บทที่ 21
(Mode: Lucas Collins)
ผมรู้สึกเหมือนอยู่ๆ โลกที่เคยรู้จักมันพลิกกลับจากบนลงล่างไปอย่างสิ้นเชิงตั้งแต่วันนั้น...
“เฮ้ ลูคัส ฉันซื้อเบเกอรี่จากร้านฝั่งตรงข้ามโรงเรียนมาน่ะ อยู่บนโต๊ะนะ”
“เออ วันนี้เอาเสื้อผ้าของนายไปซักแล้วก็ตากเสร็จแล้วนะ นายทำงานกลับมาเหนื่อยๆ ขึ้นไปพักไป”
“ลูคัส นายมาลองชิมคุกกี้นี่ไหม ฉันได้มากจากที่ทำงาน”
ผมขมวดคิ้วมุ่นขึ้นทันทีขณะก้าวเท้าเดินไปหาเจ้าน้องชายตัวแสบที่นั่งเหยียดขาวางไว้บนโต๊ะเล็กอย่างไร้มารยาท ในมือมีโถคุกกี้ลวดลายสวยงาม บ่งบอกว่าราคาของมันคงไม่น้อย ผมเลยฉลองศรัทธามันด้วยการหยิบชิ้นหนึ่งเข้าปาก อืม… อร่อยจริงๆ สมราคาคุย
“นายทำงานที่ร้านอบคุกกี้อยู่เหรอ”
“อ้อ ใช่สิ” โลแกนพูดหน้าตาย ปากก็เคี้ยวคุกกี้ไปด้วย “ร้านอบคุกกี้เดี๋ยวนี้เขาเริ่มรับจ๊อบจัดการกับพวกนักเลงค้ายาแล้วด้วยนี่ ฉันลืมนึกไปได้ไง”
เหอะ ตลกคาเฟ่กันทั้งนั้น ถามขำๆ แค่นี้ต้องย้อนด้วยนะ
“แล้วเรื่องคดีที่ว่านั่นเป็นไง” ผมถามขณะเริ่มหยิบคุกกี้ชิ้นที่สองมากิน อร่อยเป็นบ้า นี่ถ้าได้นมอีกแก้วนี่เยี่ยมเลย “คืบหน้าไปถึงไหนแล้ว ยัดหมอนั่นเข้าคุกไปรึยัง”
“ยัง… มีคนประกันตัวมันออกมา ก็พวกๆ เดียวกันนั่นแหละ ต้องรอขึ้นศาลอีกรอบ”
ผมรู้สึกว่าหน้าของตัวเองซีดเผือดลง โลแกนวางโถคุกกี้ไว้บนโต๊ะแล้วลุกออกจากโซฟาไป ปล่อยให้ผมนั่งทบทวนความคิดอะไรบางอย่างอยู่ครู่หนึ่ง และเมื่อมันกลับมาใหม่พร้อมกับนมสองแก้วในมือ ผมถึงได้หาเสียงของตัวเองเจอ “แล้วหมอนั่นไม่แจ้งตำรวจไปแล้วเหรอเรื่องที่นาย…”
โลแกนยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปาก ส่ายหน้าเป็นเชิงบอกห้ามไม่ให้ผมพูดต่อ
“มันไม่เคยเกิดขึ้น”
ผมได้แต่นิ่งเงียบ พูดอะไรไม่ออก
“จำไว้แค่นั้นแหละ”
โลแกนส่งนมแก้วหนึ่งให้ผมจากนั้นก็ย้ายตัวกลับมานั่งที่เดิมข้างๆ ผมแล้วละเลียดคุกกี้ในโถต่อ ผมทำตามบ้าง แต่เริ่มไม่ค่อยรู้สึกว่าแป้งคุกกี้ที่กินเข้าไปอร่อยเหมือนเดิมแล้ว
ภาพที่ร่างของชายสองคนนั่นที่วิ่งไล่ผมตามท้องถนน… เหตุการณ์ที่เหมือนจะเป็นเรื่องตลกากกว่าจะเป็นเรื่องจริง ช่วงเวลาหนึ่ง พวกเขาวิ่งไล่ผมแบบเอาเป็นเอาตาย แต่อีกไม่ถึงชั่วโมงต่อมาพวกเขาก็เป็นฝ่ายที่ต้องตายเสียแทน
จากนั้นภาพกองเลือดที่รวมตัวกันจนเป็นแอ่งได้ก็ปรากฏเข้ามาในความทรงจำของผม มันแจ่มชัดจนชวนให้ผมขนลุก เมื่อที่ถือแก้วอยู่สั่นนิดหนึ่ง
สองคนนั้นตายไปแล้ว ง่ายๆ แค่นั้นเอง
ภาพศพ กองเลือด และกลิ่นคาวเลือดชวนให้สะอิดสะเอียนนั่นตามมาหลอกหลอนผมอยู่ทุกคืน ผมไม่แน่ใจว่าระหว่างการได้เห็นคนตายที่เกิดขึ้นเร็วๆ กับภาพความทรงจำที่เห็นพ่อกับแม่ของผมทะเลาะกันหนักจนถึงแก่ชีวิต… แบบไหนกำลังมีอิทธิพลกับผมมากกว่า
บางทีเหตุการณ์ทั้งสองอย่างนั่นอาจค่อยๆ หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่ในหัวผม
ผมเริ่มแยกไม่ออกแล้วว่ากองเลือดที่เห็นอยู่ในความฝันแต่ละคืน มันเป็นกองเลือกของผู้ที่ให้กำเนิดผมหรือเป็นของผู้ชายสองคนนั่นที่น้องชายฝาแฝดของผมเพิ่งฆ่าไปอย่างเลือดเย็น
ใช่… ผมยังจำแววตาของโลแกนตอนที่ลั่นไกปืนใส่คนทั้งคู่ได้ มันว่างเปล่า ไร้อารมณ์ใดๆ ไม่มีความเห็นใจ ไม่มีความสำนึกผิด ไม่มีอะไรทั้งนั้น
และเพราะคิดแบบนั้น ผมถึงหลุดปากถามออกไปโดยไม่รู้ตัว
“โลแกน นายเคยฆ่าคนนอกจากไอ้สองตัวที่นายเพิ่งฆ่าไปเพื่อช่วยฉันไหม” อย่างน้อยการได้เติมประโยคหลังนั่นเข้าไปก็ช่วยทำให้ผมรู้สึกดีกับเรื่องที่เกิดขึ้นมานิดหนึ่ง
หากน้องชายของผมนิ่ง ไม่ตอบ ตามองตรงไปที่โทรทัศน์ ที่ไม่ได้แม้แต่จะเปิดอยู่ชัดๆ
ผมคิดว่าผมรู้ว่านั่นคือคำตอบ
“นี่ โลแกน มานี่ หันมามองหน้าฉัน” อยู่ๆ ผมสำนึกของผมก็แผดร้องลั่นราวกับมีสัญญาณเตือนไฟไหม้ดังอยู่ในอก น่าแปลกที่รอบนี้โลแกนยอมหันมาดีๆ โดยไม่พูดจากวนประสาทใส่ มันคงจับได้ว่าเสียงผมจริงจังขึ้นล่ะมั้ง “โอเค ฟังนะ จริงๆ แล้วเรื่องพวกนี้มันเป็นสามัญสำนึกที่ทุกคนก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วแต่ว่า--”
“จะพูดอะไรก็เข้าเรื่องมาเลย” เจ้าตัวตัดบท ยกแก้วซดรวดเดียว ผมขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะพูด
“นายฆ่าคนไม่ได้นะ”
“ทำไมล่ะ?”
“คนทุกคนเขาก็มีชีวิต... มีความรู้สึกเหมือนกับนายนะเว้ย” ให้ตายเถอะ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผมต้องมานั่งพูดเรื่องแบบนี้ให้เด็กม.ปลายที่กำลังจะจบการศึกษาฟัง โลแกนมองหน้าผมนิ่ง ก่อนจะพูดออกมาสั้นๆ
“ไม่มันก็เรา”
ผมนิ่งไปทันที ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรตอบ
“นายอยากให้เป็นแบบไหนมากกว่าล่ะ”
นัยน์ตาสีฟ้าของโลแกนจ้องตาผมอย่างตรงไปตรงมา ผมคิดว่ามันอาจมีน้ำเสียงเยาะๆ ปนมาด้วย แต่ก็เปล่า น้องชายผมแค่พูดออกมาเรียบๆ
“ระหว่างไอ้พวกเดนมนุษย์ที่อยู่ไปก็รกโลก ที่ต่อให้มันตายก็คงไม่มีใครคิดถึง กับนายที่วาดฝันวางแผนอนาคตอันสวยหรูของตัวเองไว้แล้ว”
“พูดแบบนั้นมันไม่โหดร้ายไปหน่อยเหรอ”
“ไม่เอาน่า เราจะเป็นคนดีกันถึงขนาดแตะต้องข้อเท็จจริงพวกนี้เลยไม่ได้เหรอ”
ผมพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา เบือนหน้าหนีไปทางอื่น อันที่จริง… ไม่ใช่ว่าผมไม่เข้าใจนะว่าโลแกนพยายามจะพูดอะไร ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าผมไม่อยากตาย… และถ้าต้องเลือกระหว่างผม กับไอ้… สองคนนั้นที่พยายามจะฆ่าผม ผมคงไม่ใจบุญพอที่จะบอกว่าอยากให้พวกมันรอดแล้วตัวเองตายเสียเองเหมือนกัน
“ลูคัส” โลแกนเลื่อนมือมาจับคางผม ขยับให้หันไปมองหน้ามัน นั่นทำให้ผมสะดุ้งไปเล็กน้อยอย่างตกใจ ใบหน้าของอีกฝ่ายเลื่อนเข้ามาใกล้จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นของกันและกัน
นั่นทำให้หัวใจผมเต้นผิดจังหวะขึ้นมาทันที
“นายเกลียดที่ฉันเป็นคนแบบนี้เหรอ” เจ้าตัวดีถาม จ้องหน้าผมนิ่ง “เกลียดฉันแล้วรึเปล่า”
“ปละ… เปล่า ไม่ได้เกลียด”
โลแกนเลื่อนมือมาปิดตาผม จากนั้นก็ทาบจูบลงมาอย่างแผ่วเบา และนั่นทำให้ผมสะดุ้งเฮือกทันทีเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว ว่าแต่ไอ้หมอนี่จะปิดตาผมทำ…!!?
อ้อ… ใช่ เพราะมันคิดว่าผมขยะแขยงที่จะเห็นมันนี่เอง
“งั้น…” โลแกนเลื่อนหน้าลงมากระซิบที่ข้างหูผม เห็นไหมล่ะ ผมบอกแล้ว ผมไม่ได้คิดไปเองจริงๆ พักหลังๆ มานี่หมอนี่ทำตัวแปลกๆ ไปจริง… เหมือนมัน… หวานขึ้น? เอ่อ คือก่อนหน้านี้ถ้ามันนึกอยากจะทำมันก็เดินดุ่มๆ ถือเนคไทหรือผ้าอะไรสักอย่างมา ปิดตาผม จากนั้นก็เป็นอันรู้กันอยู่แล้ว
แต่ช่วงหลังๆ มานี่… มันเหมือน เอ่อ… ทำอะไรเป็นขั้นเป็นตอนขึ้น? มั้ง?
เออ… แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังปิดตาผมตอนเรานอนด้วยกันอีกอยู่ดีนะ ไม่รู้จะพูดเรื่องนี้กับมันยังไงดีเหมือนกัน
“ถ้านายไม่เกลียดฉัน ฉันก็ทำต่อได้ใช่ไหม?”
“อะไร” ผมแกล้งตีรวนบ้าง อย่าแปลกใจถ้าเห็นเราสองคนรวนใส่กันบ่อยๆ มันเป็นนิสัยที่ฝังรากลึกลงมาจนจะกลายเป็นสันดานอยู่แล้ว “หมายถึงฆ่าคนน่ะเหรอ”
“ใช่”
นั่น ดูมัน รับมุกอีก
“ไม่ได้” ไอ้บ้า จะมีคนบ้าที่ไหนที่เพิ่งฆ่าคนมาแล้วทำหน้าตาเฉยได้เท่ามันอีกไหมเนี่ย
โลแกนแสร้งครางเสียงอ่อน แต่ท่าทีมันไม่ได้อ่อนลงสักนิด เจ้าตัวดีเลื่อนมือไปหยิบผ้าสีขาวผืนเล็กออกมาจากกระเป๋ากางเกง ผมเดาว่าตอนนี้มันคงพกผ้าผืนนี้ไว้ตลอดเวลาแล้วละ ตอนนี้ เพื่อที่ว่าตอนที่มันอยากทำจะได้หยิบขึ้นมาใช้ได้ทันท่วงที
เอ่อ… หวังว่ามันคงไม่ได้เอาผ้าผืนเดียวกันนี้ไปเช็ดคราบเลอะหรือทำอะไรๆ สกปรกมาก่อนนะ…
“โลแกน” ผมเรียกอีกฝ่ายขณะที่มันค่อยๆ เอาผ้าผืนนั้นมาพาดผ่านปิดตาอย่างเบามือ ช่างแตกต่างกับตอนที่มันลั่นไกปืนอย่างเลือดเย็นในตอนนั้นเหลือเกิน
“อะไร”
“นอนกับฉัน นายสนุกเหรอ”
“สนุกสิ”
“นั่นคือเหตุผลที่นายนอนกับฉันเหรอ?” ผมเอ่ยถามต่อ ตอนนี้ทัศนียภาพทั้งหมดกลายเป็นสีดำไปแล้ว ดังนั้นผมจึงไม่สามารถรับรู้ได้ว่าเจ้าตัวกำลังทำสีหน้าหรือมองมาที่ผมด้วยสายตาแบบไหน
อันที่จริง… ผมก็นึกอยากเห็นสักครั้งนะ
อยากเห็นหน้ามัน… ตอนที่เรานอนด้วยกัน
“นายอยากได้ยินคำว่ารักเหรอ” เสียงทุ้มต่ำกระซิบอยู่ข้างใบหูผมทำเอาผมสะดุ้งสุดตัวเพราะไม่ทันตั้งตัว รู้สึกได้เลยว่าหน้าขอตัวเองร้อนขึ้น จากนั้นลิ้นสากของคนที่อยู่ข้างๆ ก็ไล้ลงมาบนใบหู อ๊ากกกก ให้ตายเถอะ ผมไม่เคยรับมือได้เลยเวลาหมอนี่ทำแบบนี้
“ละ… โลแกน”
“ชู่”
เสียงนั้นดังขึ้นมาพร้อมกับตอนที่มือของอีกฝ่ายดันลงมาบนแผ่นอกผม ออกแรงให้ผมล้มตัวลงนอนบนโซฟา
อ่า… ที่นี่อีกแล้วเหรอ แต่ก็อย่างว่าน่ะนะ ใช่ว่าบ้านเราจะมีที่ให้ทำเยอะแยะซะเมื่อไหร่ บนเตียงในห้องนอนก็ทำจนเป็นปกติไปแล้ว อีกไม่นานบนโซฟานี่ก็คงกลายเป็นเรื่องปกติไปด้วยเหมือนกัน
เอ… ไม่สิ หรือว่าเป็นไปแล้วหว่า?
ผมรู้สึกได้ถึงร่างที่ค่อยๆ คลานขึ้นมาบนตัวผม เจ้าตัวโน้มหน้าลงมาต่ำ แต่ก็ไม่ถึงเสียที ผมเลยตัดสินใจเอื้อมมือไปโอบรอบลำคอของตัวจากนั้นก็ดึงมันลงมาให้ริมฝีปากทาบกับปากผมอย่างรวดเร็ว รู้สึกได้เลยว่าโลแกนชะงักไปนิดหนึ่งด้วยความตกใจ คาดไม่ถึง หากวินาทีต่อมาเจ้าตัวก็เริ่มจูบผมตอบ ดันลิ้นร้อนของตัวเองเข้ามาในโพรงปาก จากนั้นก็รุกเข้ามาเรื่อยๆ
อ่า… ให้ตาย… รู้สึกดีเป็นบ้า อยากจะให้เวลาทุกอย่างหยุดลงตรงนี้เลย
ไม่ต้องคิดว่าหมอนี่เป็นใคร ไม่ต้องคิดว่าตัวผมเป็นใคร ไม่ต้องสนอะไรทั้งนั้นแล้วก็ปล่อยให้ทั้งโลกนี้มีแค่เราสองคน
มือหนาของคนด้านบนเริ่มเลื่อนมาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตผมแล้ว อ่า… ใช่ วันนี้ตอนเช้าผมมีอัดวิดีโอตอนตัวเองเล่นเปียโนเพื่อจะนำส่งไปพร้อมกับใบสมัครทุน จากนั้นถึงเลยไปทำงานพิเศษต่อแล้วค่อยกลับมาบ้าน แล้วก็มาจบอยู่ที่ตรงนี้
คนด้านบนผมผละจูบไปอย่างอ้อยอิ่ง จากนั้นก็เริ่มไล้สันจมูกลงบนซอกคอ บริเวณที่ถูกสัมผัสทั้งหมดร้อนวูบขึ้นมาทันที
ผมไม่คิดจะขัดขืนหมอนี่ตั้งแต่แรกแล้ว เพราะงั้นก็แค่ปล่อยให้มันทำอย่างนี้ต่อไปเหมือนอย่างทุกครั้งก็เท่านั้น
ผมได้ยินเสียงครวญครางของตัวเองดังออกมาจากริมฝีปาก เอาจริงๆ มันเป็นเสียงที่ค่อนข้างจะน่าอาย และถ้าเป็นได้ ผมคงอยากจะควบคุมมันให้มันเลิกดังออกมาจากริมฝีปากผมเสียที แต่ก็แน่ล่ะว่าเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้
โลแกนเริ่มพรมจูบลงบนซอกคอผม ไล้ลงไปต่ำจนถึงบริเวณอกที่ตอนนี้กระดุมถูกปลดออกไปเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างกำลังไปได้ตมลำดับขั้นตอนของมัน และมันเริ่มทำให้ผมเริ่มเคลิ้มแล้ว
ผมหอบหายใจเบาๆ ขณะเลื่อนมือไปจับเส้นผมสีทองของคนด้านบน รู้สึกความต้องการของร่งกายที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นโลแกนก็ขยับตัวขึ้นมานิดแล้วก้มลงพูดกับผมข้างๆ หู
“ลูคัส”
“อะ… อะไร”
“ตอนที่เราทำกันอยู่แบบนี้เนี่ย” เสียงนั้นเอ่ยถาม “นายคิดถึงใครเหรอ?”
“หา???”
ถามบ้าอะไรของมันวะ…
“ก็นายบอกว่า” โลแกนพูดพร้อมกับล้วงมือไปใต้กางเกงของผม นั่นทำให้ผมสะดุ้งอีกเฮือกทันที “นายขยะแขยงที่นอนกับฉันไม่ใช่เหรอ”
“อ๊ะ…!!”
“งั้น… นายกำลังคิดถึงใครอยู่ล่ะ ลูคัส ใครกันเหรอที่ทำให้นายรู้สึกดีได้ขนาดนั้น?”
โอ๊ย… ปัดโธ่เว้ย…
แล้วผมจะไปคิดถึงใครได้นอกจากมันกันล่ะ?
..............
ลูคัสรู้สึกได้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าผละออกไป ชายหนุ่มปล่อยให้ตัวเองหอบหายใจเบาๆ ได้ยินเสียงคนที่อยู่ในห้องอีกคนหยิบอะไรบางอย่างออกมา เสียงฉีกดังแควกที่ดังเข้ามาในหูให้ได้ยินทำให้ลูคัสเดาได้ทันทีว่าเจ้าตัวดีคงไปหยิบถุงยางมาเตรียม… ก็สมควรจะเป็นงั้น เรื่องการป้องกันนี่เป็นสิ่งที่เขาเจ้ากี้เจ้าการบอกโลแกนมาตั้งนานแล้ว เจ้าตัวก็ทำตามบ้างไม่ทำตามบ้างแล้วแต่อารมณ์ แต่ขอทีเถอะ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ เสียเวลาแค่ไม่กี่นาที ทำให้มันปลอดภัยดีกว่า
แต่ก็อย่างว่าอีก… น้องชายฝาแฝดของเขาไม่ได้สนเรื่องพรรค์นั้นเท่าไรหรอก วันก่อนยังไปวิ่งสู้ฟัดกับพวกคนน่ากลัวๆ มาแล้วเลย เพราะงั้นเรื่องบนเตียง… ถ้าไม่ใช้เพราะเขาคอยบ่นปากจะฉีกถึงหู เจ้าตัวคงไม่คิดจะขวนขวสยไปหาถุงยางอนามัยมาใส่หรอก
โซฟาที่ร่างของลูคัสนอนราบไปอยู่ยวบลงไปอีกครั้งหนึ่งตามแรงของโลแกนที่ปีนขึ้นมา คนด้านล่างรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นดังขึ้นเมื่ออีกฝ่ายโน้มตัวเข้ามาใกล้ เลื่อนมือมาดึงมือเขาไปอย่างถือวิสาสะ จากนั้นก็วางมือของลูคัสลงบนส่วนกลางของร่างกายตัวเองปล่อยให้คนด้านล่างที่รู้หน้าที่ดีสร้างความบันเทิงให้มันไป
ลูคัสขยับฝ่ามือรูดขึ้นลงอย่างกล้าๆ กลัวๆ ในตอนแรก หากเพิ่มความเร็วเข้าไปมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ได้ยินเสียงโลแกนครางออกมาเบาๆ อย่างพึงพอใจ จากนั้นเจ้าตัวดีก็ถามคำถามที่เขายังไม่ได้ตอบซ้ำอีกรอบ
“ว่าไง ลูคัส”
“อะไร” เจ้าตัวแกล้งทำเฉไฉ ใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นแต่ก็ยังคงพยายามรักษาน้ำเสียงให้เป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“นายยังไม่ได้บอกเลยว่านายคิดถึงใครตอนที่กำลังมีเซ็กส์กับฉัน”
“แล้วฉันจำเป็นต้องนึกถึงใครด้วยเหรอ” จากนั้นคนพูดก็ต้องครางเสียงหวานออกมาเบาๆ เมื่อโลแกนเลื่อนริมฝีปากลงมาขบลงบนยอดอกของเขา เย้าหยอกอยู่อย่างนั้น จากนั้นก็เริ่มเลื่อนไปยังบริเวณรอบๆ แล้วไล้ต่ำลงไปถึงสะดือ
ลูคัสเกร็งตัวด้วยความเสียวซ่าน หลุดเสียงครางที่เหมือนเป็นคำพูดอะไรบางอย่างที่ไม่มีความหมายออกมา ก่อนจะต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อโลแกนเลื่อนหน้าต่ำ ซุกลงบนต้นขาของเขา ขบริมฝีปากลงบนนั้นจนเหลือเป็นรอยแดงจ้ำๆ จากนั้นก็เลื่อนริมฝีปากลงไปครอบส่วนอ่อนไหวของเจ้าตัวเร็วๆ ชอบใจที่ได้เห็นคนด้านล่างดิ้นพร้อมกับครางออกมาอย่างสุขสมในอารมณ์ เขาชอบอยู่แล้วเวลาที่เหมือนได้เป็นฝ่ายได้ควบคุมหมอนี่เอาไว้ได้แบบนี้
“อ่า…. ละ… โลแกน”
“อะไร จะบอกว่ากำลังคิดถึงฉันอยู่เหรอ” เจ้าตัวว่าพร้อมกับสอดนิ้วเข้าไปที่โพรงด้านหลังสองนิ้วพร้อมกันเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายก็โชกโชนเรื่องนี้มาไม่น้อยเหมือนกัน พวกเขาสองคนลงสนามกันมานับนิ้วไม่ถ้วนแล้ว เพราะงั้นร่างกายของลูคัสก็น่าจะรับมือกับมันได้
“อะ… อ๊ะ!!! ” ชายหนุ่มเกร็งปลายเท้าที่ลอยอยู่กลางอากาศเพราะโลแกนยึดข้อพับขาทั้งสองข้างด้วยมือกำยำของตัวเองเอาไว้ และเมื่อเห็นว่าคนด้านล่างไม่เจ็บปวดอะไร โลแกนก็ค่อยๆ สอดร่างกายของตัวเองเข้าไปในร่างของอีกฝ่าย ไม่ได้อย่างเชื่องช้าอ่อนโยน แต่ก็ไม่ได้รวดเร็วรุนแรงอะไร ก็แค่จังหวะปกติของเขาเท่านั้น
“อะ!! ” ลูคัสร้องออกมาเฮือกหนึ่งเมื่อร่างของอีกฝ่ายแทรกผ่านเข้ามาจนสุด
ชายหนุ่มเอื้อมมือเปะปะไปจิกลงบนโซฟาที่หนังหุ้มของมันแทบจะลอกออกเป็นแผ่นๆ อยู่แล้วเนื่องจากผ่านการใช้งานมาอย่างยาวนาน แถมยังต้อฝมาเจอพวกเขาทำกิจกรรมบนเตียงนอกสถานที่กันแบนี้อีก บางทีอาจต้องถือเวลาซื้อโซฟาใหม่…
“นี่ ลูคัส ว่าไง” คนข้างบนถามย้ำอีกรอบด้วยน้ำเสียงที่เหมือนนึกสนุก กระแทกสะโพกลงไปเป็นจังหวะพร้อมๆ กัน ลูคัสชักไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตกลงหมอนั่นอยากได้คำตอบจริงๆ หรือกำลังแกล้งปั่นหัวเขาเล่น
แต่ไม่ว่าจะยังไง… เขาไม่มีทางยอมให้น้องชายของตัวเองปั่นหัวอยู่แค่ฝ่ายเดียวแน่
“มะ… ไม่เกี่ยวกับนาย” พูดไปแล้วลูคัสก็ต้องสะดุ้งอีกเฮือกเพราะโลแกนดันตัวเข้ามารุนแรงมากขึ้น จากนั้นก็เพิ่มความเร็วร่างที่สอดแทรกเข้ามาในตัวเขา ทำเอาคนที่ถูกปิดตาอยู่แทบคลั่งกับสัมผัสรุนแรงที่เหมือนจะแผดเผาร่างกายของเขานั่น “อะ… อ๊ะ!! โลแกน”
“นั่นไง นายเรียกชื่อฉัน” แฝดคนน้องพูดด้วยน้ำเสียงมีชัย เหงื่อเม็ดหนึ่งไหลลงมาจนถึงแก้มเพราะอุณภูมิของร่างกายพวกเขาที่สูงขึ้นเรื่อยๆ รวมไปถึงอารมณ์ทางกายที่ไม่ว่าจะเติมเต็มเท่าไรก็เหมือนยังไม่สุขสมสักที “เรียกชื่อกันขนาดนี้ แล้วยังจะมาทำเป็นปากแข็งอีก”
“แฮ่ก… ละ… แล้วถ้าฉันไม่เรียกชื่อนาย จะไป… อ๊ะ! เรียกชื่อ… หมาที่ไหนวะ!? ”
“นี่ ลูคัส” โลแกนขยับตัวเข้ามา เลื่อนมือไปกุมส่วนแกนกลางของร่างอีกฝ่าย จากนั้นก็ออกแรงกดหัวแม่โป้งลงบนส่วนปลายอย่างรู้งาน ลูคัสร้องออกมาอย่างตกใจ จากนั้นก็เริ่มดิ้นเร่าๆ เมื่อมือแกร่งข้างนั้นรูดขึ้นลงกับส่วนอ่อนไหวของเขาเป็นจังหวะเดียวกับที่โลแกนกระแทกร่างเข้าออกด้วยความแรงที่เพิ่มมากขึ้น เขารู้สึกเหมือนคิดอะไรไม่ออกแล้ว
“อะ… อะ…..”
“นายเคยบอกว่าชอบฉันไม่ใช่เหรอ” โลแกนพูดพร้อมกับยกยิ้มน้อยๆ อย่างพอใจ เหมือนได้พี่ชายของเขามาอยู่ในกำมืออย่างไรอย่างนั้น อยากแกล้ง… อยากให้เจ้าตัวร่ำร้องหาเขามากกว่านี้
“ฉะ… ฉันไม่เคยพูด” แต่อีกฝ่ายไม่ยอมง่ายๆ แม้ว่าร่างกายทุกส่วนจะอ่อนระทวยไปกับทุกสัมผัสของคนด้านบนก็ตาม “ไม่เคยพูดว่าชอบนายสักครั้ง… อ๊ะ!! อ๊า… โลแกน! ”
“โกหก” โลแกนกระแทกสะโพกเข้าไปอีกรอบ ลูคัสกัดฟันแน่นเพราะความรู้สึกเสียวซ่านที่พวยพุ่งอยู่ อยากจะระบายมันออก แต่เจ้าตัวดีก็กดนิ้วโป้งลงบนยอดปลายตรงส่วนนั้นของเขาแน่น
“ละ… โลแกน” เสียงนั้นอ้อนวอน หากชายหนุ่มด้านบนไม่สน
“นายไม่เคยพูดว่าชอบ แต่เคยพูดอะไรทำนองนั้น เพราะงั้นมันก็ยังเป็นความหมายนั้นอยู่ดี แล้วอย่าว่างั้นว่างี้เลย ต่อให้นายจะบอกว่าไม่ชอบฉันตอนนี้ แต่ร่างกายนายน่ะ ชอบฉันสุดๆ ไปเลย ไม่คิดงั้นเหรอ? ”
“หนะ… หนวกหู!! ไอ้คนหลงตัวเอง! ”
โลแกนยกยิ้มกับข้อกล่าวหานั้น ก่อนเขาจะทำให้พี่ชายฝาแฝดของตัวเองสะดุ้งอีกเฮือกโดยการถอนร่างของตัวเองออกจากอีกฝ่าย จากนั้นก็ผละมือที่กุมส่วนนั้นเอาไว้อยู่ออกเสียดื้อๆ
ลูคัสหอบหายใจถี่ ราวกับความสุขสมทางอารมณ์ที่ได้มาถูกกระชากออกไปอย่างไร้ความปราณี
เขาต้องการ… เขาอยากเติมเต็มความปรารถนาที่ล้นปรี่แต่ไม่สามารถหาทางออกได้ของร่างกาย ดังนั้นเจ้าตัวจึงเริ่มครางเสียงแผ่วอย่างอ้อนวอน แต่ยังใจแข็งพอที่จะไม่พูดขอร้องออกมาตรงๆ
โลแกนเลื่อนมือ ขยับร่างของแฝดผู้พี่ให้พลิกตัวคว่ำลงแล้วเอาเข่ายันกับโซฟาไว้ จากนั้นก็เลื่อนแกนกลางบนร่างของตัวเองลงถูกับต้นขาที่สั่นระริกของลูคัสให้อีกฝ่ายได้สะดุ้งเล่นอีกรอบ
“นายบอกว่านายชอบฉัน”
“มะ… ไม่…เคย”
“เคย”
“!!!!! ” ลูคัสร้องออกมาไม่เป็นภาษาอย่างอัดอั้น เขาอยากจะได้ส่วนนั้นของโลแกนจะแย่อยู่แล้ว แต่กลับต้องมานั่งเถียงกับมันเรื่องนี้งั้นเหรอ!?
“ก็… ได้…” ลูคัสกัดฟันกรอด พูดออกมาอย่างจำยอม แต่ถึงทีที่โลแกนจะไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ บ้าง
“แล้วตกลงนายคิดถึงใครตอนที่มีเซ็กส์กับฉัน”
“ฉันคิดถึงตัวเอง! ” แม่ง… เมื่อไหร่จะเลิกถามอะไรไร้สาระแล้วจัดการให้มันเสร็จๆ ไปสักที…
“อืม… ก็ฟังดูสมเหตุสมผลนะ เพราะว่าฉันหน้าเหมือนนาย นายคิดถึงฉัน… มันก็คงเหมือนคิดถึงตัวเองไปด้วยในตัวมั้ง” เจ้าตัวแสบยกมือขึ้นลูบคางอย่างครุ่นคิด ลูคัสเริ่มทุบกำปั้นลงบนโซฟารัวๆ อย่างขัดใจ
“โลแกน!!! ”
“แต่นายไม่คิดว่ามันแปลกๆ เหรอ? ” โลแกนเลิกแกล้งคนตรงหน้า สอดร่างของตัวเองเข้าไปร่างของอีกฝ่ายอีกครั้ง หากมือเลื่อนไปปิดไม่ให้คนในอ้อมแขนถึงจุดสุดยอดก่อนเขา นั่นทำเอาลูคัสแทบคลั่งกับอารมณ์ในกามที่ไม่ได้รับการปลดปล่อยนี่เสียที
“อา…. อา…. โลแกน ได้โปรด” เขาหลุดคำพูดนั้นออกมาจนได้ แถมยังด้วยน้ำเสียงที่อ่อนระทวยสุดๆ และไม่ต้องแปลกใจเลย นั่นทำให้โลแกนได้ใจเข้าไปอีก
“นายชอบฉัน แต่ในขณะเดียวกันนายก็ขยะแขยงฉันด้วย? ” ชายหนุ่มแสร้งพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนประหลาดใจจริงๆ หากไอ้อาการเหมือนไม่รู้ไม่ชี้นั่นยิ่งทำเอาลูคัสอยากจะเอาหัวมันโขกกับพนังบ้านแรงๆ สักร้อยที “นี่ ลูคัส อธิบายให้ฉันฟังหน่อยสิ นะ… ที่รัก”
คำที่อีกฝ่ายเรียกเขาทำเอาขนลุกซู่เลยทีเดียว
“แฮ่ก… ฉะ… ฉัน… ไม่ได้รังเกียจนาย” เขาเรียบเรียงคำพูดออกมาได้ในที่สุด ศอกทั้งสองข้างสั่นเทาขึ้นมาเล็กน้อยเพราะต้องรับน้ำหนักตัวไม่ให้เขาฟุบหน้าลงไปบนโซฟาตอนนี้
“หืม? ” โลแกนก็รู้ตัวว่าแกล้งพี่ชายเท่านี้น่าจะเพียงพอแล้ว แต่นิสัยเขา… เป็นแบบนี้ทุกทีสิน่า พอได้แกล้งหมอนี่ทีไรแล้วก็นึกอยากแกล้งต่อไปเรื่อยๆ “แต่ตอนนั้นนายพูดว่าขยะแขยงนี่ ตอนช่วงแรกๆ ที่เรามีเซ็กส์กัน นายจำได้ไหม”
“นั่นมัน…” ลูคัสครางเสียงอ่อย เหมือนจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ น้ำเสียงตัดพ้อเหมือนจะร้องขอว่า… ไว้เราค่อยพูดเรื่องนั้นกันทีหลังไม่ได้เหรอ?
“ว่าไง” โลแกนยกยิ้ม สังเกตเห็นเหมือนกันว่าผ้าที่ปิดตาของลูคัสเริ่มคลายลงมาเล็กน้อย เห็นสภาพครึ่งๆ กลางๆ แบบนั้นแล้วเขาอยากจะกระชากมันออก… หากเสียงหวานที่ติดจะสั่นเล็กน้อยพูดขึ้นมาเสียก่อน
“ฉัน… ไม่ได้… รังเกียจ หรือว่าขยะแขยงนายสักหน่อย” ไม่อย่างนั้นคงไม่ยอมนอนด้วยหรอก…
“อ้าว”
“ฉัน… ขยะแขยงตัวเองต่างหาก”
คำตอบนั้นทำให้โลแกนชะงักไปจริงๆ ผ้าสีขาวผืนนั้นค่อยๆ เลื่อนหล่นลงมา และมันทำให้เขาสามารถมองเห็นนัยน์ตาสีฟ้าของอีกฝ่ายที่หลุบต่ำลงอย่างอายๆ นั่นได้ชัดเจน
โลแกนรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเต้นรัวขึ้น ใบหน้าก็แดงขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ บางทีพวกเขาสองคนอาจจะเพี้ยนไปแล้วจริงๆ อย่างที่ลูคัสเคยค่อนก็ได้
“นาย… จะขยะแขยงตัวเองด้วยเรื่องอะไร” โลแกนถามอย่างไม่เข้าใจ จากนั้นเขาก็เลื่อนมือมายึดที่เอวของพี่ชายที่บางกว่าของเขา กระแทกตัวลงไปเรียกเสียงหวานๆ ให้หลุดออกมาอีกระลอก
“ก็… ฉันเป็นพี่ชายนาย… อ๊ะ... นี่”
“แล้วไง”
โลแกนเม้มปากแน่นขึ้น ก้มหน้าลงต่ำก่อนจะพูดตอบเสียงเบาเหมือนกำลังกระซิบ
“ก็การที่ฉันปล่อยให้น้องชายตัวเองทำเรื่องแบบนี้… โดยไม่ห้าม แถม… ส่วนหนึ่งยังเป็นความต้องการของตัวเอง… อีก… มันก็… ต้องน่าขยะแขยงอยู่แล้ว”
โลแกนนิ่งอึ้งไป อันที่จริง เจ้าตัวอ้าปากค้างออกมาเหมือนไม่อยากจะเชื่อแล้วด้วยซ้ำ
“เพราะงั้น… อย่างน้อย ถ้าฉันไม่ต้องเห็นหน้านาย…” ลูคัสพยายามเรียบเรียงคำพูดต่อ “มันคงช่วยให้ฉันรู้สึกแย่กับตัวเอง… น้อย… ลง… ดะ… เดี๋ยวก่อน โลแกน ทำอะไรน่ะ!!? ”
แฝดคนพี่ร้องเสียงหลงเมื่อเจ้าตัวแสบเลื่อนมือมาแล้วกระชากผ้าที่ปิดตาของเขาออก ลูคัสหันกลับมามองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าแดงเถือกไปทั้งแถบ นัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยสะท้อนออกมาให้เห็นถึงความรู้สึกที่อยู่ภายในจนหมดเปลือก และนั่นกระแทกใจของคนมองอย่างแรง อย่างที่โลแกนไม่คิดว่าเขาเคยรู้สึกอะไรแบบนี้มาก่อน
บางที… บางทีเมแกน พี่สาวของเขาอาจจะพูดถูกเรื่องความรัก บางที… มันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่เขาไม่เข้าใจอย่างที่ตัวเองคิดก็ได้
โลแกนเลื่อนมือไปยึดเอวของลูคัสให้มั่นขึ้น จากนั้นก็กระแทกตัวลงไปอีกรอบเป็นจังหวะที่เร็วและแรงมากขึ้น ทำเอาลูคัสสะดุ้งเฮือกแรงๆ เพราะตั้งตัวไม่ทัน
“อะ...อา…” ลูคัสครางออกมาเบาๆ หลังจากที่ปลดปล่อยอารมณ์ที่คั่งค้างเอาไว้อยู่นานออกมาในที่สุด ก่อนเจ้าตัวจะต้องสะดุ้งอีกรอบเมื่อโลแกนพลิกตัวเขาให้หันกลับมานอนหงายแล้วดึงข้อเท้าเขา ลากเข้าไปแนบชิดกับเจ้าตัวอีกรอบ
“ขออีกรอบนะ” โลแกนโกหก เพราะอีกรอบน่ะ มันไม่มีทางพออยู่แล้ว “รอบนี้ขอให้ฉันมองหน้านายแบบนี้ อ๊ะ… ห้ามยกแขนปิดตานะ ไม่งั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือน นี่ฉันพูดจริงๆ นะ ลูคัส”
“เออ” ลูคัสแทบจะคำรามออกมาทั้งๆ ที่ใบหน้ายังแดงระเรื่อ “อย่างนายน่ะ… มีพูดไม่จริงสักครั้งด้วยเหรอ”
“ไม่มี” โลแกนยกยิ้มหวานทันที จากนั้นก็ขยับให้ร่านั้นเข้ามาสอดประสานกับตนอีกครั้ง
บางที… เขาอาจเจออะไรที่ชวนให้เสพติดมากกว่ายาพวกนั้นแล้วก็ได้