สัมผัสที่ 30
- ทีครอส -
ผมไม่รู้จักคำว่า ‘แอบรัก’ ครับ ก็คนมันไม่เคยเป็นไม่เคยรู้สึกและไม่เคยสัมผัสถึงมันมาก่อนจนกระทั่งมาสังเกตเห็นใครบางคนที่ค่อนข้างจะสนิทสนมกับน้องชายผมจนน่าแปลกใจ ไอ้การสนิทสนมในฐานะเพื่อนก็ใช่ว่าจะผิดแปลกอะไรแต่ไอ้การสนิทมากไปมันก็น่าสงสัยไงครับ ผมเลยลอบสังเกตการณ์มาโดยตลอดจนแน่แก่ใจแล้วนั้นแหละถึงได้ถามออกไปตรงๆแบบ...
“มึงชอบน้องกูเหรอ?”
คนถูกถามซึ่งกำลังดื่มด้วยอารมณ์ที่คลุมเครือถึงกับพ้นของเหลวในปากก่อนจะไอค๊อกแค๊กจนผมต้องดึงทิชชู่ส่งไปให้
“แค่กๆ ขอบคุณ แค่ก”
ผมพยักหน้ารับ รอจนคนข้างๆหายสำลักแล้วจึงเอียงคอมองเหมือนจะเค้นเอาคำตอบแต่ไม่ได้เอ่ยปากไงครับ
“จ้องอะไรครับ?”
“มึงยังไม่ตอบกูเลย”
มันกรอกตาไปมาแล้วยกแก้วเครื่องดื่มแอลกอฮอร์สีทองอำพันขึ้นกระดกต่อ ผมไหวไหล่แล้วยกแก้วของตัวเองขึ้นดื่มบ้าง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เรามาด้วยกัน แต่อาจจะเป็นครั้งแรกที่ผมถามแบบนั้นออกไปและท่าทีเลิกลักแบบนั้นก็เป็นข้อพิสูจน์ในสิ่งที่ผมคิดได้เป็นอย่างดี
ผมไม่ได้มีอคติอะไรกับเกย์นะครับ จะไปมีได้ยังไงในเมื่อน้องชายของตัวเองก็เป็น แต่ผมไม่มั่นใจว่าเพื่อนของน้องชายที่นั่งอยู่ข้างๆผมนี่...มันเป็นเกย์เหรอ?...ไม่น่าใช่นะ เพราะเท่าที่รู้จักมักคุ้นจนให้มันเป็นสายในการสอดส่องน้องชายตัวแสบอย่างคริสตัลนั้นก็เป็นตัวชี้วัดว่ามันไม่มีการเบี่ยงเบนไปในทางที่เรียกว่าเกย์เลยสักนิด ไม่ได้ออกสาวไม่มีการมองหนุ่มๆคนไหนเผลอๆยังมีกิ๊กๆกั๊กๆเป็นสาวสวยอีกต่างหาก
แต่เรื่องที่มันชอบน้องผมนั้น จริงแท้แน่นอน
“คิดไงมาชอบไอ้คริสวะ?”
ผมถามลอยๆตามองไปที่จอทีวีเหนือชั้นโชว์เหล้าหลากหลายสรวดทรง เรานั่งดริ้งส์ชิลๆกันที่บาร์นะครับ เกิดเสียงหัวเราะขึ้นเบาๆและนั้นก็ทำให้ผมเลิกคิ้วแล้วหันไปมอง
“ที่พูดออกมานะ พี่มั่นใจแล้วเหรอ?”
“ก็พอตัว”
“เหมือนอย่างที่พี่รู้ว่าไอ้คริสเป็นเกย์แต่ไม่พูดนะเหรอ?”
“หึ”
มันยกเหล้าขึ้นดื่มต่อจนหมดแล้วก็เรียกบาร์เทนเดอร์มาเสิร์ฟให้ใหม่ วันนี้มันมีอาการแปลกๆเหมือนจะโกรธๆปนเศร้าไปอีกทบ จริงๆก็เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ช่วงที่ผมพาคริสกลับบ้านมาแล้ว ก่อนหน้านี้มันติดต่อคริสไม่ได้ก็เทียวโทรมาหาผมเป็นระวิง แต่ผมไม่อยากบอกเรื่องราวทั้งหมดเลยบอกแค่ว่าคริสไปต่างจังหวัด
“แต่ไม่ยักกะรู้ว่ามึงก็เป็น”
“ผมป่าว...”
“หืม?”
“ผมไม่ได้เป็นเกย์ ไม่ได้ชอบผู้ชายโดยกมลสันดาน...”
ผมยกแก้วในมือขึ้นดื่มต่อไปชิลๆ
“แต่ผมชอบมันจริงๆแหละ”
“..........”
“พี่รับได้เหรอที่มีผู้ชายมารักมาชอบน้องตัวเอง?”
ผมยิ้มน้อยๆ
“ทำไมต้องรับไม่ได้?”
“ก็ไม่รู้สิ แต่คนปกติทั่วไปต้องคัดค้านสิ น้องพี่เป็นผู้ชาย คนที่มาชอบก็เป็นผู้ชาย พี่ไม่คิดจะขัดขวางเพื่อให้น้องพี่ไปมีครอบครัวเหมือนคนปกติทั่วไปบ้างเหรอ?”
“นี่เป็นเหตุผลที่มึงไม่เดินหน้าจีบไอ้คริสใช่ไหม?”
แทนที่จะตอบผมกลับถามกลับจนไอ้นายนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง คนอื่นอาจจะคิดว่าคำถามของมันเมื่อครู่เป็นคำถามทั่วไปแต่คนอย่างผมมองออกครับว่ามันแฝงทัศนคติของเจ้าตัวมาแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย
“พี่นี่ฉลาดอย่างที่ไอ้คริสบอกจริงๆแหละ”
“หึ”
“แต่อีกนัยผมก็กลัวเสียเพื่อนด้วย มันเคยจริงจังกับใครที่ไหน เห็นแบบนั้นก็ร้ายใช่ย่อย”
ผมไม่ตอบโต้แต่แอบเห็นด้วยกับมันนะครับ คริสตัลร้ายแบบไม่เปิดเผย ถึงจะดูมีโลกส่วนตัวแต่ถ้าเจ้าตัวชอบคือจะเฟรนลี่เต็มที่แต่พอได้ที่ต้องการแล้วก็เฉดหัวไม่สนใจอะไรอีก เอาแต่ใจแบบร้ายๆ ดื้อเป็นนิสัย แถมยังต้องได้ในสิ่งที่ตนต้องการ
...เหมือนอย่างผม...
“มึงไปบอกเค้าเลยว่ากูมีคนที่สนใจอยู่แล้ว ไม่รับเคสนอกเดี๋ยวเค้าจะหาว่ากูไม่เอาจริง”
พวกที่ได้ยินต่างอึ้งไปตามๆกันเมื่อผมเอ่ยประโยคเมื่อครู่ออกไป คริสตัลถึงกับเหวอแต่ในคลองสายตาผมก็มีสีหน้าระคนตกใจของใครอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆคริสตัลในอีกด้าน ผมกดยิ้มที่มุมปากแล้วยกแก้วเหล้าตรงหน้าขึ้นดื่มต่อ นานเท่าไหร่แล้วนะที่ผมไม่ได้เห็นปฎิกิริยาที่น่าสนุกแบบนี้
เอาเข้าจริงผมก็ไม่ได้หมายถึงคนที่สนใจในสถานะที่พวกมันคิดหรอกครับ แต่ผมหมายถึงใครบางคนที่ผมลอบสังเกตอากัปกิริยาด้วยความสนุกสนานมาได้สักพักใหญ่ๆ วันนี้มันแสดงท่าทีหึงหวงเล็กๆโดยการพาดแขนไปกับขอบโซฟามายังด้านหลังของคริสตัล คงเห็นละมั่งว่ามีคนจ้องน้อมผมมากขนาดไหน สบโอกาสตอนที่คริสเอนไปพิงอีกยิ่งทำให้ยิ้มจนปิดอาการไม่มิดซะขนาดนั้น
ดีใจถึงขนาดนั้นเลย?
“ไม่ตามลงไปเหรอ?”
มันหันมาถามผมเมื่อคริสตัลลงไปนั่งที่บาร์ด้านล่าง มันคงแอบลงไปหาบาร์เทนเดอร์คนนั้นเพื่อหาโอกาสดื่มตามความอยากของมันนั้นแหละ
“ไม่ละ”
“ทีเมื่อกี้ละทำหวง”
“ใครกันแน่ที่หวง?”
มันจิ๊ปาก คงไม่คิดว่าผมจะดูออก เพื่อนมันอีกสามคนก็สนุกกันไปกับพวกสาวๆที่ไปคุยมาได้จนเจ้าหล่อนทั้งหลายเดินเข้ามาร่วมโต๊ะด้วยในที่สุด ผมปฎิเสธการนัวเนียเพราะขี้เกียจเทคแคร์ส่วนไอ้นายก็ปฎิเสธเหมือนกัน
“เชี่ยนายมึงถอดเขี้ยวเล็บแล้วอ่อวะ?”
มิกซ์แซวกลับมาเมื่อเห็นว่ามันไม่รับการเทคแคร์จากสาวๆ
“เสือกวะคนเรา”
“สัส”
“มึงอย่าไปแซวเชี่ยมิกซ์ ไอ้นี่มันยิ่งเฮิร์ทๆอยู่ เดี๋ยวมันกระโดดมากัดคอมึงเข้ากูไม่ช่วยนะเว้ย ฮ่าๆๆ”
ผมกระตุกยิ้ม ไอ้คมพูดมางี้แสดงว่ามันเองก็คงดูออกเหมือนผม
“หุบปากแล้วแดรกไปเลยพวกมึง จะแดรกทั้งนมทั้งเหล้าก็สุดแล้วแต่ใจอยากไปเลย”
“ฮ่าๆๆ แม่งพูดดี มานี่ม่ะน้องมีมี่ ไอ้นั้นไม่เล่นแต่พี่ชอบเล่นทีละหลายๆคนนะจ้ะ”
ฟังดูเหมือนป๊าเรียกหาน้องหนูแปลกๆ นี่เพื่อนน้องผมเป็นคนแบบนี้หรอกเหรอวะครับ
ผมหันไปมองที่น้องชายที่ยังนั่งอยู่ด้านล่างเห็นถือแก้วค๊อกเทลสีหวานแล้วก็ต้องถอนหายใจ แต่ก็ปล่อยไป อยากแดรกก็แดรก แค่ค๊อกเทลไม่น่าจะเมาได้สักเท่าไหร่
“ไอ้นั้นก็เป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยนะ”
ผมหันไปมองคนพูดซึ่งตอนนี้มันขยับมานั่งใกล้ผมมากกว่าเดิมเพราะที่มันโดนสาวๆนั่งเสียบแทนเป็นที่เรียบร้อย
“บาร์เทนเดอร์นะเหรอ?”
“ใช่”
“รู้จัก?”
“ไม่ แต่เท่าที่ดูผมก็พอจะรับรู้ได้”
“พวกเดียวกันว่างั้น?”
“พวกที่จ้องจะงาบน้องพี่ต่างหาก”
“ก็รวมถึงมึงด้วยไหมละ?”
“ผมไม่ได้จ้องจะงาบ ผมแค่...”
มันหยุดพูดแล้วเหล่ตามองบรรดาเพื่อนๆของมัน
“แต่มันเหมือนมึง”
“ห่ะ?”
“จ้องอยากได้แต่ไม่คิดเอาจริงๆ”
“พี่รู้จัก?”
“ก็ไม่เท่าไหร่”
ก็แค่ข้อมูลพื้นฐานที่ให้นักสืบหามาให้อะนะ ใครที่คิดว่าการตามติดชีวิตน้องชายของผมเป็นเรื่องเล่นๆนั้นคุณคิดผิด ผมจริงจังเสมอถ้าเป็นเรื่องของคนในครอบครับ ถึงขนาดให้เพื่อนสนิทของเจ้าตัวการอย่างนายมาเป็นหนอนให้อีกคนนี่ไง
“แล้วจะไปไหนนะ?”
ผมถามเมื่อเห็นว่ามันกำลังจะลุกไปไหนสักที่
“ห้องน้ำ ทำไมครับ จะฝากผมฉี่ด้วยรึไง?”
“กวนตีน”
“หึหึ”
เป็นอีกครั้งที่มันยิ้มกว้างจนเห็นเขี้ยวโผล่ออกมาหน่อยๆ ไอ้นายมันไม่ได้ดูสวยเหมือนน้องผมก็จริงแต่มันก็ดูดีในระดับหนึ่งนะครับ หุ่นไม่ได้ผอมบางมีเนื้อหนังเหมือนชายวันยี่สิบต้นๆทั่วไป ส่วนสูงก็ไม่ได้สูงมากแต่เตี้ยกว่าผมแน่นอน
ผมนั่งดื่มไปมองน้องชายไปจนกระทั่งมีสายเข้าจากไคที่เฝ้าอยู่ด้านนอก ผมเลือกไม่รับสายแต่เดินออกไปหาที่ด้านนอก โดยที่ไม่ลืมบอกเพื่อนน้องว่าจะออกไปที่รถนิดหน่อย
“ว่าไง?”
“อั๋นโทรมารายงานว่านายทรงพลอยู่ที่โรงแรมข้างๆดูเหมือนจะนัดกับทางCDGครับ”
“งั้นเหรอ”
ผมเหยียดยิ้ม
CDGคือบริษัทอสังหาฯคู่แข่งอีกหนึ่งแห่งของผม ส่วนนายทรงพลก็เป็นหนึ่งในลูกหนี้ของผมซึ่งมีเกณฑ์ว่าจะหนีหนี้ในเร็ววันผมเลยต้องสังอั๋นไปตามดูก่อนที่จะส่งคนไปจัดการอีกทีถ้าเกิดหนีขึ้นมาจริงๆ
“ไปทักทายสักหน่อยแล้วกัน”
ว่าแล้วก็เดินไปยังลิฟท์พร้อมกับไค ตอนแรกไม่ได้อยากจะลงมือเองหรอกนะแต่เมื่อมาอยู่ใกล้ขนาดนี้แล้วก็ขอเสนอหน้าไปให้หวาดผวาเล่นหน่อยก็แล้วกัน
ผมใช้เวลาไม่นานในการไปหาถึงที่โดยที่นายทรงพลกำลังเจรจาอยู่กับผู้ชายอีกคนจากฝั่งCDG คนๆนี้คือเลขาของนายศักดิ์ดาผู้ซึ่งเป็หนึ่งในสี่หุ้นส่วนใหญ่ของบริษัทนั้น ดีที่ทางนั้นเลือกนั่งเจรจากันที่เลาส์ของโรงแรมซึ่งทำให้ผมเข้าไปหาได้อย่างง่ายดาย ผมโผล่เข้าไปทักทายตามที่ตั้งใจไว้พูดอะไรไม่นานก็ออกมาแต่นายทรงพลหน้าซีดปากสั่นจนผมอยากขำ อีกฝ่ายที่นัดมาก็ดูเหมือนจะหมดความเชื่อถือในคนที่นัดจนปฎิเสธการยื่นขอเสนอไปซะงั้น นี่ผมแค่ไปทักทายเองนะ ไม่ได้ทำอะไรร้ายแรงเลยจริงๆ
ผมเดินออกมาจากโรงแรมนี้ก่อนจะขึ้นรถแล้วกลับไปยังโรงแรมเดิมจนขึ้นไปถึงชั้นบาร์และก็เห็นใครบางคนกำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ที่โซนสูบด้านนอกด้วยสายตาที่เหม่อลอย ไม่รู้ทำไมแต่ผมถึงกับนิ่งค้างยืนมองคนๆนั้นอยู่หลายนาทีก่อนที่จะตัดสินใจเดินเข้าไปหา
“มึงสูบบุหรี่ด้วยเหรอ?”
นายมันหันมามองผมก่อนจะหันกลับดูดไปอีกเฮือกแล้วพยักหน้าตอบ
“พี่เอาด้วยป่าว?”
“กูไม่สูบ”
“จริงดิ? อ้อ อย่างพี่คงต้องระดับซิก้าสินะ”
“ป่าว แต่ยังไม่มีอารมณ์สูบ อีกอย่าง...คริสมันไม่ชอบคนสูบบุหรี่”
ประโยคหลังจะไม่จริงแต่ผมแค่อยากเห็นปฎิกิริยาของคนตรงหน้าซึ่งอาการที่เห็นก็คือมันชะงักไปนิดกรอกตาหน่อยๆแล้วขยี้บุหรี่ทิ้งทั้งที่ยังเหลือเกินครึ่ง ผมกดยิ้มที่มุมปากพอใจกับสิ่งที่เห็นจนนายมันเห็นแล้วก็เลิกคิ้วมอง
“ยิ้มอะไรไม่ทราบ?”
“ก็แค่คิดว่า...”
“ว่า?”
“มึงนี่ก็น่ารักดีนะ”
“ห่ะ!?!”
ไม่ค่อยจะตกใจเลยเนอะ ทั้งหน้าทั้งเสียงนี่ไปหมดจนผมหลุดหัวเราะออกมาไม่ได้
“ใครน่ารัก?”
“ก็บอกว่ามึงไง”
“พี่กินยาลืมเขย่าขวดเหรอหรือแพ้เหล้าจนสมองกลับ?”
เอาเข้าไปสิ
“แล้วนี่พี่ไปไหนมาอะ?”
“อ้อ ไปเคลียร์งานนิดหน่อย”
“หืม นี่พี่ทำงานตลอด24ชั่วโมงเลยป่าวเนี้ย”
“หึ ก็คงจะอย่างนั้น”
“จะฟิตๆไปไหน แค่นี้ยังรวยไม่พอรึไง”
“ก็นะ พอดีมีน้องชายแต่น้องไม่แบ่งเบาเลยต้องทำเองทุกส่วนนั้นแหละ”
“หึหึ”
พอยกเรื่องของคริสมาพูดทีไรไอ้นี่มันยิ้มออกตลอดเลยครับ
“ชอบมันขนาดนั้นเลย?”
“อะไรของพี่อีกวะเนี้ย?”
“ก็แค่อยากรู้”
“พี่ก็รู้อยู่แล้วนี่”
“แต่อยากได้ยินจากปากมึง”
มันเงียบแล้วหลบตาไปมองยังวิวนอกบานกระจกหนา ท้องฟ้ามืดแต่ไม่สนิทเพราะมีแสงไฟของมหานครส่องสว่างไปทั่วทั้งอาณาบริเวณ
“ทีเรื่องสำคัญๆมึงมักไม่พูดมันออกมาซะอย่างนั้น แล้วไอ้คนที่ตามไม่ทันมันจะไปรู้ได้ยังไงละ”
“ก็ไม่ได้อยากให้รู้อยู่แล้ว”
“อืม”
“แล้วพี่ก็อย่าไปบอกมันนะ”
ขู่มาไม่พอยังมีการหันมาจ้องสายตาดุๆไปด้วยอีก แต่มันยังดุไม่ได้ครึ่งของผมหรอกครับ
“ไม่รู้สิ ถ้าเผลอหน่อยอาจมีหลุด”
“เห้ย! ได้ไงอะ!?!”
“หึหึ”
“พี่แม่ง”
ผมยิ้มอย่างเดียวเลยครับ
“นี่แกล้งยั้วผมใช่ไหม?”
ดุเหมือนมันจะหงุดหงิดนะ แต่ก็น่าแกล้งดี
“คิดว่าไง?”
“คิดว่าเจ้าเล่ห์ทั้งพี่ทั้งน้อง ผมละเกลียดสายตาแบบนี้ชะมัด”
ผมไม่รู้ว่าสายตาที่มันพูดถึงเป็นแบบไหนหรอกครับ
“สายตาแบบไหน?”
“เหมือนสนุกอยู่กับการปั่นป่วนคนอื่น ไอ้คริสนี่ที่หนึ่งเลยเรื่องแกล้งคนอื่น”
“ใช่เหรอ?”
“โหย พี่ไม่รู้จริงอะ วีรกรรมมันเยอะจะตาย เห็นทีแรกเงียบๆหงิมๆนึกว่าสงบเสงี่ยม ไปๆมาๆติสแตกยิ่งกว่าใครซะอีก....”
แล้วมันก็เล่ายาวโดยที่ผมเองก็นั่งฟังไปเพลินๆชนิดที่ลืมเวลากันไปเลยทีเดียว ถึงเรื่องที่มันเล่าจะเป็นวีรกรรมอันมากมายของน้องชายผมจนดูเหมือนนิทาอยู่กลายๆแต่ผมก็ไม่ได้โกรธหรือหงุดหงิดอะไรเลยนะครับ
ปกติมันต้องมีอารมณ์ขึ้นกันบ้างสิที่มีคนมาว่าร้ายให้น้องตัวเอง
แต่นี่ก็ไม่ใช่การว่าร้ายนี่เนอะ
เอาเป็นว่าช่างมันแล้วกัน
“อ้าว จบแล้วเหรอ?”
ผมถามเพราะจู่ๆมันก็หยุดพูดแล้วมองสบตาผมนิ่งๆอยู่อย่างนั้น
“เออ..พี่ยิ้มมากไปหน่อยไหมอะ?”
“หืม?”
“ก็มันไม่ค่อยชิน ไอ้ตาวิ๊บๆวั๊บๆนั้นคืออะไร?”
ผมขมวดคิ้ว
“กูทำงั้นเหรอ?”
“ใช่สิ สักพักแล้วด้วย เล่นเอาผมไปไม่เป็นเลยเนี้ย”
“อ้อ งั้นก็โทษที”
“ไหนไอ้คริสบอกว่าพี่โหดวะ นี่ไม่เห็นจะโหดตรงไหน”
ผมเลิกคิ้ว
“มันบอกงั้นเหรอ?”
“ใช่”
ผมยิ้มเมื่อคิดอะไรได้สักอย่าง
“แล้วอยากเห็นบทโหดไหมละ?”
“ยังไง?”
“อืม ยังไงดีละ...”
ผมทำท่าคิดอยู่ชั่วครู่
“ช่วงนี้ปิดเทอมแล้วใช่ไหม?”
มันพยักหน้า
“งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้จะพาไปที่ๆหนึ่งแล้วกัน”
“เห้ย จะพาผมไปฆ่าป่าวเนี้ย”
“คิดได้เนอะ แค่จะพาไปดูงานด้วย”
“ดูงานแล้วมันโหดตรงไหน?”
ผมยิ้ม
“โหดตรงที่เป็นงานนั้นแหละ"
*********************************************************************************************
ภายในโรงงานเกือบร้างแห่งหนึ่งซึ่งห่างไกลจากตัวเมืองมามากโข ผมก้าวย่างเข้าไปหาชายวัยกลางคนที่นั่งคุกเข่าหน้าซีดปากสั่นอยู่ตรงใจกลางพร้อมด้วยบรรดาลูกน้องของผมที่ล้อมหน้าล้อมหลังอยู่เกือบสิบคน ที่ต้อนรับอย่างเอิกเกริกนั้นเป็นเพราะชายคนนั้นเป็นถึงข้าราชการระดับสูงแต่ติดหนี้ไว้มากจนไม่มีปัญญาตามแก้เพราะแพ้ให้แก่ความโลภของตนเอง ผมจะไม่อะไรเลยถ้าคนๆนี้ที่เป็นหนึ่งในลูกหนี้ที่ดีมาโดยตลอดแต่จู่ๆกลับคิดหักหลังกันด้วยการนำเรื่องที่ไม่สมควรไปบอกให้แก่ผู้ที่ไม่สมควรบอกจนผมต้องสูญเงินอย่างมหาศาลเพื่อปิดรอยรั่วนี้
“ผมขอโทษ ผมผิดไปแล้ว ยกโทษให้ผมด้วยเถอะครับ”
เสียงที่ฟังดูตื่นตระหนกเหมือนคนรักตัวกลัวตายแบบนี้ผมได้ยินมาจนชิน รอยยิ้มเหยียดค่อยๆผุดขึ้นบนใบหน้าจนบรรยากาศเย็นยะเยือกขึ้นไปทุกที
“หึ ไม่คิดว่าจะง่ายเกินไปหน่อยเหรอ?”
“ตะ แต่ผมไม่ได้ตั้งใจ ทางนั้นมันข่มขู่ผม”
ผมหัวเราะหึในทันที ผู้ชายตรงหน้าคงคิดว่าผมไม่มีเส้นสายหรือสายสืบที่มากพอ การที่ผมเติบโตขึ้นมาได้ถึงขนาดนี้ไม่ใช่เพราะดวงหรอกนะ ผมไม่สนใจคำแก้ตัวทั้งหลายแล้วหันไปเรียกไคเพื่อรับไอแพดมาเปิดดู
“ยอดหนี้ 4 ล้าน ทบต้นทบดอกก็รวมเป็น 10 ล้านโดยประมาณสินะ..”
ยิ่งคนฟังหน้าซีดลงมากเท่าไหร่ผมก็ยิ่งยิ้มออกได้มากเท่านั้น
“ได้ข่าวว่ามีบ้านอยู่หลายหลังนี่”
นอกจากจะซีดแล้วยังเหวออีกต่างหาก
“หลังที่เชียงใหม่ท่าจะขายได้ราคางาม ลองตีราคาดูแล้วทั้งบ้านและที่ดินคงไม่ต่ำกว่า10ล้านละนะ...”
ผมยังคงเลื่อนหน้าจอไอแพดที่โชว์รูปตัวบ้านเรือนไทยที่ทำจากไม้สักทั้งหลังแถมอาณาบริเวณโดยรอบก็ถูกตกแต่งด้วยแมกไม้พันธ์หายากนานาชนิดไหนจะวิวที่สวยหยดอีกต่างหาก
“ผมขอเลยแล้วกัน แลกกันชีวิตอันเหลวแหลกของคุณ”
“แต่ว่า...”
“ไค”
ผมเรียกลูกน้องคนสนิทโดยไม่สนใจคำทักท้วงใดๆทั้งสิ้น บอกแล้วไงว่าเมื่อผมอยากจะได้อะไรก็ต้องได้ ใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์ท้วง ไคเองก็รู้ถึงคำสั่งดีเลยนำเอกสารที่ต้องเซ็นไปยื่นให้ต่อหน้าผู้ชายคนนั้น
“เซ็นชื่อซะ เรื่องจะได้จบ”
“แต่ว่าบ้านหลังนั้นมัน...”
“ผมถือว่าผมให้โอกาสคุณเป็นครั้งสุดท้าย”
เขายังคงนั่งตีหน้าเครียดอยู่เช่นเดิมโดยที่ไม่มีท่าทีว่าจะจับปากกาขึ้นมาเซ็นแต่อย่างใด
“หรือคุณอยากให้ผมเอาเงินจากส่วนอื่นมาแทน?”
เขาเงยหนึ่งมามองด้วยความงุนงง จะไม่ให้งงได้ยังไงก็ในเมื่อเขารู้ตัวดีว่าไม่มีเงินส่วนไหนที่จะนำมาให้ผมได้แล้ว
“เงินบำนาญคนพิการของข้าราชการไง”
เท่านั้นแหละ ไอ้คนตรงหน้าก็แทบจะก้มกราบ ผมได้แต่ยืนมองด้วยความสมเพจโดยที่มีอีกคนที่ยังคงนั่งอยู่ในรถมองดูอยู่ตลอดเวลา นายมันคงได้ยินทุกคำพูดนั้นแหละเพราะรถจอดอยู่ไม่ไกลแถมผมลดกระจกไว้อีกนิดหน่อย
“ไคจัดการต่อที ถ้าไม่ได้บ้านพร้อมโฉนดที่ดินก็เอาแขนเอาขามันสักข้างสองข้างก็แล้วกัน”
“ได้ครับ”
“เดี๋ยวครับคุณทีครอส! ผมขอร้อง แล้วผมจะหามาใช้คืนให้ คุณทีครอส!!....”
ผมไม่สนใจเสียงเรียกร้องของใครแต่หันกลับเดินตรงมายังรถแล้วเข้าไปนั่งตรงฝั่งคนขับแทนที่ไคก่อนจะสตาร์ทและมุ่งหน้าออกจากโรงงานไปในที่สุด
“ปีนมานั่งข้างหน้า”
ไม่มีแม้คำทักท้วงแต่ทำตามอย่างว่าง่าย ผมกดยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนน้องอย่างชัดๆ มันขมวดคิ้วมุ้ยตีหน้าตึงเหมือนจะคิดหนักทั้งที่ไม่เห็นมีอะไรให้คิดมากเลยสักนิด
“คิดอะไรอยู่?”
“นี่พี่ทำงานเกี่ยวกับอะไรกันแน่?”
“เยอะแยะ ขี้เกียจไล่”
“รวมทั้งยากูซ่าด้วยเหรอ?”
ผมหลุดหัวเราะในทันที ยากูซ่าอย่างนั้นเหรอ พูดอย่างกับหนังการ์ตูนญี่ปุ่นไปได้
“ป่าว”
“งั้นก็มาเฟีย?”
อืม อันนี้ค่อยเข้าท่าหน่อย แต่ก็ยังไม่ใช่อีกนั้นแหละ ถึงมันจะคล้ายๆอยู่ก็ตาม
“ไม่ใช่แต่ก็ใกล้เคียง ทำไม? กลัว?”
“ป่าว ไม่ได้กลัว แค่สงสัย”
ตอบเสียงแผ่วแบบนี้คงเชื่อได้อยู่หรอกนะครับ
“ที่เห็นนะเป็นแค่การขู่ในเลเวล2 ถ้าหนังสุดกูจะลงมือเฉือนมันเองโดยที่ไม่มีแม้ข้อเสนอให้เลยสักข้อ”
“ขนาดนั้นเลย?”
ผมไม่ตอบและยังคงขับรถต่อไปเรื่อยๆอย่างไม่เร่งรีบ
“แล้วไอ้คริสรู้ไหมเนี้ย เรื่องงานพวกนี้?”
“ไม่มั่นใจแฮะ”
“อ้าว”
“ไม่เคยบอกแต่ก็ไม่ได้ปิดบังนี่”
“ซะงั้น”
พูดถึงคริสตัลแล้วก็อดหงุดหงิดไปกับใครอีกคนไม่ได้ ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก ก็ไอ้เทพทัตนั้นไงครับ เมื่อคืนคริสเมามากแล้วจู่ๆไปดึงไอ้นั้นมาจูบแบบต่อหน้าต่อตา ผมจะกล่าวหาไอ้ทัตนั้นก็ทำไม่ได้เต็มที่เพราะน้องตัวเองเป็นคนเริ่ม ไหนจะไปหลับซบอกมันมือกำชายเสื้อมันแน่นเข้าให้อีก แกะยังไงก็ไม่หลุดจนต้องให้มันพากลับไปนอนที่บ้าน แน่นอนว่าแม่มาเห็นเข้าและให้มันน้องค้างไปด้วยโดยปริยาย กูอยากจะบ้าตายก็ตรงนี้ เมื่อเช้าเลยต้องรีบออกจากบ้านตั้งแต่เช้าทั้งที่มีงานช่วงสาย ไม่รีบออกไม่ได้ครับ กลัวตัวเองจะไปเผลอฆ่าไอ้เวรนั้นเข้าโดยไร้ซึ่งข้อกล่าวหาไง เดี๋ยวโดนแม่เฉ่งตายเลย
“แล้วไอ้คริสละ ตื่นรึยังเนี้ย?”
“ไม่รู้ ยังไม่ได้คุยกัน”
“หึ เสียงหวนไปนะ”
ผมไม่ตอบ
“ไอ้พี่ทัตยังอยู่ที่บ้านละสิ”
“จิ๊”
“หึหึ ถ้าหวงก็ไม่ไปเฝ้าซะเลยละ”
“ก็นัดกับมึงไว้แล้ว”
“แคนเซิลผมก็ได้ ถึงยังไงก็ไม่ใช่ธุระอะไรสำคัญอยู่แล้ว”
เออวะ ก็จริงอย่างที่มันพูด
“ช่างแม่งเหอะ ถ้าอยู่เดี๋ยวกูเผลอฆ่าไปแล้วจะยุ่ง”
“ฮ่าๆๆ เชื่อแล้วครับว่าโหดจริง”
ผมยิ้มออกมาในที่สุด ไม่รู้ว่ายิ้มกับคำพูดของมันหรือรอยยิ้มของมันกันแน่
“แล้วนี่พี่จะพาผมไปไหน?”
“ไม่รู้”
“อ้าว”
“มึงหิวไหม?”
มองดูเวลายังไม่เที่ยงแต่ก็สายมามากพอสมควรแล้ว
“ไม่เท่าไหร่ พี่หิวเหรอ?”
“ไม่”
“งั้นก็กลับบ้านเหอะ ผมอยากนอน พี่ก็ต้องทำงานไม่ใช่เหรอ?”
“อืม”
สรุปคือผมไปส่งมันที่บ้านส่วนตัวเองก็กลับเข้าออฟฟิตมานั่งจมปลักอยู่กับงานของตัวเองต่อ ผมนั่งอ่านนั่งเคลียร์อยู่ไม่นานบรรดาลูกน้องผมก็กลับมาพร้อมกับไคที่มีเอกสารเซ็นชื่อเรียบร้อยส่งมอบให้ผมเสร็จสรรพ ผมโทรเรียกทนายส่วนตัวมาจัดการต่อจนเวลาล่วงเลยไปถึงบ่ายทั้งที่ผมยังไม่ได้ทานมื้อเที่ยงไปซะงั้น
Rrrrrr
ผมหันไปมองโทรศัพท์ส่วนตัวที่แผดเสียงดังลั่น ผมถึงกับถอนหายใจเมื่อชื่อที่โชว์เป็นบุคคลผู้ยิ่งใหญ่และอยู่เบื้องหลังผมทั้งหมดทั้งมวล
“ครับแด๊ด”
/ยุ่งอยู่รึเปล่าทีครอส/
ผมส่งสายตาให้ไคจนไคและทนายพากันออกไปด้านนอกจนหมดผมเลยหันหลังให้โต๊ะมองผ่านกระจกไปยังวิวด้านนอกแล้วคุยกับผู้เป็นบิดาต่อ
“ไม่ครับ คุยได้”
/ไอจะกลับไทยสัปดาห์หน้า/
ผมขมวดคิ้วทันที ก็จะไม่ให้ขมวดคิ้วได้ไงปกติพ่อมาไทยแทบนับครั้งได้ยิ่งเป็นการมาแบบปุ๊บปั๊บแบบนี้ด้วยแล้ว...
“มีเรื่องด่วนอะไรรึเปล่าครับ?”
/เยส/
“เรื่องอะไรครับ?”
/เรื่องของยู.../
“.........”
/กับทางตระกูลเบรน/
ตระกูลเบรนคือตระกูลผู้มีอำนาจระดับโลกที่พ่อสนิทชิดเชื้อด้วยมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่ผมกับคริสไม่เคยไปเจอหรอกนะครับ แล้วทำไมมันถึงมาเกี่ยวข้องกับผมได้
“ขยายความมากกว่านี้ได้ไหมครับ?”
/ฉันอยากให้พวกเราทั้งสองตระกูลเกี่ยวดองกัน และดูเหมือนลูกสาวคนโต มิเกล่า เบรนนั้นรู้จักกับแกอยู่แล้วด้วย.../
มิเกล่า? ใครวะ?
“พ่อเลยอยากจับคู่ให้ผม?”
/ประมาณนั้น ถึงยังไงแกก็ยังไม่มีคนที่หมายตาอยู่แล้วนี่ ใช่ไหม?/
“...คงงั้นมั้งครับ”
/ดี งั้นแล้วเจอกัน อ้อ บางทีมิเกล่าอาจจะไปด้วยนะ เห็นพูดว่าอยากไปพักร้อนที่เมืองไทยเหมือนกัน/
“ครับ”
ผมถือสายค้างจนคนที่ปลายสายตัดสัญญาณไปนั้นแหละถึงได้วางมันลงกับตัก นี่มันถึงเวลาต้องแต่งงานมีครอบครัวแล้วเหรอเนี้ย เอาจริงๆผมก็ยังไม่เคยคิดในเรื่องนี้มาก่อนเลยนะ ชีวิตยังไม่อยากยึดติดกับใครเพราะแค่ครอบครัวผมก็รู้สึกว่ามันเต็มอิ่มมากพอสมควรแล้วไงครับ แต่ก็นะ ผมมันลูกชายคนโตแถมน้องชายยังเป็นเกย์(ถึงแม้พ่อแม่จะยังไม่รู้ก็เถอะ) หน้าที่ผลิตทายาทคงหนีไม่พ้นผมนั้นแหละนะ
TBC...
ใครลุ้นพี่ครอสกับนาย.......
.....ก็จงลุ้นกันต่อไป 55555+