นะ”เสียงทุ้มของฌอนแฝงไปด้วยความกังวลเมื่อเห็นอาการผมตอนขับออกสู่ถนนใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยรถเต็มถนนสี่เลนส์
ตอนแรกที่ลงมาข้างล่างหอฌอนก็บอกว่าจะเป็นคนขับเอง แต่ผมดันมีทิฐิในฐานะคนชวนดึงดันจะขี่เองฌอนเลยต้องซ้อนท้ายผมอย่างช่วยไม่ได้
“ได้น่า...”ผมตอบกลับระหว่างตั้งสมาธิในการขับ
รถจะเยอะไปไหนเนี่ย
หรือเพราะเป็นวันอาทิตย์
กึก
“เฮ้ย”ผมถึงกับสะดุ้งเมื่อถูกฝ่ามือทั้งสองข้างของคนด้านหลังจับบริเวณไหล่
“...เอารถอจอดข้างทางเลย”
“ทำไม...”
“เดี๋ยวฉันขับเอง”
“แต่ว่า...”
“ขับรถเกร็งเกินไปแล้ว”
“...ก็พึ่งเคยลองขับถนนที่มีรถเยอะครั้งแรก”ผมตอบกลับเสียงเบาระหว่างแวะจอดรถบริเวณหน้าปั๊มน้ำมัน
“ไม่ชินก็ยังขับมามาได้นะ มันอันตรายรู้ไหม”น้ำเสียงบ่นๆนั่นไม่รู้ว่าผมคิดไปเองรึเปล่าว่ามันแผงไปด้วยความเป็นห่วง
“อื้อ...”
“ไปซ้อนท้ายซะ”ไล่ผมลงเสร็จฌอนก็ขึ้นคร่อมด้านหนาเตรียมออกรถอีกครั้ง
“แล้วนายขับได้เหรอ”ไม่เห็นจะเคยออกไปไหน
“เก่งกว่าคนที่สั่นเป็นลูกนกแรกเกิดละกัน”
“ว่าใครเป็นลูกนกกัน ฝึกอีกหน่อยก็ชินแล้ว”ไม่ใช่ว่าขับไม่ได้สักหน่อย
ขอเวลาชินหน่อยสิ
“รีบๆขึ้นมา”
“ครับๆ”สุดท้ายผมก็ต้องเป็นฝ่ายนั่งซ้อนท้าย
ฌอนขับรถเก่งอย่างที่พูดไว้ ไม่มีอาการเกร็งหรือกังวลกับรถคันใหญ่ที่ขับขนาบหรือขับแซงเลย ท่าทางการขับราวกับเคยมีประสบการณ์มาก่อน
“เคยขับมอร์เตอร์ไซค์มาก่อนเหรอ”ผมขยับคางไปวางบนไหล่ฌอนก่อนจะถามออกไป
“...ถ้าไม่เคยจะขับได้ไหมล่ะ”
“กวนตลอด”
“อย่าเอาคางมาเกยมันขับลำบาก”
“อะไร...ไหนบอกขับเก่งไงแค่วางคางก็ทำให้ขับลำบากเลยงั้นสิ”ผมเริ่มกวนอีกฝ่ายเล่น
“เปล่า”ดูจากน้ำเสียงก็รู้ว่ากำลังเรียกชื่อผมอยู่แต่ผมทำเป็นไม่รู้
“อ้อ ไม่ใช่สินะ งั้นแบบนี้ล่ะ”พูดจบผมก็ใช้มือสองข้างคว้าหมับเข้าที่เอวฌอน
“น้ำเปล่า”ชื่อเล่นเต็มๆถูกเรียกท่ามกลางเสียงหัวเราะคิกคักของผม
ก็รู้ว่าไม่ควรเล่นตอนขับรถแต่มันอดไม่ได้นี่
“ไม่แกล้งแล้วก็ได้...เฮ้ย”ผมถึงกับร้องลั่นเมื่ออยู่ฌอนก็เร่งความเร็วจนผมคว้าเอวอีกฝ่ายอึดเกาะไว้แทบไม่ทัน
มอร์เตอร์ไซค์สีดำถูกเร่งความเร็วขึ้นอย่างต่อเนื่อง แรงลมที่เข้ามาปะทะทำให้ผมต้องก้มหน้าลงชิดกับแผ่นหลังของคนด้านหน้าโดยที่มือทั้งสองข้างยังคงยึดเอวอีกฝ่ายไว้แน่น
ซิ่งเกินไปแล้ว
ผมได้แต่บ่นในใจไปตลอดเส้นทางจนในที่สุดมอเตอรไซค์ก็เริ่มชละเมื่อมาถึงยังจุดหมาย สวนสาธารณะขนาดใหญ่ใจกลางเมืองเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่คอยให้ร่มเอา ด้านในมีเส้นทางสำหรับวิ่งออกกำลังไปจนถึงเครื่องออกกำลังกายตามจุดต่างๆ
ตรงกลางของสวนก็ยังมีสระน้ำขนาดใหญ่ที่มีสะพานยาวตัดผ่านเป็นรูปกากบาทอยู่ด้านบน ผมเดินนำฌอนเข้ามาด้านในของสวนและตรงไปตามเส้นทางเรื่อยๆ
“ทำหน้าสนุกเลยนะ”ฌอนพูดพร้อมกับก้าวตามหลังมา
“ฌอนไม่สนุกเหรอ ที่นี่แทบไม่มีคนนายน่าจะชอบนะ”ผมหันกลับไปถาม
“ไม่ค่อยมีใครมันก็ดี...”
“เนอะ ว่าแล้วฌอนต้องชอบ”ผมส่งยิ้มกว้างกลับไปให้
“ฉันพูดตอนไหนว่าชอบ?”
“อ้าว ก็บอกว่าดีนี่”
“ก็แค่ดีไม่ใช่ชอบ”
“เหมือนกันแหละน่า”
“ตกภาษาไทยสินะ”
“ถึงจะไม่เก่งแต่ก็ไม่เคยตกเหอะ”ผมสวนกลับอย่างไม่ยอมแพ้
“เหรอ”
“น้ำเสียงเหมือนไม่เชื่อกันเลยนะ”
“เก่งนี่”ฌอนตอบพร้อมยกยิ้มขึ้น
“ฌอน”
“หาที่นั่งเถอะ จะเดินให้ทั่วเลยรึไง”
“เหนื่อยแล้ว?”
“...”ฌอนไม่ตอบแต่เบือนหน้าหนีแทน
“ฮืม...เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องก็สมควรจะเหนื่อยง่ายละนะ แต่เราพึ่งเดินมาได้แค่ไม้บรรทัดเดียวเองก็เหนื่อยซะแล้วนี่แปลว่านอกจากจะเหนื่อยง่ายแล้วยังอ่อนแอ...”
“จะลองรึไง”ดูเหมือนคำพูดกวนๆจะเริ่มทำให้ฌอนหงุดหงิดแล้ว
สำเร็จ
มาถึงสวนสาธาณระจะให้นั่งพักง่ายๆได้ยังไงกัน
“เอาสิ ถ้าใครแพ้ต้องทำตามที่คนชนะสั่งด้วย”ผมยื่นข้อเสนอ
“ได้ แล้วจะแข่งยังไง”ฌอนถามต่อ
“ใครวิ่งไปถึงเกาอี้ริมสระน้ำนั้นได้ก่อนชนะ”ผมบอกก่อนชี้ไปยังเก้าอี้ริมสระน้ำที่อยู่ไกลเกือบสุดสายตา
“อืม”
“งั้นก็...เริ่มได้”ผมตะโกนพร้อมออกตัววิ่ง
ระยะทางไปถึงเก้าอี้สระน้ำก็ประมาณ500เมตรเป็นระยะทางไม่ได้ไกลมากสำหรับผมที่วิ่งเล่นมาตั้งแต่เด็กๆ ทว่ากลับเจ้าชายแห่งภาพวากอย่างฌอนดูจะไม่ใช่แม้จะมีเชื้อต่างชาติทำให้มีพละกำลังมากแต่เพราะเป็นพวกหมกตัวอยู่ในห้อง วิ่งได้แค่200เมตรก็เริ่มหอบซะแล้ว
ผมวิ่งเหยาะมองฌอนค่อยๆวิ่งตามมาด้วยรอยยิ้มขบขัน
การวิ่งมันแข่งที่ความคล่องตัวไม่ใช่กำลัง
ผลแพ้ชนะไม่ต้องบอกก็คงเดากันได้
ผมชนะไปอย่างขาดรอย ยิ่งพอเลย400เมตรฌอนก็เปลี่ยนจากวิ่งมาเป็นเดินแทน เมื่อถึงจุดหมายฌอนก็ทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ในสภาพเหงื่อท่วม
“ไหวไหม”ความรู้สึกผิดอยู่ๆก็โถมเข้ามา
ให้ฝืนมากไปหน่อยแล้วสิ
ผมแค่อยากให้ฌอนออกกำลังบ้างแค่นั้น
“...ไหว”น้ำเสียงหอบๆนั่นไม่ได้ดูไหวเหมือนคำพูดเลย
“ขอโทษ”ผมเอ่ยออกไป
“ทำไม?”เหมือนฌอนจะไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อ
“ก็ที่ทำให้นายต้องฝืนวิ่งทั้งที่ร่างกายไม่ค่อยไหว”
“...ก็ไม่ใช่ไม่ไหว”
“แค่อยากให้นายออกกำลังบ้างแค่นั้นเอง อยู่แต่ในห้องมันไม่ค่อยดี”
“อืม”
“อ้อ ฉันทำแซนด์วิชมาด้วยล่ะ เอาสิ”ผมหยิบกล่องแซนด์วิชในกระเป๋าสะพายด้านหลังส่งไปให้ฌอนที่เริ่มหายเหนื่อย
“ซื้อมา?”ฌอนมองกล่องแซนด์วิชก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาถาม
“เปล่า ฉันทำเอง...น่ากินใช่ไหมล่ะ”ผมบอกด้วยน้ำเสียงภูมิใจ
“แค่น่ากินสินะ”
“รสชาติก็อร่อยเหอะ อย่าพึ่งกวนสิ”ผมสวนกลับด้วยน้ำเสียงเคืองๆ
“รู้ใช่ไหมว่าถ้าไม่อร่อยฉันไม่กินต่อนะ”
“รับประกันความอร่อย ลองแล้วจะติดใจ”เห็นแบบนี้ผมก็มั่นใจในฝีมือทำอาหารของตัวเองพอตัวนะ
“มั่นใจจังนะ”
“สุดๆ”ผมมองฌอนหยิบแซนด์วิชทูน่าเข้าปากด้วยสายตาลุ้นๆ
ถึงจะรู้ว่ารสชาติมันดีแต่ก็ใช่ว่าจะถูกปากฌอนง่ายๆ
“...ธรรมดา”ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ก็กินแซนด์วิชชิ้นนั้นไปจนหมดแถมยังมีการหยิบอีกชิ้นด้วย แค่นั้นก็ทำให้ผมยิ้มกว้างออกมาแล้ว
ฌอนเวลาเจอของไม่อร่อยก็จะแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่อร่อยแล้วก็จะไม่มีการกินอีกเป็นครั้งที่สอง
การที่เขากินต่อแปลว่ามันอร่อย
“ไม่ต้องเขินน่า อร่อยก็บอกมา”
“จะเอาอะไร”
“หมายถึงอะไร?”ผมถามกลับเพราะไม่เข้าใจสิ่งที่ฌอนพูด
“ฉันแพ้ นายจะเอาอะไรล่ะ”
“อ้อ...นั่นสิ ให้ทำอะไรดีนะ”
“ให้เวลา10วิไม่งั้นถือเป็นโมฆะ”
“ว่าไงนะ”
“10...9...”
“เดี๋ยวสิ ขอเวลาคิด...”
“6...5...4...”
“ฌอนนน”
“2...1...”
“รูป...อยากได้รูปที่นายวาด!”ผมตะโกนสิ่งเดียวที่คิดได้ออกไปก่อนเวลาจะหมด
“...รูปที่ฉันวาด”คำตอบผมดูจะทำให้ฌอนนิ่งไป
“อืม”ผมพยักหน้าตอบ
ตั้งแต่เห็นฝีมือฌอนผมก็รู้สึกว่าอยากได้รูปภาพฝีมือเขาสักภาพแต่จากที่ดูและได้ฟังมาจากพี่ต้าร์ก็รู้ว่าราคามันคงสูงเกินกว่าจะซื้อได้ แต่ผมก็คิดว่าจะค่อยๆเก็บเงินและขอซื้อภาพเล็กจากฌอน
ไหนๆก็มีโอกาสสั่งให้ทำอะไรก็ได้เลยลองพูดดู
แต่ก็รู้ตัวว่าโอกาสถูกปฏิเสธมันสูงมาก
ระดับฝีมือและด้วยนิสัยอย่างฌอน เขาไม่มีทางวาดรูปให้เพียงเพราะมีคนสั่งหรอก
“เอาสิ...จะวาดให้”
ก็ทำใจไว้อยู่แล้วว่าคงจะถูกปฏิเสธ...
เดี๋ยวนะ
“นายว่าอะไรนะฌอน”ผมรีบถามกลับพร้อมขยับเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น
“ฉันบอกว่าจะวาดให้”
“จริงเหรอ จริงๆนะ ไม่ได้กวนหรือล้อเล่นใช่ไหม”ผมถามย้ำด้วยน้ำเสียงเริงร่า
“ดีใจเว่อร์ไปแล้ว”
“ก็น่าดีใจไหมล่ะ ไม่คิดว่าจะยอมวาดให้จริงๆนะเนี่ย เอาแค่รูปเล็กๆขนาดเอสี่...ไม่สิ...ขอแค่ครึ่งเองสี่ไม่ก็เท่าบัตรนักเรียนก็ได้นะ”
“เล็กไปมั้ง”
“ตามใจฌอนเลย”
“อืม”ฌอนขานตอบพลางหยิบสมุดวาดเขียนและดินสอออกมาจากกระเป๋า
กระดาษวาดภาพสีเหลืองนวลค่อยๆถูกดินสอลงลายเส้น ดวงตาสีเทาอ่อนมองไปยังภาพสวนน้ำด้านหน้าโดยที่มือค่อยๆร่างภาพตรงหน้าเริ่มจากวงกลมขนาดใหญ่เป็นส่วนของสระไปจนถึงของเล่นขนาดใหญ่ด้านหลังสระน้ำและรั้วล้อมรอบ
ผมนั่งมองภาพบนกระดาษที่ค่อยๆปรากฏเด่นชัดขึ้นด้วยความรู้สึกตื่นเต้น
ภาพนี้คงจะเป็นภาพที่ให้ผมแน่ๆ
ไม่คิดว่าพอพูดแล้วก็จะวาดให้เลยแบบนี้
นี่ผมฝันอยู่รึเปล่านะ
ด้วยความที่กระดาษไม่ได้แผ่นใหญ่นักฌอนเลยใช้เวลาในการร่างภาพรวมทั้งหมดไม่นานก่อนจะลงรายละเอียดทีละขั้น ใช้เวลาประมาณ3ชั่วโมงกว่าภาพสระน้ำของสวนสาธารณะอันเต็มไปด้วยต้นไม้และเครื่องเล่นก็เสร็จสมบูรณ์
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ได้เห็นตั้งแต่การร่างภาพไปจนถึงการแรเงาจนเสร็จสิ้น
“สุดยอดมากเลย”ผมชมออกไปตามตรง แม้จะใช้เพียงดินสอแรเงาแต่ก็สามารถสื่อถึงแสงและเงาได้ดีไม่แพ้ใช้สีไม้หรือสีน้ำเลย
“ก็แค่ลองวาดดู”
“ภาพนี้ของฉันสินะ”
“ฉันบอกเหรอว่าให้นาย”
“...”ผมถึงกับเงียบเมื่อได้ยินคำพูดนั้น
ใบหน้าราวกับค่อยๆแตกเป็นเสี่ยงด้วยความอับอายและขายหน้า
“...เปล่า...เฮ้ น้ำเปล่า”
“ถ้าไม่ใช่ก็บอกกันก่อนสิ รู้ไหมว่าเวลาหน้าแตกมันอายขนาดไหนน่ะ”ผมยกมือขึ้นปิดใบหน้าแดงๆของตัวเอง
“หน้าแดงๆก็น่ามองอยู่”
“ไม่ต้องมายิ้มเลย...ชอบกวนตลอด ถ้าไม่ให้ภาพนี้แล้วจะให้ภาพไหนล่ะ”ผมถามต่อ
อย่างน้อยก็ควรจะรู้ไว้จะได้ไม่น่าแตกอีก
“ไม่รู้สิ”ฌอนส่วยิ้มกวนๆมาให้
“ฌอน”
สายตานั่นราวกับกำลังสนุกที่ได้กลั่นแกล้งผมให้ดิ้นไปมา
น่าโมโห
น่าหงุดหงิดที่สุด
นี่ผมเป็นคนชนะนะทำไมถึงเหมือนกลายเป็นคนแพ้ไปได้เนี่ย!
...............................................................................................
มาต่อแล้วค่าาา
แต่งตอนนี้แล้วอมยิ้มไม่รู้ตัว
รู้สึกว่าชอบนิสัยน้ำเปล่าอย่างบอกไม่ถูก555
มีเรื่องแจ้งนะคะอาทิตย์หน้าเราติดสอบทั้งอาทิตย์จึงขอหยุดอัพนะคะ จะมาต่อสัปดาห์นู้นเลย
ขอบคุณสำหรับทุกๆคอมเม้นท์และทุกๆกำลังใจนะคะ
แค่มีคนคอยติดตามผลงานก็ดีใจมากๆแล้ว
ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้าค่า
บ๊ายบาย

nicedog
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪