.:*・สร้างรัก・*:. วันที่7
งานเทศกาลขึ้นชื่อของมหาลัยได้ผ่านพ้นไปพร้อมกับปิดเทอมเล็กๆซึ่งก็ยาวหลายอาทิตย์ไปจนถึงหลังปีใหม่เลยทีเดียว คงมีหลายคนกลับไปอยู่บ้านในช่วงวันหยุดนี้อย่างรูมเมทของผมที่กลับบ้านไปตั้งแต่หลังไปเดินงานเทศกาลของคณะผมจบ
งานแสดงผลงานนักเรียนเป็นหนึ่งในหลายๆสิ่งที่ผมไม่ชอบ
นอกจากจะคนเยอะแล้วยังมีแต่เรื่องน่ารำคาญอีก
ผลงานเพียงหนึ่งเดียวซึ่งเป็นเหมือนตัวแทนการสอบโดยจะมีอาจารย์ประมาณ5คนเดินมาดูผลงานพร้อมประเมินว่าควรจะได้คะแนนเท่าไหร่
ผลงานชิ้นนี้ผมใช้เวลาวาดสองอาทิตย์กว่า เป็นผลงานแรกในรอบสิบปีที่ลงสีสันไม่ใช่เพียงขาวดำเหมือนก่อนหน้านี้ เพราะแบบนั้นจึงทำให้เป็นที่ต้องตาและสนใจของหลายๆคนจนมีคนมาขอซื้อไม่ขาดสายตั้งแต่ช่วงเช้า
แต่แน่นอนว่าผมไม่คิดจะขายและเหตุผลไม่ใช่เพียงสัญญาที่ให้ไว้กับน้ำเปล่าแต่เป็นความรู้สึกตลอดการวาดผลงานชิ้นนี้ขึ้นมาภายในหัวผมมันเต็มไปด้วยภาพความทรงจำที่มีกับเขาตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้
ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าภาพนี้มันคือรูปอะไร สิ่งเดียวที่บอกได้คือความหมายของภาพมันสื่ออกมาอย่างชัดเจนจนคนวาดอย่างผมยังต้องตกใจ
ราวกับเป็นคำสารภาพรัก
โชคดีจริงๆที่ไม่ได้วาดในห้องนี้ ตอนแรกผมก็เพียงแค่อยากทำตามสัญญาที่ให้ไว้คือวาดรูปให้จึงไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้เท่านั้น เพราะแบบนั้นถึงได้ไปหมกตัวอยู่ในห้องส่วนตัวของคณะ แต่สุดท้ายกลับกลายมาเป็นภาพอันเต็มไปด้วยความรู้สึกขนาดนี้
ไม่แปลกใจเลยที่เห็นผู้หญิงหลายคนยืนหน้าแดงตอนมองภาพนี้
ตัวผมเริ่มแน่ใจในความรู้สึกนี้ว่าคืออะไร มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
นี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกอยากจะอยู่กับใครสักคนแบบนี้
เพราะตลอดเทอมมีน้ำเปล่าคอยพูดนู้นพูดนี่ คอยพาไปข้างนอกทำให้ช่วงหยุดยาวหลายวันติดนี่เงียบกว่าปกติ
ทั้งที่ควรจะชอบเพราะจะได้มีสมาธิแล้วทำไมถึงได้รู้สึกไม่มีสมาธิมากกว่าเดิมซะอีก
ครืดดด ครืดดด
แรงสั่นของโทรศัพท์เรียกสติให้กลับเข้าร่าง ดวงตาสีเทาอ่อนของผมมองไปยังภาพร่างบนกระดาษก่อนจะถอนหายใจออกมายาวๆด้วยความไม่พอใจนัก
จะให้พอใจได้ยังในเมื่อภาพที่ปรากฏเป็นรูปของรูมเมทเพียงคนเดียวของห้อง
ภาพขนาดกลางบนกระดาษขาวมีรูปของน้ำเปล่าตอนยืนมองพระอาทิตย์ตกดินด้วยรอยยิ้มบางๆ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่วาดภาพน้ำเปล่า
หลายอาทิตย์นี้ผมเผลอวาดรูปน้ำเปล่าออกมาโดยไม่รู้ตัว
คิดถึงเหรอ
เหงาเหรอ
หรือว่าอยากเจอกันแน่
ไม่แน่มันอาจเป็นทุกอย่างที่ว่ามาเลยก็ได้
ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูข้อความจากเฟสซึ่งเด้งขึ้นมา ก่อนน้ำเปล่าจะกลับบ้านได้ขอทั้งเบอร์โทรและเฟสบุกของผมไว้ทำให้เกือบทุกวันมักจะมีข้อความส่งมาหาเสมออย่าง
‘กลางวันแล้วกินข้าวด้วยนะ’
‘อย่าเอาแต่วาดรูปออกไปเดินเล่นรับลมบ้าง’
วันนี้เองก็เช่นกัน
‘หวังว่ากลับไปจะไม่ต้องช่วยดึงก้นนายออกจากพื้นหรอกนะ’
“หึ...”ไม่รู้ว่าว่างรึไงถึงได้ส่งมาได้ทุกวี่ทุกวัน
ถึงจะได้ข้อความตลอดแต่ความรู้สึกมันก็ยังไม่พอ
แค่ข้อความมันไม่มากพอ
อยากเห็นหน้า
อยากเห็นรอยยิ้มกว้างนั่น
ระหว่างกำลังคิดอยู่น้ำเปล่าก็ส่งรูปถ่ายเซลฟี่ตัวเองตอนยิ้มกว้างโดยมีภาพด้านหลังเป็นบันไดไม้สูงขึ้นไปจนเกือบถึงยอดเขา
“ไปปีนเขาสินะ”ผมพึมพำระหว่างมองภาพนั้นด้วยรอยยิ้มมุมปาก
ชอบรอยยิ้มนี้ที่สุด
ชอบจนไม่เข้าใจว่าทำไมถึงชอบได้ขนาดนี้
ก็แค่รอยยิ้มธรรมดาๆ
ทั้งแบบนั้นกลับทำเอาหัวใจสั่นอย่างไม่เคยเป็น
อาจเพราะมันธรรมดาเลยตราตรึงโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้
อีกสองวันก็จะถึงวันปีใหม่แล้ว
ถ้าถามถึงครอบครัวผมก็พึ่งโทรมาบอกให้กลับบ้านเป็นครั้งที่3ในรอบอาทิตย์ แน่นอนว่าผมก็บอกปัดไปซะทุกครั้งเพราะไม่อยากจะไปทำอะไรวุ่นวายอย่างการร่วมงานเลี้ยงปีใหม่ที่ทางบ้านเป็นคนจัด
ครอบครัวผมจะพูดง่ายๆก็รวยมาก จะเรียกมหาเศรษฐีก็ไม่ผิด
งานเลี้ยงปีใหม่เองก็ไม่ได้จัดประเทศไทยแต่เป็นอังกฤษบ้านเกิดของพ่อ
แค่คิดว่าต้องนั่งนิ่งๆบนเครื่องโดยไม่ได้วาดรูปเป็นเวลานานก็ทำเอาความอยากกลับไปติดลบบวกกับได้ชื่อว่างานเลี้ยงคนก็ต้องเยอะและไม่ใช่เยอะธรรมดาแต่เป็นมหกรรมของคนเกือบร้อยเข้ามากินดื่มอยู่ภายในสวน
ต่อให้พาคนมาลากก็ไม่กลับแน่นอน
กระดาษวาดรูปบนพื้นถูกหยิบพร้อมชูขึ้นเล็กน้อย ปกติผมไม่ค่อยวาดรูปคนเพราะต้องอาศัยการจำลายละเอียดค่อนข้างเยอะทว่ากลับภาพน้ำเปล่าตรงหน้านี่กลับวาดออกมาได้ครบทุกรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นดวงตาเรียวที่กลมโตกว่าปกติเล็กน้อย รอยยิ้มกว้างยามมีความสุขหรือแม้แต่ทรงผมที่พริ้วไปตามแรงลม
แปลกใจตัวเองขึ้นทุกวัน
ความรู้สึกนี่คงปฏิเสธไม่ได้แล้วว่าคือชอบ
แต่เพียงคำว่าชอบมันอาจไม่เพียงพอที่จะให้บอกออกไปในตอนนี้
ผมไม่อยากมีความสัมพันธ์กับใครเพราะมันจำทำให้ผมเสียเวลาในการวาดรูป
ทั้งที่คิดแบบนั้นแต่น้ำเปล่าก็ลากผมออกไปข้างนอกเกือบทุกอาทิตย์
ถึงจะไม่ค่อยชอบแต่ก็ไม่เคยปฏิเสธอย่างจริงจังสักครั้ง
“เอาเข้าไปสิ ขนาดไม่อยู่ยังเข้ามาอยู่ในหัวอยู่นั่นแหละ”ผมพึมพำพลางสไลด์รูปภาพที่พึ่งวาดเสร็จไปยังใต้เตียง
ใต้เตียงถือเป็นสถานที่เก็บภาพที่ดีเนื่องจากไม่มีใครเห็น ผมไม่อยากให้น้ำเปล่ารู้ว่าผมวาดรูปเขาแบบนี้ ถ้าลองค้นใต้นั้นดูก็คงพบกับภาพน้ำเปล่าไม่ต่ำกว่า10ภาพแล้วมั้ง
อีกแล้ว
เผลอทีไรเป็นอันต้องคิดเรื่องน้ำเปล่าทุกทีสิน่า
หลายวันผ่านไปจนถึงวันสุดท้ายของปีหรือก็คือวันที่31ธันวาคม แม้หลายๆคนจะออกไปเที่ยวหรือทำการฉลองกับครอบครัวแต่ไม่ใช่กับผม
โทรศัพท์ก็ยังถูกโทรตามจากผู้เป็นแม่จนถึงนาทีสุดท้าย ซึ่งผมก็ตอบปฏิเสธเป็นรอบที่ล้านได้แล้ว
ทางครอบครัวดูจะอยากเจอผมมากถึงขนาดบอกจะเปลี่ยนมาจัดงานประเทศไทยแทนแต่มีเหลือผมจะยอมให้พวกเขาทำตามใจ
อย่ามากวนความสงบของผมเลย
กระดาษวาดเขียนตรงหน้าบัดนี้มีรูปของแม่น้ำและบ้านเรือนของเมืองเวนิสประเทศอิตาลี่ที่เคยไปเมื่อตอนยังเด็ก ความทรงจำอาจเลือนรางไปบ้างแต่จุดสำคัญยังพอจำได้
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“...”ผมละมือออกจากกระดาษตรงหน้ามองไปยังประตูห้องที่ถูกเคาะ
คำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวคือ...
ใคร
ช่วงปิดวันปีใหม่นี่คนในหอพักแทบจะกลับกันหมดหอเหลือเพียงคนดูแลที่นานๆครั้งจะมาเคาะประตูเพื่อดูว่าผมยังมีชิวิตอยู่รึเปล่า มีอีกคนที่สามารถมาห้องนี้ได้คือพี่ต้าร์เจ้าของร้านอาหารเจ้าประจำของผมแต่วันนี้ผมไม่ได้สั่งก็เหลือแต่ผู้ดูแลที่ชื่ออะไรสักอย่าง
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“เร่งจริง”บ่นเสร็จผมก็ลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูด้วยอารมณ์ไม่สู้ดีนัก
ครั้งนี้แหละผมจะบอกสักทีว่าเลิกมายุ่งได้แล้ว มาเคาะทีสมาธิแตกยับหมด
แกร็ก
“มีอะ...”
“เมอรรี่คริสมาสแอนแฮปปี้นิวเยีย!!”ยังไม่ทันได้พูดจบประโยคก็ถูกพูดแทรกด้วยเสียงอันดัง น้ำเสียงอันคุ้นเคยที่มักจะได้ยินเสมอไม่ว่าตอนไหน
รูมเมทที่ไม่น่ามาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าได้
“...น้ำเปล่า”ผมเรียกคนตรงหน้าด้วยความสับสนเล็กๆ
“อืม”ใบหน้าของอีกฝ่ายยังคงส่งยิ้มกว้างมาให้
รอยยิ้มที่อยากเห็นมาตลอด
ได้มองตรงๆดีกว่ามองผ่านรูปเยอะเลย
“ทำไมถึง...”มาอยู่นี่
“อยากมาฉลองปีใหม่กับนายน่ะ ฉันอุตส่าหนีออกจากบ้านมาเลยนะ กว่าพ่อแม่จะอนุญาตแล้วขี่รถมาส่งนี่ไม่ง่ายเลย”
คำว่าหนีออกจากบ้านทำเอาผมเริ่มขมวดคิ้วทว่าเมื่อได้ยินประโยคต่อมาผมก็ต้องถอนหายใจยาวๆออกมาแทน
“มันเรียกหนีออกจากบ้านที่ไหนเล่า”
“คิก น่าๆ ฉันเมอรรี่กับแฮปนายแล้ว บอกฉันกลับบ้างสิ”
“อะไรนะ”ผมถามกลับคำพูดแปลกนั่น
“ก็ฉันเมอรรี่คริสมาสแอนแฮปปี้นิวเยียนายแล้ว ฌอนก็บอกฉันบ้างสิ”สำเนียงอังกฤษแปล่งๆขั้นสุดยอดนั่นเรียกรอยยิ้มจากปากผมได้
“ออกเสียงแข็งไป”
“ฮืม? ยังไง”
“merry christmas and happy new year”ผมออกเสียงให้ดูเป็นตัวอย่าง
“คะ...ใครจะออกเสียงเป๊ะเหมือนนายล่ะ ได้แค่นี้ก็เก่งแล้ว ว่าแต่นายเถอะได้ลุกออกไปไหนบ้างรึเปล่าเนี่ย”น้ำเปล่าถามพลางส่งสายตาจับผิดมา
“ไม่ได้ออก”ผมไม่มีความจำเป็นต้องโกหก
“ฌอน ฉันบอกว่าให้ออกไปเดินบ้างไง”คำตอบผมดูจะทำให้รอยยิ้มถูกแทนที่ด้วยคิ้วที่ขมวดเข้าหากันอย่างไม่พอใจ
“เสียเวลา”เอาเวลาเดินเล่นมาวาดรูปดีกว่า
“เสียอะไรกัน รู้ไหมว่าการออกกำลังมันทำให้ร่างกายแข็งแรงนะ แบบนี้นายสู้แพ้ฉันแน่ๆ”
“แพ้นาย?”ผมถามกลับพลางเลิกคิ้วขึ้น
ผมเนี่ยนะจะแพ้ให้กับน้ำเปล่าที่ตัวเล็กกว่า
“แน่นอน เจอนี่”
ตึง!
น้ำเปล่าตั้งท่าก่อนจะวิ่งเข้ามาหาพร้อมใช้มือกอดเอวผมแล้วใช้หัวดันเข้าบริเวณหน้าท้อง ด้วยความที่ไม่ได้ตั้งตัวเลยเซเข้าไปในห้อง น้ำเปล่าอาศัยโอกาสนั้นดันแรงจนผมก้าวถอยหลังไปจนชนเข้ากับปลายเตียงอย่างจัง
“เฮ้ย!”ทั้งผมและน้ำเปล่าต่างร้องขึ้นเมื่อพวกเราหงายหลังลงบนเตียงพร้อมกันโดยมีน้ำเปล่าอยู่บนตัวผม
ราวกับเวลาถูกหยุดลง ทุกการเคลื่อนไหวต่างถูกยับยั้ง
สิ่งเดียวที่ทำให้รู้ว่าทุกอย่างไม่หยุดนิ่งคือเสียงหัวใจสองดวงที่เต้นเร็วขึ้น อาจเพราะผมอยู่ข้างล่างเลยสัมผัสถึงความอุ่นและน้ำหนักของคนด้านบนได้อย่างชัดเจน เพราะก่อนหน้านี้น้ำเปล่าใช้มือกอดเอวผมอยู่ทำให้ตอนล้มก็ยังอยู่ในท่าเดิม
เหมือนถูกกอดอยู่เลย
ความอุ่นนี่มันแผ่ซ่านไปจนไม่อยากขยับตัว
อยากอยู่แบบนี้ไปอีกสักพัก
ขออีกสักพักเถอะ
“ฌะ...ฌอน”เสียงอู้อี้ดังขึ้นจากใบหน้าที่แนบชิดกับแผ่นอก
“...อะไร”
“ฉันลุกไม่ได้...”
“ก้มหน้าพูดเสียงมันอู้อี้ฉันฟังไม่ถนัด”ผมบอกไปตามตรง
“ฉันบอกว่าลุกไม่ได้ มือถูกนายนอนทับอยู่”ครั้งนี้น้ำเปล่าเงยหน้าขึ้นมาสบตาผมจังพร้อมกับพูดเสียงดัง ใบหน้าขาวตอนนี้ปรากฏสีแดงระเรื่อ
เป็นภาพที่น่ามองจริงๆ
“หน้าแดงนะ”
“กะ...ก็เพราะใครเล่า”พอได้ยินคำพูดผมใบหน้าก็ยิ่งเห่อแดงขึ้นกว่าเดิม
“เพราะนายเข้ามากอดฉันไง”ผมตอบให้
ใบหน้าอาจไม่อยู่ในระยะประชิดซึ่งก็ดีแล้วเพราะตำแหน่งนี้ไม่ได้เพียงดวงตาที่สั่นระริกแต่เห็นไปทั้งใบหน้าอันแดงก่ำและริมฝีปากบางๆที่อ้าๆหุบๆ
น่ารัก
ทำไมถึงคิดว่าท่าทางแบบนี้น่ารักกันนะ
เพราะชอบเหหรอ
ก็คงใช่
ผมไม่ปฏิเสธหรอกเพราะตั้งแต่เห็นหน้าน้ำเปล่าหลังจากที่ไม่ได้เห็นมานานความรู้สึกมันก็ชัดเจนขึ้นโดยไม่ต้องอาศัยภาพวาด
“อย่ามาโยนให้ฉันสิ แค่อยากแสดงความแข็งแกร่งให้เห็นเท่านั้นเอง”
“นี่คือความแข็งแกร่งเหรอการลุกไม่ได้เนี่ย”ผมกวนกลับ
“ช้อน พอเลย ลุกนะ”
“จะลุกยังไงนายนอนทับอยู่นะ”ถึงอยากจะลุกก็ลุกขึ้นตรงๆไปได้หรอก น้ำหนักของน้ำเปล่าไม่ใช่จะเบาและผมเองก็ไม่ได้แข็งแรงขนาดจะลุกขึ้นทั้งที่แขนสองข้างถูกรวบกอดไว้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้
“อ่ะ เอาไงดีล่ะ”
“ฉันจะพลิกตัว”
“เดี๋ยว...เฮ้ย”น้ำเปล่าร้องเสียงหลงเมื่อผมพลิกตัวทันทีโดยไม่รอให้อีกฝ่ายได้พูด
เมื่อพลิกตัวตะแคงข้างทำให้ผมที่ตอนแรกเป็นฝ่ายถูกกอดตอนนี้กลับเป็นฝ่ายกอดน้ำเปล่าซะเอง เส้นผมสีดำสนิทพริ้วไหวเล็กน้อยจากการขยับตัวและเริ่มขยับตัวมากขึ้นหลังจากรับรู้ว่าตอนนี้เป็นผมที่โอบกอดตัวอีกฝ่ายไว้
“ปะ...ปล่อยนฌอน”น้ำเสียงร้อนรนดังขึ้นพร้อมแรงดิ้น
“ไหนบอกแข็งแรงนี่ ลองหลุดออกไปให้ได้สิ”ผมยังไม่อยากปล่อยน้ำเปล่าตอนนี้
เพราะยังไม่อยากปล่อยเลยเลือกจะหาเรื่องมาเป็นข้ออ้าง
กลิ่นหอมๆนี่คงเป็นแชมพูละมั้ง
ผมคิดพลางก้มหน้าลงจนสัมผัสกับเส้นผมสีดำตรงหน้า
“ฌะ...ฌอน ทำอะไร”
“...ไม่รู้สิ”ไม่รู้ตัวเลยว่าทำอะไรลงไป
“ไม่รู้ได้ยังไง”
“อืม”
“อืมอะไรเล่า ปล่อย”
“ถึงไม่ออกไปไหนแรงฉันก็ชนะนายได้สบายๆ”ผมกระซิบบอกด้วยรอยยิ้มของผู้ชนะ
“หนอย ช้อน!!”เสียงตะโกนดังขึ้นพร้อมกับหมัดหนักถูกปล่อยเข้าบริเวณลำตัวจนผมนิ่วหน้าเผลอคลายอ้อมกอดออกเพราะความเจ็บปวดที่ได้รับ
“เจ็บ...”เจ็บจริงไม่ได้พูดเล่น
หมัดของน้ำเปล่าหนักมาก
“ก็ทำให้เจ็บน่ะสิ”พูดจบก็ยังใช้เท้ายันหน้าท้องผมให้ถอยออกไปอีก
“นี่ ฉันเจ็บอยู่นะจะถีบให้ตกเตียงเลยรึไง”
“ตกไปเลย แกล้งกันได้ตลอด”
“ไม่ได้แกล้ง”
“ขนาดนี้ยังบอกว่าไม่ได้แกล้งเหรอ นี่แหนะ”และแล้วผมก็ถูกขานั่นถีบอีกรอบทว่าก่อนจะไถลไปไกลกว่านี้ผมก็เอื้อมมือไปคว้าแขนน้ำเปล่าไว้เป็นตัวยึด
“ถีบอีกได้ตกไปพร้อมกันแน่”
“กลัวที่ไหน ยังไงนายก็ตกก่อน”
“น้ำเปล่า เลิกถีบ”
“ก็ปล่อยสิ”
“ก็เลิกถีบก่อนสิ”
“ไม่”
“งั้นฉันก็ไม่”
สรุปวันส่งท้ายปีก็ผ่านไปท่ามกลางเสียงทะเลาะกันจนเข้าวันใหม่ของปี การอยู่กับน้ำเปล่ามีแต่เรื่องถกเถียงกันอย่างไร้สาระทั้งที่เป็นแบบนั้นผมกลับเริ่มรู้สึกสนุกอย่างที่ในชีวิตไม่เคยสัมผัสมาก่อน
ผมหัวเราะ
ผมยิ้ม
ผมพูดคุย
ผมเถียง
ตั้งแต่มีน้ำเปล่าเรื่องที่ผมไม่เคยได้ทำกลับทำราวกับเป็นกิจวัตรประจำวัน
ชีวิตแบบนี้ก็ไม่เลว
ปิดเทอมแรกได้ผ่านพ้นไปเปิดเทอมสองก็ได้มาเยือน สำหรับผมจะยังไงก็เหมือนกันเพราะผมไม่คิดจะเข้าห้องเรียนถ้าไม่จำเป็นอยู่แล้ว พวกวิชาที่ต้องลงก็จัดการตั้งแต่ก่อนปิดเลยไม่ต้องห่วงอะไร
มหาวิทยาลัยนี้ในช่วงต้นปีจะมีการเปิดตลาดสำหรับขายของซึ่งถือเป็นงานขึ้นชื่ออีกงานของมหาลัย ผู้ที่จะเข้าร่วมกันเป็นนักศึกษาทุกคนจะจัดบูธตามวิชาเลือกเสรีโดยให้หาสินค้าทำมือไปขายภายในงานอย่างทำอาหารหรือเย็บผ้าก็ได้ซึ่งจะจัดงานเพียงแค่วันเดียว
นักศึกษาในมหาลัยทุกคนต้องทำสินค้าออกมาคนละ5ชิ้น แน่นอนว่าไม่มีการบังคับให้ทุกคนต้องอยู่เฝ้าบูธใครที่ส่งผลงานแล้วจะเดินเที่ยวหรืออยู่ห้องก็ไม่มีใครว่า ยังไงเรื่องคนเฝ้าคงคุยกันไว้แล้ว
ผมเองก็กำลังวาดภาพเพื่อเป็นสินค้าไปขาย ภาพที่วาดไม่ได้มีขนาดใหญ่เหมือนภาพอื่นๆแต่เป็นภาพเล็กขนาดครึ่งเอสี่เพื่อให้สะดวกในการวางขาย
เรื่องทำสินค้าไม่ได้เป็นปัญหา
ยังไงก็ทำมาสามปีแล้ว
ไม่เหมือนกับอีกคนที่ดูจะไม่ค่อยโอเค
“เปล่า นั่นอะไร”ผมหันไปถามผลงานในมือรูมเมท
“กระต่ายไง ไม่เห็นสีขาวกับมือที่ถือแครอทนี่เหรอ”น้ำเปล่ายื่นดินเหนียวปั้นสีขาวซึ่งถูกทำเป็นรูปสัตว์ที่ไม่อาจบอกได้ว่าเป็นกระต่ายมาตรงหน้าผม จริงอยู่มันอาจเป็นสีขาวแต่หูนั่นมันสั้นไปสำหรับกระต่ายแถมไอ้ยาวๆสีส้มนั่นดูยังไงก็เหมือนแท่งไม้มากกว่าแครอท
“นายควรทำอย่างอื่น อย่างทำอาหารอะไรแบบนนี้”ผมบอกไปอีกรอบ ตั้งแต่รู้ว่าต้องหาสินค้าไปขายน้ำเปล่าก็คิดอยู่หลายวันก่อนจะเลือกทำพวงกุญแจจากดินเหนียว
ก็รู้ๆอยู่ถึงฝีมือด้านศิลปะว่ามีแค่ไหน
ไม่เข้าใจว่าทำไมยังเลือกจะทำอีก
สินค้าที่เอาไปขายและขายได้นั้นจะมีคะแนนพิเศษรายบุคคลให้ สำหรับน้ำเปล่าน่าจะเก็บคะแนนส่วนนี้ไว้ให้มากๆแต่ด้วยผลงานผมว่าน่าจะยาก
“ไม่ วิชาเสรีฉันคือศิลปะสมัยใหม่นะจะให้ทำอาหารได้ยังไง”
“เฮ้อ วิชาเสรีที่นายอยากลงมันเต็มหมดนี่นะ”วันลงทะเบียนเป็นวันที่ได้ยินเสียงโอดคราญเนื่องจากลงวิชาที่อยากเรียกไม่ทัน วิชาเสรีเป็นวิชาที่ต้องแย่งชิงสูงถึงจะได้วิชาง่ายๆ ดังนั้นวิชาที่น้ำเปล่าจะลงเลยเต็มอย่างรวดเร็ว
“ไม่เป็นไร ได้เรียนวิชาเดียวกับนายบ้างก็ดี”น้ำเปล่ายิ้มระว่างลงมือปั้นต่อ
อย่างที่อีกฝ่ายว่า พอวิชาเสรีที่ต้องการลงไม่ทันผมเลยลองเสนอให้ลงวิชาเสรีเดียวกันไหมเพราะยังเหลือที่ว่างอยู่เยอะพอสมควร
“บังคับให้ไปน่ะสิ”วิชาเสรีเองก็เป็นอีกวิชาที่ผมไม่ลงไปเรียน มีหลายครั้งถูกน้ำเปล่าลากให้ไปเรียนด้วย และหลายๆครั้งนั้นผมก็ต้องจำยอมไปอย่างเสียไม่ได้
“ก็บอกดีๆไม่ยอมไปนี่”
“ก็ไม่ได้อยากไป”
“ฉันไม่มีเพื่อน”
“อย่างนายเดี๋ยวก็หาได้แล้ว”ผมบอก น้ำเปล่ามีอัธยาศัยดี สานสัมพันธ์กับคนอื่นได้ง่าย
ต่อให้ผมไม่ไปด้วยก็หาเพื่อนได้สบายๆ
“อยากไปเรียนกับฌอน ไม่รู้ล่ะฉันจะลากไปทุกคลาสเลย”
“เฮ้อ...”ผมได้แต่ถอนหายใจเพราะรู้ว่ายังไงก็คงต้องยอมตามที่อีกฝ่ายว่า
เอาเถอะ
การไปเรียนด้วยกันมันก็ไม่ได้แย่
และแล้ววันจัดงานก็มาถึง สถานที่จัดงานคือถนนสายหลักของมหาลัยตั้งแต่ทางเข้าไปจนถึงทางออก ความครึกครื้นของงานขนาดเปิดหน้าต่างบนชั้น12ก็ยังดังเล็ดรอดเข้ามาได้
สำหรับน้ำเปล่าวันนี้ไม่ได้อยู่ห้องเนื่องจากไปเป็นคนเฝ้าบูธโดยคิดจะลากผมไปด้วยแต่มีเหรอที่ผมจะยอมลงไปยังสถานที่อึกทึกขนาดนั้น ต่อให้จะถูกลากหรือพูดยังไงผมก็ยังคงขืนจนในที่สุดอีกฝ่ายก็ต้องยอมแพ้เพราะถึงเวลาเรียกรวมตัว
การปฏิเสธไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกอะไร
ทั้งที่เป็นแบบนั้น...
ทำไมถึงรู้สึกเหมือนทำผิดกันนะ
สายตาวิงวอนนั่นยังติดตาอยู่เลย
“แค่ไปดูคงพอนะ”พึมพำเสร็จผมก็ลุกขึ้นแล้วเตรียมตัวออกไปยังสถานที่ตั้งบูธ
ถนนสายหลักทั้งสองข้างต่างเต็มไปด้วยบูธมากมาย เสียงตะโกนขายสินค้าและผู้คนที่เข้ามาชมงานดังอื้ออึงเรียกความหงุดหงิดให้เริ่มเข้ามา
ผมเลือกที่จะเดินเลาะจากด้านหลังของบูธเพื่อหลีกเลี่ยงความแออัดบนถนนอันเต็มไปด้วยผู้คน งานวันนี้ทางมหาลัยจะประกาศให้เป็นวันหยุดและห้ามนำรถเข้ามาในช่วงเริ่มงานทำให้ถนนกลายเป็นพื้นที่เดินสำหรับผู้มาเยือน
บูธของศิลปะสมัยใหม่อยู่เกือบตรงกลางของถนนสายหลักซึ่งห่างจากหอพักพอสมควร ทุกก้าวที่เดินผ่านต่างก็มีสายตาจับจ้องมารวมทั้งเสียงซุบซิบด้วย เสียงเหล่านั้นต่างก็สงสัยถึงการมาของผม
ก็แน่ล่ะอยู่มาสามปีก็พึ่งเคยมาเดินงานนี้ครั้งแรก
“สนใจงานศิลปะสวยๆไหมครับ”เสียงอันคุ้นเคยของน้ำเปล่าเรียกให้ผมชะงักพลางมองไปยังภาพตรงหน้า น้ำเปล่ายืนอยู่หน้าบูธกำลังส่งเสียงเรียกลูก้าที่เดินผ่านไปมาด้วยรอยยิ้ม เหล่าคนเดินผ่านต่างก็หยุดนิ่งแล้วมองเข้ามาในบูธ...สินค้าหลากหลายอย่างของคนในวิชาถูกจัดเรียงอย่างสวยงามและเป็นลำดับ
“เธอๆ ดูรูปนี้สิสวยมากเลย”หญิงสาวคนหนึ่งหันไปคุยกับเพื่อนระหว่างยืนมองภาพขนาดครึ่งเอสี่ที่ผมเป็นคนวาด ทั้ง5รูปที่ผมวาดล้วนเป็นรูปง่ายอย่างแจกันดอกไม้ ถนนหรือพวกตึกเพียงแต่ใช้การเล่นสีสันให้ดูมีชีวิตชีวาและน่าสนใจมากขึ้น
ถ้าเป็นตัวผมก่อนหน้านี้คงไม่คิดจะลงสีภาพพวกนั้นหรอก
ทว่าผมในตอนนี้เปลี่ยนไป
“จริงด้วย สวยจัง...เอ่อ รูปนี้เท่าไหร่คะ”เพื่อนอีกคนที่มาด้วยกันหันไปถามน้ำเปล่า
“ครับๆ อ้อ พี่สาวนี่ตาแหลมมากเลยนะครับรูปนี้เพื่อนผมเป็นคนวาดเอง สวยสุดๆเลยเนอะ”
“...ค่า”รอยยิ้มและแววตาของน้ำเปล่าทำเอาสองสาวหน้าแดงขึ้น การกระทำนั่นเรียกให้คิ้วผมกระตุกอย่างไม่พอใจนัก
น้ำเปล่าไม่ใช่คนหน้าหล่อแต่ด้วยท่าทางเป็นมิตร ยิ้มเก่งแถมยังชวนคุยได้อย่างเป็นธรรมชาติเลยดูเหมือนจะเป็นเสน่ห์ที่ทำให้ใครต่างหลงใหลได้โดยง่าย
“รูปนี้ราคา1200บาทถ้าพี่สาวสนใจซื้ออีกรูปผมจะลดให้เหลือรูปละ1000เลยนะครับ”คำพูดคร่องแค่วนั้นแปลว่าคงทำการบ้านมาดี
ราคาของภาพผมตั้งไว้ให้อยู่900ไม่เกิน1500ซึ่งจะขายเท่าไหร่ก็ตามสะดวก
“แหม พูดแบบนี้พวกเราก็...”
“ผลงานของเพื่อนผมน่ะแบบว่าเป็นที่นิยมมากๆเลย ตอนนี้เหลือแค่3ภาพเท่านั้นเองนะถ้าหมดแล้วหมดเลย”น้ำเปล่ายังคงใช้คำพูดเพื่อนกระตุ้นให้อีกฝ่ายซื้อ
“ถ้างั้น เราขอซื้อสองภาพนี้ละกัน”สุดท้ายก็ทำให้ซื้อจนได้
“ขอบคุณครับ สนใจอย่างอื่นอีกไหมครับอย่างพวกกุญแจนี่”เมื่อขายอย่างนึงสำเร็จน้ำเปล่าก็ชูพวงกุญแจรูปร่างประหลาดขึ้น
“เอ่อ...คือ...”
“ผมทำเองเลยนะ”ถึงแม้จะมีรอยยิ้มการค้าช่วยทว่าลูกค้าทั้งสองกลับซื้อแค่ภาพของผมกลับไป
ตลอดการคิดเงินน้ำเปล่าก็ยังคงยิ้มแต่ผมสังเกตเห็นสายตาเศร้าเมื่อผลงานที่ตัวเองทำไม่ได้ถูกซื้อ ผมว่ามันก็ไม่ได้แย่มากเพียงแต่รูปร่างมันประหลาดถ้ามองเป็นศิลป์ผมว่ามันก็ศิลป์อยู่
“นั่นพี่ฌอนรึเปล่า”
“ฌอน ฮิลลารี่ล่ะ”
“มางานด้วยเหรอเนี่ย”
เพราะมองดูน้ำเปล่าเพลินกว่าจะรู้ตัวก็ก้าวออกจากหลังต้นไม้ซะแล้ว ทันทีที่ทุกคนเห็นผมต่างก็กลายเป็นเป้าสายตาอย่างรวดเร็ว
ไม่ชอบเลยแฮะ
กลับดีกว่า...
“ฌอน!”ยังไม่ทันได้ทำอะไรเสียงของน้ำเปล่าก็ตะโกนเรียกพลางโบกมือมาให้ รอยยิ้มกว้างกับดวงตาอันเป็นประกายยามมองมาทำให้ความคิดกลับห้องถูกล้มเลิกไป
“พักหน่อยก็ได้มั้ง เหงื่อออกชุ่มแล้ว”ผมเดินเข้าไปหาพร้อมกับยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลอาบแก้มอีกฝ่ายอยู่
“ฮิ สินค้าเราขายดีสุดๆเลย โดยเฉพาะภาพของนายตอนนี้เหลือแค่ภาพเดียวเอง”
“แล้วพวงกุญแจของนายล่ะ”ผมถามกลับทั้งที่รู้อยู่แล้ว
“...ก็...ยังขายไม่ได้”
“งั้นเหรอ”
“ว่าแต่จะมาช่วยฉันขายใช่ไหม”
“เปล่า แค่มาเดินซื้อของ”
“ซื้อของ? หิมะจะตกประเทศไทยละมั้งที่นายยอมมาเดินท่ามกลางผู้คนแบบนี้”
“ถ้าตกจริงฉันจะฝังนายในหิมะเลย”
“คิดว่าฉันจะยอมง่ายๆรึไงล่ะ ก่อนนายจะจับฉันได้ก็เตรียมตัวโดนปาหิมะใส่ได้เลย”น้ำเปล่าตอบกลับด้วยรอยยิ้มนึกสนุก
“หึ...พวงกุญแจของนาย”
“ทำไม? พวงกุญแจฉันทำไม?”
“ฉันจะเหมา”
“...”อีกฝ่ายถึงกลับเงียบกริบเมื่อได้ยินสิ่งที่ผมพูด
“เท่าไหร่ล่ะ”
“ฉันไม่ได้ต้องการให้นายมาสงสารนะฌอน!”อยู่น้ำเปล่าก็ตะโกนขึ้นด้วยใบหน้าไม่พอใจ
“ฉันก็ไม่ได้สงสารนี่”ผมตอบไปตามตรง
“ถ้าไม่ได้สงสารนายจะซื้อพวงกุญแจหน้าตาประหลาดแบบนี้ไปทำไม”
“ยอมรับแล้วเหรอว่าหน้าตามันประหลาดน่ะ”ระหว่างทำไม่เห็นยอมรับสักที
“ฌอน”
“ฉันไม่ได้สงสาร แค่อยากได้ผลงานของนายเท่านั้น”
“ทำไม...”
“เวลามองมันทำให้อารมณ์ดีขึ้น”
“ฌอน...”
“ทุกครั้งที่เห็นมันทำให้ฉันยิ้มออก...”ผมยังคงพูดต่อ
“ขะ...เข้าใจแล้ว ถ้าอยากได้ขนาดนั้นฉันจะขายให้ นายจะได้อารมณ์ดีตลอดไง”พูดจบก็ชูพวงกุญแจทั้ง5อันขึ้นตรงหน้าผม
“อึก...คิก”รูปปั้นสิงโตที่รูปคล้ายกับดอกทานตะวันมีหายทำเอาผมอมยิ้มบ้างก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาโดยไม่สนว่าจะมีหลายคนมองมาด้วยสีหน้าตกใจ
“หัวเราะอะไร นี่อย่าบอกนะว่าที่บอกอารมณ์ดีคือเห็นแล้วขำนะ”ดวงตาสีน้ำตาลของน้ำเปล่าเบิกกว้างเมื่อเข้าใจถึงสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อ
“ตามนั้นแหละ”ที่ผมขำไม่ใช่พียงเพราะรูปร่างของมันแต่มีภาพของน้ำเปล่าตอนตั้งใจปั้นจนสีเลอะหน้าผุดเข้ามาในความทรงจำด้วย
ทุกครั้งที่นึกถึงผมก็ยิ้มออกมาทุกที
“แกล้งกันได้ตลอด สนุกนักรึไง”
“สนุกสิ การได้อยู่กับนายสนุกว่าชีวิตที่ผ่านมาทั้งหมดซะอีก”นี่คือความจริงที่ไม่เข้าว่าทำไมถึงบอกออกไป
มันไม่จำเป็นต้องบอกให้อีกฝ่ายรับรู้
แล้วทำไมถึงได้เอ่ยมันออกไปกันนะ
“ฌอน...”
“อีกไม่นาน ฉันจะบอกอีกสิ่งที่นายยังไม่รู้”ผมใช้ดวงตาสีเทาอ่อนของตัวมองประสานเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลตรงหน้าก่อนจะเอ่ยสิ่งที่คิดออกไป
คิดเรื่องนี้มานานแต่ยังไม่มีความกล้าและความมั่นใจในการตัดสินใจ
ทว่าตอนนี้ในส่วนลึกของหัวใจมันกลับร่ำร้องและบอกว่าให้บอกออกไป
ความรู้สึกของตัวเอง
และเมื่อบอกออกไปแล้ว
ก็จะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้รอยยิ้มนั้นมาอยู่เคียงข้างตลอดไป
................................................................................
สวัสดีค่า
วันนี้มาอัพเร็วขึ้นเล็กน้อย
ตอนก่อนที่ว่าหวานแล้วยังสู้ตอนนี้ไม่ได้เลย อิอิ
พิมพ์ไปเขินไป อพไรจะน่ารักมุ๋งมิ๋งกันขนาดนี้เน้อออ
ถ้าทุกคนอ่านแล้วยิ้มไปด้วยกันจะดีใจมากๆเลยค่ะ
ไว้เจอกันใหม่ในตอนหน้านะ
บ๊ายบาย

nicedog
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪