春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Last Chapter : 18/Apr/2017 Page 5
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Last Chapter : 18/Apr/2017 Page 5  (อ่าน 16937 ครั้ง)

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



นิยายเรื่องนี้แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ไม่เกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆทั้งสิ้น
อาจมีเนื้อหาหรือรูปแบบการนำเสนอที่ไม่เหมาะสมกับผู้อ่านที่เป็นเยาวชน
ดังนั้น ผู้อ่านที่อายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญาณในการอ่านหรือควรได้รับการแนะนำจากผู้ใหญ่

春に雪が降っている。
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย

เรื่องย่อ

มิอุระ ฮารุโตะเด็กหนุ่มกำพร้าที่ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองเพียงคนเดียวหลังจากอยู่ภายใต้ความดูแลของบ้านอุปถัมภ์เด็กกำพร้ามานานหลายปี ด้วยความที่เป็นเป้าหมายกลั่นแกล้งของพวกเด็กเกเร เขาจึงต้องใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนแบบไม่มีเพื่อนเลยสักคน ดังนั้น เมื่อเขาสอบชิงทุนการศึกษาเพื่อการเรียนต่อในมหาวิทยาลัยได้ เขาจึงตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเสียใหม่ด้วยการพยายามหาเพื่อนใหม่ในมหาวิทยาลัยให้ได้ ขณะที่เขากำลังเผชิญปัญหาเดิมๆที่เคยเจอเสมอมา เขาก็ได้พบนาคามูระ เรย์ หนุ่มรุ่นพี่นักศึกษาชั้นปีที่สาม เจ้าของรางวัลชนะเลิศการถ่ายภาพระดับประเทศ และเขาก็ตกหลุมหลงรักเรย์ตั้งแต่แรกพบ

ตัวละคร
มิอุระ ฮารุโตะ : เด็กหนุ่มกำพร้าผู้ไร้เพื่อนสนิท เขาเข้าเรียนต่อด้วยมหาวิทยาลัยด้วยทุนการศึกษาจากบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง
นาคามูระ เรย์ : ชายหนุ่มรุ่นพี่นักศึกษาปีที่สามคนดังของมหาวิทยาลัย ประธานชมรมถ่ายภาพที่ฮารุโตะตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบ
อาโอกิ นาโอโตะ : หนุ่มรุ่นพี่ผู้แสนใจดีที่มักจะเข้ามาช่วยเหลืออยากที่ฮารุโตะลำบากอยู่เสมอ เขาเป็นรองประธานชมรมถ่ายภาพที่มีอำนาจมากกว่าประธานชมรม เพราะนอกจากนาโอโตะจะเป็นรองประธานชมรมถ่ายภาพแล้ว ยังเป็นคนรักของเรย์อีกด้วย
โมริ เอคิจิ : หนึ่งในกลุ่มเพื่อนสนิทของเรย์และนาโอโตะ เขาเคยเข้าไปช่วยเหลือฮารุโตะก่อนที่จะได้มาเจอฮารุโตะอีกครั้งในชมรมถ่ายภาพ นอกจากนี้เขายังเป็นนักกีฬาฟุตบอลของมหาวิทยาลัยอีกด้วย
ฮายาชิ เรียวตะ : ชายหนุ่มลูกเจ้าของเรียวกัง อีกหนึ่งหนุ่มผู้ซึ่งเพื่อนสนิทกับเรย์ ด้วยความที่มีนิสัยร่าเริงเข้ากับคนง่ายจึงสนิทสนมกับฮารุโตะได้อย่างรวดเร็ว
ชิมิซึ ซากิ : ชายหนุ่มผู้เงียบขรึมเย็นชาผู้เป็นสมาชิกอีกหนึ่งคนในกลุ่มของเรย์ ด้วยความหล่อเหลาและดีกรีนักกีฬาฟุตบอลของมหาวิทยาลัย ทำให้เขากลายเป็นเสือร้ายที่มีผู้คนมาติดพันหลงใหลในตัวเขามากมาย แต่ทว่า เป้าหมายต่อไปของเขากลับเป็นฮารุโตะ
ซากุราอิ ชุน : เด็กหนุ่มอันธพาลผู้คอยตามกลั่นแกล้งฮารุโตะมาตั้งแต่สมัยมัธยม และเขาก็ตามมาเรียนที่เดียวกับฮารุโตะด้วย
อาคาริ มิสะ และซุซูกิ จิเอะ : สองหญิงสาวเพื่อนร่วมคณะกับฮารุโตะ
นากายาม่า ไดกิ และ โอตะ อาคิฟุมิ: พนักงานร้านสะดวกซื้อที่ฮารุโตะทำงานพิเศษอยู่

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-04-2017 05:11:05 โดย ตีสี่ »

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
春に雪が降っている。 Chapter 1 : 1/Feb/2017
«ตอบ #1 เมื่อ01-02-2017 22:12:04 »

春に雪が降っている。 
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย



Chapter 1





ฮารุโตะเงยหน้ามองหมู่อาคารเบื้องหน้าด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง ปีนี้เขามีอายุครบสิบแปดปีบริบูรณ์ ถึงกำหนดระยะเวลาที่เด็กกำพร้าเช่นเขาจะต้องออกจากบ้านอุปถัมภ์ เมื่อปีก่อนเขายังนึกหวั่นกลัวต่ออนาคตในภายภาคหน้า อนาคตที่ไม่อาจคาดเดา แต่กระนั้นเมื่อเขาสอบชิงทุนของมหาวิทยาลัยได้ ความหวังที่แสนรำไรของเขาก็เรืองรองขึ้น

เด็กหนุ่มเหมือนเด็กกำพร้าคนอื่นๆ เขาวาดหวังว่าสักวันเขาคงจะมีบ้านหลังเล็กๆสักหลัง มีครอบครัวที่อบอุ่น มีเงินเก็บมีเงินใช้สอย มีเงินซื้อเสื้อผ้าสวยๆหรือของที่อยากได้ และในที่สุดเด็กหนุ่มก็สามารถเหยียบย่างเข้าสู่เส้นทางที่ทำให้ความฝันของเขาสำเร็จเป็นจริงได้

เขาอดที่จะยกยิ้มไม่ได้

มิอุระ ฮารุโตะก้าวเท้าไปตามทางเดิน พลางสอดส่ายสายตามองไปรอบๆตัวด้วยความตื่นเต้น สถานที่ที่แสนกว้างใหญ่ให้ความรู้สึกราวกับว่าตัวตนของเขากำลังหดเล็กลง ทั้งตื่นเต้นและแสนประหม่ายามยืนอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคย

ฮารุโตะล้วงกระดาษแผ่นเล็กออกจากกระเป๋ากางเกงตัวเก่า อ่านรายละเอียดภายในกระดาษที่เขาจดจำได้ขึ้นใจซ้ำอีกครั้ง สูดลมหายใจเพื่อเรียกความมั่นใจ ก่อนจะเก็บกระดาษแผ่นนั้นลงกระเป๋าและก้าวเดินต่อไป

สำหรับพิธีเปิดการศึกษาในวันนี้ ถูกจัดขึ้นที่โถงหอประชุมใหญ่ซึ่งคลาคล่ำไปด้วยนักศึกษาหลากหลายสาขาวิชา เก้าอี้นั่งบางแถวถูกจับจองจนเต็ม ฮารุโตะกวาดสายตามองหาที่นั่งด้วยความประหม่าเช่นเดิม เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้นเสียงเรียกก็ดังขึ้นข้างตัว

"เรียนคณะอะไรครับ"

ฮารุโตะหันไปหา เขาสบตากับอีกฝ่ายเพียงแค่ชั่ววินาทีก็ต้องก้มหน้าหลบสายตาด้วยความประดักประเดิดขัดเขิน แม้จะเห็นอีกฝ่ายแค่เสี้ยววินาที แต่ฮารุโตะกลับเห็นชัดเจนถึงความแตกต่างของตนกับร่างเพรียวสมส่วนตรงหน้า ผิวขาวสะอาด ชุดสูทเข้ารูปที่ยังดูใหม่เอี่ยม นั่นทำให้ฮารุโตะกระหวัดถึงเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ เสื้อตัวนี้แม้จะถูกซักรีดอย่างสะอาด แต่ก็เป็นเสื้อผ้าเก่าที่มีผู้ใจดีบริจาคให้บ้านอุปถัมภ์

"ค...คณะวิทยาศาสตร์ครับ"

"คณะวิทยาศาสตร์อยู่แถวบีนะครับ เก้าอี้แถวที่สามถึงห้ายังว่างอยู่"

ฮารุโตะเหลือบตามองตามปลายมือที่ชี้ไปยังทิศทางดังกล่าว ก่อนจะก้มศีรษะให้อีกฝ่ายซ้ำๆและรีบเดินจากมา เดินมาถึงแถวเก้าอี้ที่นั่ง เด็กหนุ่มยังละล้าละลัง เก้าอี้นั่งที่ว่างมีมากก็จริง แต่ในใจของฮารุโตะเขาไม่อยากนั่งคนเดียว ถ้าคิดหาเพื่อนที่จะใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยร่วมกันมันก็ควรเริ่มตั้งแต่ตอนนี้

เด็กหนุ่มมองไปยังเก้าอี้ที่มีนักศึกษาคนอื่นๆจับจองอยู่แล้ว มือของเขาชื้นเหงื่อ สองขายังแข็งนิ่งอยู่กับที่ขณะที่สายตาก็จับจ้องอยู่กับกลุ่มนักศึกษาที่ยังคงจับกลุ่มคุยกันรอเวลาที่พิธีเปิดการศึกษากำลังจะเริ่ม

ในที่สุดฮารุโตะก็หันหลังกลับเดินตรงไปยังเก้าอี้ว่างและนั่งลงอย่างโดดเดี่ยว เขาก้มหน้าลงมองมือที่วางอยู่บนตัก สองไหล่ลู่ลงจนดูเหมือนร่างกายของเขาจะหดเล็กลงกว่าเดิม

พิธีเปิดการศึกษาผ่านไปโดยที่ฮารุโตะไม่รู้เรื่องมากนัก ความหดหู่ครอบงำจิตใจจนอยากก้าวไปให้พ้นสถานที่แห่งนี้ เขาก้มหน้าก้มตาก้าวเท้าตามฝูงชนออกไปด้านนอก ถูกชนถูกผลักดันจนเซล้มและยังถูกเหยียบซ้ำ ผู้กระทำได้แต่กล่าวขอโทษอย่างไม่ใส่ใจนักก่อนจะก้าวเท้าจากไป ฮารุโตะจึงได้แต่พยายามพยุงตัวเองลุกขึ้น เดินเลี่ยงไปหาที่นั่งข้างทาง กางเกงแสลคสีดำที่เขาตั้งใจรีดจนเรียบเมื่อคืนปรากฏเป็นรอยรองเท้าชัดเจน เด็กหนุ่มพยายามปัดรอยเลอะนั้นออก หัวตาร้อนขึ้นพร้อมกับรู้สึกถึงน้ำตาที่รื้นอยู่ขอบตา ฮารุโตะนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นเป็นครู่ใหญ่ นานพอที่อารมณ์หม่นหมองซึ่งยึดอยู่เต็มพื้นที่ในหัวใจเบาบางลง เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู จึงได้เห็นว่าเวลาล่วงเลยมาจนอาจจะทำให้เขาเข้าร่วมพิธีปฐมนิเทศของคณะสาย

ฮารุโตะมาถึงห้องเรียนด้วยอาการกระหืดกระหอบ เมื่อเขาเลื่อนประตูเปิดเข้าไป นักศึกษาเกือบทั้งชั้นเรียนก็หันมามองเขาเป็นตาเดียว เด็กหนุ่มถึงกับนิ่งงันไปด้วยอาการทำอะไรไม่ถูก กระทั่งมีเสียงเรียกให้เขาไปรับเอกสาร ได้เอกสารแนะแนวการเรียนแล้ว เขาจึงเดินเลียบผนังห้องฝั่งประตูทางเข้าไปถึงโต๊ะที่อยู่ค่อนมาด้านหลัง พอเห็นว่ามีที่ว่างเหลืออยู่จึงนั่งลง เสียงพูดคุยรอบตัวดังขึ้นเบาๆ และหลังจากนั้นไม่นาน เมื่ออาจารย์เดินเข้ามาในห้อง ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง

อาจารย์ที่แนะแนวกล่าวถึงรายละเอียดในเอกสารและวิชาบังคับสำหรับนักศึกษา ฮารุโตะเลือกเรียนในคณะวิทยาศาสตร์ ภาคการศึกษานี้เขาต้องลงเรียนวิชาปฏิบัติการหนึ่งตัว และวิชาที่เกี่ยวข้องกับสาขาที่เลือกอีกสองตัวเป็นวิชาบังคับ นอกจากนั้นเป็นวิชาบังคับเลือก แต่ในวิชาบังคับเลือกก็มีวิชาที่นักศึกษาปีหนึ่งต้องลงอีกสี่ตัว นั่นเท่ากับว่าปีนี้เขาต้องเรียนอย่างน้อยก็เจ็ดวิชาแล้ว จำนวนหน่วยกิตยังเหลือให้เขาลงเพิ่ม เขาจึงเปิดดูวิชาที่ต้องเรียนในปีสอง เห็นมีวิชาปฏิบัติการที่ต้องลงเรียนสามตัว วินาทีนั้น เขาอยากจะลงทะเบียนเรียนวิชาทฤษฎีเสียให้ครบ แต่มานึกลังเลตรงที่ เขาจะต้องทำงานพิเศษไปด้วย

ฮารุโตะคิดอย่างลังเลแม้ว่าชั่วโมงปฐมนิเทศเพื่อแนะแนวการศึกษาได้จบลงแล้วก็ตาม อันที่จริงแล้วยังมีเวลาเหลืออีกสองสามวันก่อนชั่วโมงของแต่ละวิชาจะเริ่ม แต่เขาตั้งใจว่าจะลงทะเบียนเรียนให้เสร็จภายในวันนี้ ฮารุโตะเพิ่งย้ายมาจากจังหวัดอื่น แม้ว่าจะหาห้องเช่าได้แล้วแต่ก็มีของอื่นอีกมากที่ต้องซื้อ หลังจากคิดวนเวียนด้วยความลังเลอยู่นาน เขาจึงตัดสินใจยึดเรื่องเรียนเป็นหลัก เรื่องงานพิเศษไว้คิดทีหลังแล้วกัน เด็กหนุ่มคิด



วิชาแรกสำหรับการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยของฮารุโตะเริ่มด้วยวิชาปฏิบัติการ ‘การทดลองพื้นฐาน’ ซึ่งถูกกำหนดให้มีการเรียนการสอนตอนคาบเช้าวันจันทร์ คณะวิทยาศาสตร์มีหลายสาขาวิชาก็จริง แต่วิชาที่เป็นวิชาเอกของคณะจะถูกคณะบังคับกลายๆให้รวมกลุ่มเรียนเฉพาะสาขานั้นๆ ซึ่งเด็กหนุ่มไม่เดือดร้อนกับการบังคับเช่นนี้ เพราะเขายังหาเพื่อนในรั้วมหาวิทยาลัยไม่ได้สักคน

"สวัสดีครับ นักศึกษาทุกคน"หลังกล่าวทักทาย อาจารย์หนุ่มผู้ซึ่งเป็นอาจารย์ประจำวิชาพูดถึงรายละเอียดเนื้อหาที่จะมีการเรียนการสอน วิธีการทำรายงาน การส่งงานรวมถึงการสอบ

"รายชื่อสมาชิกของแต่ละกลุ่มถูกติดไว้บนบอร์ดหน้าห้องเรียน สำหรับใครที่เข้าเรียนสายจะถูกตัดคะแนนรายงานแล็ปคนละสองคะแนน" เมื่อพูดถึงตรงนี้เสียงพูดคุยก็ดังฮือฮาขึ้นทันที

"คะแนนรายงานครั้งละห้าคะแนน ถ้าโดนหักสองคะแนนนี่แทบจะไม่เหลืออะไรเลยนะ โหดว่ะ" ฮารุโตะพยักหน้าเห็นด้วย แม้ว่าคนพูดจะไม่ได้พูดกับตนก็ตาม

"สำหรับวันนี้จะยังไม่มีการเรียนการสอน และอาทิตย์หน้าก่อนเริ่มเรียนจะมีพรีเทสต์[1]ขอให้นักศึกษาอ่านทำความเข้าใจการทดลองที่หนึ่งในหนังสือมาด้วย วันนี้เลิกคลาสได้"

สิ้นเสียงอาจารย์ประจำวิชา นักศึกษาแต่ละคนต่างก็ทยอยเดินออกจากห้อง ปกติชั่วโมงเรียนวิชาการทดลองพื้นฐานจะเริ่มตั้งแต่เก้าโมงเช้ายาวไปถึงเที่ยง แต่เนื่องจากวันนี้เป็นคาบแรกของการเรียนที่กว่าจะเริ่มคลาสก็ตอนสิบโมง กระนั้นฮารุโตะยังมีเวลาว่างร่วมสองชั่วโมงกว่าจะถึงวิชาเรียนคาบบ่าย เด็กหนุ่มรอจนคนที่เดินออกจากห้องเริ่มซา จึงได้เดินไปดูบอร์ดประกาศที่หน้าห้องบ้าง

"นี่นายอยู่กลุ่มไหนหรือ"เสียงเรียกพร้อมแรงสะกิดที่ไหล่ทำให้ฮารุโตะหันไปมอง สบสายตาสองสาวที่ยืนตรงหน้าเพียงชั่ววินาที เขาก็หลุบสายตามองพื้น ก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเบาๆว่า

"ก..กลุ่มสิบห้า"

"กลุ่มเดียวกันเลย ฉันชื่ออาคาริ มิสะ ส่วนนี่ ซูซุกิ จิเอะจัง"

ฮารุโตะเงยหน้ามองเธอทั้งสองคน ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ ...เพื่อน เขากำลังจะมีเพื่อน

"ผม...มิอุระ ฮารุโตะครับ"รอยยิ้มยินดียังคงเกลื่อนอยู่บนใบหน้า ในหัวใจของฮารุโตะพองโตอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกราวกับว่าพลังในร่างกายท่วมท้นขึ้นมาอย่างประหลาด ความยินดีในเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ กลับทำให้เรื่องหม่นหมองที่เขาต้องเผชิญในช่วงหลายวันมานี้มลายหายไปอย่างน่าประหลาด

"นี่มิอุระซังจะไปไหนอีกหรือเปล่า เราสองคนว่าจะไปกินข้าวอยู่พอดี ไปด้วยกันไหม"

ฮารุโตะผงกศีรษะตอบรับอย่างไม่ต้องคิด เขาเดินตามหญิงสาวสองคนที่ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องคุยกันไม่หยุดหย่อน บางครั้งเธอทั้งสองก็หันมาถามเขาบ้างชวนเขาคุยบ้าง นั่นยิ่งทำให้ฮารุโตะรู้สึกมีความสุขยิ่งขึ้นไปอีกสักร้อยเท่า

ที่โรงอาหารคนข้างน้อยบางตา ทำให้ทั้งสามคนสามารถเลือกที่นั่งได้อย่างถูกใจ
"ผมนำข้าวกล่องมา เดี๋ยวจะนั่งรอที่โต๊ะนะครับ"ฮารุโตะพูด หญิงสาวสองคนมองหน้าเขาเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับและเดินไปซื้ออาหารของตน

ฮารุโตะปลดเป้ออกจากบ่า เปิดกระเป๋าหยิบกล่องข้าวที่ตื่นมาทำเมื่อตอนเช้าออกมา นั่งรออยู่ชั่วครู่ ทั้งมิสะและจิเอะก็เดินกลับมา พอทั้งสองคนนั่งลงและลงมือทาน ฮารุโตะถึงได้เริ่มทานของตัวเองบ้าง

"ข้าวกล่องนี่ใครทำให้เหรอ"มิสะเอ่ยถามเชิงชวนคุย

"ไม่มีครับ ผมทำเอง"ฮารุโตะตอบพร้อมรอยยิ้มบางๆ

"อ่อ หน้าตาน่าทานดีนะ"เธอพูดชม

"เอ่อ ล... ลองทานดูไหมครับ" ฮารุโตะออกปากชวนด้วยความกล้าๆกลัวๆ เขาไม่เคยสนิทกับใครถึงขั้นร่วมโต๊ะทานข้าวด้วยกัน จึงไม่แน่ใจนักกับการกระทำของตนเอง แต่กระนั้น เขายังอยากจะพยายามเพื่อให้ตนสนิทสนมกับอีกฝ่ายมากขึ้น

"ไม่ดีกว่าเกรงใจน่ะ"เธอกล่าวปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม พลางเอ่ยปากถามอีกสองสามประโยคก่อนจะหันไปสนใจอาหารตรงหน้าของตน ระหว่างทานมิสะกับจิเอะได้หยิบยกเรื่องนั้นเรื่องนี้มาคุยกันตลอดเวลา ซึ่งในหลายๆหัวข้อสนทนาเหล่านั้น บางเรื่องเป็นเรื่องที่ฮารุโตะไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน บางเรื่องฮารุโตะไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าเธอทั้งสองพูดถึงสิ่งใด เด็กหนุ่มจึงได้แต่นั่งฟังและทานอาหารไปเงียบๆ ถึงกระนั้นเขายังคงรู้สึกยินดีที่อย่างน้อยตนได้ทานอาหารร่วมโต๊ะกับคนที่ต่อไปเขาคงเรียกพวกเธอว่าเพื่อนได้อย่างเต็มปาก


หลังจากที่รู้ผลการสอบเข้ามหาวิทยาลัย มิอุระ ฮารุโตะได้หาห้องเช่าเล็กๆที่อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยมากนักเป็นที่อยู่อาศัย เพราะรู้ตัวอยู่แล้วว่าสักวันหนึ่งต้องออกมาใช้ชีวิตอยู่เพียงตัวคนเดียว เขาจึงพยายามเก็บเงินไว้ก้อนหนึ่งเพื่อเป็นกองทุนสำหรับตั้งต้นชีวิต อันที่จริงใช่ว่าทุกคนเมื่ออายุสิบแปดปีแล้วจะต้องออกจากบ้านอุปถัมภ์ในทันทีทันใด บางคนยังคงอาศัยอยู่ที่นั่นจนกว่าจะขยับขยายได้โดยแลกเปลี่ยนกับเงินเล็กๆน้อยๆจำนวนหนึ่ง บ้างก็อยู่ทำงานที่นั่นเพื่อดูเด็กเล็กรุ่นต่อๆไป แต่สำหรับฮารุโตะแล้ว เขาไม่ได้มีความทรงจำที่ดีต่อบ้านอุปถัมภ์มากนัก ดังนั้นเมื่อมีสิทธิ์ก้าวเท้าสู่โลกภายนอกเขาจึงเริ่มทำทันที

แม้จะได้รับทุนการศึกษา แต่ทุนดังกล่าวก็ครอบคลุมแค่เพียงค่าหน่วยกิต หนังสือเรียนและกิจกรรมของทางมหาวิทยาลัยเท่านั้น ฮารุโตะจึงต้องหางานทำเพื่อหารายได้สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน

ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากทำงานพิเศษในร้านอาหาร นั่นเป็นสิ่งที่ฮารุโตะคิด เพราะนอกจากจะได้เงินจากการทำงานแล้ว ถ้าเจ้าของร้านใจดี เขาอาจจะได้รับการปันอาหารที่เหลือจากการขายด้วย

ซึ่งก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มเคยทำงานในร้านอาหารมาบ้างแล้ว หน้าที่ความรับผิดชอบมีตั้งแต่รับออเดอร์ เสิร์ฟ ล้างจาน ทำความสะอาด ทิ้งขยะและอีกจิปาถะที่แล้วแต่ใครจะใช้ การทำงานหนักไม่ใช่ปัญหาสำหรับฮารุโตะ แม้ว่าเขาจะโดนตำหนิจากลูกค้าอยู่บ่อยครั้ง เพราะความเชื่องช้าซุ่มซ่ามแต่เขายังพยายามทำงานอย่างอดทน จนกระทั่งวันหนึ่ง ขณะที่เขากำลังนำถาดอาหารไปเสิร์ฟแล้วเกิดเหตุการณ์สะดุดเท้าตัวเอง ด้วยความที่พยายามจะคว้าหลักพยุงตัว มันจึงกลายเป็นดึงโต๊ะที่ลูกค้านั่งอยู่ให้ล้มระเนระนาดไปแทน สุดท้ายเขาจึงโดนไล่ออก โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันมาจากความคึกคะนองของคนบางคนที่จงใจจะกลั่นแกล้งให้ฮารุโตะต้องเดือดร้อน

แต่นั่นก็เป็นเรื่องของเมื่อก่อน และถึงแม้จะมีเงินเก็บอยู่บ้าง แต่ก็ต้องรีบหางานใหม่ เด็กหนุ่มบอกตัวเองเช่นนั้น หลังหมดชั่วโมงเรียนฮารุโตะจึงเดินเรื่อยเปื่อยไปภายในเมือง สายตามองหาป้ายประกาศรับสมัครงาน ก่อนจะแวะเข้าซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้อของสดไปทำอาหาร  หลังจากหยิบตะกร้ามาถือก็เดินตรงดิ่งไปยังโซนอาหารลดราคา ฮารุโตะเลือกผักและเนื้อสัตว์สองสามอย่างใส่ตระกร้าแล้วจึงเดินไปชำระเงิน

เมื่อเดินออกมาจากซุปเปอร์มาร์เก็ต เขายังคงสอดส่ายสายตาหาป้ายรับสมัครงานไปเรื่อยๆ และอีกสิบนาทีหลังจากนั้นฮารุโตะได้พบแผ่นประกาศรับสมัครพนักงานขนาดเท่าแผ่นเอสี่ติดอยู่บนผนังกระจกของร้านสะดวกซื้อ ขณะที่กำลังจะก้าวเท้าเข้าไปในร้าน พลันนึกถึงถุงใส่อาหารสดในมือขึ้นมาได้เสียก่อน เด็กหนุ่มจึงเปลี่ยนใจเดินกลับไปห้องพักเพื่อเก็บของที่ซื้อมา และเดินกลับมายังร้านสะดวกซื้ออีกครั้ง

การสัมภาษณ์งานในช่วงต้นเป็นไปอย่างราบรื่น เนื่องด้วยฮารุโตะเคยทำงานพิเศษมาบ้างแล้ว นอกจากนี้เด็กหนุ่มยังเป็นนักเรียนทุน จึงเป็นการยืนยันความประพฤติได้ในระดับหนึ่ง ทว่าคำถามพื้นฐานบางคำถามกลับทำให้เด็กหนุ่มนิ่งเงียบครุ่นคิดอยู่นาน

"มีอะไรหรือเปล่า"

"เอ่อ..."

"ไม่ต้องคิดมากหรอกนะ แค่พูดมาตามตรงเท่านั้น"ผู้จัดการร้านเห็นว่าเด็กหนุ่มเอาแต่เงียบจึงได้ถามย้ำ ฮารุโตะได้แต่ทำสีหน้าลำบากใจก่อนจะพูดออกไปตามตรง ด้วยจนหนทางในการหาคำพูดโกหก

"ผ... ผมโดนไล่ออกเพราะไปทำอาหารหกใส่ลูกค้าครับ" เสียงสั่นเครือได้แต่อ้อมแอ้มกล่าวออกไป เขาไม่กล้าเงยหน้ามองสบตาอีกฝ่ายยามที่พูดประโยคนั้น เพราะรู้ว่าตนคงต้องผิดหวังจากการสมัครงานครั้งนี้ หัวตาของเด็กหนุ่มจึงร้อนผ่าว

"ก็เป็นเรื่องที่แย่จริงๆล่ะนะ"

น้ำตาหยดแหมะลงหลังมือที่วางอยู่บนตัก ฮารุโตะจึงได้แต่ก้มหน้าลงต่ำยิ่งกว่าเดิม ไม่กล้ายกมือขึ้นเช็ดน้ำตา เพราะกลัวว่าผู้สูงวัยกว่าจะรู้ว่าตนร้องไห้

"แต่ว่าร้านสะดวกซื้อมีงานหลายอย่างที่ไม่ต้องปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าโดยตรง หรือถึงจะเป็นแคชเชียร์ ก็ใช้แค่ความละเอียดรอบคอบและอ่อนน้อมต่อลูกค้า ถึงจะซุ่มซ่ามไปบ้างก็คงไม่เป็นอะไรหรอกนะ เธอคิดว่าพอจะทำได้ไหมล่ะ"

หลังจากทำความเข้าใจกับความหมายในคำพูดของอีกฝ่ายอยู่ชั่วครู่ เด็กหนุ่มก็ผงกศีรษะรับอย่างรวดเร็ว ยกยิ้มกว้างอย่างดีใจ แล้วบอกออกไปว่าตนจะตั้งใจทำงานอย่างดีที่สุด

คืนนั้นเด็กหนุ่มนอนหลับสนิท ทั้งยังรู้สึกว่าตนเองฝันดีมากๆ แม้ว่าตอนตื่นขึ้นมาในรุ่งเช้าอีกวันจะจำไม่ได้ก็ตาม ร่างกายรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ตอนที่เปิดประตูออกไปภายนอกห้อง ท้องฟ้าที่เขาเห็นเป็นสีฟ้าครามใส จนรู้สึกว่าวันนี้ต้องมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

ฮารุโตะค่อนข้างจะชอบอากาศในฤดูใบไม้ผลิมากกว่าฤดูอื่น เพราะกำลังเย็นสบายไม่หนาวเกินไปอย่างฤดูหนาว หรือร้อนมากอย่างในฤดูร้อน เป็นฤดูที่ไม่ต้องพึ่งทั้งเครื่องปรับอากาศหรือเครื่องทำความร้อน เด็กหนุ่มจึงเดินทอดน่องเรื่อยๆชมนกชมไม้ไปตามทางเดินของมหาวิทยาลัย

“อารมณ์ดีจริงนะ”

ทั้งที่เป็นวันดีๆแท้ๆ ฮารุโตะได้แต่บ่นในใจ สองเท้าหยุดชะงักเมื่อร่างสูงใหญ่ของเจ้ากรรมนายเวรตลอดกาลยืนขวางอยู่ตรงหน้า ขนาบข้างซ้ายขวาด้วยลูกกะจ๊อกตัวโตที่ยืนเยื้องไปด้านหลังเล็กน้อย

“ไม่มีอะไรนี่”ฮารุโตะตอบเสียงเบา

“ไม่มีอะไรได้อย่างไรกัน ก็เห็นอยู่ว่านายกำลังอารมณ์ดี ไหนๆดูสิว่ามีน่าตื่นเต้นบ้าง”อีกฝ่ายเดินเข้ามากอดคออย่างถือสนิทก่อนจะเปิดกระเป๋าสะพายรื้อดูสิ่งของด้านในอย่างไม่คิดที่จะขออนุญาตเจ้าของสักคำ

“โอ๊ะ ข้าวกล่อง พอดีเลยเมื่อเช้าฉันไม่ได้กินข้าวมา ขอละกัน”ฝ่ามือใหญ่หยิบข้าวกล่องที่ว่าโยนไปให้ลูกกะจ๊อกคนหนึ่งถือหน้าตาเฉย และเจ้าคนนั้นก็หัวเราะอย่างชอบใจด้วยซ้ำ

“จะว่าไปตอนเที่ยงฉันก็ยังไม่มีเงินกินข้าวด้วย ไหนเอากระเป๋า’ตังค์มาสิ”ไม่แค่พูดเท่านั้น อีกฝ่ายยังล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของเขาและหยิบกระเป๋าเงินออกมาหน้าตาเฉย

ฮารุโตะรีบคว้าข้อมือของอีกฝ่ายไว้

“อย่าเอาไปเลยนะ”เด็กหนุ่มร้องขอ “ซากุราอิซังเอาข้าวกล่องสำหรับกลางวันของผมไปแล้ว ถ้ายังเอาเงินไปอีกกลางวันนี้ผมจะทานอะไรล่ะ”

“ก็ไปขอคนอื่นสิ”คู่กรณีตอบกลับมาอย่างมักง่าย วงแขนที่เคยพาดวางอยู่บนบ่าเริ่มจะรัดคอแน่นขึ้น เมื่อฮารุโตะดิ้นรนพยายามยื้อแย้งกระเป๋าเงินกลับคืนมาคนที่มีร่างกายสูงใหญ่กว่าจึงยกกระเป๋าหนังเทียมเก่าๆสีดำขึ้นสูง เปิดดูจำนวนเงินข้างใน

“อะไรกันมีแค่พันเยนเองเหรอ”

“อืมน้อยจะตาย ซากุราอิซังเอาไปซื้ออะไรกินไม่อิ่มหรอก” ฮารุโตะพยายามพูดผสมโรงเผื่ออีกฝ่ายจะรู้สึกว่ามันไม่มีค่าขึ้นมาบ้าง

“นั่นสินะ”ฝ่ายนั้นหันมายิ้มให้จนฮารุโตะใจชื้น ก่อนจะถูกผลักจนล้มลงกับพื้นตามด้วยกระเป๋าเงินที่ลอยมากระทบศีรษะ เด็กหนุ่มรีบความมันขึ้นมาเปิดดูข้างใน แบงก์พันเยนหายไปแล้ว

“แต่พอดีฉันชอบแย่งของของคนอื่นด้วยสิ ขอบใจนะทีเลี้ยงข้าว” ซากุราอิ ชุนพูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินจากไป ฮารุโตะได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้างด้วยความคับแค้น เขาคิดว่าการย้ายมาเข้ามหาวิทยาลัยที่นี่ จะไม่ต้องเจออีกฝ่ายแล้วแท้ๆ ทำไมคนอย่างนั้นถึงได้มาเข้าเรียนที่นี่ได้นะ ในหัวของฮารุโตะตอนนี้มีแต่ความไม่เข้าใจ เขาถอนหายใจออกมาเพื่อกดความรู้สึกที่ตีตื้นขึ้นมาอยู่ที่ขอบตา ก่อนจะพยายามลุกขึ้นยืน แต่ต้องล้มทรุดลงไปกับพื้นอีกครั้ง ความเจ็บปวดที่ข้อเท้าแล่นริ้วเข้าสู่หัวใจอย่างรวดเร็ว บีบรัดเพิ่มความหน่วงหนักจนน้ำร้อนๆที่อุตส่าห์ข่มกลืนเมื่อสักครู่ล้นขอบตาอีกครั้ง ฉับพลันฮารุโตะก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ เจ้าของเสียงฝีเท้านั้นย่อตัวลงนั่งไม่ห่างนัก เด็กหนุ่มจึงก้มหน้าให้ต่ำยิ่งกว่าเดิม

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

ฮารุโตะสั่นศีรษะพยายามเต็มที่ที่จะไม่ร้องไห้ออกมา เขายกหลังมือขึ้นปาดกึ่งปากกึ่งจมูก และออกปากตอบกลับไปว่า

“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณที่เป็นห่วง”พลางเงยหน้ายกยิ้มอย่างขอบคุณให้อีกฝ่าย เด็กหนุ่มเก็บรวบรวมข้าวของใส่กระเป๋า ลุกขึ้นยืนโดยมีฝ่ามือของผู้ใจดีคนดังกล่าวช่วยพยุง

“บาดเจ็บหรือ ไปห้องพยาบาลไหม”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่ข้อเท้าพลิก นั่งพักสักครู่ก็คงหาย”

“แต่ถ้าไปห้องพยาบาล นวดยาแล้วพันผ้าไว้ก็จะหายเร็วขึ้นนะ”

ฮารุโตะยังคงเงียบไม่ตอบรับ จนอีกคนต้องถามต่อ “มีเรียนกี่โมงล่ะ”

“เก้าโมงเช้าครับ”

“ยังเหลือเวลาอีกเยอะ ไปเถอะ เดี๋ยวฉันพาไป”เจ้าของคำพูดกล่าวออกมาหลังจากก้มมองนาฬิกา เห็นว่าเป็นเวลาแค่แปดโมงกว่าๆ เขาดึงกระเป๋าของฮารุโตะมาถือไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างจับต้นแขนของเด็กหนุ่ม พยุงร่างที่สูงแค่ปลายคางตรงไปยังห้องพยาบาล

อันที่จริงจะเรียกว่าห้องพยาบาลก็ไม่ถูกนัก น่าจะเรียกว่าห้องพักอาจารย์จึงจะถูกต้องมากกว่า คงเพราะเห็นว่าอาการของฮารุโตะไม่ได้หนักหนาอย่างที่เจ้าตัวว่า ถ้าจะให้พาไปยังโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งคงต้องเดินกันเหงื่อตก กรณีที่เจ็บป่วยเล็กน้อย นักศึกษาส่วนใหญ่จึงใช้บริการชุดพยาบาลที่มีประจำอยู่ในห้องพักอาจารย์เสียแทน

“ขอรบกวนหน่อยนะครับ”ทันทีเยี่ยมหน้าเข้าไป อาจารย์ประจำเวรช่วงเช้าก็เดินเข้ามาหา

“เป็นอะไรมาหรือจ๊ะ”

“รุ่นน้องเขาขาพลิกนะครับ ผมจะขอยานวดกับผ้าเทปนะครับ”

“ให้ครูทำให้ไหม”

“อ่อ ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง”

มาถึงตอนนี้ ฮารุโตะจึงพอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงเป็นรุ่นพี่ในมหาวิทยาลัย เด็กหนุ่มถูกพามานั่งบนเก้าอี้ที่วางอยู่ติดกับประตู รุ่นพี่หนุ่มคนนั้นหันไปช่วยรับกล่องปฐมพยาบาลซึ่งอาจารย์หยิบออกมาจากตู้ แล้วเดินตรงเข้ามาหา ฮารุโตะมองคนที่ย่อตัวลงนั่งตรงหน้าด้วยความสงสัย พอเห็นฝ่ายนั้นจับข้อของตนจึงร้อนรนชักเท้ากลับ พลางเอ่ยปฏิเสธ

“ไม่ต้องหรอกครับ ผมทำเองได้”ฮารุโตะนึกเกรงใจที่คนไม่สนิทกันต้องมาทำให้ถึงขนาดนี้

“นวดข้อเท้าเองน่ะมันไม่ถนัดหรอกนะ ให้คนอื่นทำให้น่ะสะดวกกว่าอยู่แล้ว และฉันก็ไม่ถือด้วย หรือว่านายเท้าเหม็นมากจนไม่กล้าถอดถุงเท้า”

“ไม่...”กำลังจะตอบปฏิเสธแต่นึกขึ้นได้เสียก่อนว่าไม่เคยมีใครบอกว่าเท้าของเขาเหม็นหรือไม่ จึงได้ลังเลเปลี่ยนเป็นคำตอบอื่น “ไม่รู้เหมือนกันครับ ไม่เคยมีใครบอก” พอดีกับชายหนุ่มรุ่นพี่ช่วยถอดรองเท้าของเขาเสร็จ

“อา เท้าเหม็นจริงด้วย”อีกฝ่ายทำหน้าแหยงแล้วหันหนี ฮารุโตะจึงลนลานขึ้นมาอีกครั้ง

“อ๊ะจริงหรือครับ ถ้าอย่างนั้นผมทำเองดีกว่า”ว่าพลางจะชักเท้ากลับแต่มืออบอุ่นนั้นกลับยึดข้อเท้าของเขาไว้เสียแน่น

“ล้อเล่นน่า เชื่อคนง่ายนะเนี่ย”

ฮารุโตะเฝ้ามองหนุ่มรุ่นพี่ที่บรรจงนวดเท้าให้เขาอย่างเบามือ บรรยากาศโดยรอบเงียบเชียบ แว่วเสียงรถราและเสียงพูดคุยดังมาจากที่ไกลๆ เด็กหนุ่มนึกอยากจะหยิบยกหัวข้อสนทนาขึ้นมาพูดคุย แต่จนปัญญาที่จะคิด กระนั้นก็อดรู้สึกดีใจไม่ได้ว่า วันดีๆเช่นนี้ไม่ได้เลวร้ายไปทั้งหมดแม้จะเจอเรื่องให้ขุ่นข้องอย่างเมื่อเช้าก็ตาม

รู้สึกตัวอีกทีก็ถูกบอกให้ลองลุกขึ้นยืนเสียแล้ว

“รุ่นพี่เก่งจังครับ ไม่รู้สึกเจ็บเลย”เขาบอกไปเมื่อได้ลองขยับเท้าและก้าวเดิน

“ก็นะ เป็นนักกีฬาเรื่องแบบนี้ต้องเรียนรู้เป็นพื้นฐานอยู่แล้วน่ะ เอ่อ.. ฉันต้องไปแล้วนะ แล้วไว้เจอ”

ยังไม่ทันได้ตอบรับอีกฝ่ายก็วิ่งหายไปเสียแล้ว เด็กหนุ่มรู้สึกงุนงง... ยังไม่ได้ขอบคุณเลยนั่นคือสิ่งที่ผุดขึ้นมาในความคิด และการที่ได้เจอรุ่นพี่คนนี้ทำให้วันดีๆที่ถูกซากุราอิทำลายไปไม่ได้ย่ำแย่เกินไปนัก

กระนั้นในเมื่อหมดคาบเรียนช่วงเช้าจึงทำให้ฮารุโตะนึกถึงสิ่งสำคัญขึ้นมาได้ ซากุราอิ ชุนไม่ได้แค่ทำลายการเริ่มต้นวันด้วยบรรยากาศดีๆของเขาเท่านั้น แต่ยังนำข้าวกล่องสำหรับมื้อกลางวันกับเงินค่าใช้จ่ายของวันนี้ไปด้วย

“มิอุระคุงไปกินข้าวกันเถอะ”ทั้งที่อาคาริซังอุตส่าห์ชวนแท้ๆ ฮารุโตะได้แต่คิดในใจ

“ขอโทษนะ พอดีวันนี้มีธุระนิดหน่อย พวกเธอสองคนไปกินกันได้เลย”เด็กหนุ่มออกปากปฏิเสธคำชวนของอาคาริ มิสะและซูซุกิ จิเอะ

“เอาอย่างนั้นหรือ”

“อืม ต้องขอโทษด้วยนะ”

“ไม่เป็นไร อย่างไรถ้าเสร็จธุระแล้วจะตามมาก็ได้นะ”

“อือ”ฮารุโตะโบกมือให้หญิงสาวทั้งสองคนพลางยกยิ้มให้บางๆ แต่พอคิดได้ว่านี่เป็นเวลาอาหารแล้ว ท้องก็ร้องขึ้นมาทันที ทำอย่างไรดีนะ เด็กหนุ่มได้แต่ครุ่นคิดอยู่ในใจ แม้สมัยมัธยมจะโดนชุน กลั่นแกล้งอยู่บ่อยครั้งแต่เขาไม่เคยเดือดร้อนเรื่องอาหารกลางวัน เพราะทางโรงเรียนเป็นผู้จัดเตรียมไว้ให้ อย่างมากก็แค่โดนแย่งกับข้าวแต่ไม่ถึงขั้นกับอดทั้งมื้ออย่างนี้

เมื่อเดินผ่านก๊อกน้ำสาธารณะ เด็กหนุ่มจึงแวะดื่มน้ำเพื่อประทังความหิวซึ่งนั่นทำให้เสียงท้องซึ่งร้องครวญครางอยู่เงียบสงบลงได้ อดแค่มื้อเดียวมันไม่เป็นอะไรหรอก ฮารุโตะคิดเช่นนั้นในใจ พอนึกย้อนกลับไปฮารุโตะจึงคิดว่าตนเองช่างโชคดีจริงๆที่ได้อยู่บ้านอุปถัมภ์ ถึงจะไม่ได้เที่ยวเล่นแบบเด็กคนอื่นๆ มีแต่เสื้อผ้าเก่าๆที่รับบริจาคมา และถึงตัวเขาจะไม่ค่อยมีเพื่อนมากนัก แต่ก็ไม่เคยต้องอดข้าวเลย การออกมาอยู่คนเดียวแบบนี้ยังเป็นเรื่องที่ลำบากกว่าเสียอีก เพราะต้องพยายามหาเงินเองเพื่อใช้สำหรับค่าห้องพักและค่าอาหารการกิน ไหนจะยังค่าเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้อีก

เด็กหนุ่มถอนหายใจ การใช้ชีวิตแบบผู้ใหญ่ไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-10-2017 13:31:14 โดย ตีสี่ »

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
Re: 春に雪が降っている。 Chapter 1 : 1/Feb/2017
«ตอบ #2 เมื่อ01-02-2017 22:17:03 »


ฮารุโตะตื่นเต้นกับการเริ่มต้นทำงานวันแรกเป็นอย่างมาก ถึงจะเคยทำงานพาร์ทไทม์มาก่อนแล้วก็ตาม แต่ความรู้สึกตื่นเต้นยามที่ต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ๆยังคงมีอยู่เสมอ ความตื่นเต้นนั้นทำให้เรื่องหม่นหมองในความคิดจางหายไปอย่างรวดเร็ว ฮารุโตะพุ่งความสนใจทั้งหมดไปยังรายละเอียดเนื้อหางานตรงหน้า เด็กหนุ่มรู้ตัวดีกว่าตนเป็นคนหัวช้า จึงได้ทดแทนส่วนที่ขาดหายไปด้วยความพยายามที่มากขึ้น

“วันนี้ตั้งใจทำงานดีมากนะ”

“ขอบคุณมากครับ”ฮารุโตะตอบรับอย่างกระตือรือร้นเมื่อได้รับคำชมจากผู้จัดการร้าน

“งานร้านสะดวกซื้อค่อนข้างจะมีรายละเอียดเยอะ เรามีพนักงานแค่ไม่กี่คนประจำร้านซึ่งเปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง เราจึงไม่มีการแบ่งว่าหน้าที่ใครหน้าที่มัน ทุกคนต้องดูแลร้านได้เหมือนกัน หวังว่าเธอจะพยายามและอดทนทำงานนี้นานๆนะ”

“ครับ แน่นอนครับ”เด็กหนุ่มตอบรับอย่างหนักแน่น หัวใจพองฟูขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกรู้สึกถึงเรี่ยวแรงมากมายมหาศาลภายในร่างกาย ความเมื่อยล้าจากการยืนตลอดหลายชั่วโมงในการทำงานอันตรธานไปสิ้น

ในค่ำคืนนั้นฮารุโตะนอนหลับอย่างมีความสุขและตื่นเช้าขึ้นมาด้วยอารมณ์แจ่มใส หลังจากจัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อยเด็กหนุ่มจึงหันมาจัดเตรียมอาหารเช้าและอาหารกลางวันสำหรับวันนี้ เมื่อวานหลังเลิกงานเขาได้รับชุดอาหารสำเร็จรูปที่ขายไม่หมดมาเล็กน้อยแต่นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับตัวเขาซึ่งใช้ชีวิตอาศัยอยู่เพียงลำพัง ข้าวของเครื่องใช้ในห้องก็มีแต่สิ่งของที่จำเป็นอย่างเช่นตู้เย็นขนาดเล็ก เตาแก๊ส หม้อหุงข้าว กระทะก้นตื้นและหม้อใบย่อมอย่างละใบ จานชามสองสามใบ พัดลมตัวเล็กสำหรับหน้าร้อนและฮีทเตอร์ซึ่งเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกอย่างล้วนแต่เป็นของมือสองที่เด็กหนุ่มตระเวนเดินหาอยู่หลายต่อหลายเที่ยว

เด็กหนุ่มนำอาหารใส่ถ้วยปิดฝาก่อนวางลงในหม้อที่ใส่น้ำไว้เล็กน้อยเปิดไฟเพื่ออุ่นอาหารแล้วหันมาแกะข้าวห่อสาหร่ายใส่เข้าปาก กว่าจะกินข้าวปั้นหมดก็ครู่ใหญ่ น้ำในหม้อเดือดพล่านจนเห็นไอน้ำลอยออกมาจากรูระบายอากาศบนฝาหม้อ ฮารุโตะแกะฟิล์มพลาสติกที่ห่อถาดกุ้งเทมปุระออกแล้วหันไปยกหม้อลงจากเตา ตั้งกระทะเทน้ำมันพืชลงไปขณะรอให้น้ำมันร้อนก็หันไปเปิดฝาหม้อที่เพิ่งยกลงไปเมื่อสักครู่ ไอร้อนสีขาวพวยพุ่งออกมาแทบทันที จากนั้นจึงหันกลับมาจับตะเกียบคีบตัวกุ้งลงอุ่นบนเตา เสียงน้ำมันร้อนดังฉ่าๆ เพราะอาหารนั้นสุกอยู่แล้วเขาจึงใช้ตะเกียบพลิกกลับอาหารบ่อยๆแค่ให้ความร้อนกระจายทั่วทั้งชิ้นก่อนจะยกขึ้นพักไว้บนจาน จากนั้นจึงจัดอาหารลงกล่อง หน้าตาของอาหารกลางวันนี้น่าทานเสียจนเขารู้สึกว่าอยากจะให้ถึงช่วงเวลาพักเร็วๆ

อากาศช่วงเดือนเมษายนนับว่ากำลังเย็นสบาย ต้นพลัมกำลังผลิใบอ่อนในขณะที่ต้นซากุระซึ่งปลูกอยู่ทั่วมหาวิทยาลัยยังคงชูดอกชูช่อบานสวย ฮารุโตะชะงักเท้ากะทันหันเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น เด็กหนุ่มร่างเล็กบางหันซ้ายแลขวาอย่างระแวดระวังอยู่บริเวณหน้ามหาวิทยาลัย เขาไม่รู้ว่าชุนเรียนอยู่คณะไหนเพราะฉะนั้นจึงเดาไม่ออกว่าเช้านี้จะมีโอกาสได้เจออีกฝ่ายหรือไม่ ขณะที่ยืนลังเลอยู่ตรงนั้นพลันรู้สึกถึงฝ่ามือที่มาสัมผัสบริเวณไหล่ให้สะดุ้งเฮือก

“ขอโทษทีไม่คิดว่านายจะตกใจขนาดนั้น”

ฮารุโตะหันไปมองเมื่อเห็นว่าเป็นรุ่นพี่ผู้ใจดีคนที่พบเมื่อวานจึงลอบถอนหายใจด้วยความเบาใจก่อนจะเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้มน้อยๆ

“สวัสดีครับ”

“อืม หวัดดี ว่าแต่มายืนทำอะไรตรงนี้ละฉันเห็นนายยืนอยู่ตั้งนานแล้ว”

ฮารุโตะสั่นศีรษะปฏิเสธเสียงค่อย“ป…เปล่าครับ”

“อย่างนั้นเดินไปด้วยกันไหม”

“ครับ”เขาพยักหน้ารับอย่างกระตือรือร้น คาดเดาได้ว่าต่อให้เจอซากุราอิซังจริงๆอีกฝ่ายคงไม่กล้าเข้ามาระรานเขาแน่ๆ

“ฉันโมริ เอคิจินายชื่ออะไรล่ะ”

“เอ่อ… มิอุระ ฮารุโตะครับ”

“อยู่คณะอะไรล่ะ”

“วิทยาศาสตร์ครับ”

แม้ลักษณะการสนทนาจะเป็นไปในรูปแบบของการถามตอบที่ผู้ตั้งคำถามนั้นเป็นเอคิจิเสียส่วนใหญ่ แต่บรรยากาศการสนทนาระหว่างคนทั้งคู่ก็ไม่ได้ย่ำแย่เกินไปนัก อาจเพราะเอคิจิเป็นบุคคลจำพวกมนุษยสัมพันธ์ดีก็เป็นได้

การเรียนในวันนั้นของฮารุโตะเป็นไปอย่างราบรื่นเนื่องเพราะเพิ่งเริ่มการศึกษาใหม่ ทั้งวิชาต่างๆยังคงเป็นวิชาพื้นฐานที่เคยเรียนมาตั้งแต่สมัยมัธยม รวมถึงการที่เขาได้รู้จักคบหากับอาคาริ มิสะและซูซุกิ จิเอะในฐานะเพื่อน ฮารุโตะจึงค่อยผ่อนคลายความตึงเครียดและความประหม่าลง

“วันนี้ไปหาหนังสือทำรายงานกันที่ห้องสมุดไหม”เด็กหนุ่มเอ่ยชวน ในคาบเรียนช่วงบ่ายของวันนี้อาจารย์ประจำวิชาได้กำหนดหัวข้อให้นักศึกษาทำรายงานกลุ่มโดยแบ่งกลุ่มละสามคนซึ่งลงตัวกับพวกเขาพอดี

“ขอโทษนะวันนี้อาคารินัดกับแฟนไว้คงไปไม่ได้ มิอุระซังเองก็ไม่ต้องรีบหรอกกว่าจะส่งก็ตั้งอาทิตย์หน้า”มิสะพูดก่อนที่จิเอะจะเอ่ยขึ้นมาบ้างว่า

“จิเอะก็ต้องไปทำงานพิเศษ ขอโทษนะไว้วันอื่นละกันเนอะ”ก่อนที่ทั้งสองจะกล่าวลาอย่างรีบร้อนด้วยเหตุผลข้างต้นเด็กหนุ่มจึงได้แต่พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ

กว่าจะถึงเวลาเริ่มงานพิเศษของฮารุโตะตอนหกโมงเย็นยังเป็นเวลาอีกนาน เขาจึงคิดว่าน่าจะแวะไปห้องสมุดเพื่อหาหนังสือเสียหน่อยแม้สมาชิกกลุ่มทั้งสองคนจะไม่ว่างก็ตาม

อาคารหอสมุดของมหาวิทยาลัยเป็นอาคารรูปตัวแอลขนาดใหญ่ โครงสร้างภายนอกแต่ละชั้นเหลื่อมเป็นขั้นคล้ายบันไดอัฒจันทร์ ตัวอาคารเป็นสีน้ำตาลค้ำยันด้วยเสาปูนสีขาวชั้นล่างเป็นโถงกว้างที่มีชุดโต๊ะและเก้าอี้ซึ่งทำจากไม้สีน้ำตาลวางเรียงรายอยู่เต็มพื้นที่

ท่าทางของเขาคงเงอะงะมากจนมีคนเดินเข้ามาทัก

“มีอะไรให้ช่วยไหมครับ”

เมื่อหันกลับไปมองตามเสียงนั้น ฮารุโตะก็ต้องผงะอย่างตกตะลึง บุคคลตรงหน้าแม้จะเป็นผู้ชายแต่ด้วยใบหน้าได้รูป ดวงตาเรียวยาว จมูกโด่งเป็นสันและปากบางเฉียบสีชมพูระเรื่อ เด็กหนุ่มจึงรู้สึกว่าอีกฝ่ายสวยกว่าผู้หญิงบางคนเสียอีก

ฮารุโตะจึงก้มหน้าลงด้วยความประหม่าเก้อเขิน อาการนี้เป็นนิสัยที่เขามักจะกระทำโดยไม่รู้ตัว ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก หน้าตาของฮารุโตะมักจะมอมแมมอยู่เสมอ ไม่ก็มีรอยช้ำรอยกระแทกหรือไม่ก็ผมเผ้าที่กระเดิดไม่เป็นทรงด้วยฝีมือของผู้เป็นบิดา เพราะไม่อยากถูกมองด้วยสายตาล้อเลียนเขาจึงมักก้มหน้าหลบสายตาผู้อื่นจนเป็นนิสัย

“ม…ไม่เป็นไรครับ”เพราะความประหม่าตะลึงจึงทำให้เขาเอ่ยปฏิเสธไปอย่างไม่ทันคิด กระนั้นอีกฝ่ายกลับใจดีเกินกว่าจะผละไปเสียดื้อๆ

“อยู่ปีหนึ่งหรือเปล่าครับ พี่เห็นเราดูงงกับหอสมุดของที่นี่ถึงได้เดินเข้ามาถาม ตอนที่พี่เขามาเรียนแรกๆก็งงเหมือนกันนะ ก็ห้องสมุดสมัยเรียนมัธยมไม่ใหญ่ขนาดนี้จริงไหม”

เพราะคำพูดชวนคุยของคู่สนทนา จึงทำให้ฮารุโตะพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย คล้อยตามจนลืมอาการประหม่าที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่

“น้องกำลังหาหนังสืออะไรอยู่หรือครับ”

“การเมืองการปกครองครับ”เด็กหนุ่มเอ่ยถึงประเภทของหนังสือที่จะนำไปอ้างอิงในการทำรายงานในวิชาบังคับเลือก

“อืม…อย่างนั้นตามพี่มาทางนี้นะ”หนุ่มรุ่นพี่เดินนำฮารุโตะไปยังมุมหนึ่งของโถงชั้นล่างที่มีคอมพิวเตอร์วางอยู่เรียงราย ก่อนจะแนะนำวิธีการใช้ระบบค้นหาทั้งยังพาขึ้นไปยังชั้นที่มีหนังสือเล่มที่ต้องการเก็บอยู่ สอนวิธีการดูรหัสตู้หนังสือจนกระทั่งหาหนังสือเล่มที่ต้องการพบ

“ขอบคุณมากนะครับ”ฮารุโตะกล่าวอย่างจริงใจ

“จะว่าไปปีหนึ่งก็จะมีเรียนวิชาเทคโนโลยีและสารสนเทศที่จะสอนวิธีการใช้ห้องสมุดเหมือนกันนะแต่ดูท่าว่าเราจะมาใช้งานเร็วไปหน่อยคงยังไม่ได้เรียนวิชานี้ใช่ไหม ตอนที่พี่อยู่ปีหนึ่งก็เหมือนกันล่ะ มาเดินสำรวจห้องสมุดตั้งแต่วันแรกๆเลย”

รุ่นพี่ปีสามที่แนะนำตัวว่าชื่ออาโอกิ นาโอโตะกล่าวด้วยรอยยิ้มจนฮารุโตะยังต้องยิ้มตาม คุยกันอีกครู่หนึ่งต่างคนจึงต่างแยกย้าย

เด็กหนุ่มกลับไปที่ห้องพักเพื่อเก็บหนังสือและทานอาหารเย็นก่อนจะออกไปทำงานพิเศษ ระหว่างนั้นจึงลองเปิดตารางเรียนดูอีกครั้ง จึงเห็นว่าชั่วโมงเรียนวิชาเทคโนโลยีและสารสนเทศที่นาโอโตะพูดถึงอยู่คาบบ่ายของวันศุกร์ ชั่วโมงเรียนมีแค่สองชั่วโมงหลังจากนั้นก็ว่าง ฮารุโตะรู้สึกว่าคนที่จัดเวลาเรียนช่างเป็นคนที่เข้าใจความรู้สึกของเด็กวัยรุ่นดีเหลือเกิน วันศุกร์ก่อนหยุดพักผ่อนก็มีแต่วิชาสบายๆไม่ต้องเคร่งเครียด


หลังจากหมดชั่วโมงเรียนในวันศุกร์ฮารุโตะจึงลองชวนเพื่อนร่วมกลุ่มรายงานทั้งสองไปช่วยหาหนังสือทำรายงานอีกครั้งเพราะไหนๆทั้งเขาและพวกเธอก็อยู่ที่หอสมุดอยู่แล้ว จากนั้นต่างคนต่างก็ได้หนังสืออ้างอิงสำหรับทำรายงานคนละเล่มสองเล่มเพื่อนๆร่วมชั้นปีคนอื่นๆก็ทำคล้ายกัน

“น่าจะพอแล้วล่ะ”จิเอะกล่าว “แล้วทำอย่างไรต่อดีล่ะ”

“ก็ต่างคนต่างอ่านและสรุปเนื้อหาที่ต้องใช้กันมา แล้วค่อยมาสรุปรวมกันอีกครั้งวันจันทร์นะดีไหม”มิสะเสนอความคิดเห็นเมื่อไม่มีใครคัดค้านจึงตกลงกันตามนี้ก่อนจะแยกย้ายกันไป

เสาร์อาทิตย์ฮารุโตะจึงใช้เวลาในการทบทวนหนังสือ อ่านหนังสือและทำสรุปคร่าวๆที่ใช้ในรายงานที่ห้องพักของตนในช่วงกลางวันและออกไปทำงานพิเศษตอนเย็นตามปกติ

ในความคิดแรกๆ ฮารุโตะอยากจะทำงานพิเศษช่วงวันเสาร์อาทิตย์เต็มวันเหมือนกันแต่เมื่อผ่านหนึ่งสัปดาห์ของการเรียนและการทำงานมาแล้วคิดว่าควรจะใช้เวลาในช่วงวันหยุดกับการทบทวนบทเรียนเสียดีกว่า การทำงานพิเศษในแต่ละวันกว่าจะถึงเวลาเลิกงานก็เที่ยงคืน แต่กว่าจะได้ออกจากที่ทำงานกว่าจะกลับถึงห้องพักและอาบน้ำนอนก็ราวๆตีหนึ่ง ตอนเช้าเขาต้องตื่นไปเรียนแต่เช้า เวลาในการทบทวนบทเรียนในแต่ละวันจึงค่อนข้างน้อย ฮารุโตะอยากจะรักษาระดับผลการเรียนเพื่อให้ได้ทุนทุกปีจึงต้องตั้งใจและพยายามมากกว่าปกติ

เช้าวันจันทร์ในสัปดาห์ใหม่ฮารุโตะจึงพร้อมเต็มที่สำหรับการเรียน เขาทำข้อสอบพรีเทสต์ได้คะแนนในระดับที่น่าพอใจ การทำการทดลองในวันนี้ก็เป็นไปอย่างราบรื่นและสามารถเขียนสรุปรายงานพร้อมส่งได้ตามเวลา ดังนั้นตอนเที่ยงหลังจากที่พวกเขาทานอาหารกลางวันกันเสร็จฮารุโตะจึงนำสรุปรายงานที่จะต้องส่งวันพุธออกมาวางบนโต๊ะ

“อุ๊ย!!! เห็นสรุปของมิอุระซังแล้วนึกขึ้นได้ เมื่อเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาอาคาริต้องไปทำธุระกับที่บ้านน่ะไม่มีเวลาได้อ่านหนังสือเลย ถ้าอย่างไรพรุ่งนี้จะรีบนำมาให้ดูนะ”

“ดีเหมือนกันที่เป็นพรุ่งนี้ ของจิเอะก็ยังไม่เสร็จเลย ยากมากอ่านไม่ค่อยเข้าใจเลยล่ะ”

เมื่อทั้งคู่บอกเช่นนั้นฮารุโตะจึงไม่รู้ว่าควรจะกล่าวต่อเช่นไร

“มิอุระซังทำเสร็จแล้วหรือขอดูหน่อยนะ”

ฮารุโตะผงกศีรษะรับก่อนจะส่งเอกสารในมือไปให้

“อืมดีเลย อย่างนั้นมิอุระซังเอาไปพิมพ์ไว้ก่อนนะ ไว้ของอาคาริกับจิเอะก็จะพิมพ์มาให้แล้วเอารวมเล่มกันวันพุธเนอะ”

“ให้เราพิมพ์? เราไม่มีคอมพิวเตอร์แถมยังพิมพ์ไม่เก่งด้วย”ฮารุโตะบอกเสียงเบา ถ้าให้เขาพิมพ์ทั้งหมดของเนื้อหาที่ทำมาจริงๆไม่รู้กี่วันกว่าที่เขาจะพิมพ์เสร็จ ถ้าเป็นอย่างนั้นสู้เขียนด้วยลายมือยังจะง่ายเสียกว่า

“ที่หอสมุดก็มีคอมให้ใช้ ไปใช้ที่นั่นก็ได้นี่นา มิอุระซังไปลองทำดูก่อนนะ”

เมื่อไร้หนทางปฏิเสธเด็กหนุ่มจึงต้องพยักหน้ารับอย่างจำยอม

ดังนั้นหลังจากหมดคาบเรียนตอนบ่ายฮารุโตะจึงไปเข้าใช้บริการห้องคอมพิวเตอร์ของหอสมุดแม้ว่าในสมัยเรียนมัธยมจะมีวิชาเรียนคอมพิวเตอร์อยู่บ้าง แต่เขาไม่ได้เก่งถึงขนาดจะใช้ได้คล่องแคล่ว นอกจากนี้เขาก็เป็นพวกที่ไม่ได้ฝักใฝ่ในเทคโนโลยีเสียเท่าใดนัก ด้วยเหตุนี้กว่าจะพิมพ์ได้แต่ละตัวเขาต้องงมหาตัวอักษรบนแป้นแล้วจิ้มทีละตัวทีละตัว จวนใกล้เวลาเข้าทำงานพิเศษฮารุโตะก็ยังคงพิมพ์ไม่ถึงหน้าด้วยซ้ำ

คืนนั้นฮารุโตะจึงต้องไปนั่งพิมพ์งานโต้รุ่งอยู่ในร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่หลังเวลาเลิกงานและพยายามอย่างต่อเนื่องอีกหนึ่งวันรายงานในส่วนของฮารุโตะก็เสร็จทันเช้าวันพุธพอดี

เด็กหนุ่มเดินเข้ามหาวิทยาลัยด้วยอาการสะลึมสะลืออ้าปากหาวนอนอยู่บ่อยครั้ง ใต้ขอบตาดำคล้ำและใบหน้าโทรมเซียวเพราะการอดนอนถึงสองคืน แต่อย่างไรงานที่ต้องส่งวันนี้ก็เสร็จ กระนั้นความเบาใจดังกล่าวคงอยู่ได้ไม่นานเนื่องจากรายงานในส่วนของเพื่อนอีกสองคนยังไม่ไปถึงไหน

“ไม่ต้องกังวลหรอกนะเดี๋ยวอาคาริกับจิเอะจะโดดเรียนคาบเช้าไปทำมาให้”อาคาริพูด ท่าทางของเธอดูไร้กังวลอย่างที่กล่าวแต่ฮารุโตะยังอดที่จะห่วงไม่ได้

พอเที่ยงตรงเด็กสาวทั้งสองก็กลับมาหาเขาอีกครั้งพร้อมแฟลชไดรฟ์ในมือ

“ฝากมิอุระซังรวมเล่มแล้วก็ปริ้นให้ด้วยนะ เดี๋ยวเราสองคนไปกินข้าวก่อน”มิสะกล่าวด้วยรอยยิ้มไร้กังวลเช่นเดิมจนฮารุโตะพอจะเบาใจขึ้นมาบ้าง

เด็กหนุ่มหยิบกระเป๋าขึ้นสะพายบนบ่าและเดินตรงไปยังหอสมุดเพื่อลงทะเบียนเข้าใช้บริการคอมพิวเตอร์หลังจากขลุกอยู่กับมันอยู่สองคืนเขารู้สึกว่าตัวเองเริ่มที่จะจิ้มดีดได้คล่องขึ้นกว่าเดิมมาก

ข้อมูลในแฟลชไดรฟ์ของมิสะมีเยอะจนเด็กหนุ่มตาลาย เขาไล่สายตาวนหาอยู่หลายรอบ จนแล้วจนเล่าก็ยังคงไม่เจอไฟล์ที่น่าจะเกี่ยวข้อง เวลาค่อยๆเดินผ่านไปเรื่อยๆ ฮารุโตะไม่มีโทรศัพท์มือถือ ตอนนี้นึกอยากจะโทรหาเพื่อนทั้งสองก็ไม่สามารถทำได้เพราะฉะนั้นจึงได้แต่ลองเปิดหาดูทีละไฟล์จนมาถึงไฟล์ที่ชื่อว่า ‘ปลาใหญ่’ จึงจะพบข้อมูลที่มิสะกับจิเอะทำไว้แต่ที่ทั้งสองคนทำไว้กลับมีเนื้อหาเพียงหน้าเดียวซ้ำยังเหมือนกับว่าลอกจากหนังสือมาทั้งดุ้นอีกด้วย

“ไง ทำอะไรอยู่หรือดูเคร่งเครียดจัง”นาโอโตะเอ่ยปากทักไปเช่นนั้นแม้ว่าในความเป็นจริงฮารุโตะกำลังทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ก็ตาม

“รุ่นพี่อาโอกิ”ฮารุโตะทักเสียงแผ่วก่อนจะหลุบตาลงอย่างเงื่องหงอย

“ไม่มีอะไรหรอกครับผมกำลังทำรายงานอยู่ พอดีผมไม่ค่อยเก่งคอมพิวเตอร์เลยค่อนข้างจะงงๆอยู่นิดหน่อย”

“มีอะไรให้พี่ช่วยไหมล่ะ พี่แนะนำได้นะ”

การที่อีกฝ่ายออกปากอาสาช่วยเหลือทำให้ฮารุโตะรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง กระนั้นเขาก็ออกปากปฏิเสธไป

“ไม่เป็นไรหรอกครับเหลืออีกนิดหน่อยมันก็จะเสร็จแล้ว ผมไม่รบกวนรุ่นพี่ดีกว่าครับ”

“เถอะน่าเดี๋ยวพี่ช่วย”นาโอโตะถือวิสาสะนั่งลงข้างๆเด็กหนุ่มรุ่นน้องอย่างไม่ยอมฟังคำปฏิเสธของอีกฝ่าย ขยับเบียดฝ่ายนั้นให้ตนสามารถเห็นบทความบนคอมพิวเตอร์ได้ถนัดแล้วจับเมาส์มาไว้ในมือ

นาโอโตะขมวดคิ้วเมื่ออ่านเนื้อหาจบ สกอร์ลเมาส์[2]ขึ้นลงก็เห็นว่าไฟล์นั้นมีอยู่หน้าเดียว

“มีหน้าเดียวหรือ”อดที่จะออกปากถามไม่ได้

“มีส่วนของผมอยู่ในแฟลชไดรฟ์”ฮารุโตะชูแฟลชไดรฟ์ในมือให้ดู นาโอโตะจึงรับมาเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์เปิดหน้าต่างแสดงข้อมูลในไดรฟ์ขึ้น พื้นที่ว่างโล่งบรรจุข้อมูลในรูปของเวิร์ดไฟล์อยู่ไฟล์เดียว หนุ่มรุ่นพี่จึงไม่ต้องหันไปถามรุ่นน้องผู้เป็นเจ้าของให้เสียเวลา เอกสารดังกล่าวประกอบด้วยข้อมูลเนื้อหาร่วมสามสิบหน้า

“ส่งวันไหนล่ะ”

“บ่ายนี้ครับ”

นาโอโตะหันไปมองหน้ารุ่นน้องปีหนึ่งแล้วส่งเสียงหัวเราะแปลกๆ เขาคงไม่ต้องพูดต้องบอกอะไรมากมายเพราะเมื่อมองหน้าอีกฝ่ายก็พออนุมานได้ว่าเด็กหนุ่มรุ่นน้องคงจะพยายามหน้าดู

“เอาอย่างนี้เดี๋ยวหาเพิ่มเติมจากอินเทอร์เน็ตแล้วกัน เร็วและง่ายดี”เขาว่าเช่นนั้นก่อนจะเปิดเว็บเบราว์เซอร์ซึ่งหน้าต่างที่แสดงขึ้นมาเป็นเว็บค้นหาชื่อดังก่อนจะอธิบายคร่าวๆถึงวิธีการค้นหาการดูและดึงข้อมูลมาใช้

นาโอโตะทั้งจัดหน้าทำรูปเล่มและสั่งพิมพ์ให้จนเสร็จเรียบร้อย ตอนที่รับเล่มรายงานมา ฮารุโตะจึงก้มศีรษะขอบคุณอีกฝ่ายหลายต่อหลายครั้ง นอกจากนี้ยังเหลือเวลาอีกร่วมสิบนาทีให้เขาได้ทานอาหารกลางวัน

หลังจากแยกย้ายกับรุ่นพี่ผู้แสนใจดี ฮารุโตะเดินออกประตูทางด้านหลังของหอสมุดซึ่งบริเวณนั้นมีม้านั่งยาววางอยู่ประปรายภายใต้เงาไม้เถาที่ถูกจัดแต่งให้เลื้อยคลุมคานไม้จนกลายเป็นชายคา บรรยากาศโดยรอบเงียบเชียบไร้ผู้คนกระนั้นเด็กหนุ่มกลับไม่ได้นึกเอะใจสิ่งใด เขานั่งลงบนม้านั่งตัวหนึ่งปลดเป้สะพายหลังเปิดกระเป๋าเพื่อหยิบข้าวกล่องสำหรับทานอาหารกลาง แต่พอเห็นเล่มรายงานที่นอนนิ่งอยู่ภายในก็ยกยิ้มขึ้นมา นึกคิดในหัวว่าต้องหาของไปตอบแทนรุ่นพี่ผู้แสนใจดีให้ได้

เพิ่งทานข้าวไปไม่กี่คำกลับมีมารมาผจญถึงที่ ฮารุโตะถูกตบศีรษะอย่างแรงจนเกือบหน้าคะมำ โชคดีที่บังเอิญว่าเขาถือกล่องข้าวไว้มั่น มันจึงยังคงสภาพเดิมอยู่ในมือ

“ไงกินข้าวทั้งทีไม่รู้จักเรียกเพื่อนฝูงเลยนะ”

ฮารุโตะหันไปมองเจ้าของคำพูดอย่างขุ่นเคือง พบว่าเป็นคู่อริที่เขาเคยนึกค่อนขอดในใจว่าชาติที่แล้วตนคงไปเหยียบตาปลาอีกฝ่ายไว้กระมังถึงได้ตามจองล้างจองผลาญเขาหนักหนา

คงเพราะมองอีกฝ่ายด้วยสายตาไม่พอใจจึงทำให้โดนตบศีรษะอีกครั้ง

“มองอย่างนี้หมายความว่าอย่างไรวะ!!! จะแข็งข้อหรือไง”ทั้งยังตบซ้ำๆจนฮารุโตะมโนภาพขึ้นมาว่าหัวสมองกำลังสั่น วินาทีนั้นเด็กหนุ่มจึงฮึดสู้ขึ้นมา เบี่ยงตัวหลบฝ่ามือใหญ่ของอีกฝ่ายและหันไปใช้มือข้างที่ว่างผลักร่างสูงใหญ่ของซากุราอิ ชุนก่อนจะหันมาหยิบกระเป๋าสะพายก้าวเท้าเพื่อวิ่งหนีส่วนมืออีกข้างยังถือข้าวกล่องไว้แน่น

อันที่จริงแรงผลักของฮารุโตะนั้นน้อยนิดเหมือนแรงมดในความคิดของชุน แต่ที่เขานิ่งไปเพราะอารามตกใจในการกระทำของอีกฝ่าย ใช่ว่าฮารุโตะจะไม่เคยต่อต้านหรือขัดขืนแต่ชุนคิดว่าตนอยู่เหนือกว่าเสมอ จึงไม่ค่อยใส่ใจกับการต่อต้านเล็กน้อยแบบนั้น ฉะนั้นเมื่อตั้งสติได้จึงยื่นแขนไปคว้าคอเสื้อของเด็กหนุ่มร่างเล็กได้ทันท่วงที แรงกระชากนั้นแทบจะทำให้ฮารุโตะหงายหลังติดตรงที่ว่าชุนสามารถล็อกคอของเขาไว้ได้ก่อน

“กล้าดีนักนะ”

ฝ่ามือแข็งแรงของชุนบีบคางของฮารุโตะไว้จนเจ็บร้าวก่อนจะถูกผลักอย่างแรงจนล้มคว่ำลงไปกับพื้น ยังไม่ทันที่จะได้ลุกยืนก็ถูกเหยียบซ้ำที่กลางหลังอีกรอบ เขารู้สึกราวกับถูกทับด้วยภูเขาทั้งลูกไม่ต้องพูดถึงการส่งเสียงร้องแม้แต่หายใจเด็กหนุ่มยังรู้สึกว่าทำได้ลำบาก ทว่า ผู้กระทำกลับยังไม่นึกปรานีกระชากศีรษะของเขาให้เชิดขึ้นมา

“เป็นแค่ไอ้อ่อนก็อย่าทำตัวซ่าให้มากนักไม่อย่างนั้นจะเจ็บหนักเข้าใจไหม”

เมื่อน้ำหนักบนหลังหายไปฮารุโตะจึงยันตัวลุกขึ้นนั่ง เขาไอเพราะสำลักอากาศ จะเรียกว่าชาชินคงไม่ผิดนักจึงไม่มีน้ำตาไหลออกมาแม้ร่างกายจุกเจ็บและมีแผลถลอกแต่ฮารุโตะได้แต่ทำใจยอมรับมัน เด็กหนุ่มใช้มือปัดฝุ่นบนเสื้อผ้าพยายามทำให้มันดูดีที่สุด กระนั้นยังดูมอมแมมแบบที่มองปราดครั้งเดียวก็รู้ว่าเขาไปมีเรื่องมา

ฮารุโตะเก็บกระเป๋าขึ้นมาสะพายเก็บกวาดเศษอาหารที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นอาหารกลางวันที่เขาตั้งตารอทุกวัน ซึ่งหกเรี่ยราดบนพื้นลงถังขยะไม่มีเวลาให้ถอดถอนใจมากนัก เขาเร่งก้าวเท้าเพื่อให้ทันคาบเรียนตอนบ่าย

ฮารุโตะเข้าเรียนสายนิดหน่อยเขากวาดสายตามองหามิสะและจิเอะ เห็นทั้งสองคนนั่งอยู่ค่อนไปแถวหลังห้องจึงเดินเข้าไปหาเห็นมีที่ว่างข้างๆ เพื่อนทั้งสองจึงตั้งใจจะเข้าไปนั่งแต่จิเอะกลับเอากระเป๋ามาวางขวางเสียก่อน

“ขอโทษทีนะพอดีเดี๋ยวมีคนมานั่งน่ะ”ฮารุโตะพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเจื่อนๆ

“เอ้อ…รายงานล่ะเอามาสิเดี๋ยวพวกเราเอาไปส่งให้เอง”

เด็กหนุ่มพยักหน้ารับก่อนจะเปิดกระเป๋าหยิบเล่มรายงานส่งให้แต่โดยดี เขาเดินถัดไปอีกแถวซึ่งยังคงมีที่ว่างแต่ก็โดนไล่อย่างเย็นชาว่าให้ไปนั่งที่อื่น ดังนั้นเขาจึงไปทรุดตัวลงนั่งยังที่ว่างซึ่งทั้งแถวยังไม่มีใครจับจองและนั่นยิ่งทำให้ฮารุโตะรู้สึกตัวว่าตนเองคงเป็นที่รังเกียจเพราะแม้จะมีคนที่เข้าสายกว่าเขา แต่ไม่มีใครสักคนที่เลือกที่นั่งบริเวณที่เขานั่งอยู่เลย

บางครั้งเขาก็เกิดคำถามตัวเขามีอะไรให้น่ารังเกียจนักหนาแค่วันนั้นเสื้อผ้าของเขาสกปรกเพราะโดนทำร้ายเท่านั้น ท่าทีรังเกียจที่มีต่อตัวเขาจะต้องยืนยาวขนาดนั้นเชียวหรือ

ฮารุโตะได้แต่ก้มหน้าก้มตาเดินเข้าชั้นเรียนเดินผ่านมิสะและจิเอะซึ่งที่ว่างข้างๆตัวของพวกเธอมักจะมีคนนั่งเสมอและเดินเลยไปยังที่นั่งซึ่งห่างจากเพื่อนนักศึกษาคนอื่น คงมีแค่วิชาของสาขากับวิชาของคณะเท่านั้นที่พื้นที่ห้องเรียนจำกัดลงจนต้องนั่งรวมกันฮารุโตะได้แต่พยายามทำใจยอมรับแม้จะรู้สึกอึดอัดกับสายตาของคนรอบข้างที่มองมา ฮารุโตะได้แต่ก้มหน้าตาเรียนและบอกตัวเองว่า ‘ไม่เป็นไร’

“ได้ยินเรื่องที่รุ่นพี่ศิลปศาสตร์ชนะรางวัลภาพถ่ายหรือยัง”

“หมายถึงรุ่นพี่นาคามูระ เรย์ใช่ไหม”

“อืมตอนนี้เขามีจัดแสดงที่นิทัศน์ศิลป์ด้วย หมดคาบเรียนตอนบ่ายแล้วไปดูกันไหม”

เสียงสนทนาค่อนข้างชัดเจนในระยะห่างจากที่ฮารุโตะนั่งอยู่ เรียกความสนใจทั้งหมดของเด็กหนุ่ม ที่จับกลุ่มคุยกันอยู่เป็นหญิงสาวราวสี่ถึงห้าคน

“แหมดูภาพหรือดูอย่างอื่น”

“หรือเธอไม่อยากดู”อีกเสียงย้อนทันควัน

“อยากสิจ๊ะ ดังเสียขนาดนั้น”

ฮารุโตะก็นึกสงสัยว่าภาพนั้นมีชื่อเสียงมากขนาดนั้นเชียวหรือ

“แต่จะมีโอกาสได้เจอหรือ”

“ไปมันทุกวันไม่เจอบ้างก็ให้มันรู้ไป”

แต่สำหรับฮารุโตะเขาสงสัยว่า ทำไมถึงจะไม่เจอในเมื่อพวกเธอบอกว่าภาพนั้นถูกจัดแสดงที่หอนิทัศน์ศิลป์

หอนิทัศน์ศิลป์เป็นชื่อย่อของอาคารจัดแสดงผลงานนักศึกษาของคณะศิลปศาสตร์ นอกจากจะเป็นอาคารแสดงผลงานยังเป็นอาคารเรียนและลานกิจกรรมในร่ม ด้วยลักษณะการออกแบบของอาคารที่ทำให้ชั้นสองและชั้นสามเป็นชั้นลอยล้อมรอบพื้นที่ชั้นหนึ่ง

และคงเพราะมีนิทรรศการจัดแสดงผลงานของนักศึกษาอยู่ นักศึกษาของคณะอื่นที่มาชมงานจึงค่อนข้างพลุกพล่าน

ฮารุโตะจับสายสะพายกระเป๋าแน่นด้วยความประหม่ารู้สึกเหมือนตนเองกำลังตกเป็นเป้าสายตาของคนรอบข้าง

“ขอโทษครับ ขอทางหน่อย”

เด็กหนุ่มสะดุ้งด้วยความตกใจลนลานก้าวเท้าหลบก้มหน้าจนคางชิดอก เหลือบตาขึ้นมองก็เห็นแค่แผ่นหลังที่เดินผ่านไปก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมา หลังจากกลั้นหายใจด้วยความตื่นกลัวอยู่นาน เขามองผู้คนซึ่งเดินขวักไขว่อยู่เบื้องหน้าอีกครั้งและหมุนตัวเดินกลับออกมา บางครั้ง… ฮารุโตะเริ่มคิดในใจถ้าเขามีเพื่อนมาด้วยสักคนเขาคงไม่รู้สึกว่าตนเองอยู่ผิดที่ผิดทางขนาดนี้

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-10-2017 13:33:23 โดย ตีสี่ »

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
春に雪が降っている。 Chapter 1 : 1/Feb/2017
«ตอบ #3 เมื่อ01-02-2017 22:19:09 »

แม้จะพยายามทำเป็นนิ่งเฉยแต่สีหน้าของฮารุโตะยังแสดงความหดหู่หม่นหมองออกมา จนวันหนึ่งผู้จัดการร้านเรียกเขาไปตักเตือนเรื่องสีหน้าตอนทำงาน แม้จะบอกว่าไม่ต้องถึงขนาดยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลาแต่ก็ไม่ควรทำหน้าอมทุกข์ถึงขนาดนั้น ฮารุโตะจึงได้ก้มหัวรับปากว่าจะปรับปรุง กระนั้นอีกสองสามวันต่อมากลับมีพนักงานใหม่เพิ่มขึ้น แม้ว่าพนักงานคนดังกล่าวจะถูกจัดเวรให้คาบเกี่ยวระหว่างห้าโมงถึงสี่ทุ่มก็ตาม

“ผมพิจารณาแล้วเห็นว่าช่วงตั้งแต่สี่โมงครึ่งถึงสี่ทุ่มค่อนข้างจะมีลูกค้าเยอะ จึงหาพนักงานมาเสริมอีกคน มิอุระซังในฐานะที่ทำงานมาก่อน ช่วยแนะนำและสอนงานโอตะซังด้วยล่ะ”

“ครับ”ฮารุโตะตอบรับมองหน้าโอตะ อาคิฟุมิที่ยิ้มแย้มให้แล้วจึงยิ้มบางๆตอบกลับแม้ในใจจะค่อนข้างกังวลก็ตาม เด็กหนุ่มรู้ตัวดีว่าเขาเข้ากับคนอื่นได้ไม่ดีมากนัก

“ผมเทรน[3]ครบห้าวันแล้วครับ มาเทรนช่วงกลางวัน”อาคิฟุมิตอบเมื่อเขาถามว่าผ่านการเทรนงานหรือยัง ตอนเขาเริ่มงานช่วงห้าวันแรกจะเป็นการฝึกปฏิบัติงานจริง ผู้จัดการจะประกบคู่สอนการคิดเงินค่าสินค้าอยู่หน้าเคาน์เตอร์เนื่องจากแต่ละคนจะมีรหัสผู้ใช้งานในการขายสินค้าของแต่ละคนและต้องรับผิดชอบเงินในเคาน์เตอร์กันเอง ขั้นตอนการทำงานนี้จึงต้องมีการฝึกปฏิบัติอย่างเข้มงวด

“ถ… ถ้าอย่างนั้นมีอะไรสงสัยก็ถามแล้วกันนะ”

“ครับ”

ฮารุโตะบอกเช่นนั้นก่อนจะหันไปประจำหน้าเคาน์เตอร์เมื่อมีลูกค้าเดินมาชำระเงิน

ช่วงเย็นที่เป็นกะทำงานของเขา ลูกค้ามักจะเยอะเสมออย่างที่ผู้จัดการว่า ช่วงแรกๆที่เขาทำงานมักจะมีลูกค้าต่อแถวยาวจนผู้จัดการต้องเปิดอีกเคาน์เตอร์เพื่อช่วยเขา ที่เขาเคยรับรู้มา ผู้จัดการจะสลับเวลาทำงานเพื่อตรวจสอบความประพฤติเวลาทำงานของพนักงานทุกคน เนื่องจากพนักงานแต่ละคนจะมีช่วงเวลาสะดวกในการทำงานที่ต่างกัน

รุ่นพี่ที่อยู่กะกลางวันเป็นผู้หญิงที่แต่งงานมีลูกแล้วแม้สามีจะเป็นเสาหลักที่ทำงานหาเลี้ยงครอบครัว แต่เธออยากจะช่วยหาเงินเพิ่มเติมจึงหางานที่ทำเฉพาะกลางวันช่วงที่ลูกไปโรงเรียนและเป็นงานที่ไม่มีโอทีอย่างแน่นอน ส่วนผู้ชายอีกคนที่ทำงานในกะต่อจากเขาก็เป็นนักศึกษาเหมือนกับเขา แต่เป็นพวกที่ไม่ชอบตื่นเช้าและตาสว่างตอนกลางคืนมีวิชาเรียนเฉพาะตอนบ่าย ฮารุโตะเคยได้คุยด้วยครั้งหนึ่งเป็นคนเฮฮาที่มีความเป็นตัวเองสูงมาก

หลังจากที่เขาเข้ามาทำงานผู้จัดการก็เข้างานช่วงเวลาเดียวกับเขาเป็นประจำ ฮารุโตะรู้ตัวว่าตนเองไม่เก่งเท่าคนอื่นทำอะไรก็ช้า เรื่องบางเรื่องเขาต้องทวนซ้ำหลายต่อหลายรอบกว่าจะจำหรือทำได้ เขาจึงได้แต่ทดแทนด้วยความพยายามที่มากกว่าคนอื่นแม้จะโดนตำหนิอยู่บ้างแต่เขาจะพยายามตั้งใจทำงานต่อไป

“รุ่นพี่ผมไปกดอะไรไม่รู้”อาคิฟุมิร้องเรียกเขาจากเคาน์เตอร์ข้างๆ ฮารุโตะจึงเงยหน้าจากของในมือที่กำลังคิดเงินและนำใส่ถุงให้ลูกค้า เขาหันไปมองและบอกให้อีกฝ่ายรอสักครู่ ก่อนจะหันมาเร่งคิดเงินค่าสินค้าของลูกค้า เสร็จแล้วจึงหันไปดูหน้าจอของอาคิฟุมิ เมื่อสอนวิธีแก้เรียบร้อยจึงกลับมาที่เคาน์เตอร์ของตนเอง แถวของลูกค้าเริ่มยาวขึ้น ระหว่างนั้น อาคิฟุมิยังร้องเรียกให้เขาไปช่วยเหลืออยู่เรื่อยๆ

“อ๊ะ รุ่นพี่ผมยิงบาร์ผิดไปแล้ว”

ฮารุโตะหันไปมองด้วยความร้อนรนเนื่องจากตนก็ยังติดลูกค้าอยู่ ปกติแล้วถ้าแสกนบาร์โค้ดผิดจะต้องเรียกผู้จัดการมาทำให้ซึ่งเด็กหนุ่มไม่แน่ใจว่าผู้จัดการยังอยู่ที่ร้านหรือไม่ ยังไม่ทันที่ฮารุโตะจะคิดทำสิ่งใดต่อไปผู้จัดการร้านก็เดินออกมาจากประตูที่เชื่อมกับด้านหลังร้านมาหยุดยืนข้างโอตะ อาคิฟุมิพร้อมกับลงมือจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

พอลูกค้าเริ่มซา ฮารุโตะจึงแว่วได้ยินคำดุของผู้จัดการร้านที่มีต่ออาคิฟุมิ นั่นทำให้เขาอดนึกถึงช่วงเวลาที่เขาโดนดุอยู่เป็นประจำไม่ได้

รู้สึกว่าวันนี้จะค่อนข้างวุ่นวายอยู่ไม่น้อยในความคิดของเด็กหนุ่ม และความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดทั้งวันก็ทำให้ฮารุโตะผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็วเมื่อหลังได้สัมผัสกับฟูกนอน

รุ่งเช้าวันต่อมาเป็นวันเสาร์ที่ถึงแม้จะเป็นวันหยุดแต่ฮารุโตะยังคงตื่นแต่เช้าเช่นทุกวัน อากาศเริ่มร้อนขึ้นจนเด็กหนุ่มไม่อาจทนอยู่ในห้องพักซึ่งอบอ้าวอย่างมากในช่วงกลางวันได้ เขาจึงย้ายตัวเองไปนั่งทบทวนบทเรียนอยู่ที่หอสมุดของมหาวิทยาลัยนอกจากอากาศจะเย็นสบายเพราะเครื่องปรับอากาศแล้ว ยังมีหนังสืออีกมากมายให้เขาเลือกอ่านยามที่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ฮารุโตะพักการอ่านหนังสือช่วงประมาณบ่ายโมงมาทานข้าวกล่องซึ่งตนเตรียมมาที่สวนหย่อมข้างหอสมุดเช่นเดิม แม้จะลังเลใจกลัวที่ต้องเจอซากุราอิ ชุนอยู่บ้าง แต่เมื่อเห็นว่ามีนักศึกษาคนอื่นนั่งอยู่ประปรายก็พอเบาใจทานอาหารเสร็จจึงรีบกลับไปตากเครื่องปรับอากาศเย็นๆในหอสมุดต่อ รู้ตัวอีกทีเสียงสัญญาณเตือนเวลาปิดหอสมุดก็ดังขึ้นมาเสียแล้ว

ฮารุโตะชะงักเท้าหลังจากที่ก้าวออกมาจากห้องสมุดไปไม่ไกลนัก เขานึกถึงงานนิทรรศการแสดงผลงานนักศึกษาที่อาคารนิทัศน์ศิลป์ แม้ไม่รู้ว่างานแสดงดังกล่าวสิ้นสุดไปหรือยัง แต่เขายังคงก้าวเท้าเปลี่ยนทิศมุ่งหน้าไปยังตึกอาคารในคณะศิลปศาสตร์

ป้ายประกาศหน้างานบอกเวลาปิดตึกตอนหกโมงครึ่งนับว่าเป็นโชคดีของเขา วันนี้เป็นวันเสาร์หอสมุดปิดตอนห้าโมง ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูจึงพบว่ายังพอมีเวลาอยู่นิดหน่อยก่อนถึงเวลาปิด ภายในตึกวันนี้ร้างผู้คน ฮารุโตะอมยิ้มกับตัวเองที่เหตุการณ์ทุกสิ่งราวกับเป็นใจ

เด็กหนุ่มเดินดูงานศิลปะซึ่งถูกจัดแสดงไว้อย่างเชื่องช้า พื้นที่ชั้นหนึ่งส่วนใหญ่จะเป็นภาพวาดที่มีทั้งวิวทิวทัศน์ทั่วไป ภาพคนหรือภาพที่ฮารุโตะรู้สึกว่าคนวาดน่าจะแค่สีมาป้ายไปป้ายมาซึ่งไม่ว่าเขาจะเอียงซ้ายเอียงขวามองอย่างไรก็ดูไม่ออกว่าเป็นภาพอะไร ชั้นสองค่อนข้างจะแสดงผลงานที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นงานปั้น ภาพวาดหรือภาพถ่ายเขารู้สึกค่อนข้างจะชื่นชอบภาพถ่ายเป็นพิเศษเพราะอย่างน้อยยังดูออกว่ามันคือภาพอะไร จนมาถึงภาพสุดท้ายที่เป็นภาพถ่ายซึ่งได้รับรางวัล ที่ข้างๆภาพนั้นมีป้ายบ่งบอกรายละเอียดงานประกวดภาพถ่ายและชื่อเจ้าของภาพไว้อย่างชัดเจน

“นาคามูระ เรย์”เขาพึมพำอ่านชื่อเจ้าของภาพหลังโดนมนต์สะกดของภาพตรึงสายตาไว้เนิ่นนาน

“ไอ้หนู”เสียงเรียกทำให้ฮารุโตะสะดุ้งหลุดจากภวังค์

“ตึกจะปิดแล้วนะ”

“อะ..ครับ ผมกำลังจะกลับแล้วครับ”ฮารุโตะหันไปมองภาพนั้นอีกครั้งก่อนหมุนตัวกลับ



วันอาทิตย์ฮารุโตะมาถึงอาคารนิทัศน์ศิลป์แต่เช้า แต่วันนี้กลับมีคนเดินเข้าออกตึกอย่างคึกคักซ้ำยังถือเฟรมภาพขาตั้งงานปั้นหรือของอื่นๆออกมาด้วย เห็นดังนั้นฮารุโตะจึงหันไปมองป้ายหน้างานอีกครั้ง งานแสดงจัดถึงเมื่อวาน มิน่าที่วันนี้คนพลุกพล่านคงเพราะต่างคนต่างมาเก็บของ

ฮารุโตะมองด้วยความเสียดายมาถึงตอนนี้เด็กหนุ่มนึกอยากได้โทรศัพท์มือถือขึ้นมาอีกครั้ง ครั้งก่อนตอนทำรายงานก็ด้วย เพราะไม่มีโทรศัพท์มือถือจะโทรหามิสะหรือจิเอะก็ไม่สามารถทำได้ มาถึงคราวนี้ถ้าเขามีโทรศัพท์ก็คงถ่ายภาพภาพนั้นไว้ในโทรศัพท์มือถือได้

“แล้วภาพของรุ่นพี่นาคามูระนี่เอาอย่างไรน่ะ”

“เดี๋ยวพี่เขามาเก็บไปเอง เห็นว่าถ่ายงานของชมรมอยู่ในสวน”

คำสนทนาดังกล่าวเรียกความสนใจของฮารุโตะได้เป็นอย่างดี เขายืนลังเลหันรีหันขวางอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะทำท่าไม่รู้ไม่ชี้เดินขึ้นไปบนตึก ภาพนั้นยังอยู่ที่เดิมบนชั้นสอง

กลีบดอกของซากุระราวกับกำลังเคลื่อนไหวร่วงหล่น รอยยิ้มของผู้คนในภาพก็ทำให้ฮารุโตะรู้สึกเหมือนว่าตนได้ยินเสียงหัวเราะขึ้นมาจริงๆ แสงเงาอันนุ่มนวลของภาพตรงหน้ายิ่งทำให้เขารู้สึกอบอุ่นและเย็นสบายของฤดูใบไม้ผลิ

“ขอโทษนะครับ แต่ผมคงต้องขอเก็บภาพนี้ไปแล้ว”

ฮารุโตะสะดุ้งด้วยความตกใจและทันทีที่เขาได้เห็นใบหน้าผู้เป็นเจ้าของคำพูดนั้นเขาก็ตกหลุมรักอีกฝ่ายเข้าอย่างจัง



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-10-2017 13:34:13 โดย ตีสี่ »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: 春に雪が降っている。 Chapter 1 : 1/Feb/2017
«ตอบ #4 เมื่อ02-02-2017 01:38:20 »

เอาใจช่วยฮารุโตะอย่างยิ่งเลยค่ะ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: 春に雪が降っている。 Chapter 1 : 1/Feb/2017
«ตอบ #5 เมื่อ02-02-2017 05:49:07 »

ชีวิตต้องสู้จริงๆ เกิดมาก็ไม่มีพ่อแม่
อยู่ในโรงเลี้ยงเด็กกำพร้า :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
ฮารุโตะ ต้องสู้ ต้องพยายามขนาดไหนกันนะ
ถึงจะเข้ากับสังคมได้
ถึงจะอยู่ร่วมกับเพื่อนที่เห็นแก่ตัว ชอบเอาเปรียบ
ถึงจะสู้กับพวกที่ชอบรังแก ทำร้ายคนอ่อนแอได้
ทั้งทีอีกฝ่ายไม่ได้ทำอะไรให้เลย
อยากเห็นฮารุโตะ มีการพัฒนา และชีวิตที่ดีขึ้น
แล้วก็อยากเห็นพวกอันธพาล ถูกลงโทษ  :z6: :z6: :z6:
พวกเห็นแก่ตัว เอาเปรียบเพื่อน
ถูกเอาเปรียบบ้าง จะได้ยุติธรรมกับฮารุโตะ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ praewp

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 203
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: 春に雪が降っている。 Chapter 1 : 1/Feb/2017
«ตอบ #6 เมื่อ02-02-2017 07:31:27 »

สนุกจังค่ะ เขียนลื่นมาก เอาใจช่วยน้องฮารุโตะอยู่นะ
 :กอด1:

ออฟไลน์ The Empress

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: 春に雪が降っている。 Chapter 1 : 1/Feb/2017
«ตอบ #7 เมื่อ02-02-2017 09:56:51 »

บรรยากาศเรื่อยๆ อ่านเพลินดีค่ะ ชอบนิยานสไตล์นี้ ติดตามนะคะ

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
春に雪が降っている。 Chapter 2 : 4/Feb/2017
«ตอบ #8 เมื่อ04-02-2017 16:35:28 »

Chapter 2


การหาข้อมูลส่วนตัวของนาคามูระ เรย์เป็นเรื่องง่ายมาก ฮารุโตะไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากถามเรื่องของรุ่นพี่ปีสามคณะศิลปศาสตร์กับใคร บทสนทนาที่เกี่ยวข้องกับเจ้าตัวก็ลอยเจ้าหูเขาอยู่เนืองๆ เพราะหลังจากที่อีกฝ่ายได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดภาพถ่ายมาแล้วความดังของชายหนุ่มจึงเพิ่มขึ้นเป็นอีกเท่าตัว

นาคามูระ เรย์เป็นผู้ชายคนแรกที่ทำให้ความกล้าในตัวของฮารุโตะเพิ่มขึ้นพรวดพราด แม้ยังไม่ถึงขนาดกล้าเดินเข้าไปสารภาพรักแต่อย่างน้อยเขาก็กล้าเดินเข้าไปขอสมัครเข้าชมรมทั้งที่เป็นช่วงปลายเทอมเช่นนี้

เด็กหนุ่มรู้สึกตกประหม่าขึ้นมาทันทีเมื่อเสียงพูดคุยภายในห้องกว้างของชมรมถ่ายภาพเงียบกริบ ทำให้เขายิ่งก้มหน้าลงต่ำ

“น้องบอกว่าไม่มีกล้อง แล้วจะเข้าชมรมถ่ายภาพมาเพื่ออะไรละครับ”เรย์เอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ตั้งแต่หลังจากข่าวที่เขาชนะเลิศงานประกวดภาพถ่ายแพร่ออกไปก็มีพวกเด็กปีหนึ่งมาสมัครเข้าชมรมมากขึ้น ทีแรกเขาก็คิดว่ามันเป็นเรื่องดีเพราะอย่างน้อยก็มีแรงงานมากขึ้น แต่หลายคนจงใจมาสมัครเข้าชมรมเพื่อที่จะมาจีบเขา การที่ต้องมาโดนใครก็ไม่รู้มาตามตื้อหรือก้อร่อก้อติดมากๆ มันทำให้เขาหงุดหงิดและเขาเพิ่งไล่ตะเพิดไปคนหนึ่งเมื่อไม่ถึงชั่วโมงที่ผ่านมา ชายหนุ่มจึงไม่มีความอดทนมากพอที่จะฟังคำตอบติดอ่างของรุ่นน้องคนไหนอีก

“ข… ขอโทษค…ครับ”ฮารุโตะอยากหมุนตัวกลับ ก้าวเดินออกจากห้องแต่ขาทั้งสองข้างแข็งเกร็งจนก้าวเท้าไม่ออก ความกล้าหาญในตอนที่ก้าวเท้าเข้ามาฟ่อฟีบและแตกสลายไปอย่างรวดเร็ว

“ถ้าไม่มีธุระอะไรแล้วละก็…”ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะพูดจบ มีเสียงหนึ่งจากประตูแทรกขึ้นมาเสียก่อน

“กลับมาแล้ว อะไรกันน่ะ”

“น้องเขามาสมัครเข้าชมรมนะ แต่เรย์มันกำลังเหวี่ยงได้ที่”เสียงใครคนหนึ่งในชมรมตะโกนตอบ

“ไม่ได้เหวี่ยงโว้ยแต่แม่งไม่รู้เรื่องกล้องจะสมัครเข้ามาทำห่าอะไร”

ฮารุโตะสะอึกกับคำพูดนั้น นั่นสินะเข้ามาอยู่ในชมรมแล้วจะทำอะไรได้

“ขอตัวนะครับ”ฮารุโตะพูดเสียงเบา โดนว่าขนาดนี้ต่อให้ก้าวขาไม่ออกแต่เขาคงไม่หน้าด้านยืนอยู่ต่อไปแล้ว

“ไหนช่วงก่อนรับแหลกแล้ว จู่ๆจะมาเลือกอะไรป่านนี้ ...อ่ะฮารุโตะหรือเปล่า”

เพราะโดนเรียกชื่อเขาจึงเงยหน้าขึ้นมอง

“รุ่นพี่อาโอกิ”

“อ่า ใช่จริงๆด้วยไม่เจอกันนานเลยนะ”

“ครับ” ฮารุโตะตอบรับสั้นๆ แม้จะมีคำถามที่อยากจะถามต่อแต่เมื่ออยู่ในสถานการณ์แบบนี้เขาได้แต่หุบปากเงียบเอาไว้

“ตกลงว่าคนนี้รับละกันนะ”นาโอโตะพูดง่ายๆ

“ไม่รับโว้ยท่าทางหงิมๆแบบนี้ ทำอะไรก็ไม่เป็นจะมาสมัครเข้าชมรมถ่ายภาพทำไม นอกจากมาอ่อยผู้ชาย”คำพูดของเรย์ทำให้สะดุ้งกันเป็นแถวๆ

“ไอ้เรย์ ไอ้บ้า ไอ้ปากหมา พูดจาน่าเกลียด อย่างฮารุโตะน่ะไม่ทำแบบนั้นหรอก เอาอย่างนี้ไหนนายลองบอกเหตุผลมาซิว่าทำไมถึงมาสมัครเข้าชมรม”หลังจากด่าเรย์จบ นาโอโตะก็หันมาถามหนุ่มรุ่นน้อง

เด็กหนุ่มตัวสั่นไม่กล้าบอกเหตุผลจริงๆ ทั้งห้องเงียบกริบรอฟังคำตอบของเขา  กระนั้นเมื่อเขาเหลือบสายตาขึ้นมองรุ่นพี่หนุ่มผู้แสนใจดีตรงหน้าอีกครั้ง คำพูดก็ไหลบ่าออกมาราวกับก็อกประปาแตก

“พอดีผมไปดูงานแสดงเมื่อหลายสัปดาห์ก่อนมานะครับ แล้วชอบภาพถ่ายมากเลยเลยสงสัยว่า ภาพถ่ายพวกนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร” ไม่ถึงกับโกหกทุกคำแต่ฮารุโตะก็บอกไม่หมดพอเห็นหน้ารุ่นพี่อาโอกิแล้วเขาไม่กล้าทำให้อีกฝ่ายผิดหวัง

“คำตอบสมกับเป็นเด็กวิทย์จริงๆ เห็นไหมเรย์ ฮารุจังน่ารักจะตาย”พลางยกมือขึ้นลูบศีรษะของรุ่นน้องตัวเล็กอย่างเอ็นดู

เรย์ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ถ้าถูกใจนาโอโตะขนาดนี้แล้วละก็ต่อให้ค้านไปอีกฝ่ายคงไม่ยอมง่ายๆ

“ตามใจ ดูแลกันเอาเองละกันนะ”

“แน่นอนอยู่แล้วเรย์ไม่ต้องมายุ่งหรอก”



รุ่นพี่อาโอกิเป็นคนดีจริงๆ ในหัวของฮารุโตะมีแต่คำนี้ผุดขึ้นมาตั้งแต่วันที่เขาไปสมัครเข้าชมรมถ่ายภาพ รุ่งอีกวันรุ่นพี่ก็มารับเขาถึงคณะ

“กลัวนายจะไม่กล้ามาเพราะคำพูดหมาๆของเรย์เมื่อวานนะซิ”

จริงอย่างที่รุ่นพี่ว่า  โดนว่าถึงขนาดนั้น เขาไม่กล้าไปเหยียบห้องชมรมอีกหรอก แม้ไม่ได้ตั้งใจจะไปอ่อยรุ่นพี่นาคามูระจริงๆแต่เป้าหมายของเขาไม่พ้นการได้เห็นหน้าหนุ่มรุ่นพี่ทุกวัน

“อย่าไปคิดมากเลย เรย์น่ะถึงจะปากร้ายแต่ปกติเป็นคนใจดีนะ”

“ครับ” ฮารุโตะตอบรับง่ายๆ “รุ่นพี่รู้จักกับรุ่นพี่นาคามูระมานานแล้วหรือครับ”ไม่รู้ด้วยสาเหตุใดกันแน่แต่เมื่อฮารุโตะอยู่ใกล้กับนาโอโตะ เขารู้สึกได้ว่าตนเองกล้าพูดกล้าคุยมากขึ้น คงเพราะรุ่นพี่เป็นคนดีนั่นล่ะความคิดนี้ผุดขึ้นมาในสมองอีกครั้ง

“ตั้งแต่จำความได้เลยละบ้านอยู่ข้างกันด้วย พ่อแม่ก็เป็นเพื่อนกัน”

“ดีจัง”ฮารุโตะพูดออกไปด้วยความรู้สึกอิจฉา ไม่ใช่แค่เรื่องที่บ้านของรุ่นพี่อาโอกิอยู่ข้างบ้านของรุ่นพี่นาคามูระเท่านั้นที่ทำให้เขาอิจฉาแต่การที่คนทั้งคู่สามารถเรียกอีกฝ่ายว่าเพื่อนสนิทได้อย่างเต็มปากนั่นต่างหากที่ทำให้เขารู้สึกอิจฉาอย่างที่สุดเพราะคนอย่างเขาแค่เพื่อนก็ยังไม่มีด้วยซ้ำ ฮารุโตะวนกลับไปคิดเรื่องมิสะกับจิเอะด้วยความรู้สึกหม่นหมอง จนป่านนี้สองคนนั้นก็ยังไม่ยอมคุยกับเขาดีๆเสียที

“ดีซะที่ไหนหมอนั่นอ่ะงี่เง่าที่สุด”หลังจากนั้นรุ่นพี่อาโอกิก็พล่ามวีรกรรมของรุ่นพี่นาคามูระให้ฟังไม่หยุด ถึงแม้คำพูดที่รุ่นพี่อาโอกิใช้ ฟังดูจิกกัดบุคคลในหัวขัอสนทนาอยู่บ้างแต่ไม่ว่าอย่างไรเขายังคงสัมผัสได้ถึงความผูกพันของคนทั้งสองในน้ำเสียงนั้น

ฮารุโตะไม่อยากโดนว่าเสียๆหายๆหรือโดนรุ่นพี่นาคามูระรังเกียจเขาจึงไม่ไปยุ่งวุ่นวายกับอีกฝ่ายมากนัก ขอแค่ได้แอบมองชายหนุ่มร่างสูงตามที่ตั้งใจไว้ก็พอ

“เราจะแบ่งเวรรับงานกันคร่าวๆประมาณนี้” โชคดีที่เขารู้จักกับรุ่นพี่อาโอกิมาก่อนไม่อย่างนั้นการเข้าชมรมตอนปลายเทอมคงทำให้เขากลายเป็นหมาหัวเน่า

“ตอนนี้ฮารุจังก็ช่วยงานเล็กๆน้อยๆไปก่อนนะ ถึงอย่างไรก็ต้องฝึกอะไรอีกหลายอย่างและเทอมหน้าจะมีแบ่งเวรกันใหม่อีกทีหรือว่าอยากฝึกถ่ายภาพด้วยละ”

“ได้ด้วยหรือครับผมยังไม่มีกล้องเป็นของตัวเองด้วย”

“ได้ดิเรื่องกล้องไว้เดี๋ยวยืมของคนอื่นก็ได้”

อาจจะมีคนให้ยืมก็จริงแต่ฮารุโตะคิดว่าคงไม่มีใครให้ยืมอย่างเต็มใจนักหรอก กล้องตัวหนึ่งไม่ใช่แค่สองสามหมื่นเยนกระมัง

“กล้องถ่ายภาพที่พวกรุ่นพี่ใช้อยู่นะราคาตัวละเท่าไหร่หรือครับ”

“ก็แล้วแต่รุ่นละนะสำหรับมือใหม่อ่ะสี่ถึงห้าหมื่นเยนซื้อได้แล้ว”นาโอโตะตอบพร้อมรอยยิ้มไม่อยากให้รุ่นน้องกังวลเรื่องราคาอุปกรณ์จนเกินไปนัก

“กล้องที่รุ่นพี่นาคามูระใช้อยู่ราคาเท่าไหร่หรือครับ”ฮารุโตะชี้นิ้วไปทางรุ่นพี่ร่างสูงซึ่งกำลังจ่อกล้องกับกล่องอาหารเสริมเห็นว่าจะต้องถ่ายไปทำป้ายโฆษณา

“เอ่อ… รุ่นนั้นค่อนข้างแพงนิดนึง Canon EOS 1D รู้สึกว่าเพิ่งจะได้มาใหม่น่ะ”นาโอโตะพยายามเลี่ยงไม่อยากบอกราคา ขนาดตัวเขาที่คลุกคลีอยู่ในชมรมมานานยังรู้สึกเลยว่าราคามันสูงไปสักหน่อย

“แล้ว… ราคาเท่าไหร่หรือครับ”

“ประมาณสี่แสนเยน”

ฮารุโตะคิดอยู่แล้วละว่าเขาคงไม่มีปัญญาซื้อของพวกนี้

“แล้วที่รุ่นพี่โมริถืออยู่ละครับ”คราวนี้เขาชี้ไปยังเอคิจิที่กำลังถ่ายภาพหน้าตรงให้รุ่นพี่คนหนึ่งที่จะนำรูปภาพไปสมัครงานดูบ้าง

“เอ่อ… รุ่นนั้นประมาณสองแสนเยน”

“แพงจัง”ฮารุโตะโคลงศีรษะพลางบ่นพึมพำแล้วพูดกับนาโอโตะที่นั่งอยู่ตรงหน้าว่า “ผมคงไม่หัดถ่ายภาพหรอกครับ จะให้ยืมของพวกรุ่นพี่ก็เกรงใจ เอาไว้ถ้าผมเก็บเงินจนสามารถซื้อกล้องได้ค่อยว่ากันอีกทีดีกว่า”หรือต่อให้เก็บเงินได้จริงๆฮารุโตะก็ตัดใจซื้อของพวกนี้ไม่ลง

“เรื่องนั้นไม่ต้องคิดมากหรอก”นาโอโตะวางมือบนศีรษะของฮารุโตะและกล่าวปลอบใจ ฮารุโตะจึงยกยิ้มให้ในทำนองว่าเขาเองก็ไม่ได้คิดอะไรมาก

“รุ่นพี่เดี๋ยวผมต้องไปทำงานพิเศษแล้วครับ”ฮารุโตะบอกเมื่อเห็นนาฬิกาบอกเวลาห้าโมงครึ่งเขากล่าวลารุ่นพี่ที่อยู่ในชมรมก่อนเดินออกมา


เช้าวันจันทร์เวียนมาถึงอีกครั้งและเมื่อตั้งใจนับเวลาดูแล้วเหลือเวลาเรียนอีกเพียงแค่สองสัปดาห์การสอบปลายภาคก็จะมาถึง ฮารุโตะจึงเริ่มวางแผนถึงตารางการอ่านหนังสือสอบสำหรับปลายภาคไว้ในหัว อาจเป็นเพราะเขามัวแต่ใจลอยกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เดินชนร่างถมึงทึงที่ยืนขวางทางอยู่ตรงหน้าเสียแล้ว

“ไง”

ฮารุโตะลอบถอนหายใจก่อนจะหยิบข้าวกล่องออกจากกระเป๋าส่งให้ เขาไม่อยากมีเรื่อง ไม่อยากเจ็บตัวและต่อให้พยายามสู้เขาก็สู้อีกฝ่ายไม่ได้

“แสนรู้ดีนี่”ซากุราอิชุนรับข้าวกล่องไปถือเปิดฝากล่องพบว่าอาหารข้างในจัดไว้อย่างน่าทานก่อนจะคว่ำลงบนศีรษะของคนตรงหน้า เขายกยิ้มอย่างถูกใจที่อีกฝ่ายเอาแต่หลับตาหนีไม่กล้าสู้

“แต่พอดีฉันไม่อยากได้แล้วว่ะ ไอ้ตูบที่ฉันเอาข้าวของแกไปเลี้ยงมันยังเมินหนี ท่าทางกับข้าวของแกคงห่วยน่าดูเอากระเป๋าเงินมาดิ”

ฮารุโตะได้แต่ก้มหน้าก้มตาและหยิบกระเป๋าให้คนตรงหน้า ถึงจะเริ่มเบื่อรูปแบบการกระทำปัญญาอ่อนที่อีกฝ่ายใช้กลั่นแกล้งเขา ฮารุโตะก็ได้แต่กัดฟันทนและแม้จะมีนักศึกษาคนอื่นอยู่บ้างแต่ก็ไม่มีใครสักคนที่คิดเข้ามาช่วยเหลือ

“อะไรว่ะกระเป๋าไม่มีเงินสักเยนพกมาทำไมว่ะเนี่ย” คนพูดกล่าวด้วยน้ำเสียงติดโมโหก่อนจะปากระเป๋าหนังเทียมมาโดนหน้าเขาอย่างจัง

มือใหญ่วางลงบนกล่องข้าวที่ยังคว่ำอยู่บนศีรษะของเขาและออกแรงกดขยี้ให้ซากอาหารเละมาขึ้นกว่าเดิม

“พอดีว่าวันนี้ฉันอารมณ์ดีดังนั้นจะปล่อยแกไปสักวันแล้วกัน”

ฮารุโตะยกมือขึ้นหยิบกล่องข้าวออกจากศีรษะ กวาดเอาเศษอาหารลงใส่กล่องแล้วนำเศษอาหารไปทิ้งลงถังขยะจากนั้นจึงเดินเข้าห้องน้ำล้างเศษอาหารบางส่วนที่ยังคงติดเส้นผมอยู่ออก เพราะอยากจะประหยัดเงินค่าตัดผม ตอนนี้ผมของฮารุโตะจึงยาวระบ่าเมื่อโดนน้ำจึงเปียกชุ่มเขาไม่เคยคิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น จึงไม่เคยติดผ้าขนหนูหรือเสื้ออีกตัวใส่กระเป๋ามาด้วย หันรีหันขวางอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดีก่อนจะหันไปเห็นเครื่องเป่ามือ ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงพยายามบีบน้ำในผมให้หมาดที่สุดและเดินไปใช้เครื่องเป่ามือเป่าผมของตนต่อ

เมื่อเวลาเริ่มเรียนใกล้เข้ามาเขาจำเป็นต้องผละออกมาแค่นั้น แม้เส้นผมจะไม่ได้แห้งสนิทแต่ก็ไม่มีหยดน้ำหยดลงเสื้อให้น่ารำคาญ

“มิอุระซังตื่นสายหรือ”มิสะถามขึ้นทันทีที่เขาทรุดตัวลงนั่งกับเก้าอี้

“เปล่าหรอก”ฮารุโตะส่ายศีรษะพลางยกยิ้มให้

“ผมก็ยังเปียกอยู่เลยสระผมตอนเช้าหรือ ถึงจะไม่ใช่หน้าหนาวก็ควรจะเช็ดให้แห้งนะเดี๋ยวจะเป็นหวัดไปเสียก่อน”

คำพูดในเชิงเป็นห่วงของมิสะทำให้เขารู้สึกดีใจและคาดหวัง บางทีเธออาจจะหายโกรธเคืองเขาแล้วก็เป็นได้ แม้ว่าเขาจะไม่เคยรู้สาเหตุที่เธอแสดงออกว่าไม่ชอบใจเขาก็ตาม

“ขอบคุณนะ”

“ขอบคุณอะไรอาคาริยังไม่ได้ทำอะไรเลย”

“ที่เป็นห่วง”

“เรื่องแค่นี้เองพวกเราเป็นเพื่อนกันนะ”

ฮารุโตะยกยิ้มอย่างดีใจ  คำว่า ‘เราเป็นเพื่อนกัน’ของมิสะก้องไปทั้งหัวใจของเขา

“มิอุระซังถ้าไม่ว่าอะไรอาคาริกับจิเอะจังมีเรื่องอยากจะให้ช่วยได้ไหม”

“ได้สิ”ฮารุโตะพยักหน้ารับอย่างยินดี

“คะแนนสอบขอบเราสองคนไม่ค่อยดีเลย อย่างกลางภาคที่ผ่านมาก็ผ่านมีนมาอย่างล่อแล่ ถ้าอย่างไรวิชาไหนมีเทสย่อยเราสองคนจะขอลอกได้ไหม”

เมื่อได้ยินคำขอร้อแบบนั้นเด็กหนุ่มจึงรู้สึกลังเล เขาไม่เคยให้ใครลอกข้อสอบและไม่เคยลอกข้อสอบจากใคร เท่าที่ฮารุโตะรู้กรณีแบบนี้ถ้าโดนจับได้มักจะโดนตัดสิทธิ์ทันที

“นะถือว่าช่วยกัน”

“แต่…” ยังไม่ทันที่จะได้กล่าวอะไรต่ออาจารย์ประจำวิชาก็เข้ามาพร้อมกับข้อสอบพรีเทสต์ที่ถูกแจกจ่ายไปยังนักศึกษาแต่ละคน

ฮารุโตะเขียนชื่อของตนเองบนหัวกระดาษด้วยใจตุ๋มๆต๋อมๆ ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะทำอย่างไรดี อาคาริมิสะก็สะกิดให้เขาบอกคำตอบแก่เธอบ้าง ให้สารภาพตามตรงตอนนี้สมาธิของเขากระเจิงไปหมดจนอ่านข้อสอบไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ

“นักศึกษาให้ก้มหน้าทำข้อสอบไม่ใช่ชะโงกมองเพื่อนนะคะ”

เสียงของอาจารย์ผู้ช่วยดังขึ้นทำให้ฮารุโตะสะดุ้งเฮือก เขาก้มหน้าจดจ่อกับข้อสอบตามคำสั่ง ต้องอ่านทวนโจทย์คำถามอยู่หลายครัังกว่าจะเข้าใจและนึกคำตอบออก เวลาทำข้อสอบพรีเทสต์มีแค่ห้านาทีแต่ฮารุโตะไม่เคยเขียนคำตอบได้ทันเวลาเลยสักครั้งซึ่งครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะแย่กว่าครั้งอื่นๆ

“มิอุระซังก็บอกแล้วว่าขอลอกคำตอบบ้างทำไมถึงไม่ส่งมาให้ดู”มิสะต่อว่าทันทีที่ได้รวมกลุ่มทำการทดลอง

“ม…”ฮารุโตะลังเลไม่รู้ว่าควรจะพูดเช่นใดจึงจะเป็นผลดี

“เอาเถอะน่าอาคาริผ่านไปแล้วก็เอาไว้ก่อนตอนนี้ทำแล็บก่อนดีกว่าตอนสรุปผลมิอุระซังช่วยพวกเราเขียนด้วยนะ”

วิชานี้แม้จะรวมกลุ่มร่วมกันทำการทดลองแต่เวลาเขียนรายงานต่างคนต่างต้องเขียนของตัวเองและนำส่งที่ห้องพักอาจารย์ในวันรุ่งขึ้น สำหรับกลุ่มอื่นฮารุโตะไม่รู้ว่าทำอย่างไรกันบ้าง แต่กลุ่มของพวกเขาจะสรุปผลกันคร่าวๆเพื่อจะได้พักกลางวันนานขึ้น นอกจากนี้ในกลุ่มก็มีแต่เขาคนเดียวที่เมื่อทำการทดลองจะต้องจดรายละเอียดตามไปด้วย

“อืมได้ ส่วนเรื่องคะแนนสอบผมว่าพวกเรามาเริ่มทบทวนหนังสือเตรียมสอบแต่เนิ่นๆผลคะแนนก็ไม่น่าจะมีปัญหา”

“จิเอะไม่ว่างน่ะ”

“อาคาริก็ไม่ค่อยว่างเหมือนกัน”ทั้งสองคนตอบปฏิเสธทันควันเมื่อเจอคำตอบเช่นนี้เด็กหนุ่มจึงได้แต่เงียบไม่กล้าเซ้าซี้ ส่วนเรื่องประเด็นลอกข้อสอบ เขาตั้งใจจะเงียบไว้ไม่รื้อฟื้นขึ้นมาอีกโดยหวังว่าทั้งสองคนจะลืมเช่นเดียวกัน

หมดเวลาคาบเรียนช่วงเช้า มิสะกับจิเอะรีบเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้เขาเก็บอุปกรณ์การทดลองของวันนี้อยู่คนเดียว ฮารุโตะหยิบกระเป๋าขึ้นสะพายเดินออกจากห้องเรียนปฏิบัติการมุ่งหน้ากลับหอพัก โดยปกติเขาใช้เวลาเดินจะหอพักมามหาวิทยาลัยประมาณสิบห้านาทีฉะนั้นเวลาโดยรวมไปกลับเท่ากับสามสิบนาทีมีเวลาอีกเหลือเฟือในการทานข้าวกลางวันที่ห้อง วันนี้เขามีข้าวปั้นอยู่ในตู้เย็นมันจึงยิ่งไม่มีปัญหากับเวลาเรียนคาบบ่าย ฮารุโตะหงุดหงิดไม่น้อยกับการกระทำของชุน มันทั้งน่าเบื่อและน่ารำคาญแต่เขาไม่กล้าต่อต้านให้เจ็บตัวเพิ่มขึ้น เขาเสียดายเงินที่ถูกรีดไถเอาไปจึงตัดใจไม่พกเงินติดตัวอีก ในกระเป๋าของเขาจึงมีแค่บัตรประจำตัวเท่านั้น ส่วนข้าวกล่องเนื่องจากบางวันเป็นของฟรีที่เขาได้รับมา ซึ่งเป็นของเหลือจากการขายในร้านสะดวกซื้อที่เขาทำงานอยู่ เขาจึงไม่นึกเสียดาย หากต้องทำบุญทำทานให้หมามันกินตามที่อีกฝ่ายกล่าวอ้างแต่ถึงขนาดที่ถูกละเลงเละบนศีรษะแบบนี้สู้ไม่เอามาเสียดีกว่า ฮารุโตะจึงตัดสินใจที่จะเดินกลับไปทานข้าวกลางวันที่ห้องพักทุกวันเสียแทน
หมดคาบเรียนช่วงบ่ายเด็กหนุ่มมุ่งตรงไปยังห้องชมรมถ่ายภาพซึ่งอยู่บนชั้นสามของอาคารในคณะศิลปศาสตร์ เมื่อเปิดประตูเข้าไปเขาพบรุ่นพี่ชิมิซึ ซากินั่งอยู่บนโซฟาอยู่แล้วจึงเอ่ยทักทายตามมารยาทซึ่งอีกฝ่ายไม่แม้จะเหลือบแลสายตามองเขาด้วยซ้ำ เขาจึงเลี่ยงพาตัวเองไปนั่งที่โต๊ะยาวริมหน้าต่างแทน เขาหยิบกระดาษเขียนรายงานการทดลองขึ้นมาทำไปพลางๆขณะรอสมาชิกของชมรมคนอื่นๆ

ฮารุโตะไม่เคยคุยกับรุ่นพี่ชิมิซึ หนุ่มรุ่นพี่เงียบขรึมน่ากลัวจนเขาไม่กล้าเข้าใกล้ คนในชมรมที่เขากล้าพูดคุยอย่างสนิทด้วยมีแค่รุ่นพี่อาโอกิ รุ่นพี่โมริ เอคิจิที่นับว่าเขาบังเอิญพาตัวเองมาเข้าถูกชมรมพอดีและรุ่นพี่ฮายาชิ เรียวตะผู้ซึ่งอัธยาศัยดีไม่ต่างไปจากรุ่นพี่อาโอกิและรุ่นพี่โมริ

เขาเพิ่งเขียนรายงานจบไปสองหน้ารุ่นพี่นาคามูระผู้เป็นประธานชมรมก็เดินเข้ามาในห้อง สมาชิกชมรมทุกคนจึงไปรวมตัวกันยังพื้นที่ว่างฝั่งหนึ่งซึ่งถูกจัดให้เป็นโฮมสตูดิโอที่มีพร้อมทั้งฉากถ่ายภาพและชุดไฟ กะโดยรวมด้วยสายตาแล้วสมาชิกของชมรมน่าจะมีถึงสามสิบคน ตั้งแต่ปีหนึ่งถึงปีสี่แต่การที่รุ่นพี่นาคามูระได้เป็นประธานชมรมเพราะเจ้าตัวเป็นคนตั้งชมรมนี้ขึ้นมาตั้งแต่ตอนอยู่ปีหนึ่ง เริ่มแรกมันเป็นแค่แหล่งรวมตัวของพวกบ้ากล้องเท่านั้น อันประกอบด้วยรุ่นพี่นาคามูระ รุ่นพี่โมริ รุ่นพี่ฮายาชิ และรุ่นพี่ชิมิซึส่วนการที่รุ่นพี่อาโอกิต้องมาสิงสถิตย์อยู่ในชมรมนี้ด้วยเพราะคำว่าเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กนั่นล่ะ

“เอาล่ะหัวข้อประชุมวันนี้จะพูดถึงวันหยุดหน้าร้อนที่กำลังจะมาถึง”

ตามที่ได้ยินมาจากรุ่นพี่อาโอกิ พอชมรมขยายใหญ่ขึ้น พวกรุ่นพี่จึงคิดกิจกรรมหารายได้ขึ้นมาเนื่องจากสมาชิกบางคนไม่ได้ร่ำรวยขนาดซื้ออุปกรณ์กล้องราคาแพงได้ กิจกรรมที่ว่ามีตั้งแต่การรับถ่ายภาพนอกสถานที่ ถ่ายรูปติดบัตร ถ่ายภาพคอสเพลย์รวมไปถึงส่งภาพถ่ายประกวดอย่างเช่นรายการที่รุ่นพี่นาคามูระได้รางวัลมา รายได้ที่ได้รับจะถูกแบ่งเข้าส่วนกลางและแบ่งเปอร์เซ็นต์ให้ช่างภาพแต่ละคน ยกเว้นเงินรางวัลจากการประกวดที่เจ้าของภาพจะได้รับไปเต็มๆแต่เพียงผู้เดียว และเงินส่วนหนึ่งจะแบ่งเป็นค่าใช้จ่ายของกิจกรรมท่องเที่ยวเช่นนี้ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นแค่ทริปสั้นๆเพราะจำนวนคนค่อนข้างเยอะ

“เราไปกันเช้าวันเสาร์กลับเย็นวันอาทิตย์เหมือนเดิม ครั้งนี้เราจะไปทะเลกัน”

เสียงเฮดังลั่นเมื่อรุ่นพี่นาคามูระพูดจบ ประชากรช่างภาพในชมรมส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย มีผู้หญิงเป็นส่วนน้อย รุ่นพี่อาโอกิเคยบอกว่าก่อนหน้านี้มีผู้หญิงมาสมัครเยอะพอสมควรแต่สองสามอาทิตย์ต่อมาก็หายไปหมด รุ่นพี่ยังบอกว่าคงทนความปากหมาของรุ่นพี่นาคามูระไม่ได้

รุ่นพี่อธิบายรายละเอียดของทริปอีกเล็กก่อนจะปล่อยให้แยกย้ายกันไป ถึงกระนั้นบางคนก็ยังคงนั่งเล่นนั่งคุยอยู่ภายในห้อง เด็กหนุ่มมองนาโอโตะที่เดินเข้ามาหาเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะยกมือขึ้นลูบศีรษะ เขาก็เบี่ยงตัวหลบโดยอัตโนมัติ

“วันนี้ผมไม่ได้สระผมมานะครับ”

“หือ”นาโอโตะลากเสียงยาวอย่างใช้ความคิด “งั้นไปสระผมกันแล้วพี่จะตัดผมให้นายด้วย”เขาจับข้อมือฮารุโตะดึงให้อีกฝ่ายลุกขึ้น

“อย่าเลยครับรบกวนรุ่นพี่เปล่าๆและอีกเดี๋ยวผมก็ต้องไปทำงานพิเศษแล้วด้วย”ถึงจะพยายามขืนตัวไว้ก็ใช่ว่าจะสู้แรงของหนุ่มรุ่นพี่ได้สุดท้ายเขาก็ถูกพามายังห้องน้ำที่อยู่สุดทางเดินเขาถูกปล่อยให้ยืนเคว้งคว้างอยู่ครู่หนึ่ง รุ่นพี่อาโอกิก็กลับมาพร้อมอุปกรณ์มากมายในมือทั้งเก้าอี้พับ สายยางฝักบัว พออีกฝ่ายประกอบเครื่องมือเสร็จมันก็กลายเป็นชุดเก้าอี้สระผมฉบับย่อให้เขาอัศจรรย์ใจ

“นั่งลงเถอะนายไม่ใช่คนแรกที่พี่สระผมให้เสียหน่อยไม่ต้องคิดมากหรอกน่า”

ฮารุโตะจึงต้องยอมนั่งลงแต่โดยดี นาโอโตะใช้ผ้ายางกันน้ำรองหลังและพันคอหนุ่มรุ่นน้องไว้และหันมาเปิดฝักบัวราดน้ำบนเส้นผมสีดำสนิท

“ไม่อยากจะคุยหรอกนะฮารุจัง ทุกหัวของพวกในชมรมอ่ะผ่านมือพี่มาหมดแล้วโดยเฉพาะเรย์อ่านะ ไม่เคยต้องเสียเงินให้กับร้านตัดผมหรอกพี่เป็นคนตัดให้ตลอด”

นาโอโตะพูดให้อีกคนมั่นใจโดยละช่วงฝึกฝีมือไปซะเพราะถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็เป็นเบอร์หนึ่งของชมรมในด้านแต่งหน้าทำผมอยู่แล้ว

“ผมไม่ได้กังวลเรื่องนั้นหรอกครับ แค่เกรงใจไม่อยากให้รุ่นพี่ต้องลำบาก”

“ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งไม่ต้องคิดมาก”
นาโอโตะบอกเช่นนั้นก่อนจะชวนคุยเรื่องทริปทะเลที่กำลังจะมาถึง

“ไปด้วยใช่ไหม”

“ไปครับผมยังไม่เคยไปทะเลเลย ว่าแต่ไม่ต้องจ่ายค่าอะไรเพิ่มจริงๆหรือ”

“อืมแต่อย่าคาดหวังเรื่องความหรูหราของที่พักนะ ส่วนใหญ่ก็ต้องนอนรวมกันเหมือนเข้าค่ายชมรมสมัยมอปลายนั่นล่ะ อาหารก็ต้องทำกินกันเองกิจกรรมหลักเป็นการถ่ายภาพคุยกันเรื่องถ่ายภาพ ส่วนพวกเราที่ไม่คลั่งไคล้การถ่ายภาพก็ถือว่าไปเที่ยวพักผ่อน”

“น่าสนุกจัง”

“อืมใช่น่าสนุกมาก” นาโอโตะตอบรับคำพูดของรุ่นน้องเมื่อคิดอะไรดีๆออก

“เสร็จแล้วลุกขึ้นได้ไปนั่งรอในห้องก่อนนะ”นาโอโตะพูดก่อนจะหันไปเก็บของ

ฮารุโตะพาตัวเองกลับเข้ามาในห้องชมรมที่ตอนนี้มีสมาชิกเหลืออยู่ไม่กี่คน  รุ่นพี่นาคามูระยังนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ตรงชุดโซฟาก็ยังคงมีกลุ่มรุ่นพี่ปีสามกับปีสี่นั่งคุยกัน ฮารุโตะเดินไปนั่งยังเก้าอี้หน้ากระจกแค่เพียงครู่เดียวรุ่นพี่อาโอกิก็ตามมา
นาโอโตะดึงผ้าพันศีรษะของรุ่นน้องออก ฮารุโตะมองภาพที่สะท้อนบนกระจกด้วยความแปลกใจไม่น้อยแต่เพราะท่าทางจับกรรไกรอันคล่องแคล่วของอีกฝ่าย ความสนใจของเด็กหนุ่มจึงไปอยู่ที่รุ่นพี่ปีสามทันที

“รุ่นพี่เก่งจัง”ฮารุโตะร้องออกมาด้วยความชื่นชม

“แหมๆไม่ถึงขนาดนั้นหรอก”มาโดนชมต่อหน้าด้วยดวงตาเป็นประกายแบบนี้เขาก็เขินเหมือนกันนะ

นาโอโตะใช้เวลาไม่นานผมที่เคยยาวระบ่าของฮารุโตะก็กลับมาสั้นจนเห็นต้นคอ

“หน้าร้อนไว้ผมประมาณนี้น่าจะสบายกว่าว่าไหม”

“ผมก็อยากตัดผมแต่ยังไม่สะดวกสักที ต้องขอบคุณรุ่นพี่มากนะครับ”ฮารุโตะโค้งศรีษะให้อีกฝ่าย

“อืมงั้นขอของตอบแทนหน่อยละกัน”

“เอ๋ครับ” เด็กหนุ่มรับคำด้วยความงุนงง “ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง ผมก็เต็มใจทำให้ครับ”

“ใส่ชุดนี้ให้ดูหน่อย” นาโอโตะกลับมาพร้อมไม้แขวนเสื้อในมือ ฮารุโตะรับมาด้วยความไม่เข้าใจแต่ก็ยอมถือเสื้อผ้าเข้าไปเปลี่ยนหลังม่านซึ่งกั้นไว้สำหรับเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ดี

“ว้าว น่ารักอย่างที่คิดจริงๆ”

ฮารุโตะยกยิ้มก้มหน้าลงอย่างเขินอาย ไม่เคยมีใครชมเขาว่าน่ารัก มันทำให้เขาขัดเขินแต่ก็ทำให้รู้สึกดี

“อย่างกับคนละคนแหนะ ดั่งสุภาษิตที่ว่าไก่งามเพราะขนคนงามเพราะแต่ง”เรียวตะรีบผละจากกลุ่มที่คุยกันอยู่ก่อนหน้ามาสมทบ กวาดสายตามองรุ่นน้องต่างคณะตั้งแต่หัวจรดเท้า

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-03-2017 17:21:11 โดย ตีสี่ »

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
春に雪が降っている。 Chapter 2 : 4/Feb/2017
«ตอบ #9 เมื่อ04-02-2017 16:43:13 »

ผมสีดำสนิทที่ดูรกรุงรังของเด็กหนุ่มรุ่นน้องถูกทำให้กลายเป็นสีน้ำตาลช็อคโกแลตซ้ำยังถูกตัดให้สั้นเข้ากับรูปหน้า  ฮารุโตะไม่ใช่คนหน้าสวยอย่างนาโอโตะแต่ก็มองเพลินหนำซ้ำหน้าตายังดูเด็กราวกับเป็นนักเรียนมอปลาย เข้ากับเสื้อปกกะลาสีเรือกางเกงขาสั้นเหนือเข่าสีฟ้านี่พอดี

“อย่างกับเด็กมอปลาย”ตรงกับใจเขาเลยเรียวตะคิด หันไปมองถึงได้เห็นว่าเอคิจิยืนอยู่ข้างๆ คนอื่นๆกับเรย์ที่อยู่หน้าคอมพิวเตอร์เมื่อสักครู่ก็มารวมกลุ่มตรงนี้แทน

“น่ารักจริงๆแหละ แต่นายกำลังทำให้รุ่นน้องที่น่ารักไปทำงานสายนะ”คำชมของเรย์ทำให้หัวใจของฮารุโตะพองโตแต่ประโยคต่อมาก็ทำให้หัวใจของเขาตื่นตระหนกได้เช่นเดียวกัน

“สายแล้ว”ฮารุโตะร้องเมื่อเหลือบไปเห็นนาฬิกาบนผนังตอนนี้ห้าโมงสี่สิบห้าถึงรู้ตัวว่าไม่มีทางไปถึงร้านทันก่อนเวลาเข้างานแต่เขาก็ไม่อยากเข้างานสายไปกว่านี้เขากระวีกระวาดรีบเก็บของกำลังจะเปลี่ยนเสื้อผ้าถอดชุดที่ใส่นี้ออกแต่โดนนาโอโตะห้ามไว้ก่อน

“ไม่ต้องเปลี่ยนหรอกไว้พรุ่งนี้ค่อยเอามาคืนก็ได้ เอ่อ… พรุ่งนี้เช้าก็เข้ามาที่ชมรมด้วยนะ”

“ครับ”

“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันไปส่งให้”เรย์พูดขึ้นบ้างเขาถือกุญแจรถอยู่ในมือขณะเดินนำรุ่นน้องออกจากห้องชมรม

“ขอตัวนะครับ”ฮารุโตะกล่าวลารุ่นพี่ในชมรม เขารีบก้าวเท้าตามเรย์ไปลงมาถึงชั้นล่าง ฮารุโตะพบว่าเรย์นั่งคล่อมอยู่บนรถมอเตอร์ไซค์พร้อมสวมหมวกกันน็อคเรียบร้อยแล้ว

“ที่บอกว่าจะไปส่งผม… คันนี้หรือครับ”ฮารุโตะถามด้วยความไม่แน่ใจ

“อืมขึ้นมาสิ”

“ผมซ้อนไม่เป็นครับ”เขาตอบออกไปตามตรงถ้าเป็นรถมอเตอร์ไซค์ธรรมดาก็ว่าไปอย่าง แต่รถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ขนาดนี้ฮารุโตะไม่มั่นใจว่าตัวเองจะก้าวขึ้นไปนั่งซ้อนได้

“ผมว่า… ผมเดินไปดีกว่า”

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่าฉันไม่ทำนายร่วงแน่แถมยังไปถึงทันเวลาเข้างานด้วย”

“แต่ผมจะขึ้นซ้อนอย่างไรละครับ มันสูงจัง”

“มานี่มาขอมือซ้ายหน่อย”

ฮารุโตะใจเต้นตึกตักเลยทีเดียวตอนที่วางมือลงไปบนมือของรุ่นพี่

“วางมือไว้บนไหล่ฉันแบบนี้นะแล้วก็ใช้เท้าซ้ายเหยียบที่พักเท้าขึ้นมาเลย”

ฮารุโตะทำตามที่เรย์บอกแต่ค่อนข้างจะทุลักทุเลไม่น้อยก็ขาของเขาสั้นกว่าจะก้าวข้ามเบาะให้เท้าขวาไปเหยียบที่พักเท้าของอีกฝั่งก็ลำบากน่าดู

“เยี่ยมมากทีนี้ก็เกาะแน่นๆเลย”

“เกาะ… แน่นๆหรือครับ”ฮารุโตะทวนคำของเรย์อีกครั้ง

“อืม”คำตอบมาพร้อมกับการถูงดึงมือไปกอดเอวของร่างสูงผู้ขับขี่ไว้

“ไม่ต้องเกร็ง”

มันยากที่จะห้ามไม่ให้เกร็งตัวอย่างที่อีกฝ่ายบอกแต่ตอนที่รถออกตัว ฮารุโตะก็เผลอกอดเอวของเรย์ไว้แน่น ความตื่นเต้นยามที่ได้ใกล้ชิดคนที่ชอบเอ่อล้นอยู่บนใบหน้า กระนั้นเขาก็ยังลอบสูดกลิ่นกายของชายหนุ่มผู้เป็นรุ่นพี่ราวกับเป็นพวกโรคจิต ได้ลองแนบใบหน้าลงบนแผ่นหลังกว้าง เพียงแค่ห้านาทีเท่านั้นรถมอร์เตอร์ไซค์คันใหญ่ที่ฮารุโตะซ้อนมาก็มาจอดอยู่บนถนนหน้าร้านที่เขาทำงานพิเศษแต่เป็นห้านาทีที่เขาคิดว่าตนคงจะจดจำไปเนิ่นนาน

“ขอบคุณมากนะครับ”ฮารุโตะกล่าว ความร้อนบนใบหน้ายังคงอยู่เขาได้แต่หวังว่ารุ่นพี่คงจะเห็นไม่ชัด

“อืมไม่เป็นไรตั้งใจทำงานละ”หลังจบคำพูดนั้นรุ่นพี่ยังมือลงบนศีรษะของเขาและขยี้เบาด้วยความเอ็นดู ไม่รู้ว่าจะเอ็นดูจริงๆหรือเปล่าแต่ฮารุโตะจะมโนทึกทักแบบนั้น ตัวของเขาแทบจะลอยได้ตอนที่เดินไปตอกบัตรเข้าทำงานแถมอาคิฟุมิยังทักว่าอารมณ์ดีอย่างกับไปพี้ยามา ฮารุโตะไม่สนหรอกว่าจะถูกมองว่าแปลกๆหรือเปล่าก็ตอนนี้เขามีความสุขจนล้นอกขนาดนี้



เด็กหนุ่มไปถึงห้องชมรมราวๆเจ็ดโมงครึ่งเมื่อไปถึงเขาพบว่ารุ่นพี่นาคามูระและรุ่นพี่อาโอกิมาถึงที่นั่นก่อนเขาแล้ว

“อรุณสวัสดิ์ครับ”ฮารุโตะกล่าวทักทาย นาโอโตะและเรย์ตอบกลับมาเช่นเดียวกันเขาลอบมองรุ่นพี่ร่างสูงประธานชมรมซึ่งนั่งอ่านหนังสืออยู่บนชุดโซฟาด้วยความขัดเขินไม่น้อย

นาโอโตะมองดูรุ่นน้องที่วันนี้จะยิ้มแย้มแจ่มใสมากกว่าทุกวัน วันนี้ฮารุโตะอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าซีดแขนสั้นกับกางเกงแสลคตัวโคร่งที่เหมือนว่าเอวจะลวมกว่าเอวของเจ้าตัวถึงสองสามเบอร์ถึงได้รัดเข็มขัดไว้แบบนั้น นาโอโตะเดาไม่ออกว่ากางเกงตัวนี้สีอะไร มันจะดำก็ไม่ดำหรือเป็นสีน้ำเงินก็ไม่ใช่ เห็นเซ้นส์การแต่งตัวของเด็กหนุ่มรุ่นน้องแล้ว นาโอโตะอยากจะถอนหายใจวันละหลายๆรอบ ยังดีที่กำหนดไว้ว่าให้เปลี่ยนรองเท้าก่อนเข้าห้อง ไม่อย่างนั้นเขาต้องเผลอถอนหายใจออกมาให้เห็นจริงๆแน่เพราะรองเท้าที่อีกฝ่ายใส่เป็นรองเท้าผ้าใบสีขาว สำหรับเรียนพละในสมัยมัธยมที่ตอนนี้กลายเป็นสีเหลืองจางๆตามกาลเวลา

“พี่เอานี้มาให้”นาโอโตะหยิบเสื้อผ้าออกมาจากกระเป๋าเรียกความสนใจของฮารุโตะ

ในมือของนาโอโตะเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาว ปก สาบเสื้อและขอบแขนเป็นสีน้ำตาล ที่เขาเลือกหยิบเสื้อเชิ้ตเพราะสังเกตเห็นว่าฮารุโตะมักจะสวมเสื้อเชิ้ตอยู่บ่อยครั้งส่วนกางเกงเป็นยีนส์Tight Long John ของ nudie สีน้ำเงินเข้ม

“ให้ผม… ให้ยืมหรือครับ”

“เปล่า ให้เลยพวกนี้เป็นเสื้อผ้าเก่าของพี่เอง พี่ใส่ไม่ได้แล้วเลยเอามาให้นาย” นาโอโตะพูดกะจากความสูงของฮารุโตะคร่าวๆเขาคิดว่าเด็กหนุ่มรุ่นน้องน่าจะใส่เสื้อผ้าสมัยมัธยมของเขาได้

“รังเกียจของมือสองหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นไว้ว่างๆเราค่อยเดินดูเสื้อผ้ากันก็ได้”

“ไม่เลยครับ”ฮารุโตะรีบปฏิเสธตื่นเต้นกับเสื้อผ้าชุดใหม่ “ขอบคุณมากนะครับ”ได้ยินอย่างนั้นนาโอโตะจึงยิ้มออกมา

“ถ้าอย่างนั้นผมลองใส่เลยได้ไหมครับ”ฮารุโตะถามอย่างตื่นเต้น

“อ…อืม”

ฮารุโตะถือเสื้อผ้าไปเปลี่ยนอย่างกระตือรือร้นกลับออกมาอีกครั้งทั้งเอคิจิ เรียวตะและซากิก็มารวมตัวอยู่ในห้องแล้ว

“ว้าวๆหนุ่มน้อย”เรียวตะร้องแซวเมื่อหันมาเห็นจนฮารุโตะรู้สึกเขิน

“น่ารักขึ้นอีกร้อยยี่สิบเปอร์เซ็นต์”

ฮารุโตะดีใจที่ถูกชมหันไปมองรุ่นพี่นาคามูระซึ่งยังคงนั่งอยู่บนโซฟาฝ่ายนั้นยกนิ้วโป้งให้เขาทั้งสองข้าง

นอกจากชุดที่สวมใส่นาโอโตะยังให้เสื้อผ้ามาอีกหลายชุด

“คิดว่าน่าจะพอดีแต่ยังดูหลวมอยู่นิดหน่อยตัวเล็กไปแล้วนะฮารุจัง”นาโอโตะบ่นต่อแต่ฮารุโตะรู้สึกว่าแค่นี้ก็ดีมากแล้ว เขาไม่เคยมีเสื้อผ้าดีๆขนาดนี้ใส่เลย ส่วนใหญ่เสื้อผ้าที่เขามีก็เป็นของบริจาคที่เด็กคนอื่นไม่เอาแล้ว เงินเก็บที่มีเขานำไปซื้อข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นจนคิดว่าต้องรออีกพักใหญ่กว่าจะทำตัวฟุ่มเฟือยได้

ชุดที่สวมใส่อยู่ทำให้ฮารุโตะมั่นใจเพิ่มขึ้น แม้จะโดนมองจนทำให้รู้สึกประหม่าแต่รุ่นพี่ทุกคนบอกว่าเขาน่ารักเขาก็จะเชื่อเช่นนั้น



ช่วงเดือนแห่งการสอบปลายภาคครั้งแรกสำหรับชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฮารุโตะผู้ซึ่งตั้งใจอ่านหนังสือมาอย่างสม่ำเสมอผ่านการสอบครั้งนี้มาอย่างง่ายดาย นอกจากนี้ยังมีวันหยุดระหว่างสอบแต่ละวิชาอีกหลายวันดังนั้นฮารุโตะจึงเข้าสอบด้วยความมั่นใจทุกครั้ง

และแล้วการไปเที่ยวทะเลครั้งแรกของฮารุโตะก็มาถึง การเดินทางครั้งนี้ใช้บริการรถไฟสาธารณะ ตอนที่เด็กหนุ่มไปถึง สมาชิกในชมรมกำลังจับกลุ่มถ่ายรูปตามมุมต่างๆ ก่อนถึงเวลารถไฟออกประมาณครึ่งชั่วโมงรุ่นพี่อาโอกิเรียกรวมสมาชิกทุกคนเพื่อเช็คชื่อและถ่ายรูปหมู่อีกครั้ง มีรุ่นพี่หลายคนที่นำขาตั้งกล้องมาด้วย  กล้องDSLR จึงถูกวางเรียงเป็นแถว ฮารุโตะต้องฉีกยิ้มจนเมื่อยปากกว่าที่ช่างภาพแต่ละคนจะพอใจ เสียงโหวกเหวกดังลั่นสถานียิ่งตอนที่ต้องรีบเก็บกล้องถ่ายรูปเพราะรถไฟมาจอดเทียบชานชลาแล้วยิ่งเป็นช่วงที่ชุลมุนอย่างยิ่ง

“ขอบคุณมากนะ”เรียวตะเอ่ยเมื่อฮารุโตะส่งขาตั้งกล้องมาให้เขานำมันใส่ถุงและวางไว้ที่ชั้นวางของด้านบนรุนหลังให้เด็กหนุ่มรุ่นน้องเข้าไปนั่งด้านในติดหน้าต่าง ที่นั่งเกือบทั้งตู้เป็นกลุ่มของพวกเขาแต่เพราะเป็นรถด่วนพิเศษ แต่ละคนเมื่อขึ้นมาและได้ทั้งนั่งเรียบร้อยจึงเอาแต่นอนใช้เวลาแค่ชั่วโมงครึ่งก็ถึงสถานีปลายทางและใช้เวลาเดินเท้าอีกราวๆหนึ่งกิโลเมตรเพื่อไปยังบ้านพัก

สถานที่พักสำหรับการท่องเที่ยวครั้งนี้เป็นบ้านไม้สองชั้น ทั้งชั้นบนและชั้นล่างมีห้องโถงกว้างอย่างละหนึ่งห้อง ชั้นล่างมีห้องครังซึ่งมีอุปกรณ์สำหรับประกอบอาหารครบครันและห้องอาบรวมที่อาบน้ำพร้อมกันได้ครั้งละหลายๆคนอีกหนึ่งห้อง

เนื่องจากทริปนี้มีผู้หญิงมาร่วมด้วยหกคน ห้องชั้นบนจึงยกให้ผู้หญิงใช้งานส่วนผู้ชายอีกยี่สิบกว่าคนที่เหลือต้องเบียดเสียดรวมกันอยู่ที่ห้องชั้นล่าง นอกจากกลุ่มที่ต้องรับผิดชอบไปจ่ายตลาดซื้อกับข้าวสำหรับทำอาหารแล้ว คนอื่นก็อิสระ

ฮารุโตะอาสาตัวมาช่วยพวกผู้หญิงถือของ มีรุ่นพี่อาโอกิและรุ่นพี่ปีสองอีกคนตามมาด้วย

ในกลุ่มผู้หญิงสมาชิกของชมรมเป็นนักศึกษาชั้นปีที่สองสามคนปี สามสองคนและปีหนึ่งซึ่งฝีมือถ่ายภาพอยู่ในขั้นดีมากอีกหนึ่งคน ทุกคนล้วนเป็นคนดีจนฮารุโตะรู้สึกขอบคุณรุ่นพี่นาคามูระอยู่ในใจที่ทำให้เขารู้จักชมรมนี้และทำให้เขามีความกล้ามาสมัครเข้าชมรม

ทริปท่องเที่ยวกับชมรมครั้งนี้ค่อนข้างจะเป็นอิสระเพราะหลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จต่างคนต่างพักผ่อนเล่นน้ำหรือทำกิจกรรมอื่นๆตามแต่จะพอใจ เหมือนมาเที่ยวพักผ่อนอย่างที่รุ่นพี่อาโอกิเคยบอกไว้ไม่มีผิด

ฮารุโตะเพิ่งเคยมาทะเลครั้งแรกเห็นท้องน้ำสีฟ้าสะท้อนแสงแดดแล้วอยากจะกระโดดลงไปเสียเดี๋ยวนั้น

“เดี๋ยวก่อนฮารุจัง”

“ครับ”ฮารุโตะขานรับหันไปมองหน้านาโอโตะอย่างสงสัยแม้ในใจอยากจะวิ่งลงน้ำแล้วก็ตาม

“แดดแรงขนาดนี้มาทาครีมกันแดดก่อน”

“ผมไม่มีครีมกันแดดหรอกครับ”เด็กหนุ่มตอบหลังจากนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง

“มีสิ… นี่ไง”นาโอโตะโชว์ขวดทรงมนในมือให้ดู แล้วลากรุ่นน้องให้มานั่งที่ม้านั่งหน้าบ้านพักสมาชิกในชมรมบางส่วนเดินถือร่มกันแดดคันใหญ่ซึ่งเป็นของที่มีอยู่ในห้องเก็บของของบ้านพักไปปักกางที่ริมทะเลบางกลุ่มกำลังเล่นบอลพลาสติกอยู่ที่ชายหาดซึ่งมีระยะห่างจากบ้านพักราวๆสามสี่ร้อยเมตร ฮารุโตะจึงลุกลี้ลุกลนอยากลงน้ำเต็มที่

“มาถอดเสื้อเร็ว”

“เอ๋!!!... เอ่อ… ผมทาเองก็ได้ครับ”เด็กหนุ่มรีบหยิบขวดครีมกันแดดมาเทใส่มือและทาครีมลงบนแขนอย่างลวกๆจะให้ถอดเสื้อต่อหน้าคนอื่นนะหรือ เขาไม่กล้าขนาดนั้นหรอกถ้าเป็นในห้องอาบน้ำก็ว่าไปอย่าง

“แล้วตัวละไม่ทาหรือ”นาโอโตะถาม

“ไม่ต้องมั้งครับผมจะลงน้ำทั้งอย่างนี้ละ”เขาตอบอย่างมุ่งมั่น

“จะได้ดูแปลกนะสิคนอื่นเขาก็ถอดเสื้อกันหมด”นาโอโตะชี้ชวนให้ดูคนอื่น ผู้ชายส่วนใหญ่ใส่แต่กางเกงขาสั้นขนาดพวกที่เล่นบอลอยู่บนชาดหาดยังเปลือยท่อนบนกันเกือบทั้งหมด ส่วนพวกผู้หญิงอยู่ในชุดว่ายน้ำซึ่งมีทั้งแบบวันพีชและทูพีชที่เน้นสัดส่วนองค์เอว

“พี่เห็นว่านายผิวขาวขนาดนี้โดนแดดจัดๆเดี๋ยวจะแสบผิวเสียเปล่าๆ ทาครีมกันแดดไว้ก่อนมันพอจะช่วยได้นะ”

พอฟังเหตุผลแล้วฮารุโตะได้แต่พยักหน้ารับ เขาจึงถอดเสื้อออก

“หันหลังมาเดี๋ยวทาหลังให้” ฮารุโตะทำตามอย่างว่าง่ายก่อนจะบีบครีมใส่มือตนเองและทาแผ่นอกกับแขนอีกรอบจากนั้นจึงหันไปทาครีมที่หลังให้หนุ่มรุ่นพี่บ้าง และจู่ๆรุ่นพี่นาคามูระที่ใส่แค่กางเกงขาสั้นก็ปรากฏตัวขึ้น ฮารุโตะหน้าร้อนผ่าวเมื่อเห็นรูปร่างท่อนบนของหนุ่มรุ่นพี่ที่ตนแอบชอบ เด็กหนุ่มรีบหลุบตาลงต่ำอย่างเขินอาย

“ทาให้บ้างสิ”

“ด้านขนาดนี้แล้วยังจะต้องทาอีกหรือ”นาโอโตะเอ่ยแซว

“ก็จะได้ไม่ด้านไปกว่านี้ไง”อีกฝ่ายตอบกลับมายิ้มๆแค่ครู่เดียวทั้งสามคนก็ยกขบวนตามไปที่ชาดหาด

ฮารุโตะก้าวเท้าลงน้ำ  อุณหภูมิของน้ำเย็นกว่าที่คิดทั้งที่แสงแดดจ้าร้อนแรง เขาก้าวเท้าเดินลึกลงไปเรื่อยและหยุดเดินเมื่อระดับน้ำสูงแค่เอวจากนั้นก็นั่งลง

“เค็มจริงๆด้วย” เขาเคยได้ยินว่าน้ำทะเลมีรสเค็มจึงได้ลองชิมดู

“ก็จริงนะสิไม่อย่างนั้นจะมีคำพังเพยว่าเค็มเหมือนทะเลหรือ”เรียวตะโพล่งขึ้นมาเมื่อได้ยินรุ่นน้องพูดเช่นนั้น

“ใช่ที่ไหน”เอคิจิแย้งเขาเองก็อยู่ไม่ห่างจากทั้งคู่นัก “เค็มเหมือนเกลือใจ กว้างเหมือนทะเลต่างหาก”

“เอ้าหรือ ช่างมันเถอะนะมันก็ต้องมีผิดพลาดกันบ้าง”เขาตอบอย่างขอไปทีก่อนจะหันกลับมาถามรุ่นน้องอีกครั้งว่า “ว่ายน้ำไปที่ลึกๆไหมไปลอยคอโต้คลื่นสนุกนะ”

ฮารุโตะสั่นศรีษะปฏิเสธทันที  “ผมว่าน้ำไม่เป็นครับ”

“เอ๋… ไม่ได้มีวิชาว่ายน้ำตอนสมัยมัธยมหรือ”

“ไม่มีครับ”

“ถ้าอย่างนั้นรุ่นพี่ผู้แสนหล่อเหลาคนนี้จะสอนให้เอาไหม”

ฮารุโตะยิ้มรับอย่างยินดีเพราะฉะนั้นตลอดช่วงบ่ายฮารุโตะจึงได้พยายามหัดว่ายน้ำอย่างตั้งอกตั้งใจ




หลังทานอาหารเย็นเสร็จเป็นกิจกรรมท้าความกล้าที่นาโอโตะคิดขึ้นมา

“มันต้องมีกิจกรรมแบบนี้บ้างสิ” นาโอโตะพูด มีหลายคนโอดโอยแน่นอนว่ากิจกรรมนี้ปีสามและปีสี่ไม่ได้สิทธิ์ผ่าน เขาใช้อำนาจของรองประธานชมรมและเหรัญญิกบังคับให้สมาชิกร่วมกิจกรรมอย่างเด็ดขาดและยิ่งเรย์เห็นว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรจึงไม่มีใครสามารถขัดได้

นาโอโตะให้ทุกคนจับสลากเพื่อจับคู่และให้แต่ละคู่เดินถือเทียนหนึ่งเล่มไปลงชื่อในสมุดซึ่งวางอยู่ที่บ่อน้ำและเดินกลับมาก็เป็นอันจบ

“ถ้าเดินตามทางไปเรื่อยๆก็จะเจอบ่อน้ำที่ว่าเอง”นาโอโตะบอก บางคนที่ยังไม่เคยได้เดินสำรวจรอบๆที่พักคงนึกสงสัยอยู่บ้างแต่รุ่นพี่นาคามูระและรุ่นพี่อีกสองสามคนที่ได้เดินสำรวจรอบๆมาแล้ว บอกว่าหาเจอได้ไม่ยากกิจกรรมนี้จึงเริ่มขึ้น
ฮารุโตะได้จับคู่กับชิราซากิ นัตสึมิที่อยู่ปีหนึ่งด้วยกันในลำดับที่สิบสองเด็กหนุ่มให้เพื่อนหญิงเป็นคนถือเทียน รุ่นพี่อาโอกิจะเป็นคนดูเวลาให้ แต่ละคู่เริ่มเดินด้วยระยะเวลาห่างกันคนละสิบนาทีถึงบ่อน้ำแล้วจะมีทางเดินอีกทางที่วนกลับมาถึงบ้านพักได้ แต่ละคู่จึงไม่มีโอกาสเจอกัน ระหว่างที่รอฮารุโตะเห็นว่ามีรุ่นพี่บางคนยกเบียร์ขึ้นดื่มเพื่อแก้ว่างกันแล้ว

ก่อนจะถึงคิวของเขา รุ่นพี่นาคามูระและรุ่นพี่ฮอนดะที่เป็นคู่แรกก็เดินกลับมาถึง ดังนั้นทั้งเขาและนัตสึมิจึงร่วมกิจกรรมนี้อย่างปลอดโปร่ง ฮารุโตะไม่ได้กลัวผีแม้เขาจะเป็นพวกขวัญอ่อนขี้ตกใจ เนื่องเพราะตนไม่มีเซนส์ด้านวิญญาณหรือเคยเห็นสิ่งลี้ลับสักครั้ง แต่ความมืดและเสียงใบไม้เสียดสีกันในป่าก็ทำให้เขาหวาดหวั่นได้ไม่น้อย ยิ่งหลังผ่านบ่อน้ำมาแล้วบรรยากาศยิ่งวังเวงเพิ่มขึ้น

“อื้อ!!!”จู่ๆก็มีเสียงร้องก็ดังขึ้นมาทำให้ทั้งคู่สะดุ้งเฮือก ทั้งเขาและนัตสึมิเบียดตัวเข้าหากันอย่างไม่ได้นัดหมายแต่ละก้าวเริ่มยกขาได้ยากเย็นขึ้นเปลวเทียนโดนลมพัดจนหริบหรี่

“มิอุระซัง”นัตสึมิเสียงสั่น “ได้ยินเสียงอะไรหรือเปล่า”

“ด…ได้ยินเหมือนกันเหรอ”ฮารุโตะได้ยินเสียงร้องแปลกๆ

“ใช่”

นัตสึมิตอบรับ เสียงร้องเหมือนเจ็บปวดอาจจะมีคนโดนทำร้ายถึงแม้ใจหนึ่งจะกลัวว่าอาจจะเป็นบางสิ่งที่ไม่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้ก็ตาม

“ไปดูกันไหม”แม้จะกลัวแต่ความอยากรู้กลับชนะทุกสิ่ง ฮารุโตะและนัตสึมิพากันเดินตามเสียงไปเรื่อยๆเสียงที่เคยได้ยินแว่วๆเริ่มชัดเจนขึ้น

“อ่ะอะอ๊า”

พ้นพุ่มไม้พวกเขาก็เห็นเงาตะคุ่มๆมองเห็นไม่ชัดเพราะเงาไม้บดบังแสงเสียมืดมิด  จู่ๆนัตสึมิก็นั่งลงกับพื้นซ้ำยังดึงให้เขานั่งลงข้างกันด้วย

“อะไร…”แล้วถูกมือเล็กๆของหญิงสาวปิดปากไว้

“อ๊า…”

ฮารุโตะจะหันกลับไปดูแต่โดนลากออกมาเสียก่อนจนห่างมาได้สักระยะนัตสึมิถึงได้ยอมหยุด

“อะไรนะไม่ไปช่วยเขาหรือเมื่อกี้เขาร้องดังมากเลยนะ”ฮารุโตะถาม

“ถ้าเข้าไปจะเรียกว่าขัดจังหวะเสียมากกว่านะสิ”

ฮารุโตะมองหน้านัตสึมิด้วยความงุนงง

“ก็สองคนนั้นกำลังทำอย่างนั้นอยู่นะสิ”

“อย่างนั้น?”

“ก็แบบ…”นัตสึมิพูดไม่ออกแต่พอเห็นหน้าฮารุโตะแล้วถ้าเธอพูดไม่ชัดเจนเพื่อนร่วมรุ่นก็คงไม่เข้าใจ “กำลังมีเซ็กส์อยู่”

ฮารุโตะมองหน้านัตสึมินิ่งประมวลผลอยู่นานก่อนร้องออกมาเสียงหลง

“หวาาาาาาาา”

เขายกมือปิดปากอุณหภูมิพุ่งสูงจนเห่อร้อนทั้งใบหน้า

“เห็นหน้าหรือเปล่า ใช่พวกรุ่นพี่ไหม”

“ไม่เห็นหรอกพอได้ยินเสียงใกล้ๆก็… อึ้ย!!! อาจจะเป็นนักท่องเที่ยวแถวนี้ก็ได้”หญิงสาวออกเดินนำต่อ

“หายกลัวเลยเนอะ”พอฮารุโตะพูดแบบนั้นเธอก็หันกลับมาหัวเราะด้วย

ทั้งสองคนกลับมาถึงเป็นคู่สุดท้ายคนอื่นในชมรมต่างกลับเข้าไปอยู่ในบ้านพักกันหมดแล้วเหลือแต่รุ่นพี่อาโอกิและรุ่นพี่นาคามูระเท่านั้นที่ยังยืนรอพวกเขาอยู่

“ถ้าอีกสิบนาทียังไม่ออกมาว่าจะออกไปตามหาอยู่แล้วนะไปเถลไถลที่ไหนกันมาเจ้าสองคนนี้”

หลังกล่าวขอโทษออกมาพร้อมกัน ทั้งฮารุโตะและนัตสึมิก็มองหน้ากันอย่างรู้ความหมาย พอฮารุโตะเหลือบสายตาไปมองรุ่นพี่นาคามูระเขาก็ต้องรีบหลบสายตาด้วยความเขินอาย ในเมื่อในสมองน้อยๆของเขาตอนนี้มีแต่เรื่องลามกเต็มไปหมด และเรื่องลามกที่ว่ามีเขากับรุ่นพี่นาคามูระเป็นตัวเอก ฮารุโตะจึงยิ่งรู้สึกเขินยกกำลังสิบ

เดินเข้ามาในบ้านพักเรื่องลามกในหัวของฮารุโตะต้องถูกเบรกพักไว้ด้วยความเฮฮาสนุกสนานของวงเหล้า ฮารุโตะถูกเรียวตะดึงให้ไปนั่งข้างๆและแก้วเบียร์ก็ถูกส่งมา ตามมาติดๆด้วยสาเก ฮารุโตะมึนหัวแทบจะทิ่มลงกับพื้นยังดีที่เรย์มาช่วยประคองไว้ก่อน ถึงจะพอรู้ว่าเป็นใครแต่เขามึนหัวจริงๆจึงได้แต่ซบอกกว้างของรุ่นพี่ต่อไป

“แกล้งน้อง”เรย์บ่นโอบไหล่ของฮารุโตะรั้งให้อีกฝ่ายนอนหนุนตัก นาโอโตะจึงไปหาหมอนให้เด็กหนุ่มได้นอนสบายๆ

“เฮ้ย!!! แค่สองแก้วใครจะไปคิดว่าเมา ดูอย่างไอ้ซากิดิแม่งซัดหมดไปเยอะแล้วหน้ายังไม่แดงเลย”เรียวตะแย้ง

“มันเหมือนกันไหม พวกแกมันกินเหล้ากินเบียร์ต่างน้ำ ฮารุจังเคยกินมาก่อนหรือเปล่าก็ไม่ยอมถามก่อน”

“เอ้า… ก็ไม่เห็นปฏิเสธ”

เขาไม่ปฏิเสธเพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะเมาง่ายขนาดนี้ ฮารุโตะนอนฟังพวกรุ่นพี่คุยกันอยู่ครู่เดียวสติของเขาก็ดิ่งสู่นิทรา

รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้งเป็นเวลาดึกสงัด เสียงเฮฮาเสียงโวยวายเมื่อช่วงหัวค่ำหายไปเหลือแต่เสียงกรนเสียงงึมงำคล้ายละเมอของกลุ่มผู้ชายวัยกลัดมัน ฮารุโตะยังมึนหัวอยู่เล็กน้อยแต่ความเหนอะหนะเพราะเหงื่อและอากาศร้อนมันมีมากกว่า เขาทรงตัวลุกเดินไปหากระเป๋าของตนเองต้องพยายามก้าวเท้าเลี่ยงเพื่อนร่วมชมรมแต่ละคนที่นอนระเกะระกะไม่เป็นที่ เขาหยิบผ้าขนหนูกับของใช้ส่วนตัวออกจากกระเป๋าและเดินไปยังห้องอาบน้ำซึ่งว่างเปล่าไร้ผู้คน

“ว้าว”ฮารุโตะร้องออกมาด้วยนัยน์ตาเป็นประกายนานมากแล้วที่เขาไม่มีโอกาสได้แช่น้ำอย่างเต็มที่ ที่ห้องพักของเขามีแค่ฝักบัวอาบน้ำ จะไปใช้บริการห้องอาบน้ำสาธารณะเขาก็เลิกงานดึกเกินไปจนแต่ละที่ต่างปิดให้บริการไปแล้ว

เด็กหนุ่มถอดเสื้อผ้าเก็บไว้ในตู้ล็อกเกอร์เดินถือผ้าขนหนูและสบู่ยาสระผมเข้าไปล้างตัวใต้ฝักบัว บริเวณพื้นที่ล้างตัวก่อนลงอ่างอาบน้ำจะติดฝักบัวไว้เตี้ยๆจึงจำเป็นต้องนั่งลงกับม้านั่งฮารุโตะหมุนก๊อกเปิดน้ำ น้ำอุ่นร้อนแต่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายเขาสระผมถูสบู่อยู่ครู่หนึ่งจึงหันมองซ้ายมองขวารอบห้องน้ำอีกรอบ แล้วเปิดก๊อกให้สายน้ำราดรดตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าเด็กหนุ่มแยกเข่าออกเล็กน้อยตอนที่ใช้มือของตัวเองกำกึ่งกลางกายซึ่งยังอ่อนตัว สาวรั้งไม่กี่ครั้งมันก็แข็งสู้มือ เขาเป็นเด็กหนุ่มวัยเจริญพันธุ์นะเรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องปกติ ฮารุโตะคิดเช่นนั้นในขณะที่ใจเต้นตุ่มๆต่อมๆกลัวใครจะมาเห็นเข้า มันเป็นเรื่องปกติแต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรทำในที่สาธารณะแม้จะเป็นห้องอาบน้ำ แต่ก็เป็นห้องอาบน้ำสาธารณะความคิดในหัวตีกันมั่ว กระนั้นฮารุโตะกลับไม่สามารถหยุดตัวเองได้เขาหอบหายใจหนักหน่วงอย่างตื่นเต้น กำลังเร่งจังหวะมือให้เร็วขึ้นเมื่อเริ่มเห็นปลายทางรำไร หากทุกอย่างต้องหยุดลงเมื่อสายน้ำที่เปิดรดร่างกายหายไปฮารุโตะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตนเองหยุดหายใจ

“เปิดน้ำทิ้งไว้อย่างนี้มันเปลืองนะ”เสียงทุ้มต่ำกระซิบข้างหูตามด้วยสัมผัสหยุ่นนุ่มและความรู้สึกว่าใบหูกำลังถูกขบกัด เด็กหนุ่มตัวแข็งค้างยามที่ความอุ่นร้อนของแผ่นอกโอบรอบตัว ในหัวของฮารุโตะเต้นเร่าอุทานซ้ำไปซ้ำมาว่า ‘ตาย ตาย ตาย อับอายขายขี้หน้าแล้ว เขาจะเอาหน้าไปไว้ไหน’

ความคิดในหัวถูกหยุดลงอีกครั้งเมื่อร่างกายถูกยกลอยสูงขึ้นและวางแหมะลงบนตักของอีกฝ่าย สัมผัสอันเนื่องจากเนื้อแนบเนื้อส่งผลให้ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของเด็กหนุ่มกระเด็นกระดอน จนกลัวว่าจะหลุดออกจากปาก ความร้อนจากทั่วทั้งร่างไปรวมกันอยู่จุดเดียว ทำให้เขาหันมองก่อนจะรีบเบือนหน้าหนีด้วยความกระดากอายถึงอย่างนั้นภาพต่างๆก็ยังคงติดตา

ฮารุโตะถูกจับให้แยกขาทั้งสองข้างพาดไว้บนเข่าแต่ละข้างของร่างที่นั่งเป็นเบาะอยู่ด้านล่าง อวดโชว์ท่อนเนื้อชูชันฉ่ำน้ำร่องสะโพกแนบสัมผัสกับท่อนลำใหญ่โตร้อนระอุซึ่งส่วนปลายวางตัวเสียดสีกับแท่งอารมณ์ของเขา

มือใหญ่วางทาบทับมือของเด็กหนุ่มไว้แล้วรวบกำท่อนลำทั้งสองไว้ในอุ้งมือ ฮารุโตะไม่เคยสัมผัสร่างกายของคนอื่นมาก่อนแต่จำต้องขยับมือตามการชักนำอย่างเลี่ยงไม่ได้เขาหลับตาเบือนหน้าหนี ร่างที่ซ้อนอยู่ด้านหลังจึงขบเม้มริมฝีปากอิ่มอย่างชอบใจ
ส่วนปลายเริ่มมีน้ำซึมตามแรงอารมณ์ซึ่งค่อยๆทะยายสูงฮารุโตะถูกลากมือให้ไปเล่นกับส่วนหัวบดขยี้เค้นคลึงจนต้องร้องครางออกมาด้วยความเสียวซ่าน

“อ๊า… อ่ะอ่ะ”

เสียงหอบที่ข้างหูยิ่งเร้าอารมณ์ในกายให้เลือดเดือดพล่าน ช่วงจังหวะที่ใกล้ปลดปล่อยกลับถูงรั้งให้ช้าลงอีกครั้ง

“รู้สึกดีไหม”ร่างสูงกระซิบกดจูบซ้ำย้ำๆที่ใบหูและต้นคอ

ฮารุโตะไร้แรงจะตอบเมื่อสติถูกดึงไปยังจุดรวมประสาท

“ม…ไม่ไหวแล้ว”เด็กหนุ่มไม่อาจต้านทานความต้องการของร่างกายได้ เขาขยับมืออย่างเร่งร้อนเร่งจังหวะขึ้นเพื่อให้ตนไปถึงปลายทางที่รออยู่และในที่สุดเขาก็ปลดปล่อยออกมาแขนขาชาไร้เรี่ยวแรง ทั้งร่างอ่อนระทวยจนต้องเอนพิงอกกับบุคคลซึ่งนั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง มองดูแก่นกายของตนและอีกฝ่ายปล่อยฉีดพุ่งน้ำคาวออกมาเป็นสาย ฮารุโตะรู้สึกเหนื่อยล้าราวกับวิ่งมาร่วมร้อยกิโลเมตร เขาฝืนต้านแรงโน้มถ่วงของหนังตาได้อยู่ไม่นานก็ผล็อยหลับลงอีกครั้ง

ชายหนุ่มเปิดน้ำล้างตัวให้ตนเองและรุ่นน้องลวกๆ อีกครั้ง จับศีรษะของฮารุโตะพาดไว้บนไหล่ใช้แขนข้างหนึ่งรองสะโพกโอบมืออีกข้างไว้ที่หลังกันร่วงตอนที่ยกร่างผอมบางให้ลอยขึ้น พาร่างเปลือยเปล่าของหนุ่มรุ่นน้องออกไปยังห้องล็อกเกอร์

“นี่ตื่นหน่อยใส่เสื้อผ้าก่อน”ชายหนุ่มตบเบาๆที่ข้างแก้ม หนุ่มรุ่นน้องจึงได้สะลึมสะลือตื่นขึ้นมา

“ใส่เสื้อผ้า”เขาแต่งตัวให้อีกฝ่ายราวกับคนตรงหน้าเป็นเด็กเล็กๆ และปล่อยให้นั่งรอเขาแต่งตัวแค่เพียงครู่เดียวหันกลับมาอีกทีฮารุโตะเอนตัวลงนอนบนพื้นไปเสียแล้ว

ใบหน้าคมคายยกยิ้มก่อนจะช้อนร่างผอมบางของหนุ่มรุ่นน้องขึ้น ไม่คิดว่าแค่บังเอิญตื่นขึ้นมาอาบน้ำกลางดึกจะเจอเรื่องดีๆขึ้นมาเสียได้


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-02-2017 06:54:20 โดย ตีสี่ »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

春に雪が降っている。 Chapter 2 : 4/Feb/2017
« ตอบ #9 เมื่อ: 04-02-2017 16:43:13 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: 春に雪が降っている。 Chapter 2 : 4/Feb/2017
«ตอบ #10 เมื่อ04-02-2017 20:44:39 »

เรย์คงไม่ได้มีแผนหลอกให้รัก แล้วหักอกหรอกใช่ไหม

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: 春に雪が降っている。 Chapter 2 : 4/Feb/2017
«ตอบ #11 เมื่อ04-02-2017 21:34:55 »

พอเปลี่ยนโฉม ฮารุโตะก็เรียกสายตารุ่นพี่ให้หันมามอง  :mew1: :mew1: :mew1:
แถมเรย์ ที่เคยไม่รับสมัครเข้าชมรม
ยังอาสาไปส่งทำงาน คิดไรกับฮารุโตะ หรือเปล่า
ว่าแต่รุ่นพี่ที่เข้ามาร่วมกิจกรรมร่วมด้วยช่วยกัน เป็นใครนะ
ใช่นาคามูระ คนที่ชอบหรือเปล่า
เพื่อนหญิงสองคน นิสัยเลวมาก
เห็นแก่ตัว เอาเปรียบไม่พอ ยังขอลอกข้อสอบอีก  :z6: :z6: :z6:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 3 : 8/Feb/2017
«ตอบ #12 เมื่อ08-02-2017 06:03:39 »

Chapter 3


ฮารุโตะตื่นขึ้นมาอีกครั้งในตอนเช้า ในห้องยังมีคนนอนหลับอยู่บ้าง เขานั่งนิ่งรอให้หายมึนงงอยู่พักใหญ่ เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานพลันแล่นเข้าสู่สมองเป็นฉากๆ เด็กหนุ่มยกมือขึ้นกุมศีรษะฟุบหน้าลงกับกองผ้าห่ม รู้สึกอับอายยามเมื่อนึกถึง เขาคงไม่กล้ามองหน้ารุ่นพี่อีกแน่ ถ้าเกิดรุ่นพี่เอาไปบอกคนอื่นอีกล่ะเขาจะใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างไร

“ฮารุจัง”

“อะครับ”ฮารุโตะเงยหน้าขึ้นเห็นนาโอโตะยืนอยู่หน้าประตู

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

“เปล่าครับ”ตอบพลางสั่นศีรษะปฏิเสธแล้วลุกขึ้นทำท่าเก็บที่นอน นาโอโตะจึงไม่ติดใจอะไรอีก เมื่อเห็นร่างของรุ่นพี่อาโอกิเดินหายไปแล้วเขาถึงนึกมองไปรอบๆห้อง พอไม่เห็นแม้แต่เงาของคนที่กำลังมองหา เขาจึงโล่งใจขึ้นมา ฮารุโตะลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตาทำธุระส่วนตัวแล้วเดินไปรวมตัวกับพวกที่อยู่ในครัว เมื่อไปถึง อาหารเช้าจวนจะเรียบร้อยอยู่แล้ว เขาจึงอาสายกสำรับจัดเตรียมสำหรับทุกคน ในจังหวะนั้นเรย์และสมาชิกของชมรมอีกหลายคนก็เดินกลับเข้ามายังบ้านพัก

“อรุณสวัสดิ์ครับ”ฮารุโตะกล่าวทักทาย “ตื่นเช้าจัง รุ่นพี่ไปไหนกันมาหรือครับ”

“ไปถ่ายรูปตอนพระอาทิตย์ขึ้นนะ”

“อ้อ...”กำลังคิดจะต่อบทสนทนาหากแต่เขาหันไปเห็นชายหนุ่มร่างสูงอีกคนเสียก่อน จึงหุบปากฉับเลี่ยงเดินกลับเข้าไปในครัว

“เสร็จหมดแล้วล่ะออกไปทานข้าวกันเถอะ”นาโอโตะรุนหลังหนุ่มรุ่นน้องให้ออกจากครัว เด็กหนุ่มจึงใช้โอกาสนี้ทำตัวเกาะติดกับรุ่นพี่ผู้แสนใจดีและเหมือนว่าเขาจะไม่ค่อยมีโชคเท่าไหร่ พอวางก้นแหมะลงกับพื้นคนที่เขาไม่อยากเจอหน้าก็มานั่งข้างๆทันที ฮารุโตะจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาทานอาหาร ผู้ที่นั่งอยู่ข้างๆก็นั่งทานอาหารของตนอย่างเงียบๆเช่นเดียวกัน

ถึงจะทำท่าตั้งหน้าตั้งตาทานแต่ฮารุโตะกลับอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างกาย เพราะเอาแต่แอบมองหรืออย่างไรไม่แน่ใจ ขณะที่ข้าวในถ้วยของฝ่ายนั้นใกล้หมด ข้าวในถ้วยของเด็กหนุ่มยังเหลืออีกตั้งครึ่ง

“อย่ามัวแต่เล่นอยู่สิ รีบทานเข้า”เขาโดนดุเหมือนเด็กๆ ฮารุโตะขมวดคิ้วหน้ามุ่ย เขาไม่ได้เล่นเสียหน่อย ปกติเขาก็กินช้าอยู่แล้ว เด็กหนุ่มได้แต่เถียงเช่นนั้นในใจ

“กินข้าวเสร็จแล้วเดี๋ยวพวกเราจะไปเล่นน้ำกันต่อนะฮารุจัง”นาโอโตะหันมาชวนคุยเด็กหนุ่มจึงหันไปพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม เร่งความเร็วในการทานอาหารขึ้นอีกนิดกระนั้นกว่าจะกินอิ่มก็รั้งอยู่ท้ายกลุ่มอยู่ดี

“อิ่มแล้วนะครับ”ฮารุโตะพนมมือขึ้นและกล่าวคำนั้น จากนั้นจึงเก็บถ้วยและจานของตนซ้อนกันเพื่อนำไปเก็บในครัว เด็กหนุ่มจึงพึ่งสังเกตเห็น รุ่นพี่ชิมิซึยังคงนั่งอยู่ข้างๆ เขานึกว่ารุ่นพี่ร่างสูงจะลุกไปพร้อมกับพวกรุ่นพี่อาโอกิเสียอีก

“ผมขอตัวก่อนนะครับ”

กระนั้นพอเขาลุกขึ้นอีกฝ่ายกลับลุกขึ้นตามซ้ำยังมายืนเบียดเขาตอนล้างจานเสียด้วย ฮารุโตะหันไปมอง หนุ่มรุ่นพี่คนที่ยืนอยู่ข้างๆก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะหันมาสนใจเขา หรือเพราะเขาเป็นฝ่ายเสียมารยาทไปแซงคิวกันนะ เด็กหนุ่มคิด เขาควรถอยออกมาเพื่อให้รุ่นพี่ได้ล้างจานให้เสร็จก่อนหรือเปล่า ยืนคิดยังไม่ทันได้ตัดสินใจว่า ควรจะทำอย่างไรดีหนุ่มรุ่นพี่กลับล้างจานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฮารุโตะจึงต้องรีบดึงสติให้กลับมาสนใจงานตรงหน้า

หลังจากเสร็จงาน ฮารุโตะในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นจึงออกไปสมทบกับกลุ่มรุ่นพี่ที่อยู่ใต้ร่มกันแดดคันใหญ่บริเวณชายหาด พอทรุดตัวนั่งลงรุ่นพี่อาโอกิก็ส่งครีมกันแดดมาให้เขาจึงถอดเสื้อยืดออกและหันหลังให้

“รุ่นพี่ทาหรือยังครับ ถ้าอย่างไรเดี๋ยวผมจะทาข้างหลังให้”

“ไม่ต้องห่วงพี่ทาทั่วตัวเรียบร้อยแล้วล่ะ อ๊ะ...นี่ไปโดนอะไรมาน่ะ”

ฮารุโตะเอี้ยวคอไปมอง แต่จุดที่รุ่นพี่ใช้นิ้วจิ้มอยู่เป็นจุดที่จะหันมองเท่าไหร่ก็ยากจะมองเห็น

“เจ็บไหมนะ”นาโอโตะขมวดคิ้วเพราะรอยจ้ำเขียวบนผิวของฮารุโตะดูแปลกไม่น้อย

“ไม่ครับผมคงไปกระแทกอะไรโดยไม่รู้ตัว”

“ทาให้บ้างสิ”เรียวตะซึ่งเปียกซ่กไปทั้งตัวเอ่ยแทรกขึ้นมา เรียกความสนใจของคนทั้งคู่ เขาลงไปว่ายน้ำจนเหนื่อยจึงได้ขึ้นมานั่งพัก ฮารุโตะหันไปมองรุ่นพี่ผู้เป็นเจ้าของขวดครีมกันแดดในมือ เมื่อนาโอโตะพยักหน้าในเชิงอนุญาตจึงได้เทครีมกันแดดลงฝ่ามือแล้วละเลงจนทั่วแผ่นหลังของเรียวตะ

“แขนด้วยๆ”อีกฝ่ายร้องบอกฮารุโตะก็ทำตามอย่างว่าง่าย ยังไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะทาครีมลงที่แขนอีกข้าง ร่างหนาของรุ่นพี่ปีสามกลับถูกเบียดจนกระเด็นไปไกล

“ทาบ้าง”

“อะไรเนี่ยเจ้าซากิเห็นไหมว่ามีคนนั่งอยู่” เรียวตะโวยวาย

“เออเห็นแล้ว ลงไปเล่นแทนหน่อย”เขาตอบรับง่ายๆก่อนจะผลักเรียวตะให้ลงไปในสนามวอลเลย์บอลแทนตัวเขาซึ่งเพิ่งเดินออกมา เพื่อนร่วมทีมในสนามโวยวายกันใหญ่แต่ซากิก็ไม่ได้ใส่ใจ

“ทาสิ”เขาบอกย้ำอีกครั้งเมื่อยังเห็นเด็กหนุ่มรุ่นน้องนั่งนิ่ง

“ทาให้เจ้าพวกบ้าพวกนี้ไปเถอะ”นาโอโตะพูดพร้อมเสียงหัวเราะ ฮารุโตะจึงต้องทาครีมให้อีกฝ่ายอย่างจำยอม พอทาที่หลังเสร็จก็เปลี่ยนมาทาให้ที่แขน

“ปกติไม่เห็นจะสนใจแท้ๆ นึกอย่างไรน่ะ ถ้าเป็นเรียวตะก็พอเข้าใจอยู่นะ”นาโอโตะเอ่ยถาม ซากิแค่เพียงเหลือบมองและยกยิ้ม แล้วหมุนตัวมาเผชิญหน้ากับฮารุโตะเมื่อเด็กหนุ่มร่างเล็กทาครีมที่แขนทั้งสองข้างของเขาเสร็จ

“ข้างหน้าด้วย”

“เฮ้ย!!! เกินไปล่ะ”นาโอโตะร้องปราม ฮารุโตะนึกเห็นด้วยอยู่ในใจ ทาเองได้ทำไมต้องให้เขาทาให้

“อืม… ก็นะ”ฮารุโตะมองหน้ารุ่นพี่ชิมิซึพลางคิด ‘ก็นะ’ ไม่ใช่คำตอบเสียหน่อย นาโอโตะจึงคว้าขวดครีมกันแดดจากมือของฮารุโตะยัดใส่มือของซากิ

“ทาเอาเองเถอะ”นาโอโตะบอกทิ้งท้ายและพาหนุ่มรุ่นน้องมารวมกลุ่มกับพวกที่เล่นลิงชิงบอลอยู่ในทะเล

“เล่นด้วย”เมื่อนาโอโตะร้องบอกไปแบบนั้นลูกบอลพลาสติกก็ลอยละลิ่วมาหาในทันทีและคนที่พุ่งเข้ามาคือเด็กหนุ่มปีสองที่โดนลงมติให้สวมบทบาทสมมติเป็นลิง ทั้งที่ความสูงของน้ำอยู่ในระดับเอวแต่เด็กหนุ่มจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ก็ยังเคลื่อนที่ได้เร็วราวกับวิ่งบนพื้นราบ นาโอโตะจึงต้องรีบโยนบอลไปทางอื่นแทบจะในวินาทีนั้นและชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ก็สามารถจับบอลได้ในไม่กี่นาทีต่อมา คราวนี้คนที่ต้องมาไล่ตามลูกบอลเป็นรุ่นพี่ผู้หญิงซึ่งอยู่ปีสอง

ครู่ต่อมา ซากิได้ตามสมทบพอเห็นรุ่นน้องปีสองคนนั้นไล่ตามบอลจนเหนื่อย เขาจึงส่งบอลให้อีกฝ่ายเสียดื้อๆ ฮารุโตะมองอย่างแปลกใจไม่คิดว่ารุ่นพี่ชิมิซึจะเป็นคนดีแบบนั้น กระนั้นเมื่อลูกบอลมาอยู่ในมือฮารุโตะ ซากิกลับสามารถคว้าบอลที่กำลังลอยข้ามหัวมาไว้ในมืออย่างง่ายดาย เด็กหนุ่มจึงต้องมายืนอยู่กลางวงตามกติกา

ใบหน้าของฮารุโตะยังคงเปื้อนยิ้มด้วยความสนุกสนาน ระดับความสูงของน้ำแค่ประมาณเอวของพวกรุ่นพี่ผู้ชายแต่สูงในระดับเกือบถึงอกของฮารุโตะดังนั้นเด็กหนุ่มจึงกระโดดไม่ขึ้นจะวิ่งฝ่าน้ำก็ทำได้ช้านัก ยังไม่ทันก้าวไปถึงไหนบอลกลับถูกส่งไปอีกฝั่งเสียแล้ว และแม้จะวิ่งตามบอลจนเหน็ดเหนื่อยขนาดไหนรอยยิ้มกระจ่างยังคงเกลื่อนอยู่บนใบหน้าของเด็กหนุ่ม กระทั่งมีกลุ่มรุ่นพี่ผู้ชายมาสมทบมากขึ้นการละเล่นเบาๆขำขันสำหรับผู้หญิงจึงรุนแรงขึ้น กลุ่มสมาชิกหญิงของชมรมจึงขอล่าถอยและขึ้นฝั่งไปอาบน้ำเสียแทน

ฮารุโตะยังคงลอยคออยู่บริเวณน้ำตื้น

“ว่ายน้ำเป็นหรือยัง”

ฮารุโตะมองหน้าเจ้าของคำถาม นี่เป็นครั้งแรกที่รุ่นพี่ชิมิซึเข้ามาคุยด้วยพอเห็นหน้าอีกฝ่ายเรื่องที่แสนน่าอับอายเมื่อคืนก็ผุดขึ้นมาในหัว เด็กหนุ่มจึงก้มหน้าหลบพลางสั่นศีรษะปฏิเสธ

“ไม่หัดต่อล่ะเดี๋ยวฉันช่วยดูให้”

“ไม่…”

“มาเถอะ”

ยังไม่ทันกล่าวคำปฏิเสธ รุ่นพี่ชิมิซึกลับพูดตัดบทเสียก่อนอีกฝ่ายลุกขึ้นยืนแล้วลากเขาให้ออกห่างจากฝั่ง

“ม…ไม่ต้องหรอกครับ อ… เอาไว้คราวหน้าก็ได้” ฮารุโตะบอกด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักเมื่อรุ่นพี่ร่วมชมรมดึงให้เขาเดินตามลงน้ำลึกขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าของหนุ่มรุ่นพี่ยังแต้มรอยยิ้มที่มุมปากแต่เขารู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างไรไม่รู้ ความลึกของน้ำมากขึ้นจนเขาไม่สามารถสัมผัสพื้นทรายได้เต็มฝ่าเท้า นั่นล่ะฮารุโตะถึงได้ผวากอดคอของอีกฝ่ายไว้แน่น ถ้าเกาะไว้แน่นขนาดนี้อย่างไรก็คงแกล้งอะไรเขาไม่ได้แน่ ฮารุโตะคิดในใจ จนทำให้ลืมสนใจเสียงหัวเราะเบาๆที่ข้างหู

“ยังไม่ลึกมากเสียหน่อย”

“แต่ขาผมไม่ถึงแล้วครับ”การที่เท้าสัมผัสได้แต่น้ำเป็นอะไรที่น่ากลัวจริงๆ

“กอดฉันไว้แน่นอย่างนี้ยังจะกลัวจมอีก”พอโดนออกปากทัก เด็กหนุ่มจึงรู้สึกตัว นอกจากตนจะกอดคอของอีกฝ่ายไว้แน่นแล้วฮารุโตะยังรู้สึกถึงสองแขนที่โอบรัดอยู่รอบเอว เขาผละตัวออกห่างเก้อเขินกับอาการตื่นตูมหวาดกลัวเกินเหตุของตนอยู่ไม่น้อย ร่างกายของเขาและรุ่นพี่ปีสามลอยขยับตามคลื่นที่พัดเข้าหาฝั่งคงเพราะออกมาไกลจากฝั่งอยู่มาก รอบข้างจึงเงียบสงบราวกับทั้งโลกมีเพียงพวกเขาแค่สองคน

“เรื่องเมื่อคืน…” ฮารุโตะเอ่ยปาก “รุ่นพี่คงไม่บอกใครใช่ไหมครับ”

“ฉันควรต้องพูดให้คนอื่นฟัง?” ซากิเลิกคิ้วถาม

“ไม่ครับไม่ควร”ฮารุโตะสั่นศีรษะปฏิเสธโดยแรง พอโล่งใจขึ้นมาบ้างที่เรื่องน่าอายแบบนั้นจะไม่หลุดไปถึงหูคนอื่น

ซากิมองฮารุโตะที่ก้มหน้าลงต่ำใบหน้าของรุ่นน้องขึ้นสีแดงเพราะแสงแดด ปากที่ฉ่ำน้ำนั้นก็ดูแวววาวอย่างน่าประหลาด

“หลับตาแล้วกลั้นหายใจหน่อยซิ”

ฮารุโตะเงยหน้ามองด้วยความแปลกใจระคนสงสัย

“นับหนึ่งถึงสามนะ” ยังไม่ทันที่จะเอ่ยถามรุ่นพี่ก็เริ่มต้นนับเสียแล้ว ไม่มีเวลาให้เขาคิดอย่างอื่นฮารุโตะจึงต้องทำตามอย่างเลี่ยงไม่ได้ เป็นจังหวะเดียวกับที่อีกฝ่ายนับถึงสามร่างกายของเขาถูกดึงสู่ผืนน้ำเบื้องล่าง ฮารุโตะตกใจจนสำลักน้ำก่อนความนุ่มหยุ่นจะประทับตามลงมา กระนั้นเด็กหนุ่มไม่กล้าที่จะลืมตาเพราะความอื้ออึงหากแต่สงบเงียบที่รายล้อมร่างกายและทันทีที่ร่างกายพุ่งขึ้นอยู่เหนือแผ่นน้ำ เขาทั้งไอสำลักและกอบโกยลมหายใจเข้าสู่ปอด

“จะดำน้ำก็บอกกันก่อนสิครับ” ฮารุโตะต่อว่า ใบหน้าของเขาเป็นสีแดงมากกว่าเดิมและแม้ใบหน้าของซากิจะอยู่ใกล้เสียจนจมูกแทบจะชนกันเด็กหนุ่มก็ยังไม่รู้สึกตัว

“งั้นจะดำน้ำอีก”

เด็กหนุ่มรีบสั่นศีรษะปฏิเสธ “ไม่เอานะ”ให้ทำอะไรน่ากลัวแบบนั้นอีกเขาไม่ยอมทำอีกเด็ดขาด

“ผมจะกลับ”ฮารุโตะบอกและต่อให้จะต้องว่ายน้ำกลับไปเองเขาก็จะทำ ฮารุโตะจ้องหน้าหนุ่มรุ่นพี่ซึ่งอีกฝ่ายก็จ้องกลับไม่ลดละ

“เอ้า กลับก็กลับเกาะดีๆล่ะ จะพุ่งแล้ว”ร่างสูงใหญ่พุ่งตัวแหวกว่ายในกระแสน้ำอย่างที่ปากว่าพอถึงช่วงที่น้ำตื้นจนเด็กหนุ่มร่างเล็กพอจะยืนถึงก็ชะลอความเร็วปล่อยให้อีกฝ่ายยืนเอง ฮารุโตะหันมากล่าวขอบคุณก่อนจะรีบวิ่งขึ้นหาดไป

กลุ่มสมาชิกชมรมถ่ายภาพออกเดินทางกลับกันตอนบ่ายโมงกว่าๆ โดยไปทานอาหารกลางวันกันที่ร้านอาหารบริเวณนั้นและแวะซื้อของฝากก่อนกลับ ทีแรกฮารุโตะได้แต่เดินดูบรรดาขนมของฝากเฉยๆเพราะไม่รู้ว่าควรจะซื้อฝากใครเนื่องจากเขาอยู่ตัวคนเดียว แต่พอนาโอโตะออกปากทักเรื่องผู้จัดการของร้านที่ทำงานพิเศษเขาจึงนึกขึ้นมาได้ เด็กหนุ่มจึงเลือกหยิบมันจูและไดฟุกุกลับไปเป็นของฝาก



กลับมาจากทริปเที่ยวทะเลกับชมรมยังคงเหลือวันหยุดอีกราวๆสามอาทิตย์ ฮารุโตะไม่ได้ลงเรียนภาคฤดูร้อนแต่เขาก็ใช้เวลาว่างแต่ละวันในการทบทวนบทเรียน พอตกเย็นก็ไปทำงานพิเศษเด็กหนุ่มไม่ได้หางานพิเศษเพิ่ม เนื่องจากเขาจะต้องคงผลการเรียนให้อยู่ในระดับดีอยู่เสมอเพื่อรักษาทุนการศึกษา ถ้าใช้จ่ายอย่างประหยัด เงินค่าจ้างจากงานพิเศษก็เพียงพอสำหรับค่าเช่าห้องและค่าใช้จ่ายจิปาถะ

ช่วงเที่ยงหลังจากที่ฮารุโตะทานอาหารกลางวันซึ่งเป็นข้าวกล่องที่เตรียมมาตั้งแต่เช้าเรียบร้อย เขายังคงนั่งเล่นอยู่ที่ม้านั่งข้างอาคารหอสมุด หลายวันมานี้เขานั่งอ่านหนังสือแทบทุกวันจนรู้สึกเบื่อ นั่งว่างๆอยู่ชั่วครู่ใหญ่จึงลุกขึ้นยืนมุ่งหน้าตรงไปยังอาคารของคณะศิลปศาสตร์ซึ่งเป็นที่ตั้งของชมรมถ่ายภาพ ฮารุโตะไม่ได้คาดหวังว่าห้องชมรมจะเปิดแต่ตอนนี้เขาว่างและเหงาอย่างที่สุดถ้าได้เจอพวกรุ่นพี่ก็คงจะดีไม่น้อย

ดังนั้นตอนที่จับลูกบิดประตูและสามารถเปิดมันออกได้ เขาจึงรู้สึกดีใจอย่างที่สุด

“อ้าว ฮารุจังมาทำอะไรที่มหาวิทยาลัยล่ะเนี่ย”

“สวัสดีครับ ผมมาอ่านหนังสือเตรียมตัวสำหรับการเรียนในเทอมหน้าครับ รุ่นพี่ล่ะครับมาทำอะไรหรือ”

“เรย์ต้องมาช่วยงานอาจารย์ที่คณะ พี่เลยโดนลากให้มาด้วย”นาโอโตะลุกจากโต๊ะคอมพิวเตอร์แล้วเดินเข้าไปหารุ่นน้องร่วมชมรม เขาจับข้อมืออีกฝ่ายพลางดึงให้ไปนั่งที่ชุดโซฟา หยิบเอาอัลบั้มภาพถ่ายส่งให้อีกฝ่าย

“ภาพตอนไปเที่ยว”

ฮารุโตะรับมาถือไว้ด้วยรอยยิ้ม เปิดหน้าแรกเป็นภาพถ่ายที่สถานีรถไฟมีทั้งภาพหมู่และภาพแอบถ่าย หน้าถัดมามีภาพบนรถไฟที่หลายคนนอนหลับคอพับคออ่อน ไล่เหตุการณ์ไปเรื่อยๆฮารุโตะหัวเราะเมื่อเห็นภาพรุ่นพี่ฮายาชิถูกเขียนหน้าเสียเละเทะ น่าเสียดายที่คืนนั้นเขาเมาหลับไปเสียก่อนไม่เช่นนั้นคงสนุกกว่านี้ ฮารุโตะคิดอยู่ในใจ

“มาแล้ว” เสียงนั้นดังขึ้นมาเป็นจังหวะเดียวกับที่ฮารุโตะดูภาพในอัลบั้มจบพอดี

“เรียบร้อยแล้วหรือ”

“อืม กลับกันเถอะหิวแล้ว”

พอได้ยินเช่นนั้นฮารุโตะจึงลุกขึ้น เอ่ยทักรุ่นพี่นาคามูระเล็กน้อยพร้อมทั้งเอ่ยลา ฝ่ายเรย์ที่เพิ่งเห็นเด็กหนุ่มรุ่นน้องถืออัลบั้มรูปภาพอยู่ในมือจึงได้เอ่ยขึ้นว่า

“มีภาพที่อัดไว้อยู่อีกชุดอยากได้ไหม”

“จะดีหรือครับ”

“เก็บไว้ก็ไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้วน่ะ”เรย์บอก

“เรย์จะกลับไปกินข้าวที่บ้านใช่ไหม” นาโอโตะพูดแทรกขึ้นมาซึ่งเรย์ก็พยักหน้ารับ

“งั้นดีเลยฮารุโตะไปด้วยกันสิ วันนี้พี่จะทำโซบะเย็นเป็นมื้อเที่ยงไปกินด้วยกันนะ”

“ไม่เป็นไรดีกว่าครับพอดีผมทานข้าวเรียบร้อยแล้ว อีกอย่างผมเกรงใจด้วย”

“เถอะน่า ไปเถอะกว่าจะถึงบ้าน ข้าวที่เพิ่งกินไปก็ย่อยแล้วล่ะ ไปลองชิมฝีมือของพี่หน่อยนะ”นาโอโตะคะยั้นคะยอพลางรุนหลังให้รุ่นน้องเดินออกจากห้อง

“แล้วก็ไปเอารูปที่เรย์ว่าด้วยไม่ดีหรือ”

“จะไม่รบกวนหรือครับ”

“ไม่หรอกน่า” นาโอโตะย้ำให้ฟังอีกรอบฮารุโตะจึงพยักหน้ารับ

ใช้เวลาราวๆสิบห้านาทีโดยรถยนต์จากมหาวิทยาลัย พวกเขาก็มาถึงที่หมาย นาคามูระ เรย์ถอยรถเข้าจอดในที่จอดรถเรียบร้อย นาโอโตะจึงเปิดประตูลงจากรถยนต์ซึ่งฮารุโตะก็ทำตามเช่นกัน

“บ้านพี่อยู่หลังโน้น” นาโอโตะชี้ไปยังบ้านข้างๆซึ่งอยู่ติดกัน “ส่วนหลังนี้บ้านเรย์ เดี๋ยวเราเดินไปบ้านพี่กันนะ”

“เดี๋ยวตามไปนะ”เรย์บอกไล่หลังตามมาเมื่อสองหนุ่มคู่รุ่นพี่รุ่นน้องต่างคณะพากันเดินออกไปจากรั้วบ้าน นาโอโตะทำแค่เพียงขานรับ

นาโอโตะเปิดประตูเลื่อนหน้าบ้านพลางร้องบอกว่ากลับมาแล้ว จากนั้นจึงเปิดประตูตู้รองเท้าหยิบรองเท้าที่ใช้ในบ้านมาให้ฮารุโตะสวม เดินนำหนุ่มรุ่นน้องมายังห้องนั่งเล่นและกดตัวเด็กหนุ่มร่างเล็กให้ทรุดตัวลงนั่งบนโซฟา

บ้านของรุ่นพี่อาโอกิกว้างและใหญ่จนเขารู้สึกประหม่า

“นั่งรออยู่ที่นี่ก่อนนะ” นาโอโตะหันไปเปิดทีวีให้ฮารุโตะ ส่งรีโมตให้อีกฝ่ายถือเป็นจังหวะเดียวกับเสียงฝีเท้าตึงตังตามทางมาหยุดลงที่กรอบประตูห้อง

“พี่กลับมาแล้ว”เจ้าของเสียงเป็นเด็กผู้หญิงร่างเล็กที่กะประมาณดูแล้วน่าจะอยู่ในวัยประถม

“นี่น้องสาวพี่เองชื่อมิกิ ส่วนทางนี้ฮารุโตะเป็นรุ่นน้องที่มหาวิทยาลัย”

มิกิพยักหน้ารับเอ่ยทักทายก่อนจะพูดต่อไปอีกว่า“หิวแล้ว หิวแล้วรอตั้งนานแหนะ”เธอคนนั้นปราดเข้ามาเกาะแขนของนาโอโตะไว้ พยายามดึงให้ชายหนุ่มเดินตาม ปากก็พร่ำบอกว่าให้ไปทำเร็วๆ

“ฮารุจังรออยู่นี่นะ เดี๋ยวพี่ทำเสร็จแล้วจะมาเรียก”

“ผมไปช่วยด้วยดีกว่าครับ”เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืน

“อืม เอาอย่างนั้นหรือ”

ด้วยเหตุนี้ฮารุโตะจึงมายืนอยู่ในครัวของบ้านอาโอกิ  ห้องครัวของบ้านกว้างขวางไม่ต่างจากห้องนั่นเล่น ฝากหนึ่งเป็นเคาน์เตอร์หินที่ติดตั้งชุดเครื่องครัวพร้อมสรรพ ทั้งเตาหุงต้ม เตาอบ ไมโครเวฟ ตู้เย็นและอ่างล้างจาน มีโต๊ะหินตัวยาววางตั้งไว้เพื่อแบ่งพื้นที่ของโต๊ะทานอาหารสำหรับแปดคนและอีกฟากเป็นทีวีจอยักษ์

ถึงจะบอกว่าขอมาช่วยแต่ฮารุโตะได้แต่ยืนเก้ๆกังๆ เขาไม่เคยทำโซบะเย็น ไม่รู้จักวิธีทำและไม่เคยทาน ถ้าพูดให้ถูกคือเขาเคยได้ยินแต่ชื่อเพียงอย่างเดียวซึ่งดูเหมือนนาโอโตะก็พอจะรู้จึงได้สั่งให้เขาช่วยงานเล็กๆน้อยๆ

“ของหวานจะเป็นอันมิตสึ  ฮารุจังช่วยเตรียมผลไม้ให้ที อยู่ในตู้เย็นนะ”นาโอโตะบอกพลางหันไปยกหม้อขึ้นตั้งบนเตา ใบหนึ่งใส่น้ำสำหรับลวกเส้น อีกใบสำหรับทำน้ำจิ้ม

ขนมหวานที่นาโอโตะพูดถึงคราวนี้เป็นขนมที่ฮารุโตะรู้จัก เขาเคยได้ทานอยู่สองถึงสามครั้งตอนที่มีผู้ใจบุญมาเลี้ยงอาหารที่บ้านอุปถัมภ์

“หนูทำด้วย”เด็กหญิงร้องบอก เธอเดินไปเปิดประตูตู้เย็นอย่างคล่องแคล่วดึงกล่องพลาสติกออกมาจากตู้ ฮารุโตะจึงเดินตามไปช่วยถือ เธอหยิบส่งให้เขาหลายต่อหลายกล่อง เด็กหนุ่มจึงนำไปวางบนโต๊ะหินตัวยาว มิกิปิดประตูตู้เย็นและไปลากเก้าอี้มาเพื่อให้ตนยืนอยู่ในระดับความสูงที่สามารถทำงานได้ถนัด ทั้งยังมีมีดพลาสติกเป็นของส่วนตัว

“มิกิชอบทำกับข้าวเลยต้องมีอุปกรณ์พวกนี้เตรียมไว้ให้” นาโอโตะหันไปบอกขณะส่งมีดให้เด็กหนุ่มรุ่นน้อง

“หนูทำอาหารอร่อยด้วยนะ”เด็กหญิงพูดอวด

“ทำอร่อยทำไมถึงไม่ทำกินไปก่อนล่ะมาหิ้วท้องรอพี่ทำไม”นาโอโตะเอ็ดอย่างไม่จริงจังนัก

“ก็พี่บอกว่าจะทำโซบะเย็นหนูก็ต้องรอสิคะ เดี๋ยวไม่มีคนกิน พี่จะเสียใจนะ”

“จ้าๆๆ” นาโอโตะรับคำอย่างเสียไม่ได้ เขาหันไปดูเส้นโซบะในหม้อเมื่อเห็นว่ายังไม่ได้ที่ จึงหันไปดูน้ำจิ้มที่อยู่ในหม้ออีกใบ

ขณะเดียวกันฮารุโตะกำลังจัดการหั่นแบ่งครึ่งลูกสตรอเบอรี่ตามที่มิกิบอกแจ้วๆ จากนั้นจึงปอกแอปเปิลและลูกพลับหั่นเป็นชิ้นบางๆ ไม่นานนักผลไม้สำหรับทำอันมิตสึจึงได้ถูกเตรียมเสร็จเรียบร้อย ฝ่ายนาโอโตะก็นำเส้นขึ้นผ่านน้ำเย็นและนำมาแช่อยู่ในน้ำแข็งเรียบร้อย

“จัดไว้สักห้าถ้วย”นาโอโตะบอกขณะที่นำวุ้นแกะจากพิมพ์เรียงใส่ถ้วยกลมใบย่อม ตามด้วยผลไม้ที่เตรียมไว้ ใส่ชิระตะมะดังโกะ ถั่วแดงหวานและคุโระมิตสึ  ทั้งมิกิและฮารุโตะต่างจัดถ้วยขนมหวานตามที่นาโอโตะทำให้ดู

“เดี๋ยวจะทานแล้วค่อยตักไอศกรีมมาใส่”

ตอนที่อาหารทุกอย่างเกือบจะเสร็จ เรย์ก็มาปรากฏตัวให้เห็น

“มิกิไปตามมาริให้หน่อยนะ”

เด็กหญิงพยักหน้ารับและวิ่งตื๋อออกไปจากห้อง นาโอโตะหันไปเปิดประตูตู้หยิบถ้วยใส่ซอสใบเล็กออกมาบีบวาซาบิใส่ลงไปในถ้วย จังหวะนั้นเรย์ได้เดินเข้ามาพอดี

“อันนี้รูปที่บอกว่าจะเอามาให้นะ”เรย์ส่งรูปให้ฮารุโตะ เด็กหนุ่มจึงหันไปเช็ดมือกับผ้าเช็ดมือและหยิบมาเปิดดู

“เอ้า เรย์เอาไปวางที่โต๊ะ”ฝ่ายพ่อครัวจึงส่งถ้วยน้ำจิ้มกับวาซาบิให้อีกคนที่ยังยืนว่างนำไปวางไว้บนโต๊ะทานอาหาร ฮารุโตะจึงได้วางซองใส่รูปไว้ก่อนและยกกระจาดไม้ไผ่ซึ่งบรรจุเส้นโซบะไว้ไปวางบนโต๊ะเช่นเดียวกัน

พอมิกิกลับมาเธอก็รีบกลับไปนั่งยังที่ประจำของตัวเองทันที

“คนนี้น้องสาวของพี่ชื่อมาริ”

นาโอโตะแนะนำเด็กหญิงวัยมัธยมอีกคนให้ฮารุโตะรู้จัก เธอกล่าวทักทายเขากลับมาด้วยท่าทางนิ่งๆเรียบๆ

ฮารุโตะนั่งลงข้างนาโอโตะฝั่งตรงข้ามเป็นนาคามูระ เรย์ ถัดกันเป็นมาริส่วนมิกินั่งอยู่อีกข้างหนึ่งของนาโอโตะจากนั้นจึงลงมือทานอาหาร เด็กหนุ่มมองดูรุ่นพี่คีบวาซาบิลงในถ้วยน้ำจิ้มและคีบเส้นโซบะลงคลุกเคล้าในถ้วยจึงทำตาม เส้นเหนียวนุ่มเย็นๆเหมาะกับหน้าร้อนเข้ากับน้ำจิ้มได้เป็นอย่างดี

“อร่อยมากครับ”ฮารุโตะพูดออกมา นาโอโตะได้ยินเช่นนั้นจึงหันมายิ้มให้

“ถ้าอร่อยก็ทานเยอะๆนะ”

ถึงจะยังรู้สึกเกรงใจและทานอาหารเที่ยงมาแล้วแต่ฮารุโตะก็ยังสามารถทานโซบะในสำรับของตนได้จนหมด หลังจากทานอันมิตสึไอศกรีมชาเขียวเป็นของหวานตบท้าย เขาอิ่มตื้อจนแทบลุกไม่ไหวกระนั้นเมื่อเห็นเจ้าของบ้านเริ่มเก็บจานชาม เขาก็ลุกขึ้นไปช่วยอย่างไม่อิดออด

ฮารุโตะนั่งคุยนั่งเล่นอยู่ที่บ้านของนาโตะจนใกล้เวลาเข้าทำงานพิเศษจึงขอตัวลากลับ

“ไว้มาเที่ยวอีกนะ”

“ครับ”เด็กหนุ่มรับคำแม้จะแอบคิดอยู่ในใจว่าเขาคงไม่กล้ามารบกวนอีกอย่างที่รุ่นพี่เอ่ยปากชวน

“เออ พรุ่งนี้กลางวันก็ยังว่างใช่ไหม”

ฮารุโตะไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้วนอกจากไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดเขาจึงตกปากรับคำทันที

“ไปเที่ยวกันไหม”นาโอโตะเอ่ยปากชวนไปเที่ยวห้างสรรพสินค้าซึ่งอยู่ไม่ห่างจากมหาวิทยาลัยมากนัก เขาเองไม่มีเหตุที่ต้องปฏิเสธจึงตอบตกลงอย่างง่ายดาย

“ฮารุจังไม่มีโทรศัพท์นี่เนอะ เอาเป็นว่าเจอกันที่มหาวิทยาลัยก่อนแล้วกันนะ”

นัดหมายเวลาและสถานที่เรียบร้อยเด็กหนุ่มจึงกล่าวขอตัวลาอีกครั้ง

“เดี๋ยวฉันไปส่งให้ละกัน”เรย์ที่เงียบฟังอยู่นานพูดขึ้นมาบ้าง

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ยังเหลือเวลาอีกนานกว่าจะถึงเวลาเข้างาน ผมคิดว่าไปรถบัสก็น่าจะทันเวลา”

“นายเพิ่งมาแถวนี้ครั้งแรกให้เรย์ไปส่งดีกว่านะ ไม่ค่อยชินทางเดี๋ยวจะหลง”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ”ฮารุโตะปฏิเสธด้วยความรู้สึกเกรงใจ

“ไม่ต้องเกรงใจหรอกนะ เรย์เอารถออกเลย”

ด้วยเหตุนี้ฮารุโตะจึงได้มานั่งอยู่บนรถยนต์สี่ประตูของนาคามูระ เรย์อีกครั้ง เขาทั้งประหม่าและตื่นเต้นจึงได้แต่นั่งเงียบปล่อยให้เสียงเพลงจากคลื่นวิทยุผ่านเข้าหู ตอนที่หนุ่มรุ่นพี่ส่งเสียงเรียกซึ่งแม้จะไม่ได้ดังมากแต่ก็ทำให้เขาสะดุ้ง

“เอ่อ… เป็นไงบ้างมาอยู่ในชมรมร่วมสองเดือนแล้ว”

“ดีมากเลยครับ”ฮารุโตะตอบ การที่ได้มาเข้าชมรมนี้มีแต่เรื่องดีๆเต็มไปหมด

“ถามจริงเถอะ ทำไมมาสมัครเข้าชมรมล่ะ”

ฮารุโตะนั่งเงียบพลางคิดว่าควรจะตอบไปอย่างที่คิดหรือไม่ แต่เรื่องที่ชอบรุ่นพี่นาคามูระให้พูดออกไปคงไม่ดีแน่เขาครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่จึงตอบออกไป

“ร…รุ่นพี่คงจำภาพที่รุ่นพี่ชนะการประกวดเมื่อหลายเดือนก่อนได้ใช่ไหมครับ”เริ่มต้นพูดอย่างลังเลพลางเหลือบมองหนุ่มรุ่นพี่ที่มองตรงไปเบื้องหน้าอย่างมีสมาธิในการขับรถ

“ผม…ไปยืนดูภาพนั้นอยู่ตั้งนาน ภาพนั้นสวยมากๆ ผมยังคิดเลยว่าสมควรแล้วที่จะได้รางวัลชนะเลิศ”

“แล้ว…”เพราะฮารุโตะเงียบไปชายหนุ่มผู้เป็นสารถีจึงออกเสียงกระตุ้น

“ก็ไม่อย่างไรครับ….” เขาคิดไม่ออกว่าควรพูดต่อไปเช่นไรเพื่อไม่ให้ดูน่ารังเกียจ รุ่นพี่อาจจะไม่ประทับใจกับการที่มีผู้ชายมาชอบ ในสมองของฮารุโตะหมุนติ้วๆเพื่อหาคำตอบดีๆ

“อยากถ่ายภาพเป็นอย่างนั้นเหรอ” เรย์เหลือบสายตามองเมื่อเห็นอีกคนยังเงียบ

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ” ผมไม่มีปัญญาซื้อกล้องราคาแพงๆแบบนั้นหรอก ฮารุโตะพูดต่อกับตัวเองในใจ

“เหมือนแค่อยากรู้ว่าการถ่ายภาพสวยๆแบบนั้น ต้องทำอย่างไรบ้างประมาณนั้นน่ะครับ”

เรย์ครางรับรู้ในลำคอ

พอชายหนุ่มผู้ซึ่งเป็นคนขับเงียบเสียง ฮารุโตะจึงได้แต่นั่งเงียบตามไปด้วย ทั้งที่ในใจค่อนข้างกระวนกระวายไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไรกับคำตอบของเขา เด็กหนุ่มไม่อยากให้รุ่นพี่ที่ตนแอบชอบนึกรังเกียจตนเองไปเสีย แม้ความหวังที่อยากจะให้อีกฝ่ายรู้สึกชอบพอตนกลับมาบ้างจะดูริบหรี่ แต่ในส่วนลึกของจิตใจเขายังแอบหวังว่าความปรารถนาของเขาจะเป็นจริงในสักวัน


+++++++++++++++

หมายเหตุ

โซบะเย็น : อาหารแบบเส้นดั้งเดิมของญี่ปุ่นทำจากเส้นโซบะ โซบะที่ต้มแล้วทำให้เย็นและล้างเพื่อเอาความหนืดออก จากนั้นบะหมี่จะถูกเสิร์ฟในภาชนะหรือกระจาดตะแกรงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ทำจากไม้ไผ่หรือไม้ที่มีรั้วไม้ไผ่วางไว้ที่ด้านล่างของภาชนะ จะเสิร์ฟมาพร้อมกับโซบะ-ทซึยุ (น้ำจิ้ม) ในชามขนาดเล็กที่แยกต่างหากที่เรียกว่าโซบะโชโก ใช้ตะเกียบคีบโซบะขนาดพอคำและจุ่มลงในทซึยุก่อนรับประทาน
โซบะประเภทนี้เรียกว่าโมริ โซบะ (เสิร์ฟบนกระจาดหรือถาดแบน) และซารุ โซบะ (ราดหน้าด้วยสาหร่ายโนริหั่น) เนื่องจากวิธีการเสิร์ฟและการรับประทาน
ที่มา : https://th.sushiandsake.net/special/food/detail_7

อันมิตสึ : เป็นชื่อเรียกขนมหวานชนิดหนึ่งของญี่ปุ่น ทำจากวุ้น ถั่วแดง โมจิ ผลไม้สด และไอศกรีม เสิร์ฟพร้อมคุโรมิตสึ หรือน้ำผึ้งดำ นิยมทานเย็นๆ กันในช่วงหน้าร้อน
ที่มา : http://www.jgbthai.com/anmitsu/
แต่วิธีการทำที่เขียนในเรื่องอ้างอิงตามคลิปนี้ : https://www.youtube.com/watch?v=DDzzIU8kD9U
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-10-2017 10:31:40 โดย ตีสี่ »

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 3 : 8/Feb/2017
«ตอบ #13 เมื่อ08-02-2017 06:10:18 »



เช้าวันรุ่งขึ้นฮารุโตะมารอนาโอโตะยังสถานที่ที่นัดหมาย เมื่อก้มมองดูนาฬิกาและพบว่าตนมาถึงก่อนเวลานัดร่วมสิบนาทีเขาจึงไปนั่งรอยังม้านั่งที่มหาวิทยาลัยจัดเตรียมไว้สำหรับบริการนักศึกษา

อากาศเริ่มกลับมาเย็นลงอีกครั้งหลังผ่านพ้นช่วงร้อนอบอ้าวของเดือนสิงหาคม ฮารุโตะมองดูใบไม้ที่ยังคงมีสีเขียวอากาศกำลังเย็นสบายอย่างน่านอน ความคิดของเด็กหนุ่มล่องลอยเรื่อยเปื่อยเขานั่งนิ่งอยู่เช่นนั้นนานพอควร จนกระทั่งมีเสียงเรียกชื่อดังขึ้น เขาจึงหันไปตามเสียงนั้น เมื่อเห็นว่าเป็นหนุ่มรุ่นพี่ที่ตนนัดหมายไว้จึงเดินเข้าไปหา

“อรุณสวัสดิ์ เดี๋ยวขึ้นไปคุยต่อบนรถนะ” นาโอโตะเปิดประตูหลังให้เขาขึ้นไปนั่งเมื่อก้าวมาอยู่บนรถยนต์แล้วและเห็นหน้าตาสารถี ฮารุโตะจึงรู้สึกแปลกใจไม่น้อย

“กินอะไรมาหรือยัง”นาโอโตะหันมาถามในขณะที่รถยนต์เริ่มเคลื่อนที่

“เรียบร้อยแล้วครับ”ฮารุโตะตื่นแต่เช้าด้วยความเคยชินทุกวันเพราะถูกฝึกมาตั้งแต่สมัยที่ยังอาศัยอยู่ในบ้านอุปถัมภ์ แม้ปัจจุบันจะอยู่ตัวคนเดียวมีโอกาสนอนตื่นสายได้ตามใจชอบ แต่เขามักจะรู้สึกตัวตื่นเวลาเดิมตอนเช้าตรู่เสมอ

“แต่เรย์ยังไม่ได้กินข้าวเลยสงสัยเราต้องแวะพาสารถีไปกินข้าวก่อนนายสะดวกไหม”จบประโยคนั้นนาโอโตะยังพูดต่อไปอีกว่า

“ไม่รู้จะตามมาทำไม บอกแล้วมาเองได้”

“ไม่ดีเหรอ จะได้มีคนขับรถให้ไง”เรย์ตอบกลับไปด้วยเสียงเนือยๆ ฮารุโตะคงไม่คิดอะไรกับบทสนทนานั้นนัก หากไม่หันไปเห็นรุ่นพี่นาคามูระเหลือบมามองเขาและได้สบตากัน จังหวะการเต้นของหัวใจในอกจึงกระดอนขึ้นมาทันที แค่เสี้ยววินาทีเขาก็หลุบเปลือกตาลงเพื่อหลบเลี่ยง เสียงหัวใจเต้นยังดังก้องหู ฮารุโตะเหลือบสายตาขึ้นมองคนขับอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ นาคามูระ เรย์หันไปให้ความสนใจแต่ถนนเบื้องหน้าแล้ว ถึงกระนั้นเสียงหัวใจของเขายังคงดังกระหน่ำ เด็กหนุ่มยกฝ่ามือขึ้นแนบอก มุมปากยกยิ้มโดยไม่รู้ตัว

ฮารุโตะเป็นมนุษย์จำพวกที่มักจะพึงพอใจกับเรื่องดีๆเล็กๆน้อยๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ดังนั้นการได้สบตากับนาคามูระ เรย์จึงทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นอีกมากมาย ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นพวกขี้อายที่ชอบก้มหน้าก้มตาอยู่ตลอดเวลาและมีบรรยากาศรอบตัวที่อึมครึมหม่นหมองอยู่เป็นนิตย์ กระนั้นอารมณ์ชื่นมื่นเช่นที่เป็นอยู่นี้ยังกระจายฟุ้งรอบตัวจนนาโอโตะยังเอ่ยปากทัก

“วันนี้มีอะไรหรือ ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษเชียว”

ฮารุโตะสั่นศีรษะปฏิเสธส่งยิ้มให้รุ่นพี่ผู้แสนใจดีด้วยความเขินอาย พอเหลือบสายตาไปมองรุ่นพี่นาคามูระ ฝ่ายนั้นก็เหมือนกำลังมองมาที่เขาอยู่ก่อนแล้ว ในสถานการณ์เช่นนี้จะไม่ให้เขาคาดหวังได้เช่นไร

…รุ่นพี่นาคามูระอาจจะมีใจให้เขาบ้างก็เป็นไปได้

“อิ่มหรือยังเรย์ ที่จริงนายไม่ต้องไปเดินด้วยก็ได้นะเห็นชอบบ่นเวลาที่ฉันเดินซื้อของทุกที ตามมาทำไมก็ไม่รู้”

“ก็จริงนี่ นายมันบ้าช็อปปิ้งอย่างกับผู้หญิง อีกอย่างฉันมาช่วยถือของให้ไม่ดีเหรอไง”

“กล้าพูดนะ ทำอย่างกับตัวเองไม่เป็น นายซื้อรองเท้าจนต้องมีห้องเก็บเฉพาะเลยไม่ใช่เหรอ ไหนจะนาฬิกา กล้องโปรตัวละสามสี่แสนที่เรียงอยู่เต็มตู้อีก นายไม่บ้าช็อปปิ้งเลยนะ” นาโอโตะแดกดันกลับด้วยน้ำเสียงหมั่นไส้ เรย์จึงปฏิเสธอะไรไม่ได้นอกจากหัวเราะเจื่อนๆตอบกลับไป

พวกเขาออกจากร้านอาหาร นาโอโตะเดินนำพาเข้าร้านเสื้อผ้าแบรนด์ดังที่ตนเป็นลูกค้าประจำ ฮารุโตะเดินดูเสื้อผ้าเหล่านั้นด้วยความตื่นตา เสื้อผ้าของเขาส่วนใหญ่เป็นของบริจาค ถึงจะมีเสื้อผ้าที่ติดตรามีชื่อเสียงอยู่บ้าง แต่ล้วนเป็นของที่ผ่านการใช้งานมาแล้วสีสันจึงดูซีดจางกว่าเสื้อผ้าซึ่งแขวนอยู่บนราวพวกนี้ เด็กหนุ่มหยิบเสื้อผ้ายืดมีปกสีฟ้าออกมาจากราวแขวน เนื้อผ้านุ่มมือยามที่เขาจับ ผ้าเนื้อบางเบาสบายสำหรับหน้าร้อน ทั้งสีทั้งรูปแบบสวยจนเขาถูกใจแต่พอพลิกป้ายราคาขึ้นมาดูเขาต้องนำมันแขวนเข้าที่เดิมทันที ฮารุโตะไม่คิดเลยว่าแค่เสื้อยืดจะราคาแพงขนาดนี้ ตัวอื่นๆที่เขาลองหยิบขึ้นมาดูก็ราคาใกล้เคียงกัน เขาจึงไม่คิดหยิบเสื้อผ้าชุดไหนขึ้นมาอีก

ฮารุโตะเดินกลับไปหานาโอโตะที่กำลังเลือกกางเกงยีนอยู่ที่มุมหนึ่ง

“เป็นไงบ้างฮารุจังเจออะไรที่ถูกใจไหม”

ฮารุโตะสั่นศีรษะพลางยิ้มให้

“นายเองเถอะยังเลือกไม่ได้อีกเหรอ”

“ก็มันตัดสินใจยาก นายว่าไงตัวไหนดีล่ะ”

เรย์โคลงศีรษะก่อนที่จะชี้ไปที่หนึ่งในสองตัวที่นาโอโตะถือไว้ในมือ

“ตัวนี้เหรอแต่ว่าอีกตัวก็สวยนะ”

เรย์พ่นลมหายใจคล้ายเบื่อหน่าย “อย่างนั้นซื้อไปสองตัวเลย”

แต่พอเรย์พูดยุไปเช่นนั้น นาโอโตะกลับปฏิเสธ ฮารุโตะมองคนทั้งคู่ที่เถียงกันไปแย้งกันมาด้วยรอยยิ้ม ทั้งที่ไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกในส่วนลึกของหัวใจ เขาอิจฉาความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของคนทั้งคู่เหลือเกิน


ฮารุโตะแยกกับนาโอโตะและเรย์หลังจากใช้เวลาทั้งวันไปกับการเดินเที่ยวดูข้าวของซึ่งวางโชว์อยู่ในร้าน ในมือเขามีถุงใส่กล่องโทรศัพท์มือถือซึ่งถูกบังคับให้มีติดตัวไว้ แต่เนื่องจากเด็กหนุ่มก็นึกอยากได้ของฟุ่มเฟือยชิ้นนี้อยู่แล้ว เขาจึงตกลงซื้อมันอย่างง่ายดาย ในเครื่องมีทั้งเบอร์ของรุ่นพี่อาโอกิและรุ่นพี่นาคามูระและยังมีกลุ่มสนทนาของสมาชิกในชมรม

ฮารุโตะยังคงมองเบอร์ของรุ่นพี่นาคามูระอย่างยินดี…เขากำลังเข้าใกล้คนที่แอบชอบเข้าไปอีกก้าว

“มิอุระ?”

ฮารุโตะมองดูข้อความเตือนในโทรศัพท์ด้วยความแปลกใจ

ช่วงเวลาทำงานเขาเก็บโทรศัพท์มือถือไว้ในกระเป๋ากางเกงและเฝ้าคอยข้อความจากรุ่นพี่นาคามูระอย่างคาดหวัง กระนั้นเสียงเตือนก็ยังคงเงียบเชียบตลอดเวลา จนมาบัดนี้ที่กลายเป็นว่ามีข้อความจากคนที่เขาไม่รู้จักเสียแทน ซ้ำชื่อที่อีกฝ่ายตั้งไว้แทนตัวยังเขียนด้วยภาษาอังกฤษสองตัว

‘เอสเอส’ หรือ?

เด็กหนุ่มถอดเสื้อผ้าออกเพื่อเตรียมตัวอาบน้ำแม้ห้องน้ำจะเล็ก เขาก็ยังไปหาซื้อชุดฝักบัวมาติดไว้ อากาศในหน้าร้อนทำให้เขารู้สึกเหนียวเหนอะหนะ โดยเฉพาะหลังจากเลิกงานมาเช่นนี้ถ้าไม่ได้อาบน้ำก็จะรู้สึกไม่สบายตัวจนนอนไม่หลับ แต่ถ้าพอเข้าฤดูหนาวแล้วน้ำคงจะเย็นจนไม่สามารถอาบที่ห้องได้อีก อย่างไรก็ตามเมื่ออากาศเย็นลงความรู้สึกเหนียวตัวเพราะอากาศร้อนก็คงจะไม่มีอีกเช่นกัน

เขานั่งลงกับพื้นและกดข้อความพิมพ์กลับไปอย่างเชื่องช้า

“ครับ”

“มีโทรศัพท์ใช้แล้ว?”อีกฝ่ายพิมพ์ตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว

“ใช่ครับ”เด็กหนุ่มพิมพ์ตอบกลับไปด้วยความเร็วระดับหอยทากเช่นเดิม

…นั่นใครหรือครับ กำลังจะพิมพ์ถามกลับไปเช่นนั้นแต่ข้อความของอีกฝ่ายกลับเด้งแทรกขึ้นมาเสียก่อน

“เพิ่งซื้อ? วันนี้?”

“ใช่ครับ”เขาต้องลบและพิมพ์คำนี้กลับไปแทน

“นึกยังไงถึงซื้อมาใช้ล่ะ”

“แต่ก็ดีนะสะดวกดี”

“แล้วนี่อยู่ไหนล่ะ”

“ปิดเทอมแบบนี้นายทำอะไร”
ข้อความเด้งขึ้นมารวดเร็วจนฮารุโตะพิมพ์ตอบไม่ทัน

“ยังอยู่หรือเปล่าเนี่ยเงียบไปเลย”

“ผมพิมพ์ช้า”

พอข้อความขึ้นว่าถูกอ่านแล้วเสียงเรียกเข้าของโปรแกรมก็ดังตามมาทันที ฮารุโตะสะดุ้งด้วยความตกใจเขาเงอะงะด้วยความไม่เคยใช้งานจนตัดสายอีกฝ่ายไปเสียครั้งหนึ่ง แต่เสียงเรียกเข้านั้นดังขึ้นอีก ครั้งนี้เขาถึงได้กดปุ่มรับสายได้ถูก

“คุยกันแบบนี้ง่ายกว่าไหม”

เสียงที่ดังมาตามสายทุ้มต่ำไม่คุ้นหู

“ครับ”ฮารุโตะตอบกลับไปสั้นๆยังนึกไม่ออกว่าปลายสายคือใคร

“เพิ่งเลิกงานใช่ไหมใกล้จะเข้านอนหรือยัง”

“ยังครับผมว่าจะอาบน้ำก่อน”

“งั้นก็ไปอาบน้ำซะ”พอคำพูดนั้นจบอีกฝ่ายกลับตัดสายไปเสียดื้อๆ ฮารุโตะยังงุนงงไม่หายแต่ก็ลุกขึ้นไปอาบน้ำ เขาใช้เวลาแค่ครู่เดียวจึงกลับออกมาสวมใส่เสื้อผ้าเตรียมตัวเข้านอน ตอนที่ยกฟูกนอนออกมากางเสร็จเรียบร้อย เสียงเตือนของโทรศัพท์มือถือได้ดังขึ้นพอดี

“สวัสดีครับ”

“จะนอนแล้วใช่ไหม”

“ครับ” ฮารุโตเหลือบมองเวลาซึ่งเลยหนึ่งนาฬิกามาเล็กน้อย

“ถ้าอย่างนั้นฝันดีนะ”

เด็กหนุ่มได้แต่คิดในใจว่า ‘ประหลาด’ แม้จะครุ่นคิดสงสัยแต่เมื่อได้ล้มตัวลงนอนและหัวถึงหมอนเขาก็หลับลงอย่างง่ายได้

เช้าต่อมาบุคคลปริศนายังคงโทรมาหาเขาอีกครั้ง

“วันนี้จะไปไหน”

“นัดกับรุ่นพี่ไว้ครับ”

“นาโอโตะ?”

ฮารุโตะไม่ได้คิดว่าปลายสายจะเป็นกลุ่มคนจำพวกสตอล์กเกอร์ แต่กระนั้นเมื่ออีกฝ่ายพูดถึงรุ่นพี่อาโอกิมันค่อนข้างชัดเจนขึ้นมาว่าคงเป็นใครสักคนในชมรม

“ใช่ครับ… เอ่อคุณเป็นใครหรือครับ”

“ฉัน?... เป็นใครดีน้า”ปลายสายส่งเสียงหัวเราะตอบกลับมา

“ลองทายดูไหม”

“ผมทายไม่ถูกหรอกครับ”ถ้าเขานึกออกว่าอีกฝ่ายเป็นใครเขาคงไม่เอ่ยปากถาม

“ไว้ฉันจะโทรหาใหม่”แล้วอีกฝั่งก็วางสายไปเสียดื้อๆอีกครั้ง

ฮารุโตะมองโทรศัพท์ในมือด้วยความฉงน ครู่เดียวเขาก็เลิกสนใจ เด็กหนุ่มนำกระเป๋าเงินและโทรศัพท์ใส่กระเป๋าสะพายใบเก่าของตน ถึงจะคิดว่าคงไม่ไปบ้านของรุ่นพี่อาโอกิอีกแต่เมื่อรุ่นพี่เอ่ยปากชวนอีกครั้งเขาก็ไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร

แม้กระนั้นการไปบ้านรุ่นพี่อาโอกิครั้งต่อๆมา ไม่ได้ทำให้ฮารุโตะรู้สึกอึดอัดมากนักเพราะการไปที่นั่นคือการที่เขาจะต้องเรียนรู้เรื่องต่างๆ สมาธิของเด็กหนุ่มจึงพุ่งเป้าอยู่กับเรื่องที่ต้องเรียนมากกว่าความอึดอัดกระอักกระอ่วน

“วันนี้เป็นอย่างไรบ้างล่ะ”

“แค่เรื่องแต่งหน้าผมก็จะแย่อยู่แล้วต้องมาหัดทำผมด้วย ลำบากมากเลยครับ”บุคคลปริศนายังโทรหาฮารุโตะอย่างสม่ำเสมอเรื่อยมา ส่วนใหญ่เรื่องที่พูดคุยกันเป็นเรื่องทั่วๆไปหรือสิ่งที่เขาทำในวันนั้นๆและเมื่ออีกฝ่ายถามมา เขาก็ตอบกลับไปตามตรง

“ดีแล้วเรย์กับนาโอโตะชอบคิดโปรเจกท์แปลกๆ แถมเมนหลักยังเป็นการถ่ายภาพคอสเพลย์อีกมีคนทำหน้าที่คอสตูมน้อยๆลำบากชะมัด”

สิ่งที่ฮารุโตะเฝ้ารอคือการที่ปลายสายพูดถึงเรื่องรุ่นพี่นาคามูระ

“เอ่อ… รู้จักกับพวกรุ่นพี่มานานแล้วเหรอครับ”

“อืม… ตั้งแต่มอปลาย”

ช่วยเล่าเรื่องของรุ่นพี่นาคามูระให้ฟังที… เขาอยากพูดแบบนี้ออกไปเหลือเกิน

“อ๊ะ ดึกแล้วงั้นราตรีสวัสดิ์นะ”

ปลายสายถูกตัดไปแล้วฮารุโตะถอนหายใจด้วยความผิดหวัง เรื่องระหว่างเขาและรุ่นพี่นาคามูระยังไม่มีอะไรก้าวหน้าขึ้นเลย รุ่นพี่ไม่เคยโทรหรือส่งข้อความมาหาเขา ส่วนตัวเขาเองก็ไม่กล้าแม้แต่จะส่งข้อความไปหารุ่นพี่ แม้จะมีโอกาสได้เจอกันบ้างตอนที่ไปบ้านของรุ่นพี่อาโอกิแต่เขาทำได้แค่แอบมอง  …รุ่นพี่ชอบคนแบบไหนนะฮารุโตะสงสัยขึ้นมาครามครันและคิดต่อไปว่าถ้าเขาพยายามปรับเปลี่ยนตัวเองให้เป็นแบบที่รุ่นพี่ชอบอีกฝ่ายจะหันมามองเขาบ้างไหมนะ



“ถ้าพี่จะยกเสื้อผ้าเก่าของพี่ให้เราอีกจะเอาไหม”

“เอ๋” ฮารุโตะส่งเสียงถามด้วยความสงสัย

“พอดีว่าพี่มีเสื้อผ้าเก่าที่ใส่ไม่ได้แล้วเก็บไว้เยอะเลยถ้านายไม่รังเกียจพี่จะยกให้”

นาโอโตะพูดพลางเดินไปเปิดประตูตู้เสื้อผ้า ที่มุมในสุดของตู้มีกล่องใส่เสื้อผ้าซึ่งถูกพับเก็บไว้ในนั้นอย่างเรียบร้อย

“เอาไปซักใหม่เสียหน่อยก็สามารถใส่ได้แล้ว”

“จะให้ผมหรือครับ”ฮารุโตะถามเพื่อยืนยันสิ่งที่ตนได้ยิน นัยน์ตาของเขาเป็นประกายยามมองเสื้อผ้าที่นาโอโตะหยิบขึ้นมาให้ดู ไม่ว่าจะเป็นเสื้อตัวไหนเนื้อผ้าก็นิ่มเรียบลื่นยามสัมผัสทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นสีสันหรือรูปแบบล้วนถูกใจของเขาเช่นเดียวกัน

วันนั้นเขาหอบเสื้อผ้ามากมายหลายชุดกลับมาด้วย พอซักทำความสะอาดเรียบร้อย ฮารุโตะมองดูเสื้อผ้าเหล่านี้อย่างชื่นชมราวกับว่ามันเกิดมาเพื่อตัวเขาเลยทีเดียว

และในที่สุดวันหยุดฤดูร้อนก็สิ้นสุดลง

ฮารุโตะมีเรียนแต่เช้าเช่นเดิมเขาเดินทางออกจากห้องและไปถึงมหาวิทยาลัยแต่เช้า แม้จะใช้เวลาในการแต่งตัวและส่องกระจกอยู่เนิ่นนานก็ตามที ฮารุโตะตื่นเต้นกับเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ได้รับมาจากรุ่นพี่อาโอกิ จนเขาอยากจะเร่งวันเร่งคืนให้เปิดเทอมเร็วๆ ถึงแม้จะเคยใส่ให้รุ่นพี่ิอาโอกิและรุ่นพี่นาคามูระดูแล้วก็ตาม

ฮารุโตะรู้สึกราวกับว่าตนได้เปลี่ยนเป็นคนใหม่ แม้กระนั้นยามที่ถูกมองเขายังเขินอายมากอยู่ดี เด็กหนุ่มจึงได้แต่ก้มหน้าลงเพื่อหลบสายตาจากผู้คนรอบกาย

เริ่มต้นการเรียนการสอนของเทอมใหม่ด้วยวิชาพื้นฐานที่ต้องเรียนรวมกันหลายคณะ เนื่องจากเขามาถึงห้องเรียนแต่เช้าจึงสามารถเลือกที่นั่งได้อย่างเต็มที่ เด็กหนุ่มเลือกที่นั่งซึ่งอยู่ค่อนมาทางหน้าชั้นเรียน

ปิดเทอมช่วงอาทิตย์หลังๆเขาสนใจอ่านหนังสือน้อยลง จนคิดว่าคงต้องตั้งใจเรียนให้มากขึ้นไม่นานนักนักศึกษาคนอื่นๆก็ทยอยมาถึง ฮารุโตะก้มหน้าก้มตามองหนังสือตรงหน้าอย่างตั้งใจจนกระทั่งที่นั่งข้างตัวถูกจับจอง ฮารุโตะพยายามรวบรวมความกล้าทั้งหมดในร่างกายและเงยหน้าขึ้น ที่นั่งข้างเขาเป็นเด็กหนุ่มซึ่งกำลังคุยกับกลุ่มเพื่อนอย่างสนุกสนาน

“เอ่อ…นี่”ฮารุโตะลองส่งเสียงออกไปแต่เหมือนว่าเสียงเขาจะเบามากจนไม่มีใครได้ยิน ความกล้าของฮารุโตะจึงค่อยๆลีบฝ่อไป เขาจึงได้แต่ก้มหน้าอยู่กับหนังสือเช่นเดิม

ถึงแม้ว่าในชั่วโมงเรียนฮารุโตะจะไม่มีคนคุยด้วย ไม่มีเพื่อนในคณะที่เรียกว่าสนิทกันจริงๆ แต่ความสัมพันธ์กับสมาชิกในชมรมถ่ายภาพค่อนข้างจะเป็นไปด้วยดี เด็กหนุ่มเป็นลูกมือฝึกหัดที่ไม่ว่าใครจะใช้ให้ทำอะไรก็ไม่มีเกี่ยงและถึงจะผิดพลาดหรือซุ่มซ่ามไปบ้างจนโดนดุโดนว่าอยู่บ่อยครั้ง เขาก็ไม่เคยเถียงและได้แต่ก้มหน้าขอโทษทุกครั้งไป ถึงการกระทำจะไม่เป็นที่ถูกใจของใครหลายคนแต่ฮารุโตะยึดถือคติไม่ทะเลาะเบาะแว้งกับใครอย่างเหนียวแน่น

ระยะเวลาผ่านไปร่วมเดือนหลังจากวันเปิดภาคเรียน ชมรมถ่ายภาพจึงได้มีกำหนดทริปดูใบไม้เปลี่ยนสีอีกครั้ง ที่พักเป็นที่เดิมที่เคยไปเมื่อปีก่อน รุ่นพี่หลายๆคนจึงไม่ตื่นเต้นนักจะมียกเว้นก็คือรุ่นพี่อาโอกิ

“อากาศเริ่มหนาวแบบนี้ก็ต้องไปแช่ออนเซน สิ”นาโอโตะพูดอย่างร่าเริง “น้ำแร่ภูเขาไฟเชียวนะที่สำคัญที่พักก็ถูก”

ฮารุโตะไม่ค่อยเข้าใจความหมายในคำพูดของรุ่นพี่อาโอกินักจนกระทั่งได้มาเห็นที่พัก ซึ่งเป็นเรียวกังระดับห้าดาวสมาชิกปีหนึ่งร้องว้าวกันยกใหญ่

“เอ้า! ขอบคุณรุ่นพี่ฮายาชิหน่อย”นาโอโตะร้องบอก ฮารุโตะได้แต่ทำตามทุกคนด้วยความงุนงง

“ทำไมเหรอครับ”เขาถามเมื่อทุกคนเริ่มทยอยเข้าที่พัก

“ก็เรียวกังนี้เป็นของครอบครัวฮายาชิไง”

“ที่สำคัญฉันโดนนาโอโตะบังคับบีบคอให้ลดราคาตั้งแปดสิบเปอร์เซ็นต์”เรียวตะพูดเสริมด้วยความเซ็ง“คิดบ้างไหมว่าต้องทำงานใช้หนี้นานแค่ไหน”

“รุ่นพี่ต้องทำงานใช้หนี้ด้วยหรือครับถ้าอย่างไรให้ผมช่วยไหม”

“โอ๋ๆ ฮารุจังเด็กดีอย่าไปเชื่อเจ้าเรียวตะมันมาก ถึงไม่ต้องลดราคาให้พวกเรา มันก็ต้องมาทำงานที่เรียวกังอยู่ดี”นาโอโตะพูดพลางรุนหลังให้รุ่นน้องเดินเข้าห้องพัก

“สำนึกไว้นะว่าฉันยังมีความเกรงใจถึงขอห้องแค่ห้าห้อง แถมแต่ละห้องก็เป็นห้องธรรมดาทั้งนั้น”ชายหนุ่มผู้อยู่ในตำแหน่งเหรัญญิกของชมรมออกปากบอกลูกชายเจ้าของเรียวกัง คำพูดฟังดูกวนอารมณ์และลำเลิกบุญคุณจนคู่สนทนาหน้าหงิก

“พอได้แล้วจะลงไปที่สวนไหมเรียวตะ”เรย์เอ่ยปรามและหันไปเร่งเจ้าของชื่อที่ตอนนี้ทำตัวเอื่อยเฉื่อยเก็บของไม่เสร็จเสียที

“เออเข้าข้างกันดีเชียวนะ ใช่ซี ฉันมันคนนอกนี่ไม่ได้นอนเตียงเดียว…”ยังพูดไม่ทันจบผ้าขนหนูผืนเล็กก็ลอยมาปะทะที่หน้า

“เพ้อเจ้ออะไรเนี่ยจะไปหรือไม่ไป”

“เออๆเดี๋ยวตามไป เสร็จแล้วไปก่อนได้เลย”

ฮารุโตะหัวเราะกับท่าทางค้อนฟ้าค้อนลมของเรียวตะ ก่อนจะเดินตามพวกรุ่นพี่ออกมาจากห้อง ทั้งเรย์ ทั้งเอคิจิไม่เว้นแม้แต่นาโอโตะต่างสะพายกระเป๋าใส่กล้องใบใหญ่

“เอ้า… ถือหน่อยเดินอยู่เฉยๆ” เด็กหนุ่มยื่นมือออกไปรับทันทีที่มือหนาเจ้าของร่างสูงใหญ่ส่งของมาให้

“อย่างนั้นไปถ่ายรูปรวมกันข้างหน้าก่อนดีไหม ไหนๆซากิมันก็หิ้วขาตั้งกล้องมาด้วยแล้ว”เอคิจิเสนอ

“ปีที่แล้วก็ถ่าย”เรียวตะพูด ไม่รู้ว่าตามมาสมทบได้ทันตอนไหน

“เอ้า!!! ก็มีน้องปีหนึ่งด้วยไง ปีที่แล้วมีฮารุโตะเหรอ”

พอเดินมาถึงด้านหน้าสมาชิกในชมรมหลายคนกำลังเก็บภาพสถานที่กันอยู่แล้ว เรียวตะดึงขาตั้งกล้องออกจากมือของฮารุโตะเดินไปตั้งกล้องยังพื้นที่โล่งที่สามารถมองเห็นป้ายของเรียวกังได้ชัดเจน

“ใครบอกว่าปีที่แล้วก็ถ่าย”เอคิจิตะโกนแซว

“ก็นั่นมันเมื่อปีที่แล้วอีกอย่างกล้องซากิมันไม่มีรีโมต มันมีแค่ขากล้องเท่านั้น”

“มีนะ” ชายหนุ่มเจ้าของขาตั้งกล้องยกรีโมตในมือขึ้นมาโชว์

“เออๆเหมือนกันแหละ จะกล้องของใครก็ไม่ต่าง”

พอเรียวตะตั้งตำแหน่งกล้องเสร็จ ดูเหมือนว่าสมาชิกในชมรมจะมาอยู่รวมกันพร้อมหน้าพร้อมตาแทบในนาทีนั้น  จากนั้นจึงกลายเป็นมหกรรมถ่ายรูปรวมอีกครั้งเมื่อสมาชิกแต่ละคนจับจองพื้นที่วางกล้องกันเป็นแถว

ฮารุโตะยืนยิ้มจนเมื่อยก่อนจะต้องสะดุ้งเมื่อมีฝ่ามือสากร้อนมาลูบไล้แถวบั้นเอว เขาไม่กล้าหันไปมอง กลุ่มคนที่ยืนเรียงเบียดเสียดเป็นแถวก็มีแต่สมาชิกในชมรมเท่านั้น เด็กหนุ่มอยากจะขยับหนีแต่ฝ่ายนั้นกลับสอดมือเข้าใต้ชายเสื้อและรั้งร่างของเขาให้เอนไปพิงด้านหลัง เขาใจเต้นตึกตักเมื่อปลายนิ้วหยาบวนคลึงอยู่แถวสะดือพลางทำท่าจะลากลงต่ำไปกว่านั้น อย่างไรก็ตามฮารุโตะยังนับว่ามีโชคอยู่บ้างเพราะหลังจากนั้นไม่ถึงนาทีกิจกรรมถ่ายรูปรวมก็เสร็จสิ้น

ฮารุโตะรีบเดินเร็วๆเข้าไปรวมกลุ่มกับนาโอโตะไม่กล้าแม้แต่จะหันกลับไปมองด้านหลังด้วยซ้ำ

หลังจากจบการถ่ายภาพรวมหน้าเรียวกัง เรย์และเอคิจิเดินนำกลุ่มเพื่อน อันประกอบด้วยนาโอโตะ เรียวตะและซากิขึ้นเขาซึ่งอยู่ไม่ห่างจากที่พักมากนัก ส่วนฮารุโตะที่ไม่มีเพื่อนสนิทอื่นใดนอกจากรุ่นพี่อาโอกิจึงได้เดินตามรุ่นพี่ผู้แสนใจดีต้อยๆ

ฮารุโตะไม่เคยเจอประสบการณ์ลวนลามทางเพศแม้เรื่องเมื่อสักครู่จะทำให้รู้สึกกลัวอยู่บ้าง แต่ภาพด้านหลังด้านข้างหรือด้านไหนๆของรุ่นพี่นาคามูระก็ทำให้เขาลืมทุกสิ่ง ใบหน้าและท่าทางของรุ่นพี่ยามที่ถือกล้องอยู่ในมือทำให้จิตใจของเขาสั่นไหวเหลือเกิน

เมื่อถึงจุดชมวิวซึ่งสามารถมองเห็นทะเลสาบที่ถูกล้อมรอบด้วยหมู่แมกไม้ใบสีแดงแต้มแซมสีเขียวของใบไม้บางต้น รุ่นพี่ที่มีกล้องอยู่ในมือล้วนจับภาพเบื้องหน้าอย่างพิถีพิถัน ส่วนฮารุโตะผู้ซึ่งแปลกแยกกว่าคนอื่น เขามองหาที่นั่งและทรุดตัวลงจับจองเพื่อเฝ้ามองหนุ่มรุ่นพี่ที่ตนชื่นชอบเด็กหนุ่มเฝ้ามองทุกอิริยาบถด้วยอารมณ์เคลิ้มฝัน

หลังจากที่ถ่ายรูปภาพจนหนำใจ นาคามูระ เรย์จึงเดินไปหานาโอโตะ ฝ่ายนั้นเปลี่ยนจากกล้องโปรในมือมายกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปตัวเองเสียแล้ว

“ถ่ายด้วยสิ”

“เคยบอกว่าไม่ชอบ”นาโอโตะพูดทวนคำพูดที่อีกฝ่ายเคยบอกไว้

“นานๆทีลองทำบ้างก็ดีนะหรืองอน”ไม่พูดเปล่าเขายังยกมือขึ้นทำเหมือนว่าหยิกแก้มของนาโอโตะ ฝ่ายคนที่จะโดนประทุษร้ายจึงเบี่ยงตัวหนี

“ถ้าจะถ่ายก็ให้เอย์จังถ่ายให้นะ”นาโอโตะไม่ปล่อยให้ชายหนุ่มร่างสูงเอ่ยปากค้าน เขาตะโกนเรียกเพื่อนตั้งแต่สมัยเด็กของตนทันที

“เอย์จังมาเป็นช่างภาพให้หน่อย”

แม้จะร้องเรียกแค่คนเดียวแต่เรียวตะกลับตามมาป่วนด้วย

“เดี๋ยวถ่ายให้”

“ไม่ต้องหรอกน่าเรียวตะให้เอย์จังถ่ายคนเดียวพอแล้ว”

“ก็จะถ่ายอะ”เจ้าของคำพูดทำท่าจะลงไปดิ้นปัดๆราวกับเป็นเด็ก

“เออๆจะถ่ายก็ถ่าย”

“ชิดๆกันหน่อย”เรียวตะออกปากสั่งทันทีที่ยกกล้องในมือขึ้นจับโฟกัส

“ยิ้มด้วยเอาหน้าใกล้กันหน่อยเอียงซ้ายอีก เอ้า! ต่อไปก็โอบเอวบอกให้ชิดๆกันไง”

นาโอโตะถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่ายเพราะเอาแต่เล่นอย่างนี้นะสิถึงไม่อยากให้ถ่ายให้

“พอแล้วมาเดี๋ยวฉันถ่ายให้บ้าง”นาโอโตะตัดบทเดินไปคว้ากล้องจากมือเรียวตะมาถือไว้บ้างและเรียกฮารุโตะซึ่งนั่งมองอยู่ห่างๆมาเข้าเฟรมภาพ พวกเขาถ่ายรูปคู่กับวิวทะเลสาบภูเขาและหมู่ไม้จนค่อนเย็นจึงกลับที่พัก

เนื่องจากเป็นเรียวกังระดับห้าดาวอาหารเย็นจึงถูกเสิร์ฟตรงเวลาที่ห้องอาหารใหญ่ สมาชิกในชมรมหลายคนไปอาบน้ำแช่น้ำร้อนและสวมชุดยูกาตะของทางโรงแรมมานั่งรอพร้อมอยู่ในห้อง สำรับอาหารประกอบด้วยอาหารสิบสองอย่างจัดแต่งอยู่ในถ้วยอย่างสวยงามซึ่งทยอยเสิร์ฟทีละถ้วย ฮารุโตะทานอาหารด้วยความอิ่มเอมเพราะแต่ละถ้วยนอกจากจะสีสันสวยงามแปลกตาแล้วรสชาติยังอยู่ในขั้นดีมากอีกด้วย

ทานอาหารกันเสร็จพวกรุ่นพี่ต่างก็จิบสาเกกันต่ออีกเล็กน้อยก่อนจะแยกย้ายกลับห้องใครห้องมัน เนื่องจากห้องอาหารปิดตอนสามทุ่ม

ฮายาชิ เรียวตะหอบหิ้วเอากระป๋องเบียร์เย็นเฉียบร่วมสามโหลถือมาวางไว้กลางห้อง ฟูกนอนซึ่งมีพนักงานมาปูให้ไว้ก่อนหน้าถูกตลบแอบไว้ด้านหนึ่งก่อนที่สำรับไพ่จะถูกวางตามลงมา

“แพ้กินเบียร์”ชายหนุ่มผู้ซึ่งหอบของมึนเมาเข้าในห้องพูดเช่นนั้น แม้กระนั้นชิมิซึ ซากิกลับหยิบกระป๋องเบียร์ขึ้นมาดื่มอย่างไม่สนใจใครซ้ำยังเปิดอีกกระป๋องส่งให้รุ่นน้องปีหนึ่งคนเดียวในห้องอีกด้วย

“ไม่ดีกว่าครับ”เด็กหนุ่มปฏิเสธ

“ค่อยๆจิบอย่าดื่มรวดเดียวแบบครั้งที่แล้ว”คนที่ยื่นกระป๋องมาให้เอ่ยบอก

“อืม ถ้าจิบทีละนิดๆก็จะไม่เมาเร็วหรอก”นาโอโตะกล่าวเสริม ฮารุโตะจึงรับเบียร์กระป๋องนั้นมาอย่างลังเล อันที่จริงเขาไม่ได้ชอบรสชาติของมันมากนัก ทั้งขมและเฝื่อนคอแต่เพราะรุ่นพี่ส่งมาให้ดื่ม อีกทั้งทุกคนต่างก็ดื่มมัน เขาจึงต้องยกขึ้นจิบอย่างจำใจ กระนั้นมันกลับเป็นเรื่องน่าแปลกที่เขาสามารถยกมันขึ้นดื่มได้เรื่อยๆจนน้ำเมาที่อยู่ภายในว่างเปล่า



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-10-2017 10:36:45 โดย ตีสี่ »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 3 : 8/Feb/2017
«ตอบ #14 เมื่อ08-02-2017 17:25:23 »

เรย์กับนาโอโตะเป็นมากกว่าเพื่อนสนิทหรือเปล่า ถ้าฮารุโตะต้องผิดหวังในรักจะทำยังไงหนอ

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 3 : 8/Feb/2017
«ตอบ #15 เมื่อ09-02-2017 00:32:43 »

เรื่องนี้ศัพท์เฉพาะเยอะเหมือนกันนะครับ บางทีถ้าสัทเสียงมาจากภาษาญี่ปุ่นล้วนๆ มันอาจจะทำให้คนอ่านไม่เข้าใจได้ และทำให้อ่านไม่ค่อยรู้เรื่องน่ะครับ ยกตัวอย่างแรกเลยคือชื่อเรื่อง มีอักษรแล้ว มีคำอ่านแล้ว ควรมีภาษาสากลด้วยนะครับ ถ้าแปลเป็นภาษาไทยไม่ได้ ก็อาจจะควรคิดชื่อภาษาอังกฤษไว้ด้วยเพื่ออธิบายชื่อเรื่องครับ

สำหรับการเขียนบรรยายก็ทำได้ดี แต่ผมสับสนหน่อยตรงปริมาณตัวละครครับ คือการนำเสนอตัวละครมันมารวดเร็วเกินไปหน่อย อย่างชิมิซึ ซากิ ชื่อเต็มๆก็ไม่ได้มีบอกไว้ในเรื่อง ผมต้องอ่านแล้วจับมาผสมกันถึงจะทราบ บางทีมันทำให้งงๆหน่อยน่ะครับว่าตัวละครนี้ชื่ออะไรเป็นใคร มาจากไหน เพราะอินโทรของซากิมาน้อยมาก มีแค่ประโยคเดียวสั้นๆและไม่ใช่ชื่อเต็ม แบบเดียวกับฮายาชิ เรียวตะ แต่หลังจากพักๆใหญ่ถึงเริ่มจับทางได้ว่าใครชื่ออะไรน่ะครับ ถ้าให้แนะนำก็คือ น่าจะมีอินโทรโผล่มาแนะนำชื่อเต็มๆก่อนในฉากอื่นให้เห็นก่อนน่ะครับ ไม่งั้นอ่านแล้วบางทีงงๆ

แล้วก็มีเรื่องของศัพท์เฉพาะของอาหารญี่ปุ่นหรือศัพท์เฉพาะอื่นๆด้วย ถ้าให้ดี อาจจะต้องกาดอกจันเอาไว้ แล้วมีพาร์ทอธิบายด้านล่างหลังจบบทก็จะดีนะครับ เพราะผมไม่รู้เลยว่าแต่ละอย่างแปลว่าอะไรกันเนี่ย (หัวเราะ) อย่างของหวานที่นาโอโตะทำนี่ก็ไม่รู้ว่าคืออะไร ทีนี้พอคนอ่านมันไม่รู้อะไรหลายๆอย่างที่ไม่ใช่ common ในสังคมนั้น มันก็จะทำให้เกิดความงงขึ้นน่ะครับ นิยายมันจะเปลี่ยนหมวดจากนิยายทั่วๆไปกลายเป็นนิยายเฉพาะทาง คือต้องเป็นคนญี่ปุ่นเท่านั้นหรือคนศึกษาด้านนั้นเท่านั้นถึงจะอ่านรู้เรื่อง มันจะผิดคอนเซปต์นิยายทั่วไปไปหน่อยน่ะครับ

ทีนี้มาถึงเนื้อเรื่อง ผมว่าเนื้อเรื่องเรื่องนี้ดีนะครับ น่าสนใจและน่าติดตาม มีมิติและสมจริงใช้ได้ ตัวบทเข้าใกล้วงโคจรของฮารุโตะเป็นหลัก ทำให้เห็นภาพของความคิดฮารุโตะได้ดีมาก เค้าแอบชอบเรย์ แต่เรย์ก็อาจจะคบกับนาโอโตะ(หรือลึกซึ้งกันแบบเงียบๆนานแล้ว) ซึ่งตรงนี้ถ้าจริง มันก็แสดงความสมจริงในสังคมได้ระดับหนึ่งครับ

เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างอาโอกิ นาโอโตะ กับนาคามูระ เรย์ นี่ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นเพื่อนสมัยเด็กที่คบกันนานๆแล้วมีความรู้สึกดีๆให้กันและกัน แต่ประกาศออกสื่อว่าเป็นแฟนกันรึเปล่า เพราะอ่านชื่อเรื่องไม่ออก เลยคาดเดาทางไม่ได้ครับ (ฮา) แต่ถ้าคู่กันจริงๆสองคนนั้นผมว่าก็สมกันนะครับ ทุกอย่างใกล้เคียงกันและน่าจะเข้ากันได้ดีเยี่ยม แล้วส่วนของฮารุโตะก็มีคนเข้าหาตั้งแต่บทสองด้วย ชิมิซึอาจจะมีบทเพิ่มหรือเป็นตัวละครสำคัญ อันนี้ก็ต้องรอดูต่อไปครับ

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 4 : 12/Feb/2017
«ตอบ #16 เมื่อ12-02-2017 07:26:02 »

สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณนักอ่านที่ติดตามค่ะ และขอกรุณาติดตามกันต่อไปจนกว่าจะจบด้วยนะคะ

ขอบคุณ คุณ ♥►MAGNOLIA◄♥ ค่ะ
อยากจะบอกว่าตัวร้ายในเรื่องอาจจะไม่มีจุดจบให้เห็นค่ะ ส่วนใหญ่เราจะเขียนแบบฮารุโตะไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวอีก  อาจจะขัดใจเนอะ แต่เราอยากเขียนในอารมณ์ที่ว่าชีวิตมันก็อย่างนี้  ส่วนฮารุโตะจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้มากน้อยแค่ไหน ต้องติดค่ะ เพราะเราก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน (⌒▽⌒)

ขอบคุณ คุณ praewp ที่เอาใจช่วยฮารุโตะ และที่บอกว่าเราเขียนได้ลื่นค่ะ มีพลังขึ้นมาเลย ไม่เสียทีที่อ่านทวนตั้งหลายรอบ

ขอบคุณ คุณ The Empress
เหมือนกันเลยค่ะ เราก็ชอบแนวเรื่อยๆ แต่ตอนนี้เขียนเอื่อยเฉื่อยไปเป็นสิบตอนแล้ว จนกลัวว่ามันจะน่าเบื่อหรือเปล่านะซิ


เรย์คงไม่ได้มีแผนหลอกให้รัก แล้วหักอกหรอกใช่ไหม
คุณ sirin_chadada ใจร้ายอ่ะ มาว่าเรย์ของเรา เรย์นี่พระเอกเลยนะ!!! เรย์ไม่ทำแบบนั้นหรอกค่ะ พ่อหนุ่มคนนี้เขาเป็นคนดี  แล้วก็อย่างที่คุณ sirin_chadada เขียนไว้ในอีกReply หนึ่งค่ะ ใช่แล้ว เรย์กับนาโอโตะเป็นแฟนกัน ก็เรื่องนี้พระเอกคือ เรย์ นายเอกคือ นาโอโตะนี่นา (ที่ว่าใจร้าย แซวเล่นขำๆนะคะ) และขอบคุณอีกครั้งสำหรับการตอบรับที่มีให้กับทุกบทที่เราลงค่ะ

ขอบคุณ คุณGrey Twilight
สำหรับคำแนะนำค่ะ เริ่มจากชื่อเรื่อง เรามีชื่อเรื่องภาษาไทยค่ะ แต่ไม่ใช้ (หัวเราะด้วย) เราก็ไม่ได้เก่งภาษาญี่ปุ่น ปัจจุบันก็ได้แค่งูๆปลาๆ แต่ด้วยความที่โตมากับการ์ตูนญี่ปุ่น เราเลยรู้สึกว่าชื่อภาษาต้นฉบับมันฟินกว่า(หรือเปล่า) แล้วไหนๆจะเขียนธีมญี่ปุ่นแล้วเลยใช้ชื่อญี่ปุ่นซะเลย ซึ่งชื่อเรื่องในภาษาญี่ปุ่นนี้ เราก็แปลจากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษแล้วไปใส่กูลเกิ้ลแปลมา (ฮา) ถ้าอย่างไรเดี๋ยวจะลงให้ทุกท่านได้อ่านดูคะ
ส่วนเรื่องศัพท์เฉพาะบางอย่างที่ไม่ได้มีเขียนอธิบายไว้ในเรื่อง เราจะลงข้อมูลที่เราหาอ้างอิงไว้ตอนท้ายเนอะ ลองกลับขึ้นไปดูเกี่ยวกับขนมอันมิตสึได้ข้างบนนะคะ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำอีกครั้งค่ะ
สำหรับเรื่องตัวละคร คงต้องบอกว่ามีอนาคตข้างหน้าจะมีเยอะกว่านี้อีกค่ะ ชื่อตัวละครบางตัวออกมาใช้ครั้งเดียวแล้วก็หายไปเลยก็มี ดังนั้น เราจะขอแยกส่วนนี้ออกเป็นเกร็ดความรู้เรื่องชื่อและนามสกุลของคนญี่ปุ่น และแยกส่วนเป็นแนะนำตัวละครแล้วกัน
สุดท้ายขอบคุณสำหรับคำชมอีกครั้งนะคะ

春に雪が降っている。
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย

เรื่องย่อ

มิอุระ ฮารุโตะเด็กหนุ่มกำพร้าที่ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองเพียงคนเดียวหลังจากอยู่ภายใต้ความดูแลของบ้านอุปถัมภ์เด็กกำพร้ามานานหลายปี ด้วยความที่เป็นเป้าหมายกลั่นแกล้งของพวกเด็กเกเร เขาจึงต้องใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนแบบไม่มีเพื่อนเลยสักคน
หลังจากสอบเข้ามหาวิทยาลัยและสมัครเข้าชมรมภ่ายภาพเพื่อให้ได้อยู่ใกล้ชิดนาคามูระ เรย์ หนุ่มรุ่นพี่ที่ตนหลงรัก เขาพบว่าการได้เป็นสมาชิกของชมรมนี้ทำให้เขามีความสุขมากกว่าที่คิด เพราะนอกจากได้พบกับรุ่นพี่ที่แสนใจดีอย่างอาโอกิ นาโอโตะแล้ว สมาชิกคนอื่นๆก็ดีต่อเขามาก ทว่า ฮารุโตะไม่รู้ตัวเลยว่า ตนกำลังตกเป็นเป้าหมายของใครคนหนึ่ง

ตัวละคร
มิอุระ ฮารุโตะ : เด็กหนุ่มกำพร้าผู้ไร้เพื่อนสนิท เขาเข้าเรียนต่อด้วยมหาวิทยาลัยด้วยทุนการศึกษาจากบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง
นาคามูระ เรย์ : ชายหนุ่มรุ่นพี่นักศึกษาปีที่สามคนดังของมหาวิทยาลัย ประธานชมรมถ่ายภาพที่ฮารุโตะตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบ
อาโอกิ นาโอโตะ : หนุ่มรุ่นพี่ผู้แสนใจดีที่มักจะเข้ามาช่วยเหลืออยากที่ฮารุโตะลำบากอยู่เสมอ เขาเป็นรองประธานชมรมถ่ายภาพที่มีอำนาจมากกว่าประธานชมรม เพราะนอกจากนาโอโตะจะเป็นรองประธานชมรมถ่ายภาพแล้ว ยังเป็นคนรักของเรย์อีกด้วย
โมริ เอคิจิ : หนึ่งในกลุ่มเพื่อนสนิทของเรย์และนาโอโตะ เขาเคยเข้าไปช่วยเหลือฮารุโตะก่อนที่จะได้มาเจอฮารุโตะอีกครั้งในชมรมถ่ายภาพ นอกจากนี้เขายังเป็นนักกีฬาฟุตบอลของมหาวิทยาลัยอีกด้วย
ฮายาชิ เรียวตะ : ชายหนุ่มลูกเจ้าของเรียวกัง อีกหนึ่งหนุ่มผู้ซึ่งเพื่อนสนิทกับเรย์ ด้วยความที่มีนิสัยร่าเริงเข้ากับคนง่ายจึงสนิทสนมกับฮารุโตะได้อย่างรวดเร็ว
ชิมิซึ ซากิ : ชายหนุ่มผู้เงียบขรึมเย็นชาผู้เป็นสมาชิกอีกหนึ่งคนในกลุ่มของเรย์ ด้วยความหล่อเหลาและดีกรีนักกีฬาฟุตบอลของมหาวิทยาลัย ทำให้เขากลายเป็นเสือร้ายที่มีผู้คนมาติดพันหลงใหลในตัวเขามากมาย แต่ทว่า เป้าหมายต่อไปของเขากลับเป็นฮารุโตะ

สมาชิกชมรมถ่ายภาพ
1. ชิราซากิ นัตสึมิ : หญิงสาวชั้นปีที่หนึ่ง
2. มาเอดะ คาโอรุ : ชายหนุ่มรุ่นพี่ชั้นปีที่สอง



Chapter 4

ในเวลาค่อนดึกทุกคนต่างสลบด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ ซากิยังนั่งจิบเบียร์ในกระป๋องมองดูกลุ่มเพื่อนซึ่งนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้น พอเครื่องดื่มมึนเมาในกระป๋องที่เขาดื่มหมด เขาจึงลุกขึ้นแม้จะมึนงงอยู่บ้างแต่สติของเขายังครบถ้วน เขาเก็บเศษซากของกินและสำรับไพ่ไปวางกองไว้ใกล้ประตูห้อง แล้วหยิบผ้าห่มซึ่งถูกรวบกองไว้มาคลุมร่างของเรียวตะและเอคิจิ ส่วนเรย์และนาโอโตะกำลังนอนกอดกันอยู่บนฟูกนอนที่มุมหนึ่งของห้อง เขาจึงไม่ต้องไปสนใจดูแลอีก เหลืออีกหนึ่งคนที่ยังคงนอนหลับอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว

ชายหนุ่มหันไปปูฟูกนอนสำหรับตนเอง แต่พอเห็นฮารุโตะกำลังเบียดตัวซุกร่างเข้าหาเรียวตะ เขาจึงเปลี่ยนใจปูฟูกนอนให้เพื่อนทั้งสองคนด้วย เขาไม่อยากให้อะไรมาขัดจังหวะตอนที่เขากำลัง ‘ชิม’ ของที่เฝ้ารอ ทั้งเรียวตะและเอคิจิมีขนาดตัวไม่ต่างจากเขานัก กว่าจะออกแรงลากตัวเพื่อนทั้งสองขึ้นมานอนบนฟูกได้จึงเหนื่อยพอดู หลังจากนั้นจึงไปหยิบของที่ต้องใช้ออกจากกระเป๋า อุ้มร่างเล็กๆของเด็กหนุ่มรุ่นน้องเพียงหนึ่งเดียวในห้องมานอนบนฟูกนอนที่เขาปูไว้ แล้วจึงเดินไปปิดสวิตช์ไฟกลางห้อง ความมืดโรยตัวครอบคลุมทุกสิ่งขณะที่เขาล้มตัวลงนอนข้างร่างที่ยังคงนอนหลับหายใจเข้าสม่ำเสมอ เขาดึงผ้าห่มผืนหนาขึ้นคลุมร่างกาย อากาศภายนอกเย็นจัดจนการซุกตัวอยู่ภายใต้โปงผ้าไม่ใช่เรื่องน่าอึดอัด

ซากิลากมือไปมาบนแผ่นอกบางใต้ชุดยูกาตะ แหวกสาบเสื้อที่ทบกันให้อ้าออก ใช้ปลายนิ้วเรียวยาวสะกิดตุ่มเนื้อบนแผ่นอกจนมันแข็งตัวขึ้นเป็นไต แนบปลายลิ้นลงหยอกเย้าทำให้ร่างเล็กบางเริ่มอยู่ไม่สุขจากนั้นจึงแนบริมฝีปากลงบนริมฝีปากอิ่มที่แดงเรื่ออยู่เสมอ ขยับขบกัดทั้งริมฝีปากล่างและบนก่อนจะแทรกลิ้นเข้าไปควานหารสชาติภายใน แม้จะเจือรสขมด้วยเบียร์แต่มันยังคงน่าลิ้มลองไม่สร่าง เขาผละตัวออกมาเล็กน้อยเพื่อหยิบเจลที่เตรียมไว้ใช้กับคนที่หลับไม่ได้สติ เขาไม่มีความคิดเล้าโลมให้เยิ่นเย้อ พูดกันตามจริงเขาไม่ควรทำอะไรเกินเลยเช่นนี้ด้วยซ้ำแต่ความกระหายอยากเช่นนี้ไม่เข้าใครออกใคร เขาไม่ชอบการฝืนบังคับใช้ความรุนแรงแต่เมื่ออีกฝ่ายไม่มีสติก็อีกเรื่องหนึ่ง

ชายหนุ่มใช้นิ้วที่ชุ่มไปด้วยเจลนวดคลึงที่ปากทางเข้าซึ่งยังคงปิดสนิท ก่อนจะดันปลายนิ้วเข้าไป แม้จะหลับแต่หนุ่มรุ่นน้องก็ยังขมวดคิ้วด้วยท่าทางทรมาน เขาจึงรั้งต้นขาของอีกฝ่ายให้แยกกว้างและกดนวดอยู่แค่ช่วงปากทางเข้าจนอีกฝ่ายคลายหัวคิ้วซึ่งขมวดมุ่นลง

“อา…”

ซากิไม่อยากให้เสียงของฮารุโตะปลุกให้เพื่อนร่วมห้องตื่นขึ้นมากลางดึก เขาจึงปิดริมฝีปากของร่างที่กำลังถูกเขาลวนลามด้วยริมฝีปากของตนอีกครั้ง และสอดนิ้วลึกเข้าไปด้านใน กวาดเค้นปลายนิ้วไปทั่วผนังอ่อนนุ่มที่รัดรึงปลายนิ้วของเขาไว้ กระตุ้นภายในอย่างช่ำชองจนส่วนอ่อนไหวด้านหน้าของหนุ่มรุ่นน้องชูชันและมีน้ำไหลเยิ้มจากส่วนปลาย  ชายหนุ่มขี้เกียจที่จะต้องมาทำความสะอาดหลังเสร็จกิจจึงต้องละมือมาสวมถุงยางให้อีกฝ่ายเสียก่อน

กำลังจะลงมือต่อแต่เสียงละเมองึมงำจากใครสักคนทำให้เขาสะดุ้ง กระนั้นช่วงเวลาแบบนี้กลับทำให้เขาตื่นเต้นจนไม่อาจอดทนได้ไหว เขาพลิกตัวให้ฮารุโตะมานอนทับอยู่ด้านบน ใช้มือแหวกเนื้อสะโพกและสอดนิ้วเข้าไปในช่องทางนั้นอีกครั้ง ตามด้วยนิ้วที่สองและสามหลังจากนั้นไม่นาน ทั้งที่กำลังหลับแต่ฮารุโตะยังคงตอบสนองด้วยการส่ายสะโพกตอบรับจังหวะการชักนำของเขา

ตามความตั้งใจแรกเขาควรจะหยุดเพียงแค่นี้แต่อารมณ์และความปรารถนาต่างๆล้วนเลยเถิดจนกู่ไม่กลับ ซากิจึงพลิกร่างรุ่นน้องให้นอนราบกับพื้น เขาสวมถุงยางอนามัยให้ตนเองและชโลมเจลจนชุ่มอย่างรวดเร็ว แม้ในห้องจะไร้ซึ่งแสงสว่างแต่เขาก็สามารถจรดส่วนปลายกับช่องทางหฤหรรษ์ได้อย่างง่ายดาย เพียงถูไถด้วยแรงแสนเบา ท่อนลำอันใหญ่โตก็ถูกสอดใส่เข้าไปราวกับกำลังถูกดูดกลืน ซากิเหยียดสะโพกเดินหน้าเชื่องช้าต่อให้เขาเตรียมช่องทางด้านหลังนั่นมากมายเพียงใด ก็เป็นเรื่องยากที่ฝ่ายรับจะไม่มีปฏิกิริยาต่อต้านเลย ชายหนุ่มจึงต้องหยุดดูอาการของรุ่นน้องทุกครั้งที่รุกคืบเข้าไปและสุดท้ายเขาก็สามารถใส่เข้าไปได้จนสุด

ค่ำคืนนั้นซากิลิ้มรสความหวานฉ่ำที่เขาเฝ้าคอยอย่างอิ่มหนำ แม้จะไม่เต็มที่อย่างที่ต้องการแต่นั่นก็บรรเทาความกระหายอยากได้มากโขพลางคิดหาวิธีที่จะเก็บเกี่ยวลูกแกะรสเลิศมาไว้ในอุ้งมือ



ฮารุโตะตื่นขึ้นมาด้วยความมึนงงปวดเมื่อยไปทั้งตัวโดยเฉพาะตั้งแต่สะโพกลงไป จะลุกจะก้าวความขัดยอกแสนประหลาดก็เกิดขึ้นทุกครั้ง เขาคิดทบทวนวนไปวนมาซ้ำอยู่หลายครั้งเมื่อคืนเขากินเบียร์กับพวกรุ่นพี่แค่สองกระป๋องก็ง่วงจนทนไม่ไหวและเขาได้หลับสนิทไปตั้งแต่ตอนนั้น หรือเขาจะละเมอลุกขึ้นมาเดินชนอะไร หรือว่าเขานอนดิ้นมากกันนะ อาการแปลกประหลาดทำให้เขาครุ่นคิดอย่างกังขา

“คิดอะไรอยู่คิ้วขมวดเชียว”การที่ได้ยินเสียงกระซิบข้างหูทำให้เขาตกใจพอดู แต่นั่นยังเล็กน้อยเมื่อรู้สึกได้ว่าถูกขบกัดที่ใบหู

ฮารุโตะเบี่ยงตัวหลบยกมือขึ้นมากุมจุดที่ถูกสัมผัส เมื่อหันไปเห็นหน้าอีกฝ่าย  เขายิ่งขมวดคิ้วยิ่งกว่าเดิม

“รุ่นพี่ชิมิซึ”

“หือ”อีกคนแค่ครางรับในลำคอซ้ำยังยื่นหน้ามาใกล้จนฮารุโตะต้องลุกหนี เขาหันไปมองรอบกายเพื่อสังเกตว่ามีใครกำลังให้ความสนใจพวกเขาอยู่หรือไม่ ถึงแม้จะมองไปรอบตัวแต่จุดที่เขาหันไปมองอันดับแรกคือจุดที่รุ่นพี่นาคามูระยืนอยู่

“กลัวว่าเรย์มันจะหันมาเห็นหรือ”

ฮารุโตะนิ่งเงียบอย่างไม่รู้ว่าควรจะตอบเช่นไรดี เขาควรจะโกหกดีหรือเปล่า

ซากิเลิกคิ้ว “ทำไมมันต้องหันมาดูนายด้วย นายมันก็แค่รุ่นน้องในชมรมคนหนึ่ง”

พอโดนคำพูดตรงๆตอกใส่หน้าแบบนี้พานให้ในอกรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้

“ผ… ผม”

“ชอบเจ้าเรย์ซินะ นายน่ะ”

วินาทีก่อนเขายังรู้สึกเจ็บในหัวใจที่โดนคำพูดของอีกฝ่ายกระทบเข้ามาตรงๆ แต่มาวินาทีนี้หัวใจของเขากลับเต้นโลดเมื่อถูกล่วงรู้ถึงความลับที่แอบเก็บไว้และแค่คิดถึงใบหน้าบุคคลที่สามที่ถูกกล่าวถึง อาการร้อนผ่าวบนใบหน้าก็ปรากฏขึ้นมา อาการขัดเขินเมื่อถูกถามจึงเป็นคำตอบอย่างดี

“ฉันช่วยเอาไหม”

“ช่วย?” ฮารุโตะย้อนถามด้วยความคลางแคลงสงสัย

“นายไม่คิดจะพยายามให้ตัวเองสมหวังบ้างเหรอแบบ... สารภาพรักหรือทำให้เรย์หันมาชอบนายบ้าง”

คิดสิ!!! ทำไมเขาจะไม่คิดแต่ฮารุโตะไม่คิดว่าอย่างจะง่ายดายแบบนั้น

“นั่นไง ฉันรู้จักกับเรย์มานานแล้วถ้าฉันช่วยนายทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น”

อาจเป็นเพราะเขาถูกหลอกและเชื่อคนง่ายอยู่เป็นนิจพอได้ฟังข้อเสนอชวนเชื่อเช่นนี้จึงทำให้ความสงสัยเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ

ชิมิซึ ซากิหัวเราะ “ใช่ล่ะฉันไม่ได้ช่วยฟรีๆแต่ไม่คิดขอของแลกเปลี่ยนที่นายไม่สามารถให้ได้หรอกน่า”แน่นอนว่าถึงฮารุโตะจะปฏิเสธ ชายหนุ่มก็จะทำให้ตอบตกลงอยู่ดี

เขาลุกขึ้นยืนก้าวเท้าเข้าประชิดตัวเด็กหนุ่มรุ่นน้องอย่างรวดเร็ว คว้าต้นแขนเล็กบางของฮารุโตะไว้ในมือแล้วดึงให้อีกฝ่ายเดินตาม

“จ…จะไปไหนหรือครับ”

ซากิไม่ได้ตอบคำถาม พื้นที่ป่ารอบทะเลสาบไม่ได้รกทึบแต่ผู้คนบางตาด้วยหลายปัจจัย นอกจากกลุ่มของพวกเขาแล้วก็ไม่มีนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นอีก ร่างสูงหยุดเดินเมื่อคิดว่าห่างจากกลุ่มเพื่อนพอควร

“แค่จะสาธิตว่าสิ่งที่ฉันต้องการคืออะไร”

ฮารุโตะถูกแขนแข็งแรงโอบรัด ถูกตีกรอบพื้นที่ในการขยับตัว ชายหนุ่มร่างสูงดันร่างของเขาให้ชิดกับต้นไม้ใหญ่ด้านหลัง เขายังไม่ทันได้ตั้งสติด้วยซ้ำ กระดุมกางเกงได้ถูกปลดออกไปเสียแล้วและตามมาด้วยสัมผัสของของเหลวเย็นๆแตะแต้มตามมาภายในช่องทางด้านหลัง

“อ…อย่า…อย่าทำแบบนี้”ฮารุโตะพยายามจะดิ้นรนแต่วงแขนของรุ่นพี่ร่างสูงแน่นหนาเกินกว่าที่เขาจะหลุดไปได้ ที่มากไปกว่านั้นร่างกายของเขากำลังร้อนผ่าวและไร้เรี่ยวแรง

ซากิหัวเราะ เจลที่เขาใช้เป็นรุ่นพิเศษที่ผสมยาปลุกกำหนัดอยู่นิดหน่อย เพราะฉะนั้นต่อให้อยากขัดขืนก็ทำได้ไม่เต็มที่

“ปล่อย…อย่าทำแบบนี้… ได้โปรด”ฮารุโตะเอ่ยปาก ดวงตาฉ่ำน้ำทั้งที่เริ่มขยับสะโพกตามการขยับมือของเขา

“แค่เดี๋ยวเดียว อีกอย่างถ้าหยุดตอนนี้จะเป็นนายนะที่ทรมานดูสิเยิ้มขนาดนี้แล้ว”

ฮารุโตะทำได้แค่หลับตาลงเพื่อหลีกหนีคำพูดหยาบโลนที่ออกมาจากปากของหนุ่มรุ่นพี่ ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเป็นสาย ร่างกายของเขากำลังมีความต้องการทั้งที่ภายในใจเรียกร้องปฏิเสธ

“อย่าทำผมเลย… อย่าทำแบบนี้”

เด็กหนุ่มผวากอดร่างสูงเมื่อถูกยกร่างจนตัวลอยพร้อมกับความรู้สึกจุกอึดอัดบริเวณท้องน้อยที่เกิดขึ้น ความคิดผิดถูกเริ่มรางเลือนกับร่างกายซึ่งเรียกร้องการเติมเต็มที่มากกว่านี้

สัมผัสเสียดสีที่ควรจะมีแต่ความเจ็บปวดสอดแทรกด้วยความสุขสมอันน่าประหลาดทำให้เด็กหนุ่มหลงลืมตัว ความเสียดเสียวซึ่งทำให้ขนทุกเส้นลุกชันจนเขาเผลอส่งเสียงร้องออกมาคล้ายมึนเมายิ่งกว่าดื่มเหล้า ร่างกายร้อนผ่าวเหมือนเป็นไข้และเหนื่อยหอบเมื่อสามารถคว้าจุดหมายปลายทางได้สำเร็จ สมองของฮารุโตะยังมึนเบลอหลังการปลดปล่อย ความเหนื่อยล้าง่วงงุนจู่โจมจนอยากปิดเปลือกตาลง

ซากิจัดการถอดถุงยางและแต่งกายให้หนุ่มรุ่นน้องจนเรียบร้อย เขาเก็บของทุกอย่างที่ผ่านการใช้งานใส่ถุงเพื่อเตรียมไปทิ้ง ค่อนข้างลำบากยุ่งยากแต่บรรยากาศในป่าแบบนี้ก็ไม่เลวเกินไปนัก ซากิยกยิ้มอย่างอารมณ์ดียามช้อนสะโพกยกร่างผอมบางของรุ่นน้องให้ลอยสูงขึ้นดวงตาของฮารุโตะปรือปรอยคล้ายง่วงเต็มทน

“หลับไปก่อนก็ได้”เขาบอกพลางกดศีรษะของอีกฝ่ายให้แนบลงกับลาดไหล่ ฮารุโตะคงรู้สึกไม่สนิทใจถึงได้เดี๋ยวก็หลับตาเดี๋ยวก็ลืมตา

เมื่อซากิเดินมาถึงริมทะเลสาบบริเวณที่กลุ่มเพื่อนรวมตัวกันอยู่จึงวางฮารุโตะลงแสร้งทำเป็นพยุงเด็กหนุ่มรุ่นน้องเข้าไปหาเรย์ซึ่งกำลังถ่ายภาพ

“เรย์ช่วยดูหน่อย น้องเขาเป็นลม”ว่าพลางส่งร่างฮารุโตะให้เพื่อนโดยไม่รอการตอบรับ ฝ่ายนาโอโตะที่ไวต่อความเจ็บป่วยของผู้รอบข้างเป็นพิเศษจึงหันมาดูบ้าง หากแต่ถูกซากิสกัดไว้เสียก่อน

“ทำไมละฮารุจังเป็นลมไม่ใช่เหรอ”

ซากิทำเป็นยกมือส่งเสียงจุ๊ๆแล้วดึงให้นาโอโตะออกห่าง “ไม่ใช่หรอก รุ่นน้องนายน่ะมาปรึกษา ฉันเลยคิดว่าให้คุยกับเรย์ดีกว่า”

“คุยกับเรย์? ทำไมล่ะ”

“ก็มิอุระน่ะแอบชอบเอคิจิอยู่นะสิ”

“จริงเหรอ” นาโอโตะถามย้ำอย่างตื่นเต้น “อย่างนั้นฉันต้องเข้าไปร่วมด้วย แต่น่าแปลกทำไมฮารุจังไม่มาปรึกษาฉันนะทั้งที่สนิทกับฉันมากกว่าแท้ๆ”

ก็ปรึกษาไม่ได้นะสิเพราะคนที่มิอุระแอบชอบคือเรย์ไม่ใช่เอคิจิ ซากิลอบคิดอยู่ในใจ

“มิอุระคุงน่ะไม่ใช่จู่ๆก็มาปรึกษาฉันหรอก แต่ฉันเห็นว่ารุ่นน้องนายคนนี้นะท่าทางแปลกๆแถมมองไปที่เอคิจิตลอดเลยลองคุยดู ฉันกับเอคิจิสนิทกันก็จริงแต่นายก็รู้ว่าฉันไม่สันทัดเรื่องพวกนี้เท่าไหร่”

“เหรอออออออ”นาโอโตะมองด้วยสายตารู้ทัน คนถูกมองจึงได้แต่หัวเราะ

“คบกันจริงจังน่ะฉันไม่สันทัดหรอก นายเองก็เถอะเคยจีบใครที่ไหน ให้คุยกับเรย์น่ะดีที่สุดแล้ว”ซากิตัดบทง่ายๆและพูดย้ำอีกครั้งว่า“อย่าเพิ่งเข้าไปยุ่งละปล่อยสองคนนั้นไปก่อน”

นาโอโตะหันไปมองเรย์กับฮารุโตะด้วยความเสียดายแต่ก็ยอมตอบตกลงแต่โดยดี

ฝ่ายฮารุโตะที่ถูกส่งให้มาอยู่ในมือของเรย์ด้วยเหตุผลว่าเป็นลมต้องตื่นเต็มตาหลังจากที่ความง่วงงุนจู่โจมมาก่อนหน้า เด็กหนุ่มก้มหน้างุดๆ หลังจากทำเรื่องอย่างว่ากับชายอื่นจากนั้นกลับได้มาอยู่ในอ้อมแขนของคนที่ชอบ กล่าวกันตามตรงว่าเขาไม่ได้หน้าหนาถึงขนาดกล้ามองหน้าอีกฝ่ายตรงๆได้

“เป็นอะไรมากหรือเปล่า” เรย์พาฮารุโตะมานั่งพักยังจุดที่เป็นรั้วปูนเตี้ยๆที่ฮารุโตะเคยนั่งก่อนหน้า

เด็กหนุ่มพยายามขยับตัวออกห่าง

“หน้าแดงนะตัวรุมๆด้วย”

ฮารุโตะสั่นศีรษะปฏิเสธ  “ผม… ไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ ผมขอตัวกลับไปพักที่ห้องนะครับ”พูดทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่เช่นนั้นพลางลุกขึ้นยืน เรย์จึงตามมาประคองรุ่นน้องร่างเล็กเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะล้มไปเสียก่อน

“ผมไม่เป็นไรจริงๆครับ” ฮารุโตะกล่าวย้ำอีกครั้ง ก้มศีรษะเพื่อเป็นการบอกลารุ่นพี่แล้วก้าวเท้าออกมาอย่างรวดเร็วกระนั้นใช่ว่าเขาพ้นจากคนที่คอยจับตาดูเขาทุกฝีก้าวได้

“อุตส่าห์หาโอกาสให้แล้วแท้ๆนายยังเดินหนีมาง่ายๆแบบนี้อีก”

ฮารุโตะตวัดสายตากลับไปมอง เขาไม่ชอบใจมากจริงๆที่อีกฝ่ายทำแบบนั้นกับเขา นึกอยากจะกำหมัดและชกหน้าระรื่นของชายหนุ่มร่างสูงจังๆสักหลายๆ ครั้ง น่าเสียดายที่เขาไม่เคยทำแบบนั้นกับใคร และเขาไม่มีความกล้ามากพอจึงทำได้แค่เดินหนี

“ผมไม่คิดอยากจะให้รุ่นพี่ช่วยเลยสักนิด”

“หรือถ้านายอยากจะนอนกับฉันฟรีๆก็โอเคนะ”

“แบบนั้นผมก็ไม่ต้องการ” เขาพูดเสียงแข็ง

“ตกลงจะเอาอย่างไรเนี่ย โน่นก็ไม่เอานี่ก็ไม่เอา”

“ไม่ยังไงทั้งนั้น แล้วก็อย่ามายุ่งกับผม”ฮารุโตะตะโกนออกไปสุดเสียง วันนั้นคงเป็นวันที่เขาอารมณ์เสียอย่างที่สุด เขาถึงทำเช่นนั้นได้ หลังจากที่เขาหันหลังเดินหนีออกมา น้ำตาของเขาไหลออกมาไม่หยุด ทุกอย่างมันแย่!!!

แย่! แย่! แย่! อย่างที่สุด!!! ความขุ่นเคืองอบอวลไปทั่วทั้งหัวใจ

หลังจากนั้น เขาพยายามก้มหน้าหลบสายตาของทุกคน  รุ่นพี่อาโอกิถามถึงดวงตาแดงช้ำ เขาได้แต่ตอบปฏิเสธและย้ำว่าไม่มีอะไร ฝืนยิ้มให้เพื่อคลายความห่วงกังวล กว่าจะกลับไปถึงห้องพักได้ฮารุโตะรู้สึกล้าไปทั้งใจ เขาล้มตัวลงนอนบนผืนเสื่อที่เย็นเฉียบ ปล่อยร่างกายและความคิดให้ล่องลอยไปกับความเงียบงันของบรรยากาศ พอนอนนิ่งอยู่เฉยๆเช่นนี้เสียงรอบข้างดูเหมือนจะเพิ่มความดังขึ้นมา ทั้งเสียงติ๊กติ๊กของนาฬิกา เสียงรายการทีวีที่ดังแว่วมาเบาๆ เสียงรถยนต์บนท้องถนน

ฮารุโตะลุกขึ้นเตรียมเสื้อผ้าข้าวของไปห้องอาบน้ำสาธารณะชำระล้างร่างกายและจิตใจเพื่อพรุ่งนี้เขาจะได้ตื่นขึ้นมามีแรงสู้ต่อไป





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-10-2017 11:54:00 โดย ตีสี่ »

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 4 : 12/Feb/2017
«ตอบ #17 เมื่อ12-02-2017 07:37:56 »

เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่เพื่อปลุกแรงใจ ฮารุโตะไม่อยากเจอหน้ารุ่นพี่ชิมิซึ แต่เขาต้องเข้าชมรมเพราะมีเวรทำงานที่ต้องรับผิดชอบเมื่อเปิดประตูเข้าไป ภายในห้องมีรุ่นพี่ปีสองซึ่งเป็นคู่บัดดี้ในวันนี้นั่งรออยู่แล้วพอเห็นเขาอีกฝ่ายจึงลุกขึ้นยืน ฮารุโตะจึงกุลีกุจอรีบเข้าไปยกของ ของบางอย่างรุ่นพี่ร่างสูงก็เป็นคนช่วยถือให้

พวกเขาเดินไปยังสนามฟุตบอลของมหาวิทยาลัย  งานในวันนี้เป็นงานที่ไม่ได้รับค่าจ้างหรืองานฟรีที่เหล่าสมาชิกในชมรมเรียกกัน ซึ่งรุ่นพี่นาคามูระรับงานมาจากชมรมหนังสือพิมพ์ ต่อให้มีการทำงานหาเงินเข้าชมรมแต่ชมรมถ่ายภาพยังคงได้รับเงินสนับสนุนจากมหาวิทยาลัย ดังนั้นหากมีการร้องขอให้มีการถ่ายภาพงานกิจกรรมต่างๆของมหาวิทยาลัยทางชมรมจึงต้องตอบตกลงอย่างไม่มีเงื่อนไข

แต่ถึงจะเป็นงานฟรี สมาชิกที่เป็นช่างถ่ายภาพก็ทำงานเต็มที่เสมอ ฮารุโตะมักจะถูกจัดให้ไปเป็นเด็กยกของช่วยรุ่นพี่ปีอื่นๆในงานฟรีอยู่บ่อยครั้ง งานสัมมนาบางงานรุ่นพี่เดินวนถ่ายรูปไม่หยุดตั้งแต่เริ่มงานจนเขาต้องเอ่ยปากถาม

“มันก็เป็นผลงานของเราน่ะ อีกอย่างถ้าอยากจะถ่ายรูปให้สวยก็ต้องฝึกเท่านั้น ต้องถ่ายให้เยอะๆอย่างรูปที่เรย์ได้รางวัลมาก็ไปตั้งกล้องถ่ายอยู่เกือบอาทิตย์กว่าจะได้ภาพนั้น”

ฮารุโตะจึงต้องตั้งใจทำงานให้ไม่แพ้คนอื่น

ที่สนามฟุตบอล นักกีฬากำลังอบอุ่นร่างกาย ขณะที่พวกเขาเดินไปถึงสมาชิกจากชมรมหนังสือพิมพ์ก็กำลังรออยู่แล้ว

“หวัดดี”รุ่นพี่มาเอดะซึ่งเป็นช่างภาพในวันนี้เอ่ยทัก

“มาพอดีเลยเดี๋ยวช่วยถ่ายรูปตอนวอร์มอัพให้ก่อนเลยละกันนะ เห็นว่าวันนี้จะมีแบ่งทีมแข่ง” ทั้งสองคุยกันเรื่องรายละเอียดงานในวันนี้ ฮารุโตะจึงถือของไปวางไว้บนอัฒจันทร์พลางกวาดสายตาไปรอบๆ เห็นรุ่นพี่โมริกำลังวิ่งอยู่ในสนาม เขามองอย่างแปลกใจแม้จะพอรู้อยู่ว่าหนุ่มรุ่นพี่เป็นนักกีฬา แต่เพราะไม่เคยถามว่าเล่นกีฬาชนิดไหนเขาจึงมองดูด้วยความสนใจและรุ่นพี่ร่างสูงหนึ่งในสมาชิกชมรมถ่ายภาพอีกคนก็ผ่านเข้ามาในครรลองสายตา ฮารุโตะเบือนสายตาหนีทันทีที่อีกคนหันมามอง

“มิอุระเดี๋ยวช่วยเช็กแสงให้ที”ฮารุโตะรีบหันไปขานรับและหยิบอุปกรณ์ไปยังจุดที่จะถ่ายรูปรวม ฉากด้านหลังเป็นหมู่อาคารและประตูตาข่ายของสนามฟุตบอลเด็กหนุ่มกดปุ่มตั้งค่าเครื่องมือตามที่เคยถูกสอน กดปุ่มจับแสงเสร็จเรียบร้อยจึงเดินนำไปส่งให้รุ่นพี่

เมื่อนักกีฬาอบอุ่นร่างกายเรียบร้อยก็ถูกเรียกรวม คนจากชมรมหนังสือพิมพ์จึงขอช่วงเวลานั้นถ่ายรูปรวมนักกีฬาทั้งทีม เสร็จจากนั้นโค้ชได้ให้นักกีฬาแบ่งทีมแข่งขัน ภายในช่วงเวลานี้เด็กหนุ่มจึงได้แต่ยืนรออยู่เฉยๆเนื่องจากรุ่นพี่มาเอดะ คาโอรุจะเป็นคนเก็บภาพในสนามตามที่คุยรายละเอียดกับชมรมหนังสือพิมพ์ไว้

“ช่วงแข่งฤดูร้อนทำผลงานได้ดีเลยนะครับ”พอได้ยินเสียงพูดเช่นนั้นฮารุโตะจึงหันไปมองอย่างสนใจ ชายหนุ่มจากชมรมหนังสือพิมพ์กำลังคุยกับโค้ชในมือของเขาถือเครื่องบันทึกเสียงไว้

“เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้หรือเปล่าครับ”

“เป้าหมายต้องเป็นชนะเลิศระดับประเทศอยู่แล้วแต่ถึงจะติดแค่สี่ทีมสุดท้ายก็นับว่าทำได้ดี”

ฮารุโตะเป็นพวกไม่เล่นกีฬาและไม่ค่อยได้ติดตามกีฬาเกือบทุกชนิดแต่พอมาได้ยินว่าทีมฟุตบอลของมหาวิทยาลัยแพ้ไปในรอบรองชนะเลิศระดับประเทศยังรู้สึกเสียดายแทน นอกจากนั้นยังคิดว่าเหล่านักกีฬาทุกคนคงต้องเก่งมากถึงชนะจนเข้ารอบสี่ทีมสุดท้ายได้

เวลาผ่านไปพอสมควรทั้งสมาชิกจากชมรมหนังสือพิมพ์และรุ่นพี่มาเอดะต่างทำงานของตนจนลุล่วง ฮารุโตะจึงเตรียมเก็บของเพื่อกลับชมรม

“มิอุระคุง รุ่นพี่บอกให้รออยู่ที่นี่ก่อน”

“ผมนะหรือครับ”เด็กหนุ่มถามย้ำเพื่อยืนยันความแน่ใจ คิดอย่างสงสัยว่ามีธุระอะไรหรือเปล่านะ แต่ก็หันไปบอกลารุ่นพี่และนั่งรอตรงที่เดิม ฮารุโตะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูเพื่อฆ่าเวลา กดเข้าแอปพลิเคชันยอดฮิต ไม่มีใครส่งข้อความส่วนตัวถึงเขามากนักแต่ในกลุ่มสนทนามีข้อความเตือนหลายร้อยข้อความ เขาจึงกดเข้าไปอ่านประเด็นส่วนใหญ่เป็นเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวที่เพิ่งผ่านมา มีการส่งรูปให้ดูมากมาย เขาหยุดดูรูปภาพของรุ่นพี่นาคามูระนานเป็นพิเศษ มีภาพเดี่ยวที่ถูกแอบถ่ายบ้าง เขายกยิ้มและกดบันทึกรูปภาพนั้นไว้ อีกภาพเป็นรูปคู่ของรุ่นพี่นาคามูระและรุ่นพี่อาโอกิมีข้อความสนทนาตามมาเป็นทำนองว่า

‘เบื่อคู่รักคู่นี้ไปเที่ยวที่ไหนก็สวีทกันตลอด'

ฮารุโตะขมวดคิ้วยังไม่ทันได้ทำความเข้าใจให้ดีนัก เสียงเรียกชื่อพลันดังขึ้นเสียก่อนเขาเงยหน้าขึ้นไปมอง เห็นรุ่นพี่โมริเดินยิ้มเข้ามาหาจึงยกยิ้มตอบโดยจงใจทำเป็นไม่เห็นชายหนุ่มร่างสูงอีกคนที่เดินตามมา

เพิ่งพ้นช่วงแข่งใหญ่มาไม่นานทีมฟุตบอลจึงค่อนข้างเลิกซ้อมเร็ว

“รุ่นพี่มีอะไรหรือครับ”

เอคิจิงุนงง เขายกมือขึ้นชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง

“ก็เห็นให้ผมอยู่รอ”ฮารุโตะขยายความให้

“เปล่านะไม่ใช่ฉัน”ตอบเช่นนั้นแล้วหันไปมองเพื่อนร่วมรุ่นที่ยืนอยู่ข้างๆกัน

“ฉันเองล่ะ”

ฮารุโตะอยากจะลุกเดินหนีเสียเดี๋ยวนั้น

“อา โอเค...อย่างนั้นฉันไปนะ”

เมื่อเอคิจิเดินจากไปแล้วฮารุโตะยังคงนิ่งเงียบอยู่อย่างนั้น หันไปมองทางอื่นเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าไม่อยากคุยด้วย ฝ่ายซากิ เขาไม่คิดเดือดร้อนกับท่าทางเช่นนั้น เขานั่งลงเปลี่ยนรองเท้า เปลี่ยนเสื้อตัวที่สวมซึ่งชุ่มเหงื่อเป็นเสื้อตัวใหม่ในกระเป๋า ห้องล็อกเกอร์ของนักกีฬาอยู่ใต้อัฒจันทร์แต่เพราะมีแผนจะทำอย่างอื่นเขาจึงหิ้วกระเป๋ามาด้วย

ซากิลุกขึ้นยืนพลางใช้มือข้างหนึ่งจับต้นแขนของหนุ่มรุ่นน้องและดึงร่างเล็กกว่าให้ลุกขึ้นยืน ฮารุโตะฝืนแรงไม่ยอมทำตามง่ายๆ

“หรือจะทำตรงนี้”ชายหนุ่มยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ฮารุโตะแค่หันมอง คิดว่าอย่างไรก็ไม่ยอมทำตามเด็ดขาดและเขาก็ไม่เชื่อว่าซากิจะกล้าทำเช่นกัน

แต่แล้วฮารุโตะก็ต้องร้องออกมาเสียงหลงเมื่อร่างสูงกว่าลงมือลวนลามเขาจริงๆ

“ผมยอมแล้ว ผมยอมแล้ว”เขาจับยึดฝ่ามือใหญ่กว่าไว้ หอบหายใจแรงเมื่อหนุ่มรุ่นพี่ยอมผละออกห่าง

“ผม… ต้องไปทำงาน”เด็กหนุ่มพยายามคิดหาทางเอาตัวรอด ซึ่งในความเป็นจริงแล้วคำพูดนั้นเป็นการโกหก เนื่องจากหลังจากเข้าชมรม เขาจะปรับเปลี่ยนตารางการทำงานให้สัมพันธ์กิจกรรมชมรมที่ต้องทำ

“โกหกต้องโดนลงโทษ”พอเห็นซากิโน้มตัวมาหาฮารุโตะจึงรีบเบี่ยงตัวหนี

“ขอโทษครับวันนี้ผมไม่ต้องไปทำงาน”ฮารุโตะพูดเสียงเบา เหลือบมองฝ่ามือที่ยื่นมาตรงหน้าอย่างทำใจ พยายามวางมือลงไปบนฝ่ามือนั้นอย่างเชื่องช้าที่สุด แต่แค่ปลายนิ้วสัมผัสกัน มือของเขาก็ถูกรวบจับไว้พร้อมแรงกระตุกที่สั่งให้เขาลุกขึ้นยืน ฮารุโตะถูกพาไปยังห้องน้ำในอาคารของสนามฟุตบอล ที่นั่นเงียบกริบไร้ผู้คน หนุ่มรุ่นพี่เป็นผู้กดล็อกประตูพร้อมกับดันเขาให้เข้ามาด้านใน หลังจากผ่านพ้นเหตุการณ์เมื่อวันอาทิตย์ซึ่งเป็นทริปการท่องเที่ยวนอกสถานที่  เมื่อเกิดบรรยากาศสถานการณ์เช่นนี้ ไม่ต้องเอ่ยปากถามเด็กหนุ่มสามารถคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

“ทำไม…”ฮารุโตะพูด “ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย” เขาหลับตาเมื่ออีกฝ่ายแตะริมฝีปากที่ต้นคอฝ่ามืออุ่นร้อนสอดอยู่ใต้เสื้อกระตุ้นตุ่มไตให้แข็งตัว เขาทั้งตื่นกลัวและตื่นเต้นไปพร้อมกัน เซ็กส์ครั้งก่อนไม่เจ็บเท่าที่เขากลัว มันมีแต่ความรู้สึกดีที่เขาคาดไม่ถึง

ทว่า มันไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องที่สมควรเกิดขึ้น  อีกประการหนึ่ง ความต้องการทางเพศของเขาอยู่ในขั้นน้อยถึงน้อยมาก วิชาเพศศึกษาแค่ทำให้เขารู้จักว่าผู้ชายผู้หญิงต่างกันอย่างไรและเมื่อเกิดการปฏิสนธิระหว่างชายและหญิงจะเกิดอะไรขึ้น ฮารุโตะเคยมีความสนใจเด็กผู้หญิงอยู่บ้างแต่กับผู้ชาย… เขารู้สึกแค่ว่าเป็นมนุษย์จำพวกที่ไม่น่าเข้าใกล้ เด็กผู้ชายในรุ่นเดียวกันและแม้กระทั่งรุ่นน้องสองถึงสามปีมักจะแข็งแรงกว่าเขา ถ้าเขาทำอะไรให้ไม่พอใจก็อาจจะโดนทำร้ายได้เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงกลุ่มผู้ชายที่อายุมากกว่า

แม้ว่าเขาจะแอบชอบรุ่นพี่นาคามูระ หรือเคยมีจินตนาการแปลกๆกับหนุ่มรุ่นพี่ที่ตนแอบชอบ แต่มันแตกต่างกับความจริงที่กำลังจะเกิดขึ้น ฮารุโตะไม่คาดคิดอยากจะให้เรื่องที่ไม่ถูกไม่ควรเช่นนี้เกิดขึ้นอีก กระนั้นก็ไม่อาจหาญฝืนต้านขัดขืน

“เพราะฉันอยากจะทำ”

แววตาของร่างสูงแวววาวร้ายกาจสมกับคำพูดที่แสนเอาแต่ใจ ฮารุโตะได้แต่หลุบตาลงปิดบังความรู้สึกในอกที่เริ่มเอ่อท่วมแทบล้นขอบตา น้อยใจในโชคชะตาของตน สุดท้ายได้แต่พยายามทำใจ ฮารุโตะคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่าจะเพิ่มขึ้นมาอีกสักเรื่อง ชีวิตเขาก็คงไม่แย่ไปกว่านี้



จู่ๆก็มีคำเชิญเข้ากลุ่มปรากฏเตือนขึ้นมาบนโทรศัพท์มือถือของฮารุโตะ เขากดตอบรับทั้งที่เต็มไปด้วยความแปลกใจพอเข้าสู่ห้องสนทนาข้อความโต้ตอบหลายข้อความได้เด้งขึ้นรัวๆ

“ที่ห้องชมรมนะแหละดีแล้ว”

“ส่วนใหญ่เจ้าพวกนั้นก็สิงอยู่ชมรมตลอด”

“งั้นต้องวางแผนให้สองคนนั้นออกไปที่ไหนสักแห่งก่อน”

“รุ่นพี่ฮายาชิจัดการให้หน่อยสิคะ”

“เรื่องแหนะจะให้บอกว่าอะไรพวกนั้นคงเชื่อหรอก”

“แล้วพี่เข้ามาในกลุ่มทำไมอะ”

“ก็แค่อยากรู้ว่าจะทำอะไรกันวันเกิดฉันก็ขอให้ไปจัดที่ภัตตาคารหรูๆหน่อยนะ”


ฮารุโตะหัวเราะเมื่อหลังจากนั้นข้อความที่ปรากฏเป็นสติกเกอร์แสดงอารมณ์อีกมากมาย

“มิอุระคุงอ่านอยู่ใช่ไหม”

“ครับ” เขาตอบกลับไปด้วยคำสั้นๆอย่างรวดเร็ว

“วันพฤหัสหน้าจะเป็นวันเกิดของนาคามูระคุงกับอาโอกิคุงเลยอยากจะให้มิอุระคุงช่วยหน่อย”

“อะไรที่ผมทำได้ผมยินดีช่วยเต็มที่ครับ”ฮารุโตะเริ่มคิดถึงของขวัญที่จะให้รุ่นพี่นาคามูระกับรุ่นพี่อาโอกิแล้ว

“ช่วยถ่วงเวลาสองคนนั้นให้หน่อยนะ พวกเราจะจัดงานวันเกิดที่ห้องชมรม สองคนนั้นมีเรียนแค่ช่วงเช้า ดังนั้นก่อนที่พวกเราจะจัดสถานที่เสร็จ ทำอย่างไรก็ได้ไม่ให้ทั้งสองคนมาที่ชมรม”

ฮารุโตะตอบรับแม้จะยังคิดวิธีไม่ออกก็ตาม

เพราะลองคิดมาหลายตลบเด็กหนุ่มก็ยังคิดหาวิธีดีๆที่จะทำให้รุ่นพี่นาคามูระและรุ่นพี่อาโอกิไม่ไปที่ชมรมไม่ได้สักทีดังนั้นเมื่อเจอชิมิซึ ซากิอีกครั้งเขาจึงต้องเอ่ยถามอย่างช่วยไม่ได้

“วิธีไหนหรือ”ซากิพูดทวนพลางมองฮารุโตะซึ่งมองกลับมาที่เขาด้วยประกายแห่งความหวัง ร่างเล็กบางยังคงเปลือยเปล่าเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น ทั้งที่ปกติจะต้องเพลียจนหลับไปทุกครั้งหลังเสร็จกิจ ซากิยันตัวลุกขึ้นนั่งพลางรั้งเอวบางของฮารุโตะเข้าหาตัว ยกสะโพกร่างเล็กให้นั่งซ้อนบนหน้าขา เด็กหนุ่มไร้ซึ่งการระวังตัวคงเพราะจดจ้องรอคอยคำตอบ

“ก็ไปชวนนาโอโตะบอกว่าอยากไปเดินเที่ยว”

“นั่นซินะ ทำไมถึงคิดไม่ออกนะ”ฮารุโตะบ่นกับตัวเองกับคำตอบที่ดูง่ายแสนง่าย

“เวลาไปชวนก็บอกว่าชวนไปเดต”

“เดต? ไปเที่ยวกันเฉยๆไม่ใช่เหรอ”

“อืมไปเที่ยวกันเฉยๆก็เรียกว่าเดตได้”

“แล้วรุ่นพี่ว่าผมควรจะซื้ออะไรให้รุ่นพี่นาคามูระดีครับ อย่าแพงมากนะ รุ่นพี่เขาชอบอะไร”

ซากิมองหนุ่มรุ่นน้องพูดจ้อยๆแล้วต้องหัวเราะ เห็นปากสีเรื่อขยับขึ้นลงก็อดไม่ได้

“เจ็บ”ฮารุโตะพูดเสียงอ่อยแต่สายตาฉายแววไม่พอใจนัก

“มันเขี้ยว”เขาบอกก่อนจะกดริมฝีปากดูดดึงหยอกเย้าริมฝีปากสีเรื่ออีกครั้งพอรุกเร้าหนักเข้าอารมณ์ที่เพิ่งเงียบสงบจึงเลยเถิด

ฮารุโตะเปลี่ยนตารางการทำงานพิเศษเพื่อให้มีเวลาสำหรับการทำงานในชมรมจึงมีการทำงานวันเสาร์หรืออาทิตย์เต็มวันหรือบางวันที่เป็นวันหยุด ซากิจึงใช้โอกาสหลังจากที่หนุ่มรุ่นน้องเสร็จจากงานในชมรมดึงตัวไว้

ชายหนุ่มมองรุ่นน้องซึ่งนอนหลับด้วยความอ่อนเพลียหลังจากจบยกที่สอง เขารู้สึกไม่ค่อยคุ้มค่าเท่าไหร่กับการเปิดห้องของโรงแรมแล้วได้กินแค่สองรอบ แต่การตอบสนองแบบไม่ประสีประสาถูกใจเขาไม่น้อยจึงยอมอนุโลมให้เด็กหนุ่มได้หลับสบายๆ แต่ถ้ามีโอกาสเมื่อไหร่เขาจะกินให้อิ่มเต็มคราบเลยทีเดียว



ในที่สุดวันพฤหัสบดีที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง

วันนี้ฮารุโตะมีเรียนวิชาบรรยายคาบบ่ายก็จริงแต่เขาตั้งใจจะโดนเรียนพอคิดถึงเรื่องการเรียนแล้วรู้สึกว่าช่วงนี้เขาค่อนข้างจะหย่อนยานไปสักหน่อย เขาทบทวนหนังสือน้อยลงจนเริ่มจะกังวล สงสัยจะต้องเพิ่มเวลาอ่านหนังสือตอนเช้า ฮารุโตะบอกกับตนเองในใจ พลางตรวจสอบของในกระเป๋าอีกครั้งกล่องของขวัญของรุ่นพี่อยู่ในนั้น กระเป๋าเงิน โทรศัพท์และหนังสือเรียน เขาปิดกระเป๋าและจับสายสะพายขึ้นพาดบ่า เดินมาส่องกระจกอีกครั้งเสื้อแขนยาวตัวที่เขาสวมอยู่เป็นสเวตเตอร์สีเทาที่เขาสวมใส่มาหลายปีมันจึงทั้งดูเก่าและหมอง ฮารุโตะตั้งใจว่าปีนี้เขาจะซื้อสเวตเตอร์และโค้ตกันหนาวตัวใหม่

เด็กหนุ่มเดินออกจากห้องอากาศเย็นลงทุกวัน แต่พอได้สัมผัสแสงแดด พลันรู้สึกราวกับว่าจะอุ่นขึ้นเล็กน้อย ฮารุโตะเดินไปตามถนนอย่างไม่เร่งรีบ เขาตื่นแต่เช้าจึงมีเวลาเหลือเฟือที่จะทำตัวเอื่อยเฉื่อย

และวิชาเรียนช่วงเช้าก็ผ่านไปด้วยดีตามปกติ ฮารุโตะไม่ค่อยมีเพื่อนในคณะแต่เขาไม่ได้เก็บมันมาคิดหรือใส่ใจ เขามีรุ่นพี่นาคามูระ มีรุ่นพี่อาโอกิ มีรุ่นพี่และเพื่อนๆที่ชมรมแค่นี้เขาก็ไม่ต้องการใครอีกแล้ว

“ไม่ได้เจอกันนานนะ”

เด็กหนุ่มชะงักเท้า คนที่ไม่เจอมานาน ไม่อยากเจอและภาวนาอยู่เสมอว่าให้อีกฝ่ายหายไปจากชีวิตของเขาเสียทีมาปรากฏตัวยืนอยู่เบื้องหน้า ฮารุโตะกุมสายกระเป๋าแน่นเขานัดกับรุ่นพี่ไว้ตอนเที่ยงครึ่งแต่การไปตามนัดสายอาจจะไม่ใช่เรื่องสำคัญในตอนนี้

ทางเดินในมหาวิทยาลัยไม่ใช่เส้นทางเปลี่ยวที่ล้อมกรอบด้วยหมู่อาคารอย่างในตัวเมืองแต่ก็มีบางจุดที่ลับตาผู้คน ฮารุโตะแค่เลือกเดินมาทางลัดระหว่างอาคาร เด็กหนุ่มก้าวถอยหลัง เขาแค่ต้องหันหลังและวิ่งหนีให้พ้น แม้ว่าจะคิดได้แต่ร่างกายของฮารุโตะไม่ได้ตอบสนองต่อความต้องการของสมองได้อย่างรวดเร็วเช่นนั้น เพราะฉะนั้นแค่ย่ำเท้าออกไปเขากลับถูกกระชากเหวี่ยงจนล้มลงไปนอนกับพื้น

“ไม่เจอกันไม่นานใจกล้าขึ้นไม่เบานะ”คำพูดนั้นมาพร้อมฝ่าเท้าที่เตะอัดเข้ากลางลำตัว ฮารุโตะขดตัวจนแทบกลายเป็นก้อนกลมๆทนรับแรงกระแทกอีกไม่กี่ทีอีกฝ่ายก็ถูกดึงให้รามือ

“พอๆเดี๋ยวมันก็ตายหรอก”

ซากุราอิ ชุนยังคงหัวฟัดหัวเหวี่ยง

“ไหนบอกว่าแค่เบาะๆพอให้หายหงุดหงิดไง”

“ก็แม่งคิดจะหนี”

“มีคนจะมายำตีนไม่คิดหนีสิแปลก”เสียงพูดเสียงที่สามดังขึ้นตามด้วยเสียงหัวเราะแบบไม่จริงจังนัก

“ยังมาหัวเราะอีกพอได้แล้วน่าชุน ถ้ามีใครมาเจอเดี๋ยวจะเป็นปัญหาเสียเปล่าๆ”

จากนั้นเสียงฝีเท้าจึงค่อยห่างออกไปฮารุโตะยันตัวลุกขึ้น เจ็บไปทั่วตัวจนไม่รู้ว่าร่างกายโดนกระทบตรงไหนบ้างกระนั้นเขาก็ห่วงแต่ของในกระเป๋า กล่องใส่ของขวัญสภาพยับเยินไปเล็กน้อยแต่เด็กหนุ่มคิดว่าของข้างในคงไม่มีปัญหา เขาซื้อเข็มขัดให้รุ่นพี่อาโอกิและซื้อเชือกผูกรองเท้าให้รุ่นพี่นาคามูระตามคำแนะนำของรุ่นพี่ชิมิซึ

เด็กหนุ่มรีบลุกขึ้นเมื่อเหลือบไปเห็นตัวเลขแสดงเวลาที่ปรากฏอยู่บนหน้าปัดนาฬิกา รีบก้าวเท้าไปยังจุดนัดหมายไปพลางปัดฝุ่นและทำให้เสื้อผ้าของตัวเองพอดูได้ไปพลาง

“รุ่นพี่”เขาร้องเรียกเมื่อเห็นทั้งนาโอโตะและเรย์นั่งรออยู่แล้ว จากนั้นจึงหันไปมองซากิอย่างแปลกใจไม่น้อย จำได้ว่านัดเวลากับรุ่นพี่อาโอกิและรุ่นพี่นาคามูระเท่านั้น

ฝ่ายทั้งสามคนต่างมองดูฮารุโตะด้วยความตกใจไม่แพ้กัน

ซากิเอื้อมมือไปแตะข้างแก้มของหนุ่มรุ่นน้องตรงที่เป็นรอยแดง ฮารุโตะสะดุ้งโหยงเขาเพิ่งรู้สึกเจ็บตอนที่มืออีกฝ่ายมาโดนนี่ล่ะ

“ไปโดนอะไรมาน่ะ”นาโอโตะถามด้วยความเป็นห่วง แต่ฮารุโตะกลับมองคนถามหน้าตาตื่นราวกับว่าคำถามนั้นเป็นคำถามร้ายแรงเหลือบสายตามองเรย์ที มองซากิทีแล้วก้มหน้าลงจากนั้นเสียงพูดบอกคำตอบก็ดังขึ้น

“ผมหกล้มครับ พอดีว่าตอนที่มารีบเดินไปหน่อยเลยสะดุดขาตัวเอง ที่จริงผมไม่เจ็บหรอกนะครับแต่ผิวผมขาวมันเลยดูแย่กว่าคนอื่น”

ซากิขมวดคิ้วขณะมองหนุ่มรุ่นน้องรูดซิปกระเป๋าด้วยมือสั่นเทา

“ถ้าใช้ผ้าปิดจมูกคาดไว้มันก็จะมองไม่เห็นแล้ว” ฮารุโตะเงยหน้ามองรุ่นพี่ทั้งสอง ยกยิ้มให้จากภายใต้ผืนผ้าที่ตนนำมาสวม

“ไปกินข้าวกันเถอะครับตอนนี้ผมหิวแล้ว”ฮารุโตะพยายามเปลี่ยนเรื่อง

“ไปทำแผลก่อนไหมฮารุจัง”

“ไม่เป็นไรครับ ตอนนี้ผมหิวข้าวมากกว่าอีก”เขาบอกพลางรุนหลังรุ่นพี่ผู้แสนใจดีอย่างนาโอโตะให้ก้าวเท้าเดิน หนุ่มรุ่นพี่จึงต้องยอมทำตามที่เขาว่าทั้งที่ยังดูลังเล

นาโอโตะเลือกร้านอาหารที่ขึ้นชื่อเรื่องรสชาติความอร่อยร้านหนึ่งเป็นสถานที่ทานอาหารกลางวัน หลังจากได้โต๊ะสำหรับสี่ที่พนักงานของร้านจึงปล่อยให้พวกเขาเลือกเมนูอาหารกันอย่างเป็นส่วนตัว  เด็กหนุ่มเปิดดูรายการซึ่งเป็นภาพถ่ายของอาหารที่มีจำหน่ายในร้าน ราคาที่บ่งบอกอยู่บนเมนูทำให้เขาต้องคำนวณเงินในกระเป๋าจนหัวหมุน

“ร้านนี้มีอาหารอร่อยๆเยอะมาก”นาโอโตะหันไปชวนหนุ่มรุ่นน้องพูดคุย ฝั่งตรงข้ามคือนาคามูระ เรย์ ส่วนชิมิซึ ซากินั่งอยู่ตรงข้ามกับฮารุโตะ

“แถมยังมีเมนูแนะนำของแต่ละเดือนด้วย”ทั้งที่ยังกางเล่มเมนูของตนเองไว้ตรงหน้า นาโอโตะก็ยังคงชะโงกศีรษะมามองรายการอาหารที่ฮารุโตะเปิดอ่าน รวมทั้งยังแนะนำแต่ละรายการราวกับเป็นพ่อครัวเสียเอง

“ผมกินแค่ชุดนี้ก็อิ่มแล้วครับ” เด็กหนุ่มชี้ไปยังซูชิเซตเล็ก

“กินแค่นี้น่ะอิ่มไม่ได้หรอก เพราะกินน้อยอย่างนี้นะสิถึงตัวเล็กแบบนี้” พูดจบก็หันไปเรียกบริกรเพื่อจัดการสั่งอาหารสำหรับฮารุโตะและตนเองทันที

“ร…รุ่นพี่ผมไม่เอานะครับ ผมทานไม่หมดหรอกครับ”

“ไม่เป็นไรหรอกน่าไม่หมดเดี๋ยวให้เรย์ช่วย”

“รุ่นพี่”ฮารุโตะร้องค้านเสียงอ่อน เงินค่าอาหารมื้อนี้อาจจะเล็กน้อยสำหรับคนอื่นแต่สำหรับเขามันหมายถึงค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตอีกสองถึงสามวัน และเขาไม่อยากบอกเหตุผลนั้นกับรุ่นพี่ แค่ความช่วยเหลือมากมายที่รุ่นพี่อาโอกิให้มามันก็มากเกินกว่าที่เขาจะตอบแทนได้

“เอาซูชิเซตดีครับแล้วก็ชุดนี้”นาโอโตะต้องตัดใจยอมสั่งชุดอาหารที่ฮารุโตะต้องการแทน เขาเป็นพี่ชายที่ต้องดูแลน้องเล็กๆดังนั้นจึงติดนิสัยจู้จี้จุกจิกช่างจัดการ

อีกสองหนุ่มยังคงนั่งมองเงียบๆ หลังจากที่สั่งอาหารของตนเสร็จแล้ว

“เอาผ้าปิดจมูกออกก่อนดีไหม”นาโอโตะพูดขึ้นมาเมื่อพนักงานนำผ้าเช็ดมือกับน้ำชามาเสิร์ฟ

ฮารุโตะลังเลเขาไม่อยากโดนซักไซ้เกี่ยวกับที่มาของรอยช้ำอีก

“ถ้าไม่ถอดออกคงจะกินข้าวลำบากน่าดู”เรย์กล่าวเสริมขึ้นมา เด็กหนุ่มจึงยอมถอดออก

รอยแดงบนหน้าเริ่มบวมเห่อขึ้นจนเห็นได้ชัดรวมถึงเริ่มกลายเป็นสีม่วงช้ำ

“ประคบหน่อยแล้วกันนะ”นาโอโตะตัดสินใจเองทันทีที่เห็น เขาเรียกพนักงานอีกครั้งเพื่อขอน้ำแข็งพอได้มาก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าที่ตนมีอยู่ห่อน้ำแข็งเป็นก้อนเล็กๆประมาณกำปั้นมือ

“เดี๋ยวผมทำเองก็ได้ครับ”

“มองเห็นหรือ”นาโอโตะดุ จังหวะนั้นเสียงกระแอมกระไอจากนาคามูระ เรย์ก็ดังขึ้น นาโอโตะแค่ตวัดสายตาดุๆกลับไปมองแล้วรั้งไหล่ให้รุ่นน้องหันหน้ามาทางตนวางลูกประคบบนแก้มช้ำแดงอย่างเบามือ

“เจ็บหรือเปล่า”

ฮารุโตะจะสั่นศีรษะปฏิเสธแต่เพราะขยับไม่ได้จึงตอบออกไปเป็นคำพูดเสียแทน

นาโอโตะทำเช่นนั้นอยู่นานจนกระทั่งพนักงานนำอาหารมาเสิร์ฟ

“ทานข้าวเถอะครับ”เด็กหนุ่มพูด ด้วยเหตุนั้นนาโอโตะจึงยอมวางมือ ฮารุโตะจึงถือลูกประคบแนบแก้มไว้เสียเองและทานอาหารของตนด้วยความเชื่องช้า ดังนั้นตอนที่พวกรุ่นพี่ทานเสร็จอาหารในจานของเขาก็ยังไม่หมด

“ไม่ต้องรีบ”นาโอโตะยิ้มให้อย่างเอ็นดูจากนั้นหันหน้าไปถามซากิ

“ว่าแต่ทำไมนายถึงมาด้วย”

“อยากมาเดินเล่น”

“แปลกชะมัด”เรย์พูด

นั่งคุยกันอยู่ครู่เดียว ฮารุโตะจึงทานอาหารหมด จากนั้นไม่นานนักพวกเขาก็ไปเดินดูของในศูนย์การค้า ฮารุโตะเดินดูโค้ตและเสื้อกันหนาวเป็นพิเศษ พลางคิดในใจว่าเก็บเงินอีกนิดหน่อยคงพอจะซื้อได้ เดินวนเวียนกันหลายชั่วโมงเสียงเตือนข้อความจากกลุ่มจัดปาร์ตี้ก็ดังขึ้น

“รุ่นพี่ครับพวกพี่ๆที่ชมรมจัดห้องเสร็จแล้ว”ฮารุโตะเดินไปหาซากิพร้อมยกโทรศัพท์ให้ดู

“ให้ทำอย่างไรต่อดี”

“เดินไปบอกสองคนนั้นว่ามีธุระที่ชมรมให้พาไปส่งหน่อย”

ฮารุโตะทำตามคำแนะนำของรุ่นพี่ร่างสูงอย่างว่าง่าย ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงกลับมาที่ห้องชมรมอีกครั้ง

ตอนที่ฮารุโตะกำลังจะเปิดประตูห้องซากิกลับดึงไว้เสียก่อนแล้วพูดกับเรย์และนาโอโตะว่า

“เปิดประตูให้หน่อย”

เรย์มองเพื่อนอย่างแปลกใจกระนั้นเขายังคงสอดมือเข้าไปในช่องจับประตูและเลื่อนเปิดประตูห้องออก

เสียงพลุกระดาษดังขึ้น จากนั้นเสียงปัง ปัง ปัง ก็ดังระรัวตามมาและเมื่อเสียงพลุกระดาษอันสุดท้ายสิ้นสุดลงเสียงเพลงสุขสันต์วันเกิดดังตามมาติดๆ

ฮารุโตะร้องเพลงตามไปกับทุกคน มองเปลวเทียนสว่างไสวซึ่งปักอยู่บนเค้กก้อนใหญ่ มองรุ่นพี่นาคามูระและรุ่นพี่อาโอกิที่ยกยิ้มอย่างมีความสุข แค่มีส่วนร่วมเล็กๆน้อยๆแค่นี้เขายังมีความสุขมาก พวกรุ่นพี่คงต้องดีใจมากแน่ๆฮารุโตะคิดในใจ

“สุขสันต์วันเกิดขอให้ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร”เรียวตะตะโกนบอกทันทีที่เสียงเพลงจบลง ทุกคนต่างหัวเราะกันอย่างครื้นเครงพลันเสียงเชียร์ก็ดังตามมาอีก

“จูบเลย! จูบเลย! จูบเลย!”

ฮารุโตะขมวดคิ้วแต่ยังคงปรบมือไปตามจังหวะ ได้สบสายตากับรุ่นพี่นาคามูระชั่วแวบหนึ่งเมื่อฝ่ายนั้นเหลือบสายตามองมาทางเขาและหลังจากนั้นเขาได้แต่ยืนนิ่งเมื่อรุ่นพี่นาคามูระโน้มตัวลงประทับฝีปากลงบนริมฝีปากของรุ่นพี่อาโอกิ ณ ตอนนั้นในสมองของฮารุโตะมีแต่ความมึนงงความคิดทุกอย่างรวนไปหมด

“รุ่นพี่นาคามูระจูบกับรุ่นพี่อาโอกิ”เด็กหนุ่มหันไปพูดกับคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ทั้งที่ไม่เคยคุยกันด้วยซ้ำ

“หือ ช็อทเด็ดของงานวันนี้เลยนะ ทั้งที่คบกันอยู่แต่ดูเหมือนไม่ได้คบกันเลยใช่ไหมล่ะ ได้ยินแว่วๆมาว่าถ้าทำให้เซอร์ไพรส์ได้จะยอมจูบให้ดู”

ฮารุโตะไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นพูดอะไรต่อ แต่เขารู้สึกเหมือนทุกอย่างมันมืดดำไปหมดหลังจากโดนเรื่องราวของรุ่นพี่ที่ตนหลงรักช็อตอย่างกะทันหัน

วินาทีนั้นเด็กหนุ่มได้รู้สึกตัวว่า ความชื่นชอบของตนที่มีต่อนาคามูระ เรย์นั้นมากมายแค่ไหน ฮารุโตะเคยพยายามบอกตัวเองเสมอว่า เขาไม่มีทางได้ความรักตอบ อย่าคาดหวังในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เขาแค่แอบชอบและมองอยู่ห่างๆ ทำใจยอมรับความเจ็บปวดที่จะเกิดขึ้น กระนั้นเมื่อวันที่ความจริงนั้นมาถึง มันยังคงมากมายและถาโถมเข้าจนเขาไร้เรี่ยวแรงที่จะยืน

“รุ่นพี่รู้อยู่แล้วหรือครับเรื่องรุ่นพี่นาคามูระกับรุ่นพี่อาโอกิ”ฮารุโตะเอ่ยถามซากิ

“อืม”

“แล้วที่บอกว่าจะช่วยผม”ฮารุโตะหันหน้าไปหามองสบนัยน์ตาสีดำสนิทที่จ้องมองเขาอยู่เช่นเดียวกันและคำตอบที่แสนเย็นชาก็ออกมาจากปากของอีกฝ่าย

“ก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง”

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-10-2017 11:57:16 โดย ตีสี่ »

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
หลังจากกิจกรรมเซอร์ไพรส์วันเกิดของสองรุ่นพี่ประธานและรองประธานชมรมถ่ายภาพ ฮารุโตะต้องไปทำงานต่อแต่ความคิดและสติยังคงรางเลือนจากเรื่องที่รับรู้ เขาทำงานด้วยความเลื่อนลอย จิตใจเฝ้าแต่หวนคิดย้ำๆซ้ำๆจนการทำงานในวันนั้นผิดพลาดไปหลายอย่าง ทั้งที่เป็นเรื่องที่เคยคาดคิดไว้ ทั้งที่เป็นเรื่องที่สามารถทำความเข้าใจได้ง่ายๆแต่ในหัวใจของฮารุโตะกลับไม่ยอมรับมัน

เด็กหนุ่มตื่นขึ้นมาอีกครั้งในตอนเช้า ร่างกายของเขาปวดเมื่อยและหนักอึ้งไปทั้งตัว กระนั้นในสมองยังคงครุ่นคิดมีคำถามมากมาย เขานึกย้อนไปถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา คิดสมมติไปว่าถ้าเขาทำแบบนั้นหรือแบบนี้ ผลลัพธ์ที่เกิดอาจจะเปลี่ยนแปลงไปกระทั่งความเหนื่อยล้าเข้าครอบงำอีกครั้งเขาจึงหลับไปอีกรอบ

เสียงโทรศัพท์ดังยาวนานต่อเนื่อง ฉุดดึงสติอันรางเลือนของเขาให้ตื่นขึ้น ฮารุโตะยังคงมึนงงสับสนยามมองหาที่มาของเสียงเขาค่อยๆพาร่างอันไร้เรี่ยวแรงขยับไปหา กดรับและพยายามกรอกเสียงลงไป แต่ลำคอของเขาแห้งผากจนเสียงพูดที่เปล่งออกมานั้นสุดแสนแผ่วเบา

“ฮารุโตะ”เสียงเรียกชื่อดังซ้ำอยู่หลายครั้ง

“ครับฟังอยู่”แม้เสียงจะแหบแห้งแต่คงดังพอให้อีกฝ่ายได้ยิน เด็กหนุ่มล้มตัวลงนอนและหลับตาลงขณะถือโทรศัพท์ไว้แนบหู เขารู้สึกมึนหัวทั้งห้องโคลงเคลงจนไม่สามารถทรงตัวได้ไหว เพราะนอนเยอะเกินไปหรือเปล่านะ เด็กหนุ่มคิดเช่นนั้นอยู่ในใจ

“เป็นอะไรหรือเปล่าเสียงฟังดูไม่ดีเลย”

“เปล่าครับไม่เป็นอะไร”จะวางหรือยังนะตอนนี้เขาง่วงอีกแล้ว

“ไม่เห็นมาที่ชมรม”

อ้อใช่…พูดถึงชมรมนั่นทำให้เขานึกถึงเรื่องที่อยากลืมขึ้นมาอีก ผู้คนที่อยู่รอบตัวเขามีแต่พวกใจร้าย ทำร้ายคนอื่นเพื่อความสะใจของตัวเองได้หน้าตาเฉย พอคิดถึงตรงนี้น้ำตาก็ร่วงออกมา

“ฮารุโตะยังอยู่หรือเปล่า”

เสียงเรียกจากปลายสายดังซ้ำอยู่อีกไม่กี่ครั้งสายนั้นก็ถูกตัดไป


…เงียบเสียที




การที่จู่ๆสายก็ถูกตัดไป ซ้ำเมื่อโทรกลับกลายเป็นว่าสัญญาณจากปลายสายขาดหายไปเสียดื้อๆทำให้นาโอโตะร้อนรนเป็นห่วง

“ฮารุจังเป็นอะไรหรือเปล่าก็ไม่รู้ เสียงก็ฟังดูไม่ค่อยดีเลย”

“ไม่ต้องเป็นห่วงมากหรอกน่า เมื่อวานก็ยังดูดีๆนี่”เรย์พูดขณะก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือกล้องในมือ

“ดีอะไรกัน หน้าช้ำขนาดนั้นเนี่ยนะ ใช่หกล้มแน่หรือเปล่าก็ไม่รู้”พูดตอบไปพลางรื้อเอกสารไปพลาง

“จะสงสัยเป็นห่วงอะไรนัก ถึงต่อให้เป็นอะไรไป พ่อแม่ญาติพี่น้องเขาก็คอยดูกันเองนั่นแหละ”

“พ่อแม่ญาติพี่น้องอะไร ตอนนี้ฮารุจังอยู่คนเดียว”

“ไปรู้มาได้อย่างไรละฮึ”

“มีปากก็ถามไง อ๊ะเจอแล้ว อยู่ใกล้ๆเองนะเนี่ย”พอได้ยินนาโอโตะพึมพำแบบนั้น เรย์จึงหันมาให้ความสนใจทั้งตัวแต่ก็ยังช้ากว่าเรียวตะอยู่

“อ้อ พักอยู่บ้านเช่านั้นเอง”

“รู้จักหรือ”

“อืม อยู่ปากซอย บ้านฮารุจังท่าจะจนน่าดูถึงได้กล้าปล่อยลูกชายที่ดูไม่ค่อยทันคนไปอยู่ที่แบบนั้น”

“ที่นั่นสภาพแย่ขนาดนั้นเชียว”

“สภาพข้างในไม่รู้แต่ข้างนอกอย่างโทรม จำได้ว่าเมื่อสองสามปีก่อนมีฆ่ากันตายด้วย”

“หวา”นาโอโตะร้องเสียงหลง “ฮารุจังจะเป็นอะไรไหมเนี่ย” เรื่องที่เรียวตะเล่าทำให้เขารู้สึกเป็นห่วงมากกว่าเดิม

“จะไปหรือ ไปด้วยนะอยากเห็นข้างใน”

“ไม่ใช่เรื่องสนุกนะเรียวตะ”

“ฉันก็ไม่สนุกเหมือนกัน”เรย์พูดขึ้นมาบ้าง เขาพุ่งตัวมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้านาโอโตะอย่างรวดเร็ว

“เราพูดเรื่องนี้กันหลายรอบแล้วนะเรย์”นาโอโตะบอกกลับไปอย่างนึกรำคาญ “ไม่มีอะไรคือไม่มีอะไรดิ”

“ถ้าไม่มีอะไรก็ทำให้สบายใจบ้างไม่ได้หรือไง”ทั้งสองต่างจ้องหน้ากันอย่างที่ไม่มีใครยอมใคร ก่อนนาโอโตะจะสะบัดหน้าหนีเขาหยิบกระเป๋าของตนมาถือ

“เรียวตะจะไปหรือเปล่า”พูดพลางเดินนำออกจากห้อง เรียวตะจึงต้องรีบเดินตามออกไป ส่วนเรย์ถึงจะหงุดหงิดไม่ชอบใจแต่เขาก็ยังรีบเดินตามนาโอโตะไปเช่นเดียวกัน เขาคว้าท่อนแขนของคนรักไว้

“เดี๋ยวฉันไปส่ง”พูดเช่นนั้นก่อนจะเดินนำไปที่รถ ถึงจะรู้สึกหงุดหงิดแต่นาโอโตะไม่ได้ขัดคอทำตัวหัวรั้น เขาเดินตามไปเปิดประตูรถฝั่งที่นั่งข้างคนขับ พอเข้ามานั่งในรถยนต์ถึงได้สังเกตเห็นเพื่อนร่วมกลุ่มอีกสองคน

“เอคิจิ ซากิ”ชายหนุ่งส่งเสียงเรียกอย่างแปลกใจ

“ไปกันหลายๆคน ก็จะได้คอยช่วยกันได้ไง”เอคิจิตอบพร้อมรอยยิ้ม เมื่อได้ยินคำตอบนาโอโตะไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆอีก ดังนั้นพาหนะสี่ล้อจึงค่อยๆเคลื่อนตัว





+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-10-2017 11:58:23 โดย ตีสี่ »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
บทนี้ฮารุโตะเจอมรสุมหนักหน่วงอยู่นะ แม้ว่าจะเจอมาทั้งชีวิต แต่ตอนนี้มันแทบจะเรียกว่าประดังประเดมาทุกทาง
ดวงของฮารุโตะนี่จะต้องเจอแต่คนใจร้าย ไม่หวังแกล้ง (แรง ๆ) ก็หวังเซ็กซ์สินะ (ว่าถึงเรื่องนี้แล้วโคตรเคืองรุ่นพี่ซากิ... คนอะไรเลวร้ายเสียจริง)
แทบจะอดใจรออ่านตอนต่อไปไม่ไหวแล้วค่ะ

ปล.คุณตีสี่พูดจริงเหรอคะ ที่ว่าเรย์กับนาโอโตะเป็นพระเอกนายเอก แต่ใช้ฮารุโตะเป็นตัวเดินเรื่อง (เลยดูเหมือนเป็นนิยายประเภท ตามติดชีวิตฮารุโตะ ประมาณนี้... หัวเราะ)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 4 : 12/Feb/2017
« ตอบ #19 เมื่อ: 12-02-2017 10:08:27 »





ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
มันน่าน้อยใจ อนาถชีวิตตัวเองจริงๆ
มีแต่คนหาประโยชน์ กลั่นแกล้ง
เพราะความอ่อนแอ คิดไม่ทันคนพวกนั้น
ฮารุโตะ จะทำให้ตัวเองเข้มแข็งได้ยังไงนะ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 5 : 14/Feb/2017
«ตอบ #21 เมื่อ14-02-2017 12:31:33 »

สวัสดีค่ะ เนื่องจากวันนี้เป็นวันวาเลนไทน์ เห็นคนอื่นลงตอนพิเศษ เราเลยอยากลงบ้าง
แต่เราไม่มีตอนพิเศษกับเขา เลยคิดว่าก็ลงตอนปกตินี่แหละ
ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ

เรื่องย่อ


ในที่สุดฮารุโตะก็ได้รู้ความจริงว่ารุ่นพี่นาคามูระที่ตนแอบชอบนั้นมีคนรักอยู่แล้วนั่นคือรุ่นพี่อาโอกิผู้แสนใจดี ที่สำคัญคำพูดของรุ่นพี่ชิมิซึที่เคยบอกว่าจะช่วยยังเป็นเรื่องโกหกหลอกลวงที่อีกฝ่ายพูดออกมาพล่อยๆ ฮารุโตะเสียใจกับเรื่องราวที่ได้รับรู้จนพาลให้ล้มป่วย จะอะไรขึ้นเมื่อกลุ่มรุ่นพี่จะมาเยี่ยมฮารุโตะที่ห้อง

ตัวละครเพิ่มเติม

ฟุจิฮาระ ไคโตะ : ชายหนุ่มรุ่นพี่ชั้นปีที่สองสมาชิกชมรมถ่ายภาพ



春に雪が降っている。 
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย



Chapter 5


อาคารบ้านเช่าที่เรียวตะบอกเส้นทางมา ค่อนข้างจะดูเก่าและทรุดโทรมอย่างที่เจ้าตัวพูดไว้ บริเวณนั้นไม่มีพื้นที่สำหรับจอดรถ เรย์จึงปล่อยให้กลุ่มเพื่อนลงจากรถ ก่อนจะขับเลยไปอีกนิดเพื่อจอดรถในจุดที่คิดว่าจะไม่กีดขวางการสัญจร

อาคารบ้านเช่าหลังดังกล่าวเป็นอาคารขนาดสองชั้นมีบันไดเดินขึ้นชั้นสองอยู่ด้านข้าง ทั้งที่ก็เป็นเวลาเย็นย่ำแต่บรรยากาศโดยรอบกลับเงียบกริบ

นาโอโตะกดโทรศัพท์โทรออกอยู่หลายครั้ง สัญญาณการติดต่อจากปลายสายยังคงเงียบสนิทอยู่เช่นเดิม เขายกกระดาษจดที่อยู่ในมือขึ้นมาดูก่อนจะเดินดุ่มๆขึ้นไปชั้นสอง

“ฮารุจัง”นาโอโตะเคาะประตูที่หน้าห้องสองศูนย์สี่ เสียงเรียกและเสียงเคาะประตูดังไปทั่วบริเวณ เขาทำเช่นนั้นอยู่หลายครั้งจนประตูของห้องข้างๆ ถูกเปิดออกมา เจ้าของห้องเป็นคุณป้าที่อายุน่าจะราวๆหกสิบปี

“ขอโทษครับ พอดีผมติดต่อเพื่อนไม่ได้มาสองสามวันแล้ว เลยลองมาดูที่ห้อง” เอคิจิชิงพูดออกไปเสียก่อน กับคำพูดที่ดูเหมือนว่าเรื่องราวค่อนข้างร้ายแรง คุณป้าคนนั้นจึงไม่คิดถือเอาความและให้คำแนะนำถึงผู้ดูแลบ้านเช่ามาเป็นอย่างดี แต่ขณะที่กำลังจะไปหยิบยืมกุญแจจากผู้ดูแลบ้านเช่า ฮารุโตะก็เปิดประตูออกมา

หนุ่มรุ่นน้องออกมายืนอยู่ในสภาพเสื้อยืดแขนยาวกับกางเกงวอร์ม ใบหน้าด้านข้างที่เคยอ้างว่าล้มกระแทกเป็นสีเขียวช้ำ ตาแดงฉ่ำเยิ้ม หน้าแดงแต่ปากแห้งซีด

“รุ่นพี่มีอะไรหรือครับ”

นาโอโตะคิดว่าเสียงของฮารุโตะที่ฟังผ่านโทรศัพท์นั้นว่าแย่แล้ว สภาพจริงๆของเด็กหนุ่มนั้นแย่กว่าที่คิดไว้มากเพราะอีกฝ่ายมายืนแค่ประเดี๋ยวเดียวก็ทำท่าจะล้มลงไป ดีว่าเรียวตะซึ่งยืนหน้าประตูเช่นเดียวกับเขาพุ่งตัวไปรับไว้ได้ทัน จากนั้นจึงพาเจ้าของห้องกลับเข้าไปข้างใน

ภายในห้องขนาดสี่เสื่อครึ่ง มีฟูกนอนยับๆ ที่บ่งบอกว่าเพิ่งถูกใช้งานวางอยู่ อากาศภายในค่อนข้างเย็น  มีแค่บริเวณใกล้ๆตำแหน่งที่วางเครื่องทำความร้อนใกล้ฟูกนอนเท่านั้นที่ค่อนข้างอุ่นกว่าบริเวณอื่น

เมื่อเรียวตะวางเด็กหนุ่มรุ่นน้องไว้บนฟูกและห่มผ้าให้เรียบร้อยแล้ว เขารู้สึกว่าตัวเองดูเกะกะไม่น้อย ด้วยขนาดพื้นที่ของห้องเมื่อมีผู้ชายร่างยักษ์สี่คนมาอยู่รวมกัน ห้องเลยดูแคบไปถนัดตา เห็นกลุ่มเพื่อนนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งเขาจึงขยับไปนั่งสงบเสงี่ยมอยู่รวมกัน

ฝ่ายนาโอโตะ เขาจัดการหาผ้าชุบน้ำมาวางบนหน้าผากของเด็กหนุ่ม จากนั้นจึงจุดไฟตั้งน้ำบนเตาเพื่อนำมาเช็ดตัวลดอุณหภูมิในตัวของฮารุโตะ ข้าวของในห้องของคนป่วยมีน้อยชิ้นจนเขาค้นหาไม่นานก็ทั่วห้อง

“ไม่มียา ใครไปซื้อยามาให้หน่อยสิ”

เรียวตะซึ่งบ้านอยู่ลึกเข้าไปในซอยอาสาไปเอายามาจากที่บ้านเสียแทน

จากนั้นเมื่อน้ำเดือดนาโอโตะจึงผสมน้ำไม่ให้ร้อนหรือเย็นเกินไป นำมาวางไว้ข้างฟูกนอนกำลังจะลงมือถอดเสื้อคนป่วยกลับมีคนพูดขัดขึ้นเสียก่อน

“นายไปทำข้าวต้มก็ได้ เหมือนว่ามิอุระน่าจะยังไม่ได้กินอะไร เดี๋ยวทางนี้ฉันทำให้”ซากิกล่าว นาโอโตะจึงพยักหน้ารับและลุกไปจัดการอาหาร ในห้องมีข้าวสารอยู่ในถังไม้ใบเล็กซึ่งวางอยู่บนโต๊ะข้างตู้เย็น ในตู้เย็นเองก็มีของสด ไข่และอาหารปรุงสำเร็จที่ถูกพันไว้ด้วยฟิล์มยืดห่ออาหาร เขาจึงหยิบวัตถุดิบสำหรับทำข้าวต้มออกมาใช้หม้อใบเดิมที่ต้มน้ำนำมาตั้งน้ำบนเตา

ซากิพยุงตัวของฮารุโตะยกขึ้นเพื่อให้ง่ายต่อการถอดเสื้อ เอคิจิเห็นดังนั้นจึงขยับเข้ามาช่วย ส่วนเรย์… เขานั่งเล่นโทรศัพท์มือถืออย่างไม่สนใจใคร

อากาศหนาวเช่นนี้ฮารุโตะสวมเสื้อตัวในไว้แค่ตัวเดียว นอกจากเสื้อแขนยาวตัวนอกและเมื่อเสื้อที่คนป่วยสวมไว้ถูกถอดออกไปหมด รอยช้ำเขียวตามตัวจึงปรากฏให้พวกเขาได้เห็น ทั้งเอคิจิและนาโอโตะมองรอยช้ำเหล่านั้นด้วยความรู้สึกตระหนก ทางด้านซากิแม้เขาจะเห็นร่องรอยเหล่านี้เช่นกันแต่ไม่ได้ตื่นตกใจมากนัก เขาเคยสังเกตเห็นร่องรอยแผลเป็นจางๆบนร่างกายของหนุ่มรุ่นน้องมาบ้างแล้ว ชายหนุ่มวางร่างของหนุ่มรุ่นน้องลงและเริ่มลงมือเช็ดตัว

“เรียวตะเอาถุงประคบร้อนมาด้วยนะ”เอคิจิกดโทรศัพท์ โทรออกไปสั่งให้เรียวตะนำของอื่นมาเพิ่มเติม

“นายคิดว่าใครทำ”นาโอโตะถาม เอคิจิสั่นศีรษะคำถามนี้ยากเกินกว่าที่เขาจะตอบได้ เห็นคนป่วยขมวดคิ้วอย่างทรมานจึงอดที่จะใช้ปลายนิ้วนวดคลึงให้ปมหัวคิ้วคลายลงไม่ได้

ซากิเหลือบตามองผู้เป็นเพื่อน

“นายดูสนิทกับมิอุระนะไม่เคยเห็นอะไรผิดปกติบ้างหรือ”

คนโดนถามโคลงศีรษะ “ก็ไม่เชิงว่าจะสนิทแค่เคยเจอกันก่อนที่ฮารุโตะจะเข้าชมรม จะว่าไปวันที่เจอกันครั้งแรกก็เห็นว่าล้มอยู่กลางทางเดินทำท่าเหมือนจะร้องไห้อยู่เหมือนกัน”

“อาจจะโดนทำร้าย”ซากิพูดออกมาเมื่อพิจารณาจากร่องรอยบนร่างกายแล้วควรจะสรุปได้เช่นนั้น “เพียงแต่ไม่รู้ว่าใครและเมื่อไหร่”

“แจ้งความดีไหม”

“ถ้าแจ้งความก็ต้องถามเจ้าตัวก่อน แต่คงยากตอนที่นายถาม เด็กนี่ยังบอกว่าหกล้มเลยแสดงว่าเจ้าตัวคงรู้จัก แล้วก็รู้ว่าคงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะทำแบบนั้น”เรย์พูดขึ้นมาบ้าง

“ฉันว่าเงียบๆไว้และคอยสังเกตเรื่อยๆน่าจะดีกว่า ที่ไม่ยอมบอกอาจเพราะไม่อยากให้ใครมาวุ่นวายก็ได้”

“แต่…”นาโอโตะกำลังจะพูดแย้ง

“ฉันเห็นด้วยกับเรย์”เอคิจิพูด “นายล่ะซากินายว่าอย่างไร”

“ฉันไม่มีความคิดเห็น”

“สรุปสองต่อหนึ่งเสียงนายไม่ต้องคิดมากหรอก พวกเราตั้งหลายคนช่วยๆกันดู”

“ฉันไม่เกี่ยว”เรย์ออกปากปฏิเสธทันควันทำให้นาโอโตะมองหน้าอย่างไม่ชอบใจก่อนจะหันไปหาซากิแล้วถามว่า

“ฮารุจังไม่ได้มาปรึกษาอะไรกับนายบ้างหรือ”

ทุกสายตาพุ่งตรงไปยังชิมิซึ ซากิเมื่อคำพูดของนาโอโตะจบลง กระนั้นชายหนุ่มยังคงนิ่งเงียบมองกลับไปยังเจ้าของคำถามใช้เวลาอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะตอบไปว่า

“ไม่มี”

“เรื่องที่คุยกันล่าสุดล่ะ”

“มิอุระถามเรื่องของขวัญที่จะให้พวกนาย”

“ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น ฉันหมายถึงเรื่องเมื่อตอนไปเที่ยว”จู่ๆนาโอโตะก็นึกอยากรู้เรื่องราวต่อจากนั้นขึ้นมา ไม่รู้ว่าจะคืบหน้าไปแค่ไหนแต่เขาลังเลที่จะถามเอคิจิตรงๆ

“อะไรกันมีอะไรอย่างนั้นหรือ”เรย์ถามแทรกขึ้นมาบ้าง นาโอโตะมองหน้าเอคิจิสลับกับมองหน้าซากิ เขากำลังตัดสินใจแล้วพูดออกไปว่า

“ฮารุจังแอบชอบนายอยู่นะเอคิจิ”

“อา”ชายหนุ่มเจ้าของชื่อครางรับอย่างไม่ตื่นเต้นมากนัก การที่นักกีฬาจะมีคนมาชื่นชอบบ้างนั่นไม่ใช่เรื่องแปลก

“ฉันไม่ได้ความว่าชอบอย่างนั้น ชอบแบบแฟนหรือคนรักน่ะ”

“เอ๋…”คราวนี้เอคิจิตกใจจริงๆ

ในระหว่างที่นาโอโตะกำลังให้ความสนใจกับเอคิจิ  ซากิจึงหันมาจัดการสวมเสื้อผ้าให้หนุ่มรุ่นน้องหลังจากเช็ดตัวเสร็จ จากนั้นจึงใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กชุบน้ำเย็นบิดหมาดขึ้นวางบนหน้าผาก สีหน้าอีกฝ่ายดูหลับสบายมากขึ้น

“ใช่ไหมซากิ”

ชายหนุ่มหันมาให้ความสนใจเจ้าของคำถามอีกรอบ“ฉันเข้าใจผิดน่ะ เห็นบอกว่าชอบเพราะเล่นกีฬาเก่งไม่มีอะไรลึกซึ้งหรอก”

เป็นนาโอโตะที่ร้องออกมาอย่างเสียดายและวงสนทนาต้องสลายลงเพราะเรียวตะกลับมาเสียก่อน เป็นจังหวะเดียวกับที่ข้าวต้มของนาโอโตะเสร็จเรียบร้อย ทีแรกพวกเขาจะปลุกให้ฮารุโตะขึ้นมาทานอาหารทานยาแต่พอเห็นว่ารุ่นน้องกำลังหลับสบายจึงปล่อยให้นอนต่อไป เรย์เห็นว่าไม่มีอะไรแล้วจึงชวนนาโอโตะกลับ

“ฉันจะอยู่เฝ้าฮารุจัง”

แต่ก่อนที่คู่รักจะเริ่มทะเลาะกันซากิกลับเอ่ยออกมาอย่างชัดเจน “นายกลับไปเถอะฉันอยู่เอง พวกนายก็ด้วย”

แม้นาโอโตะทำท่าจะแย้งอยู่บ้างแต่เพราะคนรักที่พยายามฉุดดึงให้เจ้าตัวต้องกลับพร้อมกัน จึงต้องยอมกลับอย่างไม่ยินยอมนัก

“ไม่ต้องให้อยู่เป็นเพื่อนจริงหรือ”เรียวตะถามอย่างทะเล้น “ที่นี่มีคนตายนะเขาว่ากันว่าเฮี้ยนสุดๆอาจจะเป็นห้องนี้ก็ได้”

“อืม”

พออีกฝ่ายตอบรับกลับมาสั้นๆเรียวตะจึงหน้ามุ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ เขาลุกขึ้นยืนและเดินไปที่ประตู เอคิจิจึงลุกขึ้นบ้าง

“น้องมันป่วยอยู่อย่าทำอะไรรุนแรงล่ะ”เรียวตะทิ้งท้ายคำพูดไว้แค่นั้น และนั่นทำให้เอคิจิขมวดคิ้ว มองหน้านิ่งๆของคนที่เดินมาส่งแล้วต้องยั้งปากไว้

“กลับก่อนนะ มีอะไรด่วนก็โทรเรียกล่ะ”

“อืม”

สุดท้ายจึงเหลือแค่เขากับมิอุระ ฮารุโตะอยู่ภายในห้อง ชายหนุ่มเดินไปทรุดตัวลงนั่งข้างฟูกนอนเช่นเดิมและมองใบหน้ายามหลับสนิทของคนป่วยเนิ่นนาน



ฮารุโตะรู้สึกตัวตื่นเพราะความหิว ภายในห้องมืดสนิท ห้องของเขามีหน้าต่างแต่เขามักจะดึงม่านปิดเสมอเวลานอนหรือเวลาไม่อยู่ที่ห้อง

เขากวาดสายตามองไปทั่วเพื่อเรียกสติ รอให้ความมึนงงจางหายไปก่อนจะพยายามพยุงตัวลุกขึ้น

“ตื่นแล้วหรือ”

เด็กหนุ่มหันมองด้วยความตกใจ มองเงาตะคุ่มในความมืดด้วยความระแวดระวัง ร่างนั้นขยับตัวลุกขึ้นยืนดึงสายสวิตช์ไฟที่เพดาน พอแสงสว่างจากหลอดไฟสาดส่องไปทั่วฮารุโตะจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“รุ่นพี่มาได้อย่างไรครับ”

“ก็มากับนาโอโตะ”เขาตอบขณะเดินไปเปิดเตาเพื่ออุ่นข้าวต้มที่นาโอโตะทำไว้

“รุ่นพี่อาโอกิ?”เด็กหนุ่มเอ่ยทวนชื่อนั้น

“อืมแต่กลับไปนานแล้ว”แค่เพียงครู่เดียวเขาก็ยกหม้อลงจากเตาเทข้าวต้มใส่ถ้วยจากนั้นจึงไปยกโต๊ะอุ่นขาซึ่งวางอยู่ข้างผนังมาวางใกล้ๆเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องและยกถ้วยมาวางบนโต๊ะ

“ทานซะ”ซากินั่งลงข้างๆมองฮารุโตะซึ่งยังนั่งนิ่งอยู่บนฟูกนอน

“ไม่หิวหรือ ทานซะหน่อยซิ”

ฮารุโตะนั่งมองข้าวต้มถ้วยนั้นอยู่นานเมื่อเห็นว่าหนุ่มรุ่นน้องไม่ยอมขยับตัวเสียที ชายหนุ่มร่างสูงจึงขยับเข้าไปหาหยิบช้อนและตักอาหารขึ้นไปจ่อถึงปากของอีกฝ่าย

ฮารุโตะเบือนหน้าหนีนั่นทำให้ซากิขมวดคิ้วฉับพลัน

“คิดจะประท้วงด้วยวิธีแบบนี้มันไม่มีประโยชน์หรอกนะ ไม่ว่าเรย์หรือนาโอโตะก็ไม่ได้มารับรู้กับนาย”

แต่สิ่งที่อยู่ในความคิดของฮารุโตะไม่ใช่การประท้วงเช่นที่ซากิว่า  เขาแค่ไม่อยากเกี่ยวพันด้วย อยากลืมทุกสิ่งอยากลืมแม้กระทั่งความรู้สึกที่เคยมีให้กับนาคามูระ เรย์

“ถ้าไม่กินแล้วจะมีแรงไปแย่งเรย์มาไหม”

“ที่พูดมาก็แค่คำโกหกใช่ไหมครับ”เขาหันไปถามด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว ขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาทันที ความคิดน้อยอกน้อยใจผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด เขาไม่ใช่ตัวตลก ไม่ใช่ของเล่นของใคร ไม่ใช่กระสอบทราย ไม่ใช่ตัวอะไรที่ใครจะทำอะไรกับเขาก็ได้ ถ้าไม่คิดจะสนใจไยดีก็แค่ปล่อยเขาทิ้งไว้ให้เขาได้อยู่ในโลกในใบนี้คนเดียวนั่นเพียงพอแล้ว

ความอัดอั้นที่อยู่ในใจกลั่นตัวออกมาเป็นน้ำตา ฮารุโตะก้มหน้าลงทั้งที่ในลำคอแห้งผาก ทั้งที่กระเพาะส่งเสียงครวญครางด้วยความหิวโหย เด็กหนุ่มยังคงล้มตัวลงนอนพยายามหลับและจมอยู่ในโลกที่ไม่มีความทรมานใดๆอีกครั้ง

กระนั้นซากิไม่ได้ปล่อยให้รุ่นน้องผู้เป็นเจ้าของห้องทำอย่างใจได้ง่ายๆ เขาดึงตัวหนุ่มรุ่นน้องให้ลุกขึ้น การกระทำของฮารุโตะทำให้เขาหงุดหงิด

“นายเป็นอะไรของนาย เรย์กับนาโอโตะสองคนนั้นคบกันมาก่อนและนายก็มาทีหลัง”

“รู้แล้ว!!!” ฮารุโตะร้องตะโกนออกมาแต่เสียงนั้นยังคงแสนแผ่วเบา “เรื่องนั้นผมรู้ดี เพราะฉะนั้นปล่อยให้ผมอยู่คนเดียวได้แล้ว” น้ำตานองไปทั้งใบหน้าที่แดงเรื่อ เขาหลั่งน้ำตาพร้อมสะอื้นฮักๆ อาการไข้ที่ยังไม่ทุเลาเหมือนจะหนักขึ้นกว่าเดิม

ซากิดึงร่างเล็กกว่ามาไว้ในอ้อมกอด ลูบศีรษะลูบแผ่นหลังบางปลอบประโลมด้วยหวังให้อีกฝ่ายคลายอาการสะอื้นลงฮารุโตะแนบศีรษะไปกับแผ่นอกกว้าง มึนศีรษะจนยกไม่ขึ้นและน้ำตาก็ไหลออกมาไม่หยุด

กระทั่งเวลาผ่านไปเนิ่นนานเสียงสะอื้นเบาลงแทบจางหายไปพร้อมๆกับความง่วงงุนที่ครอบงำเด็กหนุ่มอีกครั้งแต่เป็นซากิที่ไม่ยอมให้ฮารุโตะหลับลงง่ายๆ

“อย่าเพิ่งหลับนะทานอะไรสักหน่อยจะได้ทานยา” เพราะเหนื่อยจนหมดแรงฮารุโตะจึงยอมอ้าปากรับข้าวต้มที่หนุ่มรุ่นพี่ตักมาป้อน กินไปได้ไม่กี่ช้อนเด็กหนุ่มก็เบือนศีรษะหนี

“กินอีกคำ” พอโดนกดดันด้วยการตักอาหารมาจ่อที่ปากเด็กหนุ่มจึงต้องอ้าปากรับ ปกติฮารุโตะเป็นพวกกินช้าอยู่แล้วพอร่างกายไม่ค่อยสบาย เขายิ่งรู้สึกว่ากลืนอาหารได้ยากลงไปอีก ทว่าพอเขากลืนลงไปคำหนึ่งข้าวต้มในช้อนอีกคำก็มาจ่ออยู่ตรงหน้าทันที ฮารุโตะอ้าปากรับฝืนกินจนรู้สึกว่าไม่ไหวแล้วจริงๆ หนุ่มรุ่นพี่จึงยอมวางถ้วยในมือลง  ยาและน้ำถูกส่งมาให้เป็นอย่างต่อไป เมื่อทานเสร็จเขานึกอยากล้มตัวลงนอนเสียเดี๋ยวนั้นแต่ยังคงถูกรั้งให้นั่งอยู่เช่นเดิม ยังดีว่าได้นั่งพิงอยู่กับแผ่นอกกว้างของหนุ่มรุ่นพี่ เขาจึงหลับตาลงเคลิ้มเพลินไปกับสัมผัสที่แผ่นหลัง ร่างกายของรุ่นพี่เองก็อุ่นจนทำให้เขาหลับสบาย



ฮารุโตะยังคงนอนซมเช่นนั้นอยู่อีกสองสามวัน เขาจึงแข็งแรงและเริ่มไปเรียนได้อีกครั้งตอนวันอังคาร เด็กหนุ่มไม่สนิทกับเพื่อนในคณะจึงลำบากตอนที่ต้องติดตามงานในชั้นเรียนช่วงที่เขาหยุดไป เริ่มแรกเขาเข้าไปหาอาคาริ มิสะและซูซุกิ จิเอะ

“ทำไมอาคาริต้องบอก ทีมิอุระซังยังไม่เคยช่วยเหลืออะไรอาคาริเลย ถ้าคิดว่ามีปัญญาเรียนด้วยตัวคนเดียวได้ก็ไปขวนขวายเอาเองเถอะ”เธอบอกอย่างฉุนเฉียว เด็กหนุ่มจึงไม่กล้าพูดอะไรอีก ยอมเดินกลับไปที่นั่งของตัวเอง เขาถอนใจนึกว่าช่างมันเสีย เขาขาดเรียนแค่สองวันซ้ำในสองวันนี้มีเรียนแค่วิชาบรรยายที่ไม่สำคัญ จะกังวลก็แค่รายงานเพิ่มเติมเท่านั้นเอง

ตอนบ่ายฮารุโตะมีเรียนวิชาปฏิบัติการทางชีววิทยาถึงจะมีการเลือกสาขาที่ต้องการเรียนไว้ตั้งแต่แรก แต่นักศึกษาปีหนึ่งยังต้องเรียนวิชาพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ โดยสมาชิกกลุ่มในการทำการทดลองยังคงเป็นกลุ่มเดิมเมื่อตอนเทอมหนึ่ง

สำหรับข้อสอบก่อนเข้าเรียนในวันนี้ฮารุโตะทำได้ค่อนข้างน้อย เนื่องจากอาการป่วยทำให้เขาทบทวนบทเรียนได้น้อยลง กระนั้นฮารุโตะก็ยังปลอบใจตัวเองว่าคะแนนของเขาคงจะไม่น้อยจนเกินไปนัก เมื่อหมดเวลาสอบอาจารย์จะทำการบรีฟรายละเอียดเกี่ยวกับทดลองอีกครู่หนึ่ง จากนั้นจึงปล่อยให้นักศึกษาเริ่มทำการทดลอง

มิสะกับจิเอะยังคงนั่งคุยกันอยู่เช่นเดิม ฮารุโตะเหลือบสายตามองทั้งสองคนเพียงเล็กน้อย และจัดการทำการทดลองด้วยตัวเองเพียงคนเดียวต่อไป เขาจดบันทึกไปพลางทำการทดลองไปพลาง กว่าจะเสร็จจึงปาเข้าไปเที่ยงกว่า เพื่อนนักศึกษากลุ่มอื่นต่างทยอยออกจากห้องไปก่อนหน้าแล้วเด็กหนุ่มจึงรีบเก็บของเพราะเขาต้องกลับไปทานข้าวกลางวันที่ห้อง

“ใบรายงานนี่อาคาริขอแล้วกันนะ” มิสะพูดขึ้น

“แต่มันเป็นของผม”

“ก็แล้วอย่างไรล่ะเป็นเพื่อนกันก็ต้องรู้จักช่วยเหลือกันสิ อย่ามาเห็นแก่ตัวหน่อยเลยนะ”

ฮารุโตะสะอึกกับคำพูดเหล่านั้นของหญิงสาว รู้สึกมึนงงสับสนอยู่ไม่น้อย การกระทำแบบไหนกันที่เรียกว่าเห็นแก่ตัว เด็กหนุ่มยังคงยืนนิ่งงันแต่เมื่อเห็นหญิงสาวทั้งสองหมุนตัวกำลังจะเดินออกจากห้องเขาจึงวิ่งไปขวางไว้

“จะเอาไปก็ได้ แต่ขอให้ผมเอาไปถ่ายเอกสารก่อน”

“อาคาริไม่ว่างมารอหรอกนะต้องไปทำอย่างอื่นด้วย มิอุระซังน่าจะจำได้ไม่ใช่เหรอ ก็ไปเขียนเอาใหม่ละกัน”ไม่ว่าเปล่าซ้ำยังผลักเขาให้พ้นทาง ฮารุโตะมองคนทั้งคู่ตาละห้อย ลังเลด้วยไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดีแต่พอท้องส่งเสียงร้องดัง เขาจึงตัดสินใจเดินกลับห้องพักเพื่อไปกินข้าว ตกบ่ายจึงกลับเข้ามาเรียนวิชาบรรยายพอหมดคาบเรียนตอนบ่ายเขาก็ไปที่ห้องชมรม รุ่นพี่ผู้หญิงในชมรมกำลังนั่งจับกลุ่มคุยกันอยู่พอดี พอหันมาเห็นเขาก็กวักมือเรียกให้ไปรวมกลุ่มด้วยพลางยื่นหนังสือแฟชั่นที่ลงภาพแฟชั่นฤดูหนาวมาให้ดู

“สวยไหม” ส่วนใหญ่เป็นโค้ตกันหนาวสำหรับผู้หญิงถึงฮารุโตะจะไม่มีความรู้ทางด้านนี้แต่แค่ดูและบอกว่าสวยหรือไม่สวยเขาก็สามารถบอกได้

“สวยครับ”

เมื่อนัตสึมิส่งมาให้อีกภาพเขาก็บอกว่าสวย จากนั้นต่างเปิดหน้าโน้นหน้านี้ให้ดูและหันมาถามเขา ฮารุโตะก็บอกว่าสวยทุกรูปจนพวกรุ่นพี่และนัตสึมิหัวเราะ

“ถ้าแบบเสื้อน่ะเป็นพวกคอสเพลย์น่าจะดีกว่านะคะ ฉันว่าน่าสนใจกว่าเสื้อผ้าพวกนี้อีก” รุ่นพี่ปีสองเอ่ยขึ้นเพื่อดึงให้ทุกคนกลับมาสู่หัวข้อสนทนาอีกครั้ง ฮารุโตะเองได้เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจเช่นกัน

“รุ่นพี่เองก็ตัดเสื้อผ้าพวกนี้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ”คนพูดหันไปถามโอคาดะ ทสึคิโยะสมาชิกของชมรมผู้ซึ่งรับหน้าที่ตัดเสื้อผ้าเพื่อให้ลูกค้าของชมรมได้สวมใส่

“อืมนะ แต่มันเป็นหน้าหนาวนี่ล่ะ ฉันไม่ได้รู้จักตัวละครในอนิเมะขนาดนั้นซะด้วย”

“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ เดี๋ยวฉันให้อัตซึชิช่วยหารูปมาให้”อาเบะ ซึกิซากะออกปากรับอาสาเต็มที่ ฮารุโตะมองเห็นทุกคนกระตือรือร้นตื่นเต้นกัน เขาจึงพลอยรู้สึกตื่นเต้นไปด้วย แม้จะยังไม่รู้ว่าทำไมทุกคนมานั่งคุยกันเรื่องนี้ก็ตามและทุกอย่างได้ถูกเฉลยเมื่อรุ่นพี่อาโอกินำตารางเวรการทำงานมาให้ กิจกรรมชมรมในเดือนหน้าเป็นการถ่ายแบบฤดูหนาวแต่พอรุ่นพี่อาโอกิหันไปถามเรื่องเสื้อผ้ากับกลุ่มผู้หญิงรูปแบบกิจกรรมจึงเปลี่ยนเป็นคอสเพลย์ฤดูหนาว จะมีการแจกใบปลิวกิจกรรมทันทีที่บัวร์ชัวร์เสร็จเรียบร้อย ฮารุโตะซึ่งก้มหน้าอ่านตารางการทำงานของตัวเองรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อยเช่นกัน 

เมื่อเงยหน้าขึ้น สายตาพลันหันไปเห็นรุ่นพี่นาคามูระกำลังมองรุ่นพี่อาโอกิซึ่งกำลังคุยอยู่กับรุ่นพี่ปีสองอีกคน ในใจของเด็กหนุ่มจึงเกิดอาการวูบโหวง  ไม่รู้ว่าเพราะตัวเขาได้รับรู้ว่ารุ่นพี่ทั้งสองคนคบหากันฉันท์คนรักหรือเช่นไร เขาถึงได้มองเห็นว่าสายตาของรุ่นพี่นาคามูระที่ทอดมองรุ่นพี่อาโอกินั้นอ้อนโยนและเปี่ยมไปด้วยความหมายเพียงใด จะว่าไปตอนที่รุ่นพี่อาโอกิพูดถึงรุ่นพี่นาคามูระ แม้จะบ่นถึงข้อเสียอยู่บ้างแต่น้ำเสียงล้วนเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขยามพูดถึง เมื่อมานึกย้อนกลับไปในเวลานี้เด็กหนุ่มรู้สึกว่าตัวเองนั้นช่างโง่งมเสียเหลือเกิน

หลังเลิกจากชมรม สถานการณ์ที่ทำให้เด็กหนุ่มต้องพบกับความทดท้อใจยังคงไม่หมดสิ้น ที่ทำงานพิเศษเขายังต้องโดนผู้จัดการเรียกเตือนอีกร่วมชั่วโมง เรื่องที่เขาหยุดโดยไม่มีการแจ้งข่าว แม้ผู้จัดการจะเป็นคนใจดีแต่เข้มงวดและมีระเบียบวินัยมาก ฮารุโตะได้แต่ก้มหน้ายอมรับผิดและกล่าวขอโทษอยู่หลายครั้ง กลับจากที่ทำงานฮารุโตะจึงรู้สึกเหนื่อยเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวกระนั้นเขาก็ยังคงพักผ่อนไม่ได้เนื่องจากวันรุ่งขึ้นเขาต้องส่งรายงานวิชาปฏิบัติการ

เด็กหนุ่มดึงโต๊ะอุ่นขาออกมาตั้ง เตรียมกระดาษเขียนรายงานและอุปกรณ์เครื่องเขียนออกมาวาง  เขาลงมือเขียนหัวกระดาษรายงานเหมือนทุกครั้ง เขียนรายละเอียดของอุปกรณ์ข้อสันนิษฐานและวิธีการแต่พอมาถึงรายละเอียดการทดลอง เด็กหนุ่มต้องกุมขมับคิดหนัก เขาจำไม่ได้เสียแล้วเด็กหนุ่มจึงต้องเขียนๆลบๆอยู่หลายครั้ง และเมื่อลบมากขึ้น  หน้ากระดาษก็เละเทะจนเขาต้องเปลี่ยนใบใหม่ดังนั้นกว่าจะเขียนเสร็จ เวลาจึงได้ล่วงเลยจนเหลืออีกแค่หนึ่งชั่วโมงจะถึงเวลาตื่นในยามปกติ ฮารุโตะตั้งนาฬิกาปลุกก่อนเวลาเริ่มเรียนประมาณครึ่งชั่วโมงแล้วจึงทิ้งตัวลงบนฟูกนอน

ด้วยเหตุนี้เด็กหนุ่มจึงต้องมานั่งเรียนทั้งที่ท้องหิวแต่เขายังอดทนนั่งเรียนจนจบคาบ ออกจากห้องเรียนช่วงเช้าเขายังต้องไปส่งรายงานวิชาปฏิบัติการ ถ้าจะพูดถึงสภาพตอนนี้ฮารุโตะหิวจนหายหิวและรู้สึกไม่มีแรงเสียมากกว่า อากาศเย็นจนต้องห่อตัวต้านลมหนาว แสงแดดแรงกล้าดูจะไม่ส่งผลใดๆกับอุณหภูมิของอากาศ

ตอนที่เด็กหนุ่มกำลังจะเดินพ้นรั้วของมหาวิทยาลัยเสียงเรียกชื่อก็ดังขึ้น เขาหันไปมองเห็นรุ่นพี่อาโอกิกดกระจกรถยนต์ลงยื่นหน้ามาคุยกับเขา

“จะไปไหนน่ะ วันนี้ไม่มีเรียนแล้วหรือ”รุ่นพี่ถามเขาอย่างสงสัยเพราะต้องทำงานกับชมรมเขาจึงต้องเขียนตารางเรียนให้อีกฝ่ายและเรื่องที่เขาจะต้องกลับไปกินข้าวที่ห้องตอนกลางวันเขาก็ไม่เคยบอกใคร ดังนั้นเขาจึงเลี่ยงเป็นคำตอบอื่น

“ผม…ลืมหนังสือเรียนไว้ครับต้องกลับไปเอา”

“อืม อย่างนั้นมาขึ้นรถเลยเดี๋ยวพี่ไปส่ง”

“ไม่เป็นไรดีกว่าครับ”ฮารุโตะบอกปฏิเสธ “ผมเดินไปใช้เวลาแค่นิดเดียวเอง”

“นั่งรถไปก็เร็วกว่าเดินไง”

ฮารุโตะอยากปฏิเสธเพราะรู้อยู่แล้วว่าที่นั่งคนขับเป็นของรุ่นพี่นาคามูระ ถ้าจะต้องให้ไปอยู่ในพื้นที่แคบๆกับคนที่แอบชอบโดยที่มีแฟนของเจ้าตัวนั่งอยู่ด้วย เด็กหนุ่มคิดว่าตนคงหายใจไม่ออก แม้แฟนของรุ่นพี่นาคามูระจะเป็นรุ่นพี่อาโอกิผู้แสนใจดีก็ตาม กล่าวในอีกแง่คือเขายังทำใจไม่ได้

อย่างไรก็ตาม รุ่นพี่อาโอกิไม่ได้ปล่อยให้เขาคิดพิจารณาได้นานกว่านี้ ร่างสูงเพรียวเปิดประตูลงจากรถมารุนหลังให้เขาสอดตัวเข้าไปยังที่นั่งตอนหลังโดยไม่ปล่อยให้เขาเอ่ยปฏิเสธซ้ำสอง

เด็กหนุ่มรู้สึกมวนในท้องเมื่อได้สบตากับรุ่นพี่นาคามูระผ่านกระจกมองหลัง แม้ว่าอันที่จริงแล้วน่าจะมาจากอาการหิวข้าวเสียมากกว่าฮารุโตะจึงได้แต่นั่งเงียบ

“อาการป่วยเป็นอย่างไรบ้างฮารุจัง”

“ดีขึ้นมากแล้วครับ”พอนาโอโตะเอ่ยถาม เด็กหนุ่มเพียงแค่ตอบกลับไปสั้นๆ

“ช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นลงแล้วดูแลสุขภาพดีๆล่ะ เออว่าแต่มีเสื้อกันหนาวหรือเปล่า พี่เห็นเราใส่แต่สเวตเตอร์ตัวนี้มาหลายครั้งแล้ว”

“เอ้อ..” ฮารุโตะไม่รู้จะตอบเช่นไรดีแม้จะรับรู้ตั้งแต่แรกว่ารุ่นพี่เป็นคนดีที่คอยยื่นมือมาช่วยเหลือเขาเสมอแต่ครั้งนี้ในใจของเขามีแต่ความคลางแคลงสงสัย รุ่นพี่อาโอกิอาจจะแค่แกล้งทำเป็นคนดีก็เป็นได้หรือคงแค่อยากอวดว่าตนเหนือกว่า มีทุกสิ่งมากมายจนเหลือพอที่จะแจกจ่ายให้ผู้อื่น

“ผม…”

“อย่าไปยุ่งวุ่นวายกับน้องเขานักเลย”จู่ๆเรย์ก็พูดขัดขึ้นมาทั้งที่นั่งขับรถมาเงียบๆอยู่นาน

“น้องเขาจนโตจนป่านนี้แล้วต้องดูแลตัวเองได้อยู่แล้วล่ะ”คำพูดของเรย์เหมือนคำพูดธรรมดาที่แค่ปรามไม่ให้นาโอโตะวุ่นวายกับรุ่นน้องปีหนึ่งจนเกินไปนัก แต่เด็กหนุ่มได้ยินคำพูดนั้นแล้วรู้สึกราวกับโดนว่ากล่าวเสียดสี นั่นทำให้เขายิ่งก้มหน้าลงต่ำกว่าเดิมบีบมือของตนไว้แน่นราวกับพยายามกดความรู้สึกบางอย่างไม่ให้พวยพุ่งออกมา

“ถามเพราะความเป็นห่วงไม่เกี่ยวกับว่าโตจนดูแลตัวเองได้เสียหน่อย”นาโอโตะหันไปต่อว่าคนรักด้วยความไม่พอใจทันที ก่อนจะเงียบเสียงลงเพราะไม่อยากทะเลาะกับเรย์ต่อหน้าหนุ่มรุ่นน้อง

เพราะเหตุการณ์ดังกล่าวบรรยากาศในห้องโดยสารจึงอึดอัดยิ่งกว่าเดิมไปโดยอัตโนมัติ เด็กหนุ่มอดทนอยู่กับบรรยากาศเช่นนั้นจนถึงจุดหมาย เขารีบกล่าวขอบคุณและรีบเปิดประตูลงจากรถ โค้งศีรษะให้ซ้ำตอนที่หนุ่มรุ่นพี่ประธานชมรมถ่ายภาพบังคับรถยนต์เคลื่อนที่ห่างออกไป จากนั้นจึงหมุนตัวเดินกลับขึ้นไปบนห้อง เขาย่างเท้าก้าวขึ้นบันไดด้วยท่าทางอ้อนแรง ก้าวเท้าเชื่องช้าจนกระทั่งถึงห้องพัก

หลังจากเปิดประตูตู้เย็นออกมา เขาพบเพียงขนมปังแถวที่เหลืออยู่สองสามแผ่นกับของสดอีกนิดหน่อยเพราะหยุดงานไปโดยไม่บอกกล่าวและสร้างความเดือดร้อนไว้ให้กับผู้จัดการ เขาจึงไม่กล้าหยิบอาหารสำเร็จกลับมาเช่นทุกที มื้อเที่ยงวันนั้นเด็กหนุ่มจึงทานขนมปังกับแยมที่เขามีติดตู้ไว้ ขนมปังเริ่มแข็งเพราะถูกเก็บไว้นาน มันแข็งและแห้งจนทำให้กลืนได้ยากกว่าจะจบมื้อนั้นจึงใช้เวลานานโข และเมื่อเหลือบสายตากลับไปมองนาฬิกาอีกครั้ง เด็กหนุ่มจำต้องรีบกระวีกระวาดกลับไปเข้าคาบเรียนตอนบ่าย

บ่ายนั้นเขาไม่ค่อยมีสมาธิอยู่กับการเรียนมากนัก ในสมองเฝ้าแต่ครุ่นคิดเรื่องของรุ่นพี่นาคามูระ เรย์ เด็กหนุ่มรู้ตัวอยู่บ้างว่า เขามองคนไม่ค่อยออก เดาการกระทำของคนรอบข้างไม่เป็น ไม่ค่อยรู้ว่าที่คนอื่นพูดหรือกระทำเพราะรู้สึกหรือเพราะสาเหตุอะไร แต่คำพูดของหนุ่มรุ่นพี่ทำให้เขารู้สึกได้ชัดเจนว่าตนเองกำลังเป็นที่ไม่ชอบใจของอีกฝ่าย ฮารุโตะไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น ตัวเขาอาจจะไม่มีโอกาสได้อยู่ในสายตาของรุ่นพี่ก็จริงแต่การโดนเกลียดมันเป็นอะไรที่ทรมานมากกว่า แต่จะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้ถูกเกลียดชัง ฮารุโตะเองกลับไม่รู้เลย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-10-2017 13:42:04 โดย ตีสี่ »

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 5 : 14/Feb/2017
«ตอบ #22 เมื่อ14-02-2017 12:44:34 »


นาโอโตะมองหนุ่มรุ่นน้องที่นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่ไม่ห่างอย่างนึกกังวล ทั้งที่เมื่อช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมาเด็กหนุ่มดูสดใสขึ้นบ้างแล้วเชียว ทว่าตอนนี้ฝ่ายนั้นกลับดูหมองเศร้าอึมครึมกว่าที่เขาได้เจอครั้งแรกเสียอีก

“ไม่สบายหรือเปล่าฮารุจัง”เขาเอ่ยปากถาม หน้าตาของหนุ่มรุ่นน้องดูหงอยๆ ซึ่งเด็กหนุ่มก็สั่นศีรษะปฏิเสธแต่ยังคงเงียบเสียงอยู่เช่นเดิม

เขายกมือลูบศีรษะของหนุ่มรุ่นน้อง

“โดนใครแกล้งมาหรือบอกพี่ได้นะเดี๋ยวพี่ไปจัดการให้”พูดพลางทำหน้าแข็งขัน กระนั้นฮารุโตะยังคงส่ายหน้าอีกครั้ง แววตาที่มองสบมาดูคล้ายอยากจะร้องไห้อยู่รอมร่อ จนเขานึกสงสาร

“ไม่บอกพี่ก็ช่วยไม่ได้หรอกนะ”ชายหนุ่มร่างเพรียวดึงหนุ่มรุ่นน้องเข้ากอดพอทำเช่นนั้นเสียงกระแอมกระไอก็ดังขึ้นพร้อมเสียงของเรย์ที่นั่งอยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ดังตามมา

“ไม่ต้องกอดก็ได้มั้ง น้องเขาคงไม่เป็นไรหรอกฉันเห็นก็ยังปกติดีนี่”

“นายนะเงียบๆไปเลย”นาโอโตะว่า ทั้งเขาและฮารุโตะนั่งอยู่บนชุดโซฟาที่ไม่ห่างจากจุดที่เรย์นั่งนัก

ฮารุโตะเห็นสายตาของเรย์ที่มองเขาแววตานั้นมีแต่ความไม่พอใจ

“จะทำอย่างไร… คนอื่นถึงจะไม่เกลียดเราละครับ”เสียงของฮารุโตะค่อนข้างเบายามถามคำถามนั้นกับนาโอโตะ แต่นาคามูระ เรย์ที่คอยเงี่ยหูฟังอยู่ยังได้ยินชัดเจน

“ก็หยุดอ้อนออเซาะทำตัวอ้อนแอซะ คนเกลียดก็คงน้อยลงมั้ง”เรย์โพล่งออกมาเสียงดัง ในห้องชมรมขณะนั้นมีสมาชิกอยู่ไม่กี่คนเมื่อเสียงของชายหนุ่มหัวหน้าชมรมดังขึ้นทุกคนต่างหยุดกิจกรรมในมือหันมาให้ความสนใจทันที

“เรย์!!!” นาโอโตะร้องปราม “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนายไม่ต้องออกความคิดเห็น”

“ไม่เกี่ยวอะไร ที่ไอ้เด็กนี่มันทำอยู่มันเกี่ยวกับฉันเต็มๆ มันกำลังจะแย่งแฟนฉันนะมันจะไม่เกี่ยวอย่างไร”

“ฉันว่าเราเคยพูดเรื่องนี้กันไปหลายรอบแล้วนะ”นาโอโตะเสียงดังกลับไปบ้าง นึกโมโหกับอาการขี้หึงไม่ดูตาม้าตาเรือของคนรักเสียจริง

“เออหลายรอบแล้วไงวะ นายพูดแค่ว่าไม่มีอะไรแต่ดูการกระทำดิ อยู่ต่อหน้าฉันพวกนายยังกล้ากอดกันแล้วลับหลังมันจะขนาดไหน”

“บ้าไปกันใหญ่แล้วเรย์ พูดอย่างนี้หมายความว่านายไม่เชื่อใจฉันใช่ไหม”ทั้งสองคนโต้เถียงกันอย่างไม่ลดละจนคนต้นเรื่องอย่างฮารุโตะหน้าตาตื่น

“ฉันก็อยากเชื่อใจนะเพราะฉะนั้นนายทำให้ฉันรู้สึกหน่อยได้ไหม”เรย์พูดเสียงอ้อน

อาโอกิ นาโอโตะส่งเสียงเหอะขึ้นจมูก “ระยะเวลายี่สิบเอ็ดปีที่พวกเรารู้จักกันมันไม่มีความหมายเลยใช่ไหม นายถึงทำเหมือนไม่รู้จักนิสัยฉันแบบนี้”เขาจ้องสบสายตากับเรย์เขม็งก่อนจะพรูลมหายใจออกมาอย่างนึกยอมจำนนทั้งที่ภายในใจยังกรุ่นโมโห

“วันนี้พวกเราคงคุยไม่รู้เรื่องแล้วล่ะ”เป็นฝ่ายนาโอโตะที่ยอมตัดบทง่ายๆก่อนจะคว้าข้อมือของหนุ่มรุ่นน้องแล้วดึงให้เดินออกจากห้องมาด้วยกัน

“รุ่นพี่ครับ”ฮารุโตะร้องเรียกพลางรีบก้าวเท้าตามรุ่นพี่ร่างเพรียวที่สับเท้าอย่างรวดเร็วจนเขาแทบจะก้าวเท้าตามไม่ทันกระทั่งเด็กหนุ่มสะดุดเท้าจวนจะล้มอีกฝ่ายจึงได้ชะลอฝีเท้าและหยุดลง

“ผมขอโทษครับ”เด็กหนุ่มเอ่ย

“ขอโทษอะไรกัน นายไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”นาโอโตะพูดพร้อมฝืนยิ้มที่พยายามทำให้อีกฝ่ายสบายใจ “พวกพี่ก็ทะเลาะกันแบบนี้ประจำ”

“แต่เรื่องทุกอย่างเป็นเพราะผม”แม้จะยังไม่เข้าใจเรื่องราวมากนักแต่การที่รุ่นพี่นาคามูระอารมณ์เสียนั่นเริ่มมาจากคำพูดของเขาและที่สำคัญฮารุโตะไม่รู้สึกดีใจสักนิดกับการที่รุ่นพี่ทั้งสองคนทะเลาะกัน และทำให้รุ่นพี่อาโอกิดูหมองเศร้าเช่นนี้

“คิดมากเกินไปแล้วไม่มีอะไรหรอกเชื่อสิ”คนพูดกล่าวย้ำเพื่อให้หนุ่มรุ่นน้องสบายใจ แต่ภายในแววตานั้นที่ฮารุโตะได้เห็นกลับดูโศกสลดเหลือเกิน



“เกิดอะไรขึ้นน่ะ”เรียวตะเอ่ยปากถามทันทีที่เข้ามาในห้องชมรม เขาเดินสวนกับนาโอโตะตอนกำลังจะขึ้นตึก พอออกปากทักไปอีกฝ่ายกลับเมินเขาไปเสียเฉยๆเด็กหนุ่มรุ่นน้องที่เดินตามหลังไปก็มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก เมื่อเดินเข้ามาในชมรมก็พบว่าเรย์กำลังหัวฟัดหัวเหวี่ยง

คนที่อยู่ในเหตุการณ์เล่าให้เขาฟังคร่าวๆซึ่งเป็นจังหวะพอดีกับเพื่อนอีกสองคนที่เพิ่งมาถึงห้องชมรม เรียวตะจึงขยายความต่อ

“เรย์มันหึงนาโอโตะกับฮารุจังเพราะเห็นสองคนนั้นกอดกัน”

“แล้วจะไม่ให้โมโหหรือไงมากอดกันต่อหน้าต่อตาเลยนะ”

“สรุปคือโง่จริงๆ” ซากิพูดขึ้นมาบ้าง

“อ๊ะ… อะไรเป็นเพื่อนกันจริงหรือเปล่าเนี่ย”เรย์หันไปถามซากิอย่างข้องใจที่ฝ่ายนั้นไม่เข้าข้างเขา

“นายคบกับนาโอโตะมาห้าปีแล้วนะ มันควรจะมาหึงหวงแบบไม่มีเหตุผลอีกเหรอ”เอคิจิพูดขึ้นบ้าง

“มันก็ควรคิดละมั้ง นาโอโตะทั้งนิสัยดี ใจดี หน้าตาดีก่อนมาคบกับเรย์มีแต่เด็กผู้หญิงมาชอบ ถ้าเจ้าชู้ได้สักครึ่งของซากิฉันว่าหมอนั่นคงได้เปลี่ยนผู้หญิงบ่อยกว่าเปลี่ยนเสื้อผ้าแน่ๆ”เรียวตะหัวเราะไปพลาง ส่วนบุคคลที่ถูกกล่าวถึงแค่ยกยิ้มมือยังง่วนอยู่กับกล้องถ่ายภาพตัวโปรด

“ไม่ตลก”เรย์พูดเสียงแข็ง

“ถ้าไม่ตลก นายก็ไม่ควรกังวลกับเรื่องไร้สาระแบบนั้น”เอคิจิพูดขึ้นมาบ้าง “นายน่าจะรู้อยู่แล้วว่านาโอโตะเป็นคนแบบไหนยังไประแวงจนเกิดเรื่องขึ้นอีก”

“แถมยังทำตัวซ้ำซากจนน่าเบื่อ”เรียวตะกล่าวเสริมแล้วหันไปถามเพื่อนอีกคน“แล้วตกลงเอาอย่างไรเนี่ยเรื่องฮารุจังอ่ะ”

สองคนที่เหลือจึงหูผึ่งไปด้วย แต่คนถูกถามไม่ตอบแค่เลิกคิ้วมอง

“เอ้า ตอบมาดิอย่ามาทำเก๊ก เรย์มันจะได้สบายใจด้วย”

ชายหนุ่มยังเงียบจนโดนเร่งอีกรอบ

“จะให้ตอบอะไร ไม่มีอะไรนี่แค่รุ่นพี่รุ่นน้อง”

“เฮ้ยๆจริงดิน้องมันรู้หรือเปล่า”

“เดี๋ยวสิ อะไร? อย่างไร?”เรย์ถามแทรกขึ้นมาอย่างสงสัย

“ก็ฉันเห็นซากิมันพาน้องเข้าโรงแรม”

“เฮ้ย!!!”ทั้งเรย์และเอคิจิต่างร้องอุทานออกมาพร้อมกันแน่นอนว่าพวกเขารู้ความหมายในคำพูดนั้นของเรียวตะดี

“ตกลงว่าอย่างไร จีบจริงๆหรือจีบเล่นๆ”เรียวตะยังถามต่อ

“ไม่ได้จีบ”

“แล้วมันคือ?”

“แค่นอนด้วยเฉยๆ”

เมื่อฟังประโยคนั้นจบทั้งสามคนยิ่งนิ่งงันกับคำตอบไม่เว้นแม้กระทั่งเรียวตะที่พอจะเดาเหตุการณ์ได้รางๆมาก่อนหน้า

“น้องเขายินยอมหรือ”

“ฉันไม่เคยใช้กำลังฝืนใจใครอยู่แล้ว”

เรียวตะผิวปากหวือ “หล่อเลวครบสูตร”

ซากิหัวเราะกับคำต่อว่า

“ได้ยินแบบนี้คงเลิกงี่เง่าได้แล้วมั้ง ถ้าน้องมันคิดอะไรกับนาโอโตะจริงคงไม่ยอมซากิมันง่ายๆหรอก”เรียวตะหันไปพูดกับเรย์ซึ่งชายหนุ่มก็พูดตอบกลับมาอย่างที่ใจคิด

“ฉันก็หวังว่าอย่างนั้น”



แม้ว่านาคามูระ เรย์จะคาดหวังว่าเรื่องทุกอย่างจะจบลงอย่างง่ายๆแต่อาโอกิ นาโอโตะไม่ได้ยอมจบลงง่ายๆเช่นนั้น ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มร่างสูงเพรียวจึงทำตัวติดกับรุ่นน้องราวกับเป็นเงาตามตัวและเมินเฉยกับคนรักตัวจริงอย่างนาคามูระ เรย์

“รุ่นพี่ใจร้าย”ฮารุโตะกล่าวต่อว่าหลังจากที่นาโอโตะทำตัวเย็นชาใส่เรย์จนชายหนุ่มร่างสูงต้องยอมล่าถอยไปอีกครั้ง

“โกรธกันไม่ดีนะครับ”

“ไม่สน”พอเป็นเรื่องของรุ่นพี่นาคามูระทีไร หนุ่มรุ่นพี่ผู้แสนใจดีต้องปฏิเสธอย่างไม่ไยดีทุกครั้ง

“ผมยังไม่รู้เลยว่ารุ่นพี่โกรธเรื่องอะไรกันแน่ ถ้าเป็นเรื่องที่รุ่นพี่นาคามูระว่าผม ผมก็บอกแล้วว่าไม่โกรธหรือว่ารุ่นพี่นาคามูระทำให้รุ่นพี่โกรธ รุ่นพี่เขาก็มาขอโทษแล้วตั้งหลายครั้งยกโทษให้เขาไปเถอะครับ”แม้จะพูดจนเหนื่อยแต่เด็กหนุ่มก็ยังคงพูดซ้ำๆในเรื่องเดิมๆ

“ฮื่อ ยกโทษ”

ฮารุโตะยกยิ้มออกมาเมื่อนาโอโตะยอมออกปากว่าให้อภัยเสียทีไม่เสียแรงที่เขาคอยพร่ำแต่เรื่องเดิมๆทุกเวลา

“แต่ไม่อยากคุยด้วย”

“อ้าว” เด็กหนุ่มหุบยิ้มในฉับพลัน “ทำไมละครับ”

“อยากจะลงโทษให้หลาบจำอย่างไรล่ะ ครั้งหน้าจะได้ไม่กล้าทำอีก เรื่องของเรย์น่ะช่างเถอะ ฮารุจังน่ะกินข้าวเข้าสิ เดี๋ยวไม่ทันเข้าเรียนคาบบ่ายนะ”

พอโดนพูดกระตุ้นเด็กหนุ่มถึงได้คีบอาหารเข้าปาก ตั้งแต่วันที่รุ่นพี่อาโอกิทะเลาะกับรุ่นพี่นาคามูระในห้องชมรม  วันรุ่งขึ้นรุ่นพี่อาโอกิก็มาหาเขาแต่เช้าพร้อมปิ่นโตสำหรับมื้อเช้า  แต่เช้านั้นเขาทานอาหารเสร็จแล้วจึงต้องปฏิเสธไป กระนั้นช่วงเที่ยงรุ่นพี่อาโอกิยังไปหาเขาถึงห้องเรียนและชวนให้เขามาทานอาหารเที่ยงในสวนข้างตึกคณะศิลปศาสตร์ด้วยกัน หลังจากวันนั้นจนถึงวันนี้ ผ่านมาร่วมหนึ่งอาทิตย์ที่เขาค่อนข้างจะอุดมสมบูรณ์เพราะอาหารที่รุ่นพี่อาโอกิเตรียมมา

“ขอบคุณสำหรับอาหารครับ”ฮารุโตะกล่าวหลังจากทานอาหารเสร็จเหลือเวลาอีกไม่เกินสิบนาทีคาบเรียนต่อไปจะเริ่มขึ้น เด็กหนุ่มจึงต้องรีบเก็บของมือเป็นระวิง

“ไปเรียนเลยก็ได้ตรงนี้เดี๋ยวพี่เก็บเอง”

“แค่รุ่นพี่ทำอาหารมาให้ทานผมก็เกรงใจจะแย่แล้วครับ”พูดพลางส่งตะกร้าเถาปิ่นโตกับกล่องของหวานให้อีกคน

“ไปก่อนนะครับ”

“อืม… แล้วเจอกันตอนเย็น”นาโอโตะบอก ฮารุโตะโค้งศีรษะให้อีกทีก่อนจะรีบวิ่งออกไป

เด็กหนุ่มไปทันเข้าคาบเรียนก่อนเวลาที่อาจารย์จะเข้าห้องอย่างฉิวเฉียด โดยส่วนใหญ่แล้ววิชาบรรยายวิชานี้ไม่ค่อยเข้มงวดเรื่องเวลาเรียนก็จริง แต่ฮารุโตะไม่ชอบเดินเข้าห้องเรียนระหว่างคาบเพราะมันทำให้เขากลายเป็นจุดสนใจ แค่เรื่องรุ่นพี่อาโอกิมาหาเขาที่คณะเรื่องนี้ก็ทำให้มีแต่คนมอง เด็กหนุ่มไม่ชอบสายตาของคนทั่วไปที่มองมายังเขาเช่นนั้น

กิจกรรมชมรมในวันนั้นฮารุโตะยังคงเป็นลูกมือฝ่ายแต่งหน้าแต่งตัวเช่นเดิม

“สมาชิกส่วนใหญ่มีแต่พวกที่ชื่นชอบการถ่ายภาพ ถ้าเน้นเฉพาะเรื่องถ่ายภาพกันอย่างเดียวคงไม่ต้องลำบากอะไร ตอนที่ตั้งชมรมมาแรกๆก็เห็นว่าเป็นแบบนั้นล่ะ แต่อย่างที่รู้ว่าอุปกรณ์แต่ละชิ้นไม่ใช่ถูกๆมีช่วงหนึ่งที่ชมรมเกือบถูกยุบเพราะมีสมาชิกไปขโมยเงินเพื่อจะซื้อกล้อง เรย์กับนาโอโตะเลยคิดโปรเจคท์ทำธุรกิจแบบนี้ขึ้นมา”รุ่นพี่โอคาดะพูดพลางเก็บอุปกรณ์แต่งหน้าลงกล่อง

“แรกๆเหนื่อยหน่อยนะเดี๋ยวสักพักก็ชิน วันนี้พี่ต้องไปก่อน นาโอโตะนัดร้านผ้าไว้ให้ อย่าลืมเก็บชุดไปส่งร้านซักรีดล่ะ”

“ครับไม่ต้องห่วงครับ” ฮารุโตะตอบรับอย่างแข็งขัน หลังจากโอคาดะ ทสึคิโยะออกจากห้องไปในห้องชมรมจึงเหลือเพียงแค่เขา ฮารุโตะจึงกวาดสายตาตรวจดูความเรียบร้อยอีกครั้งก่อนออกจากห้องมาแล้วล็อกประตูห้องชมรม เขาตั้งใจว่าจะเดินไปดูรุ่นพี่นาคามูระซึ่งถ่ายรูปอยู่ในสวน

เพราะอัตราค่าบริการถ่ายภาพของชมรมไม่แพง นักศึกษาในมหาวิทยาลัยจึงให้ความสนใจมาเป็นลูกค้ากันพอสมควร นอกจากนี้เด็กหนุ่มยังแอบได้ยินเพื่อนๆในคณะพูดกันว่าภาพที่ถูกถ่ายออกมาสวยจริงๆจนอยากจะมาถ่ายบ้าง ซ้ำยังเป็นกระแสอยู่บนเว็บบอร์ดกลุ่มสังคมมหาวิทยาลัย พอได้ยินเช่นนั้นฮารุโตะจึงรู้สึกยินดีไปกับทุกคนด้วยเช่นกัน

“อ๊ะ มิอุระคุงจะไปไหนน่ะ”รุ่นพี่ปีสองคนหนึ่งเอ่ยทักขณะที่เจอกันบนทางเชื่อมระหว่างอาคาร

“ว่าจะไปดูรุ่นพี่นาคามูระครับ ถ่ายภาพกันเสร็จแล้วหรือครับ”

“อืม ลูกค้ากำลังจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า มีธุระอะไรกับรุ่นพี่เรย์หรือเปล่าเดี๋ยวไปบอกให้”

“ไม่มีอะไรสำคัญหรอกครับ”เด็กหนุ่มบอกปฏิเสธก่อนจะเดินนำลูกค้าของชมรมกลับไปยังห้องชมรมอีกครั้ง

พอดูแลเรื่องรายละเอียดปลีกย่อยอย่างการนัดรับรูปของลูกค้าชุดแรกเสร็จ ลูกค้าชุดที่สองก็กลับมา ฮารุโตะจึงไม่มีโอกาสไปหารุ่นพี่นาคามูระอย่างที่ใจคิด

ระยะเวลาการถ่ายภาพที่กำหนดไว้ประมาณหนึ่งชั่วโมงไม่เกินจากนี้ ถ่ายภาพประมาณห้าสิบถึงหนึ่งร้อยภาพและภาพในจำนวนนี้จะถูกคัดมาอัดลงกระดาษอีกจำนวนสิบสองภาพและไฟล์ภาพที่เหลือจะคืนให้ลูกค้าเกือบทั้งหมด เด็กหนุ่มลองคำนวณคร่าวๆดูแล้วแต่ละภาพต้องใช้เวลาน้อยมากและการคืนไฟล์ต้นฉบับให้ลูกค้าทั้งหมดหมายความว่าคงจะต้องไม่มีภาพเสียเลยฮารุโตะยังนึกทึ่งตอนที่ได้ยินครั้งแรก

“คงเพราะชินแล้วล่ะ ตอนที่ฉันเข้ามาชมรมแรกๆยังตกใจอยู่เหมือนกันแล้วตอนนั้นก็ยังเป็นมือใหม่สุดๆเริ่มจับกล้องได้ไม่นานเองด้วย”

“แล้วถ้าภาพที่ถ่ายออกมามันดูไม่สวยละครับทำอย่างไร” ฮารุโตะถามเพราะรุ่นพี่อาโอกิจะเป็นคนเช็กภาพทุกภาพก่อนส่งให้ลูกค้า

“ก็ลบก่อนเอาลงเครื่อง”รุ่นพี่ปีสองคนนั้นหัวเราะ “ถ้าให้รุ่นพี่เห็นจะโดนด่ายับ อีกอย่างเรามีแข่งกันด้วยว่าใครถ่ายภาพได้เยอะกว่ากันถ้ามีภาพเสียหลุดมาจะติดลบอีกต่างหาก”

“แล้วทำอย่างไรถึงจะถ่ายได้เยอะๆละครับ”

“ก็ภาพทีเผลอ ถ่ายมันทุกมุมทุกอิริยาบถนั่นแหละ ที่สำคัญลูกค้าจะชอบกับภาพพวกนี้มากถ้าถ่ายออกมาแล้วดูดี”

“โม้อะไรน่ะไคโตะ แมงโม้บินให้ว่อน”

“ผมไม่ได้โม้ครับรุ่นพี่เรย์ แค่เล่าให้มิอุระคุงเขาฟังเฉยๆระหว่างรอโหลดภาพ”คนถูกกล่าวหาว่ากำลังพูดโม้หัวเราะ นาคามูระ เรย์เดินหน้าบึ้งเข้ามาในชมรม

“โหลดเสร็จแล้วก็หลีกไปบ้าง คนอื่นเขาจะได้ใช้ต่อ”

“คร้าบคร้าบครับ เชิญเลยครับ”

“ไอ้นี่นิไม่ใช่เพื่อนเล่นนะ”

“ครับไม่ใช่เพื่อนครับเป็นรุ่นพี่ครับ ผมทราบดีงั้นผมกลับก่อนนะ เจอกันพรุ่งนี้นะมิอุระคุง”ประโยคสุดท้ายรุ่นพี่ฟูจิฮาระ ไคโตะหันมาพูดกับเขาพร้อมโบกมือให้ เด็กหนุ่มจึงโบกมือตอบ

“นายเองก็กลับไปได้แล้วเดี๋ยวที่เหลือฉันจัดการเอง”รุ่นพี่นาคามูระพูดเสียงห้วนจนเขานึกกริ่งเกรง ฮารุโตะยืนรวบรวมความกล้าอยู่พักใหญ่ถึงได้กล่าวพูดออกไป

“ผมขอโทษเรื่องเมื่อวันนั้นนะครับ”

“ผ่านมาตั้งนานแล้วเพิ่งจะนึกได้หรือไง”เรย์แค่ชายตามองคนพูด

“ไม่ใช่หรอกครับ แต่ผมหาโอกาสคุยกับรุ่นพี่ไม่ได้เสียที ถ้าเข้ามาขอโทษตอนที่รุ่นพี่อาโอกิอยู่ด้วยผมกลัวว่าพวกรุ่นพี่อาโอกิจะโกรธ”

เรย์คิ้วกระตุกอย่างนึกหงุดหงิดกับคำพูดของหนุ่มรุ่นน้อง ถ้ามันกล้าพูดแบบนี้อีกคำเขาจะถือว่ามันตั้งใจเยาะเย้ยเขา ซึ่งโชคดีที่ฮารุโตะพูดถึงประเด็นอื่นที่เรียกความสนใจของเรย์ได้เป็นอย่างดี

“รุ่นพี่อาโอกิบอกว่าหายโกรธรุ่นพี่แล้วนะครับ”

“หายโกรธ นายรู้ได้อย่างไร”

“ผมถามเมื่อตอนกลางวันครับแต่รุ่นพี่อาโอกิบอกว่าจะยังไม่คุยกับรุ่นพี่นาคามูระเพื่อเป็นการลงโทษครับ”

“หือ…ลงโทษเรื่องอะไร” ที่จริงเรย์ก็พอรู้ตัวอยู่แต่เขาอยากรู้ว่านาโอโตะโกรธเรื่องนี้จริงหรือไม่ อีกอย่างคือเขาอยากรู้ว่าคนรักให้ความสนิทสนมกับฮารุโตะแค่ไหน

“ไม่ทราบครับรุ่นพี่ไม่ยอมบอก”

เรย์พยักหน้ารับรู้ เขานิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะอ้าปากถามเด็กหนุ่มรุ่นน้องไปว่า

“ตกลงนายคิดอย่างไรกับนาโอโตะ”

เด็กหนุ่มมองหน้าเจ้าของคำถามก่อนจะกลอกตาอย่างครุ่นคิด ชั่วอึดใจต่อมาคำตอบที่ได้รับก็ทำให้นาคามูระ เรย์โมโหเสียยกใหญ่

“ผมชอบรุ่นพี่อาโอกิครับ”

ชายหนุ่มทั้งกระชากคอเสื้อทั้งเขย่าจนฮารุโตะหัวสั่นหัวคลอน

“ตกลงนี่แกจะแย่งนาโอโตะไปให้ได้จริงๆใช่ไหม”

โดนตะคอกเสียงดังใส่ทำให้เด็กหนุ่มลนลานรีบตอบ

“เปล่าครับ ผมไม่เคยคิดแบบนั้น”

“ไม่คิดแบบนั้นอะไรของแก เพิ่งบอกว่าชอบอยู่เมื่อกี้”

เรย์จ้องเด็กหนุ่มร่างเล็กกว่าเขม็ง ฝ่ายฮารุโตะที่ได้สบตากับหนุ่มรุ่นพี่คนที่ตนแอบชอบในระยะใกล้ห่างไม่เกินคืบ จึงเกิดอาการหัวใจเต้นแรงหน้าแดงขึ้นมา คำพูดคำตอบที่เคยอยู่ในหัวเมื่อสักครู่ปลิวหายไปหมด

“ตกลงว่าไงหา!!!”

โดนตะคอกอีกรอบสติถึงกลับมาอยู่กับตัว “ผมชอบรุ่นพี่อาโอกิแบบพี่ชายครับ”เขาตอบไปรวดเดียวด้วยน้ำเสียงฉะฉานแน่นอนละโดนเค้นคออยู่เช่นนี้ถ้าไม่รีบตอบเขาอาจจะหมดลมหายใจไปก่อนก็เป็นได้

“แน่ใจนะ”

ให้ตายเหอะ จมูกของรุ่นพี่จะโดนแก้มเขาอยู่แล้วฮารุโตะบ่นพึมพำอยู่ในใจ หัวใจเต้นแรงจนจะกระดอนออกมาอยู่นอกอกเสียให้ได้

“เงียบ!!! หมายความว่าอย่างไรหา!!!”

“ผมคิดกับรุ่นพี่อาโอกิแค่พี่ชายจริงๆครับ” โดนตะคอกถามจนต้องตะโกนตอบกลับไปบ้าง และเมื่อยืนยันคำตอบไปเช่นนั้นรุ่นพี่นาคามูระถึงยอมกลับกลายร่างมาเป็นคนเสียที

โอย!!! หัวใจจะวายฮารุโตะยังคงยกมือกุมหน้าอก ก้อนเนื้อภายใต้อกซ้ายยังคงเต้นกระดอนรุนแรง

“ถ้าไม่คิดอะไรก็แล้วไป”

“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”ถ้าหากเขาอยู่นานไปกว่านี้เขาคงจะหัวใจวายตายไปจริงๆแน่ เด็กหนุ่มหยิบกระเป๋ารีบเดินออกจากห้องกระนั้นพอเดินลงมาถึงชั้นล่างกลับนึกขึ้นได้ว่าตนเองลืมถุงเสื้อที่ต้องนำไปส่งซัก เขาจึงต้องเดินกลับขึ้นไปที่ห้องชมรมอีกรอบ

“อ้าว กลับมาทำอะไรอีกล่ะ”เป็นจังหวะเดียวกับที่นาคามูระ เรย์เตรียมเก็บของ

“ผมลืมถุงเสื้อที่ต้องไปส่งซักครับ”เด็กหนุ่มรีบเดินไปหยิบของที่ต้องการทันที

“อ้อ อย่างนั้นกลับด้วยกัน ฉันก็กำลังจะกลับเหมือนกัน”

“ไม่เป็นไรหรอกครับใกล้ๆแค่นี้ผมเดินไปเองได้”

“เอาเถอะน่า”พูดพลางคว้าถุงเสื้อผ้าในมือฮารุโตะมาถือไว้เสียเองพลางออกเดินนำหน้า เด็กหนุ่มจึงได้แต่เดินตามหลังไป

ไม่รู้ว่าควรให้คำจำกัดความของรุ่นพี่นาคามูระว่าเป็นคนอัธยาศัยดีหรือเป็นคนที่ไม่ค่อยคิดอะไรดี เพราะวันรุ่งขึ้นรุ่นพี่กลับทำเหมือนว่าสนิทสนมกับเขามานานจนฮารุโตะยังนึกแปลกใจ

“เอ้า ไฮไฟว์ไงไม่รู้จักหรือ”

“อาครับ”เด็กหนุ่มยกมือขึ้นเหมือนกับที่อีกคนทำชายหนุ่มร่างสูงตีที่ฝ่ามือของเขาแล้วร้องโย่ก่อนจะกอดคอแล้วลากตัวเขาไปหานาโอโตะที่มองอย่างสงสัยเช่นกัน

“มันยิ่งดูแปลกนะเรย์”

“แปลกอะไรไม่มี๊”ชายหนุ่มปฏิเสธเสียงสูง“ฉันกับฮารุจังเข้าใจกันดีแล้วเท่านั้นเองเนอะฮารุจังเนอะ”

“ค…ครับ”ฮารุโตะตอบรับสั้นๆเมื่อรุ่นพี่หันมาถามเพื่อหาเสียงสนับสนุนคำพูดของตน ตอนนี้หัวใจของเขากำลังเต้นแรงร่างกายของรุ่นพี่อุ่นจนเขาร้อนไปทั้งหน้า

“เห็นไหมทีนี้เชื่อได้หรือยังว่าฉันไม่มีอะไรแอบแฝง”

นาโอโตะหรี่ตามองคนรัก อมยิ้มอย่างขำขันกับความพยายามของชายหนุ่ม

“ไม่มีอะไรก็ไม่มีอะไร”เขาตัดบทไปเพียงแค่นั้นก่อนจะหันไปมองยังประตูทางเข้าห้อง เมื่อมีเสียงร้องทักอรุณสวัสดิ์ดังขึ้นมา

“อ๊ะ เรย์แกนอกใจนาโอโตะ”เรียวตะร้องตะโกนมาแต่ไกล “แกกอดฮารุจัง”เขาแสร้งทำหน้าตื่นตกใจและเสียใจที่เพื่อนทำเช่นนั้น

“ไอ้บ้า”เรย์หัวเราะยกมือออกจากบ่าของเด็กหนุ่มมาผลักไหล่เจ้าของคำพูด

ฮารุโตะจึงใช้โอกาสที่หนุ่มรุ่นพี่ประธานชมรมหันไปให้ความสนใจกับกลุ่มเพื่อน ถอยห่างออกมาอีกนิดยกมือขึ้นกุมหน้าที่ร้อนผ่าวของตน

“เรย์มันทึ่มถ้าคิดจะอ้อยมันคงต้องพยายามมากๆหน่อย”

เด็กหนุ่มสะดุ้งเพราะฝ่ามือแข็งถูกส่งมาโอบเอวเขาไว้ก่อนจะเหลือบสายตามองร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างกาย อีกฝ่ายยังกระซิบพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆต่อไปว่า

“แต่ฉันว่าคงยากต่อให้นายยอมให้มันฟรีๆมันก็คงไม่เอา”

เขาขมวดคิ้วฉับด้วยความไม่ชอบใจ ดึงมือของรุ่นพี่ร่างสูงออกจากเอว ฮารุโตะมองเห็นแต่รอยยิ้มเยาะแสนร้ายกาจบนใบหน้าของอีกฝ่าย เขาขยับเท้าก้าวไปยืนอยู่ใกล้รุ่นพี่อาโอกิ

นาโอโตะเลิกคิ้วเป็นเชิงถามเมื่อเห็นท่าทางแปลกไปของเด็กหนุ่มรุ่นน้อง ฮารุโตะสั่นศีรษะปฏิเสธพอรุ่นพี่หันกลับไปคุยกับกลุ่มเพื่อนเขาจึงเบนสายตากลับไปมองชายหนุ่มร่างสูงอีกครั้ง เห็นฝ่ายนั้นเดินไปหาที่นั่งและให้ความสนใจอยู่กับกล้องตัวโปรด เด็กหนุ่มจึงเบือนสายตากลับมาและพยายามไม่สนใจคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นอีกแม้ในอกจะรู้สึกแปลบปลาบแปลกๆก็ตาม



นาโอโตะขนเสื้อผ้าเก่าที่ใส่ไม่ได้แล้วมาให้ฮารุโตะอีกครั้ง ถึงจะบอกว่าเป็นเสื้อผ้าเก่าแต่หลายๆตัวยังใหม่จนเด็กหนุ่มยังนึกแปลกใจ

“บางตัวก็ไม่ค่อยได้ใส่นะ”หรืออันที่จริงเสื้อผ้าเซตนี้ค่อนข้างจะไม่ถูกใจเขา

“แม่ของนาโอโตะเป็นบก.นิตยสารแฟชั่นเสื้อผ้าบางตัวเจ้าของแบรนด์ก็ให้มาเฉยๆ บางตัวที่นาโอโตะใส่ถ่ายแบบเขาให้เลยบ้างก็มี”

“รุ่นพี่ถ่ายแบบด้วยหรือครับ”

“ก็นะนานๆที”นาโอโตะตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ เรย์จึงพูดแทรกขึ้นมา

“นานๆทีที่ไหนถ้านาโอโตะคิดจะเอาดีทางด้านนี้ป่านนี้ดังไปแล้ว”

พอได้ยินเช่นนั้นฮารุโตะถึงกับตาโตด้วยความตื่นเต้นขึ้นมาทันที ถึงเขาจะไม่ค่อยได้ติดตามข่าวสารหรือละครโทรทัศน์แต่ฮารุโตะก็เป็นหนึ่งในบุคคลที่ชื่นชอบดารานักร้องรวมถึงนายแบบนางแบบ

“อย่าไปเชื่อเรย์มาก เรย์น่ะเว่อร์”

“แต่ผมเชื่อครับ รุ่นพี่หน้าตาดีมากๆ”ฮารุโตะพูดชมออกมาจากใจ

“ขอบใจจ้า”นาโอโตะพูดก่อนเปลี่ยนบทสนทนาเป็นเรื่องเกี่ยวกับเสื้อผ้า เสื้อผ้าฤดูหนาวที่นาโอโตะนำมาให้เด็กหนุ่มรุ่นน้องส่วนใหญ่มีแต่สีสันสดใสเขาจึงต้องการให้แน่ใจว่าฮารุโตะจะไม่จับเสื้อผ้าที่มีสีตัดกันจนเกินไปมาสวมใส่

“ลองสวมเสื้อตัวนี้ดีไหม”ชายหนุ่มส่งเสื้อแขนยาวมีฮูดสีเขียวจางให้รุ่นน้อง ตรงชายเสื้อมีลายรูปแมวสีดำวันนี้ฮารุโตะสวมกางเกงยีนสีซีดที่เขาให้ไปครั้งก่อนนอกจากนี้เขายังเตรียมรองเท้าบูตสั้นคู่ที่เขาใส่ไม่ได้แล้วมาให้ฮารุโตะ

เด็กหนุ่มถอดเสื้อตัวนอกออกทั้งที่อยู่ตรงนั้น

“ใส่เสื้อบางจังไม่หนาวหรือ นี่ก็เข้าเดือนธันวาแล้วนะ”เรย์เอ่ยทักขึ้นมาเมื่อสังเกตเห็นว่าฮารุโตะใส่แค่เสื้อยืดทีเชิ้ตสีเทาแขนสั้นไว้ด้านในเพียงตัวเดียว

“ส่วนใหญ่อยู่แต่ในอาคารเลยไม่ค่อยหนาวหรอกครับ”เด็กหนุ่มตอบพลางสวมเสื้อตัวใหม่ทับลงไป

“ไม่หนาวก็ไม่น่าจะใส่เสื้อแขนสั้นไว้ข้างในตัวเดียวแบบนี้เดี๋ยวจะไม่สบายไปอีก”นาโอโตะพูดขึ้นมาบ้าง

“ไม่ต้องห่วงครับผมจะพยายามดูแลสุขภาพอย่างดี ว่าแต่เป็นอย่างไรบ้างครับ”เด็กหนุ่มหมุนตัวโชว์เสื้อสเวตเตอร์ตัวใหม่

“คิดแล้วว่าต้องเหมาะกับฮารุจัง อะนี่รองเท้าคู่นี้พี่ใส่ไม่ได้แล้ว”นาโอโตะพูดออกไปก่อน รุ่นน้องปีหนึ่งจะไม่มีปัญหาสงสัยว่าทำไมมันถึงดูใหม่ ช่วงวัยรุ่นเขาค่อนข้างจะโตเร็วข้าวของเสื้อผ้าส่วนใหญ่ใช้ได้ไม่นานก็ต้องเปลี่ยน นอกจากนั้นเพราะงานพิเศษที่ทำช่วงนั้นทำให้ได้พวกกระเป๋ารองเท้ามาฟรีๆบ่อยครั้ง ซึ่งของชิ้นไหนถ้าเขาไม่ใช้แล้วก็จะทำความสะอาดและเก็บเข้ากล่อง

ฮารุโตะตาโต เขาก้มศีรษะขอบคุณรุ่นพี่ผู้แสนใจดีอยู่หลายครั้ง

“ขอบคุณมากครับ ถ้าให้ผมเก็บเงินซื้อเองไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนถึงจะซื้อได้ โอ๊ะใส่สบายมากเลยด้วยต้องแพงมากแน่ๆไม่เป็นไรหรือครับที่นำมาให้ผม”

“อืมไม่มีปัญหาหรอกบ้านพี่มีแต่เด็กผู้หญิง รองเท้าผู้ชายแบบนี้ไม่มีใครสนใจหรอก”นาโอโตะกล่าวยืนยันให้เด็กหนุ่มสบายใจก่อนจะถามต่อไปอีกว่า“ว่าจะถามตั้งหลายครั้งแล้วฮารุจังเป็นคนที่ไหนเหรอ”

“ผมเกิดที่ยามัทซึริในฟุคุชิม่าครับ”

“ย้ายมาเรียนไกลเหมือนกันนะ”เรย์พูดขึ้นมาบ้าง

“ครับผมสอบได้ทุนของที่นี่”

“ว้าวแสดงว่าเรียนเก่ง”

“ไม่หรอกครับอาศัยว่าอ่านหนังสือมากกว่าคนอื่นก็เท่านั้นเอง”

“แล้วได้กลับไปเยี่ยมบ้านบ่อยไหม”เรย์ทำท่าว่าถามไปเรื่อยเปื่อยแต่เขารู้ว่าคนรักยังคงติดใจสงสัยเรื่องรอยช้ำบนตัวของหนุ่มรุ่นน้อง

“ไม่ได้กลับครับ”ฮารุโตะเงียบไปครู่ใหญ่กว่าจะตอบกลับมาได้ “พ่อกับแม่แยกทางกันนานแล้วครับ ตั้งแต่จำความได้ผมก็อยู่กับพ่อมาตลอด อืม... ผมว่าวันนี้ผมกลับก่อนดีกว่าว่าจะแวะไปยืมหนังสือที่ห้องสมุดก่อนจะไปทำงานด้วยครับ” เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ทั้งที่โดยปกติแล้วช่วงวันหยุดเช่นนี้ฮารุโตะจะมาคลุกอยู่กับพวกเขาที่ห้องชมรมเกือบทั้งวัน เรย์และนาโอโตะจึงพอจะเดาได้ว่าเด็กหนุ่มรุ่นน้องไม่สบายใจที่จะพูดถึง พวกเขาจึงไม่ได้เอ่ยรั้งหรือซักไซ้อะไรเพิ่มเติม

“ขอบคุณสำหรับเสื้อผ้าอีกครั้งนะครับรุ่นพี่อาโอกิ”

“อือไม่เป็นไร แล้วไว้เจอกัน”

ฮารุโตะรู้สึกว่าถุงใส่เสื้อผ้าที่เขาถืออยู่เริ่มหนักอึ้ง เขาเคยชินกับสายตาของผู้คนรอบข้างซึ่งมองมาที่เขาด้วยความสงสารหรือสมเพชเวทนาแม้สายตาเหล่านั้นจะทำให้เขารู้สึกด้อยค่า กระนั้นก็ได้แต่ทำใจยอมรับมัน อย่างไรก็ตามเด็กหนุ่มกลับรู้สึกว่าไม่อยากได้สายตาเช่นนั้นจากรุ่นพี่นาคามูระ เขากำมือแน่นขึ้นจนหูหิ้วของถุงกระดาษยับย่น คำพูดของรุ่นพี่ชิมิซึดังก้องขึ้นในหัวเขาอยากจะลองพยายามดูสักครั้ง พยายามทำให้รุ่นพี่นาคามูระหันมามองเขาบ้าง

กระนั้นความคิดชั่ววูบได้จางหายไปรวดเร็ว เมื่อได้ลองนั่งคิดไตร่ตรอง เขาสำนึกได้ในวินาทีต่อมาว่าไม่มีอะไรที่ตัวเขาพอจะสู้กับรุ่นพี่อาโอกิได้สักอย่าง ทั้งหน้าตารูปร่างนิสัยหรือความสามารถอื่นๆพอนึกได้เช่นนั้นในใจพลันบังเกิดแต่ความอิจฉา นึกเกลียดรุ่นพี่อาโอกิขึ้นมาจับใจ เขาจึงถอดเสื้อผ้าของรุ่นพี่อาโอกิที่สวมใส่อยู่ออกมาเหยียบๆย่ำๆอยู่หลายที

สุดท้ายแล้วมันก็เท่านั้น ไม่มีใครรู้สึกเจ็บปวดนอกจากตัวของเขาเอง ฮารุโตะจึงพรูลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ปัดความคิดฟุ้งซ่านวุ่นวายออกไปจากสมอง

+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-10-2017 13:39:55 โดย ตีสี่ »

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 5 : 14/Feb/2017
«ตอบ #23 เมื่อ14-02-2017 12:52:26 »

ขออีกนิด (เนื่องจากกระทู้ด้านบนจำนวนอักษรเกินค่ะ)

หมายเหตุ

พื้นที่ห้องสี่เสื่อครึ่ง : หน่วยวัดพื้นที่ห้องแบบนี้อ้างอิงตามจำนวนเสื่อทาทามิที่ปูภายในห้อง โดยขนาดมาตรฐานของเสื่อหนึ่งผืนประมาณ 90 X 180 เซนติเมตร

ทาทามิ(Tatami) :
เสื่อทาทามิแบบดั้งเดิมทำจากต้นกก หรือ อิกุสะ (Igusa) เป็นพืชที่มีคุณสมบัติในการดูดซับและระบายความชื้นภายในห้องได้ดี เหมาะกับสภาพอากาศในญี่ปุ่นที่มีความชื้นสูงในฤดูร้อน แต่หนาวเย็นและแห้งในฤดูหนาว
ทาทามิ 1 ผืนใช้ต้นอิกุสะประมาณ 4,000 – 7,000 ต้น นำมาทอด้วยเครื่องทอแบบเฉพาะคล้ายกับการทอกิโมโน แล้วจึงนำมาประกบเข้ากับแกนกลาง (Toko) ซึ่งทำด้วยฟางข้าวอัดแน่นเป็นชั้นหนาประมาณ 3-6 ซม. และเย็บริมด้วยผ้า แกนกลางที่มีความหนาจะทำให้เสื่อมีความแข็งแรงและให้สัมผัสที่นุ่มสบาย ปัจจุบันมีการใช้วัสดุประเภทโฟมเข้ามาทดแทน เพื่อให้มีน้ำหนักเบาและสะดวกในการดูแลรักษา   
ที่มา : http://www.tcdc.or.th/creativethailand/article/ClassicItem/22268


ขออีกนิด (สุดท้ายสำหรับตอนนี้)
ปล.คุณตีสี่พูดจริงเหรอคะ ที่ว่าเรย์กับนาโอโตะเป็นพระเอกนายเอก แต่ใช้ฮารุโตะเป็นตัวเดินเรื่อง (เลยดูเหมือนเป็นนิยายประเภท ตามติดชีวิตฮารุโตะ ประมาณนี้... หัวเราะ)

ต้องบอกว่าเรื่องนี้ มิอุระ ฮารุโตะคือตัวเอกค่ะ แต่ว่าเขาชอบนาคามูระ เรย์ เลยรู้สึกว่าเรย์คือพระเอกของเขา(ในมโน) แต่เมื่อมารู้ว่าเรย์มีคนรักอยู่แล้ว เลยรู้สึกว่า ตัวเองเป็นแค่ตัวประกอบบางครั้งก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นตัวอิจฉา ที่มีอาโอกิ นาโอโตะเป็นนางเอก(นายเอก)ของเรย์

มันน่าน้อยใจ อนาถชีวิตตัวเองจริงๆ
มีแต่คนหาประโยชน์ กลั่นแกล้ง
เพราะความอ่อนแอ คิดไม่ทันคนพวกนั้น
ฮารุโตะ จะทำให้ตัวเองเข้มแข็งได้ยังไงนะ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ขอโทษค่ะที่เราเขียนให้ฮารุโตะอ่อนแอแบบนี้ไปอีกนาน(อาจจะจบเรื่องเลยด้วย)

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
รอฮารุโตะ เข้มแข็ง  :mew1: :mew1: :mew1:
ชิมิซึ ซากิ  เป็นคนร้ายกาจ ชอบรังแกฮารุโตะ  :z6: :z6: :z6:

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 6 : 16/Feb/2017
«ตอบ #25 เมื่อ16-02-2017 00:23:16 »

เรื่องย่อ ตอนที่ 6

มิอุระ ฮารุโตะเด็กหนุ่มกำพร้าที่ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองเพียงคนเดียวหลังจากอยู่ภายใต้ความดูแลของบ้านอุปถัมภ์เด็กกำพร้ามานานหลายปี ด้วยความที่เป็นเป้าหมายกลั่นแกล้งของพวกเด็กเกเร เขาจึงต้องใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนแบบไม่มีเพื่อนเลยสักคน ฮารุโตะสามารถสอบชิงทุนจนสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้และได้สมัครเข้าชมรมถ่ายภาพเพราะแอบหลงรักนาคามูระ เรย์ และตั้งแต่ได้รู้ความจริงเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างนาคามูระ เรย์และอาโอกิ นาโอโตะ ความทรมานของการเป็นได้แค่คนแอบรักก็ตามรังควาญเขาเรื่อยมา


春に雪が降っている。 
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย


Chapter 6



เขาส่องกระจกเป็นรอบที่ยี่สิบแล้วสำหรับเช้าวันนี้  ไม่ใช่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแฟชั่นแต่เป็นเพราะเสื้อผ้าทุกชิ้นที่เขาสวมใส่ในวันนี้เขาเป็นคนเลือกมันเองกับมือ  ไม่ว่าเป็นผ้าพันคอลายตารางหมากรุกสีดำแดง เสื้อแขนยาวสีขาวตัวใน โค้ตสั้นสีดำเข้ารูปตัวนอก กางเกงยีนและรองเท้าหนังหุ้มข้อรวมถึงกระเป๋าสะพายข้างใบใหม่ นอกจากเสื้อโค้ตสั้นที่เขาลงทุนซื้อแบรนด์เดียวกับที่เคยไปดูกับรุ่นพี่อาโอกิเมื่อครั้งก่อน นอกจากนั้นแม้จะไม่ใช่สินค้ามีตรายี่ห้อโด่งดังแต่เขาก็พยายามเลือกรูปแบบที่ดูดีและทันสมัย

มิอุระ ฮารุโตะก้มดูสภาพเสื้อผ้าของตัวเองอีกรอบ การแต่งตัวแบบนี้คงจะเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนอื่นแต่สำหรับเขามันไม่ใช่เลย เด็กหนุ่มจึงอดที่จะรู้สึกกังวลไม่ได้

เขากวาดสายตาไปรอบๆ มองหาสายตาคู่อื่นที่จับจ้องมาทางตน แล้วผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ รู้สึกดีที่ไม่มีเหตุการณ์เช่นนั้น สองเท้าจ้ำก้าวอย่างรวดเร็วเข้าไปในตัวตึก ที่ชั้นสามห้องริมสุดฝั่งซ้ายมือเป็นห้องของชมรมที่เขาสังกัดอยู่ แม้ว่าตอนนี้ยังเป็นเวลาเช้าตรู่แต่เขารู้ว่าที่นั่นจะต้องมีสมาชิกชมรมคนอื่น ฮารุโตะเปิดประตูเข้าไปพร้อมเสียงทักทาย

“ว้าว ดูดีนี่ฮารุจัง เลือกเองทั้งหมดเลยใช่ไหม”คนทักรีบปราดเข้ามาหา ยิ้มให้เขาด้วยดวงตาเป็นประกายอย่างจริงใจ มองสำรวจเสื้อผ้าการแต่งตัวของเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าพร้อมทั้งเอ่ยปากชมไม่หยุด ก่อนจะหันไปถามความคิดเห็นจากอีกคนที่อยู่ในห้อง

“ว่าอย่างนั้นไหมเรย์”

ร่างสูงเจ้าของชื่อเดินตรงมาหยุดยืนด้านข้างร่างเพรียวบางกว่าตรงหน้าของเขา ฮารุโตะเห็นแล้วว่าเรย์มองมาที่เขาตั้งแต่เสียงใสๆของรุ่นพี่เอ่ยทัก

“ดูดีจริงๆด้วย”ชายหนุ่มยิ้มให้ “นายนี่เก่งจริงๆนะ เมื่อก่อนฮารุจังยังดูเฉิ่มๆเชยๆอยู่เลย ตอนนี้คงจะจี๊ดกว่านายอีกมั้ง”

“แน่นอนสิ สายตาฉันไม่มีพลาดหรอก ฮารุจังน่ารักจะตาย ใส่อะไรก็ต้องดูดีอยู่แล้ว”คนพูดยิ้มให้เขา รอยยิ้มนั้นช่างเจิดจ้าจนเขาไม่กล้ามองต้องก้มหน้าลงหลบสายตา

อาโอกิ นาโอโตะเป็นคนที่สว่างไสวเสมอจนใครๆต่างชื่นชม เป็นผู้ชายที่งดงามเข้มแข็ง แข็งแกร่ง ตรงไปตรงมา จริงใจ และจิตใจดีอย่างที่ตัวเขาทาบไม่ติด ถ้าเทียบกันแล้วเขาเองคงเป็นเพียงแค่เศษฝุ่นไร้ค่า เป็นลูกเป็ดต้อยต่ำที่พยายามทุกวิถีทางเพื่อเลียนแบบหงส์ ฮารุโตะยิ้มขื่นกับจิตใจมืดดำของตนเอง

“ไง มากันแล้วหรือ ดูสิวันนี้ ฮารุจังดูดีไหม”

“อืม ก็ดูดีอยู่ทุกวันแล้วนี่ ทำไมหรือ”ฮายาชิ เรียวตะเอ่ยถามหลังกวาดสายตาอย่างรวดเร็วมองคนที่ถูกกล่าวถึง ที่เดินตามติดกันมาเป็นโมริ เอคิจิและชิมิซึ ซากิ

“แต่วันนี้ไม่ใช่เสื้อผ้าของฉันนะ”

“อ๊ะจริงอะ ฉันต้องยอมรับเลยว่าวันนี้นายเท่จริงๆฮารุจัง”เรียวตะร้องบอกด้วยท่าทางเกินจริง เขาหยิบกล้องออกมาจากกระเป๋า “ขอฉันถ่ายรูปนายเก็บไว้สักใบนะ” ยังไม่ทันที่ฮารุโตะจะเอ่ยปากปฏิเสธหรือขยับตัว เสียงแชะได้ดังขึ้นอย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยเสียงบอกว่าขออีกรูป

“ไม่เอาหรอกครับรุ่นพี่”เขายกมือขึ้นมาบังหน้ากล้องไว้ “ผมไม่ใช่นายแบบ”ร้องบอกแค่นั้นแต่อีกฝ่ายก็ขยับไปอีกด้านแล้วกดชัตเตอร์ไปอีกหลายครั้ง เรียวตะปรับโฟกัสเร็วกว่าคำห้ามปรามของเขาเสียอีก ฮารุโตะได้แต่ถอนหายใจ

“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ภาพถ่ายฝีมือเรียวตะรับรองได้ว่าไม่น่าเกลียดแน่นอน”เอคิจิบอก

“ผมรู้ครับ แต่ผมไม่ชินเลย”

“อย่างนั้นก็ทำตัวให้ชินซะซิ เอ้า...ยิ้มหน่อย”ตากล้องพูด ฮารุโตะจึงฝืนยกยิ้มแหยๆ เรียวตะลดกล้องลงมาขมวดคิ้วพลางบุ้ยใบ้ให้เพื่อนสนิทจัดการกับรุ่นน้องที่ไม่ยอมทำตามคำสั่ง เอคิจิวางกระเป๋าใส่กล้องที่สะพายอยู่บนบ่าลง รี่ตรงเข้าไปจี้เอวฮารุโตะ คนที่เคยฝืนยิ้มแหยๆจึงหัวเราะพลางพยายามเบี่ยงตัวหนีส่งเสียงหัวเราะลั่น เรย์และนาโอโตะมองพร้อมกับหัวเราะตาม

ทว่า หนุ่มรุ่นพี่อีกคนอย่างชิมิซึ ซากิกลับนิ่งเฉยนั่งเช็ดเลนส์กล้องอยู่บนโซฟาโดยไม่ใส่ใจผู้ใด จนกระทั่งร่างของคนที่ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงใจใครนั่นกระแทกเขาอย่างแรง เลนส์ที่อยู่ในมือร่วงตกลงสู่พื้น

ทุกอย่างเงียบกริบในพริบตา

ซากิหยิบของชิ้นนั้นขึ้นมา ใบหน้ายังคงเรียบเฉยแม้จะเห็นรอยร้าวบนกระจกแล้วก็ตาม

“ขอโทษครับ ผมจะชดใช้ให้นะครับ”ฮารุโตะก้มหัวลง แม้จะเพิ่งเข้าชมรมมาได้แค่ครึ่งปีแต่เขารู้ว่าทั้งกล้องทั้งเลนส์ต่างเป็นสมบัติของรักของหวงของคนทุกคนในชมรมนี้

“นายมีปัญญาชดใช้หรือไง”คนพูดปรายตามองน้ำเสียงเยียบเย็นจนร่างบางกว่าเสียวสันหลังวาบ ถึงฮารุโตะจะเป็นหนึ่งในสมาชิกของชมรมถ่ายภาพแต่ก็ยังไม่มีกล้องเป็นของตัวเองเนื่องจากราคาของมันค่อนข้างสูงเกินฐานะ เขาจึงเป็นสมาชิกที่ติดสอยห้อยตามคนอื่นๆไปถ่ายภาพ หรือได้แค่หยิบจับกล้องของเรียวตะที่ยินดีให้เขายืมอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ

“เดี๋ยวฉันใช้คืนเองก็ได้”นาโอโตะพูดไกล่เกลี่ย

“ไม่ต้องหรอกครับผมเป็นคนทำ ผมก็ต้องเป็นคนชดใช้”พูดอย่างหนักแน่น

“เอ่อ...ความจริงพวกฉันก็เป็นฝ่ายผิดถ้าไม่ไปแกล้งน้องเขา คงไม่เกิดเรื่อง”เรียวตะพูดเสริม

“เจ้าตัวเขาบอกว่าเป็นคนทำ จะชดใช้ให้เองพวกนายจะมายุ่งวุ่นวายอะไรอีกล่ะ”น้ำเสียงเหมือนดูหมิ่นตัดจบปิดประโยคอย่างไร้เยื่อใยแบบไม่ให้ใครได้พูดอะไรได้อีก ก่อนที่ชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของเลนส์จะเก็บข้าวของเดินออกจากห้องไป ฮารุโตะมองตามแผ่นหลังกว้างของรุ่นพี่ชิมิซึด้วยแววตาหวาดหวั่นระคนหม่นหมองแล้วก้มหน้ามองพื้น ภายในหัวใจหวิวโหวงเจ็บปวดด้วยความรู้สึกที่เหมือนว่าตนเองถูกรังเกียจ

ฮารุโตะเงยหน้าขึ้นฝืนยิ้มเมื่อฝ่ามืออบอุ่นของรุ่นพี่คนอื่นตบเบาๆที่บ่าคล้ายปลอบใจพร้อมกับคำพูดให้คลายกังวลอีกหลายประโยค

ในสมองของฮารุโตะมีแต่ความสงสัยและไม่เข้าใจ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่นานรุ่นพี่ชิมิซึยังไม่มีทีท่าเดียดฉันท์เขาถึงเพียงนี้และเมื่อคิดย้อนกลับไปกลับมาเท่าไหร่ เด็กหนุ่มยังรู้สึกว่า ตนต่างหากที่ควรเป็นฝ่ายโกรธเคืองหนุ่มรุ่นพี่ ทำไมเขาช่างอาภัพขนาดนี้หนอ เพิ่งทำให้รุ่นพี่นาคามูระดีกับเขาได้ไม่เท่าไหร่ก็มาโดนรุ่นพี่อีกคนโกรธเสียอีก เด็กหนุ่มได้แต่นึกทดท้ออยู่ในใจ

มีคนเคยพูดว่าเมื่อเกิดเรื่องแย่ๆขึ้นเรื่องหนึ่ง ก็จะมีเรื่องที่ทำให้รู้สึกแย่ตามมาอีกมากมาย  แล้วทำไมเรื่องแบบนั้นมันต้องเจาะจงเกิดกับเขาด้วย เพราะเช้านี้ฮารุโตะมัวแต่กังวลเรื่องเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย จึงทำให้เขาลืมหยิบรายงานวิชาปฏิบัติการที่จะต้องส่งมาด้วย ตอนกลางวันก็มีคนเดินถือถาดอาหารมาชนจนเสื้อที่เขาเพิ่งซื้อมาใหม่ตัวนี้ต้องเปื้อน ฮารุโตะรู้สึกได้ว่าวันนี้คงเป็นวันที่โชคร้ายที่สุดสำหรับเขา ทั้งที่ไม่ได้มาทานอาหารที่โรงอาหารของคณะนานมากแล้ว ทั้งที่เขาอยากจะลองทำในสิ่งที่ไม่เคยทำแต่ทุกอย่างกลับมีแต่อุปสรรคที่คอยบั่นทอนความมั่นใจของเขาให้ลดน้อยถอยลง

หลังจากนั้น เวลาที่หมดคาบเรียนแล้ว เขายังโชคร้ายสุดๆ เมื่อบังเอิญเจอกับพวกซากุราอิ ชุน

“อ้อ ถึงว่าทำไมช่วงนี้ฉันถึงไม่เจอแกเลยที่แท้ก็ทำตัวไฮโซเปลี่ยนสไตล์การแต่งตัวนี่เอง”ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของเรือนกายสูงใหญ่ย่างเท้าก้าวเข้ามาหา ฮารุโตะคิดเพียงแต่ว่าวันนี้เขาเจอโชคร้ายมามากพอแล้ว ขอให้ครั้งนี้เป็นโชคดีของเขาบ้างเถอะแต่อย่างว่าถ้าเขาดวงดีขนาดนั้นเขาคงไม่ต้องมานั่งพูดพร่ำโทษชะตากรรมอยู่บ่อยครั้ง

ซากุราอิ ชุนเข้ามาคว้าคอเสื้อเขาไว้อย่างรวดเร็ว

“ปล่อยนะ”

“ปล่อยนะ”ชุนล้อเลียนคำพูดพร้อมเสียงหัวเราะ

ฮารุโตะถูกยกตัวขึ้นจนเท้าลอยไม่ติดพื้นพยายามดิ้นรนทั้งที่ทำได้ยาก อีกทั้งคอเสื้อยังรั้งต้นคอจนหายใจได้ยากเต็มที คงเพราะเห็นว่าเขาหน้าดำหน้าแดงแล้วกระมังอีกฝ่ายถึงได้เปลี่ยนมาใช้แขนข้างหนึ่งเกี่ยวเอวเขาไว้ส่วนมืออีกข้างก็ตะปบไปตามกระเป๋าเสื้อกับกางเกงและทั้งหมดทั้งมวลเท้าของฮารุโตะก็ยังคงไม่ถึงพื้นเสียที

“ปล่อยนะ”เขาร้องพลางเหวี่ยงกำปั้นไปสะเปะสะปะ เขาไม่อยากเจ็บตัวจึงถือคติเลี่ยงได้ก็เลี่ยงแต่เมื่อโดนคุกคามถึงขนาดนี้ฮารุโตะแค่เพียงต่อต้านเท่าที่พอทำได้

หมัดเบาๆของฮารุโตะเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาจนชุนนึกรำคาญเขาจึงจัดการสวนหมัดเข้าท้องน้อยของอีกฝ่าย เพียงแค่นั้นเด็กหนุ่มร่างเล็กก็ไร้เรี่ยวแรงต่อสู้ ชุนล้วงกระเป๋าเงินของฮารุโตะออกมาก่อนจะโยนไปให้เพื่อนสนิทซึ่งยืนมองอยู่ไม่ไกล เขาไม่ได้มีปัญหาเรื่องการเงินจนต้องทำตัวเป็นอันธพาลรีดไถ แต่เด็กหนุ่มสนุกและสะใจที่ได้ทำเช่นนั้น

“มีแค่ห้าร้อยเยนเองว่ะชุน”

“อะไรวะแต่งตัวดีขึ้นแต่ไม่มีเงินในกระเป๋าเหมือนเดิม”เขาโยนเด็กหนุ่มร่างเล็กลงกับพื้นเหมือนโยนผ้าขี้ริ้ว ก่อนจะอัดฝ่าเท้าซ้ำไปอีกทีข้อหาที่ไม่ได้ดั่งใจ แล้วหยิบเอาเงินห้าร้อยเยนใส่กระเป๋าทรุดตัวนั่งยองๆใกล้ๆกับร่างที่นอนคุดคู้อยู่บนพื้นใช้ฝ่ามือจิกกำเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนเพราะสีย้อมรั้งให้เงยหน้าขึ้นมา

“ครั้งหน้าก็พกเงินในกระเป๋าให้เหมาะกับเสื้อผ้าที่ใส่หน่อยนะเว้ยไอ้ยาจก”

แล้วทั้งสามก็เดินจากไป



ฮารุโตะถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย  ขณะล้มตัวลงนอนบนเสื่อทาทามิ ที่เย็นเฉียบเพราะอุณหภูมิในฤดูหนาว  เขาได้แต่นอนอยู่นิ่งๆ ผ้าพันคอผืนใหม่ที่เขาเพิ่งใช้เป็นวันแรกขาดเป็นรอย ทั้งเสื้อผ้าและร่างกายของเขายับเยินฟกช้ำ

เขาถูกทำร้ายสาเหตุเพราะเขาไม่มีเงิน แต่ไม่ว่าจะมีให้หรือไม่ เขาก็ต้องโดนซากุราอิ ชุนชกสักสองสามหมัดอยู่ดี ฮารุโตะแค่นยิ้มพลันนึกขึ้นมาว่าถ้าเขาไม่ต้องเจอกับเรื่องราวเหตุการณ์แบบนี้อีก ...มันคงจะดีมากทีเดียว

เขาถอนหายใจอีกครั้ง คิดคำนวณถึงจำนวนเงินที่ต้องหามาเพื่อจ่ายสำหรับการซื้อเลนส์ของรุ่นพี่ชิมิซึที่เขาทำมันเป็นรอย พื้นเสื่อเริ่มอุ่นเพราะอุณหภูมิร่างกายทำให้เขาไม่อยากขยับตัว ฮารุโตะถอดเสื้อตัวนอกออก จ้องมองอยู่นานพลางใช้มือลูบคลำบนเสื้อผ้าเนื้อดี เสื้อผ้าพวกนี้ไม่สมควรอยู่บนตัวของเขาจริงๆด้วย ฮารุโตะคิดในใจ

ร่างบางลุกขึ้นผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อแขนยาวสีน้ำตาลกับกางเกงสแล็คขาตรงตัวเก่าที่เขาใส่มาตั้งแต่ชั้นมัธยม มันเป็นเรื่องดีที่รูปร่างของเขาไม่ค่อยเปลี่ยนไปสักเท่าไหร่ ทำให้ยังสามารถใส่เสื้อผ้าเก่าของปีก่อนๆต่อไปได้แต่ความคิดเหล่านี้ของเขาเริ่มค่อยๆเปลี่ยนไป

เด็กหนุ่มนึกย้อนไปถึงเรื่องเมื่อช่วงต้นปีการศึกษาภาคฤดูใบไม้ผลิที่เขาได้มีโอกาสเข้าไปชมนิทรรศการถ่ายภาพของคณะศิลปศาสตร์ เด็กที่เรียนวิทยาศาสตร์อย่างเขาคงไม่สนใจเรื่องพวกนี้หรอก ถ้านิทรรศการนี้ไม่ได้มีภาพที่ได้รางวัลชนะเลิศระดับประเทศรวมอยู่ด้วย

เพราะทุกคนในคณะต่างพูดถึงภาพนี้ ทุกคนต่างแห่แหนไปดูภาพนี้ ปกติฮารุโตะไม่ค่อยมีเพื่อนอยู่แล้ว ถ้าเขาไม่ไปดูและถ้ามีใครสักคนถามเขาเรื่องเกี่ยวกับภาพนี้เขาคงเป็นตัวตลก ฮารุโตะรู้ว่านี่เป็นความคิดของเด็กประถม ไม่มีใครจะเข้ามาคุยกับเขาเรื่องภาพถ่ายนี่หรอก แต่เขาก็อดที่จะไปชื่นชมมันอย่างที่คนอื่นทำไม่ได้

มันเป็นความคิดที่ย้อนแย้งกันอยู่ไม่น้อย เด็กหนุ่มเคยคิดว่าตนโชคดีที่ได้รู้จักนาคามูระ เรย์เพราะรู้จักรุ่นพี่เขาถึงได้มาสมัครเข้าชมรมนี้ได้รู้จักสมาชิกคนอื่นๆที่เป็นมิตรกับเขา  แต่ในขณะเดียวกันการแอบรักหนุ่มรุ่นพี่ก็ทำให้เขารู้สึกหน่วงในอก

ทุกอย่างมันเป็นเพียงแค่ความฝัน นาคามูระ เรย์ไม่ใช่ผู้ชายที่ใครจะเป็นเจ้าของได้ง่ายๆ โดยเฉพาะเขา นั่นยังไม่รวมถึงข้างกายของนาคามูระ เรย์ไม่มีที่ว่างเหลือสำหรับเขาอีกเช่นกัน เจ้าของหัวใจของชายหนุ่มที่เขาแอบหลงรักคืออาโอกิ นาโอโตะดาวเด่นที่ใครๆก็รู้จัก เขาทั้งคู่เหมาะสมและคู่ควรกันจนไม่มีใครกล้าเข้าไปแทรก ฮารุโตะได้แต่มองตามอีกฝ่ายโดยเก็บความรู้สึกนี้ไว้กับตัว

เด็กหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง ความสุขล่องลอยหายไปจนแทบไม่มีเหลือ.....



ฮารุโตะไปมหาวิทยาลัยด้วยชุดเสื้อผ้าเก่าๆเดิมๆที่เคยสวมใส่มาเนิ่นนาน เขาก้มหน้าก้มตาเดินย่ำเท้าไปตามทาง ไม่กล้าเงยหน้าเพื่อพบเจอกับสายตาดูถูกเหยียดหยามหรือหัวเราะขำขันที่มองเขาเป็นตัวตลก ขณะเดินตรงไปเรื่อยๆเขาจำต้องหยุดชะงักเมื่อถูกขวางทาง หลังจากเหลือบสายตาขึ้นมอง ยังไม่ทันได้เอ่ยทักทายอีกฝ่ายกลับพูดกับเขาก่อน

“ทำไมมาด้วยชุดแบบนี้อีกแล้วล่ะ”

“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมคิดไม่ออกว่าควรแต่งตัวอย่างไรก็เลย...”ฮารุโตะตอบพลางนึกย้อนไปถึงช่วงหลายเดือนก่อนหน้านี้ หลังจากที่เขาพยายามขวนขวายเพื่อให้ได้อยู่ใกล้ชิดกับนาคามูระ เรย์ เขาจึงได้พาตัวเองมาสมัครในชมรมถ่ายภาพ ...เพื่อให้ตัวเองได้รับรู้ความจริงที่แสนเจ็บปวด

รุ่นพี่อาโอกิผู้แสนใจดีคอยดูแลห่วงใยเอาใจใส่อย่างที่เขาไม่เคยได้รับมาก่อน จนบางครั้งเขาคิดว่าอีกฝ่ายเสแสร้งแกล้งทำไปอย่างนั้น แต่ทุกครั้งที่เขามองลึกเข้าไปในดวงตาเรียวรี เขากลับไม่เห็นคำโกหกอยู่ในนั้น และเป็นเขาเองที่ต้องหลบเลี่ยงสายตาทุกครั้งไป

เขาถูกสอน ถูกฝึก และถูกจับแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแบบอื่นที่ไม่ใช่แค่เสื้อยืด สเวตเตอร์สีน้ำตาลหรือสีน้ำเงิน หลายครั้งที่เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตุ๊กตา แต่อดยอมรับไม่ได้ว่ายามที่เขามองเห็นตัวเองในกระจกด้วยเสื้อผ้าหลากชิ้นแปลกตา  หัวใจของเขาพองฟูอย่างมีความสุขทุกครั้ง แต่ฮารุโตะรู้ตัวดีว่านั้นไม่ใช่โลกของเขา

“มานี่เลย พี่เคยบอกแล้วไม่ใช่หรือ การแต่งตัวทำให้เราดูสดใส ดูมีเสน่ห์ เด็กลงหรือแก่ขึ้นได้ทั้งนั้น นายน่ะดูมืดมนตลอดเวลาก็เพราะไม่ยอมแต่งตัว ซ้ำยังเดินก้มหน้าก้มตาอีก”

ฮารุโตะปล่อยให้นาโอโตะจับเขาแต่งตัวตามที่อีกฝ่ายต้องการ หลังจากสวมใส่เสื้อผ้าที่นาโอโตะจัดมาให้ เขายังถูกจับแต่งหน้าทำผมด้วย นับว่าเขายังมีโชคอยู่บ้างที่การเจอกันกับซากุราอิ ชุนเมื่อวานไม่เหลือทิ้งร่องรอยใดๆไว้บนใบหน้า ทุกครั้งที่โดนรังแกฮารุโตะจะพยายามบังหน้าตัวเองไว้ ไม่ใช่เพราะกลัวว่าหน้าตาจะน่ารังเกียจไปกว่าเดิม แต่เพราะเขาไม่อยากตอบคำถามของใครทั้งนั้นมากกว่า เด็กหนุ่มมองตามคนที่กำลังจับไดร์เป่าผม ทั้งที่ฝ่ายนั้นเพียงแค่สวมเสื้อแจ็กเกตทับเสื้อยืดสีส้มธรรมดาเท่านั้นแต่กับดูเปล่งประกายมากกว่าเขาที่พยายามประโคมแต่งตัวเสียอีก

“รุ่นพี่”

“หืม”นาโอโตะปิดสวิตช์ไดร์เป่าผมที่อยู่ในมือเพื่อให้เสียงรบกวนเงียบลง มองหน้าเขาผ่านกระจกอย่างตั้งใจฟัง

“ผมว่า...”ฮารุโตะอึกอัก เขาไม่กล้าบอกว่าเขาไม่อยากแต่งตัวใดๆทั้งสิ้น ไม่อยากดูแปลกแตกต่างไปจากเดิม อยากดูหม่นหมองอย่างที่อีกฝ่ายว่าไปอย่างนี้ทุกวันๆ เขาก้มมองมือตัวเอง บีบจิกนิ้วมือจนเป็นรอย

“ผมไม่เหมาะกับการแต่งตัวแบบนี้หรอกครับ”เขาโพล่งสิ่งที่อยู่ในใจออกมาทั้งหมดในคราวเดียว รู้สึกเหน็ดเหนื่อยราวกับใช้เรี่ยวแรงไปมหาศาล

“ทำไมล่ะ นายไม่มีคนที่แอบชอบหรืออยากให้ใครมาชอบบ้างหรือ”นาโอโตะเอ่ยถาม วางไดร์เป่าผมและหวีไว้ที่โต๊ะหน้ากระจก หมุนเก้าอี้ที่รุ่นน้องนั่งให้หันมาเผชิญหน้าสบตากับตน ฮารุโตะมักจะก้มหน้าเสมอ ชายหนุ่มรุ่นพี่จึงต้องจับใบหน้าใสนั้นให้เงยขึ้น

ฮารุโตะไม่ตอบ เขาได้แต่คิดว่า ถ้าเมื่อไหร่ที่รุ่นพี่อาโอกิรู้ว่าคนที่เขาชอบเป็นใคร คนตรงหน้าคงต้องมองอย่างเดียดฉันท์ เห็นเขาเป็นศัตรู ถึงแม้เด็กหนุ่มจะรู้สึกชอบรุ่นพี่นาคามูระ เรย์มากแค่ไหน แต่เขาไม่อยากสูญเสียตำแหน่งดีๆนี้ไป เขาซึ่งไม่ค่อยมีใครมาเอ็นดูกลับได้รับการเอาใจใส่จากคนดังของมหาวิทยาลัยอย่างอาโอกิ นาโอโตะ แม้แต่ตัวเขาเองยังรู้สึกอิจฉาตัวเองในตอนนี้เลย

“ไม่มีหรอกครับ ...เรื่องแบบนั้น ถึงจะพยายามเปลี่ยนแปลงมากสักเท่าไหร่ ก็ไม่มีใครอยากจะหันมามองผมหรอก”แต่สุดท้ายก็อดไม่ได้ เขาถึงได้พูดถึงเรื่องที่น่าท้อแท้แบบนั้นออกไป

“งั้นก็ตามใจนาย พี่ผิดเองที่ยุ่งวุ่นวายกับนายไม่เข้าเรื่อง”นาโอโตะพูดอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะเดินออกจากห้องไป ทิ้งฮารุโตะให้นั่งโดดเดี่ยวอยู่คนเดียวในห้องที่แสบเงียบ เช้าวันนั้นที่ห้องชมรมไม่มีใคร ทั้งที่ปกติแล้วช่วงเช้าจะต้องมีกลุ่มของรุ่นพี่อาโอกิขึ้นมาบนห้องบ้าง ฮารุโตะก้มหน้าแล้วถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ลุกเดินออกจากห้องที่แสนเงียบเหงาแห่งนี้



ฮารุโตะกลับขึ้นมาบนห้องชมรมถ่ายภาพที่อยู่ชั้นสามอีกครั้งเมื่อหมดเวลาเรียนในช่วงบ่าย ทั้งห้องยังคงเงียบกริบเหมือนเมื่อเช้าตอนที่เขาจากไป วันนี้คงไม่มีลูกค้าหรือไม่ทุกคนคงต่างรับงานนอก

ห้องชมรมนอกจากจะเป็นที่สิงสถิตของเหล่าสมาชิกยังเป็นออฟฟิศสำหรับธุรกิจที่นาโอโตะกับเรย์คิดขึ้น หนุ่มรุ่นพี่ทั้งสองคนกำหนดกิจกรรมให้สมาชิกชมรมรับถ่ายภาพให้บุคคลอื่นเหมือนกับที่สตูดิโอในเมืองทำกัน แต่ราคาย่อมเยากว่า ส่วนหนึ่งของห้องชมรมจึงจัดเป็นสตูดิโอ และห้องแต่งตัว เสื้อผ้าที่ฮารุโตะใส่อยู่ในวันนี้ก็เป็นหนึ่งในชุดที่ให้ลูกค้าได้เลือกใส่  เด็กหนุ่มกำลังจะก้าวออกจากห้องอยู่แล้วถ้าเขาไม่เห็นร่างสูงของนาคามูระ เรย์นอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟาริมหน้าต่างเสียก่อน

เขาเดินเข้าไปใกล้  ใบหน้ายามหลับของรุ่นพี่ร่างสูงยังคงน่ามองไม่เปลี่ยนแปลง ตอนนี้คงเป็นช่วงเวลาเดียวที่เขากล้ามองใบหน้านี้ตรงๆ ความรู้สึกที่ว่าไม่สามารถครอบครองได้สะท้อนขึ้นมาในอกทำให้เขาปวดแปลบกับมัน

หลายครั้งที่เขาอิจฉากับความเพียบพร้อมสมบูรณ์ของรุ่นพี่อาโอกิ ความเพียบพร้อมสมบูรณ์ที่คู่ควรกับรุ่นพี่นาคามูระที่เขาหลงรัก ความเพียบพร้อมที่ไม่ว่าเขาจะพยายามสักเท่าไหร่ก็ไม่อาจเทียบเคียงได้

ลูกเป็ด...ต้องเติบโตมาเป็นเป็ดไม่มีวันที่จะกลายเป็นหงส์ได้ เรื่องนั้นเขารู้ดีที่สุด แต่กระนั้นฮารุโตะยังคิดว่า ...ถ้าเป็นไปได้ก็ขอแค่สักครั้งที่เขาจะได้มีโอกาสครอบครองผู้ชายคนนี้

ขณะที่เขากำลังโน้มหน้าลงเพื่อสัมผัสริมฝีปากของคนที่นอนหลับอยู่นั่นเอง เสียงกระแอมไอก็ดังขึ้น ฮารุโตะเด้งตัวลุกขึ้นยืนในทันใด ในอกของเขาเต้นรัวยามที่หันไปมองเจ้าของเสียงนั้น ใบหน้าของรุ่นพี่ชิมิซึเครียดขึ้ง นัยน์ตาสีเข้มเปล่งประกายแปลกประหลาด ลมหายใจของฮารุโตะติดขัดขึ้นมาทันทีและก่อนที่สมองจะทันได้คิดใดๆ สองขาก็พยายามพาร่างกายออกจากห้อง หากเพียงยังไม่ทันก้าวพ้นไปไหน ท่อนแขนกลับถูกมือแกร่งคว้าจับและบีบรั้ง เขาถูกลากให้เดินไปยังห้องน้ำที่อยู่สุดทางเดิน ถูกเหวี่ยงเข้ากระแทกกับประตูด้านในของห้องน้ำ ทั้งหลังเจ็บจนร้าว ปลายคางถูกร่างสูงบีบแน่นจนเจ็บ

“สรุปว่าอย่างไรก็จะเอาให้ได้สินะ”

ฮารุโตะพยายามจะส่ายหน้าปฏิเสธ น้ำเสียงของคนพูดเยียบเย็นยิ่งกว่าเวลาปกติเป็นร้อยเท่า ในเวลานี้ความตระหนกหวั่นกลัวมีมากมายจนจำไม่ได้ว่า ครั้งหนึ่งอีกฝ่ายได้เคยเสนอตัวยื่นมือเข้ามาช่วยเขาแย่งนาคามูระ เรย์มาจากอาโอกิ นาโอโตะ

“นายคิดว่าสองคนนั้นจะเลิกกันง่ายๆอย่างนั้นหรือ”

“ผ...ผม...เปล่า”ฮารุโตะพยายามเค้นเส้นเสียงออกมาตอบปฏิเสธ เขาอาจจะเคยมีความคิดชั่วร้ายต่างๆนานา แต่ไม่เคยกล้าหาญพอที่จะทำลายความสัมพันธ์ของทั้งคู่ด้วยมือของตนเอง

“คิดว่าจะใช้หน้าเซ่อๆนั่นมาหลอกฉันได้อย่างนั้นหรือไง”คนพูดแค่นเสียงต่ำ ฮารุโตะไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรถึงจะผ่านพ้นจากเหตุการณ์นี้

การถูกทำร้ายยังไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่รุ่นพี่ชิมิซึคงไม่เก็บเรื่องนี้ไว้เงียบๆ ฮารุโตะไม่อยากเห็นสายตาผิดหวังเสียใจจากรุ่นพี่คนอื่นๆ และเขายังไม่อยากถูกระเห็จออกจากชมรม เขาไม่รู้จะทำอย่างไรดีจริงๆได้แต่ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา เหมือนแรงบีบที่ปลายคางจะชะงักและผ่อนลง ฮารุโตะคงทรุดลงไปกองกับพื้นถ้าซากิไม่พยุงไว้

วินาทีต่อมาเขาต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ สัมผัสนุ่มนวลอ้อยอิ่งอยู่แถวริมฝีปาก มันทำให้เขาลืมหายใจ สมองขาวโพลนยิ่งกว่าเมื่อครู่ เขาไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆชายหนุ่มถึงจูบเขา แม้ว่าพวกเขาทั้งคู่จะเคยเกินเลยมากกว่าจูบไปแล้วก็ตามแต่พักหลังมานี้รุ่นพี่ชิมิซึไม่เคยเข้ามายุ่งวุ่นวายกับเขาอีกเลย จนเด็กหนุ่มคิดว่าเรื่องราวเหล่านั้นคงจะจบลงแล้ว

ชายหนุ่มรุกรานเข้ามาถึงด้านใน ขยับเกี่ยวกระหวัดดูดดึงเหมือนพยายามให้คล้อยตาม ซอกซอนลึกเข้าไปเหมือนกำลังจะกลืนกิน ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่กว่าที่ฮารุโตะจะรู้สึกตัว เขาผลักร่างสูงกว่าออก หอบหายใจจนตัวโยน หัวใจในอกเต้นระรัว ก่อนจะตั้งสติได้ร่างกายของเขาได้ดึงเปิดประตู สองขาพาวิ่งออกจากห้องน้ำไปอย่างรวดเร็ว

เขาไม่รู้ว่าตัวเองกำลังจะไปไหนหรือวิ่งไปในทิศทางใด รู้สึกสับสนกับทิศทาง สับสนกับทุกอย่าง แม้กระทั่งความรู้สึกของตัวเอง แทนที่จะเฉยชามันกลับไม่ใช่ หยาดน้ำตาที่เคยแห้งเหือดหายไปไหลออกมาอีกครั้ง ความรู้สึกมากมายสับสนปนเปจนยากจะแยกแยะ ฮารุโตะทรุดตัวนั่งลงกับพื้นปล่อยให้น้ำตาไหลไป... ไหลไป... โดยไม่สนใจผู้ใด



หลายวันมาแล้วที่ฮารุโตะไม่ได้ก้าวเข้าไปที่ห้องชมรมอีกเลย เขาไม่กล้าไปด้วยสาเหตุหลายๆอย่าง ทั้งที่ควรจะไปอย่างน้อยเพื่อขอโทษรุ่นพี่อาโอกิ ไปเผชิญหน้าเพื่อรับโทษทัณฑ์ในความชั่วร้ายของตนแต่เขาอยากจะขอเวลาทำใจ

ในที่สุดความฝันก็จบลง ความรักครั้งแรกในชีวิต คนที่คอยห่วงใยเอาใจใส่ ทุกอย่างสูญสิ้นไปภายในวันเดียว ฮารุโตะคิดอย่างหม่นหมองขณะทำงานพิเศษ

“ฮารุจังเป็นอะไรไป หน้าตาดูไม่เสบยเลยนะ”เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าเรียวตะกำลังยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์

“รุ่นพี่”เขาร้องออกไปด้วยความแปลกใจ

“อืม...ฉันเอง ว่าแต่ช่วงนี้ทำไมนายถึงไม่ไปที่ชมรมเลยล่ะ เกิดอะไรขึ้นหรือ”

“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมต้องทำงานหาเงินมาซื้อเลนส์ใหม่ให้รุ่นพี่ชิมิซึแทนอันที่ผมทำร้าวไปนี่นา”เขาตอบอย่างรวดเร็วพร้อมรอยยิ้มน้อยๆอย่างดีใจ แม้จะนึกสงสัยอยู่บ้างก็ตาม ชิมิซึ ซากิไม่ได้บอกอะไรให้รุ่นพี่ฮายาชิฟังหรืออย่างไร คนตรงหน้าถึงยังทักทายเขาด้วยดีอย่างนี้

“รุ่นพี่ชิมิซึไม่ได้พูดอะไรหรือครับ”

“หืม พูดอะไรล่ะ”

“เอ่อ... ผมทำบางอย่างที่ไม่ดีไว้”ฮารุโตะตอบเสียงเบา

“ไม่เห็นมีนี่ จะมีก็แต่นาโอโตะน่ะแหละ ดูซึมๆแล้วบ่นถึงนายด้วย เห็นพูดว่าเพราะตัวเองทำให้นายโกรธ นายเลยไม่มาที่ชมรมอีก”

“ผมนะหรือ ไม่มีนะครับ ผมไม่เคยโกรธรุ่นพี่อาโอกิเลย”ร่างเล็กบางรีบตอบปฏิเสธ

“งั้นหรือ ถ้าไม่มีก็อย่าหายหน้าไปจากชมรมสิ พรุ่งนี้นายก็โผล่ไปที่ชมรมด้วยนะ”เรียวตะบอก “อืมเกือบลืมแหนะเรื่องเลนส์ เดี๋ยวฉันกับเอคิจิจะช่วยออกเงินด้วย ถ้าหารสามคงเบาแรงนายหน่อย”

“ไม่ต้องก็ได้ครับ ผมหาเองได้ นี่ใกล้จะครบอยู่แล้ว”

“ได้อย่างไรกัน ถึงซากิจะพูดไว้แบบนั้นแต่พวกฉันสองคนก็มีส่วนร่วมในการทำของๆมันร้าวเหมือนกัน จะให้นายรับผิดชอบคนเดียวได้ไง”หนุ่มรุ่นพี่พูด ฮารุโตะจึงยิ้มตอบ “ตกลงตามนี้นะ”

“ครับ”

“อะนี่ คิดเงินด้วย”เรียวตะส่งขนมสองสามห่อให้คนที่อยู่หลังเคาน์เตอร์คิดเงิน เสร็จเรียบร้อยจึงโบกมือลาเดินออกจากร้านไป ฮารุโตะยิ้มดีใจที่เรื่องราวยังไม่เลวร้ายเหมือนที่เขาคิดไว้ รู้สึกโล่งใจจนสามารถยิ้มให้กับลูกค้าทุกคนได้ตลอดเวลา พลางตั้งใจว่าพรุ่งนี้เขาจะไปที่ชมรมแต่เช้า



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-11-2017 20:50:23 โดย ตีสี่ »

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 6 : 16/Feb/2017
«ตอบ #26 เมื่อ16-02-2017 00:29:51 »

ฮารุโตะเปิดประตูห้องชมรมที่อยู่ชั้นสามเข้าไปพร้อมรอยยิ้มน้อยๆและเสียงทักทาย ก่อนจะเดินเข้าไปหานาโอโตะ

“ผมขอโทษครับที่หายไปนาน แล้วต้องขอโทษรุ่นพี่เรื่องในวันนั้นด้วย”

“ฉันต่างหากที่ควรเป็นฝ่ายพูดขอโทษ ที่ไปเจ้ากี้เจ้าการอยากให้นายเป็นอย่างโน้นเป็นอย่างนี้”นาโอโตะพูดด้วยความรู้สึกสำนึกผิด พลางจับมือเขาไว้

“ไม่เลยครับ ไม่ใช่อย่างนั้นเลย ผมรู้ว่ารุ่นพี่หวังดี”ฮารุโตะคิดเช่นนั้นจริงๆ และที่น่าแปลกคือความรู้สึกอิจฉาที่อยู่ในใจลึกๆมันจางหายไปอย่างไม่น่าเชื่อ ตอนนี้ภายในใจของเขาคงเหลือแต่ความเคารพชื่นชมที่มีต่อนาโอโตะอย่างจริงใจ

“ทีนี้ก็หายกลุ้มใจได้แล้วนะนาโอโตะ”เรย์เอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เขาก้าวเข้ามาในห้อง มองเขาด้วยรอยยิ้มเอ็นดูไม่ต่างจากรุ่นพี่อาโอกิ

ฮารุโตะยิ้มตอบ มองหน้าคนทั้งสองสลับกัน เขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าระหว่างคนทั้งคู่ไม่ช่องว่างให้เขาสามารถเข้าไปแทรกได้ เพราะคอยมองอยู่เสมอ แม้จะไม่มีการแสดงความรักให้คนอื่นๆได้เห็น หากฮารุโตะรู้ว่าในแววตาของเรย์มีแต่นาโอโตะคนเดียว ถึงจะรู้สึกเจ็บวาบในอกอยู่บ้างยามที่คิดเช่นนั้น แต่เขาทำใจยอมรับมันได้มากขึ้น แค่เพียงทีละนิดก็เป็นเรื่องน่ายินดี สักวันเขาคงจะสามารถยิ้มให้คนทั้งคู่อย่างจริงใจ

“อุซ อรุณสวัสดิ์”

เสียงทักดังเข้ามาให้ได้ยินก่อนเจ้าตัวจะเดินเข้ามาในห้อง ทำให้คนทั้งสามหันไปมอง ฮารุโตะตัวแข็งทื่อทันทีที่เห็นว่าในกลุ่มบุคคลที่เพิ่งเดินเข้ามานั้นมีชิมิซึ ซากิรวมอยู่ด้วย เขาพยายามอยู่ครู่ใหญ่จึงเอ่ยทักทายตอบกลับไปจนคนอื่นๆนึกสงสัย หากชายหนุ่มรุ่นน้องรีบบอกอย่างรวดเร็วว่ามีเรียนตอนเช้า ก่อนขอตัวปลีกออกไป ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่กระนั้นบรรยากาศผิดปกติก็เป็นสิ่งที่รับรู้ได้ ด้วยเหตุนี้เรย์จึงตะโกนไล่หลังรุ่นน้องไปว่า

“บ่ายนี้เป็นเวรนายนะ”

ฮารุโตะหันกลับมาผงกศีรษะรับคำ “ครับ” แม้จะสงสัยอยู่บ้างกับการที่รุ่นพี่นาคามูระมาพูดย้ำเรื่องเวลาการทำงานทั้งที่ปกติเรื่องรายละเอียดปลีกย่อย รุ่นพี่อาโอกิจะเป็นฝ่ายจัดการเกือบทั้งหมดแต่เพราะตารางเวรวันนี้เป็นของเขาอยู่แล้ว จึงไม่คิดจะถามอะไรต่อ เมื่อสบตากับชิมิซึ ซากิจึงรีบหลบสายตาหันหลังกลับอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ฮารุโตะออกไปแล้วเรย์จึงหันมาพูดกับซากิ

“วันนี้นายถ่ายแล้วกันนะ มีลูกค้าสองราย รายชื่ออยู่บนบอร์ด”

คู่สนทนารับคำอย่างว่าง่าย สีหน้าเรียบเฉยอย่างปกติยามที่เดินไปนั่งที่ประจำแล้วหยิบกล้องตัวโปรดขึ้นมาเช็ดถู ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบเป็นครู่ใหญ่ ก่อนที่จะมีใครสักคนได้สติแล้วกิจวัตรต่างๆได้ดำเนินไป



ตอนที่ฮารุโตะกลับมาที่ห้องชมรมหลังหมดชั่วโมงเรียน  ในห้องชมรมว่างเปล่าไม่มีสมาชิกคนใด เขาอ่านตารางงานบนบอร์ดเห็นมีแค่สองรายที่กำหนดสถานที่ไว้ในห้องชมรม เห็นเช่นนั้นจึงพอเดาได้ว่าวันนี้อาจจะไม่มีสมาชิกคนไหนมาที่ชมรมอีก ช่วงที่รุ่นพี่นาคามูระกับรุ่นพี่อาโอกิคิดโปรเจกต์โปรโมตการถ่ายภาพจะเป็นช่วงที่มีงานชุกชุม พอมีวันว่างเหล่าสมาชิกที่เป็นช่างภาพของชมรมจึงหายไปไม่มีเหลือ

เขาจึงเตรียมของต่างๆ เซตไฟเซตฉากรอไว้ ช่วงที่เขาเพิ่งเข้าชมรมมาแรกๆ เขาเป็นแค่ลูกมือที่หยิบจับข้าวของตามคำสั่งของรุ่นพี่หรือสมาชิกคนอื่น 

ไม่นานนักคนที่จองถ่ายภาพรายแรกก็มาถึง เป็นเด็กผู้หญิงที่เรียนคณะบริหารสองคน ฮารุโตะเขียนรายละเอียดของลูกค้าลงในสมุดบันทึก และพาทั้งสองคนไปเลือกเสื้อผ้าพร้อมทั้งแต่งตัวแต่งหน้า

การแต่งหน้าให้ผู้หญิงทั้งสองคนด้วยเพียงตัวคนเดียวยังเป็นเรื่องที่ยากลำบากสำหรับฮารุโตะ เพราะนอกจากจะต้องแต่งให้สวยแล้วยังต้องแต่งให้เร็วอีกด้วย ฝีมือของเขายังห่างชั้นจากรุ่นพี่อาโอกิอยู่มาก แต่จะรอให้รุ่นพี่มาถึงแล้วจึงเริ่มแต่งก็เป็นไปไม่ได้ เพราะมีโอกาสเป็นไปได้สูงว่า การทำงานของวันนี้จะมีแค่เขากับช่างกล้องอีกคนเท่านั้น ฮารุโตะจึงได้แต่พยายามตั้งใจแต่งหน้าให้ลูกค้าให้ดีที่สุด

เด็กหนุ่มร่างเล็กบางได้มีโอกาสหันไปมองช่างกล้องซึ่งเป็นเวรถ่ายภาพวันนี้หลังจากที่ลูกค้าทั้งสองคนแต่งตัวเสร็จแล้ว เขาถึงกับทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ  หากจำต้องก้าวเข้าไปหาเผื่อหนุ่มรุ่นพี่จะเรียกใช้อะไร ฮารุโตะยืนเยื้องมาทางด้านหลังของซากิเล็กน้อย มองดูชายหนุ่มที่กดชัตเตอร์อย่างมืออาชีพ

ฮารุโตะไม่เข้าใจเลย ทั้งที่น่าจะเกลียดเขาแต่ทำไมหนุ่มรุ่นพี่ถึงทำเช่นนั้น เป็นเขาจะสามารถจูบกับคนที่รู้สึกเกลียดได้อย่างนั้นหรือ ...เรื่องแบบนั้นไม่มีทางเป็นไปได้เลย

ลูกค้าอีกรายมาถึงห้องชมรมตอนที่ซากิน่าจะถ่ายภาพของสองสาวคณะบริหารไปได้สักสิบกว่าภาพ ฮารุโตะจึงทิ้งความคิดวุ่นวายนั่นไว้ก่อน และหันมาตั้งสติมีสมาธิตั้งใจทำงานในหน้าที่ของตน

กว่าจะถ่ายภาพและเก็บของเสร็จเป็นเวลาห้าโมงกว่าๆ ฮารุโตะนำเสื้อผ้าที่ต้องส่งซักใส่ถุง เตรียมส่งให้ร้านซักรีดส่วนเรื่องภาพถ่ายเป็นหน้าที่รับผิดชอบของช่างภาพของงานนั้นๆอยู่แล้ว

“ไปกินข้าวด้วยกันก่อนไหม”คนชวนพูดด้วยหน้าตาเฉยๆเหมือนเป็นเรื่องปกติขณะที่ฮารุโตะกำลังหอบถุงเสื้อออกจากห้อง

“เอ่อ...”เขาแปลกใจ ถ้าอีกฝ่ายเข้ามาจู่โจมและลากเขาไปที่ลับตาคนที่ไหนสักแห่ง เด็กหนุ่มยังรู้สึกว่ามันปกติเสียมากกว่า

“รู้สึกว่าฉันจะเป็นที่น่ารังเกียจสำหรับนายมากสินะ”ซากิแค่นเสียงขึ้นจมูกเพราะเห็นฝ่ายตรงข้ามทำท่าลังเล เมื่ออีกฝ่ายเดินเข้าไปใกล้ ฮารุโตะต้องถอยหลังห่างออกไปเล็กน้อยเพราะแรงกดดันที่แผ่ออกมาจากหนุ่มรุ่นพี่ตรงหน้า หากนัยน์ตาสีเข้มกลับฉายแววประหลาดที่ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกไหวระริกในอก

ฮารุโตะเสหลบสายตาลง “ผมต่างหากที่เป็นฝ่ายที่ต้องพูดอย่างนั้น รุ่นพี่ไม่ใช่หรือครับที่รังเกียจผม”คนพูดเสียงสั่น แม้แต่มือที่ถือของต่างๆอยู่ยังสั่นน้อยๆ

จังหวะนั้นเองร่างของฮารุโตะได้ถูกรวบเข้าไปไว้ในอ้อมกอดของซากิ เขาถูกบังคับให้รับสัมผัสของร่างสูงอีกครั้ง ฮารุโตะตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ทั้งที่ควรจะเคยชินกับการถูกคุกคามอย่างรวดเร็วเช่นนี้และทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังคิดว่านี่คือการกระทำอันปกติของหนุ่มรุ่นพี่ แต่เขายังคงตระหนกจนปล่อยให้ถุงที่ใส่เสื้อผ้าซึ่งตนถืออยู่ตกลงบนพื้น ร่างสูงขบย้ำริมฝีปากล่างซ้ำๆ ก่อนจะใช้ปลายลิ้นไล้ไปตามแนวไรฟัน ฮารุโตะยังคงกัดฟันแน่น

“ถ้าฉันรังเกียจนายคงไม่จูบนายแบบนี้”ซากิเอ่ยกระซิบที่ข้างหู “หรือว่านายยอมจูบกับคนที่ตัวเองรังเกียจ”แล้วฉวยโอกาสตอนที่ฮารุโตะอ้าปากจะพูดอะไรบางอย่างประกบจูบซ้ำ แทรกปลายลิ้นเข้ารุกเร้าอย่างรวดเร็ว คลุกเคล้าดูดดึงความหวานล้ำจนร่างในอ้อมกอดเริ่มอ่อนระทวย ร่างกายที่เคยเกร็งขืนโอนอ่อน สองมือบางขยำดึงเสื้อของซากิไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยว เสียงครางเครือดังลอดออกมาเป็นระยะ ซากิคงไม่ปล่อยฮารุโตะง่ายๆ ถ้าร่างเพรียวบางในอ้อมกอดไม่ทำท่าเหมือนจะขาดใจ

“เวลาที่จูบอย่ากลั้นหายใจรู้ไหม”เสียงกระซิบพร้อมลมร้อนที่ริมใบหูทำให้ฮารุโตะขนลุกซู่ ผละตัวออกจากอ้อมกอดของอีกฝ่ายโดยไว ซากิจุดยิ้มที่มุมปาก นัยน์ตาเป็นประกายวาวมองมาที่เขา

“นายต่างหากที่เป็นฝ่ายรังเกียจฉัน”แม้จะรับรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามพูดอะไร แต่สมองของฮารุโตะมึนเบลอจนไม่รู้ความหมายของมัน เขาก้มศีรษะให้ผู้สูงวัยกว่าหมุนตัวหันหลังกลับ หากต้องชะงักแล้วหันกลับมาเพื่อหยิบถุงเสื้อผ้าอีกครั้ง โค้งให้ซากิซ้ำก่อนจะรีบวิ่งออกจากห้องไป

ฮารุโตะหยุดยืนพักหลังจากวิ่งมาจนเหนื่อย สมองหวนคิดถึงจูบของซากิพร้อมยกมือขึ้นแตะริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว หัวใจยังคงเต้นระรัว ยังรู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าว หนุ่มรุ่นพี่พูดว่าถ้ารังเกียจคงไม่จูบเขา นั่นหมายความว่ารุ่นพี่ชิมิซึชอบเขาอย่างนั้นหรือ ไม่น่าเป็นไปได้เลย ฮารุโตะคิด ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมารุ่นพี่ชิมิซึไม่เคยแสดงท่าทีอะไรเลย ต่อให้นอนด้วยกันหรือการที่ชายหนุ่มร่างสูงกอดเขาไว้ก็ตาม กระนั้นในทุกการกระทำจึงมีแต่ความเย็นชาแห้งแล้ง มีแต่คำพูดที่ทำให้เขาเจ็บช้ำ รุ่นพี่ชิมิซึชอบเขาอย่างนั้นหรือ ฮารุโตะสั่นศีรษะกับความคิดนี้ของตนเอง เรื่องเหลือเชื่อแบบนั้นเป็นไปไม่ได้หรอก

ฮารุโตะครุ่นคิดตลอดทั้งคืนกับการกระทำของซากิเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีเจตนาอะไรกันแน่ เขาพยายามนึกถึงความเป็นไปได้หลายๆทาง อีกฝ่ายเคยตอบคำถามของเขาไว้ว่า ‘ที่ทำเพราะอยากทำ’ และเขาก็ทำใจยอมรับมันง่ายๆ เพราะไม่เจอหนทางที่จะขัดขืนแต่คราวนี้มันไม่ใช่ ฮารุโตะไม่อยากจะยอมรับว่าหัวใจของเขากำลังโอนเอียงสั่นไหว เขาไม่อยากคาดหวังและต้องผิดหวังซ้ำๆ

เด็กหนุ่มสะบัดศีรษะไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป ไม่มีทางที่รุ่นพี่จะคิดอะไรกับเขา รุ่นพี่ชิมิซึคงกำลังพยายามหลอกเขาอยู่ รุ่นพี่กำลังพยายามทำให้เขาตายใจ หากเพื่อผลประโยชน์อะไรนั้นเขายังไม่รู้ ฮารุโตะนึกถึงเรื่องในสมัยก่อน เคยมีคนแอบเอาจดหมายรักมาใส่ไว้ในตู้รองเท้า ให้เขาไปตามนัดโดยที่ทั้งหมดเป็นการแกล้งเขาเล่น มันอาจเป็นแบบนั้น นี่อาจจะเป็นเรื่องสนุกของหนุ่มรุ่นพี่ก็เป็นได้

เด็กหนุ่มถอนหายใจ แย่ตรงที่เขาไม่ฉลาดพอที่จะคิดหาคิดหาวิธีการรับมือกับเรื่องราวครั้งนี้ ซ้ำยังเดาไม่ออกว่าซากิจะทำอะไรต่อไป ฮารุโตะจึงได้แต่พร่ำบ่นในความโชคร้ายของตน.....



หิมะแรกของปีตกลงมาแล้ว ตกลงมาในวันที่ยี่สิบสาม คู่รักหลายๆคู่คงจะนึกเสียดาย ถ้าหิมะแรกตกในวันคริสต์มาสอีฟมันจะเป็นเรื่องที่แสนโรแมนติก ถึงอย่างนั้นมันคงไม่เกี่ยวกับรุ่นพี่อาโอกิและรุ่นพี่นาคามูระ ฮารุโตะคิดว่าน่าจะยกตำแหน่งคู่รักแปลกประหลาดแห่งปีให้กับทั้งสองคนเพราะแทนที่จะสนใจเรื่องเดตกลับคิดโครงการเพื่อหาเงินเข้าชมรมอย่างไม่หยุดไม่หย่อน

ทันทีที่เช้านี้เขาเหยียบเท้าเข้าไปที่ห้องชมรม รุ่นพี่อาโอกิได้ยื่นเอกสารให้เขาและเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกหลายคนปึกใหญ่ สั่งให้เอาไปแจกและปิดประกาศให้ทั่วมหาวิทยาลัย และต้องทำให้เสร็จภายในเที่ยงนี้ รุ่นพี่นาคามูระกำลังประชุมนัดหมายกับคนอื่นในชมรมที่ได้ชื่อว่ามีฝีมือ สำหรับคนที่ยังฝึกปรือฝีมือจะได้รับงานแบบเขา

ฮารุโตะเผลอเหลือบสายตาไปมองซากิอย่างไม่ตั้งใจ ชายหนุ่มนั่งฟังรุ่นพี่นาคามูระด้วยใบหน้าเรียบเฉยเหมือนปกติ ใบหน้าใสร้อนรื้นแดงเรื่อขึ้นมาเมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เป็นจังหวะเดียวกับที่ซากิหันมา ฮารุโตะก้มหน้าหลบสายตาลงอย่างรวดเร็ว

“หน้าแดงๆนะฮารุจัง ไม่สบายหรือเปล่า”นาโอโตะเอ่ยถาม ฮารุโตะรีบสั่นศีรษะปฏิเสธและขอตัวออกมา

อากาศหนาวเย็นภายนอกทำให้เขาสามารถสงบใจลงได้ ไอสีขาวพวยพุ่งเมื่อเด็กหนุ่มพ่นลมหายใจออกมา เพราะความรีบร้อนเขาจึงไม่ได้หยิบอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับติดป้ายประกาศบนบอร์ดมาด้วย ฮารุโตะถอนหายใจ ย่ำเท้าไปตามทาง ส่งบัวร์ชัวร์ให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา เดินไปเรื่อยๆจนมาหยุดอยู่แถวหน้าตึกใหญ่

วันนี้ยังเป็นวันเรียนอยู่ ช่วงหยุดฤดูหนาวจะเริ่มตั้งแต่วันนี้ยี่สิบห้าธันวาคมไปจนถึงวันที่เจ็ดมกราคมของปีหน้า แม้เช้าของวันที่อากาศหนาวจะมีคนมาเรียนน้อยแต่ฮารุโตะยังยืนแจกบัวร์ชัวร์ที่รุ่นพี่อาโอกิทำมาอย่างอดทน

“มิอุระ ทำไมมายืนอยู่แถวนี้ล่ะ”

คนถูกถามสะดุ้งเล็กน้อย มองตามสายตาของอีกฝ่ายซึ่งไปหยุดที่ปึกกระดาษในมือ

“นาโอโตะไม่ได้บอกให้นายมายืนตากอากาศเย็นอย่างนี้นะ”ซากิจับข้อมือบาง ลากฮารุโตะที่ออกอาการขืนตัวให้เดินตามเข้าไปในตัวตึก ร่างเล็กบางกว่ายังก้มหน้าลงต่ำกอดปึกบัวร์ชัวร์ไว้แน่น ทั้งอย่างนั้นแล้วยังเบี่ยงศีรษะหลบโดยอัตโนมัติตอนที่เขายื่นมือเข้าไปใกล้  ชายหนุ่มร่างสูงชะงักไปเล็กน้อยก็จริง หากยังยื่นมือเข้าไปปัดปุยหิมะที่อยู่บนผมสีน้ำตาลออกทองด้วยฝีมือการย้อมของนาโอโตะอย่างอ่อนโยน

ใช่...ฮารุโตะรู้สึกว่าฝ่ามือนั้นอ่อนโยนจริงๆ

“แก้มเย็นเฉียบเลย”ซากิวางมือประทับอยู่ที่ข้างแก้มของเขา หัวใจของฮารุโตะเต้นแรงโลดขึ้นมา คนตรงหน้าเลื่อนฝ่ามือใหญ่หนามาดึงเอาบัวร์ชัวร์ปึกหนาที่เขากอดไว้แน่นออกไปแล้วโยนมันลงกับพื้นอย่างไม่ไยดี

“เอ่อ... นั่นมัน...”

ซากิกุมมือของเขาไว้ ดึงความสนใจของเขากลับมาอยู่ที่คนตรงหน้า

“มือก็เย็น”พูดพร้อมกับเป่าไอร้อนให้มือที่เย็นเฉียบของเขา หัวใจของฮารุโตะเต้นแรงขึ้นเหมือนมันกำลังจะหลุดออกมา เสียงของมันดังโครมครามจนเขากลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน เจ้าของมือเล็กบางพยายามจะชักมือของตนกลับหากถูกยุดไว้ด้วยแรงที่เหนือกว่า

“เอ่อ... ผมทำเองได้ครับรุ่นพี่”ฮารุโตะพูดโดยหวังจะกลบเกลื่อนเสียงหัวใจของตนได้บ้างหากหนุ่มรุ่นพี่กลับทำเหมือนไม่ได้ยินไปซะอย่างนั้น ฮารุโตะได้แต่ก้มหน้าลง ...ไม่ใช่แค่มือแต่เขารู้สึกว่าความร้อนนั้นแล่นลามไปทั่วทั้งตัว

“ข...ขอบคุณครับ”ฮารุโตะค่อยๆดึงมือของตนกลับมาแล้วซ่อนมันไว้ด้านหลัง แม้จะก้มหน้าอยู่เช่นนี้ทว่ายังคงรู้สึกถึงสายตาของร่างสูงที่จับจ้องมาทางตน ซากิก้มหยิบบัวร์ชัวร์ที่พื้นขึ้นมา

“บัวร์ชัวร์พวกนี้ เอาไว้ที่ฉันแล้วกัน ส่วนนายน่ะไปเข้าเรียนได้แล้ว”

“แต่ว่า ผมยังแจกไม่หมดเลย”

“จะขัดคำสั่งของรุ่นพี่อย่างนั้นหรือ”

“แต่ว่านี่ ม..มันเป็นหน้าที่ของผม”ฮารุโตะฮึดพูดขึ้นบ้าง เขาไม่อยากทำให้รุ่นพี่อาโอกิผิดหวังในตัวเขา เพราะฉะนั้นไม่ว่าเรื่องอะไรที่รุ่นพี่ขอให้ทำ เขาต้องทำให้สำเร็จให้จงได้

“พรุ่งนี้ก็มีเรื่องที่นายต้องทำเหมือนกัน ถ้านายไม่สบายใครจะมาเป็นผู้ช่วยฉันล่ะ”

“เอ๊ะ...ผู้ช่วยของรุ่นพี่ ผมน่ะหรือ”

“ใช่ ฉันน่ะถ่ายภาพเป็นอย่างเดียว ทำอย่างอื่นไม่เป็นหรอกนะ”

ว่าแล้วเชียว... ฮารุโตะคิดในใจ จู่ๆรุ่นพี่ชิมิซึจะมาทำดีด้วยอย่างนี้มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอก คนใจร้ายอย่างนี้นะหรือจะทำดีกับคนอื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน

“ผมไม่ไปยืนตากหิมะแบบนั้นแล้วล่ะ เพราะฉะนั้นขอนี่คืนด้วยครับ”ฮารุโตะดึงปึกกระดาษกลับมาจากซากิอย่างรวดเร็ว โค้งศีรษะให้แล้วรีบวิ่งจากไปทันที ทิ้งอีกฝ่ายให้มองตามแผ่นหลังด้วยความฉุนไม่สบอารมณ์



เช้าวันถัดมาฮารุโตะเป็นหวัดนิดหน่อย ทั้งที่คิดว่าตนเองเป็นคนแข็งแรงแท้ๆ และอุตส่าห์คิดว่าตัวเองจะกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม แต่ทำไมต้องมาเป็นหวัดในวันแบบนี้ด้วยก็ไม่รู้

ไม่รู้ว่าจะโดนรุ่นพี่ชิมิซึว่าหรือเปล่า ไม่สิ...ร่างบางสลัดศีรษะไล่ความคิดนั้นไป แค่เราทำงานของเราได้ รุ่นพี่ก็ไม่มีทางมาว่าอะไรอยู่แล้ว...นั่นเป็นสิ่งที่ฮารุโตะคิด ขณะที่ยังส่งเสียงจามเบาๆไปตลอดทาง

วันคริสต์มาสอีฟมักจะเป็นวันที่ไม่ค่อยมีเรียน เพราะนักศึกษาส่วนใหญ่มันจะมีนัดเดตและยอมโดดเรียนจนคลาสเรียนโหรงเหรง อาจารย์บางท่านถึงได้สั่งหยุดคลาสไปเลย แม้จะคิดอยู่บ้างว่าแผนการของรุ่นพี่อาโอกิไม่น่าจะได้ผล เพราะจำนวนนักศึกษาที่โหรงเหรงนี่ล่ะ แต่อย่างว่า...อย่าดูถูกความคิดของรุ่นพี่ทั้งสองคนน่าจะดีกว่า

ฮารุโตะเปิดประตูห้องชมรมเข้าไป เป็นช่วงจังหวะพอดีที่เห็นว่านาโอโตะวางโทรศัพท์มือถือในมือลง ตามด้วยคำพูดที่ว่ามาถึงพอดีเลย เขาจึงเดาว่าคนที่รุ่นพี่อาโอกิกำลังจะโทรหาคงเป็นเขา

“ขอโทษที่มาสายครับ”

“ไม่เลย แต่ลูกค้าจะไปที่อื่นกันต่อน่ะเลยมาเร็ว”นาโอโตะกระซิบบอกเพื่อไม่ให้คู่หนุ่มสาวที่นั่งรออยู่ต้องรู้สึกลำบากใจ แล้วเอ่ยเร่งด้วยน้ำเสียงปกติต่อไปว่า “รีบไปเตรียมของ เร็วเข้า” ฮารุโตะรีบไปหยิบกระเป๋าข้าวของต่างๆ แล้วเดินตามซากิกับคู่รักออกจากห้องไป

หิมะโปรยปรายลงมาเบาบางจนไม่เป็นปัญหากับการถ่ายภาพ หากกลับเสริมให้ดูโรแมนติกชวนฝันกว่าเดิมด้วยซ้ำ คู่รักหนุ่มสาวอยู่ในชุดคอสเพลย์จากการ์ตูนเรื่องคุโรชิทซึจิ  ทั้งสองคนจึงกลายเป็นท่านลอร์ดชิเอล และเลดี้เอลิซาเบธ ยามเจริญวัย

ฮารุโตะถือแผ่นสะท้อนแสงอยู่ท่ามกลางหิมะ ...คนอื่นๆก็อยู่ท่ามกลางหิมะเช่นกัน แต่ที่เขารู้สึกไม่สบอารมณ์เพราะร้อยวันพันปี เขาไม่เคยเห็นรุ่นพี่ชิมิซึใช้รีเฟล็กซ์เลยสักครั้ง ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ต้องออกมายืนข้างนอกตากหิมะอย่างนี้ นอกจากต้องยืนถือแผ่นสะท้อนแสง เขายังต้องคอยเช็กผมเช็กหน้าให้แบบทั้งสองคนอีกด้วย ฮารุโตะรู้สึกว่ากระบอกตาของเขาร้อนผ่าว พิษไข้คงเล่นงานมากกว่าแค่อาการจาม และเสื้อตัวที่ใส่อยู่คงบางเกินกว่าจะกันอากาศหนาวเย็นนี่ได้

ในที่สุดการถ่ายภาพคู่รักคู่นี้ก็สิ้นสุดลง เด็กหนุ่มรีบเก็บของเดินนำไปก่อนหน้า กลับไปที่ห้องชมรม ตอนนี้เขาหนาวจนร่างกายสั่นสะท้าน ถ้ากลับไปที่นั่นจะมีห้องอุ่นๆรอเขาอยู่ แล้วอาการตื้อๆที่อยู่ในหัวจะได้หายไปเสียที

“ไม่สบายหรือไง”ซากิลอยหน้าลอยตาเข้ามาถาม มุมเหมือนจะปากยิ้มเยาะจนเขารู้สึกโมโห เหมือนกับว่าการกระทำช่วงเช้าที่ผ่านมาอีกฝ่ายจงใจทำเพื่อแกล้งเขา

“เปล่าครับ ผมสบายดี”ฮารุโตะตอบ ไม่ใช่น้ำเสียงที่เข้มแข็งห้าวหาญหากเป็นความพยายามฝืนไม่ให้เสียงนั้นสั่น ซากิเกลียดเขามากเลยหรืออย่างไรกัน เขาทำอะไรที่ผิดพลาดไปอย่างนั้นหรือ

“ก็ดี ยังเหลืออีกตั้งสองคู่ ฉันไม่อยากต้องทั้งถ่ายภาพแล้วทำงานจิปาถะไปด้วย”

แต่ถึงจะพูดกับเขาแบบนั้นกระนั้นการถ่ายภาพช่วงต่อๆมา รุ่นพี่ชิมิซึกลับยกเลิกการใช้แผ่นสะท้อนแสง ยกหมวกไหมพรมที่เจ้าตัวสวมอยู่ให้เขา รวมถึงหาโค้ตหนาๆมาให้เขาใส่อีกตัว

หิมะไม่ได้ตกลงมาอีกแล้ว ทั้งอย่างนั้นเขากลับถูกสั่งให้นั่งรอที่บันไดขึ้นตึก ที่ซึ่งแม้จะมีหิมะตก ละอองหิมะก็จะไม่โดนตัวเขา  ฮารุโตะได้แต่กอดเข่ามองคนที่ยืนอยู่ท่ามกลางหิมะขาวโพลนอย่างไม่เข้าใจ.....



ในที่สุดงานที่ต้องทำก็จบลง ฮารุโตะระบายลมหายใจหนักหน่วงซึ่งกลายเป็นไอควันเมื่อกระทบอากาศเย็น หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาจึงถอดเสื้อกับหมวกที่สวมอยู่ส่งคืนให้เจ้าของ

“ขอบคุณมากครับ”

ซากิทำแค่เพียงปรายตามอง มือยังง่วนกับกล้องที่ใช้ก่อนจะเอ่ยออกมาเรียบๆว่า “นายควรเอามันไปซักก่อนจะเอามาคืนฉัน”

“อ๊ะ ขอโทษครับ ถ้าอย่างนั้นผมจะเอามาคืนให้วันหลัง”

“ดี ถ้าอย่างนั้น”ซากิขยับเท้าเข้าไปหาหลังจากที่เก็บกล้องลงกระเป๋าแล้ว เขาดึงหมวกไหมพรมออกจากมือคู่นั้น “นายควรที่จะสวมมันไว้ก่อน เสื้อนี่ก็เหมือนกัน” พูดพลางดึงเสื้อขึ้นมาสวมให้อีกฝ่าย

ความอุ่นซ่านอันแปลกประหลาดวูบขึ้นมาในอกของฮารุโตะอีกครั้ง รู้สึกร้อนผ่าวบนใบหน้าเมื่อได้กลิ่นหอมอ่อนๆยามที่ซากิเข้ามาใกล้ ดวงตากลมไหวระริกเสหลบลงโดยอัตโนมัติ

“ข...ขอบคุณครับ”ฮารุโตะพึมพำเบาๆ เขารู้สึกอึดอัดกับบรรยากาศรอบข้างที่ดูเงียบเชียบหนักหน่วงแปลกๆแบบที่เขาไม่เคยสัมผัส ไม่ใช่ความเยียบเย็นเฉยชาเฉกเช่นทุกครั้งยามที่อยู่กับรุ่นพี่ชิมิซึ อีกนัยหนึ่ง เขาทำตัวไม่ถูกจนได้แต่ยืนนิ่งอยู่เฉยๆ

“เดี๋ยวเอาของไปเก็บแล้วไปกินข้าวกัน” ซากิก้าวเท้าไปหยิบกระเป๋าอุปกรณ์ทั้งหลายอย่างรวดเร็ว ก่อนจะขยับเท้ากลับมาคว้ามือบางของคนที่ยังยืนนิ่งอยู่กับที่ให้ติดมือไปด้วย

ตอนที่มาถึงห้องชมรม ฮารุโตะเหมือนจะไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำ ในสมองของเขามีแต่เรื่องฟุ้งซ่านเต็มไปหมดจนไม่สามารถเรียบเรียงออกมาเป็นคำพูดได้ กระทั่งถูกทักขึ้นมานั่นแหละความอบอุ่นที่กุมมือของเขาอยู่ถึงชัดเจนขึ้นมา

“อ๊ะ จับมือกันด้วย”เสียงของเรียวตะที่ดังขึ้นนั่นทำให้ทุกคนที่อยู่ในห้องชมรมต่างหันมามอง ฮารุโตะถึงได้พยายามดึงมือออก หากชายหนุ่มร่างสูงข้างหน้ากลับไม่ให้ความร่วมมือซ้ำยังสอดประสานนิ้วให้แนบแน่นกว่าเดิม แก้มทั้งสองข้างของเขาร้อนผ่าวไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา

“อิจฉาหรือไง”พอซากิตอบกลับไปเช่นนั้นก็เรียกเสียงเป่าปาก เสียงแซวให้ดังขึ้นเกรียวกราว ยิ่งทำให้ฮารุโตะรู้สึกอับอายมากขึ้นไปอีก เขาพยายามดึงมือออกแต่อีกฝ่ายกลับบีบมือของเขาไว้แน่น เขาจึงได้แต่เดินตามหนุ่มรุ่นพี่ที่มืออีกข้างถือกระเป๋าอุปกรณ์นำไปวางไว้ยังที่ของมัน และก้าวเท้าเร็วๆตามร่างสูงกว่าซึ่งกำลังก้าวออกจากห้องชมรม

“แล้วจะรีบไปไหนกันเนี่ย”

“ก็เดตไง คริสต์มาสอีฟทั้งที ฉันไม่เหมือนพวกนายหรอกนะ”

หัวสมองของฮารุโตะอื้ออึงสับสนไปหมดแค่ได้ยินคำว่าเดตออกจากปากของรุ่นพี่ชิมิซึ

ไปเดต!!! เดตเนี่ยนะ เดตกับรุ่นพี่ชิมิซึ  ฮารุโตะไม่อยากจะเชื่อว่าจะได้ยินคำนี้ออกจากปากของหนุ่มรุ่นพี่แต่หัวใจของเขากลับพองโตฟูฟ่องอยู่ในอก แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็ไม่น่าเชื่ออยู่ดี ฮารุโตะได้แต่คิดขัดแย้งกันอยู่ในสมอง

เด็กหนุ่มเหลือบสายตามองมือของตนที่อยู่ในอุ้งมือของอีกฝ่าย นิ้วเรียวยาวของหนุ่มรุ่นพี่เกาะกุมประสานอยู่ระหว่างนิ้วทั้งห้าของเขา พอคิดถึงนัยความหมายของการจับมือแบบนี้แล้ว ทำให้ฮารุโตะรู้สึกเขินอายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

เขาไล่สายตาตามท่อนแขนของอีกฝ่ายขึ้นสูง จับจ้องเส้นผมสีดำขลับและใบหน้าด้านข้างของรุ่นพี่ชิมิซึอย่างนึกมองให้ทะลุถึงหัวใจ คำพูดต่างๆนานาที่รุ่นพี่พูดกับเขาในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาผุดขึ้นมาในสมอง เขาอยากรู้ คำพูดของรุ่นพี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่ หรือแค่ปั้นแต่งเพื่อล่อลวงเขากันแน่

“เอ่อ... เรื่องเดต”

“หือ อ้อ ก็แค่พูดไปอย่างนั้นเองแหละ”ซากิหันมามองเขาเพียงชั่วครู่ พร้อมเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับสิ่งที่กล่าวมานั้นเป็นเรื่องสามัญธรรมดา

ว่าแล้วเชียว!!! ฮารุโตะคิดในใจ แม้จะพอคาดเดาไว้อยู่แล้วแต่เขาก็อดเสียใจอยู่ลึกๆไม่ได้ ความผิดหวังนี้ทำให้เขาฉุกคิดขึ้นมา ทำไมเขาถึงคาดหวังว่ามันจะเป็นการเดตด้วยล่ะ ทั้งที่เขาเคยชอบรุ่นพี่นาคามูระขนาดนั้นแท้ๆ เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงได้แต่ภาวนาอยู่เงียบๆภายในใจ

ขออย่าให้ความหวั่นไหวนี้...เกินเลยมากไปกว่านี้เลย



“วันที่สี่ก็เตรียมตัวไว้ด้วยล่ะ”

“เอ๊ะ”ฮารุโตะมองคู่สนทนาด้วยความสงสัยในคำพูดนั้น

ซากิพาเขามาทานราเมงที่ร้านข้างทางแถวๆหน้ามหาวิทยาลัย ซึ่งหลังจากทานกันเสร็จ อีกฝ่ายได้พูดคำนั้นออกมา

“วันที่สี่ถึงวันที่หก พวกฉันจะไปเล่นสกีกัน”

“ทริปนี้ไม่เห็นรุ่นพี่อาโอกิจะพูดอะไรเลยนี่ครับ” โดยปกติแล้วรุ่นพี่นาคามูระกับรุ่นพี่อาโอกิจะประกาศเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวของชมรมก่อนล่วงหน้าหนึ่งเดือนหรือมากกว่านั้น

“มันไม่เกี่ยวกับชมรมน่ะ พวกฉันจะไปกันเองและนายต้องไปด้วย”

“ผมคงไม่มีเงินขนาดนั้นหรอกครับ”เขาตอบปฏิเสธ

“ไม่เป็นไรฉันออกเงินให้เอง”

“ไม่ดีกว่าครับ มันเป็นการรบกวนรุ่นพี่ซะเปล่าๆ”

“ถ้าอย่างนั้นนายคงต้องไปบอกเจ้าพวกนั้น”น้ำเสียงของซากิฟังดูขุ่นเคืองขึ้นเล็กน้อย และเมื่อพูดจบเขาก็ลุกขึ้น วางเงินค่าอาหารไว้บนโต๊ะโดยไม่ลืมลากข้อมือของฮารุโตะติดไปด้วย ฝ่ายที่ไม่ทันตั้งตัว ก้าวเท้าสะดุดจนศีรษะเกือบจะทิ่มลงพื้น แต่ก็เพราะแรงลากมหาศาลนั่นล่ะที่ไม่ทำให้หน้าของเขาลงไปวัดพื้นเสียก่อน

ฮารุโตะรู้สึกสับสนงงงวยกับอารมณ์ที่แปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วของรุ่นพี่ร่วมสถาบันคนนี้ยิ่งนัก กระนั้นภายในใจของเขากลับไม่มีความรู้สึกหงุดหงิดขุ่นข้องหรือรำคาญใจ เขาได้แต่ถอนหายใจเมื่อได้รับรู้ความรู้สึกบางเบาที่อวลอยู่ในอกทั้งที่คิดพยายามหักห้ามมันไว้แล้วแท้ๆ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-11-2017 20:52:29 โดย ตีสี่ »

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 6 : 16/Feb/2017
«ตอบ #27 เมื่อ16-02-2017 00:36:27 »


วันที่สี่มกราคมมาถึงเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อวานฮารุโตะเจอรุ่นพี่ฮายาชิที่ร้านสะดวกซื้อตอนที่เขากำลังทำงานพิเศษ  หนุ่มรุ่นพี่ผู้มีรอยยิ้มแจ่มใสเป็นนิจเอ่ยย้ำนัดหมายเวลาอีกครั้ง แม้ว่าเขาจะอิดออดอยากปฏิเสธแต่ก็เป็นไปได้ยากเหลือเกินเมื่อรุ่นพี่ผู้แสนใจดีสำทับซ้ำๆหลายรอบ อีกทั้งรุ่นพี่อาโอกิยังโทรมาย้ำกับเขาเมื่อคืนก่อนนอนเป็นครั้งสุดท้าย เขาจึงต้องสะพายกระเป๋าเป้ใบเก่ามายังมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นจุดนัดหมายในวันนี้

“มาถึงหรือยังฮารุจัง”เสียงของนาโอโตะดังขึ้นที่ปลายสายเมื่อยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดรับ

“ครับ”

“ถ้าอย่างนั้นรอตรงหน้าประตูใหญ่เลยนะ”

“ได้ครับ” เขายืนรอหลังจากวางสายไม่นาน รถยนต์อเนกประสงค์ขนาดเจ็ดที่นั่งก็มาจอดเทียบสนิทอยู่ตรงหน้า เมื่อเปิดประตูออกพลางกวาดสายตาไปทั่วเขาได้พบว่าภายในเหลือที่ว่างเบาะหลังเท่านั้น ผู้รับหน้าที่ขับรถเป็นรุ่นพี่นาคามูระ เรย์ซึ่งนั่งคู่กับรุ่นพี่อาโอกิ นาโอโตะ เบาะถัดมาด้านหลังคนขับคือรุ่นพี่โมริ เอคิจิ และรุ่นพี่ฮายาชิ เรียวตะ และตำแหน่งที่เขาต้องไปนั่งคือที่ว่างข้างรุ่นพี่ชิมิซึ ซากิ

ฮารุโตะหลุบตาลงมองแต่พื้นยามที่เดินไปยังที่นั่งของตน

รถยนต์เคลื่อนที่ออกเดินทางหลังจากผู้ร่วมทริปคนสุดท้ายขึ้นมานั่งประจำที่อยู่บนรถ

นาคามูระ เรย์ขับรถมุ่งหน้าไปทางตะวันตกขึ้นทางด่วนคิตะคันโตเพื่อจะตัดเข้าทางด่วนคันเอ็ทสึมุ่งหน้าตรงไปยังนางาโน่  รถวิ่งไปแค่ชั่วโมงกว่าๆ เขาก็จอดแวะที่จุดพักรถเพื่อหาอะไรรองท้อง

“ไปหาอะไรกินกันก่อนนะ”เรย์บอกขณะที่กำลังจอดรถ

“ดีเลย ฉันอยากจะบอกว่าหิวมากๆละตอนนี้”เรียวตะพูดสำทับ เขาเปิดประตูรถยนต์ลงไปยืนบิดขี้เกียจอยู่ด้านล่าง พลางสอดส่ายสายตาหาร้านอาหาร

“ข้าวนะ ขอข้าว ไม่เอาฟาสฟู้ด”เอคิจิพูดขึ้นมาบ้าง “ร้านนั้นนะ” โดยที่ไม่รอความคิดเห็นจากคนอื่น เขาก้าวลิ่วๆตรงไปร้านที่เล็งไว้เสียแล้ว

“รอด้วยดิ”พูดจบเรียวตะก็วิ่งตามไปอีกคน พอเห็นรุ่นพี่อีกสองคนเดินตามไป ฮารุโตะจึงนึกลังเลเพราะต้องใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพังอย่างประหยัด เขาจึงติดนิสัยไม่ทานอาหารนอกบ้าน ถึงจะเคยไปทานข้าวกับพวกรุ่นพี่ตามร้านอาหารในห้างสรรพสินค้าบ้างก็ตาม

“ยืนนิ่งอยู่ทำไมล่ะ ไปดิ”ซากิที่เห็นฮารุโตะยืนนิ่งจึงหันมาถาม แต่เขาไม่พูดเปล่าๆ ชายหนุ่มร่างสูงยังคว้าข้อมือของเด็กหนุ่มรุ่นน้องลากให้เดินตามไปด้วยกันอีกด้วย

“ผมไม่ไปดีกว่าครับรุ่นพี่ พอดีทานข้าวเช้ามาเรียบร้อยแล้วครับ” เด็กหนุ่มกล่าว

“กินแล้วก็กินอีกได้”คนพูดบอกเสียงห้วนอย่างไม่ฟังคำทัดทาน ลากอีกฝ่ายไปยังร้านที่เพื่อนๆของเขาหมายตาไว้จนได้ ฮารุโตะจำเป็นต้องทรุดตัวลงนั่งข้างซากิ

“สั่งอะไรดีฮารุจัง มีแต่ของน่าทานทั้งนั้นเลย”นาโอโตะยิ้มหวานพร้อมกับส่งเมนูมาให้ ฮารุโตะรับเมนูมาถือยังไม่ทันที่จะเปิดดูกลับโดนซากิพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน

“มิอุระเขาบอกว่ากินมาแล้วน่ะ”

“กินแล้วก็กินอีกได้ ตัวแค่นี้กินเยอะๆจะได้โตไวๆ อีกอย่างกว่าจะถึงก็หิวจนทนไม่ไหวพอดี”เรย์ว่า “ที่สำคัญมื้อนี้เอคิจิเลี้ยง”

“เอ๊ะ! ทำไมเป็นฉันล่ะ”

“ก็เพราะร้านนี้นายเป็นคนเลือกไง”เรียวตะว่าด้วยน้ำเสียงเย้าหยอก

“อืม อย่างนั้นก็ได้ ดังนั้นมื้อนี้ฉันเลี้ยงเอง” ทุกคนโห่ร้องด้วยความดีใจกันถ้วนหน้า ไม่เว้นแม้แต่ซากิผู้เงียบขรึมแสนนิ่งเฉยผู้ซึ่งนั่งอยู่ข้างฮารุโตะ อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทันที่เสียงโห่ร้องนั้นจะสิ้นสุด เจ้ามือกลับพูดต่อไปอีกว่า “เฉพาะฮารุจังผู้น่ารักเท่านั้นนะ” ตามด้วยเสียงหัวเราะอย่างขำขัน

“ฮารุจังกินอะไรไม่ได้บ้างล่ะ”เอคิจิถามต่อ

“ไม่มีครับ ผมทานได้ทุกอย่าง”พอโดนถามถึงเรื่องอาหาร ฮารุโตะเหมือนรู้สึกว่าตนเองจะเริ่มหิวขึ้นมาเล็กน้อย แม้ว่าตัวเขาจะค่อนข้างขัดสนเรื่องเงินทองแต่เงินสำหรับค่าอาหารในแต่ละมื้อเขายังสามารถจ่ายได้ เพียงแต่เขาไม่สามารถฟุ่มเฟือยได้เท่าคนอื่นๆที่อยู่ในวัยเดียวกัน  เมื่ออยู่นอกบ้านเขามักจะฝากท้องไว้กับข้าวปั้นหรือขนมปังของร้านสะดวกซื้อ

ฮารุโตะเปิดดูเมนูไปไม่กี่หน้า อาหารที่พวกรุ่นพี่สั่งก็มาเสิร์ฟ เขาเห็นอาหารน่าทานทยอยวางเรียงบนโต๊ะจึงยิ่งมีความคิดที่จะสั่งมาทานบ้าง จะให้เขานั่งดูคนอื่นทานเกรงว่าจะเป็นการเสียมารยาท ซ้ำถ้าเกิดเสียงท้องร้องดังขึ้นมาจะเป็นที่อับอายเสียเปล่าๆ

ขณะที่กำลังกวาดตามองเมนูซึ่งอยู่ในมือ ถาดอาหารที่บรรจุข้าวสวยร้อนๆ น้ำซุปในถ้วยที่มีฝาปิดป้องกันการคลายตัวของไอร้อน ไก่ย่างราดซอสบนจานกระเบื้องสีขาวและสลัดก็ถูกส่งมาตรงหน้า

“ฮารุจังคงไม่ว่ากันนะที่ฉันเลือกเมนูนี้ให้นะ”เอคิจิพูดพลางส่งรอยยิ้มประหม่าเชิงไม่แน่ใจมาให้

ฮารุโตะวางเล่มรายการอาหารในมือตนลง พลางกล่าวตอบรับด้วยรอยยิ้มกว้าง “ไม่หรอกครับ ผมถูกใจมากเลยล่ะ ทานละนะครับ”และลงมือทานด้วยความกระตือรือร้น โดยไม่รู้เลยว่าคนที่นั่งอยู่ข้างกันเหล่มองด้วยความหมั่นไส้

กลับขึ้นมาบนรถอีกครั้งหลังจบเหตุการณ์แย่งชิงกันจ่ายค่าอาหารระหว่างเอคิจิที่บอกว่าจะเลี้ยงข้าวฮารุจัง กับฮารุโตะที่ยืนยันว่าไม่อยากให้รุ่นพี่ต้องมาเลี้ยงข้าวโดยไม่จำเป็น โดยผู้ชนะเป็นชิมิซึ ซากิที่รวบค่าใช้จ่ายมื้อนี้ไว้แต่เพียงผู้เดียว  ดังนั้นบรรยากาศที่เบาะหลังดูจะอึมครึมมากกว่าเดิมอีกเท่าตัว แม้ซากิจะไม่ได้ชักสีหน้าโกรธขึ้ง แต่ใบหน้าเรียบเฉยของซากิกลับทำให้ฮารุโตะแทบไม่อยากหายใจเลยถ้าเขาทำเช่นนั้นได้

ฮารุโตะนั่งนิ่งจนแทบไม่กระดิกอยู่นานจนกระทั่งมีศีรษะมาพิงอยู่บนไหล่ เขาสะดุ้งอย่างไม่ทันตั้งตัว เมื่อเหลือบตาไปดู เห็นรุ่นพี่ชิมิซึหลับตาสนิทโดยใช้ไหล่ของเขาต่างหมอน เท่านั้นยังไม่พอ มือแข็งแรงยังสอดมาโอบเอวและลากเขาเข้าไปใกล้เสียด้วย

“ร...รุ่นพี่”

“จะนอน”เพียงเท่านั้นฮารุโตะก็หุบปากเงียบสนิท ไม่กล้าขยับแม้กระทั่งตอนที่รุ่นพี่ฮายาชิส่งขนมมาให้



บ่ายโมงกว่าๆรถยนต์เจ็ดที่นั่งของนาคามูระ เรย์จึงได้มาถึงที่พัก รอจนรถยนต์จอดนิ่งสนิทแล้วฮารุโตะถึงได้ปลุกคนที่นอนซบไหล่ให้ตื่น ซ้ำหลังลงจากรถยังถูกรุ่นพี่ฮายาชิเอ่ยแซวจนรู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าว

“หลับสนิทเชียวนะ”

“ก็นะ”ซากิตอบกลับสั้นๆเพียงเท่านั้นเอง ทำให้ฮารุโตะรู้สึกห่อเหี่ยวลงกับคำตอบนั้นพลันเมื่อนึกขึ้นได้จึงรีบสะบัดความคิดวุ่นวายที่ว่าทิ้งไป แต่ปัญหายังไม่จบเพียงเท่านั้น ห้องพักถูกกำหนดให้นอนร่วมกันสองคน รุ่นพี่อาโอกิและรุ่นพี่นาคามูระต้องพักด้วยกันอยู่แล้ว และพอรุ่นพี่ฮายาชิบอกว่าจะอยู่กับเอคิจิ เขาจึงถูกจับคู่ให้พักร่วมกับรุ่นพี่ชิมิซึไปโดยปริยาย

ฮารุโตะรู้สึกอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูก

เพราะท่าทีของหนุ่มรุ่นพี่ไม่ชัดเจนนัก ไม่รู้ว่าความรู้สึกที่มีต่อตัวเขาเป็นเช่นไรกันแน่ เกลียด ไม่ชอบ เฉยๆ หรือมีใจให้บ้าง และต่อให้บอกตัวเองว่าไม่ให้คิด แต่ต้องยอมรับว่าเขาเริ่มแอบคาดหวังไว้ลึกๆเช่นกัน

วางกระเป๋าเรียบร้อยเสียงเคาะประตูได้ดังขึ้นทันที ฮารุโตะเป็นคนเดินไปเปิดประตู ในขณะที่ชิมิซึ ซากิยังง่วนอยู่กับการเก็บของเขาตู้

“ไปเล่นสโนว์บอร์ดกันเถอะ”เรียวตะเอ่ยชวนเหมือนเด็กๆ ฮารุโตะยิ้มรับ แม้การเที่ยวเล่นแบบนี้จะเป็นเรื่องที่ฟุ่มเฟือยเกินตัว แต่เขาอดที่จะรู้สึกสนุกไปกับมันไม่ได้ ก่อนออกจากห้องเด็กหนุ่มจึงหันไปถามอีกคนตามมารยาทว่า

“รุ่นพี่ชิมิซึ ออกไปด้วยกันเลยไหมครับ”

“นายไปก่อนเถอะ”เมื่อได้รับคำตอบเช่นนั้น เขาจึงพูดกลับไปด้วยความลังเลว่า “ถ...ถ้าอย่างไรก็รีบตามมานะครับ” ก่อนจะก้าวเท้าออกจากห้อง

สีขาวสะอาดตาของหิมะทำให้เด็กหนุ่มรู้ปลอดโปร่งอย่างบอกไม่ถูก เขารู้สึกสบายใจและอิ่มเอมอย่างมีความสุขจนต้องยิ้มออกมา ฮารุโตะเดินตามเรียวตะไปที่รถยนต์ พวกรุ่นพี่กำลังเปิดท้ายรถเพื่อหยิบอุปกรณ์ เขายิ้มอีกครั้งพลางนึกในใจว่าทุกคนคงจะเชี่ยวชาญกันน่าดู ถึงขนาดมีอุปกรณ์เป็นของตัวเองแบบนี้

“อะ อันนี้ของซากิ รับฝากไว้ให้มันด้วยละกันนะ”เอคิจิส่งของมาให้เขา ส่วนคนอื่นๆก็กำลังเตรียมตัว โดยเฉพาะรุ่นพี่นาคามูระที่พลังล้นเหลืออย่างที่ตัวเขานึกแปลกใจ

“รุ่นพี่นาคามูระขับรถมาตั้งไกล ไม่เหนื่อยหรือครับ”เด็กหนุ่มออกปากถามด้วยความเป็นห่วง

“ไม่ต้องห่วงล่ะฮารุจัง หมอนี่อึดเหมือนแมลงสาบเลยล่ะ”พอนาโอโตะพูดจบ เขาต้องเบี่ยงศีรษะหลบมะเหงกของคนที่ถูกกล่าวถึงอย่างหวุดหวิด

“ฉันยังไม่แก่ไม่ใช่เป็นแมลงสาบ ฮารุจังไม่ต้องเป็นห่วงหรอกขับรถแค่สี่ห้าชั่วโมง สบายมาก”ประโยคแรกหันไปบอกคนข้างกาย ประโยคถัดมาถึงได้หันมาบอกเขา

ยืนคุยกันอีกเพียงครู่เดียวซากิจึงได้ตามมาสมทบ

“นี่ครับ”คงเพราะสภาพของสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งเป็นวันที่อากาศดีพาให้จิตใจเบิกบานไปด้วย แม้กับหนุ่มรุ่นพี่ที่มักจะทำให้บรรยากาศรอบตัวของฮารุโตะอึดอัดขมุกขมัวอยู่เป็นนิตย์ เขายังเห็นว่ารอบตัวดูสว่างกว่าปกติจนส่งรอยยิ้มแจ่มใสไปให้

พวกรุ่นพี่ซักถามถึงจุดที่จะขึ้นไปเล่นสโนว์บอร์ดโดยที่เขายืนฟังอยู่เฉยๆ ถึงแม้จะแค่ยืนฟังอย่างเดียวอยู่เช่นนี้ แต่เขากลับรู้สึกได้ถึงตัวตนที่ตนเองได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่ง นานแล้วที่ฮารุโตะต้องรู้สึกโดดเดี่ยวอยู่เสมอ ไม่มีครอบครัว ไม่มีเพื่อนสนิท ไม่มีคนคอยพูดคุย ถูกกันให้ห่างจากสังคมรอบกาย จนตัวเขาเองรู้สึกแปลกแยกจากทุกสิ่ง

“ฝากด้วยนะ”

ฮารุโตะรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อทุกคนแยกย้ายกันไป

“เอ่อ ถ้าอย่างนั้นเดียวผมไปเดินดูรอบๆแล้วกันนะครับ”ฮารุโตะเอ่ยบอกซากิที่ยังยืนอยู่

“ไม่ต้องหรอก ฉันมีบอร์ดมาสองอัน นายจะไม่เล่นเหรอ”

ฮารุโตะยิ้มอย่างดีใจพลางมองของที่อยู่ในมือของอีกฝ่าย “ขอบคุณครับ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมจะไปหาคนมาสอน”

“ฉันสอนให้เองก็ได้ จะต้องเสียเงินจ้างทำไม”

“รุ่นพี่ใจดีจัง” ฮารุโตะเอ่ยปากชื่นชม เขาก้มมองกระดานสโนว์บอร์ดและขอมันมาถือเองด้วยความกระตือรือร้น รอยยิ้มกว้างยังคงประดับอยู่บนใบหน้า คำพูดสั้นๆนั้นทำให้คู่สนทนายกยิ้มไปด้วยเช่นกัน

ซากิส่งรองเท้าให้หนุ่มรุ่นน้องพร้อมเสื้อกันหนาวอีกตัวก่อนจะให้อีกฝ่ายเปลี่ยนเสื้อจากเสื้อโค้ตที่สวมอยู่เป็นเสื้อที่เขาเตรียมมาให้แทน หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้ารองเท้าเรียบร้อยชายหนุ่มร่างสูงพาฮารุโตะไปยังโซนสำหรับผู้เริ่มเล่น

แสงแดดสลัวรางทั้งที่เป็นเวลาค่อนบ่าย อากาศเย็นจัดจนเด็กหนุ่มต้องห่อไหล่เข้าหากัน

“อีกเดี๋ยวก็ไม่หนาวแล้ว มาเริ่มวอร์มก่อนนะ”ชายหนุ่มอธิบายทุกอย่างตั้งแต่พื้นฐานเบื้องต้น ให้ฮารุโตะซ้อมล้มอยู่หลายครั้งจนแน่ใจว่าหนุ่มรุ่นน้องสามารถจดจำได้ จากนั้นจึงสอนให้ทรงตัวบนบอร์ดแต่แค่เพียงไม่นานในความรู้สึกของฮารุโตะ หนุ่มรุ่นพี่ก็บอกว่าให้กลับโรงแรม

“จะห้าโมงแล้ว”

ฮารุโตะมองท้องฟ้าที่ขมุกขมัวด้วยหมอกสีขาว ดวงอาทิตย์ถูกซ่อนตัวอยู่ภายใต้ม่านหนาทึบ เขาไถบอร์ดตามรุ่นพี่ไปช้าๆจนถึงช่วงพื้นเรียบที่รุ่นพี่ชิมิซึหยุดยืนรอเขาอยู่แล้ว ตอนที่จะหยิบบอร์ดขึ้นมาถือชายหนุ่มร่างสูงได้เข้ามาคว้าไว้เสียก่อน

“ผมถือเองได้ครับ”

“รู้แล้ว แต่ฉันถือหรือนายถือมันก็เหมือนกันล่ะน่า เดินนำไปได้แล้ว”เขาพูดพลางรุนหลังให้ฮารุโตะเดินนำไป

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-11-2017 20:54:07 โดย ตีสี่ »

ออฟไลน์ m.starlight

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ลุ้นทุกตอน  :hao5:

ออฟไลน์ llmaumill

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :เฮ้อ: ทนอ่านไม่ไหวค่ะ นายเอกยอมคนเกินไป อ่อนแอเกินไป ยังมองไม่เห็นทางข้างหน้าเลย บางทีอ่านๆไปละอินมากจนอยากเป็นนายเอกละ ฆ่าตัวตายไปซะ คือคนเขียนยรรยายดีมากเลยค่ะ ทำเอาเราอึดอัดตามเลย ขอสารภาพว่าอ่านผ่านๆ เพราะขัดใจกับนิสัยนายเอกจริงๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด