.:*・สร้างรัก・*:. วันที่11
หลังจากกลับมาจากค่ายอาสาผมและฌอนต่างก็ไม่ได้เจอกันอีกในช่วงปิดเทอม ตัวผมกลับไปหาคุณย่าพร้อมกับน้องสาวยังต่างจังหวัดแม้จะมีติดต่อกับฌอนทางเฟสแต่ก็ไม่ได้บ่อยนัก พอผมกลับมายังหอพักก็ไม่พบฌอนอยู่ที่นี่ซะแล้ว
ด้วยความสงสัยผมเลยโทรไปถามก่อนจะได้ใจความว่าต้องเตรียมย้ายไปอยู่แถวที่ฝึกงานจนกว่าจะหมดเทอม ทางผมเองก็คงจะอยู่บ้านในเทอมนี้เพราะใกล้กว่าหอถึงอย่างนั้นก็ไม่คิดจะออกจากหอแล้วค่อยกลับมาใหม่ในเทอมหน้าหรอก
วันนี้ที่ผมมามีเหตุผลหลักๆเพียงเพื่อมาเอาภาพวาดกลับไปไว้บ้านซึ่งก็ให้พ่อรออยู่หน้าหอและขอให้พี่กรไปช่วยกันยกภาพนั้นลงมาด้านล่าง
“ภาพนี้ฝีมือเจ้าชายสินะ”พี่กระถามระหว่างยกภาพเดินไปหน้าประตู
“ใช่ครับ ได้มาเมื่อตอนงานเทศกาล”
“ได้มา? อย่าบอกนะว่าฟรี”พี่กรถามต่อด้วยแววตาอึ้งๆ
“ก็ประมาณนั้น”
“สนิทจริงๆด้วย รู้ไหมว่าราคาภาพที่ใหญ่ขนาดนี้เท่าไหร่แถมเจ้าของภาพยังเป็นฌอน ฮิลลารี่อีก”
“ผมไม่ค่อยรู้แต่ก็คิดว่าคงแพงในระดับที่ผมไม่สามารถซื้อได้แน่ๆ”ผมตอบกลับไปตามความคิด
ฝีมือของฌอนผมรู้ดีว่าสุดยอด
ดังนั้นผลงานของเขาคงไม่ใช่แค่หลักพันหรือหมื่นเป็นแน่
“เด็กมหาลัยซื้อไม่ได้หรอก ถ้าเป็นภาพเล็กก็ว่าไปอย่าง ภาพนี่อย่างน้อยๆก็คงหลักล้านอัพ “คำตอบของพี่กรทำให้ผมได้แต่ส่งยิ้มแหะๆไปให้
แพงยิ่งกว่าที่คิดอีก
“ภาพใหญ่กว่าที่คิดนะเนี่ย”เมื่อมาถึงรถพ่อก็มองมายังภาพที่ต้องใช้ถึงสองคนในการขน
“แฮะๆ เปิดประตูให้หน่อยพ่อ”
“แบบนี้ต้องวางไว้ข้างล่างให้พิงเบาะล่ะนะ”พ่อเปิดประตูพลางมองผมค่อยเอาภาพเข้ารถ
รถคันนี้ก็ไม่ได้ใหญ่มากมายจึงค่อนข้างลำบากในการขนย้ายภาพขนาดค่อนข้างใหญ่แบบนี้ ด้วยขนาดภาพส่งผลให้มองกระจกมองหลังไม่ค่อยเห็นเลยต้องขับรถอย่างระมัดระวังกว่าปกติ
กว่าจะมาถึงบ้านก็ใช้เวลานานพอสมควร
“เรียกน้ำส้มมาช่วยอีกคนเถอะ”พ่อบอก
“ก็ดีนะครับ”ผมพยักหน้าเห็นด้วย
“น้ำส้มลงมาช่วยพ่อกับพี่ขนของหน่อย!”ผมเดินไปเปิดประตูบ้านพร้อมตะโกนเรียก
“ขนของ? แค่สองคนไม่ไหวนี่ของพี่ชายเยอะขนาดนั้นเลยเหรอคะ”เสียงของน้ำส้มดังออกมาจากประตูบ้าน
“ออกมาดูเองมา”
“ค่าๆ”เสียงฝีเท้าดังขึ้นพร้อมกับน้ำส้มเดินออกมาจากตัว พอเห็นภาพที่อยู่ในรถก็ถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“มาช่วยกันหน่อย”ผมบอกพลางเปิดประตูรถออกกว้าง
“นี่อะไรน่ะพี่ ภาพ?”น้ำส้มเดินมาดูใกล้แล้วหันมาถาม
“ก็ใช่”
“ใหญ่จัง พี่ซื้อมาเหรอ”น้ำส้มถามต่อ
“รูมเมทพี่ให้มาน่ะ”
“ให้มา? ภาพใหญ่ขนาดน่ะนะ”
“อืม ไม่ต้องถามมากน่า มาช่วยกันยกเร็ว”ผมเริ่มเร่ง
สถานที่ที่ผมจะติดภาพนี้คือในห้องผม แน่นอนว่าผมต้องใช้เวลาหลายวันในการเก็บข้าวของที่ติดผนังออกให้หมดเพื่อจะได้ติดภาพวากนี่ได้
“แกะเลยได้ไหม หนูอยากเห็นว่าเป็นภาพอะไร”เมื่อยกภาพเข้ามาในห้องน้ำส้มก็หันมาถามโดยที่มือกำลังจะฉีกกระดาษหนังสือพิมพ์ออก ภาพนี้ผมใช้กระดาษหนังสือพิมพ์คลุมไว้ต่อๆกันเผื่อระหว่างขนย้ายเผลอขูดจนเกิดรอย
“ได้ๆ ยังไงก็ต้องช่วยยกติดผนังอยู่แล้ว”ผมบอกแล้วเดินไปช่วยแกะกระดาษออก ส่วนพ่อก็ยืนมองอยู่ห่างๆ
ภาพวาดขนาดใหญ่ค่อยๆถูกเผยออกมาท่ามกลางบรรยากาศในห้องเริ่มเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย สายตาของพ่อจับจ้องมายังภาพตรงหน้าด้วยใบหน้าครุ่นคิด คิ้วเองก็ขมวดเข้าหากันแน่น
น้ำส้มเองก็อ้าปากค้างมองภาพนี้อย่างอึ้งๆ ใบหน้าออกขาวค่อยๆเห่อแดงขึ้นทีละน้องนั่นแสดงให้เห็นว่าน้ำส้มเข้าใจถึงสิ่งที่ภาพนี้ต้องการจะสื่อออกมาได้
“พะ...พี่น้ำ ภาพนี่ผู้หญิงให้มาเหรอ”น้ำส้มหันควับมาถาม
“เปล่า...ผู้ชายต่างหาก”
“ถ้าเป็นผู้หญิงหนูนึกว่าพี่ถูกสารภาพรักแล้วนะ”
“...ก็นะ”ไม่อยากจะบอกหรอกว่าถูกสารภาพรักไปเรียบร้อยแล้ว
“น้ำเปล่า”พ่อที่เงียบไปอยู่ๆก็เรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
“มีอะไรครับ พ่อทำหน้าเครียดเชียว”ผมถามกลับ
“ภาพนี่แน่ใจนะว่าให้มาจริงๆน่ะ”
“...ครับ เจ้าของภาพให้ผมมา ทำไมเหรอ”ผมกระพริบตาปริบๆก่อนจะตอบไปตามตรง
ภาพนี่มันมีอะไรงั้นเหรอ
“เจ้าของภาพให้มา?!”เหมือนคำตอบผมจะยิ่งทำให้พ่อตกใจมากขึ้น
“ผมไม่ได้บอกเหรอ”นึกว่าบอกพ่อแล้วซะอีก
“นี่ไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม”
“พ่อจะบอกอะไรผมกันแน่น่ะ”ผมขมวดคิ้วพร้อมถามกลับ
“เจ้าของภาพคือฌอน ฮิลลารี่สินะ”
“...ทำไมพ่อถึงรู้”ผมจำได้ว่าไม่เคยบอกนะว่าใครวาด
“นักวาดแต่ละคนมักจะมีลายเส้นเป็นของตัวเอง ต่อให้วาดภาพอะไรก็จะมีลายเส้นที่บ่งบอกได้ถึงตัวตน อีกอย่างมุมขวาล่างนั่นมีลายเซ็นของเขาอยู่”ผมมองลงไปยังมุมด้านขวาตามที่พ่อพูดและก็เห็นลายเซ็นเล็กๆตามที่พ่อว่ามาจริงๆ
แต่เพียงแค่นั้นพ่อก็รู้เลยเหรอว่าเป็นใคร
ฌอนมีชื่อเสียงถึงขนาดนั้นเลยงั้นเหรอ
“พ่อรู้จักฌอนเหรอ”ผมถามสิ่งที่อยากรู้ที่สุดออกไป
“รู้จัก? ไม่รู้จักสิแปลก ลูกชายของประธานสูงสุดของบริษัทH&Yซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทและขยายสาขาไปกว่า46แห่งทั่วโลก”
“...”คำอธิบายของพ่อทำเอาผมเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง
ลูกชายของบริษัทH&Y
บริษัทที่พ่อผมทำงานอยู่
และเป็นบริษัทที่ผมกำลังจะไปฝึกงาน
“บริษัทH&Yเป็นบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นในประเทศอังกฤษเมื่อหลายสิบปีก่อนโดยเน้นการผลิตภัณฑ์ตกแต่งบ้านอันมีเอกลักษณ์และรูปลักษณ์อันแปลกตาทว่าลงตัวตามความชอบของแต่ละคน และสิ่งที่ได้รับความนิยมมาตลอด10ปีที่ผ่านมาก็คือภาพวาดขาวดำอันงดงามจากลูกชายคนสุดท้องซึ่งราคาของผลงานแต่ละชิ้นนั้นไม่ใช่หลักแสนแต่คือหลักล้าน”
“...”
“ที่น่าตกใจคือเขาไม่เคยลงสีภาพแบบนี้มาก่อน แล้วทำไมภาพนี้ถึง...”พ่ออธิบายพลางเดินเข้ามามองภาพในระยะใกล้
ผมในตอนนี้กำลังอึ้งกับข้อมูลที่ได้รับอย่างกะทันหัน
สมองยังไม่สามารถประมวลข้อมูลได้ทั้งหมด
พ่อทำงานอยู่ในบริษัทH&Yสาขาหลักของประเทศไทย บริษัทนี้ทำเกี่ยวกับของแต่บ้านที่มีดีไซน์ทันสมัยและหรูหรา มีหลายครั้งที่รับงานออกแบบเฉพาะตามความต้องการของลูกค้า ถือเป็นบริษัทอันดับหนึ่งในเรื่องของตกแต่งบ้านก็ว่าได้
ผมเคยเห็นผลงานของH&Yมาหลายครั้งจากการไปเดินตามห้างหรือโรงแรมและผมก็รู้จักบริษัทนี้จากผู้เป็นพ่อมาหลายปีแล้วด้วย
ทั้งแบบนั้นแต่ผมไม่เห็นเคยรู้เลยว่าฌอนเป็นลูกชายของประธานบริษัทแถมไม่ใช่แค่สาขาประเทศไทยแต่เป็นลูกชายผู้ก่อตั้งบริษัท
ก็รู้ว่าฌอนรวยแต่ใครจะคิดว่าจะรวยในระดับมหาเศรษฐีแบบนี้
คำพูดของพ่อทำให้ผมรู้ตัวว่าตัวเองนั้นไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับฌอนเลยสักอย่างเดียว
เรื่องแค่นี้ยังไม่รู้แล้วผมยังจะกล้าตอบรับคำสารภาพนั่นอีกงั้นเหรอ
ตอนแรกผมกะจะตกลงตอบรับคำขอคบจากฌอน แต่ในตอนนี้ผมลังเลและเริ่มคิดว่าตัวเองไม่เหมาะสมกับฌอนเลยสักนิดเดียว
ตอนนี้มันไม่ได้มีเพียงเรื่องเพศที่เป็นปัญหาหลักแต่ยังมีเรื่องของฐานะเข้ามาเกี่ยวด้วย
ครอบครัวระดับนั้นจะยอมรับคนธรรมดาอย่างผมเหรอ
ไม่มีทาง
ผมรู้คำตอบนี้ได้โดยไม่ต้องถามให้เหนื่อย
ยังดีที่ผมรู้เรื่องนี้ก่อนจะตอบตกลง
ถ้าเป็นตอนนี้ยังไม่เป็นไร
แค่ตอบปฏิเสธไปทุกอย่างก็จะจบลง...
แม้ในหัวใจผมมันจะเจ็บปวดเพราะรู้ความรู้สึกของตัวเองแล้วก็ตามที
วันแรกของการเข้าฝึกงานในบริษัทH&Yเต็มไปด้วยความประหม่าและตื่นเต้น ตึกของบริษัทนอกจากจะมีขนาดอันใหญ่โตแล้วยังมีการออกแบบและการตกแต่งอย่างโดดเด่น เรียกว่าเป็นจุดสนใจในรัศมีหลายร้อยเมตรเลยทีเดียว
สำหรับการฝึกงานของผมนั้นได้เข้าสังกัดอยู่ในฝ่ายประสานงานของบริษัทนั่นทำให้ผมวิ่งวุ่นแทบจะทั้งวันตั้งแต่เช้าจรดเย็น
“น้ำเอาเอกสารนี่ไปให้ฝ่ายการตลาดด้วย”พี่โต้งหนึ่งในพนักงานฝ่ายตะโกนบอก
“ครับ”ผมรับคำก่อนจะวิ่งไปรับแฟ้มเอกสาร
“ไปฝ่ายการตลาดเหรอ งั้นฝากนี่ไปให้พี่อ้อยที”พี่อีกคนชูมือขึ้นโบกไปหาเรียกให้ผมไปหาอีกคน
“ครับๆ”
เมื่อรับของทุกอย่างครบผมก็ออกจากห้องตรงไปยังฝ่ายการตลาดที่อยู่ตึกด้านหน้าสุดของบริษัท ฝ่ายประสานงานอยู่ตึกด้านหลังซึ่งถือเป็นจุกศูนย์กลางที่สามารถวิ่งไปหาทุกฝ่ายได้ในระยะเวลาใกล้เคียงกัน
ทุกๆวันผมล้วนวิ่งหอบเอกสารไปตามฝ่ายต่างๆจนตอนนี้จำทิศทางได้เกือบหมดแล้ว ไม่อยากโม้ว่าผมมีทางรัดในการไปยังเป้าหมายด้วย
ตลอดหลายสัปดาห์ผมทำหน้าที่โดยไม่หยุดหย่อนทำไห้ไม่ได้ติดต่อพูดคุยกับฌอนเหมือนเมื่อก่อน ไม่สิ ถ้าจะให้พูดตรงๆคือผมพยายามทำตัวให้ยุ่ง พอเหนื่อยกลับบ้านมาก็ใช้มันเป็นข้ออ้างในการนอนเร็วเพื่อจะได้ไม่ต้องคิดถึงเรื่องของฌอน
มันไม่ง่ายเลยที่จะทำใจไม่ให้พิมพ์ข้อความไปหาอีกฝ่ายเพราะผมทำมันมาตลอดตั้งแต่ปิดเทอมทว่าในตอนนี้ผมได้แต่ทำใจไม่ให้คิดถึงมัน
ปกติผมเป็นฝ่ายทักไปก่อนเสมอ และส่วนมากฌอนก็จะตอบกลับมาเป็นคำๆเห็นว่าไม่ค่อยชอบคุยผ่านโทรศัพท์สักเท่าไหร่ ดังนั้นถึงผมจะไม่ทักก็คงไม่เป็นอะไร อีกอย่างฌอนก็คงยุ่งกับการฝึกงานของตัวเองไม่มีเวลามาสนใจเรื่องผมนักหรอก
ผมอยากจะห่างจากฌอนสักหน่อย
ความรู้สึกของพวกเรามันอาจไม่ใช่อย่างที่คิดก็เป็นได้ ไม่แน่มันอาจเป็นเพียงความใกล้ชิดจากการที่อยู่ด้วยกันแทบทุกวัน
ยิ่งกับฌอนที่แทบไม่เข้าสังคมผมเลยเหมือนเป็นคนเดียวที่เขาไว้ใจ
ความรู้สึกนั้นคงไม่ใช่ความรู้สึกของคนรักกันหรอก
ถ้าห่างกันสักหน่อย...ก็น่าจะรู้ถึงความรู้สึกนี้ได้
ทั้งที่คิดแบบนั้นแต่ทำไมยิ่งนานวันในหัวถึงได้มีแต่เรื่องของฌอนอยู่เต็มไปหมด
ครื่นนน ครื่นนนน
แรงสั่นของเครื่องมือสื่อสารเรียกสติผมให้กลับเข้าร่างแล้วพลิกตัวเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์ด้านข้างมาดู ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้มือผมกำแน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
“ฌอน...”ผมพึมพำพลางมองชื่อนั้นด้วยความอึดอัดใจ
หลายวัน ไม่สิ ต้องบอกว่าหลายอาทิตย์ที่ผมไม่ได้ติดต่อฌอนไป เขากลับเป็นฝ่ายโทรมาหาผมเองแถมไม่ใครแค่วันละสายแต่มากกว่านั้น
อยากจะรับสาย
อยากจะพูดคุย
อยากจะได้ยินเสียง
แต่ผมทำแบบนั้นไม่ได้
ต้องเว้นระยะห่างออกมา
ผมกับเขา...ไม่มีทางไปกันได้
ลูกชายของประธานบริษัทซึ่งเป็นถึงมหาเศรษฐีจะมาคบกับคนธรรมดาแถมยังเป็นผู้ชายแบบผมได้ยังไงกัน
ฌอนต่อให้ไม่ใช่ผมก็คงมีผู้หญิงมากมายเข้ามาอยู่ไม่ขาด ต่อให้เขาไม่ชอบผู้หญิงนั่นก็คงไม่ยากถ้าจะหาคนที่มีฐานะเท่าเทียมไม่ใช่กับคนแบบผม
“ขอโทษนะ...”เข้าใจด้วยเถอะ
ผมยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหน้าผากพร้อมหลับตาลงเพื่อข่มอารมณ์และความรู้สึกหลายๆอย่างนี่ให้สงบลง
วันรุ่งขึ้นผมมาทำงานด้วยใบหน้าอดโรย เมื่อคืนคิดถึงแต่เรื่องของฌอนจนนอนไม่หลับเลยต้องมาบริษัทในสภาพไม่สมประกอบเช่นนี้
“น้ำไหวไหมเนี่ย”พี่โต้งเดินมามองหน้าผมด้วยน้ำเสียงห่วงๆ
“ไม่เป็นไรครับ”ผมพยายามตอบกลับด้วยน้ำเสียงปกติ
“พี่โต้งให้งานน้องหลักไปนะคะ”พี่โบพูดขึ้นก่อนจะวางแก้วน้ำชาร้อนๆมาตรงหน้าผม
“พี่โบ...”
“ดื่มสิจะได้สดชื่นขึ้น”พี่โบส่งยิ้มมาให้
“ขอบคุณครับ”ผมรับความห่วงใยนั่นด้วยความยินดี
“ไม่ได้ใช้งานหนักขนาดนั้นสักหน่อย วันนี้พี่ให้พักวันนึงละกัน”เมื่อพี่โต้งโดนสายตาหลายคู่มองมาก็ได้แต่เกาหัวด้วยรอยยิ้มบางๆ
“ผมไม่เป็นไรจริงๆครับ พี่มีอะไรให้ผมทำก็ไม่ต้องเกรงใจนะครับ”มาฝึกงานได้ไม่ถึงเดือนก็ให้พวกพี่มาเห็นใจซะแล้ว
แบบนี้ไม่ดี ผมต้องแสดงความสามารถออกมาให้เห็นสิ
“อย่าฝืนสิน้องชาย งีบสักชั่วโมงเถอะ”พี่โต้งพูดต่อ
“แต่ว่า...”
“ถ้ามีงานเดี๋ยวพี่ปลุก”
“ก็ได้ครับ”สุดท้ายผมก็พยายามยอมทำตามที่พี่โต้งพูดโดยการฟุบหน้าลงกับโต๊ะทำงานมุมห้องของตัวเอง อาจเพราะอยู่ข้างนอกเลยทำให้เรื่องของฌอนไม่เข้ามาในหัวส่งผมให้ผมหลับแทบจะทันทีที่ฟุบลงไป
ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ตอนถูกพี่โบเขย่าไหล่ปลุกเบาๆให้เดินไปหาพี่โต้งยังโต๊ะด้านในสุดของห้อง พี่โต้งเป็นหัวหน้าฝ่ายประสานงานนี้ซึ่งมีสมาชิกอยู่หลายสิบคน ได้ชื่อว่าฝ่ายประสานงานอาจดูเหมือนแต่ในความจริงไม่ใช่เลยเมื่ออาทิตย์ก่อนผมได้มีโอกาสไปเข้าร่วมประชุมระหว่างฝ่ายประสานและฝ่ายบุคคลซึ่งบอกได้เลยว่าไม่ง่าย
งานของฝ่ายนี้คือการเชื่อมงานของแต่ละฝ่ายให้ไหลลื่นโดยไม่มีอุปสรรค ว่ากันตรงๆก็เหมือนเป็นตัวกลางของแต่ละฝ่ายภายในบริษัทนั่นเอง
“ช่วยเอาเอกสารนี้ไปให้อัมรินทร์ทีนะ ส่วนนี่เอาไปให้อารยา”พี่โต้บอกพร้อมยื่นแฟ้มแต่ละอันให้
“คุณอัมรินทร์นี่ใช่ที่อยู่ฝ่ายผลิตรึเปล่าครับ”ผมถามต่อ คนชื่อนี้มีอยู่สองคนในบริษัทคือฝ่ายผลิตและฝ่ายบุคคลเลยต้องถามให้แน่ใจว่าให้ใครกันแน่
“ใช่ๆ วานหน่อย”
“ได้ครับ...”
ปัง!
เสียงของประตูถูกเปิดอย่างแรงเรียกให้คนทั้งห้องหันไปมองเป็นตาเดียวไม่เว้นแต่ผม ทว่าเมื่อหันไปมองก็พบกับคนที่ไม่น่าจะมาปรากฏตัวอยู่ที่ได้
เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนพลิ้วไหวเล็กน้อยจากแรงขยับตัว เสียงหอบและใบหน้าเปื้อนเหงื่อนั่นแสดงให้เห็นว่าพึ่งวิ่งมา ดวงตาสีเทาอ่อนสอดส่องไปทั่วราวกับหาใครบางคนอยู่
และเมื่อผมเข้าไปอยู่ในดวงตาสีอ่อนเขาก็จับจ้องมายังผมเขม็งพร้อมกับเดินก้าวยาวๆเข้ามาโดยไม่สนใจใคร
“ฌอน...”ผมพึมพำเรียกพลางอกแฟ้มเอกสารขึ้นแนบอก
ทำไมถึงมาอยู่นี่
แถมสภาพเหนื่อยล้านั่นมันอะไร
ไม่ใช่แค่กำลังเหงื่อท่วมแต่แค่มองก็รู้ว่าร่างกายกำลังแย่ ดวงตาก็คล้ำจนเหมือนหมีแพนด้า
ไม่ได้นอนเหรอ
ไม่สิ
ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนั้น
ทำไมถึงรู้ว่าผมอยู่นี่ล่ะ
แล้วผมจะทำยังไงดี
(มีต่อ)