My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด[จบแล้ว][Updateเรื่องรวมเล่ม]P.7
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด[จบแล้ว][Updateเรื่องรวมเล่ม]P.7  (อ่าน 70023 ครั้ง)

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 16

(Mode: Logan Collins)




ผมกำลังนอนแนบศีรษะลงบนโต๊ะกินข้าวที่อยู่บริเวณห้องนั่งเล่น ตรงหน้ามีถ้วยกาแฟที่ยังร้อนกรุ่น มีควันลอยออกมาจากถ้วย เยื้องไปข้างๆ คือกระจกเงาขนาดเล็กที่ส่องได้แค่เฉพาะใบหน้า ในนั้นมีภาพสะท้อนของเมแกน พี่สาวคนสวยผมแดงของผมสะท้อนออกมา เจ้าหล่อนเองก็กำลังดื่มด่ำกับกาแฟถ้วยโปรดของตัวเองอยู่เช่นกัน ฉากเบื้องหลังของเจ้าหล่อนก็ยังอยู่ในพื้นนรกสีดำตัดกับเปลวไฟสีแดงฉานที่ระอุขึ้นเป็นจุดๆ เหมือนกับควันที่ลอยออกมาจากถ้วยกาแฟ

ผิดแต่ว่าผมไม่ได้กำลังดื่มด่ำกับกาแฟดำของตัวเอง แต่กำลังตีหน้าเซ็งเหมือนคนเบื่อโลก นี่คือสิ่งที่ผมเห็นจากเงาสะท้อนในกระจกนะ แน่นอนว่าผมยังหล่อเหลาเหมือนเดิม แต่ไอ้ความเซ็งที่มันเพิ่มเข้ามานี่สิ เออ แต่ถึงเซ็งก็ยังหน้าตาดีอยู่นะ คนอะไรก็ไม่รู้ หล่อทุกอิริยบท

โอเค… เราค่อยมาเจียระไนเรื่องความหล่อของผมทีหลังก็ได้ เพราะตอนนี้ผมกำลังเซ็งสุดขีด แล้วก็ประจวบเหมาะกับที่พี่สาวตัวดีของผมติดต่อมา

“อะไรกันน้องรัก ทำหน้าเบื่อโลกอะไรแบบนั้น เห็นนายเซ็งขนาดนั้น ฉันเองก็นึกอยากเซ็งตามไปด้วย”

ผมมองตามคนที่ปากพูดอย่างแต่สีหน้าเป็นอีกอย่างด้วยอารมณ์ที่เซ็งหนักยิ่งกว่าเดิม ตอนนี้หญิงสาวผมแดงวางถ้วยกาแฟของตัวเองลงบนจานรองแล้วหันมาละเลียดลงสีเล็บที่อยู่บนมือของตัวเองอย่างประณีตด้วยสีหน้าที่มีความสุขอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ นี่ยัยนี่เซ็งสุดได้แค่นี้ใช่ไหม

“เซ็งตรงไหน ผมก็เห็นพี่ออกจะแฮปปี้ดี”

“อุ๊ย นายคิดไปเองแล้ว ฉันกำลังเซ็งอยู่ ไม่เห็นรึไง” เมแกนว่าก่อนจะหัวเราะคิกคัก มองเล็บที่ถูกแต่งแต้มสีสันของตัวเองอย่างพอใจ นี่ถ้าผมอยู่ตรงนั้นจะช่วยเอาของเหลวสีแดงนั่นเทรดใส่หัวยัยนี่ไปเลย เผื่อมันจะแดงได้มากกว่านี้

“แล้วนี่นายเป็นอะไร น้องรัก” เจ้าหล่อนถามเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ “มีอะไรทำไมไม่เล่าให้พี่สาวคนสวยฟังล่ะ เผื่อจะช่วยให้คำปรึกษาได้”

ก็กำลังจะเล่าไง แต่เจ้าหล่อนดันเอาแต่สนใจตัวเอง

“แต่เดี๋ยวก่อนนะ ก่อนที่นายจะเริ่ม” เจ้าหล่อนยกนิ้วขึ้นมาตรงหน้า ริมฝีปากสีแดงเหยียดกว้างอย่างอารมณ์ดี “ได้ข่าวว่านายงาบพี่ชายฝาแฝดนายไปแล้วนี่ไอ้น้อง แหมๆๆ ร้ายไม่เบานะยะ ห้ามไม่ให้ฉันยุ่งกับเขา ที่แท้ตัวเองเก็บไว้กินเอง”

เอ้า เอาเลย เต็มที่ สรุปจะมีช่องให้ผมได้พูดอะไรกับเขาบ้างไหมเนี่ย

“เออ แต่หมอนั่นก็ดูน่าอร่อยจริง แต่ไม่เป็นไร ตอนนี้ฉันมีเป้าหมายรายใหม่ เป็นหนุ่มผู้ดีจากอังกฤษ มาดนี่เหลือรับประทานมาก ผมสีน้ำตาลแดงนั่นก็ไม่มีที่ติ นี่ยังไม่นับรวมเรื่องการศึกษา ความมีหน้ามีตาในสังคม เงินทองชื่อเสีย--”

“นี่สรุปพี่ติดต่อผมมานี่เพื่อจะเล่าเรื่องผู้ชายคนใหม่ให้ฟังใช่ไหม” ผมพูดขัดอย่างอดไม่อยู่ ไม่แปลกใจเลยเมื่อเจ้าหล่อนหันหน้ากลับมาส่งยิ้มหวานที่แทบจะฉีกไปถึงหู

“ช่าย”

“งั้นผมไปล่ะ”

“เดี๋ยวๆๆๆ โธ่ แค่นี้ก็ทำเป็นน้อยใจ งั้นน้องรักลองเล่าปัญหาของตัวเองมาให้พี่สาวฟังสิ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะช่วยอะไรได้ไหม แต่อย่างน้อยก็ได้ระบายออกมาบ้างน้า”

ผมนิ่งงันไปนิดหนึ่ง จริงอยู่ที่ว่าการหวังจะพึ่งยัยนี่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่มากเกินไป แต่บางที… ถ้าได้พูดออกไป บางทีผมอาจได้ทบทวนอะไรหลายๆ อย่างกับตัวเอง

“พี่คิดว่า” ผมเกริ่น “ปีศาจอย่างเราเนี่ยรักใครได้ไหม”

ปีศาจซัคคิวบัสนิ่งอึ้งไปอย่างคาดไม่ถึง ก่อนเจ้าหล่อนจะร้องวี้ดว้ายออกมาอย่างตื่นเต้นเกินเหตุ ทำเอาผมต้องกลอกตาขึ้นเพดานห้องอย่างอดไม่ได้ ว่าแล้วเชียวว่าไม่ควรพูดอะไรบ้าๆ กับยัยนี่

“ใคร!!? ใครๆๆๆ โลแกน เจ้าหน้าที่พิเศษสาวแสนสวยคนนั้นรึเปล่า อุ๊ยต๊าย… แรกเริ่มเดิมทีเหมือนจะไม่ถูกกัน แต่ไปๆ มาๆ กลับไปกันได้ดีเกินคาด คู่ปรับกลายเป็นคู่รัก นี่ยังไม่นับลีลาสุดเร่าร้อนของหล่อนบนเตียง”

“นี่พี่คอยตามดูผมทุกฝีก้าวเลยเหรอ” ผมถามออกมาเหมือนไม่อยากจะเชื่อ นี่วันๆ ที่นรกนี่ไม่มีอะไรให้ทำแล้วรึไง

“ขอตอบคำถามข้อแรกก่อน” เมแกนว่าอย่างตื่นเต้น “ทำไมปีศาจอย่างเราจะรักใครไม่ได้ล่ะจ๊ะ น้องรักจ๋า ดูพี่เป็นตัวอย่างสิ พี่สามารถมอบความรักให้แก่ผู้ชายบนโลกนี้มานับไม่ถ้วน แล้วแต่ละคนก็มอบความรักให้พี่กลับ”

“ในรูปแบบพลังงานชีวิตของพวกเขาน่ะเรอะ”

“ถูกต้อง!”

เออ ผมว่ามันมีอะไรผิดประเด็นไปหน่อยนะ

“นายอย่าไร้สาระไปหน่อยเลย โลแกน” เนท พี่ชายของผมอีกคนก้าวเข้ามา หลังกรอบแว่นของเจ้าตัวฉายให้เห็นนัยน์ตาคมกริบที่ดูเหมือนไม่ค่อยพอใจกับคำถามของผมสักเท่าไร “ท่านพ่อส่งนายไปที่โลกมนุษย์เพื่อทำงานนะ เรื่องบนเตียง… นายอยากจะเล่นเท่าไรก็เล่นไป แต่อย่าลืมจุดประสงค์หลักสิ รีบๆ ทำงานให้เสร็จแล้วก็กลับลงมาช่วยงานทางนี้บ้างได้แล้ว ไม่เห็นรึไงว่าคนฝั่งนี้มือเป็นระวิง”

ผมไม่เห็นวันๆ พวกพี่จะทำอะไรกันเลยนี่…

“แหม เนท อย่าพูดตัดรอนน้องแบบนั้นสิ” เมแกนหลิ่วตาลงอย่างขี้เล่น “อีกอย่าง โลแกนเองก็อยู่ในวัยที่สมควรมีความรักได้แล้ว อ่า ในที่สุดน้องชายฉันก็เข้าใจว่าความรักทำให้โลกใบนี้สวยงามมากแค่ไหน อย่าได้สนใจอะไรที่มาขวางกั้นมัน โลแกน พุ่งตรงเข้าไปเลย อะไรที่นายอยากได้นายก็ต้องได้ นายไม่ใช่คนธรรมดานะน้องรัก แต่เป็นลูกชายท่านลูซิเฟอร์ผู้ยิ่งใหญ่ นายอยากได้แม่สาวคนนั้นก็คว้าเธอมาเป็นของตัวเองเลย! ไม่เห้นต้องคิดอะไรให้มันยุ่งยาก”

“ไร้สาระ” เนทถอนหายใจแรงๆ ยกมือกอดอก ชายหนุ่มซึ่งเป็นพี่ชายคนโตของผมอยู่ในเสื้อเชิ้ตสีขาว เนคไทสีดำสนิท กางเกงสแลคอย่างเป็นทางการ ยิ่งมาบวกเข้ากับแว่นตาที่อยู่บนหน้าเจ้าตัวด้วยแล้วยิ่งทำให้เขาดูเอาจริงเอาจังมากเข้าไปใหญ่ ในขณะที่เมแกน พี่สาวคนรองผมแต่งตัวด้วยชุดกระโปรงสีแดงเพลิงยาวไปถึงตาตุ่ม หากด้านข้างแหวกลึกขึ้นมาจนถึงต้นขา เหมือนจะดูเรียบร้อย แต่เอาจริงๆ แล้วจี๊ดจ๊าดสุดๆ ช่างขัดแย้งอะไรกันแบบนี้นะ สองคนนี้

“ฟังนะ โลแกน” เนทขยับแว่นบนหน้า “ของแบบนั้นน่ะ มันก็เป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้น ไม่มีอยู่จริง ความรู้สึกอะไรพวกนั้นก็เป็นแค่สิ่งที่พวกมนุษย์นิยามคำจำกัดความขึ้นมาเอง นายอย่าทำตัวให้เหมือนพวกมนุษย์ด้านบนนั่นมากไปหน่อยเลย พอนายทำงานเสร็จแล้วนายก็ต้องกลับลงมาแล้ว เพราะงั้นเลิกเอาแต่เล่นแล้วก็รีบๆ ตั้งใจทำภารกิจให้เสร็จสักที”

“อย่าไปฟังเนทนะ โลแกน!”

โอย ปวดหัว บอกได้คำเดียวเลยว่าไม่น่าเริ่มประเด็นนี้ขึ้นมาเลย แล้วสองคนตรงหน้าผมนี่เลิกราง่ายๆ เสียที่ไหน

“ทำอะไรไม่สมเป็นนายเลย น้องรัก อยากจะทำอะไรก็ทำไป ไม่เห็นต้องกลัว อยากจะรักใครขึ้นมาจริงๆ ก็รักไปเลย! ใครจะไปสนกันล่ะ นี่รู้ไหมว่าล่าสุดฉันเพิ่งไปนอนกับผู้ชายที่เขาแต่งงานมีลูกแล้วมา เห็นไหมว่าฉันทุ่มเทกับความรักของตัวเองแค่ไหน”

เออ เลวบริสุทธิ์จริงๆ ด้วย ยัยนี่ ว่าแต่แบบนั้นก็เรียกว่ารักได้ด้วยเรอะ… ถ้าถามลูคัสล่ะก็ หมอนั่นคงต้องทำสีหน้าขยะแขยงกลับมาแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย

“แต่ฝ่ายชายเองเขาก็ไม่รู้ตัวไม่ใช่เรอะ” เนทหรี่ตาลงอย่างจับผิด เพราะซัคคิวบัสได้ชื่อว่าเป็นปีศาจสาวที่คอยเข้าฝันไปเรื่อยอยู่แล้ว

เมแกนหัวเราะคิก ก่อนจะยอมรับโดยดุษณี “แหม แต่เขาก็รับความรักฉันไปแล้วล่ะนะ นี่ โลแกน ว่าไง นายจะฟังฉันหรือจะฟังไอ้น่าเบื่อนี่”

อ้าว ไปๆ มาๆ กลายเป็นการแข่งกันของพี่ทั้งสองของผมไปแล้วเหรอ

“เออ จะว่าไป ก่อนหน้านี้ เรื่องลูคัสน่ะ” พอนึกถึงลูคัสขึ้นมา ผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “หมอนั่นน่ะ มองเห็นพวกพี่ด้วยนะ ตอนที่เราคุยกันครั้งก่อน”

“อ้าว ได้ไงอ่ะ” เมแกนถามอย่างแปลกใจ “ก็ก่อนหน้านี้ที่แล้วๆ มา หมอนั่นก็มองไม่เห็นไม่ใช่เหรอ”

“เพราะแฝดนายอยู่ใกล้นายล่ะสิ” เนทว่าพร้อมกันถอนหายใจเฮือก “นี่ล่ะน้า ดันเด้งไปอยู่กับแฝดแบบนี้ ไม่เห็นน่าแปลกเลยถ้าหมอนั่นจะได้รับอิทธิพลบางส่วนจากพลังของโลแกนเข้าไปด้วย ฉันเองก็เตือนท่านพ่อแล้วนะว่าอย่าแฝดเลย คราวนี้เลยมีเรื่องยุ่งยากตามมาเป็นพรวน”

“หมายความว่าที่หมอนั่นมองเห็นพวกพี่ เพราะอยู่ใกล้กับผมมากเกินไปเหรอ”

“แต่หมอนั่นเขาเป็นแฝดนายอยู่แล้วนี่ โลแกน ถ้าลองคิดดูดีๆ” เมแกนพูดพร้อมกับเอียงคอ “อาจจะเพราะแบบนั้นก็ได้นะ เขาว่ากันว่าแฝดมีสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกว่าพี่น้องทั่วๆ ไปด้วยไม่ใช่เหรอ ดังนั้นเหตุผลที่เขาเริ่มมองเห็นฝั่งนี้ก็อาจจะแค่เพราะเขาเป็นแฝดนายก็ได้”

เสียงเปิดประตูดังขึ้นมาแว่วๆ ให้ได้ยิน ผมไหวตัวนิดหนึ่งอย่างตกใจ ไม่ทันได้ดูเวลาเลย เย็นแบบนี้ หมอนั่นคงออกกะแล้วตรงดิ่งกลับบ้านแบบนี้เลยแท้ๆ ลืมนึกไป

“ผมต้องไปแล้ว ลูคัสมา”

“คุยกัน ไอ้น้อง”

“อย่าลืมรีบๆ ไปทำงานล่ะ”

“โอ๊ย นายนี่น่ารำคาญจริง เนท ให้โลแกนได้ใช้ช่วงเวลาวัยรุ่นบ้างได้ไหม” จากนั้นเสียงทุกอย่างก็ค่อยๆ แผ่วลงจนเงียบหายไป ผมคว่ำกระจกเงานั่นลงบนโต๊ะ เผื่อไว้ว่าภาพทั้งหมดยังไม่เลือนไป ลูคัสเดินเข้ามาในตัวบ้าน ถอดรองเท้าลวกๆ จากนั้นก็สลัดถุงเท้าด้านในแล้วโยนไปที่ตะกร้าซักผ้า เจ้าตัวหันหน้ามาทางผมที่มองมันอยู่นิดหนึ่ง

“ไง”

“อยากกินอะไรไหม” ผมถามขณะที่ตรงดิ่งไปที่ครัวเพราะความหิวเริ่มครอบงำกระเพาะ ลูคัสส่ายหน้าให้ผม นัยน์ตาสีฟ้าคู่นั้นหลุบไปมองอีกทางอย่างตั้งใจหลบหน้าผมอย่างชัดเจน

“ไม่เป็นไร ฉันกินมาแล้ว”

“นี่” ผมพูดอย่างหงุดหงิด คว้าผ้ากันเปื้อนขึ้นมาสวม จากนั้นก็พูดตรงๆ ไม่อ้อมค้อม “ถ้าคิดจะหลบหน้ากันล่ะก็ ช่วยทำให้มันชัดเจนน้อยกว่านี้ได้ไหม ทำไมไม่เอากล่องกระดาษมาครอบหน้าซะเลยล่ะ”

“อย่ารวนได้ไหม” ลูคัสว่าอย่างเหนื่อยอ่อน เปิดกระเป๋าสะพายของตัวเองพร้อมกับหยิบสมุดที่จดโน้ตเพลงออกมา “ฉันเหนื่อยจากงานพิเศษมามากแล้ว อย่าชวนทะเลาะเลย”

ผมเลยยักไหล่ส่งกลับไปให้มันทีหนึ่ง จากนั้นก็เดินไปเปิดตู้เย็น หยิบวัตถุดิบที่จะใช้ออกมาวางเรียงราย

ลงมือทำอาหารไปได้ครู่หนึ่ง เสียงหวานใสของเปียโนก็ลอยเข้ามากระทบโสตประสาทให้ได้ยิน ผมผละออกมาจากบริเวณครัวนิดหนึ่ง มองชายหนุ่มอีกคนผู้เป็นเจ้าของใบหน้าแบบเดียวกับผมบรรเลงเพลงเสียงหวานที่ปนมากับความเสร้าสร้อยคละเคล้าลงมาในบทเพลงนั้นอย่างลงตัว

ไม่รู้ทำไม แต่พอได้ยินเสียงบรรเลงนั่น มันทำให้ผมรับรู้ถึงความเศร้าของตัวคนเล่นได้ดีกว่าคำพูดใดๆ ผมเดินกลับเข้ามาในครัวเพื่อลงมือทำอาหารต่อ รู้สึกได้เลยว่าคิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันเรื่อยๆ

หมอนี่มันจะเศร้าอะไรนักหนาวะ มันเสียใจเรื่องอะไร เรื่องที่ฉันไม่ได้รักมันเหรอ? แต่ไม่ใช่ว่ามันรู้อยู่แล้วเหรอว่าฉันรักใครไม่เป็น

ผมปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งไปกับห้วงความคิดนั้นพร้อมๆ กับเสียงเปียโนของลูคัส นี่มันก็ผ่านมาหลายสัปดาห์แล้วตั้งแต่ที่ลูคัสเริ่มสร้างกำแพงที่มองไม่เห็นมาปิดไม่ให้ผมเข้าไป มันเป็นกำแพงที่ไม่ได้ปิดสนิท ผมยังคงสามารถพูดคุยทักทายกับมันได้เหมือนเดิม ชวนพี่ชายฝาแฝดของผมคุยเรื่องสัพเพเหระ เรื่องการบ้านที่โรงเรียนได้อย่างปกติ แต่พวกเราทั้งสองคนรู้ดีว่าไม่มีอะไรเหมือนเดิม

น่าอึดอัด… ไม่สิ น่ารำคาญมากกว่า พอลองมาคิดๆ ดูแล้ว ตอนที่ลูคัสอกหักจากโอลิเวียมานี่ หมอนี่ก็ทำตัวน่ารำคาญคล้ายๆ แบบนี้เหมือนกัน

แต่คราวนี้… มันดูหนักกว่าตอนนั้นซะอีก แล้วนี่มันจะพูดอะไร เป็นเพราะผมเหรอ? เพราะมันอกหักจากผมเหรอ? แล้วหมอนี่คิดยังไงขึ้นมาถึงได้มาคิดอะไรกับผมในแง่นั้น ในเมื่อตัวเองก็รู้จักผมดีที่สุดอยู่แล้วแท้ๆ

แล้วมันก็ทำให้หมอนั่นเจ็บ…

ไม่รู้ทำไม แต่ความคิดนั้นบีบรัดหัวใจที่อยู่บนอกข้างซ้ายของผมราวกับมีมือที่มองไม่เห็นมากดทับมัน

อึดอัด… อึดอัดเป็นบ้าเลย แล้วในสถานการณ์แบบนี้ผมควรจะทำยังไงล่ะ?

‘อยากจะทำอะไรก็ทำไป ไม่เห็นต้องกลัว อยากจะรักใครขึ้นมาจริงๆ ก็รักไปเลย!’

หา?? แล้วไอ้ของแบบนั้น… มันต้องทำยังไงล่ะ? ไม่เห็นเคยมีใครสอนเรื่องนี้ให้ผมเข้าใจเลยนี่ แม้แต่ในการเรียนการสอนขั้นพื้นฐานยังไม่มีเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ

เฮ้อ… แล้วทำไมผมต้องมาคิดเป็นตุเป็นตะกับอะไรไม่เข้าท่าแบบนี้ด้วยนะ น่ารำคาญตัวเองชะมัด








---------------------------------------
Talk: แฮ่~~ ขอบคุณทุกคนที่แวะเข้ามาอ่านมากเลย TvT ยังไงก็อย่าเพิ่งทิ้งกันไปก่อนนะคะะะะ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
โลแกน เริ่มรู้ถึงความรู้สึกของลูคัสและ  :z3: :z3: :z3:
ว่าลูคัส หลงรักตัวเอง

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
โลแกน เริ่มรู้ถึงความรู้สึกของลูคัสและ  :z3: :z3: :z3:
ว่าลูคัส หลงรักตัวเอง

ตามนั้นค่ะ คิคิ

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 17

 (Mode: Lucas Collins)





‘เป็นพี่น้องก็ต้องรักกันนะ’

‘ลูคัส ลูกเป็นพี่ ก็ต้องคอยปกป้องน้อง เข้าใจไหม’

‘ต้องเป็นที่พึ่งให้น้อง’

‘อย่าแสดงความอ่อนแอออกมาให้น้องเห็น’

‘ต้องทำตัวเข้มแข็ง แล้วก็คอยดูแลน้อง เข้าใจไหม’

น้ำเสียงอ่อนโยนที่แสดงถึงความอาทรต่อทั้งตัวผมและน้องชายฝาแฝดของผมดังก้องอยู่ในหัว ผมจำสัมผัสจากฝ่ามือของแม่ที่ไล้ลงมาบนเส้นผมได้ ทุกครั้งที่ผมฝันเห็นภาพนั้น มักจะมีคำพูดที่ฝากฝังน้องชายอีกคนของผมดังขึ้นในหัวอย่างอัตโนมัติราวกับมีใครตั้งค่าฉายซ้ำเอาไว้ในนั้น

ผมหลับตาแน่นลง รู้ดีว่าตัวเองอยู่ในความฝัน แต่ก็ไม่สามารถปลุกให้ตัวเองลืมตาตื่นขึ้นมาได้ รู้สึกถึงเหงื่อที่ชุ่มขึ้นตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ความร้อนระอุที่เกิดขึ้นมันทำให้ผมปวดหัว

ภาพคุณแม่ที่แสนอบอุ่นและชวนให้คำนึงหาจางหายไป จากนั้นมันก็ถูกแทนที่ด้วยภาพที่ข้าวของในบ้านกระจุยกระจายจากการทะเลาะเบาะแว้งกันของสองสามีภรรยา

มันเป็นปัญหาที่ไม่ใช่แค่ครอบครัวผมเท่านั้นที่เจอ เรื่องนั้นผมรู้ดี แต่ถึงจะรู้ดียังไงก็ไม่สามารถทำใจยอมรับและชินไปกับมันได้ ผมสะดุ้งตัวทุกครั้งเมื่อได้ยินเสียงอะไรแตก...เพล้ง! ดังขึ้นมาให้ได้ยินผ่านโสตประสาท

วันนั้นเป็นวันเกิดครบรอบอายุหกขวบ มีเทียนปักอยู่บนหน้าเค้กหกเล่ม ช่วงเวลาในตอนนั้นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากที่น้าลิซ่ามาฉลองให้เรา นำของขวัญมาให้ จากนั้นก็กลับไปยังบ้านของตัวเอง ผมจำได้ว่าตัวเองยืนมองหลังรถที่จากไปของน้า จากนั้นภาพก็ตัดมาอยู่ภายในตัวบ้าน

พ่อกับแม่ของเราทะเลาะกันอีกแล้ว ครั้งนี้มันรุนแรงยิ่งกว่าครั้งไหนๆ

ผมเขยิบตัวเข้าไปใกล้โลแกนที่ยืนอยู่ข้างๆ มากขึ้น เอื้อมมือไปบีบมือของอีกฝ่ายอย่างปลอบโยน แม่สอนผมให้คอยดูแลน้อง เพราะฉะนั้น ผมจะทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อปกป้องเขา

ผมจำความคิดของตัวเองในยามนั้นได้ดี ผมตั้งใจจะพาโลแกนขึ้นไปบนห้องเพื่อหลบเลี่ยงการปะทะระหว่างผู้ใหญ่ทั้งสอง หรือถ้าพูดให้ถูกก็คือหลบหลีกจากอารมณ์เกรี้ยวกราดของผู้เป็นพ่อที่ซดเหล้าเข้าไปไม่น้อยและตอนนี้แอลกอฮอล์ในกายกำลังออกฤทธิ์ บางทีเขาอาจจะเสพกัญชาหรือยาตัวอื่นมาด้วยก็ได้ ผมหมายถึง… ใครจะไปรู้?

จากนั้นแม่ของผมก็ล้มไปกองบนพื้น เลือดสีแดงไหลฉานไหลนองไปทั่วบริเวณราวกับเป็นแอ่งน้ำ เพียงแต่มันเป็นเลือดที่ไหลออกมาจากร่างของคนจริงๆ ก็เท่านั้น

ใช่ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นเป็นสิ่งที่ผมจำได้ดี แต่พอมาถึงตรงนี้ กลับมีอะไรหลายๆ อย่างที่ผสมปนเปกันชวนให้สับสน

พ่อของผมสาวเท้าเข้ามาหาพวกเราทั้งคู่ ใบหน้าของเขาแดงก่ำด้วยฤทธิ์น้ำเมา ในมือย้อมไปด้วยเลือดสีแดงฉานจากเลือดของผู้หญิงที่เขามีลูกด้วยถึงสองคน

ในมือข้างนั้นมีมีดทำครัวที่หลุดติดมาจากไหนและตอนไหนก็ไม่รู้ ผมคิดว่าแม่คงยกมันขึ้นมาเพื่อจะใช้ป้องกันตัว แต่พลาดท่าโดนอีกฝ่ายยึดไปและมันก็ย้อนกลับมาแทงตัวเอง

วินาทีนั้น ผมไม่คิดว่าตัวเองสามารถเรียกผู้ชายตรงหน้าได้ว่าพ่ออีกต่อไป

ผมถลาตัวไปยืนบังโลแกนแทบจะในทันที ในหัวตอนนั้นคิดอะไรไม่ออกจริงๆ รู้แต่ว่าต้องปกป้องน้องชายของผมก็เท่านั้น เหมือนเป็นสัญชาติญาณที่ฝังรากลึกลงไปในตัวมากกว่าจะได้คิดอะไรจริงๆ

ผมจำไม่ค่อยได้แล้วว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่จำได้ว่าร่างกายของตัวเองบอบช้ำแค่ไหนจากการรับลูกเตะและหมัดจากชายวัยกลางคนตรงหน้า

มีดที่อาบไปด้วยเลือดนั่นตกไปอยู่ที่พื้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ขอบคุณพระเจ้าที่ตอนนั้นเขาไม่ได้ใช้เจ้าของมีคมนั่นเสียบแทงทะลุตัวผมเหมือนอย่างที่เขาทำกับแม่ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่มีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้หรอก แต่ว่า…. ตรงนี้แหละ…

พอมันมาถึงตรงนี้แหละ ที่ภาพทุกอย่างกลายเป็นสีขาวโพลน และผมก็ไม่สามารถนึกถึงเรื่องราวในตอนนั้นได้อีก

เหมือนมันเป็นหลุมมิติอะไรบางอย่างที่ผุดแทรกขึ้นมาคั่นความทรงจำในวันนั้นของผมอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

อ่า… แย่จัง ฝันถึงเรื่องนี้อีกแล้ว… ทรมานจัง ทรมานจังเลย

แต่ผมรู้ดีว่าในตอนจบของฝันนั้นโลแกนจะถลาตัวเข้ามากอดผม พวกเราจะจับมือกัน รับรู้ถึงไออุ่นของกันและกัน รับรู้ว่าต่อจากนี้พวกเราทั้งคู่จะมีกันและกัน จากนั้นฝันร้ายนี่ก็จะจบ

แต่ว่า… ฝันคืนนี้ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร จุดจบที่ผมรออยู่นั่นก็มาไม่ถึงเสียที

โลแกนไม่เข้ามากอดผม พวกเราไม่ได้จับมือกัน

ใช่… เราเป็นพี่น้องกัน เราจะรักกันได้ยังไง











ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ความรู้สึกในตอนนี้ เหมือนมีอะไรบางอย่างเต้นตุบๆ อยู่ในหัว เหมือนมันพยายามจะแหวกออกมาจากสมองของผม

ปวดหัว... แล้วก็ร้อนเป็นบ้าเลย

ผมค่อยๆ พยุงตัวเองขึ้นมานั่งบนเตียง หอบหายใจเบาๆ อย่างสม่ำเสมอราวกับเพิ่งไปวิ่งจ็อกกิ้งที่สวนสาธารณะ มันไม่ได้หนักหน่วงถึงขนาดหายใจไม่ออก แต่มันก็ไม่ได้สบายอย่างที่คนเพิ่งตื่นนอนขึ้นมาควรจะรู้สึกเช่นกัน

ผมก้มมองฝ่ามือของตัวเองที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ ยกมันขึ้นลูบใบหน้าที่เมื่อสัมผัสลงไปแล้ว ผมก็รับรู้ได้ว่าหน้าผมเองก็เต็มไปด้วยเหงื่อเช่นเดียวกัน

เสียงหัวใจในอกข้างซ้ายยังคงเต้นตุบๆ ดังพอๆ กับสิ่งที่เต้นอยู่ในหัวของผมไม่มีผิดเพี้ยน หากสิ่งที่เต้นอยู่ในอกนำพามาซึ่งความรู้สึกหวาดกลัวและทำให้มือไม้เย็นเฉียบแม้มันจะชุ่มไปด้วยเหงื่อ

ผมหันมองไปที่ข้างเตียง และแน่นอน มันว่างเปล่า ก็แน่ล่ะสิ ขนาดเตียงที่ผมอยู่เป็นเตียงเดี่ยวหนึ่ง และนี่ก็เป็นห้องของน้าลิซ่า ไม่ใช่ห้องที่พวกเราสองคนมักนอนด้วยกัน ดังนั้น เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่โลแกนจะกำลังนอนอยู่ข้างๆ ผมในตอนนี้อย่างที่ควรจะเป็น

ใช่… ทุกครั้งที่ผ่านมา ทุกครั้งที่ผมฝันร้ายแบบนี้ ผมมักจะตื่นขึ้นมาและเจอหมอนี่

แต่… ตอนนี้ แค่คิดถึงหมอนี่ก็ทรมานจะแย่แล้ว แม่งเป็นความทรมานที่ซ้ำซ้อนมากๆ เหมือนยังไม่หายตกใจจากฝันร้ายที่เพิ่งเจอมาก็ต้องมาเจ็บปวดเพราะเรื่องน้องชายของฝาแฝดตัวเองอีก

ผมสุดลมหายใจลึกๆ เข้าปอด พยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเอง จากนั้นจึงค่อยๆ หย่อนเท้าลงพื้นแล้วลุกออกจากเตียง

จากนั้นผมก็ออกจากห้อง ตรงดิ่งไปที่ห้องนอนอีกห้องอย่างอัตโนมัติ เปิดประตูเข้าไปในนั้น และค้นพบว่าเตียงนอนหลังใหญ่ที่มีที่ว่างพอสำหรับสองคนนั้นว่างเปล่า

โลแกนไม่กลับมาบ้านอีกแล้ว และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เป็นแบบนี้

ผมไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองเผลอถอนหายใจออกมาอย่างผิดหวัง จากนั้นก็หมุนเท้ากลับเตรียมไปนอนที่เตียงตัวเองต่อ แม้จะไม่คิดว่าจะหลับลงก็เถอะ

หากเมื่อผมหันหน้าไปเจอใครอีกคนที่คงเพิ่งกลับมาผมก็ต้องสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ โลแกนอยู่ในเสื้อผ้ากึ่งลำลองกึ่งทางการของมันเหมือนเดิม มันขมวดคิ้วมุ่นขึ้นเล็กน้อยขณะที่มองมาทางผม คงแปลกใจที่เห็นผมมาอยู่ตรงนี้กลางดึกสินะ

“เป็นอะไร” น้องชายฝาแฝดของผมเอ่ยถาม “ฝันร้ายอีกแล้วเหรอ”

“เปล่า…” หากผมยังไม่ทันพูดประโยคนั้นจบ ชายหนุ่มที่อยู่ข้างหน้าผมก็ก้าวเท้าเข้ามาแล้วสวมกอดผมแล้วแนบแน่น ผมสะดุดไปจังหวะหนึ่งก่อนจะพยายามเรียบเรียงคำพูดออกมาอย่างตะกุกตะกัก

“โลแกน…”

“ไม่เป็นไรแล้ว ลูคัส” น้ำเสียงนั้นอ่อนโยน “มันก็แค่ความฝัน แต่ทุกอย่างเรียบร้อยดี เห็นไหมว่าฉันอยู่ตรงนี้”

“อย่าทำแบบนี้…” ผมพูดเสียงเบาเหมือนคราง หากอ้อมกอดของคนตรงหน้ากระชับแน่นขึ้น ความอบอุ่นนั่นทำให้ความหวาดกลัวที่มีอยู่ท่วมหัวใจผมค่อยๆ มลายหายไป รู้ตัวอีกทีผมก็ซุกหน้าลงบนบ่าของหมอนี่อย่างหมดสภาพ มือโอบรัดร่างของเจ้าตัวไว้แน่น

ได้ยินเสียงเต้นของหัวใจจากอกข้างซ้ายของโลแกนเหมือนกัน ใช่แล้ว ผมยังมีน้องชายของผมอยู่ ยังมีหมอนี่อยู่ข้างๆ ผม ผมไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว…

“ดีขึ้นไหม” โลแกนเอ่ยถามขณะค่อยๆ คลายอ้อมกอด ผมพยักหน้า ดันบ่าของอีกฝ่ายออกนิดหนึ่งเมื่อเริ่มรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเริ่มจะเต้นผิดจังหวะด้วยเรื่องที่ไม่สมควรแทนแล้วตอนนี้

โอเค ฟังนะเจ้าหัวใจบ้า แกจะรักใครก็ได้บนโลกนี้ จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ได้ แต่แกจะรักน้องชายฝาแฝดของตัวเองไม่ได้

“อือ ดีขึ้นแล้ว” ผมพยักหน้าให้อีกฝ่ายเรียบๆ

“กลับไปนอนต่อไหวไหม?”

“อืม” ผมพูด เตรียมเดินกลับไปที่ห้องของลิซ่า หากคนข้างตัวรั้งผมไว้นิดหนึ่ง

“จะกลับไปนอนคนเดียวเหรอ?”

“อือ”

“นอนคนเดียวไหวเหรอ”

ผมหันไปส่งยิ้มเหยียดให้อีกฝ่าย

“ฉันนอนห้องน้าลิซ่ามาจะเป็นเดือนแล้ว นายจำไม่ได้เหรอ”

โลแกนไม่พูดอะไรตอบ หากมองหน้าผมนิ่ง นัยน์ตาสีฟ้ามองลึกเข้ามาเหมือนพยายามอ่านใจผม ผมไม่ชอบเวลาหมอนี่ทำสายตาแบบนี้เลย มันให้ความรู้สึกเหมือนกำลังโดนอ่านใจอยู่จริงๆ นะ

“แล้วนี่นายไปไหนมา” ผมเปลี่ยนเรื่อง “ดึกขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงเพิ่งกลับ”

“ไปทำงานมา”

“นอนกับผู้หญิงเหรอ”

“เปล่า”

อะไรบางอย่างบอกผมว่าหมอนี่พูดจริง อันที่จริงแล้วโลแกนไม่ใช่คนที่พูดอะไรโกหกสักเท่าไรนะ โดยเฉพาะกับผม ถ้ามันเป็นเรื่องที่พูดไม่ได้ หมอนั่นก็จะบอกตรงๆ หรือถ้ามันไปนอนกับผู้หญิงที่ไหนมา มันก็จะบอกผมตรงๆ เหมือนกัน คงเพราะแบบนั้นล่ะมั้ง ผมถึงเชื่อถือคำพูดของมัน

“งั้นก็นอนกับผู้ชายสิ” ผมพยายามพูดให้ฟังดูเหมือนแหย่ แต่ลำคอของผมแห้งแผกขณะที่พูดคำนั้นออกไป เสียงที่ออกมาจึงฟังดูเหมือนทรมานอยู่สุดๆ แย่จริง ถ้าไอ้หมอนี่มันคิดว่าผมกำลังเจ็บปวดอยู่ก็แย่สิ

“เปล่า” โลแกนขมวดคิ้วมุ่นขึ้น “ฉันไม่นอนกับผู้ชาย”

“หืม?” คำตอบนั้นทำให้ผมแปลกใจมากถึงขนาดที่ต้องเงยหน้าขึ้นไปสบตาแล้วเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง จากนั้นก็ชี้นิ้วมาที่ตัวเองอย่างงงๆ โลแกนถอนหายใจเฮือก

“ก็แค่กับนายเท่านั้นแหละ ที่ฉันนอนด้วย”

คำตอบนั้นทำให้ผมใจเต้นตึกตักขึ้นมาจังหวะหนึ่ง

อ่า… ไม่ดีเลย แบบนี้ไม่ดีแน่ แย่จริง

“งั้นเหรอ” ผมพึมพำตอบ จากนั้นก็เตรียมถอยกลับเข้าห้องพักของตัวเอง แต่โลแกนก็เลื่อนมือมาคว้าข้อมือผมไว้อย่างรวดเร็วและแน่นหนา ผมรู้สึกเหมือนหัวใจในอกข้างซ้ายเต้นรัวขึ้นมาอีกแล้ว ไม่นะ อย่าลืมสิว่าหมอนี่เป็นน้องชายฝาแฝดน่ะ… ไม่ได้ นายจะใจเต้นกับน้องตัวเองไม่ได้นะ

“นี่” โลแกนขณะขมวดคิ้วมุ่นขึ้น “ฉันต้องทำยังไง นายถึงจะหายโกรธล่ะ”

ต้องทำยังไง...

“ต้องทำยังไง เราถึงจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ล่ะ”

คำพูดนั้นทำให้ผมเจ็บปวด น้ำเสียงที่คนตรงหน้าพูดออกมาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ ผมก็อยากรู้เหมือนกับที่โลแกนอยากรู้นั่นแหละ ถ้าผมรู้คำตอบของคำถามนั้น ผมคงไม่ต้องทรมานอยู่แบบนี้หรอก

“ตอบฉันมาสิ”

“มันไม่กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว” คำพูดนั้นหลุดออกมาจากปากผม เป็นจังหวะเดียวกับที่ผมสะบัดมือหลุดออกมาจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายได้ “นายไม่เข้าใจรึไง”

จากนั้นผมก็เดินกลับเข้าห้องของน้าลิซ่ามา บางทีหลังจากนี้ผมคงต้องยึดห้องนี้เป็นของตัวเอง

         ผมยกผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปง จากนั้นก็พยายามข่มตาให้หลับเพื่อให้ผ่านพ้นคืนนี้ไป แต่แน่ล่ะ มันทำไม่ง่ายเลย



ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3


บทที่ 18


 (Mode: Lucas Collins)





ช่วงนี้โลแกนมันทำอะไรของมันอยู่กันแน่นะ

นั่นเป็นสิ่งที่ผมคิดมาได้ระยะหนึ่งแล้วหลังจากที่พยายามหลบหน้ามันตลอดทั้งที่โรงเรียน ตลอดทั้งที่บ้าน บอกได้คำเดียวเลยว่าอึดอัดมากกับการใช้ชีวิตแบบนี้ บางทีเหนื่อยๆ กลับมา แทบจะไม่อยากเข้ามาในตัวบ้านเลย อยากจะหาโรงแรมที่อยู่ข้างนอกนอนให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็รู้อยู่แล้วว่าฐานะการเงินของตัวเองเป็นยังไง บวกกับความจริงที่ว่าอย่างน้อยผมก็ไม่ต้องทนนอนเตียงเดียวกับหมอนั่น หลบมาอยู่ห้องของน้าลิซ่าได้ อย่างน้อยนั่นก็ช่วยให้ผมลากสังขารของตัวเองกลับมาอยู่ใต้ชายคาเดียวกับไอ้โลแกนทุกคืน

ไม่สิ… ไม่ทุกคืน ก็ช่วงนี้หมอนี่ก็กลับบ้านล้างไม่กลับบ้านบ้าง

ผมคิดไปต่างๆ นานาว่าหมอนี่เอาชีวิตในยามค่ำคืนของตัวเองไปโยนทิ้งไว้ที่ไหน บางทีอาจจะที่ผู้หญิงข้างถนน หรือบางทีหมอนี่อาจจะขายตัว ทำงานกลางคืนอย่างที่ผมคิดตอนแรกจริงๆ

มันก็น่าคิดนะ… ยิ่งช่วงนี้หมอนั่นดูมีเงินใช้ขึ้นมามากมายขนาดนั้น…

แต่ลางสังหรณ์บางอย่างในตัวผมมันบอกว่าไม่ใช่แฮะ ก่อนหน้านี้ที่ผมถาม มันก็บอกว่ามันไม่ได้ไปนอนกับผู้หญิง

อีกอย่าง… หมอนั่นเป็นคนช่างเลือกด้วย จะว่ายังไงดี คือมันก็จริงที่หมอนั่นนอนกับใครไม่ซ้ำหน้า แต่เจ้าตัวเองก็มีมาตรฐานสูงใช่เล่นเหมือนกัน หรือพูดง่ายๆ ก็คือมันคงไม่ยอมให้ผู้หญิง (หรืออาจจะรวมถึงผู้ชายด้วย) ที่ไม่ตรงสเปคมันแตะต้องตัวมันเด็ดขาด อย่างน้อยก็เท่าที่ผมรู้จักมันมานะ

เพราะงั้น… การที่มันจะทำงานกลางคืนแบบนั้นคงเป็นไปได้ยาก ผมว่ามันคงยอมกัดลิ้นฆ่าตัวตายดีกว่านอนกับผู้หญิงที่เข้าข่ายลักษณะ… เอ่อ ไม่ตรงสเปคมันแน่ๆ ถ้าอย่างนั้นจริงๆ แล้วหมอนี่กำลังทำอะไรอยู่ล่ะ?

หรือว่า… จะเป็นงานอันตรายอย่างที่ว่าจริงๆ?

“เฮ้อ….” ผมลอบถอนหายใจยาวออกมาอย่างอดไม่อยู่ นี่ผมเผลอคิดเรื่องหมอนั่นอีกแล้วสินะ เผลอคิดเรื่องโลแกนอีกแล้วใช่ไหม?

โอเค… ผมก็รู้ตัวเองดีว่าต้องตัดใจ ต้องพยายามตัดความคิดและความรู้สึกที่มีต่อน้องชายฝาแฝดของตัวเอง และไม่ใช่ว่าผมไม่เคยอกหัก อันที่จริง… ก็เพิ่งจะอกหักมาก่อนหน้านี้มาแป๊บเดียวเท่านั้นเอง แล้วต้องมาเจอความรู้สึกแบบเดิมซ้ำสองติดๆ กันแบบนี้นี่… บอกเลยว่าแม่งเป็นความเจ็บปวดที่ทับซ้อนกันไปมาแบบน่าปวดหัว

เหมือนคุณอกหักจากใครสักคนมา แล้วก็เหมือนจะเริ่มดีขึ้นเพราะมีใครสักคนคอยปลอบ คอยอยู่ข้างๆ แล้วคุณก็เผลอใจไปรักคนคนนั้นเข้า แล้วก็โดนอีกฝ่ายปฏิเสธหน้าหงายมา อะไรทำนองนั้น

แต่เรื่องนี้… ผมไม่โทษโลแกนหรอก

‘นี่ ฉันต้องทำยังไง นายถึงจะหายโกรธล่ะ’

คำพูดที่อีกฝ่ายพูดกับผมเมื่อคืนก่อนลอยวนเข้ามาในหัว อันที่จริง มันวนเวียนอยู่แบบนั้นไม่ต่ำกว่าร้อยรอบแล้วตั้งคืนนั้น ‘ต้องทำยังไง เราถึงจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ล่ะ’

นั่นสิ ต้องทำยังไง

แล้วจริงๆ แล้ว… ผมอยากให้เรื่องทุกอย่างนี่มันออกมาในรูปแบบไหนกันแน่?

คิดไปก็ปวดหัว

ผมถอนหายใจยาวออกอีกรอบ หยิบกระเป๋าสตางค์ โทรศัพท์มือถือและกุญแจบ้านใส่ลงในกระเป๋ากางเกง เตรียมตัวออกไปซื้อกับข้าวและข้าวของเครื่องใช้ในบ้านบางอย่างที่ใกล้หมดเต็มที เดิมทีแล้วเวลาที่ต้องไปซื้อข้าวของเข้าบ้านในปริมาณมาก ผมมักจะลากไอ้โลแกนไปด้วย ให้มันไปช่วยหิ้ว แต่ตอนนี้ ในเมื่อเราสองคนห่างๆ กัน (ก็ผมนี่แหละที่เป็นคนห่างมันออกมาเอง) และตัวมันเองก็ไม่อยู่บ้าน ผมจึงต้องจำใจเดินทอดน่องไปตามทางเดินเท้าคนเดียว ผ่านตัวบ้านเรือนที่ลักษณะเดียวกับบ้านของผมและโลแกน แต่ละหลังค่อนข้างเก่า ทรุดโทรมไปตามกาลเวลา มีเพียงไม่กี่หลังจริงๆ ที่ผ่านการบำรุงซ่อมแซมและทาสีใหม่บ้าง

ร้านซุปเปอร์มาเก็ตที่อยู่ใกล้บ้านที่สุดต้องใช้เวลาเดินไปประมาณ 20 นาที ปกติแล้วผมจะปั่นจักรยานไป แต่วันนี้พอลองไปดูจักรยานซึ่งจอดอยู่ในหลังบ้านก็พบว่ายางมันแบนแต๊ดแต๊แทบจะแนบติดกับพื้นไปแล้ว จะเติมลมก็ขี้เกียจ เอาเป็นว่าวันนี้ค่อยๆ เดินไปซื้อของเข้าบ้านก็แล้วกัน

ผมกำลังลากเท้าที่ใส่รองเท้าผ้าใบซึ่งผ่านการใช้งานมาอย่างหนักหน่วง จำได้ว่าครั้งหนึ่งมันเคยขาวผุดผ่องตอนที่ตั้งโชว์อยู่ในร้าน แต่อย่างว่า ใช้งานมาหลายปีจนพื้นรองเท้าเริ่ม สึกไปหมดแล้วแบบนี้ จะให้มันขาวแบบเดิมคงเป็นไปได้ยาก

ผมกวาดสายตามองไปรอบๆ ที่มีบ้านทาวน์เฮ้าส์ถูกสร้างขึ้นกระจายๆ กัน นี่เป็นช่วงเวลากลางวันที่แดดส่องจ้าอยู่เหนือศีรษะ และด้วยความที่บ้านแถวนี้ถูกสร้างมาเป็นสิบปี ทำให้ผู้คนที่เคยอาศัยอยู่ไม่ค่อยเหลืออยู่แล้ว ครอบครัวสมิธที่เคยอยู่หลังนั้นย้ายออกไปเมื่อสามปีก่อนเพื่อหาที่ลงหลักปักฐานใหม่ในตัวเมืองที่เจริญกว่านี้ หรือแม้แต่คุณป้าเคธีที่เคยอบขนมพายมาให้ก็ย้ายไปอยู่กับลูกชายที่อีกรัฐหนึ่งเมื่อหลายปีมาแล้ว เรียกได้ว่าเป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างเงียบเหงาเหมือนกัน แต่ในอีกแง่หนึ่งก็สงบดี

ยังเดินไม่ทันถึงครึ่งทาง โทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงผมก็เริ่มสั่นและแผดร้องออกมาทำเอาผมสะดุ้งตัวนิดหนึ่งด้วยความตกใจ ให้ตาย นี่ผมจะขวัญอ่อนอะไรขนาดนี้ คราวหน้าผมคงกรีดร้องเสียงหลงถ้ามีแมลงวันบินโฉบหน้าไปสักตัว ขอที ตั้งสติหน่อย พวก

ผมควักโทรศัพท์ขึ้นมาดู ชะงักไปทันทีเมื่อเห็นชื่อของโลแกนเด่นหราอยู่บนหน้าจอ ผมไม่ได้คุยกับมันมาเป็นสัปดาห์แล้ว ผมมัวแต่ยุ่งเรื่องส่งทุน เตรียมตัวสอบปลายภาค เตรียมสอบเข้า ส่วนโลแกนก็อยู่บ้าง ไม่อยู่บ้าง แม้แต่ที่โรงเรียน เจ้าตัวยังไม่ค่อยจะโผล่หน้าไปเลย

แต่ตอนนี้หมอนั่นกำลังโทรหาผม… ไม่รู้ทำไม แต่ผมรู้สึกได้เลยว่ามือไม้เย็นขึ้นมา ใจเต้นรัวขึ้น นี่อุตส่าห์พยายามหลบหน้ามันแล้วนะ ยังจะโทรมาหาอีกเหรอ ผมไม่รับสายจะเป็นอะไรไหมเนี่ย

ผมถือโทรศัพท์ค้างไว้ในมืออย่างลังเล ใจจริงแล้วไม่ได้อยากกดรับสายที่เพิ่งโทรเข้ามานี่เลย แต่ลางสังหรณ์บางอย่างในตัวผมกลับร่ำร้องบอกว่านี่เป็นเรื่องด่วน และอีกฝ่ายต้องการให้ผมรับสายจริงๆ

อืม… อาจจะเป็นแค่การเดาอะไรไปเรื่อยเปื่อยก็ได้ แต่ก็ช่างเถอะ ผมกดรับสายโทรเข้านั่นแล้วยกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหูในที่สุด

ผมยังไม่ทันกรอกเสียงอะไรลงไป ปลายสายก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงติดจะร้อนรน

“ลูคัส มีเดนมนุษย์สองคน…”

ผมได้ยินเสียงลอดมาจากปลายสายดังอยู่แค่นั้น จากนั้นก็มีใครบางคนกระแทกศอกลงบนหลังคอผมอย่างจัง รู้สึกเหมือนวูบไปเสี้ยววินาทีหนึ่ง แต่ด้วยความที่เคยมีประสบการณ์ชกต่อยและเคยเรียนศิลปะป้องกันตัวมาบ้างทำให้ผมดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว ขยับขาไปข้างหน้าเพื่อประคองไม่ให้ตัวเองล้มลงไป หลังคอผมปวดแปลบ ก่อนจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นชา

โทรศัพท์ในมือร่วงหล่นลงพื้น ผมไม่เสียเวลาก้มลงไปเก็บมันหากหมุนตัวกลับไปพร้อมกับก้าวเท้าถอยหลังเพื่อตั้งหลัก ผู้ชายสองคนที่อยู่ตรงหน้าผมมีรูปร่างใหญ่โต คนหนึ่งมัดผมสีดำที่ยาวถึงบ่าเป็นหางม้า แต่งตัวคล้ายๆ  พวกฮิปสเตอร์ ให้ความรู้สึกเหมือนมีกลิ่นตัวแบบกระบอกสูบกัญชาลอยออกมาจากตัวมัน อีกคนตัดผมสั้นเกรียน เสื้อยืดสีขาวด้านในถูกทับด้วยเสื้อยีนส์พับแขนเสื้อ ดูเหมือนเจ้าคนนี้จะมีรสนิยมการแต่งตัวดีกว่าเจ้าคนแรกหน่อย

ว่าแต่ไอ้พวกนี้มันเป็นใครและต้องการอะไรวะ เออ หรือจะเป็นเดนมนุษย์สองคนที่โลแกนเพิ่งพูดถึง? แล้วไอ้หมอนั่นมันรู้ได้ไงวะ? นั่งทางในเป็นอาชีพเสริมเรอะ!?

หมัดของเจ้าหางม้าถูกเงื้อขึ้นมาก่อน ผมเบี่ยงตัวหลบอย่างรวดเร็วแต่มันก็ถากหน้าผากของผมไป ทำไมไอ้สองตัวนี้ถึงล่ำนักนะ แล้วมากันสองคนแบบนี้ แถมดูจากฝีมือแล้ว น่าจะไม่ธรรมดาเลยแบบนี้… นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะเนี่ย

“โลแกน คอลลินส์” เจ้าหางม้าแสยะยิ้ม ผมเห็นรอยบากอยู่ตรงบริเวณลำคอของมันด้วย และเท่าที่ประเมินจากภายนอกแล้ว มันน่าจะอายุยี่สิบปลายๆ ถึงสามสิบต้นๆ ประสบการณ์ต้องเหลือล้นแน่ๆ “แกทำพวกฉันไว้แสบมากนะ ถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็มากับพวกเราดีๆ ดีกว่า”

“ฉันไม่ใช่โลแกน” ปัดโธ่โว้ยยยย นี่ผมต้องซวยเพราะมันอีกแล้วเรอะ!!??

มืออีกข้างหนึ่งของไอ้หัวเกรียนยื่นมา ผมคว้าข้อมือมันจากนั้นก็งอนิ้วมือข้างที่ว่าง ในความเป็นจริงแล้วคุณไม่ควรใช้หมัดนอกเสียจากจำเป็นจริงๆ หมัดอาจทำให้กระดูกมือของคุณแตกได้หากชกแรงๆ ในขณะที่การตบด้วยฝ่ามือจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า หากฝ่ามือของเราตบลงตรงจุดโดยที่งอนิ้วเพื่อป้องกันไว้ กระดกข้อมือไปข้างหลังจากนั้นก็ใช้ส่วนที่เป็นสันมือกระแทกจุดเดิมหลายๆ ครั้ง แรงกดก็จะตกไปอยู่ที่กระดูกแขนชิ้นใหญ่แทน

อันที่จริงถ้าผมสามารถเล่นงานตรงนั้นของมันได้ คงจะทำให้เจ้าร่างยักษ์นี่ลงไปกองกับพื้นในไม่กี่อึดใจ แต่เหมือนอีกฝ่ายจะมีประสบการณ์และคอยระวังตัวอยู่แล้ว ไอ้หัวเกรียนยกเข่าขึ้นมากัน ผมจึงตัดสินใจเล่นไปที่กะบังลมของมันแทน คนที่ถูกผมโจมตีเข้าไปชะงักลงไปทันทีแต่แล้วฝ่าเท้าของไอ้หางม้าก็กระแทกลงบนกลางลำตัวของผมแรงๆ นั่นทำให้ผมไถลไปกับพื้นเลยทีเดียว แรงเสียดสีทำให้บริเวณสะโพกผมร้อนไปหมด แสบเป็นบ้าเลย

“งั้นนายคงเป็นลูคัสสินะ” ชายตรงหน้าเหยียดยิ้มอย่างไม่เกรงกลัว “ฝีมือกระจอกขนาดนี้… ยังไงก็คงไม่ใช่โลแกนจริงๆ”

เออ ขอโทษด้วยละกันนะที่ไม่ป่าเถื่อนแบบไอ้เด็กนรกนั่น

“ไม่เป็นไร เป็นแกแทนก็ได้”

คำพูดนั้นทำให้ผมใจหายวาบขึ้นมาทันที หมายความว่าต่อให้พวกมันรู้ว่าผมไม่ใช่โลแกนก็จะยังไม่ยอมปล่อยไปใช่ไหม

ผมใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีในการประเมินสถานการณ์ กับไอ้หัวเกรียนที่ผมประมือไปด้วยเล็กน้อย… ถ้าสู้กันตัวต่อตัว ผมอาจมีโอกาสชนะ แต่กับไอ้หางม้าที่ดูร้ายกว่าหลายเท่า… ยังไม่นับเรื่องที่มันมากันสองคนอีกนะ

ผมตัดสินใจออกวิ่ง และได้ยินเสียงฝีเท้าของคนทั้งคู่ที่ตามหลังมาติดๆ

ทั้งสองคนคิดจะเล่นงานฉันตรงนี้… กลางวันแสกๆ แบบนี้ ต้องบ้าระห่ำมากแน่ๆ

ผมไม่ค่อยแปลกใจเรื่องความบ้าระห่ำ โลแกนเองก็จัดอยู่ในประเภทนั้น หมอนั่นมั่นใจในกำลังของตัวเอง มั่นใจว่าตัวเองสามารถเอาตัวรอดจากสถานการณ์ทุกอย่างได้แม้การวิวาทจะจบลงด้วย แปลว่าสองคนที่กำลังวิ่งไล่ตามผมมาอยู่นี่ก็เช่นกัน

ผมพยายามเร่งฝีเท้ามากขึ้นเพื่อทิ้งระยะห่างแล้วโทรกลับหาโลแกน ผมต้องการความช่วยเหลือ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสองคนนี้เป็นใคร แต่ต้องเป็นปัญหาของโลแกนอย่างแน่นอน เจ้าตัวดีถึงได้รู้ตัวก่อนล่วงหน้าแถมยังใจดีโทรมาเตือนผมล่วงหน้า แต่ขอที… ช่วยมาจัดการกับปัญหาของตัวเองด้วยได้ไหม!

เอาล่ะ ทิ้งระยะจากพวกนั้นมาได้พอสมควรแล้ว ถึงเวลาที่ต้องควักโทรศัพท์มือถือ

โทรศัพท์มือถือ…

โอเค ใช่ไง ผมเพิ่งทำมันตกพื้นไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน ยอดเยี่ยมมาก บนโลกนี้จะมีใครโชคดีไปกว่าผมอีกไหม

ไอ้หางม้ามาดฮิปสเตอร์กับหัวเกรียนยังคงวิ่งไล่มา… ไล่กันบนถนนย่านชานเมืองอันเงียบสงบแบบนี้แหละ ผู้ใหญ่สามคนกำลังวิ่งไล่กันบนถนน จะมีใครกำลังมองพวกผมผ่านบานหน้าต่างไหมน้อ แล้วคนพวกนั้นเขาจะคิดยังไงน้า…

“แฮ่ก…” ผมเริ่มหอบหายใจ ความรู้สึกหน้ามืดจากการวิ่งสุดกำลังมาเป็นระยะเวลาพอสมควรเริ่มออกฤทธิ์ แต่ผมเองก็ได้ยินเสียงหอบหายใจจากด้านหลังมาเหมือนกัน ก็ทำไงได้ล่ะ พวกเราไม่ได้เป็นนักกีฬาวิ่งแข่งหรืออะไรเทือกนั้นนี่นา ในความเป็นจริงแล้วการวิ่งสุดแรงเป็นระยะเวลานานๆ ไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาจะสามารถทำได้

ก็นะ… ใครสั่งใครสอนให้มาวิ่งไล่กันแบบนี้ล่ะ ไม่เป็นผลดีกับฝ่ายไหนทั้งนั้นแหละ

“ยิงขามันเลย!!” เสียงของหนึ่งในสองคนนั้นพูด และนั่นทำให้ผมชะงักไป แวบหนึ่ง แต่ยังยั้งตัวเองไม่ให้หันกลับไปมองตามหลังได้

นี่ไอ้เดนมนุษย์พวกนี้มีปืนด้วยเรอะ!!? แล้วนี่ผมจะมีชีวิตกลับไปไหมเนี่ยวันนี้

เสียงลั่นไกปืนดังขึ้น กระสุนนัดแรกเฉี่ยวขาผมไปแบบเฉียดฉิวมากๆ นี่พวกมันเอาจริงเหรอ? ผมอาจจะตายตรงนี้เลยก็ได้นะ มันไม่กลัวว่าจะมีใครสักคนลอบมองพวกเราผ่านทางหน้าต่างแล้วเอาเรื่องนี้ไปบอกตำรวจที่รับทำคดีการตายของผมต่อจากนั้นเลยเหรอ นี่แถวบ้านที่ผมอยู่กลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนไปแล้วหรือไง!?

เสียงลั่นไกครั้งที่สองดังขึ้น คราวนี้กระสุนถากตรงบริเวณน่องขาของผมไป ไม่ใช่แค่เฉียด แต่มันกินเนื้อส่วนหนึ่งของขาผมไปด้วย

ผมร้องอุทานออกมาอย่างเจ็บปวด จากนั้นก็ทรุดตัวฮวบลงไปกองกับพื้นอย่างง่ายดาย ถ้าผมมีความอดทนมากกว่านี้ ผมคงสามารถพยุงตัวเองให้หนีต่อไปได้ แต่ตลอดชีวิตที่ผ่านมา สิ่งที่เคยทำให้ผมเจ็บที่สุดคือหมัดและการยำฝ่าเท้าที่ประเคนลงมาบนตัวเท่านั้น ผมไม่เคยไปทำสงครามแล้วต้องคอยวิ่งหลบกระสุนปืนแบบนั้นจริงๆ สักหน่อยนี่

เลือดสีแดงฉานไหลทะลักออกจากขาผม เจิ่งนองอยู่บนพื้นคอนกรีตตรงนั้น บรรยายความเจ็บปวดนี่ไม่ถูกเลย คิดอะไรไม่ออก ถึงผมจะยังโชคดีที่กระสุนไม่ฝังในก็เถอะ แต่แผลจากกระสุนนั่นก็สร้างความเจ็บปวดได้ไม่น้อยทีเดียว

“เอาล่ะ คุณคอลลินส์” ไอ้หางม้าที่ก้าวเข้ามาประชิดถึงตัวผมก่อนเลื่อนปากกระบอกปืนมาจ่อที่ขมับของผม แสยะยิ้มน่าสยดสยองออกมาให้เห็น “ถ้าไม่รังเกียจล่ะก็ ช่วยมากับพวกเราสักครู่ได้ไหม”

ไอ้โลแกน…. เอ็งไปอยู่ที่ไหนของเอ็งวะเนี่ย!!!







---------------------------------
Talk: บางทีเราก็สงสัยนะว่ากำลังเขียนนิยายวายหรือเขียนนิยายบู๊อยู่... //แล้วใครว่าเขียนพร้อมกันสองอย่างไม่ได้// ถถถถถถถถถ โลแกนนี่ค่าตัวแพงหรืออะไร เหมือนจะหายๆ ไปนะนาย (ฮา)

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
อืมม.....ความเหมือนของแฝด ก็ทำให้มีอันตราย
แต่นี่เดนนรกรู้แล้วนะว่าผิดตัว แต่ยังทำร้าย
พวกนี้น่าจะค้ายานะ แล้วมาแก้แค้นโลแกน
ถึงไม่ใช่โลแกน แต่เป็นพี่น้อง ก็ทำร้ายได้
โลแกน จัดการเดนนรกแน่ๆ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3



บทที่ 19

(Mode: Lucas Collins)





เดนมนุษย์สองคนนั้นเอาตัวของผมขึ้นไปที่ชั้นสองของสิ่งก่อสร้างเก่าๆ แห่งหนึ่งที่ประเมินจากสายตาแล้วคงจะเป็นรังของพวกมัน ไม่รู้ว่าเป็นบ้าน หรือว่าโกดัง แต่ที่แน่ๆ คือกลิ่นอับของสถานที่แห่งนี้ชวนให้ผมรู้สึกคลื่นไส้สุดๆ เหมือนกลิ่นของสารเสพติดบางอย่างผสมปนเปไปกับพื้นที่ที่ไม่ได้รับการทำความสะอาดใดๆ แถมบาดแผลที่ขาก็ยังเจ็บไม่หาย รวมสองอย่างนี้เข้าไปด้วยกันแล้ว ผมคิดว่าตัวเองอาจจะสลบไม่ได้สติไปเร็วๆ นี้แหละ

ไอ้หัวเกรียนเอาเทปพันสายไฟมามัดมือที่ไพร่หลังของผม รวมถึงที่ขาของผมด้วย ไม่อยากจะบอกหรอกว่าแค่แผลที่โดนกระสุนถากไปนั่นก็ทำเอาผมสูญเสียประสิทธิภาพในการเดินเหินไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงวิ่งหนีหรืออะไร แค่แรงจะคลานยังไม่มี

ผมกวาดสายตามองไปรอบๆ ทันทีเพื่อประเมินสถานการณ์ บริเวณที่เราอยู่กันไม่มีหน้าต่าง ทางเข้าเพื่อมาให้ถึงจุดจุดนี้มีเพียงทางเดียว นั่นหมายความว่าโลแกนจะไม่สามารถโจมตีมาจากข้างนอกหรือเล่นงานพวกมันจากระยะไกลได้

โอย… แค่จะให้มันรู้ว่าผมอยู่ที่นี่ยังรู้สึกเหมือนมีความหวังริบหรี่เลย แต่… ไม่รู้สิ อย่างหมอนั่นต้องหาทางรู้จนได้ และถึงพื้นที่ที่ผมถูกจับมานอนราบ มัดมือมัดเท้าอยู่แบบนี้จะดูเหมือนว่าไม่มีใครเข้ามาได้โดยที่ไอ้สองตัวนี้ไม่รู้ก็ตาม แต่ผมคิดว่าน้องชายฝาแฝดผมทำได้ อาจจะต้องให้เวลามันสักหน่อย

ไอ้หัวเกรียนมีอาวุธ ไอ้หางม้าก็มีอาวุธ แบบนี้ไม่ดีแน่ ถึงไอ้โลแกนมันจะเก่งเหนือมนุษย์ขนาดไหนแต่ผิวหนังมันไม่ได้ทำด้วยเหล็กนี่หว่า ขืนเจอลูกปืนเข้าไปก็มีจอดได้ง่ายๆ เหมือนกัน

“ไหนๆ ดูซิพวกนาย” เสียงของใครบางคนทำให้ผมสะดุ้งนิดหนึ่งก่อนจะหันไปมองตามต้นเสียงอย่างรวดเร็ว “ฉันสั่งให้พวกนายไปเอาตัวโลแกน คอลลินส์มา แต่ดันได้ไอ้แฝดคนพี่มันมาหรอกเรอะ”

“ก็ตอนแรกเราไม่รู้นี่หว่าว่ามันเป็นคนไหน” ไอ้หางม้ายักไหล่ “แต่ก็ช่างเหอะ ไม่เห็นเป็นไรเลย เราเอามันมาล่อคนน้องออกมาก็ได้นี่”

ผมแค่นหัวเราะออกมาเบาๆ เรียกสายตาทั้งสามคู่ของคนที่อยู่ตรงนั้นให้มองมาอย่างฉงน ไอ้ผู้ชายคนที่มาใหม่มีรูปร่างสูงใหญ่และดูแข็งแรงก็จริง แต่ก็ไม่เท่าไอ้สองคนที่จับตัวผมมาถึงนี่ สิ่งที่ทำให้ผมกังวลคือปืนอีกกระบอกในมือของเจ้าคนที่เพิ่งมาใหม่ต่างหาก เดี๋ยวนี้แม่งเป็นของที่หาง่ายกว่ายาสามัญประจำบ้านแล้วมั้ง บางทีผมคงต้องหามาพกติดตัวไว้สักกระบอก

“นี่แกขำอะไรของแกวะ” เจ้าคนมาใหม่ขมวดคิ้วมุ่นขึ้นทันที “มีอะไรน่าขำรึไง รึว่าอยากจะตายเร็วๆ”

“พวกนายคิดจะล่อโลแกนมาที่นี่” ผมพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “พวกนายนี่มัน… โง่เหมือนหน้าตาจริงๆ”

“สงสัยใครบางคนแถวนี้จะไม่อยากแก่ตายว่ะ” เจ้าคนที่เพิ่งมาใหม่และดูเหมือนจะใหญ่ที่สุดในบรรดาพวกมันทั้งสามคนพูดขึ้นอย่างหัวเสีย แม้น้ำเสียงเจ้าตัวจะนิ่งๆ สีหน้าจะยังราบเรียบเหมือนเดิมก็เถอะ

มันเดินมาหยุดอยู่ที่ด้านหน้าผมจากนั้นก็จิกผมที่นอนราบอยู่กับพื้นขึ้นไปนิดหนึ่ง ผมครางออกมาเบาๆ ด้วยความเจ็บปวด ที่มันจิกหัวผมขึ้นไปมันก็เจ็บอยู่หรอก แต่ไอ้แผลที่โดนกระสุนเฉี่ยวที่ขาเมื่อครู่มันเจ็บกว่าเยอะ ผมรู้สึกได้เลยว่าเลือดยังไหลอยู่ ความเจ็บปวดก็เช่นกัน

“พวกนายไม่มีทางเอาชนะโลแกนได้หรอก”

“เดี๋ยวก็ได้รู้กัน”

ผมกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่งอย่างยากลำบาก ถึงผมจะทำปากดีไปแบบนั้นแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมไม่รู้สึกกลัวอะไรเลยหรอกนะ อันที่จริง… ผมกลัวมากจนยั้งปากตัวเองไว้ไม่อยู่มากกว่า เพิ่งมาสังเกตตัวเองช่วงหลังๆ นี่แหละว่าพอกลัวขึ้นมาแล้วจะพูดวางท่ากว่าปกติ ซึ่ง… ไม่ใช่เรื่องดีเลยนะ จริงๆ แล้ว มันยิ่งเหมือนไปยั่วโมโหฝ่ายตรงข้ามมากกว่า และนั่นอาจทำให้ผมเจ็บตัวหนักขึ้นได้

“นายต้องการอะไรกันแน่” ผมพยายามตะล่อมถาม “อยากจะทำอะไร ไถเงินจากหมอนั่นเหรอ? หรือว่าแก้แค้น? หมอนั่นไปรุมอัดพวกของนายมารึไง”

คนตรงหน้าผมเหยียดยิ้มเยาะ จากนั้นก็ปล่อยศีรษะของผมให้กลับลงไปอยู่บนพื้นตามเดิม โอย… ขอบคุณที่อย่างน้อยก็ไม่กระแทกลงมา ไม่งั้นคงได้หัวแตกเลือดกระจายเสริมกับแผลที่ขา
“ไอ้หมอนั่นมันทรยศพวกเรา”

“หืม…” ผมลากเสียงยาวอย่างฉงน กัดฟันเพื่อไม่ให้ตัวเองครางด้วยความทรมานออกไป ทนไม่ได้จริงๆ ถ้าจะต้องทำตัวน่าทุเรศต่อหน้าไอ้เดนมนุษย์พวกนี้ “ทรยศพวกนายเรื่องอะไรล่ะ”

“มันเป็นสายให้ตำรวจ”

นั่นทำให้ผมแปลกใจจริงๆ จนอดเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งไม่ได้

ไอ้โลแกนเนี่ยนะ?

“งั้น” ผมเปลี่ยนวิธีการถามใหม่ “พวกนายทำอะไรไปล่ะ?”

“จะอะไรก็ไม่เกี่ยวกับแก”

ผมยิ้มเหยียดอีกรอบ และขอเดาว่ารอยยิ้มนั่นมันต้องกวนประสาทมาก เพราะเห็นหางคิ้วของไอ้หางม้ากระตุกขึ้นมาด้วยความไม่พอใจทันที อ่า แย่ล่ะสิ ผมต้องหยุดทำตัวแบบนี้นะ ต้องหยุดเดี๋ยวนี้เลย ก่อนที่นิ้วมันจะกระตุกไปลั่นไกปืนตามคิ้ว

“เฮ้ ฟังนะ” ผมพยายามควบคุมตัวเอง สูดลมหายใจลึกๆ เพื่อกลบเกลื่อนอารมณ์ที่พลุ่งพล่านของตัวเอง มันปนเประหว่างความกลัวและความสมเพชพวกกลุ่มคนตรงหน้า แต่จะหนักไปทางความกลัวมากกว่า รู้สึกได้เลยว่ามือทั้งสองข้างของผมชุ่มไปด้วยเหงื่อ เริ่มจะชินกับความเจ็บปวดบริเวณน่องขาแล้ว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าร่างกายผมพร้อมจะรับกับความทรมานแบบนั้นได้อีกนะ “นายปล่อยฉันไปตอนนี้ดีกว่า ถ้าพวกนายทำแบบนั้นอาจจะพอมีทางรอด พวกนายก็น่าจะรู้นี่ว่าโลแกน คอลลินส์เป็นคนยังไง หมอนั่นจะไม่ยอมให้พวกนายมาลูบคมมันแบบนี้แล้วปล่อยกลับไปง่ายๆ แน่”

“เฮ้ นี่นายนับเลขไม่เป็นหรือว่าอะไร” ไอ้หางม้าพูดขึ้นบ้างอย่างหมดความอดทน ชี้นิ้วของตัวเองไปที่พวกของตัวเองอีกสองคน “เรามีกันสามคน แถมพวกเราทั้งหมดก็มีฝีมือไม่น้อย นี่ยังไม่นับที่มีนายเป็นตัวประกันแบบนี้อีกนะ”

“ฉันถามจริงๆ” ผมพูดขึ้นบ้าง ทั้งหมดที่ทำอยู่นี่ก็เพื่อถ่วงเวลาเท่านั้นแหละ อีกไม่นานโลแกนก็จะมาที่นี่ มันต้องมาแน่ล่ะ ขึ้นอยู่กับว่าเมื่อไหร่ก็เท่านั้น “พวกนายจะอยากได้ตัวประกันไปทำไมวะ จะได้อัดหมอนั่นได้ง่ายขึ้นเหรอ? คิดว่ามันจะยอมทำตัวเป็นพระเอกแล้วปล่อยให้พวกนายรุมอัดมันเพื่อให้ฉันปลอดภัยงั้นเหรอ? ให้ขำตายเถอะ ขนาดละครสมัยนี้ยังไม่น้ำเน่าขนาดนี้เลย”

“เฮ้ย ทำอะไรให้มันหุบปากที” คนที่เพิ่งมาคนล่าสุดพยักเพยิดไปที่อีกสองคนที่เหลือ แย่ล่ะ… ผมเริ่มรู้สึกถึงความหายนะขึ้จมาจริงๆ แล้ว และเพราะเป็นแบบนั้น ผมถึงพยายามพูดอีกรอบด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน

“เดี๋ยวก่อน พวกนายทำแบบนี้ไปมันไม่ได้อะไรเลยนะ ฉันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องที่โลแกนทำด้วยเลยสักนิด มันไม่เกินไปหน่อยเหรอที่จำรุมอัดคนที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วยแบบนี้น่ะ”

ชายหนุ่มคนเดิมหันกลับมาแสยะยิ้ม ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงไม่สะทกสะท้าน

“แต่แกเป็นพี่ชายฝาแฝดของมันไม่ใช่เหรอ? เป็นพี่ก็หัดสั่งสองน้องให้ทำตัวดีๆ บ้าง เพราะงั้นที่มันเกิดเรื่องแบบนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นความผิดของแกนั่นแหละ”

นั่น ดูม๊าน!! ดูนะ คนเรา คิดอยากจะโทษคนอื่นก็หาเรื่องมาโทษกันจนได้ สรุป ผมผิดตั้งแต่ที่เกิดเป็นพี่ชายฝาแฝดมันแล้วใช่ไหม ใช่ไหม!?

เจ้าหางม้ากับหัวเกรียนขยับตัวใกล้เข้ามาหาผม ผมได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นรัวขึ้นด้วยความกลัว อะไรบางอย่าง… บอกผมว่าโลแกนอยู่ที่นี่ อยู่ไม่ห่างไปจากตำแหน่งที่ผมอยู่ตรงนี้ แต่มันยังไม่แสดงตัวอะไร หมอนั่นต้องการอะไรบางอย่าง… อะไรบางอย่างที่จะเรียกร้องความสนใจจากไอ้สวะพวกนี้ได้

แล้วผมควรจะทำยังไง จะทำยังไงดีล่ะ…

“อ๊ากกกกกกก” ในเมื่อไม่มีความคิดอะไรดีๆ ผมจึงตัดสินใจแหกปากร้องลั่นขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ไม่หยุดด้วยแม้ว่าไอ้หางม้าจะปราดเข้ามาแล้วกระแทกหมัดหนักๆ ลงบนหน้าของผมสองสามที

เจ็บเป็นบ้า…

แต่ความเจ็บปวดนั้นก็แลกมากับช่วงเวลาไม่กี่วินาทีที่ทุกคนตรงบริเวณนั้นหันสายตามามองที่ผม แค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้นแหละที่ผมต้องการ

แขนข้างหนึ่งขยับเข้ามาโอบล้อมรอบคอของไอ้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผม ขณะที่ปืนกระบอกหนึ่งปรากฏขึ้นจ่อขมับของชายหนุ่มเอาไว้ แล้วใบหน้าที่เหมือนกันกับผมอย่างไม่มีผิดเพี้ยนก็ค่อยๆ โผล่ออกมาข้างๆ ใบหน้าของอีกฝ่าย

“นี่นายใช้โคโลญอะไรของนายวะ โจ” เจ้าตัวขมวดคิ้วมุ่นทันที ย่นจมูกนิดหนึ่ง “กลิ่นเห่ยเป็นบ้า… จริงๆ ฉันอยากจะพูดเรื่องนี้มาตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกันแล้วน่ะนะ”

หากอีกสองคนที่เหลือก็ไวไม่ใช่เล่น ในเวลาไม่กี่วินาทีไอ้หัวเกรียนก็ไปยืนอยู่อีกฟาก ส่วนไอ้หางม้าที่อันตรายมากกว่าดึงร่างของผมขึ้นมาเพื่อใช้เป็นเครื่องกำบัง ไอ้บ้าเอ๊ย… ขาผมแทบจะไม่มีแรงอยู่แล้วเพราะกระสุนที่ถากไปนั่น… ยังไม่นับเรื่องที่ทั้งแขนทั้งขาโดนมัดเข้าติดกันอีกนะ

ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้คนข้างหลังผมนี่แรงเยอะมาก การจะยกคนที่ไม่สามารถทรงตัวได้อย่างผมขึ้นมาคงจะทุลักทุเลกว่านี้มาก แต่ก็นั่นแหละ จะทุลักทุเลหรือไม่เต็มใจแค่ไหนผมก็ต้องลุก เพราะไอ้บ้านี่มันเอาปืนจอท้ายทอยผมเรียบร้อยแล้ว

ดูเหมือนจะไม่มีใครยอมใครจริงๆ

“ไง เพื่อนๆ” โลแกนส่งยิ้มให้เจ้าหางม้ากับหัวเกรียนนิดหนึ่ง “ไม่ได้เจอกันมาพักหนึ่งเลยนะ ดูสบายดีนี่”

ทั้งสองคนนี้ดูเหมือนจะไม่มีความกลัวหรือความหวาดหวั่นอยู่ในสีหน้าแววตาเลย บางทีพวกมันอาจจะแค่โง่เกินกว่าจะทำแบบนั้น หรือไม่ก็มั่นใจในฝีมือของตัวเองมากจริงๆ

“น่าเสียดายนะที่เราต้องมาจบกันแบบนี้” ไอ้หางม้พูดขึ้นพร้อมกับแสยะยิ้ม โลแกนยังทำสีหน้าไร้อารมณ์ได้อย่างไม่มีที่ติ

“พวกนายนะ ที่ต้องจบ” เจ้าตัวว่า “แต่พวกฉันขอบายว่ะ”

โลแกนขยับท่อนแขนเพื่อรัดคอของโจ ชายหนุ่มหน้าแดงก่ำ ดิ้นทุรนทุรายเพราะออกซิเจนกำลังจะหมด จากนั้นน้องชายฝาแฝดของผมก็ทำสิ่งที่น่าแปลกใจเล็กน้อย นั่นคือคลายท่อนแขนนั่นอีกนิดหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าโจรีบกระเสือกกระสนสูดอากาศเข้าปอดทันที

“จะได้ไม่ต้องหายใจเอากลิ่นโคโลญเห่ยๆ นั่นเข้าไปไง” โลแกนยกยิ้มหวาน “ดูซิว่าฉันใจดีขนาดไหน หรือพวกนายว่าไง?”

ไอ้หางม้ากับหัวเกรียนหันไปมองหน้ากันนิดหนึ่ง ดูเหมือนว่าสองคนนี้จะเป็นคู่หูที่ดูเข้าขากันจริงๆ จากที่ได้เผชิญหน้ากับทั้งสองมาจนถึงตอนนี้ พวกมันส่งสายตาให้กันราวกับจะสื่อสารว่า ‘ไอ้ไก่อ่อนนี่มันไม่ได้เข้าใจอะไรเอาซะเลย’ อย่างไรอย่างนั้น

มาดูกันซิว่าใครกันแน่ที่เป็นไก่อ่อน

“นี่ นายไม่เคย… แบบว่า… คิดตรึกตรองอะไรอย่างถี่ถ้วนหรือลองใช้สมองที่มีอยู่น้อยนิดของแก แบบว่า ประเมินสถานการณ์ของตัวเองดูหน่อยเหรอ”

“แบบว่า เคย” โลแกนย้อนกลับด้วยน้ำเสียงยียวนหากมีสีหน้าไร้อารมณ์ ดูเหมือนเจ้าตัวจะทำหน้าแบบนั้นหลังจากที่เหลือบสายตาลงไปมองที่ท่อนขาผมซึ่งมีเลือดอาบ พูดกันตามตรงนะ สีหน้าแบบนั้นของหมอนี่มันชวนให้ผมขวัญอ่อนกว่าตอนที่มันปั้นหน้าน่ากลัวๆ เสียอีก

“เรามีกันสองคน” ไอ้หัวเกรียนว่าต่อ “มีปืนสองกระบอก ส่วนนายมีกระบอกเดียว”

“โอ้โห ไม่บอกไม่รู้เลยนะเนี่ย”

ทุกคนจ้องอยู่ที่ปากกระบอกปืนของโลแกน ยกเว้นผม… ที่เหมือนจะพอเดาความคิดของเจ้าแฝดคนน้องได้ โลแกนคลายแขนที่รัดลำคอของโจออกครู่หนึ่ง ก็เพื่อใช้ร่างของชายหนุ่มคนนั้นที่บังร่างของตัวเองอยู่เพื่อหยิบปืนกระบอกที่สองขึ้นมา ปืนกระบอกที่ว่านี้อยู่หลังสะโพกซ้ายของโจ แต่แน่นอนล่ะว่าไม่มีใครสังเกตเห็นสิ่งที่หมอนั่นทำ

ผมเอียงศีรษะไปทางซ้ายเล็กน้อยเพราะรู้อยู่แล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนั้น

เสียงลั่นไกปืนสองกระบอกดังขึ้นพร้อมๆ กัน กระสุนปืนเจาะลงกลางหน้าผากของไอ้ผมหางม้าที่ล็อกตัวผมไว้อยู่ เป็นวินาทีเดียวกับที่โลแกนฝังกระสุนลงในหัวของไอ้หัวเกรียนที่อยู่อีกฟากหนึ่ง

ผมรู้สึกได้ถึงของเหลวที่กระเด็นมาโดนใบหน้า คงเป็นสมองสักส่วนของไอ้หางม้าที่ตายคาที่ไปเรียบร้อยแล้วอย่างแน่นอน

เมื่อไร้ซึ่งคนที่ยึดผมให้ยืนเอาไว้ ตัวของผมเองก็ร่วงหล่นไปกองอยู่กับพื้นดังตุ้บไม่ต่างจากสองศพที่โดนไอ้น้องชายปีศาจของผมสอยร่วงลงไปแล้ว เลือดสีแดงไหลนองเต็มพื้น และด้วยความที่ร่างผมร่วงลงมา เนื้อตัวของผมจึงเปรอะเปื้อนไปด้วยของเหลวที่ไหลออกจากร่างกายที่ไร้วิญญาณ

ผมได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นรัวขึ้นด้วยความประหวั่นพรั่งพรึง อะไรบางอย่าง… อะไรบางอย่างที่เหมือนผมทำมันหล่นหายไปนานแสนนานค่อยๆ คืบคลานกลับมา

ความรู้สึกแบบนี้…

เหมือนทุกส่วนในร่างกายมันเย็นเยียบไปหมด

แต่ผมยังนึกไม่ออกว่ามันคืออะไร

หาก… ชั่วเสี้ยววินาทีหนึ่ง เสี้ยววินาทีเดียวจริงๆ ที่ผมเงยหน้าขึ้นไปมองน้องชายฝาแฝดของตัวเอง ผมรู้สึกเหมือนเห็นเขาโค้งงอสองข้างงอกออกมาจากหัวของไอ้หมอนี่จริงๆ แบบเดียวกับที่ผมเห็นในกระจกเมื่อตอนนั้น…. ฉากด้านหลังเป็นไฟลุกท่วมราวกับอยู่ในฉากเกมหรือหนังสงครามระเบิดอะไรทำนองนั้น

แต่มันก็แค่เสี้ยววินาทีเดียว จากนั้นมันก็หายไป ราวกับทั้งหมดเป็นเพียงภาพหลอนของผมเอง

โลแกนมองศพที่ร่วงหล่นไปอยู่บนพื้นด้วยสายตาเย็นชา เจ้าตัวหันกลับไปมองโจก่อนจะพูดสำทับด้วยน้ำเสียงที่ชวนให้ใครก็ตามที่ได้ยินรู้สึกขนลุกเป็นที่สุด อย่างที่ในชีวิตนี้คงไม่เคยเจอมาก่อน

“ถ้านายขยับตัว… หรือแม้แต่หายใจแปลกๆ ออกมาล่ะก็ ได้มีจุดจบแบบไอ้สองตัวนั้นแน่”

บางทีผมก็อดคิดไม่ได้จริงๆ นะ ว่าไอ้บ้าโลแกนแม่งเป็นคนที่ถูกนรกส่งมาเกิดจริงๆ





-----------------------------------------
Talk: ในที่สุดโลแกนกลับมาแล้วนะคะ! (ฮา) นางก็ยังเป็นเด็กนรกเหมือนเดิม... ถถถถถถถถ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ zonpine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
ตามมาจนทัน ชอบเนื้อเรื่องค่ะน่าสนใจดี
เมื่อไหร่จะมาหนอ
รออ่านนะคะ :sad4:

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3


บทที่ 20

(Mode: Logan Collins)





ผมขยับมือที่ถือปืนเพื่อกระชับให้มันถนัดมือมากขึ้น จากนั้นก็กระทุ้งลงบนหลังของโจทีหนึ่งเป็นเชิงสั่งให้มันก้าวเท้าไปด้านหน้า เจ้าตัวทำตามที่ผมให้สัญญาณอย่างดีด้วยท่าทีที่นิ่งได้อย่างไม่น่าเชื่อ แน่นอนล่ะ หลังจากที่มันได้เห็นผมฆ่าคนตายอย่างเลือดเย็นไปต่อหน้าต่อตามันถึงสองคน รวมถึงขู่สำทับมันไปขนาดนั้นเมื่อกี้ มันย่อมอยากรักษาชีวิตของตัวเองด้วยการทำตามที่ผมสั่งอย่างเคร่งครัดอยู่แล้ว

เมื่อชายตรงหน้าเดินไปในระยะทางที่พอดี ผมจึงเงื้อปืนขึ้นแล้วฟาดเข้าที่ท้ายทอยของเจ้าตัวอย่างจัง โดยกะแรงให้มันสลบสักสองสามชั่วโมง ใจจริงผมไม่สนหรอกถ้าต้องฆ่าหมอนี่เพิ่มอีกคน แต่โจเป็นอาหารมือใหญ่ที่ผมต้องใช้ความอดทนและความเพียรอย่างมากกว่าจะรวบรวมหลักฐานและสาวอะไรหลายๆ อย่างมาได้ ผมยังต้องการเค้นคอมัน… ไม่สิ ทางตำรวจยังต้องการจะเค้นคอมันเพื่อสาวไปถึงต้นตอที่อยู่สูงกว่ามันขึ้นไป เพราะงั้นมันยังจำเป็นสำหรับงานของผม

ส่วนไอ้สองตัวที่ผมฆ่าไปนั่น… มันอาจทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นกับผมในภายหลัง แต่ผมไม่สนหรอก ยังไงเสียคนที่ยิงขาลูคัสก็ต้องเป็นหนึ่งในสองคนนี่ อีกอย่าง… ผมเป็นคนไม่ชอบเสี่ยง การที่พวกมันสองคนมีอาวุธพร้อมแบบนั้น ถ้าผมไม่ฆ่าพวกมัน ยังไงพวกมันก็ต้องฆ่าผมแล้วก็ลูคัสอยู่ดี แล้วเรื่องอะไรผมจะไม่เลือกทางเลือกแรกกันเล่า?

ไม่มันก็เรา

มันก็ง่ายๆ แค่นั้นแหละ โลกแห่งความเป็นจริงแล้วกฎหมายหรืออะไรก็ตามแต่ไม่สามารถคุ้มครองเราได้จริงๆ อย่างที่ใครๆ กล่างอ้างกัน มีแต่ตัวของคุณแล้วก็อาวุธของคุณเท่านั้นแหละ ที่จะสามารถช่วยให้คุณมีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้

ผมก้มลงมองลูคัสนิดหนึ่งก่อนจะควักมีดพกออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วเริ่มลงมือตัดเทปพันสายไฟที่มัดแขนและขาของพี่ชายฝาแฝดผมไว้อยู่ หมอนี่หน้าซีดเหมือนกระดาษเลยทีเดียว แม้จะมีสีแดงของเลือดคอยแต่งแต้มตามจุดต่างๆ ก็ตาม

“สภาพดูไม่ได้เลยนะ”

“ทำไมถึงได้มาช้านัก”

ไม่มีใครตอบรับคำพูดของอีกฝ่าย

ผมยังรู้สึกถึงอารมณ์บางอย่างที่คุกรุ่นอยู่ในอกขณะที่ลูคัสค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้นมานั่งบนพื้นโดยมีผมช่วยพยุง สีหน้าซีดเซียวเริ่มมีสีขึ้นมานิดหนึ่ง เจ้าตัวก้มลงมองสภาพที่เปื้อนไปด้วยเลือด ทั้งของตัวเองและของร่างไร้วิญญาณที่นอนอยู่บนพื้น กลิ่นคาวคละคลุ้งของมันน่าสะอิดสะเอียนสำหรับพี่ชายผมเป็นที่สุด

ผมช่วยดันตัวลูคัสไปเพื่อพิงกับผนังที่อยู่ด้านหลัง อีกฝ่ายสูดลมหายใจลึกๆ เข้าปอดสองสามทีเพื่อควบคุมสติของตัวเองแม้เนื้อตัวจะสั่นเทา บางทีหมอนี่อาจจะจำได้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มันเห็นคนตายต่อหน้าต่อตามาก่อน หรือบางทีก็อาจจะจำไม่ได้ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าในกรณีนี้ แบบไหนดีหรือแย่กว่ากัน

“ขาเป็นยังไงบ้าง” ผมยิงคำถาม จากนั้นก็สำรวจบาดแผลของลูคัส เจ้าตัวครางออกมานิดหนึ่งเมื่อผมพลิกดู “กระสุนไม่ฝังใน ไม่แย่มากหรอก”

“อือ” ลูคัสตอบรับในลำคอง่ายๆ แล้วจู่ๆ บางสิ่งบางอย่างที่อัดแน่นอยู่ในอกผมก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง อันที่จริง… มันปะทุขึ้นมารุนแรงมากตอนที่ผมเห็นแผลที่ขาของลูคัสครั้งแรก และเมื่อผมได้เหนี่ยวไก ลั่นกระสุนออกไปสองนัด ความอึดอัดนั้นก็ค่อยบรรเทาลงไปบ้าง แต่ไม่รู้ทำไม… ตอนนี้มันกลับมาอีกแล้ว และผมต้องการที่ระบาย

“ขอโทษนะ” ผมหลุดคำพูดนั้นออกไป เดาไปว่าความอึดอัดนั่นคงเป็นความรู้สึกผิด… ผิดที่ทำให้หมอนี่ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยเลยมารับเคราะห์ไปด้วยแบบนี้

ลูคัสเงยหน้าขึ้นมามองผม สีหน้าบ่งบอกชัดเจนว่าเข้าใจดีว่าผมพูดถึงเรื่องอะไร

ให้ตาย… ไอ้เดนมนุษย์พวกนี้… มันกล้าดียังไง กล้าดียังไงมาแตะต้องพี่ชายฝาแฝดของผม จริงอยู่ว่าในความเป็นจริงแล้ว ผมไม่เคยคิดว่าหมอนี่เป็นพี่ชายของผมจริงๆ เลยก็เถอะ ในเมื่อเรามีพ่อคนละคนกัน

แล้วก็เป็นความจริงอีกที่ว่า ผมไม่เคยสนใจความรู้สึกของใคร ไม่สนด้วยว่าบนโลกใบนี้จะต้องมีคนตายอย่างไม่ยุติธรรมหรือต้องทนทุกข์ทรมานมากมายขนาดไหน มันไม่เคยเกี่ยวข้องอะไรกับผม ตัวตนของผมมาอยู่ที่นี่ด้วยเหตุผลเพียงข้อเดียว นั่นคือทำงานที่ท่านพ่อมอบหมายมาให้สำเร็จ

เรื่องทั้งหมดที่อยู่นอกเหนือจากนั้น… มันก็แค่การฆ่าเวลาเท่านั้น แต่ไอ้ความรู้สึกอึดอัดข้างในนี่มันอะไรกัน

แม่ง… โคตรน่ารำคาญเลย น่ารำคาญสุดๆ ด้วย

รู้ตัวอีกที ผมก็เลื่อนมือไปบีบไหล่ทั้งสองข้างของคนตรงหน้าเต็มแรง ทำเอาลูคัสโอดครวญออกมาเบาๆ ก่อนเจ้าตัวจะเรียกชื่อผมอย่างไม่เข้าใจ

“โลแก--”

ผมเลื่อนหน้าลงไปบดริมฝีปากของหมอนี่โดยที่ไม่รู้ตัว ดันไหล่ทั้งสองข้างของหมอนี่ที่ยังสั่นอยู่นิดๆ เพราะเหตุการณ์ที่เพิ่งเจอมาแนบชิดติดกับผนังด้านหลัง จากนั้นก็สอดลิ้นเข้าไปกวาดหาสัมผัสวาบหวามจากคนตรงหน้าอย่างไม่เกรงใจ

เหมือนกับกำลังโหยหาอยู่ยังไงยังงั้น… ก็ใช่สินะ หมอนั่เล่นหลบหน้าผมมาเป็นอาทิตย์ๆ แถมยังประกาศกร้าวเลยว่ายังไงก็ไม่อยากให้ผมทำเรื่องแบบนี้กับตัวเองจริงๆ

...แล้วทำไมผมยังทำแบบนี้อยู่อีกนะ

ลูคัสครางอึกอักในลำคอ หลับตาแน่นปี๋เหมือนไม่อยากรับรู้อะไร มือทั้งสองข้างที่ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงพยายามผลักผมออก ผมรู้ว่าตัวเองควรจะหยุด… มันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นเลย หมอนี่เคยพูดว่าขยะแขยงผมด้วยซ้ำ แล้วผมเองก็ใช่ว่าจะจนตรอกถึงขั้นหาคู่นอนด้วยไม่ได้ต่อไปอะไรแบบนั้น

แต่พูดไปอาจจะไม่มีใครเชื่อ… แต่ตั้งแต่วันที่ผมนอนกับเจ้าหน้าที่พิเศษแกรนท์ตอนนั้น ผมก็ไม่ได้นอนกับเจ้าหล่อนหรือใครๆ อีกเลย บางทีอาจจะเป็นเพราะผมแค่เบื่อ หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะลูคัสโกรธเรื่องนี้ก็ได้ ผมก็ไม่รู้คำตอบเหมือนกัน

ในที่สุดผมก็ค่อยๆ ผละริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง ยังอยากได้สัมผัสชวนให้เคลิบเคลิ้มนั่นอยู่ แต่เมื่อเหลือบมองบาดแผลที่ขาของลูคัสแล้ว ผมก็ตั้งสติขึ้นมาได้ว่าควรจะทำอะไรก่อน

“ฉันจะพานายลงไปข้างล่างก่อน” ผมพูด ขยับเข้าไปพยุงตัวคนตรงหน้าให้ลุกขึ้น

ลูคัสยกมือแตะที่ริมฝีปากของตัวเองด้วยสีหน้างุนงงสุดขีด แต่ใบหน้าแดงจนลามไปถึงหู อย่าว่าแต่มันเลย ผมยังงงตัวเอง แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาทำความเข้าใจเรื่องนี้

ผมพาลูคัสมานั่งอยู่ที่เก้าอี้เก่าๆ ที่เต็มไปด้วยสนิม และเบาะรองนั่งก็ขาดวิ่นจนเห็นฟองน้ำด้านใน ผมเดินไปหยิบผ้าขนหนูเก่าๆ อย่างรู้จักสถานที่ดี เอามันไปชุบน้ำหมาดๆ จากนั้นก็ยื่นให้อีกฝ่าย

“อดทนอีกหน่อย ฉันต้องไปเก็บกวาด… อาจจะใช้เวลาสักนิด”

“เก็บกวาดเหรอ” ใบหน้าที่เริ่มมีสีขึ้นของลูคัสซีดลงอีกรอบ เหมือนคนที่กำลังจมอยู่ในห้วงความคิดตัวเอง สับสน มึนงงอยู่ดีๆ แล้วจู่ๆ ก็มีอะไรกระชากเจ้าตัวกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง “นาย… จะไม่เป็นไรเหรอ โลแกน นาย…”

“ฆ่าคนไปสองคน” ผมพูดต่อให้ด้วยสีหน้าและน้ำเสียงไร้อารมณ์ “ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันจัดการได้ นายพักสักหน่อยเถอะ เดี๋ยวจะพากลับบ้าน”

“นายจะพาฉันไปโรงพยาบาลทำแผลก่อนได้ไหม”

“ไม่ได้ เสี่ยงเกินไป วุ่นวายด้วย เห็นแผลโดนยิงแบบนี้ต้องโดนซักนู่นซักนี่ เถอะ เดี๋ยวเรียกหมอไปช่วยรักษาให้ที่บ้าน ฉันมีคนรู้จักอยู่”

“นายกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ โลแกน” ลูคัสถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจและกังวล ผมไม่แปลกใจหรอกที่หมอนั่นจะรู้สึกแบบนั้น

“ไว้ไปคุยกันที่บ้าน”

ก่อนอื่นต้องจัดการเคลียร์เรื่องตรงนี้ก่อน









ลูคัสพยายามถามผมว่ารถที่ผมกำลังขับอยู่นี่ไปเอามาจากไหน แล้วก็ถามย้ำซ้ำไปซ้ำมาตลอดว่าไปขโมยใครมารึเปล่า เรื่องของเรื่องก็คือ ถ้าผมขโมยรถใครมาแล้วผมจะบอกมันเรอะ? ไม่ล่ะ แค่นี้เรื่องที่หมอนี่ซักก็มากมายพอตัวอยู่แล้ว เรื่องรถนี่ขอไม่พูดถึงแล้วกัน แล้วก็จะไม่มีการพูดถึงใบขับขี่ด้วย และเหมือนลูคัสที่พูดๆ ไปก็ชักจะรู้ตัวว่า นอกเหนือไปจากเรื่องทั้งหลายทั้งปวง เรื่องที่ผมเพิ่งฆ่าคนไปสองคนต่อหน้าต่อตาหมอนี่ดูจะเป็นเรื่องที่ใหญ่หลวงกว่า

ในที่สุด หลังจากที่คุณหมอซึ่งผมขอร้องให้แมคโดเวลตามมาให้ทำแผลให้ลูคัสจนเสร็จและขอตัวจากไป บรรยากาศของพวกเราสองคนจึงหลับมาเงียบสงบเหมือนเดิม

โอเค… ไม่น่าจะใช้คำว่าเงียบสงบ น่าจะใช้คำว่าเงียบชวนอึดอัดมากกว่า

“แล้วไอ้อีกคนนั่นล่ะ” ลูคัสเอ่ยปากถามออกมาในที่สุด “คนที่นาย… เอ่อ เอาสันปืนฟาดจนมันสลบ”

“ทำไม”

“นายได้… นายได้…” ลูคัสอึกอัก ก่อนจะหลุดพูดออกมาอย่างฝืนใจ “ฆ่าหมอนั่นรึเปล่า?”

“เปล่า”

“ทำไมนายต้องฆ่าสองคนนั้นด้วย”

ผมกลอกตาขึ้นมองเพดานทันที “ถามจริงสิ?”

ลูคัสเงียบไป ก้มหน้าลงต่ำ มองพื้นห้องราวกับนั่นเป็นสิ่งที่สวยงามที่สุดเท่าที่ในชีวิตนี้มันเคยเห็นมา แต่ผมรู้ว่าลูคัสเองก็เข้าใจดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าผมไม่ฆ่าไอ้สองคนนั้น ก็เราสองคนไง ที่จะได้กลายเป็นศพแทนพวกมัน

พี่ชายฝาแฝดของผมถอนหายใจเฮือกออกมาในที่สุด เหมือนปลงและเอือมระอาในตัวผมเสียเหลือเกิน

“สัญญาได้ไหมว่าจะไม่ทำอีก”

“ทำอะไร” ผมตีรวนทันที “ช่วยชีวิตนายน่ะเหรอ”

“ฉันหมายถึง… ฆ่าคนน่ะ”

“ไม่สัญญา”

“อะไรนะ” ลูคัสถามเสียงสูงขึ้นเหมือนไม่อยากจะเชื่อ “นี่นายคิดว่านี่มันเป็นเรื่องธรรมดาๆ ที่ทำกันทุกวันรึไง? นายเพิ่งฆ่าคนไปสองคนวันนี้นะ โลแกน”

“และฉันก็จะฆ่าอีกถ้าจำเป็น” ผมยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ อีกอย่าง ผมยังไม่ได้ฆ่าจูดี้ ฮิลล์ตามคำของท่านพ่อเลย เพราะงั้นยังไงก็ไม่มีทางสัญญาว่าจะไม่ฆ่าคนได้อีกแน่ อย่างน้อยก็คนหนึ่งแล้วแน่นอนล่ะ

ลูคัสครางออกมาเหมือนคนไม่ได้ดั่งใจ จากนั้นเจ้าตัวก็เอนหลังลงไปโซฟา ยกแขนขึ้นมาพาดปิดตาทั้งสองข้างเอาไว้อย่างอ่อนล้า ก่อนชายหนุ่มจะพูดออกมาเหมือนไม่เข้าใจ

“ฉันแค่อยากใช้ชีวิตตามปกติ”

ผมรับฟังเงียบๆ เข้าใจดีว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาอ่อนไหวของหมอนี่ วันนี้คงเป็นวันที่หนักหนาไม่น้อยสำหรับคนที่ไม่ได้อยู่ในโลกฝั่งนี้แบบผม

บางที… หมอนั่นอาจจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นวันที่เราเสียพ่อกับแม่ไปแล้วจริงๆ หรือต่อให้ไม่ลืม เจ้าตัวก็คงอยากลืม เพราะงั้นการที่มาจออะไรแบบนี้คงไปกระตุ้นต่อมหมอนั่นเข้า แต่มันก็ช่วยไม่ได้นี่

“ฉันสัญญากับแม่ไว้ว่าจะดูแลนาย”

ผมมองพี่ชายฝาแฝดของผมที่ยังคงปิดตาด้วยท่อนแขนของตัวเอง น้ำเสียงของลูคัสสั่นเครือเหมือนคนกำลังจะร้องไห้

อันที่จริง เรื่องนั้นผมก็รู้… รู้ด้วยว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่คนธรรมดาอย่างหมอนี่คิดจะดูแล… ทำตัวเข้มแข็งตลอดเวลาต่อหน้าคนที่เป็นลูกลูซิเฟอร์อย่างผม แต่ผมก็รู้อีกว่าลูคัสพยายามมาตลอด ตั้งแต่สมัยที่เรายังเด็กแล้ว ผมเคยคิดว่าหมอนี่มันบ้า ที่ต้องทำตามคำสั่งของแม่อย่างเคร่งครัดตลอดเวลาแบบนั้น โดยลืมไปว่าแท้จริงแล้วนั่นอาจเป็นสิ่งที่เจ้าตัวก็อยากทำเหมือนกันก็ได้

แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ตาม… มันคงทำให้หมอนี่เจออะไรหนักๆ มาไม่น้อย

“แต่ฉันกำลังดูนายทำผิด โดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย” น้ำเสียงที่หลุดออกมาจากริมฝีปากของลูคัสอ่อนล้า ผมลอบถอนหายใจออกมานิดหนึ่งก่อนจะทรุดตัวนั่งลงข้าง บีบมืออีกข้างที่เจ้าตัววางลงบนโซฟาอย่างปลอบโยน ลูคัสดึงมันกลับไปอย่างรวดเร็ว “และฉันก็ยอมให้นายนอนกับฉัน!!!”

“เรานอนกันอีกก็ได้นะ ถ้านายต้องการ”

“ไม่ต้องการโว้ย!!”

“แล้วฉันต้องทำยังไงล่ะถ้าฉันต้องการน่ะ”

“ก็ไป---”

“ถ้าฉันมีนายคนเดียวจะได้ไหม” ผมไม่อยากเชื่อสิ่งที่ตัวเองหลุดปากพูดออกไปเช่นกัน ลูคัสหุบปากลงฉับทันที ก่อนจะมองหน้าผมราวกับว่านี่เป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดที่สุดเท่าที่ชีวิตนี้เคยเจอมา

บอกตามตรง ผมเองก็แปลกใจตัวเองเหมือนกันนั่นแหละ

“แต่… นาย…” ลูคัสอ้ำอึ้ง ผมรีบใช้จังหวะนี้สวนต่อไปทันที

“หรือนายอยากจะแต่งงานกับฉัน”

คราวนี้ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าแบบเดียวกับผมขมวดคิ้วฉับ จ้องหน้าผมเขม็งทันที ผมเลยยักไหล่ส่งกลับไปให้มัน

“เดี๋ยวนี้เขามีกฎหมายสายรุ้ง*แล้ว ไม่รู้หรือไง”

“จะกฎหมายอะไรก็ไม่ให้พี่น้องแต่งงานกันทั้งนั้นแหละ เจ้าโง่”

“อ้าว” ผมนิ่งไปนิด “ถ้าเราปลอมผลดีเอ็นเอ คิดว่าศาลจะเชื่อเราไหม”

แน่นอนว่านั่นผมพูดติดตลก แต่ลูคัสยกมือขึ้นตีหน้าผากทันที หมอนี่นี่จริงจังได้ทุกเรื่องจริงๆ

“ตราบใดที่เราคนใดคนหนึ่งไม่ไปทำศัลยกรรมเปลี่ยนหน้า ฉันว่าคงไม่ได้”

“ฉันไม่ทำนะ เพราะหน้าตาดีอยู่แล้ว” ผมรีบออกตัวไว้ก่อนทำเอาลูคัสกลอกตาขึ้นมองเพดานทันที

“เออๆ เอาไงก็เอา”

เสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้น จากแมคโดเวลนั่นเอง คงจะติดต่อมาเรื่องโจที่ผมเพิ่งส่งตัวให้ทางตำรวจไป ผมรีบรับสายแล้วกรอกเสียงลงไปทันที

ผมตอบรับคำกับปลายสายคำสองคำ จากนั้นก็หันกลับมาหาลูคัสที่มองมาที่ผมนิ่ง

“ฉันต้องไปเคลียร์เรื่องที่ค้างๆ ไว้นิดหน่อย”

“นายแน่ใจนะว่านายจะไม่ถูกจับ” สีหน้าของลูคัสดูไม่มั่นใจเอาเสียเลย ผมเลยส่งยิ้มให้มันกลับไป

“เชื่อฉันเถอะน่า บอกว่ารับมือได้ก็คือรับมือได้สิ”

“ก็ขอให้เป็นงั้นเถอะ”

ผมช่วยพยุงตัวของอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นจากโซฟา จากนั้นก็พาไปส่งด้านบน ผมเปิดประตูห้องนอนใหญ่แทนที่จะเป็นห้องเล็กที่ลูคัสเข้าไปนอนอยู่ช่วงนี้ และหมอนี่ก็ไม่ได้ว่าอะไร พอเอาตัวของลูคัสวางบนเตียงเสร็จผมก็ถือโอกาสโน้มหน้าลงไปจูบหน้าผากมันเร็วๆ ทีหนึ่ง

“ฝันดี ลูคัส พักเยอะๆ นะ แล้วเดี๋ยวจะรีบกลับมา”

“ระวังตัวด้วยล่ะ”

ผมยิ้มรับคำนั้นก่อนจะก้าวเท้าเดินออกจากห้อง อยากจะบอกลูคัสเหลือเกินว่าไม่จำเป็นต้องห่วงอะไรผมอยู่แล้ว

...ก็ผมมันเด็กที่ถูกนรกส่งมาเกิดนี่หว่า






------------------------------------------------

Talk: อั๊ยย่ะะะะะ อะไรกันอ้ะ สองคนนี้ ถถถถถถถถ
*กฎหมายสายรุ้ง: กฎหมาย LGBT น่ะค่ะ ที่เกี่ยวกับการสมรสเพศเดียวกันในอเมริกา =w=

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ถถถถถถถถ โลแกน ทำถูกแล้ว บังอาจมาทำร้ายลูคัส ได้ยังไง
โลแกน อยากใช้ชีวิตกับลูคัส  ถึงขั้นพูดเรื่องแต่งงานกัน
“เรานอนกันอีกก็ได้นะ ถ้านายต้องการ” อะจ๊ากกกก
“แล้วฉันต้องทำยังไงล่ะถ้าฉันต้องการน่ะ”  :ling1:
“ถ้าฉันมีนายคนเดียวจะได้ไหม” ฟินนนนน
“หรือนายอยากจะแต่งงานกับฉัน” :L2: :L2: :L2:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:


ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 21

(Mode: Lucas Collins)




ผมรู้สึกเหมือนอยู่ๆ โลกที่เคยรู้จักมันพลิกกลับจากบนลงล่างไปอย่างสิ้นเชิงตั้งแต่วันนั้น...

“เฮ้ ลูคัส ฉันซื้อเบเกอรี่จากร้านฝั่งตรงข้ามโรงเรียนมาน่ะ อยู่บนโต๊ะนะ”

“เออ วันนี้เอาเสื้อผ้าของนายไปซักแล้วก็ตากเสร็จแล้วนะ นายทำงานกลับมาเหนื่อยๆ ขึ้นไปพักไป”

“ลูคัส นายมาลองชิมคุกกี้นี่ไหม ฉันได้มากจากที่ทำงาน”

ผมขมวดคิ้วมุ่นขึ้นทันทีขณะก้าวเท้าเดินไปหาเจ้าน้องชายตัวแสบที่นั่งเหยียดขาวางไว้บนโต๊ะเล็กอย่างไร้มารยาท ในมือมีโถคุกกี้ลวดลายสวยงาม บ่งบอกว่าราคาของมันคงไม่น้อย ผมเลยฉลองศรัทธามันด้วยการหยิบชิ้นหนึ่งเข้าปาก อืม… อร่อยจริงๆ สมราคาคุย

“นายทำงานที่ร้านอบคุกกี้อยู่เหรอ”

“อ้อ ใช่สิ” โลแกนพูดหน้าตาย ปากก็เคี้ยวคุกกี้ไปด้วย “ร้านอบคุกกี้เดี๋ยวนี้เขาเริ่มรับจ๊อบจัดการกับพวกนักเลงค้ายาแล้วด้วยนี่ ฉันลืมนึกไปได้ไง”

เหอะ ตลกคาเฟ่กันทั้งนั้น ถามขำๆ แค่นี้ต้องย้อนด้วยนะ

“แล้วเรื่องคดีที่ว่านั่นเป็นไง” ผมถามขณะเริ่มหยิบคุกกี้ชิ้นที่สองมากิน อร่อยเป็นบ้า นี่ถ้าได้นมอีกแก้วนี่เยี่ยมเลย “คืบหน้าไปถึงไหนแล้ว ยัดหมอนั่นเข้าคุกไปรึยัง”

“ยัง… มีคนประกันตัวมันออกมา ก็พวกๆ เดียวกันนั่นแหละ ต้องรอขึ้นศาลอีกรอบ”

ผมรู้สึกว่าหน้าของตัวเองซีดเผือดลง โลแกนวางโถคุกกี้ไว้บนโต๊ะแล้วลุกออกจากโซฟาไป ปล่อยให้ผมนั่งทบทวนความคิดอะไรบางอย่างอยู่ครู่หนึ่ง และเมื่อมันกลับมาใหม่พร้อมกับนมสองแก้วในมือ ผมถึงได้หาเสียงของตัวเองเจอ “แล้วหมอนั่นไม่แจ้งตำรวจไปแล้วเหรอเรื่องที่นาย…”

โลแกนยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปาก ส่ายหน้าเป็นเชิงบอกห้ามไม่ให้ผมพูดต่อ

“มันไม่เคยเกิดขึ้น”

ผมได้แต่นิ่งเงียบ พูดอะไรไม่ออก

“จำไว้แค่นั้นแหละ”

โลแกนส่งนมแก้วหนึ่งให้ผมจากนั้นก็ย้ายตัวกลับมานั่งที่เดิมข้างๆ ผมแล้วละเลียดคุกกี้ในโถต่อ ผมทำตามบ้าง แต่เริ่มไม่ค่อยรู้สึกว่าแป้งคุกกี้ที่กินเข้าไปอร่อยเหมือนเดิมแล้ว

ภาพที่ร่างของชายสองคนนั่นที่วิ่งไล่ผมตามท้องถนน… เหตุการณ์ที่เหมือนจะเป็นเรื่องตลกากกว่าจะเป็นเรื่องจริง ช่วงเวลาหนึ่ง พวกเขาวิ่งไล่ผมแบบเอาเป็นเอาตาย แต่อีกไม่ถึงชั่วโมงต่อมาพวกเขาก็เป็นฝ่ายที่ต้องตายเสียแทน

จากนั้นภาพกองเลือดที่รวมตัวกันจนเป็นแอ่งได้ก็ปรากฏเข้ามาในความทรงจำของผม มันแจ่มชัดจนชวนให้ผมขนลุก เมื่อที่ถือแก้วอยู่สั่นนิดหนึ่ง

สองคนนั้นตายไปแล้ว ง่ายๆ แค่นั้นเอง

ภาพศพ กองเลือด และกลิ่นคาวเลือดชวนให้สะอิดสะเอียนนั่นตามมาหลอกหลอนผมอยู่ทุกคืน ผมไม่แน่ใจว่าระหว่างการได้เห็นคนตายที่เกิดขึ้นเร็วๆ กับภาพความทรงจำที่เห็นพ่อกับแม่ของผมทะเลาะกันหนักจนถึงแก่ชีวิต… แบบไหนกำลังมีอิทธิพลกับผมมากกว่า

บางทีเหตุการณ์ทั้งสองอย่างนั่นอาจค่อยๆ หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่ในหัวผม

ผมเริ่มแยกไม่ออกแล้วว่ากองเลือดที่เห็นอยู่ในความฝันแต่ละคืน มันเป็นกองเลือกของผู้ที่ให้กำเนิดผมหรือเป็นของผู้ชายสองคนนั่นที่น้องชายฝาแฝดของผมเพิ่งฆ่าไปอย่างเลือดเย็น

ใช่…  ผมยังจำแววตาของโลแกนตอนที่ลั่นไกปืนใส่คนทั้งคู่ได้ มันว่างเปล่า ไร้อารมณ์ใดๆ ไม่มีความเห็นใจ ไม่มีความสำนึกผิด ไม่มีอะไรทั้งนั้น

และเพราะคิดแบบนั้น ผมถึงหลุดปากถามออกไปโดยไม่รู้ตัว

“โลแกน นายเคยฆ่าคนนอกจากไอ้สองตัวที่นายเพิ่งฆ่าไปเพื่อช่วยฉันไหม” อย่างน้อยการได้เติมประโยคหลังนั่นเข้าไปก็ช่วยทำให้ผมรู้สึกดีกับเรื่องที่เกิดขึ้นมานิดหนึ่ง

หากน้องชายของผมนิ่ง ไม่ตอบ ตามองตรงไปที่โทรทัศน์ ที่ไม่ได้แม้แต่จะเปิดอยู่ชัดๆ

ผมคิดว่าผมรู้ว่านั่นคือคำตอบ

“นี่ โลแกน มานี่ หันมามองหน้าฉัน” อยู่ๆ ผมสำนึกของผมก็แผดร้องลั่นราวกับมีสัญญาณเตือนไฟไหม้ดังอยู่ในอก น่าแปลกที่รอบนี้โลแกนยอมหันมาดีๆ โดยไม่พูดจากวนประสาทใส่ มันคงจับได้ว่าเสียงผมจริงจังขึ้นล่ะมั้ง “โอเค ฟังนะ จริงๆ แล้วเรื่องพวกนี้มันเป็นสามัญสำนึกที่ทุกคนก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วแต่ว่า--”

“จะพูดอะไรก็เข้าเรื่องมาเลย” เจ้าตัวตัดบท ยกแก้วซดรวดเดียว ผมขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะพูด

“นายฆ่าคนไม่ได้นะ”

“ทำไมล่ะ?”

“คนทุกคนเขาก็มีชีวิต... มีความรู้สึกเหมือนกับนายนะเว้ย” ให้ตายเถอะ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผมต้องมานั่งพูดเรื่องแบบนี้ให้เด็กม.ปลายที่กำลังจะจบการศึกษาฟัง โลแกนมองหน้าผมนิ่ง ก่อนจะพูดออกมาสั้นๆ

“ไม่มันก็เรา”

ผมนิ่งไปทันที ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรตอบ

“นายอยากให้เป็นแบบไหนมากกว่าล่ะ”

นัยน์ตาสีฟ้าของโลแกนจ้องตาผมอย่างตรงไปตรงมา ผมคิดว่ามันอาจมีน้ำเสียงเยาะๆ ปนมาด้วย แต่ก็เปล่า น้องชายผมแค่พูดออกมาเรียบๆ

“ระหว่างไอ้พวกเดนมนุษย์ที่อยู่ไปก็รกโลก ที่ต่อให้มันตายก็คงไม่มีใครคิดถึง กับนายที่วาดฝันวางแผนอนาคตอันสวยหรูของตัวเองไว้แล้ว”

“พูดแบบนั้นมันไม่โหดร้ายไปหน่อยเหรอ”

“ไม่เอาน่า เราจะเป็นคนดีกันถึงขนาดแตะต้องข้อเท็จจริงพวกนี้เลยไม่ได้เหรอ”

ผมพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา เบือนหน้าหนีไปทางอื่น อันที่จริง… ไม่ใช่ว่าผมไม่เข้าใจนะว่าโลแกนพยายามจะพูดอะไร ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าผมไม่อยากตาย… และถ้าต้องเลือกระหว่างผม กับไอ้… สองคนนั้นที่พยายามจะฆ่าผม ผมคงไม่ใจบุญพอที่จะบอกว่าอยากให้พวกมันรอดแล้วตัวเองตายเสียเองเหมือนกัน

“ลูคัส” โลแกนเลื่อนมือมาจับคางผม ขยับให้หันไปมองหน้ามัน นั่นทำให้ผมสะดุ้งไปเล็กน้อยอย่างตกใจ ใบหน้าของอีกฝ่ายเลื่อนเข้ามาใกล้จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นของกันและกัน

นั่นทำให้หัวใจผมเต้นผิดจังหวะขึ้นมาทันที

“นายเกลียดที่ฉันเป็นคนแบบนี้เหรอ” เจ้าตัวดีถาม จ้องหน้าผมนิ่ง “เกลียดฉันแล้วรึเปล่า”

“ปละ… เปล่า ไม่ได้เกลียด”

โลแกนเลื่อนมือมาปิดตาผม จากนั้นก็ทาบจูบลงมาอย่างแผ่วเบา และนั่นทำให้ผมสะดุ้งเฮือกทันทีเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว ว่าแต่ไอ้หมอนี่จะปิดตาผมทำ…!!?

อ้อ… ใช่ เพราะมันคิดว่าผมขยะแขยงที่จะเห็นมันนี่เอง

“งั้น…” โลแกนเลื่อนหน้าลงมากระซิบที่ข้างหูผม เห็นไหมล่ะ ผมบอกแล้ว ผมไม่ได้คิดไปเองจริงๆ พักหลังๆ มานี่หมอนี่ทำตัวแปลกๆ ไปจริง… เหมือนมัน… หวานขึ้น? เอ่อ คือก่อนหน้านี้ถ้ามันนึกอยากจะทำมันก็เดินดุ่มๆ ถือเนคไทหรือผ้าอะไรสักอย่างมา ปิดตาผม จากนั้นก็เป็นอันรู้กันอยู่แล้ว

แต่ช่วงหลังๆ มานี่… มันเหมือน เอ่อ… ทำอะไรเป็นขั้นเป็นตอนขึ้น? มั้ง?

เออ… แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังปิดตาผมตอนเรานอนด้วยกันอีกอยู่ดีนะ ไม่รู้จะพูดเรื่องนี้กับมันยังไงดีเหมือนกัน

“ถ้านายไม่เกลียดฉัน ฉันก็ทำต่อได้ใช่ไหม?”

“อะไร” ผมแกล้งตีรวนบ้าง อย่าแปลกใจถ้าเห็นเราสองคนรวนใส่กันบ่อยๆ มันเป็นนิสัยที่ฝังรากลึกลงมาจนจะกลายเป็นสันดานอยู่แล้ว “หมายถึงฆ่าคนน่ะเหรอ”

“ใช่”

นั่น ดูมัน รับมุกอีก

“ไม่ได้” ไอ้บ้า จะมีคนบ้าที่ไหนที่เพิ่งฆ่าคนมาแล้วทำหน้าตาเฉยได้เท่ามันอีกไหมเนี่ย

โลแกนแสร้งครางเสียงอ่อน แต่ท่าทีมันไม่ได้อ่อนลงสักนิด เจ้าตัวดีเลื่อนมือไปหยิบผ้าสีขาวผืนเล็กออกมาจากกระเป๋ากางเกง ผมเดาว่าตอนนี้มันคงพกผ้าผืนนี้ไว้ตลอดเวลาแล้วละ ตอนนี้ เพื่อที่ว่าตอนที่มันอยากทำจะได้หยิบขึ้นมาใช้ได้ทันท่วงที

เอ่อ… หวังว่ามันคงไม่ได้เอาผ้าผืนเดียวกันนี้ไปเช็ดคราบเลอะหรือทำอะไรๆ สกปรกมาก่อนนะ…

“โลแกน” ผมเรียกอีกฝ่ายขณะที่มันค่อยๆ เอาผ้าผืนนั้นมาพาดผ่านปิดตาอย่างเบามือ ช่างแตกต่างกับตอนที่มันลั่นไกปืนอย่างเลือดเย็นในตอนนั้นเหลือเกิน

“อะไร”

“นอนกับฉัน นายสนุกเหรอ”

“สนุกสิ”

“นั่นคือเหตุผลที่นายนอนกับฉันเหรอ?” ผมเอ่ยถามต่อ ตอนนี้ทัศนียภาพทั้งหมดกลายเป็นสีดำไปแล้ว ดังนั้นผมจึงไม่สามารถรับรู้ได้ว่าเจ้าตัวกำลังทำสีหน้าหรือมองมาที่ผมด้วยสายตาแบบไหน

อันที่จริง… ผมก็นึกอยากเห็นสักครั้งนะ

อยากเห็นหน้ามัน… ตอนที่เรานอนด้วยกัน

“นายอยากได้ยินคำว่ารักเหรอ” เสียงทุ้มต่ำกระซิบอยู่ข้างใบหูผมทำเอาผมสะดุ้งสุดตัวเพราะไม่ทันตั้งตัว รู้สึกได้เลยว่าหน้าขอตัวเองร้อนขึ้น จากนั้นลิ้นสากของคนที่อยู่ข้างๆ ก็ไล้ลงมาบนใบหู อ๊ากกกก ให้ตายเถอะ ผมไม่เคยรับมือได้เลยเวลาหมอนี่ทำแบบนี้

“ละ… โลแกน”

“ชู่”

เสียงนั้นดังขึ้นมาพร้อมกับตอนที่มือของอีกฝ่ายดันลงมาบนแผ่นอกผม ออกแรงให้ผมล้มตัวลงนอนบนโซฟา

อ่า… ที่นี่อีกแล้วเหรอ แต่ก็อย่างว่าน่ะนะ ใช่ว่าบ้านเราจะมีที่ให้ทำเยอะแยะซะเมื่อไหร่ บนเตียงในห้องนอนก็ทำจนเป็นปกติไปแล้ว อีกไม่นานบนโซฟานี่ก็คงกลายเป็นเรื่องปกติไปด้วยเหมือนกัน

เอ… ไม่สิ หรือว่าเป็นไปแล้วหว่า?

ผมรู้สึกได้ถึงร่างที่ค่อยๆ คลานขึ้นมาบนตัวผม เจ้าตัวโน้มหน้าลงมาต่ำ แต่ก็ไม่ถึงเสียที ผมเลยตัดสินใจเอื้อมมือไปโอบรอบลำคอของตัวจากนั้นก็ดึงมันลงมาให้ริมฝีปากทาบกับปากผมอย่างรวดเร็ว รู้สึกได้เลยว่าโลแกนชะงักไปนิดหนึ่งด้วยความตกใจ คาดไม่ถึง หากวินาทีต่อมาเจ้าตัวก็เริ่มจูบผมตอบ ดันลิ้นร้อนของตัวเองเข้ามาในโพรงปาก จากนั้นก็รุกเข้ามาเรื่อยๆ

อ่า… ให้ตาย… รู้สึกดีเป็นบ้า อยากจะให้เวลาทุกอย่างหยุดลงตรงนี้เลย

ไม่ต้องคิดว่าหมอนี่เป็นใคร ไม่ต้องคิดว่าตัวผมเป็นใคร ไม่ต้องสนอะไรทั้งนั้นแล้วก็ปล่อยให้ทั้งโลกนี้มีแค่เราสองคน

มือหนาของคนด้านบนเริ่มเลื่อนมาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตผมแล้ว อ่า… ใช่ วันนี้ตอนเช้าผมมีอัดวิดีโอตอนตัวเองเล่นเปียโนเพื่อจะนำส่งไปพร้อมกับใบสมัครทุน จากนั้นถึงเลยไปทำงานพิเศษต่อแล้วค่อยกลับมาบ้าน แล้วก็มาจบอยู่ที่ตรงนี้

คนด้านบนผมผละจูบไปอย่างอ้อยอิ่ง จากนั้นก็เริ่มไล้สันจมูกลงบนซอกคอ บริเวณที่ถูกสัมผัสทั้งหมดร้อนวูบขึ้นมาทันที

ผมไม่คิดจะขัดขืนหมอนี่ตั้งแต่แรกแล้ว เพราะงั้นก็แค่ปล่อยให้มันทำอย่างนี้ต่อไปเหมือนอย่างทุกครั้งก็เท่านั้น

ผมได้ยินเสียงครวญครางของตัวเองดังออกมาจากริมฝีปาก เอาจริงๆ มันเป็นเสียงที่ค่อนข้างจะน่าอาย และถ้าเป็นได้ ผมคงอยากจะควบคุมมันให้มันเลิกดังออกมาจากริมฝีปากผมเสียที แต่ก็แน่ล่ะว่าเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้

โลแกนเริ่มพรมจูบลงบนซอกคอผม ไล้ลงไปต่ำจนถึงบริเวณอกที่ตอนนี้กระดุมถูกปลดออกไปเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างกำลังไปได้ตมลำดับขั้นตอนของมัน และมันเริ่มทำให้ผมเริ่มเคลิ้มแล้ว

ผมหอบหายใจเบาๆ ขณะเลื่อนมือไปจับเส้นผมสีทองของคนด้านบน รู้สึกความต้องการของร่งกายที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นโลแกนก็ขยับตัวขึ้นมานิดแล้วก้มลงพูดกับผมข้างๆ หู

“ลูคัส”

“อะ… อะไร”

“ตอนที่เราทำกันอยู่แบบนี้เนี่ย” เสียงนั้นเอ่ยถาม “นายคิดถึงใครเหรอ?”

“หา???”

ถามบ้าอะไรของมันวะ…

“ก็นายบอกว่า” โลแกนพูดพร้อมกับล้วงมือไปใต้กางเกงของผม นั่นทำให้ผมสะดุ้งอีกเฮือกทันที “นายขยะแขยงที่นอนกับฉันไม่ใช่เหรอ”

“อ๊ะ…!!”

“งั้น… นายกำลังคิดถึงใครอยู่ล่ะ ลูคัส ใครกันเหรอที่ทำให้นายรู้สึกดีได้ขนาดนั้น?”

โอ๊ย… ปัดโธ่เว้ย…

แล้วผมจะไปคิดถึงใครได้นอกจากมันกันล่ะ?




..............

ลูคัสรู้สึกได้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าผละออกไป ชายหนุ่มปล่อยให้ตัวเองหอบหายใจเบาๆ ได้ยินเสียงคนที่อยู่ในห้องอีกคนหยิบอะไรบางอย่างออกมา เสียงฉีกดังแควกที่ดังเข้ามาในหูให้ได้ยินทำให้ลูคัสเดาได้ทันทีว่าเจ้าตัวดีคงไปหยิบถุงยางมาเตรียม… ก็สมควรจะเป็นงั้น เรื่องการป้องกันนี่เป็นสิ่งที่เขาเจ้ากี้เจ้าการบอกโลแกนมาตั้งนานแล้ว เจ้าตัวก็ทำตามบ้างไม่ทำตามบ้างแล้วแต่อารมณ์ แต่ขอทีเถอะ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ เสียเวลาแค่ไม่กี่นาที ทำให้มันปลอดภัยดีกว่า

แต่ก็อย่างว่าอีก… น้องชายฝาแฝดของเขาไม่ได้สนเรื่องพรรค์นั้นเท่าไรหรอก วันก่อนยังไปวิ่งสู้ฟัดกับพวกคนน่ากลัวๆ มาแล้วเลย เพราะงั้นเรื่องบนเตียง… ถ้าไม่ใช้เพราะเขาคอยบ่นปากจะฉีกถึงหู เจ้าตัวคงไม่คิดจะขวนขวสยไปหาถุงยางอนามัยมาใส่หรอก

โซฟาที่ร่างของลูคัสนอนราบไปอยู่ยวบลงไปอีกครั้งหนึ่งตามแรงของโลแกนที่ปีนขึ้นมา คนด้านล่างรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นดังขึ้นเมื่ออีกฝ่ายโน้มตัวเข้ามาใกล้ เลื่อนมือมาดึงมือเขาไปอย่างถือวิสาสะ จากนั้นก็วางมือของลูคัสลงบนส่วนกลางของร่างกายตัวเองปล่อยให้คนด้านล่างที่รู้หน้าที่ดีสร้างความบันเทิงให้มันไป

ลูคัสขยับฝ่ามือรูดขึ้นลงอย่างกล้าๆ กลัวๆ ในตอนแรก หากเพิ่มความเร็วเข้าไปมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ได้ยินเสียงโลแกนครางออกมาเบาๆ อย่างพึงพอใจ จากนั้นเจ้าตัวดีก็ถามคำถามที่เขายังไม่ได้ตอบซ้ำอีกรอบ

“ว่าไง ลูคัส”

“อะไร” เจ้าตัวแกล้งทำเฉไฉ ใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นแต่ก็ยังคงพยายามรักษาน้ำเสียงให้เป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“นายยังไม่ได้บอกเลยว่านายคิดถึงใครตอนที่กำลังมีเซ็กส์กับฉัน”

“แล้วฉันจำเป็นต้องนึกถึงใครด้วยเหรอ” จากนั้นคนพูดก็ต้องครางเสียงหวานออกมาเบาๆ เมื่อโลแกนเลื่อนริมฝีปากลงมาขบลงบนยอดอกของเขา เย้าหยอกอยู่อย่างนั้น จากนั้นก็เริ่มเลื่อนไปยังบริเวณรอบๆ แล้วไล้ต่ำลงไปถึงสะดือ

ลูคัสเกร็งตัวด้วยความเสียวซ่าน หลุดเสียงครางที่เหมือนเป็นคำพูดอะไรบางอย่างที่ไม่มีความหมายออกมา ก่อนจะต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อโลแกนเลื่อนหน้าต่ำ ซุกลงบนต้นขาของเขา ขบริมฝีปากลงบนนั้นจนเหลือเป็นรอยแดงจ้ำๆ จากนั้นก็เลื่อนริมฝีปากลงไปครอบส่วนอ่อนไหวของเจ้าตัวเร็วๆ ชอบใจที่ได้เห็นคนด้านล่างดิ้นพร้อมกับครางออกมาอย่างสุขสมในอารมณ์ เขาชอบอยู่แล้วเวลาที่เหมือนได้เป็นฝ่ายได้ควบคุมหมอนี่เอาไว้ได้แบบนี้

“อ่า…. ละ… โลแกน”

“อะไร จะบอกว่ากำลังคิดถึงฉันอยู่เหรอ” เจ้าตัวว่าพร้อมกับสอดนิ้วเข้าไปที่โพรงด้านหลังสองนิ้วพร้อมกันเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายก็โชกโชนเรื่องนี้มาไม่น้อยเหมือนกัน พวกเขาสองคนลงสนามกันมานับนิ้วไม่ถ้วนแล้ว เพราะงั้นร่างกายของลูคัสก็น่าจะรับมือกับมันได้

“อะ… อ๊ะ!!! ” ชายหนุ่มเกร็งปลายเท้าที่ลอยอยู่กลางอากาศเพราะโลแกนยึดข้อพับขาทั้งสองข้างด้วยมือกำยำของตัวเองเอาไว้ และเมื่อเห็นว่าคนด้านล่างไม่เจ็บปวดอะไร โลแกนก็ค่อยๆ สอดร่างกายของตัวเองเข้าไปในร่างของอีกฝ่าย ไม่ได้อย่างเชื่องช้าอ่อนโยน แต่ก็ไม่ได้รวดเร็วรุนแรงอะไร ก็แค่จังหวะปกติของเขาเท่านั้น

“อะ!! ” ลูคัสร้องออกมาเฮือกหนึ่งเมื่อร่างของอีกฝ่ายแทรกผ่านเข้ามาจนสุด

ชายหนุ่มเอื้อมมือเปะปะไปจิกลงบนโซฟาที่หนังหุ้มของมันแทบจะลอกออกเป็นแผ่นๆ อยู่แล้วเนื่องจากผ่านการใช้งานมาอย่างยาวนาน แถมยังต้อฝมาเจอพวกเขาทำกิจกรรมบนเตียงนอกสถานที่กันแบนี้อีก บางทีอาจต้องถือเวลาซื้อโซฟาใหม่…

“นี่ ลูคัส ว่าไง” คนข้างบนถามย้ำอีกรอบด้วยน้ำเสียงที่เหมือนนึกสนุก กระแทกสะโพกลงไปเป็นจังหวะพร้อมๆ กัน ลูคัสชักไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตกลงหมอนั่นอยากได้คำตอบจริงๆ หรือกำลังแกล้งปั่นหัวเขาเล่น

แต่ไม่ว่าจะยังไง… เขาไม่มีทางยอมให้น้องชายของตัวเองปั่นหัวอยู่แค่ฝ่ายเดียวแน่

“มะ… ไม่เกี่ยวกับนาย” พูดไปแล้วลูคัสก็ต้องสะดุ้งอีกเฮือกเพราะโลแกนดันตัวเข้ามารุนแรงมากขึ้น จากนั้นก็เพิ่มความเร็วร่างที่สอดแทรกเข้ามาในตัวเขา ทำเอาคนที่ถูกปิดตาอยู่แทบคลั่งกับสัมผัสรุนแรงที่เหมือนจะแผดเผาร่างกายของเขานั่น “อะ… อ๊ะ!! โลแกน”

“นั่นไง นายเรียกชื่อฉัน” แฝดคนน้องพูดด้วยน้ำเสียงมีชัย เหงื่อเม็ดหนึ่งไหลลงมาจนถึงแก้มเพราะอุณภูมิของร่างกายพวกเขาที่สูงขึ้นเรื่อยๆ รวมไปถึงอารมณ์ทางกายที่ไม่ว่าจะเติมเต็มเท่าไรก็เหมือนยังไม่สุขสมสักที “เรียกชื่อกันขนาดนี้ แล้วยังจะมาทำเป็นปากแข็งอีก”

“แฮ่ก… ละ… แล้วถ้าฉันไม่เรียกชื่อนาย จะไป… อ๊ะ! เรียกชื่อ… หมาที่ไหนวะ!? ”

“นี่ ลูคัส” โลแกนขยับตัวเข้ามา เลื่อนมือไปกุมส่วนแกนกลางของร่างอีกฝ่าย จากนั้นก็ออกแรงกดหัวแม่โป้งลงบนส่วนปลายอย่างรู้งาน ลูคัสร้องออกมาอย่างตกใจ จากนั้นก็เริ่มดิ้นเร่าๆ เมื่อมือแกร่งข้างนั้นรูดขึ้นลงกับส่วนอ่อนไหวของเขาเป็นจังหวะเดียวกับที่โลแกนกระแทกร่างเข้าออกด้วยความแรงที่เพิ่มมากขึ้น เขารู้สึกเหมือนคิดอะไรไม่ออกแล้ว

“อะ… อะ…..”

“นายเคยบอกว่าชอบฉันไม่ใช่เหรอ” โลแกนพูดพร้อมกับยกยิ้มน้อยๆ อย่างพอใจ เหมือนได้พี่ชายของเขามาอยู่ในกำมืออย่างไรอย่างนั้น อยากแกล้ง… อยากให้เจ้าตัวร่ำร้องหาเขามากกว่านี้

“ฉะ… ฉันไม่เคยพูด” แต่อีกฝ่ายไม่ยอมง่ายๆ แม้ว่าร่างกายทุกส่วนจะอ่อนระทวยไปกับทุกสัมผัสของคนด้านบนก็ตาม “ไม่เคยพูดว่าชอบนายสักครั้ง… อ๊ะ!! อ๊า… โลแกน! ”

“โกหก” โลแกนกระแทกสะโพกเข้าไปอีกรอบ ลูคัสกัดฟันแน่นเพราะความรู้สึกเสียวซ่านที่พวยพุ่งอยู่ อยากจะระบายมันออก แต่เจ้าตัวดีก็กดนิ้วโป้งลงบนยอดปลายตรงส่วนนั้นของเขาแน่น

“ละ… โลแกน” เสียงนั้นอ้อนวอน หากชายหนุ่มด้านบนไม่สน

“นายไม่เคยพูดว่าชอบ แต่เคยพูดอะไรทำนองนั้น เพราะงั้นมันก็ยังเป็นความหมายนั้นอยู่ดี แล้วอย่าว่างั้นว่างี้เลย ต่อให้นายจะบอกว่าไม่ชอบฉันตอนนี้ แต่ร่างกายนายน่ะ ชอบฉันสุดๆ ไปเลย ไม่คิดงั้นเหรอ? ”

“หนะ… หนวกหู!! ไอ้คนหลงตัวเอง! ”

โลแกนยกยิ้มกับข้อกล่าวหานั้น ก่อนเขาจะทำให้พี่ชายฝาแฝดของตัวเองสะดุ้งอีกเฮือกโดยการถอนร่างของตัวเองออกจากอีกฝ่าย จากนั้นก็ผละมือที่กุมส่วนนั้นเอาไว้อยู่ออกเสียดื้อๆ

ลูคัสหอบหายใจถี่ ราวกับความสุขสมทางอารมณ์ที่ได้มาถูกกระชากออกไปอย่างไร้ความปราณี

เขาต้องการ… เขาอยากเติมเต็มความปรารถนาที่ล้นปรี่แต่ไม่สามารถหาทางออกได้ของร่างกาย ดังนั้นเจ้าตัวจึงเริ่มครางเสียงแผ่วอย่างอ้อนวอน แต่ยังใจแข็งพอที่จะไม่พูดขอร้องออกมาตรงๆ

โลแกนเลื่อนมือ ขยับร่างของแฝดผู้พี่ให้พลิกตัวคว่ำลงแล้วเอาเข่ายันกับโซฟาไว้ จากนั้นก็เลื่อนแกนกลางบนร่างของตัวเองลงถูกับต้นขาที่สั่นระริกของลูคัสให้อีกฝ่ายได้สะดุ้งเล่นอีกรอบ

“นายบอกว่านายชอบฉัน”

“มะ… ไม่…เคย”

“เคย”

“!!!!! ” ลูคัสร้องออกมาไม่เป็นภาษาอย่างอัดอั้น เขาอยากจะได้ส่วนนั้นของโลแกนจะแย่อยู่แล้ว แต่กลับต้องมานั่งเถียงกับมันเรื่องนี้งั้นเหรอ!?

“ก็… ได้…” ลูคัสกัดฟันกรอด พูดออกมาอย่างจำยอม แต่ถึงทีที่โลแกนจะไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ บ้าง

“แล้วตกลงนายคิดถึงใครตอนที่มีเซ็กส์กับฉัน”

“ฉันคิดถึงตัวเอง! ” แม่ง… เมื่อไหร่จะเลิกถามอะไรไร้สาระแล้วจัดการให้มันเสร็จๆ ไปสักที…

“อืม… ก็ฟังดูสมเหตุสมผลนะ เพราะว่าฉันหน้าเหมือนนาย นายคิดถึงฉัน… มันก็คงเหมือนคิดถึงตัวเองไปด้วยในตัวมั้ง” เจ้าตัวแสบยกมือขึ้นลูบคางอย่างครุ่นคิด ลูคัสเริ่มทุบกำปั้นลงบนโซฟารัวๆ อย่างขัดใจ

“โลแกน!!! ”

“แต่นายไม่คิดว่ามันแปลกๆ เหรอ? ” โลแกนเลิกแกล้งคนตรงหน้า สอดร่างของตัวเองเข้าไปร่างของอีกฝ่ายอีกครั้ง หากมือเลื่อนไปปิดไม่ให้คนในอ้อมแขนถึงจุดสุดยอดก่อนเขา นั่นทำเอาลูคัสแทบคลั่งกับอารมณ์ในกามที่ไม่ได้รับการปลดปล่อยนี่เสียที

“อา…. อา…. โลแกน ได้โปรด” เขาหลุดคำพูดนั้นออกมาจนได้ แถมยังด้วยน้ำเสียงที่อ่อนระทวยสุดๆ และไม่ต้องแปลกใจเลย นั่นทำให้โลแกนได้ใจเข้าไปอีก

“นายชอบฉัน แต่ในขณะเดียวกันนายก็ขยะแขยงฉันด้วย? ” ชายหนุ่มแสร้งพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนประหลาดใจจริงๆ หากไอ้อาการเหมือนไม่รู้ไม่ชี้นั่นยิ่งทำเอาลูคัสอยากจะเอาหัวมันโขกกับพนังบ้านแรงๆ สักร้อยที “นี่ ลูคัส อธิบายให้ฉันฟังหน่อยสิ นะ… ที่รัก”

คำที่อีกฝ่ายเรียกเขาทำเอาขนลุกซู่เลยทีเดียว

“แฮ่ก… ฉะ… ฉัน… ไม่ได้รังเกียจนาย” เขาเรียบเรียงคำพูดออกมาได้ในที่สุด ศอกทั้งสองข้างสั่นเทาขึ้นมาเล็กน้อยเพราะต้องรับน้ำหนักตัวไม่ให้เขาฟุบหน้าลงไปบนโซฟาตอนนี้

“หืม? ” โลแกนก็รู้ตัวว่าแกล้งพี่ชายเท่านี้น่าจะเพียงพอแล้ว แต่นิสัยเขา… เป็นแบบนี้ทุกทีสิน่า พอได้แกล้งหมอนี่ทีไรแล้วก็นึกอยากแกล้งต่อไปเรื่อยๆ “แต่ตอนนั้นนายพูดว่าขยะแขยงนี่ ตอนช่วงแรกๆ ที่เรามีเซ็กส์กัน นายจำได้ไหม”

“นั่นมัน…” ลูคัสครางเสียงอ่อย เหมือนจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ น้ำเสียงตัดพ้อเหมือนจะร้องขอว่า… ไว้เราค่อยพูดเรื่องนั้นกันทีหลังไม่ได้เหรอ?

“ว่าไง” โลแกนยกยิ้ม สังเกตเห็นเหมือนกันว่าผ้าที่ปิดตาของลูคัสเริ่มคลายลงมาเล็กน้อย เห็นสภาพครึ่งๆ กลางๆ แบบนั้นแล้วเขาอยากจะกระชากมันออก… หากเสียงหวานที่ติดจะสั่นเล็กน้อยพูดขึ้นมาเสียก่อน

“ฉัน… ไม่ได้… รังเกียจ หรือว่าขยะแขยงนายสักหน่อย” ไม่อย่างนั้นคงไม่ยอมนอนด้วยหรอก…

“อ้าว”

“ฉัน… ขยะแขยงตัวเองต่างหาก”

คำตอบนั้นทำให้โลแกนชะงักไปจริงๆ ผ้าสีขาวผืนนั้นค่อยๆ เลื่อนหล่นลงมา และมันทำให้เขาสามารถมองเห็นนัยน์ตาสีฟ้าของอีกฝ่ายที่หลุบต่ำลงอย่างอายๆ นั่นได้ชัดเจน

โลแกนรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเต้นรัวขึ้น ใบหน้าก็แดงขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ บางทีพวกเขาสองคนอาจจะเพี้ยนไปแล้วจริงๆ อย่างที่ลูคัสเคยค่อนก็ได้

“นาย… จะขยะแขยงตัวเองด้วยเรื่องอะไร” โลแกนถามอย่างไม่เข้าใจ จากนั้นเขาก็เลื่อนมือมายึดที่เอวของพี่ชายที่บางกว่าของเขา กระแทกตัวลงไปเรียกเสียงหวานๆ ให้หลุดออกมาอีกระลอก

“ก็… ฉันเป็นพี่ชายนาย… อ๊ะ... นี่”

“แล้วไง”

โลแกนเม้มปากแน่นขึ้น ก้มหน้าลงต่ำก่อนจะพูดตอบเสียงเบาเหมือนกำลังกระซิบ

“ก็การที่ฉันปล่อยให้น้องชายตัวเองทำเรื่องแบบนี้… โดยไม่ห้าม แถม… ส่วนหนึ่งยังเป็นความต้องการของตัวเอง… อีก… มันก็… ต้องน่าขยะแขยงอยู่แล้ว”

โลแกนนิ่งอึ้งไป อันที่จริง เจ้าตัวอ้าปากค้างออกมาเหมือนไม่อยากจะเชื่อแล้วด้วยซ้ำ

“เพราะงั้น… อย่างน้อย ถ้าฉันไม่ต้องเห็นหน้านาย…” ลูคัสพยายามเรียบเรียงคำพูดต่อ “มันคงช่วยให้ฉันรู้สึกแย่กับตัวเอง… น้อย… ลง… ดะ… เดี๋ยวก่อน โลแกน ทำอะไรน่ะ!!? ”

แฝดคนพี่ร้องเสียงหลงเมื่อเจ้าตัวแสบเลื่อนมือมาแล้วกระชากผ้าที่ปิดตาของเขาออก ลูคัสหันกลับมามองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าแดงเถือกไปทั้งแถบ นัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยสะท้อนออกมาให้เห็นถึงความรู้สึกที่อยู่ภายในจนหมดเปลือก และนั่นกระแทกใจของคนมองอย่างแรง อย่างที่โลแกนไม่คิดว่าเขาเคยรู้สึกอะไรแบบนี้มาก่อน

บางที… บางทีเมแกน พี่สาวของเขาอาจจะพูดถูกเรื่องความรัก บางที… มันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่เขาไม่เข้าใจอย่างที่ตัวเองคิดก็ได้

โลแกนเลื่อนมือไปยึดเอวของลูคัสให้มั่นขึ้น จากนั้นก็กระแทกตัวลงไปอีกรอบเป็นจังหวะที่เร็วและแรงมากขึ้น ทำเอาลูคัสสะดุ้งเฮือกแรงๆ เพราะตั้งตัวไม่ทัน

“อะ...อา…” ลูคัสครางออกมาเบาๆ หลังจากที่ปลดปล่อยอารมณ์ที่คั่งค้างเอาไว้อยู่นานออกมาในที่สุด ก่อนเจ้าตัวจะต้องสะดุ้งอีกรอบเมื่อโลแกนพลิกตัวเขาให้หันกลับมานอนหงายแล้วดึงข้อเท้าเขา ลากเข้าไปแนบชิดกับเจ้าตัวอีกรอบ

“ขออีกรอบนะ” โลแกนโกหก เพราะอีกรอบน่ะ มันไม่มีทางพออยู่แล้ว “รอบนี้ขอให้ฉันมองหน้านายแบบนี้ อ๊ะ… ห้ามยกแขนปิดตานะ ไม่งั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือน นี่ฉันพูดจริงๆ นะ ลูคัส”

“เออ” ลูคัสแทบจะคำรามออกมาทั้งๆ ที่ใบหน้ายังแดงระเรื่อ “อย่างนายน่ะ… มีพูดไม่จริงสักครั้งด้วยเหรอ”

“ไม่มี” โลแกนยกยิ้มหวานทันที จากนั้นก็ขยับให้ร่านั้นเข้ามาสอดประสานกับตนอีกครั้ง

บางที… เขาอาจเจออะไรที่ชวนให้เสพติดมากกว่ายาพวกนั้นแล้วก็ได้

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-10-2017 09:53:07 โดย Airiณ »

ออฟไลน์ zonpine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
จะมาทิ้งกันไปดื้อๆแบบนี้ไม่ด้ายยยยย
กลับมาก่อนค่ะกลับมา  :ling1: :ling1: :ling1:

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 22

(Mode: Logan Collins)





ให้ตาย… นอนกับหมอนี่แม่งเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมสุดๆ เลย

ผมลอบคิดพร้อมกับยกยิ้มบนมุมปากขณะที่มองแฝดคนพี่ลงมือทำอาหารเช้าในส่วนของพวกเราสองคนด้วยสภาพเส้นผมชี้ไปมาไม่เป็นทรง ขอบตาล่างคล้ำบ่งบอกว่านอนไม่พอ หากมือยังสาละวนพลิกไข่ที่ทอดอยู่ในกระทะกลับขึ้นมาได้อย่างคล่องแคล่ว จากนั้นลูคัสก็ยกมือขึ้นมาปิดปากแล้วหาวออกมาทีหนึ่งหวอดใหญ่จนน้ำตาเล็ดออกมา

โอย… เห็นแบบนั้นแล้วอยากแกล้ง หมอนี่นี่มันเป็นคนที่น่าแกล้งตลอดเวลาจริงๆ นะ

“นี่ ลูคัส”

“อะไร” เสียงนั้นขานตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เจือความไม่พอใจมาด้วยนิดหนึ่ง สงสัยเมื่อคืนจะแกล้งหมอนี่หนักไปหน่อย… ก็เสร็จจากบนโซฟาแล้วผมยังลากหมอนี่ขึ้นไปทำบนเตียงที่อยู่บนชั้นสองที่ห้องนอนของพวกเราต่อ… จะโดนโกรธก็ไม่แปลกหรอก

แต่ก็นะ… ต่อให้ผมรู้ว่าหมอนี่จะไม่ค่อยพอใจ แต่ผมก็ทำเป็นไม่สนอยู่ดี

“นายจะรู้ผลเรื่องทุนที่ยื่นไปเมื่อไหร่”

“อืม” ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าเหมือนกับผมทุกประการขมวดคิ้วขึ้นอย่างครุ่นคิด ก่อนจะพูดตอบด้วยน้ำเสียงเนือยๆ “อันหนึ่งรู้ผลอาทิตย์หน้า อีกสองอันรู้เดือนหน้ามั้ง”

“คิดว่าจะได้อันไหน”

“ก็อยากได้อันอาทิตย์หน้าสุด แต่ดูแล้วคงยาก อาจจะมีลุ้นสักอันที่จะรู้ผลเดือนหน้า แต่ก็ไม่ค่อยอยากหวังมากนักหรอก”

“อ่าฮะ”

“ถามทำไม”

“ก็แค่อยากรู้”

ลูคัสพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ จากนั้นก็เริ่มเอาข้าวเช้าส่วนที่ทำเสร็จแล้วใส่ลงจาน ผมลุกขึ้นไปเปิดตู้เย็นแล้วรินน้ำผลไม้ใส่แก้วเปล่าสองใบ ตอนนี้พวกเราทั้งคู่อยู่ในช่วงปิดภาคเรียนกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หรือถ้าให้พูดอีกแง่หนึ่งก็คือตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ต้องเตรียมตัวและตัดสินใจเลือกเส้นทางที่ต้องเดินต่อไปในอนาคตแล้ว ผมไม่ค่อยห่วงของตัวเองนักหรอกเพราะมีเป้าหมายในชีวิตชัดเจน ส่วนไอ้หมอนี่… ผมก็รู้นะว่ามันอยากทำอะไรในชีวิต และมันเองก็คงรู้ แต่มันจะไขว่คว้าไว้รึเปล่าก็เท่านั้น

“แต่… ไม่รู้ดิ โลแกน” นั่นไง พูดยังไม่ทันขาดคำ “ต่อให้ได้ทุนเรียนมา แต่ค่าใช้จ่ายอย่างอื่นมันก็สูง พวกค่าหนังสือเรียน อุปกรณ์ แถมบางทุนก็ได้แค่ส่วนเดียว ไม่ได้ครอบคลุมทั้งหมด ถ้าได้ไอ้พวกนั้นมายังไงก็คงจ่ายส่วนที่เหลือไม่ไหว”

“ฉันออกให้เอง”

ลูคัสเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยสีหน้าปั้นยากทันที

“ไม่เอาล่ะ”

“ทำไม”

“นั่นเงินนาย”

“เดี๋ยวนี้เราแยกเงินกันใช้แล้วเหรอ” ผมแบมือสองข้างออก “เมื่อก่อนเรายังเอามารวมกันเป็นเงินกองกลางอยู่เลย”

“เรียนจบม. ปลายแล้ว มันก็ไม่เหมือนเดิมแล้วสักหน่อย”

“อย่าติงต๊องไปหน่อยเลยน่า ลูคัส นายก็รู้ว่าฉันหาเงินได้ แล้วมันก็มากพอที่จะจ่ายในส่วนของนายด้วย”

“ให้ฉันพูดตรงๆ ไหม” พี่ชายฝาแฝดผมว่าขณะที่ยกจานที่ใส่อาหารเช้าซึ่งมีไข่ ไส้กรอก เบคอน สลัดผักง่ายๆ ถูกจัดวางอย่างดีอยู่ในนั้นลงบนโต๊ะอย่างประณีต “ฉันไม่สบายใจเลยที่จะเอาเงินที่นายหามาได้ไปใช้”

“ทำไม”

“ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่านายทำยังไงถึงได้เงินพวกนั้นมา”

“อ้อ” ผมพยักหน้ารับเนิบๆ อารมณ์ที่ดีมาจนถึงเมื่อครู่เริ่มคุกรุ่นขึ้นมาทันที “นายคิดว่าเงินฉันมันสกปรกเกินไป เกินกว่าที่คนแสนดีอย่างนายจะเอาไปใช้ได้ล่ะสิ”

“ฉันไม่ได้พูดแบบนั้น…” ลูคัสว่าน้ำเสียงอ่อนใจ แต่ผมไม่ใจอ่อนง่ายๆ หรอก

“อ้อ เหรอ แล้วนายจะพูดว่าอะไร”

“ก็แค่เกรงใจนาย ไม่อยากเอาเงินของนายมาใช้ง่ายๆ เหมือนชุบมือเปิบชัดๆ นายทำงานเสี่ยงตาย ทำงานอันตรายมา แต่ต้องเอาเงินที่ได้มาให้ฉันใช้เนี่ยนะ มันรู้สึกไม่ค่อยดียังไงไม่รู้”

พอได้ฟังคำอธิบายแล้วผมก็ใจอ่อนยวบลงมาจนได้ เฮ้อ หมอนี่เนี่ยนะ… เป็นแบบนี้ทุกทีเลย

“ก็บอกว่าอย่าคิดมากเรื่องพวกนั้นไงล่ะ อีกอย่างเงินที่ฉันหามาได้ก็เยอะพอสมควร ฉันใช้เองคนเดียวยังไงก็ไม่หมดอยู่แล้ว”

“ถึงงั้นก็เถอะ…”

“ลูคัส” ผมพูดขัด จากนั้นก็เดินอ้อมไปด้านหลังเจ้าตัวที่กำลังจัดแจงวางจานลงบนโต๊ะกินข้าวจากนั้นก็กอดเอวเจ้าตัวไว้หลวมๆ ลูคัสหน้าแดงขึ้นมาแทบจะในทันทีที่ผมทำแบบนั้น ที่ผมรู้เพราะมันลามมาจนถึงใบหูของหมอนี่น่ะสิ

เฮ้อ ช่างเป็นคนที่น่ารักอะไรได้ขนาดนี้นะ

“ฉันอยากให้นายใช้เงินของฉันจริงๆ” ผมว่าพร้อมกับเลื่อนริมฝีปากลงไปงับใบหูเจ้าตัวเบาๆ สังเกตเห็นว่าพี่ชายฝาแฝดในวงแขนผมสะดุ้งตัวเฮือก “จริงๆ ยกให้ทั้งหมดเลยก็ได้ถ้านายต้องใช้มัน นายไม่จำเป็นต้องกลัวเรื่องไม่ได้ทุนด้วยซ้ำ เอาเงินฉันไปเข้ามหาลัยทางดนตรีดังๆ ดีๆ ได้เลย แค่ขอให้นั่นเป็นสิ่งที่นายอยากทำจริงๆ ก็พอ”

“นาย…” ลูคัสพูดด้วยน้ำเสียงอึ้งๆ ใบหน้ายังคงแดงก่ำ จากนั้นเจ้าตัวก็ลอบถอนหายใจออกมา เนื้อตัวที่เกร็งตอนโดนผมกอดค่อยๆ คลายลงราวกับเริ่มยอมรับมันได้ จากนั้นชายหนุ่มก็เลื่อนมือลงมา ไล้ลงบนข้อมือข้างซ้ายที่ว่างเปล่าของผมแล้วเลื่อนขึ้นไปมอง พิจารณาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะว่า “หมูนี้ไม่ใส่นาฬิกาหรูหราเรือนนั้นแล้วนะ”

“อ้อ นั่นน่ะเหรอ” ผมลากเสียงนิดหนึ่ง ซุกหน้าลงบนลำคอของลูคัสนิดหนึ่ง เห็นเลยว่าหมอนั่นเกร็งตัวขึ้นมานิดด้วยความตกใจเล็กน้อย จริงๆ แล้วถึงจะมองเผินๆ พวกเราสองคนอาจจะดูตัวเท่าๆ กัน แต่ลูคัสน่ะตัวผอมกว่าผมเล็กน้อย กล้ามเนื้อก็มีไม่มากเท่า ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร เพราะมันไม่ได้มีความจำเป็นอะไรในส่วนนั้นเท่ากับผม “ก็ถ้าฉันใส่ นายก็จะไม่ชอบใจใช่ไหมล่ะ”

แฝดคนพี่ของผมไม่พูดอะไรตอบ หากหน้าร้อนวูบขึ้นมาจากเดิมที่มันแดงอยู่แล้ว อ่า… น่าฟัดเป็นบ้า อยากจับลากขึ้นเตียง…

“ก็เปล่าสักหน่อยนี่” เจ้าตัวเฉไฉ และนั่นทำให้ผมยกยิ้มขึ้นมานิดหนึ่ง

“ไม่หรอก ลูคัส นายไม่ชอบหรอก นายไม่ชอบถ้าฉันใส่นาฬิกาที่ได้มาจากผู้หญิง ไม่ชอบที่ฉันจะนอนกับผู้หญิง ไม่ชอบที่ฉันทำตัวเจ้าชู้กับผู้หญิง”

“นายเข้าใจผิดแล้ว” รอบนี้ลูคัสหันกลับมามองหน้าผมด้วยสีหน้าจริงจัง “ฉันไม่ได้หมายถึงว่า กับผู้หญิง นะ ฉันไม่ชอบทั้งหมดที่นายพูดมาถ้านายทำกับคนอื่นต่างหากล่ะ”

คำพูดนั้นทำให้ผมกระพริบตาปริบๆ อย่างงงวยนิดหนึ่ง

“นายกำลังหมายถึง… กับคนอื่นที่นอกจากนายใช่ไหม”

ลูคัสหันหน้าหนีกลับไปอยู่ตำแหน่งเดิม จากนั้นก็เริ่มแกะมือผมออก

“พอได้แล้ว กินข้าวได้แล้วโว้ย เดี๋ยวก็เย็นหมดก่อนพอดี”

“เฮ้ นี่ ฉันไม่ได้ทำกับคนอื่นแล้วจริงๆ นะ”

“เออๆ รู้แล้ว กินข้าวได้แล้วน่า”

นี่มันเข้าใจจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย?





...
ผมเดินทางไปยังสถานีตำรวจตามคำเรียกตัวที่แมคโดเวลส่งมาเมื่อวันก่อน ตอนนี้คดียาเสพติดที่มีโจเป็นเหมือนแหล่งที่ไว้กระจายยาในพื้นที่แถวนี้เริ่มจะเข้ารูปเข้ารอยแล้ว แต่เหมือนการที่จะสาวไปยังตัวการใหญ่ที่เป็นเหมือนมาเฟียที่มีอิทธิพลที่สุดในนิวยอร์กน่าจะเป็นอะไรที่ยุ่งยากกว่าที่คิด

ผมยังถือว่าใหม่ในแวดวงนี้อยู่พอสมควร แต่ก็รู้ว่าใครคือมาเฟียที่มีอิทธิพลในแถบนี้อยู่บ้างเหมือนกัน และมาเฟียที่ว่านี้ก็คงหนีไม่พ้นสองพี่น้องรอยล์ที่ขึ้นชื่อในเรื่องการพนัน เป็นนายหน้าขายผู้หญิง ยาเสพติด หรืออะไรก็ตามแต่ที่ผิดกฎหมายทั้งหมด เรียกได้ว่าทำอะไรเลวๆ และได้เงินเยอะๆ ไว้ก่อน อะไรทำนองนั้น

จริงๆ แล้วผมไม่ค่อยอยากเข้าไปยุ่งกับไอ้พวกนี้เท่าไร เพราะมันยุ่งยาก วุ่นวาย แถมไม่ใช่ภารกิจหลักของผมอีกด้วย และต่อให้ใครต่อใครต่างก็รู้ดีว่าเจ้าสองพี่น้องนั้นทำตัวชั่วช้ายังไง แต่เมื่อไม่มีหลักฐานรัดกุมที่แน่นหนาพอจะจับตัวพวกมันได้ ทางตำรวจก็ต้องปล่อยคนชั่วช้าแบบนั้นให้ลอยนวลต่อไป นับเป็นอะไรน่าเศร้าแต่ก็อยู่บนพื้นฐานของโลกแห่งความเป็นจริงดี

จะว่ายังไงดีล่ะ แค่คุณมีเงินเสียอย่าง คุณก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว ยังไม่นับรวมถึงอิทธิพลมากมายมหาศาลที่ทำให้ผู้คนกลัวหัวหดนั่นอีก เหมือนกับว่า… ถ้ามีคนดีสักคนคิดจะพยายามเปิดโปงหรือเอาข้อมูลไปให้ตำรวจ พวกนั้นก็แค่ส่งมือปืนมา กริ๊ก แล้วทุกอย่างก็หายไป มันก็ง่ายๆ แค่นั้นแหละ

แต่ตอนนี้เรื่องที่ผมกังวลขึ้นมาก็คือ… พวกมันรู้แล้วว่าผมเป็นคนเอาข้อมูลไปให้ตำรวจ ผมพอจะมีความคุ้มครองอยู่บ้างเพราะอยู่ในการดูแลหน่วยคุ้มครองพยาน แต่ลูคัสนี่สิ… บางทีผมน่าจะเอาเรื่องนี้ไปปรึกษากับแมคโดเวลดู เผื่อว่าเขาจะช่วยหาทางทำอะไรได้บ้าง

อีกอย่างคือ… เรื่องที่เราสองคนโดนเข้าใจผิดว่าต่างฝ่ายต่างเป็นอีกคนหนึ่ง ถ้าผมโดนเข้าใจผิดว่าตัวเองเป็นลูคัส… ผมน่ะ ไม่เดือดร้อนอะไรอยู่แล้ว แต่ถ้าลูคัสโดนเข้าใจผิดว่าเป็นผม… อันนั้นก็เริ่มจะมีปัญหาล่ะ เพราะมีคนจำนวนไม่น้อยเท่าไรที่อยากจะกำจัดผมออกไปให้พ้นๆ ทาง

...สงสัยคงต้องทำอะไรที่มันมากกว่านี้ อะไรที่ทำให้คนพวกนั้นแขยงจนไม่อยากเข้ามายุ่มย่ามกับผม ไม่ใช่แค่ในระดับเด็กมัธยมปลายอีกต่อไปแล้ว แต่ต้องเป็นอะไรที่ใหญ่กว่านั้น
เรื่องนี้อาจเป็นดาบสองคม อาจเป็นได้ทั้งเกราะคุ้มครองทั้งตัวผมและลูคัส แล้วก็สามารถเป็นหอกที่หันกลับมาทิ่มแทงพวกเราแรงขึ้น

แต่ผมจะทำจนมั่นใจว่ามันจะเป็นเกราะรักษาพวกเราทั้งคู่

เจ้าหน้าที่แกรนท์เดินเข้ามาทักทายผมด้วยสีหน้าเรียบเฉยและหมางเมินเล็กน้อย ก็เป็นเรื่องปกติของผู้หญิงที่ถูกปฏิเสธน่ะนะ ผมไม่คาดหวังอะไรน้อยกว่านี้หรอก แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น เจ้าหล่อนก็ยังเป็นผู้ใหญ่ที่น่าชื่นชมตรงที่ไม่ทำให้พวกเราเสียงาน ถึงบางครั้งเจ้าหล่อนจะส่งสายตาทิ่มแทงแบบที่แทบจะทำให้ผมตัวพรุนได้ถ้าสายตานั่นยิงเลเซอร์ออกมาได้น่ะนะ

ผมก้าวเท้าเข้าไปในห้องทำงานของแมคโดเวลอย่างที่ทำทุกครั้งเวลามาเยือนที่นี่ เจ้าหน้าที่พิเศษคนสวยเดินออกนอกห้องไปแล้ว เดาว่าคงไม่อยากหายใจเอาอากาศที่ผมหายใจเข้าออกเข้าปอดตัวเองเท่าไหร่ แต่ผมไม่เดือดร้อนหรอก ก็ผมบอกแต่แรกแล้วไม่ใช่เหรอว่าเราก็แค่เพื่อนนอนกัน และตอนนี้ผมแค่ไม่อยากนอนเล่นๆ แล้ว มันก็เท่านั้นเอง

“สวัสดี โลแกน” ชายชราที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะผายมือให้ผม “นั่งก่อนสิ”

ผมนั่งลง จากนั้นก็เริ่มพูดคุยเรื่องความคืบหน้าคดี เรื่องที่โจได้ขึ้นศาลและคำตัดสินในเรื่องนั้น ปรากฏว่าหมอนั่นถูกตัดสินจำคุกและได้รับบทลงโทษไปน้อยกว่าที่พวกเราคาดการณ์ไว้นิดหนึ่ง แต่ส่วนอื่นๆ ที่เราอยากได้จากการสืบสวนครั้งนี้… ส่วนที่อาจสาวไปถึงตัวการใหญ่อย่างสองพี่น้องรอยล์ยังคงอยู่กับเรา

“แต่น่าเสียดายนะครับ” ผมหรี่ตานิดหนึ่ง ยังนึกแค้นใจหมอนั่นที่เป็นคนสั่งลูกน้องให้ทำกับลูคัสแบบนั้นไม่หาย “ผมนึกว่าหมอนั่นจะได้รับโทษหนักกว่านี้เสียอีก”

“ฝั่งนั้นได้ทนายดี”

“อ้อ” ผมพยักหน้ารับเนิบๆ พวกทนายก็ชอบทำแบบนี้แหละ เปลี่ยนให้ดำกลายเป็นเทา ถึงจริงๆ แล้วผมจะนึกแค้นใจไอ้หมอนั่นจนอยากให้มันได้โทษที่หนักกว่าตามที่แมคโดเวลเล่ามาให้ฟังก็เถอะ แต่ในเมื่อมันกลายมาเป็นแบบนี้ก็ช่วยไม่ได้

ไว้ค่อยคิดบัญชีทีหลังตอนที่มีโอกาสแล้วกัน…

“ส่วนเรื่องพี่ชายฝาแฝดของเธอ” แมคโดเวลพูดขึ้น ปลุกให้ผมตื่นขึ้นมาห้วงความคิดของตัวเอง “เธออยากจะให้เขาเข้ามาอยู่ภายใต้ความคุ้มครองของหน่วยพิทักษ์พยานเหมือนอย่างเธอไหมล่ะ? ถึงจริงๆ แล้วผลสุดท้ายทางเราจะไม่ได้ช่วยอะไรเธอมากก็เถอะ”

ผมนิ่งคิดไปนิดหนึ่ง นึกถึงความยุ่งยากที่อาจจะตามมาต่อจากนั้น นึกถึงข้อเท็จจริงที่ว่าการที่เราทั้งคู่ถูกคุ้มครองโดยคนพวกนี้เท่ากับการมีหูตาคอยจับจ้องการกระทำของพวกเรามากขึ้น… หรือถ้าพูดให้ถูก… การกระทำของผม

มันจะทำให้ผมทำอะไรได้คล่องตัวน้อยลง และความคุ้มครองที่ว่านั่นก็มีขอบเขตที่ค่อนข้างจะจำกัด ให้พูดกันตามตรง ผมคิดว่าผมสามารถคุ้มครองลูคัสได้ดีกว่าคนพวกนี้อีก ถ้าสามารถทำอะไรได้ตามใจชอบโดยไม่ต้องมีสายตาใครๆ มาสอดส่องน่ะนะ

คิดแบบนั้นแล้วผมจึงยกยิ้ม จากนั้นก็บอกชายหนุ่มตรงหน้าด้วยน้ำเสียงจริงจังผสมไปกับหยอกเย้าไปว่า

“ผมว่า… ไม่ต้องดีกว่าครับ พี่ชายผม ผมดูแลเขาเองได้”

อันที่จริง… ตอนนี้ลูคัสมันเป็นมากกว่าพี่ชายของผมไปแล้วด้วยซ้ำนี่หว่า? แต่เอาเถอะ ผมไม่ต้องบอกเขาเรื่องนั้นก็ได้มั้ง





------------------------------
Talk: ฮั่นแน่ โลแกน นายนี่ รักพี่ขึ้นทุกวันๆ สินะ ถถถถถถถถ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ตอนนี้ลูคัส เป็นมากกว่าพี่ชายของผมไปแล้ว
งั้น....โลแกน บอกลูคัส สิ เป็นมากกว่าพี่ชาย น่ะ
มันเป็นอะไร  :ling1: :ling1: :ling1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ angel_Z4

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 783
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
มากกว่าพี่ชาย...แล้วคืออะไรคะ อธิบายด้วย ฮ่าๆๆ :katai3:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
รู้สึกแล้วละซิ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3


บทที่ 23

(Mode: Lucas Collins)




ตั้งแต่วันที่โลแกนมาช่วยผมจากเดินมนุษย์สองคนนั่น ผมรู้สึกว่าผมฝันเห็นวันที่พ่อกับแม่ของเราตายบ่อยมากขึ้น…

‘คุณมันก็แค่ไอ้ทุเรศ ที่วันๆ ไม่ทำอะไรนอกจากกินเหล้า!’

‘แล้วไงวะ!! เงินฉัน ฉันหามา ฉันจะใช้อะไรก็ได้!’

‘อย่าทำอะไรลูกนะ!!’

จากนั้นมันก็ตามมาด้วยเสียงกรีดร้อง เสียงข้าวของที่หล่นแตกกระจายลงบนพื้น ภาพทุกอย่างที่ถูกตัดสลับกันไปมาชวนให้สับสน แล้วมันก็จะมาจบอยู่ที่กองเลือดของชายหนุ่มผู้ที่ให้กำเนิดผมและโลแกนขึ้นมา

มีดเล่มนั้นไม่ได้อยู่ไกลไปจากระยะสายตาผมเลย คราบเลือดที่ติดอยู่ตรงนั้นมันทำให้ผมกลัว เสียงที่ปลายคมของมีดเฉือนเข้าไปในผิวเนื้อยังดังอยู่ในหัวราวกับภาพวิดีโอที่ถูกเอามาฉายซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า

ผมมองอะไรไม่เห็นนอกจากเลือด จากนั้นผมก็ค้นพบว่านั่นเป็นเลือดของชายอีกสองคนที่พยายามจะฆ่าผมกับโลแกนก่อนหน้านี้ บางทีพวกนั้นอาจทำได้สำเร็จไปแล้วถ้าไม่ใช่เพราะโลแกนชิงฆ่าพวกมันไปก่อน

ไม่รู้ว่าความคิดไหนทำให้ผมรู้สึกอยากจะอาเจียนได้มากกว่ากัน ระหว่างความคิดที่ว่าอาจจะโดนคนพวกนั้นฆ่า หรือข้อเท็จจริงที่ว่าน้องชายฝาแฝดของผมได้ฆ่าคนพวกนั้นไปแล้วอย่างไร้ความปราณี

ผมผุดลุกพรวดขึ้นมากจากเตียง หอบหายใจถี่ๆ เข้าปอดอย่างทรมาน บางทีความรู้สึกของคนใกล้จะจมน้ำตายอาจเป็นแบบนี้ แต่ในกรณีของผม… มันเหมือนกับมีใครบางคนเอาหัวผมจุ่มลงไปในน้ำเป็นระยะเวลาหนึ่ง และพอผมจะขาดหายใจ มันก็ดึงหัวผมขึ้นมาให้สูดอากาศหายใจอีกรอบ รอจนกว่าผมจะพร้อมที่จะโดนมันกดลงไปในน้ำใหม่อีกครั้ง

“อุบ…” ผมยกมือขึ้นปิดปากเมื่อรู้สึกถึงของเหลวร้อนๆ ที่แล่นมาจุกคอหอย จากนั้นก็วิ่งพรวดไปที่ห้องน้ำซึ่งอยู่ภายในตัวห้องนอน จากนั้นก็โก่งคออาเจียนเอาของที่อยู่ด้านในออกมา

มันทำให้ลำคอของผมร้อนผ่าวแล้วก็ขมคอไปหมด ทรมานเป็นบ้า… เมื่อไหร่จะเลิกฝันแบบนี้สักที ทั้งๆ ที่เหตุการณ์นั่นมันก็ผ่านมานานแล้ว คงเป็นเพราะได้เห็นคนตายต่อนหน้าต่อตามาเร็วๆ นี้ซ้ำไปอีกรอบ มันถึงได้ไปกระตุ้นความทรงจำในวัยเยาว์ให้โผล่มาหลอกหลอนยามค่ำคืนได้ถี่ขึ้น รุนแรงขึ้น สมจริงขึ้น น่าขนลุกยิ่งขึ้น…

ผมรู้สึกว่าน้ำตาเอ่อขึ้นมาขณะที่นึกภาพแม่ที่นอนไม่ไหวติงอยู่บนพื้นบ้าน… มันเป็นบ้านหลังนี้... หลังที่ผมยังอาศัยอยู่กับโลแกนด้วยซ้ำ

ตอนที่พ่อลงมือทำร้ายแม่ ผมทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากดูอยู่เฉยๆ ผมรู้ว่าผมยังเด็กมาก โลแกนเองก็ยังเด็กมาก เราสองคนแทบจะไม่มีอะไรไว้ยึดเหนี่ยวเลยแท้ๆ อาจจะมีแค่แม่ด้วยซ้ำในตอนนั้น และเราก็ถูกพรากสิ่งนั้นไป ถึงจะยังโชคดีที่มีน้าลิซ่าอยู่ก็เถอะ แต่สำหรับเด็กที่ไม่เข้าใจอะไรในตอนนั้นแล้ว ทุกอย่างนี่มันไม่โหดร้ายไปหน่อยเหรอ?

ผมได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาขณะที่อาเจียนเอาของเหลวเหนียวๆ ที่แทบไม่มีสีหรืออะไรเจือปนออกมาจากลำคอ เหมือนผมไม่มีอะไรจะเอาออกมจากท้องแล้ว แต่ความคลื่นไส้ก็ยังอยู่กับผมตรงนั้น

โลแกนก้าวเท้าเข้ามาประชิดตัวผม หลุบตาลงมองผมด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ หมอนี่มักทำหน้าแบบนี้เสมอเวลาที่ผมทำตัวน่าสมเพช ถ้าให้พูดกันตามตรง ผมรู้สึกขอบคุณมันนะ ผมอาจจะอยากได้คำปลอบ… แต่ผมไม่ต้องการสายตาเห็นอกเห็นใจจากคนที่มีประสบการณ์ร่วมกันมากับผมในทุกๆ อย่าง

นั่นทำให้ผมรู้สึกอ่อนแอ ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่แข็งแกร่งเท่าหมอนี่ ถึงแม้ว่าในความเป็นจริง ผมจะรู้ดีอยู่แล้วก็เถอะว่าไม่ว่าจะทำยังไง ผมก็ไม่มีวันเข้มแข็งได้เท่ามัน แต่ถึงยังไง ผมก็ไม่อยากให้มันถึงขั้นทำหน้าสมเพชหรือสงสารใส่ผม มันก็เท่านั้น

โลแกนเลื่อนมือมาลูบบ่าผมนิดหนึ่งอย่างปลอบประโลม สัมผัสนั่นช่วยผมได้มากทีเดียว พักหลังมานี่หมอนี่ทำตัวใจดีขึ้นกับผมมาก และผมคิดว่าอีกไม่นานมันคงกลายเป็นสิ่งเสพติดที่ผมขาดไม่ได้ หรือบางทีผมอาจจะเสพติดมันไปแล้วก็เป็นได้

เจ้าตัวยื่นผ้าขนหนูให้ผมหลังจากที่ผมเดินสะโหลสะเหลไปบ้วนปากในอ่าง ผมวักน้ำขึ้นล้างหน้าเพื่อให้รู้สึกสดชื่นขึ้นบ้าง จากนั้นก็รับผ้าจากคนข้างตัวมาเช็ดหน้าแรงๆ โลแกนจึงเริ่มพูดออกมาด้วยน้ำเสียงปกติ

“ไหวรึเปล่า”

“อืม…” ก็นะ ไม่ไหวก็ต้องไหวรึเปล่า ยังกับมีทางเลือกอื่นนักนี่

“จะไปนอนต่อไหม หรืออยากทำอย่างอื่น”

“โลแกน” อยู่ๆ ผมก็เรียกชื่อมันขึ้นมา พูดขัดอย่างคนที่นึกอะไรขึ้นได้ “ตอนนั้นน่ะ ใครเป็นคนเอามีดแทงพ่อ”

คนถูกถามชะงักกึกไป นัยน์ตาสีฟ้าเบิกกว้างขึ้นอย่างตกตะลึง หากวินาทีต่อมามันก็กลับมาเรียบสงบตามเดิม

“นายจำได้ไหม”

“มันเป็นอุบัติเหตุตอนที่สองคนนั้นทะเลาะกัน” โลแกนว่า หมอนี่ไม่แม้แต่จะเรียกทั้งคู่นั่นว่าพ่อกับแม่ด้วยซ้ำ “และพวกเขาก็พลาด มันก็แค่นั้นเอง”

“นายกำลังจะบอกว่า” ผมพยายามเรียบเรียง “พ่อแทงแม่ไปแผลหนึ่งจนแม่ล้มลง จากนั้นแม่ก็ฮึดขึ้นมาแทงพ่ออีกรอบงี้น่ะเหรอ”

โลแกนยักไหล่ ก่อนจะพูดตัดบท

“คงงั้นมั้ง จำไม่ได้ล่ะ”

 ผมหรี่ตาลง อะไรบางอย่างทำให้ผมรู้ว่าหมอนี่พูดโกหก แต่ก็ช่างเถอะ ไม่มีอารมณ์จะมาคาดคั้นอะไรตอนนี้หรอกนะ

ผมเดินกลับมาอยู่ในห้องน้ำอีกรอบ โลแกนเดินไปเปิดไฟให้ขณะที่ผมเดินไปนั่งแปะอยู่บนเตียงอย่างคนหมดแรง รู้สึกปวดหัวตุ้บๆ เหมือนหัวจะระเบิด โลแกนนั่งลงมาบนเตียงข้างๆ ผม จากนั้นก็ดึงผมไปซบกับบ่าของมัน ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงต้องขนลุกแน่ๆ ว่ามันทำบ้าอะไร… แต่ตอนนี้ ผมรู้สึกว่านี่อาจเป็นสิ่งที่ผมต้องการมากที่สุดแล้วในช่วงเวลาแย่ๆ

ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อเรียกสติของตัวเองกลับมา ผมควรจะต้องทำตัวเข้มแข็งสิ ยิ่งเป็นต่อหน้าน้องชายตัวเองแบบนี้ด้วยแล้ว จะมาทำเหยาะแหยะ บีบน้ำตาทำตัวแหยแบบนี้ได้ไง ขนาดไอ้โรคจิตนี่มันยังไม่เป็นไรเลย ผมก็ต้องทำได้เหมือนกันสิ

“ไม่ต้องฝืนก็ได้” โลแกนว่า เลื่อนมือมาลูบเส้นผมที่เลื่อนลงมาปรกหน้าผมเล็กน้อย สัมผัสอ่อนโยนนั่นทำให้ผมรู้สึกร้อนวูบขึ้นมาตรงบริเวณที่ถูกสัมผัส “ถ้าไม่ไหว ก็ไม่ต้องฝืนทำเป็นเข้มแข็งก็ได้”

“ใครบอกว่าฉันฝืน” ผมกัดฟันกรอด เกลียดชะมัดเลยเวลาโดนหมอนี่ดูออก

โลแกนยกยิ้ม “นายจะทำตัวให้เหมือนฉันน่ะ มันเป็นไปไม่ได้หรอก”

ผมนิ่งเงียบไป ความรู้สึกแรกที่ได้ยินคำพูดประโยคนั้นคือ… เหมือนกำลังโดนดูถูก แต่วินาทีต่อมา ผมก็เข้าใจว่าโลแกนไม่ได้ตั้งใจจะหมายความว่าแบบนั้น

“ฉันมันไม่มีหัวใจ ไม่มีความรู้สึก ไม่มีความอาลัยอาวรณ์มานานแล้ว ยิ่งเป็นเรื่องของคนอื่น… ฉันสามารถโยนเรื่องงี่เง่าพวกนั้นทิ้งไปได้ โดยไม่ต้องพยายามอะไรเลยด้วยซ้ำ เพราะงั้นฉันถึงไม่เหมือนกับนายไง และนายก็ไม่มีวันทำแบบฉันได้ เพราะงั้น… ถ้ามันทรมานนักก็ปล่อยให้มันระบายออกมาเถอะ นายน่ะ ชอบเก็บมันไว้อยู่เรื่อย”

ผมเม้มริมฝีปากแน่นขึ้น ชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าตกลงหมอนี่มันตั้งใจดูถูกผมหรืออะไรกันแน่ แต่ทุกอย่างที่มันพูดมา… ผมกลับเห็นด้วยเสียเป็นส่วนใหญ่

ผมคงไม่มีวันทำแบบโลแกนได้ แต่ในอีกแง่หนึ่งก็คือ… ผมก็ไม่ได้อยากจะเป็นแบบหมอนี่สักหน่อย

“ดีขึ้นไหม” คนข้างตัวลูบบ่าผมเบาๆ สองสามที ผมพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะดันมือหมอนี่ออก

“ดีขึ้นแล้ว ขอบใจ”

“ฉันรู้นะว่านายคิดอะไร” โลแกนยิ้มกวนๆ ส่งให้ผม “นายคงเริ่มคิดแล้วสินะแบบ… ถึงยังไงฉันก็ไม่อยากเป็นคนโรคจิต ป่าเถื่อน ชอบใช้กำลังแล้วก็ทำอะไรเกินกว่าเหตุแบบหมอนี่อยู่ดี แบบนั้นใช่ไหมล่ะ”

ผมยิ้มตอบให้มัน เป็นยิ้มที่มาจากความรู้สึกขบขันจริงๆ ไม่ได้ฝืนทำ

“ก็รู้ตัวดีนี่”

“ก็นะ” โลแกนผายมือออกข้างตัว “สมัยนี้ ถ้าคิดให้ได้ถึงขนาดนี้ไม่ได้ก็อยู่โลกนี้ลำบาก”

“นายคิดว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของโลกนี้ด้วยเหรอวะ” ผมหัวเราะร่วนออกมาอย่างอดไม่อยู่ หากคนโดนถามชะงักไปชั่วแวบหนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มแบบมีเลศนัยออกมา

“นั่นสิน้า… ถึงโลกนี้จะไม่ต้องการคนแบบฉันเท่าไร แต่ฉันก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของมัน… อย่างน้อยก็ในตอนนี้น่ะนะ เพราะงั้นก็คงต้องยอมรับสภาพแบบนั้นไปก่อนละมั้ง”

คราวนี้คำพูดของหมอนี่ทำให้ผมชะงักไปบ้าง

“ฉันไม่คิดว่าโลกนี้ไม่ได้ต้องการนายอย่างที่นายพูดหรอกนะ”

“งั้นเหรอ” โลแกนคลี่ยิ้มหวานส่งมาให้ผม “ก็นะ อย่างว่าแหละ ก็ฉันมันหน้าตาดีนี่นา ขืนโลกใบนี้ต้องเสียคนหน้าตาดีอย่างฉันไปคงน่าเสียดายแย่”

ยัง ยังจะทำตลกอีก

“ตกลง.... นายเป็นสายให้พวกตำรวจจริงๆ ใช่ไหม”

โลแกนหันหน้ากลับมามองผมยิ้มๆ “ถ้าเป็นสายลับ ฉันก็ไม่ควรบอกใครไม่ใช่เหรอ”

“แต่นายเป็นน้องชายฉันนะ”

โลแกนเลื่อนมือมาดึงผมกลับไปนอนราบบนเตียงจากนั้นก็ค่อยๆ ปีนขึ้นมาคร่อม ผมเห็นหน้าของหมอนี่ชัดเจนมากเพราะไฟห้องยังเปิดสว่างโร่อยู่ มันให้ความรู้สึกที่แปลก… ครั้งหนึ่งผมเคยคิดว่าหมอนี่หน้าตาเหมือนผมนะ เหมือนมากๆ ด้วย แต่ในบางช่วงเวลา… อย่างเช่นตอนนี้ ผมกลับรู้สึกว่าผมกับหมอนี่ ไม่มีอะไรที่เราเหมือนกันเลยสักอย่าง

“แต่ก็ไม่ใช่น้องชายธรรมดาๆ ใช่ไหม”

ผมไม่ตอบอะไร คนด้านบนเลยค่อยๆ ไล้ปลายนิ้วลงมาบนมือผม ชวนให้ผมขนลุกซู่ด้วยสัมผัสวาบหวามนั่น จากนั้นเจ้าตัวก็ค่อยๆ ดึงมือผมขึ้นไปแล้วจรดริมฝีปากลงบนปลายนิ้ว ไล้ลงมาจนถึงหลังมือแล้วค่อยๆ เคลื่อนไปยังอุ้งมือแทน ผมรู้สึกว่าหน้าร้อนขึ้นเรื่อยๆ อย่างควบคุมไม่อยู่

บางที… ผมอาจจะจะเริ่มเข้าใจขึ้นมาแล้วก็ได้ว่าหมอนี่ทำยังไงถึงสามารถตกผู้หญิงได้มากมายขนาดนั้นก่อนหน้านี้ เพราะเทคนิคของมันเหลือร้ายแบบนี้ยังไงล่ะ!

“นี่ ลูคัส บอกฉันหน่อย” โลแกนว่าขณะที่แตะปลายลิ้นลงบนฝ่ามือของผมอย่างอ้อยอิ่ง ผมเบือนหน้าหนีไปอีกทางเพราะทนดูต่อไปไม่ได้ เหมือนหัวใจจะหลุดออกมาจากอกข้างซ้ายจริงๆ นะ… นี่หมอนี่คือโลแกน น้องชายฝาแฝดจอมป่าเถื่อนของผมจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย “นายชอบให้ฉันทำแบบไหนกับนายเหรอ ชอบแบบอ่อนโยน… หรือว่าแบบเร้าใจหน่อยล่ะ ลองบอกฉันมาซิ เผื่อว่ารอบหน้าฉันจะได้เตรียมตัวถูก”

“ฮะ…?” เดี๋ยวๆๆๆ เหมือนเมื่อกี้เราจะไม่ได้พูดกันถึงเรื่องนี้ไม่ใช่เรอะ ไหงอยู่ๆ กลายมาเป็นเรื่องแบบนี้ไปซะได้ล่ะเนี่ย

“จริงๆ ถ้านายอยากให้ฉันอ่อนโยนกว่านายกับนี้ฉันก็ทำได้นะ” คนด้านบนผมพูดพร้อมกับค่อยๆ เลื่อนหน้าลงมาจูบลงบนแก้มอย่างอ้อยอิ่ง ออกแรงกดลงไปแล้วเคล้าเคลียอยู่ตรงนั้น ผมหลับตาแน่นพร้อมกับเบือนหน้าหนีเล็กน้อย ในหัวยังงงอยู่เลยว่าอยู่ๆ บรรยากาศของพวกเราสองคนมันกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไง

...ไอ้หมอนี่สามารถพลิกสถานการณ์ให้กลายมาเป็นแบบนี้ได้ตลอดจริงๆ แฮะ ต่อให้เมื่อห้านาทีที่แล้วเราจะพูดเรื่องคนตายกันอยู่ก็ตาม

“อ๊ะ!” ผมสะดุ้งตัวเฮือกเมื่อมือของคนด้านบนสอดลงใต้เสื้อนอนของผมแล้วไล้ลงมาลูบไล้บนแผ่นอก มันให้ความรู้สึกวาบหวามมากกว่าอ่อนโยน และนั่นทำให้ผมเผลอบิดตัวน้อยๆ แล้วเลื่อนมือไปใต้เสื้อของหมอนี่บ้างจนได้

โลแกนยกยิ้มอย่างพึงพอใจบนริมฝีปาก จากนั้นก็ก้มหน้าลงมากระซิบข้างหู

“หรือว่าชอบแบบที่เอาเข็ดขัดฟาดมากกว่า? แบบนั้นเนี่ย ของถนัดฉันเลยนะ”

“มะ… ไม่เฟ้ย ไอ้โรคจิต” ผมพูดตอบเสียงสั่น นึกภาพหมอนี่เอาแส้ฟาดแล้วแม่งโคตรเข้ากับอิมเมจเจ้าตัวมากๆ แต่เดี๋ยวนะ… ผมไม่ยอมเป็นคนถูกฟาดหรอกนะ... ไม่มีทาง!

โลแกนหัวเราะร่วนออกมาอย่างอารมณ์ดี จากนั้นก็เริ่มลอกคราบเสื้อผ้าของผมออกทีละชิ้น ผมร้องปล่อยให้มันทำแบบนั้นจนกระทั่วเจ้าตัวดีกระชากกางเกงผมออกนั่นแหละ ผมถึงได้นึกขึ้นได้แล้วยกหมอนขึ้นฟาดหัวมันแรงๆ ทีหนึ่ง

“ไปปิดไฟให้เรียบร้อยด้วยเว้ย! เปลือง!”

….แน่นอนว่านั่นก็แค่ข้ออ้างน่ะนะ





--------------------------------------
Talk: เอาเลย แฝด พวกนายอยากจะหวานกันยังไงก็เอาเลย ถถถถถถถถถถถ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
จะเจอเรื่องไหนมา โลแกนก็สามารถ  :oo1:

ออฟไลน์ donutnoi

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-7
หลังเสร็จงานให้พ่อ โลแกนจะยังอยู่บนโลกไหมนี่ รออ่านๆ


ออฟไลน์ angel_Z4

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 783
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
พลิกตลอด พลิกสถานการณ์ได้ตลอด...แหม :hao6:

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3


บทที่ 24

(Mode: Logan Collins)





ผมเดินกลับเข้ามาในตัวบ้านหลังจากที่เพิ่งไปสอบและทำเรื่องขอใบขับขี่มา เนื่องจากว่าหลังจากนี้ผมคงมีเรื่องให้ต้องใช้รถอีกมาก และทันทีที่ได้เจ้าใบขับขี่นี้มาปุ๊บ หัวหน้างานผู้ใจดีของผมก็เนรมิตรถในสภาพกลางเก่ากลางใหม่มาให้ผมคันหนึ่งปั๊บ

น่ารักมากๆ แมคโดเวล… ถ้าไม่ติดว่าเขาเป็นลุงอายุห้าสิบกว่า ผมหงอกไปทั้งหัวแบบนั้น ผมคงพูดประโยคนั้นกับเขาไปแล้ว

ผมเดินเข้าไปในตัวบ้าน วางกระเป๋าลงบนเก้าอี้ จากนั้นก็ตรงดิ่งไปที่ครัว เปิดตู้เย็นแล้วรินวิสกี้ใส่แก้ว ต้องฉลองความสำเร็จให้แก่ตัวเองสักหน่อย เครื่องดื่มแอลกอฮอร์พวกนี้ลูคัสแทบไม่แตะเลย ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ผมที่ต้องจัดการให้มันหมดๆ ไป ไม่งั้นมันจะรกตู้เย็น (ข้ออ้างทั้งนั้น)

เสียงหวานใสของเปียโนที่ตั้งอยู่ที่มุมห้องอีกมุมหนึ่งดังลอยมาให้ได้ยิน มันเป็นท่วงทำนองที่ค่อนข้างมีชีวิตชีวา อ่อนหวาน เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจของผู้เล่น

ในวันที่ลูคัสสามารถเล่นได้ถึงขนาดนี้ แปลว่าเจ้าตัวต้องอยู่ในอารมณ์ที่ดีถึงดีมากๆ เลยทีเดียว และเมื่อคิดแบบนั้นแล้วผมก็อดลอบยิ้มออกมานิดๆ ไม่ได้ ตัดสินใจรินน้ำแอปเปิ้ลที่มีสีใกล้เคียงกับวิสกี้ในแก้วของผมใส่ลงอีกแก้ว พร้อมกับบริการเติมน้ำแข็งให้เจ้าตัวด้วย จากนั้นก็ค่อยๆ เดินออกจากบริเวณครัวไปเพื่อไปหาคนที่อยู่ในบ้านอีกคน

ผมมองจนแน่ใจแล้วว่าหมอนี่ไม่ได้ตั้งกล้องอัดวิดีโอตอนที่กำลังเล่นเปียโนอยู่ ช่วงนี้หมอนี่ชอบอัดวิดีโอตอนเล่นเปียโน เอาไปสมัครทุนบ้าง เอาไปลงยูทูปบ้าง ครั้งหนึ่งผมเผลอทะเล่อทะล่าเข้าไปทักมันตอนมันกำลังอัดวิดีโออยู่ ทำเอาลูคัสโวยวายใส่ผมใหญ่เพราะใกล้จะเล่นจบเพลงอยู่แล้ว แหม ก็ใครจะไปรู้กันล่ะ วันหลังก็ทำป้ายติดไว้สิว่ากำลังอัดวิดีโออยู่ จะได้ระวัง

หากรอบนี้ไม่มีกล้องคอยถ่าย… ผมจึงก้าวเท้าไปประชิดที่หลังของลูคัสโดยไม่ให้สุ้มให้เสียงใดๆ เสียงเปียโนยังคงดังกังวานมาให้ได้ยินเรื่อยๆ ผมชอบฟังเปียโนของหมอนี่จริงๆ นั่นแหละ ถึงจะไม่ค่อยรู้อะไรในด้านนี้มาก แต่พอเป็นเพลงที่หมอนี่เล่นปั๊บ ผมจะรู้สึกหลงใหลในเสียงดนตรีขึ้นมาทันทีอย่างไม่มีสาเหตุ

เออ… หรือจะเป็นเพราะผมกำลังหลงใหลไอ้หมอนี่อยู่วะ? ก็เป็นไปได้ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรนี่ ถูกไหม?

“โลแกน!!” เสียงของลูคัสดังขึ้นมาพร้อมๆ กับเสียงเปียโนที่เงียบลงไปในจังหวะเดียวกัน เจ้าตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่ใช้นั่งเล่นเปียโนแล้วตรงปรี่เข้ามาหาผม นัยน์ตาสีฟ้าของหมอนี่เป็นประกายระยิบระยับอย่างไม่น่าเชื่อทีเดียว

จากนั้นเจ้าตัวก็เลื่อนมือโอบรอบคอผมแน่น ทำเอาผมเบิกตากว้างขึ้นนิดหนึ่งเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว มือยังคงถือแก้วอยู่ข้างละใบจึงไม่สามารถเลื่อนไปกอดตอบหมอนี่ได้ถนัดนัก แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยิ้มแล้วถามคนอารมณ์ดีอย่างอยากรู้

“มีอะไรเหรอ ลูคัส วันนี้อารมณ์ดีสุดๆ ไปเลยนะ”

“ทุนที่ฉันอยากได้น่ะ!!!” เจ้าตัวว่าอย่างตื่นเต้นพร้อมกับก้มลงมองแก้วที่ใส่ของเหลวสีออกน้ำตาลใสทั้งสองใบ ผมยื่นใบที่อยู่ในมือข้างซ้ายไปให้ “เออ อันที่ฉันอยากได้น่ะ ตกลงว่าฉันได้แล้วเว้ย! เขาเพิ่งจะติดต่อมาเมื่อกี้นี้เอง”

“จริงดิ!?” ผมทำเสียงตื่นเต้นตาม ถึงจริงๆ แล้วผมจะไม่ได้ตื่นเต้นขนาดนั้นก็เถอะ… จะว่ายังไงดีล่ะ ผมรู้อยู่แล้วว่ายังไงพี่ชายฝาแฝดผมก็ต้องได้ ผมหมายถึง… ถ้าอย่างมันไม่ได้นี่ แล้วใครจะได้ฟะ?

“จริง!!” ลูคัสว่าอย่างคึกคัก ผมเลยชูแก้วอีกใบขึ้นมาแล้วส่งยิ้มหวานให้

“อย่างนี้ต้องฉลอง”

“ชนแก้ว!”

จากนั้นพวกเราก็ยกแก้วในมือขึ้นดื่มรวดเดียว ลูคัสแทบจะผละหน้าออกมาจากแก้วแทบไม่ทันหลังจากที่แอลกอฮอร์ดีกรีไม่ต่ำกว่า 50 เพียวๆ ไหลลงคอของหมอนั่นไป และเมื่อเจ้าตัวรู้ว่าเพิ่งกลืนอะไรเข้าไป คนผมทองที่หน้าแดงขึ้นอย่างฉับพลันก็เริ่มไอค่อกแค่กออกมาท่ามกลางเสียงหัวเราะอย่างสะใจของตัวผมเอง

“โทษที” ผมว่ายิ้มๆ “ผิดแก้วว่ะพวก น้ำแอปเปิ้ลแก้วนี้ว่ะ”

“หนอย ไอ้โลแกน” คนที่คออ่อนที่สุดในสามโลกเริ่มเซ แต่ยังไม่วายจะยกนิ้วชี้ขึ้นมาใส่หน้าผม “นาย… จงใจใช่ไหม ฮะ เอาแก้ว… สลับ… มาให้ฉัน ไอ้น้อง… เลว”

“โอ๊ะๆๆ เซแล้วครับ พี่ชาย” ผมว่า เคลื่อนตัวไปรับร่างของลูคัสที่กำลังจะล้มพับไปกองอยู่กับพื้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็อดหัวเราะออกมาอีกรอบไม่ได้ “โอ๊ย… ให้ตายเถอะ ลู นายนี่มันไก่อ่อนเกินไปแล้วนะ กินไปแค่นี้นี่หน้าจะลงไปจูบพื้นเลยเหรอ เอ้า เร็ว ลุกขึ้น! นี่มันช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองไม่ใช่รึไง!”

“ฉลอง….!!” คนที่สติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวพยายามยกกำปั้นชูขึ้นจากนั้นก็คอพับลงมาจอดอยู่แถวๆ อกผม

ผมหัวเราะออกมาอีกรอบ ประคองร่างนั้นให้ไปนอนที่โซฟาจากนั้นก็เดินกลับเข้าไปในครัวเพื่อหยิบเครื่องดื่มอื่นๆ ออกมาวางเรียงลงบนโต๊ะ กำลังจะรินวิสกี้เพียวๆ ให้ไอ้ขี้เมาที่นอนอยู่บนตักผมตอนนี้อีกสักแก้ว… แต่ว่า… ไม่เอาดีกว่า แกล้งหมอนี่หนักไป ตอนเช้ามามันจะอ้วกแตกแล้วก็ไม่เป็นอันทำอะไรจนกว่าจะถึงช่วงเย็นโน่น…

เอาเป็นว่าค่อยๆ ให้มันกินทีละนิดดีกว่า มันเมามากไปละคออ่อน สลบเหมือดไปขึ้นมาล่ะก็ หมดสนุกกันจริงๆ พอดี

“เอ้า นี่ ดื่มน้ำหน่อย แล้วนี่กินข้าวเย็นหรือยังเนี่ย… เดี๋ยว ให้ฉันเดานะ ยังล่ะสิ พอรู้ผลก็ตื่นเต้นดีใจ เอาแต่เล่นเปียโนแน่เลย งั้นเดี๋ยวโทรไปสั่งพิซซ่ามากินกันดีกว่า เย็นนี้ ฉลองที่นายได้ทุนที่อยากได้ ฉลองที่ฉันได้ใบขับขี่ด้วย ได้รถมาขับด้วยน้า… เดี๋ยววันพรุ่งนี้ มะรืนนี้ไปขับรถเที่ยวกัน”

“รถเหรอ” คนที่ตาจะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่พยายามเบิ่งตากว้างเพื่อแสดงให้เห็นว่าแปลกใจจริงๆ และนั่นทำให้ผมหัวเราะออกมาอีกนิดหนึ่ง

ลูคัสเปะปะ ป่ายมือมาที่บ่าผม จากนั้นก็ค่อยๆ คลาน หาตำแหน่งนอนสบายแล้วเริ่มลงมือซักฟอกผม

“แล้ว… นายปายอาว… รถ… มาจาก… หนาย… โลแก...น”

“ที่ทำงานน่ะ” ผมตอบพร้อมกับก้มหน้าลงจุ๊บปากไอ้หมอนี่เร็วๆ มือเริ่มเลื่อนไปล้วงกระเป๋าเพื่อโทรสั่งอาหารเย็นแล้ว

“ที่ทำงาน” ลูคัสที่นอนขดตัวอยู่บนโซฟาพึมพำออกมาหลังจากที่ผมจัดการโทรไปสั่งพิซซ่าให้มาส่งถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว

“นี่ โลแกน” เสียงเจ้าตัวยังอู้อี้อยู่

“หืม?” ผมตอบรับขณะที่มือยังคงสาละวนกับการผสมเครื่องดื่มของตัวเอง ต้องใช้เวลาอีกพักหนึ่งกว่าพิซซ่าจะมาส่งที่หน้าบ้าน เพราะงั้นผมจะรีบเมาไปก่อนก็ไม่ได้เหมือนกัน ต้องค่อยๆ ละเลียดกิน

“งานที่นาย… ทำ… น่ะ ต้องฆ่า… คนไหม…”

“....” เฮ้อ นี่เราวนกลับมาเรื่องนี้อีกแล้วเหรอเนี่ย

“ไม่จำเป็นนะ” ผมตอบตามตรง ยกเครื่องที่ผสมเสร็จแล้วขึ้นจิบนิดหนึ่ง อืม… ก็พอใช้ได้อยู่ “แต่ถ้าสถานการณ์มันบีบ… อย่างตอนที่นายอยู่ด้วยน่ะ มันก็ต้องทำ ก็แค่นั้นเอง”

“ฉัน...น่ะ ไม่อยากเรียก… หมอนั่นว่าพ่ออีกเลย… อึก… ตอนที่เห็น… มัน… อึก แทงแม่น่ะ…”

ผมเบือนหน้ากลับไปมองคนที่เริ่มเพ้ออะไรออกมาเรื่อยเปื่อยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ บอกตามตรงนะ ผมไม่อยากได้ยินเรื่องในวันนั้นจากปากหมอนี่เลย ลูคัสเองก็ควรจะลืมๆ ไปได้แล้วแท้ๆ แต่พอหมอนี่ไม่อยู่ในอารมณ์หรือสภาวะที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ทีไร เจ้าตัวก็เป็นงี้ทุกที

ไม่ว่าจะในความฝัน… หรืออย่างตอนนี้ ตอนที่เมาไม่ได้สติอยู่นี่

บางทีก็สงสัยนะว่า หมอนี่ไม่คิดจะก้าวเดินไปข้างหน้าต่อบ้างเลยหรือไง?

“อย่าพูดเรื่องนั้นกันดีกว่าน่า” ผมพยายามเบี่ยงประเด็น “เราต้องอยู่ในโหมดฉลองกันไม่ใช่เหรอ ตอนนี้ นายเพิ่งจะได้ทุนของวิทยาลัยทางการดนตรีที่นายอยากจะได้เองนะ”

“ช่าย…!!! ฉันได้ทุนล่ะ โลแกน… ฉันด้าย… ทุน” ไม่พูดเปล่า… เจ้าคนเมาค่อยๆ เลื้อยกลับมาหาผมจากนั้นก็กระชากคอเสื้อผมลงไปจูบปากกับมันหน้าตาเฉยโดยไม่ส่งสัญญาณใดๆ มาเตือนก่อนล่วงหน้า

ผมหรี่ตาลงมองลูคัสที่ตอนนี้หน้าแดง หูแดงไปหมด ข้อดีของหมอนี่เวลาเมาก็คือสามารถชักจูง พาไปเรื่องอื่นได้ง่ายนี่แหละ ต่อให้มันจะหยิบยกประเด็น เรื่องที่ผมไม่อยากพูดถึงขึ้นมา แต่พอผมเปลี่ยนเรื่อง เจ้าตัวก็ยอมคล้อยตามโดยง่าย

อ่า… นี่ถ้าไม่ใช่ว่ากำลังรอพิซซ่าอยู่ล่ะก็ คงจัดสักยกแล้ว

“อือ….. อืม….” ลูคัสครางในลำคอเล็กน้อยขณะที่ผมเลื่อนหน้าไปจูบมันอย่างดูดดื่ม ต้องสั่งสอนให้หมอนี่เข้าใจสักหน่อยแล้วว่าไม่ควรแหยมกับใคร อยู่ๆ มาจูบกันแบบนี้นี่แปลว่าต้องเตรียมใจไว้แล้วใช่ไหม ต่อให้ลูคัสจะทำไปโดยไม่รู้สึกตัว ผมก็ไม่สนหรอกนะ

เสียงหวานจากคนด้านล่างยังคงดังมาอย่างต่อเนื่องให้ได้ยิน จากนั้นเมื่อผมผละใบหน้าออกไป ผมก็ได้เห็นแฝดของตัวเองส่งยิ้มหวานอย่างพึงพอใจระคนออดอ้อนมาให้

...ให้ตายเถอะ นี่ถ้าไม่ใช่ว่าผมไม่ได้กินข้าวมาจากนอกบ้านและกำลังรอพิซซ่าอยู่ล่ะก็นะ…

“ทำหน้าแบบนั้น” ผมพูดอย่างท้าทาย มือเลื่อนไปไล้ริมฝีปากของชายหนุ่มแรงๆ อย่างมันเขี้ยว “อยากโดนฉันจับปล้ำรึไง อย่าทำตัวน่ารักนักได้ไหม”

“ปล้ำเหรอ” ลูคัสทวนคำ ก่อนจะหัวเราะร่าออกมาชุดใหญ่ราวกับเรื่องที่ตัวเองพูดออกมาตลกนักหนา เจ้าตัวดีหันหน้ากลับมาทางผม ยกนิ้วชี้ขึ้นมา ส่ายหน้าเบาๆ แล้วทำปากจุๆ “นายปล้ำฉันไม่ได้หรอก โลแกน”

“ทำไมนายถึงคิดแบบนั้นล่ะ” ผมว่ายิ้มๆ แต่ในใจจริงๆ นี่เตรียมลากหมอนี่ขึ้นเตียงเต็มที่

แบบนี้มันประกาศสงครามเต็มอัตรศึกเลยนี่หว่า… ไม่รู้ซะแล้วว่ากำลังเล่นอยู่กับใคร…

“ก็เพราะว่า” ลูคัสยกนิ้วชี้ขึ้นหมุนวนในอากาศประกอบคำอธิบาย ดูเหมือนจะมีคนยังไม่รู้ชะตาของตัวเอง “นายจะใช้คำว่าปล้ำกับคนที่สมยอมนายไม่ได้หรอกนะ โลแกนที่รัก… ฉันพูดถูกไหม?”

ผมรู้สึกเหมือนได้ยินเส้นอะไรบางอย่างในหัวขาดผึงทันที ยิ่งเห็นหน้าไอ้หมอนี่ตอนพูดแล้วส่งยิ้มหวานอ้อนๆ แบบนั้นมาให้ด้วยแล้วยิ่งไปกันใหญ่

ผมปีนขึ้นไปบนโซฟา ขยับตัวขึ้นคร่อมคนด้านล่างจากนั้นก็ลงมือประกบริมฝีปากลงบนปากของอีกฝ่ายอย่างรุนแรงทันที

ลูคัสครางขลุกขลักในลำคอเล็กน้อยในจังหวะแรก หากยอมตวัดลิ้นตอบรับสัมผัสของผมในจังหวะต่อมา อ่า… ให้ตาย หมอนี่นี่มัน จริงๆ เลย… แล้วแบบนี้จะให้ผมอดใจไหวได้ยัง…

“พิซซ่ามาส่งคร้าบ” เสียงคนตะโกนดังขึ้นพร้อมกับเสียงกดออด

….โอเค ก็ได้ ใครว่าคนเรากินข้าวเย็นสองรอบไม่ได้ล่ะ ถูกไหม?




หลังจากจัดการพิซซ่าซึ่งเป็นข้าวเย็นของพวกเราจนเสร็จสิ้น ผมก็พยายามเขย่าลูคัสให้ลุกขึ้นจากโซฟาเพื่อไปยังชั้นสองของบ้าน

กว่าจะให้หมอนี่ลุกขึ้นมาจัดการข้าวเย็นของตัวเองนี่ไม่ใช่เรื่องง่าย… ผมต้องดึงตัวมันให้ลุกขึ้นมานั่งดีๆ แล้วก็ยัดพิซซ่าทีละชิ้นใส่มือมัน แต่ดีนะที่ไอ้หมอนี่มันชอบกินพิซซ่าอยู่แล้ว เพราะงั้นถึงจะไม่ค่อยมีสติ มันก็ยัดเข้าปากมันจนได้ล่ะ

“เฮ้อ แล้วนี่ยังไงเนี่ย ลูคัส นายจะอาบน้ำไหม หรือว่าจะนอนเลย แต่ขอบอกเลยนะว่านายน่ะเน่ามาก ถ้าจะนอนทั้งๆ ที่ไม่อาบน้ำล่ะก็ ช่วยเขยิบไปปลายเตียงนู่นเลยนะ อย่าเข้ามาใกล้ฉันตอนนอนละกัน”

“...โลแกน” คนเมาเริ่มร้องเรียกชื่อผมอีกครั้ง อ่า… จริงๆ แล้วผมก็เริ่มมึนๆ เหมือนกัน เมื่อกี้ล่อแบบเพียวๆ เข้าไปซะเยอะ

“อะไร”

“ทำไมพวกเราสองคน… ถึงยังอยู่บ้านนี้กันอีกเหรอ”

คำถามนั้นทำให้ผมนิ่งไปนิดหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากตอบอย่างจนปัญญา “ไม่รู้สิ”

“เราไม่ควร… อยู่ที่นี่เลย” โลแกนว่า คอพับ หน้าคว่ำไปที่นอน หากยังพูดเสียงอู้อี้หลุดออกมา “ฉันยังรู้สึกเหมือน… เห็นศพอยู่ที่ชั้นล่างทุกวัน”

“นอนเถอะ ลูคัส” ผมเลื่อนมือไปลูบเส้นผมสีบลอนด์ทองของมัน “หลับไปซะ”

“ผู้ชายคนนั้น… ที่มีเขาออกมาจากหัวน่ะ…” คำพูดที่เหมือนไม่มีสตินั่นของลูคัสทำให้ผมหันขวับกลับไปมองมันอย่างตกใจทันที “ทำไม… นายถึงเรียก… เขา... ว่าพ่อเหรอ”

เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกได้ว่าหน้าของตัวเองซีดเผือดลงได้ขนาดนี้

ไม่เอานะ….

ผมยังไม่อยากให้หมอนี่รู้เรื่องตอนนี้






-----------------------------
Talk: น่านนไง เอาแหล่ว ถถถถถถถ

ออฟไลน์ kothan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
โดนลบความจำไปแล้วไม่ใช่เรอะ ไหนตอนเมานึกออกได้ล่ะ

ออฟไลน์ zonpine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
ต่อค่ะต่อทำไมทิ้งประเด็นไว้แบบนี้
น่ารักจริงๆแฝดคู่นี่มาต่อไว้นะคะ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ลูค้ส เห็นพ่อโลแกน แล้วยังจำได้ ไม่ลืม

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 25

(Mode: Lucas Collins)




จริงๆ แล้วผมมีไม้กางเขนอีกอันหนึ่งที่เหมือนกับของโลแกนไม่มีผิด

มันทำจากโลหะน้ำหนักเบา รูปร่างและการออกแบบของมันก็เหมือนไม้กางเขนทั่วๆ ไป และไม้กางเขนอันที่ผมพกอยู่ก็ไม่ได้มีลักษณะกลับหัวแบบที่ไอ้บ้าโลแกนมันอุตริปรับเปลี่ยนใหม่ให้มันกลับหัวอยู่กับโซ่ห้อยคอของมันด้วย

ไม้กางเขนของผมยังเป็นไม้กางเขนอันเดิม อันเดียวกับที่น้าลิซ่าให้ไว้กับพวกเราทั้งสองคนในวันเกิดครบรอบหกขวบของพวกเรา

‘งั้นน้าไปก่อนนะจ๊ะ โลแกน ลูคัส’ เจ้าหล่อนว่าพร้อมกับเลื่อนมือมาลูบหัวของหลานทั้งสองที่กำลังมองไม้กางเขนที่ทำจากโลหะอย่างดีที่น้าสาวให้มาอย่างพิจารณา เมื่อนึกถึงอายุและฐานะของครอบครัวพวกเขาในตอนนั้นแล้ว ต้องบอกเลยว่าไม้กางเขนที่ได้มานั้นดูค่อนข้างมีราคาและดูมีมนตร์ขลังอย่างน่าประหลาด

อย่างน้อยก็สำหรับผมนะ… ถึงโลแกนจะมองไม้กางเขนที่น้าลิซ่าให้มาด้วยสายตาพิศวงในครั้งแรกก็ตาม แถมมันยังขมวดคิ้วมุ่นขึ้นนิดๆ เหมือนไม่พอใจเลยด้วยซ้ำ ตอนนั้นผมยังนึกหงุดหงิดมันอยู่เลยว่าจะมไ่พอใจอะไร น้าอุตส่าห์เอาของขวัญมาให้ ยังจะไปชักสีหน้าใส่เขาอีก แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไร

‘พระเจ้าจะคุ้มครองลูกๆ ของพวกท่านเสมอ’ หญิงสาวผู้มีศักดิ์เป็นน้าของพวกผมกล่าวพร้อมกับก้มตัวลงมากอดพวกเราทั้งสองคน ตอนนั้นพวกเรายืนอยู่ที่หน้าบ้านเพราะต้องการมาส่งน้าลิซ่าที่มีธุระทำให้ต้องรีบกลับบ้านไปก่อน อยู่รอจนเราเป่าเค้กไม่ได้ จากนั้นเจ้าหล่อนก็คลายอ้อมแขนออก ส่งยิ้มอ่อนโยนแบบเดียวกับที่แม่ของพวกเราชอบทำมาให้พร้อมกับว่า ‘แต่แน่นอนว่าพวกหนูเองก็ต้องเป็นเด็กดี… เป็นคนดีด้วยนะจ๊ะ ทำแบบนั้นน่ะ พระเจ้าจะต้องรักและคุ้มครองพวกหนูตลอดเวลาแน่ๆ’

หญิงสาวว่า สายตาชำเลืองมองพี่เขยของตัวนิดหนึ่งด้วยสายตาติดจะเย็นชาเล็กน้อย ตัวผมในตอนนั้นยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจความหมายของสายตานั้น แต่ก็จำได้ว่าพ่อของผมหน้าร้อนขึ้นมาด้วยความอายกับสายตาที่เหมือนจะกล่าวหานั่น

จากนั้นน้าลิซ่าก็จากพวกเราไปในวันนั้น แล้วผมกับโลแกนก็กลับเข้าไปในตัวบ้านตามเดิม จากนั้นก็เค้กวันเกิดให้กับพวกเรา แล้วทุกอย่างนั่นมันก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เสียงข้าวของที่หล่อนกระจายแตกหักบนพื้น เสียงกรีดร้องของแม่ แล้วก็กองเลือดมหาศาลที่สะท้อนเข้าสู่สายตา

ผมรู้เลยว่าตัวเองกำลังฝัน

ฝันแบบเดิมอีกแล้ว

ผมนึกอยากได้ไม้กางเขนที่น้าลิซ่าให้มาวันนั้นขึ้นมาถือไว้ในมือ เดี๋ยวนี้เลย แล้วบางทีผมอาจจะสวดขอพร ภาวนาอะไรสักอย่างกับพระผู้เป็นเจ้า เพียงเพื่อให้ความทรมานในอกนี้หายไป

ผมเคยเชื่อนะ ว่าไม้กางเขนคือสัญลักษณ์ของความดี และมันมันคงจะคุ้มครองผมได้จริงๆ อย่างที่น้าของผมเคยบอกไว้

แต่ผมไม่แน่ใจนักหรอก บางทีมันอาจจะช่วยคุ้มครองผมได้ถ้าเกิดว่าพระเจ้ามีอยู่จริงๆ แต่ผมไม่แน่ใจเอาซะเลยว่าท่านมีอยู่จริงๆ น่ะ

ผมหมายถึง… ถ้าเกิดว่าท่านกำลังเฝ้ามองเราอยู่จากที่ไหนสักแห่งจริงๆ แล้วทำไมท่านถึงไม่ช่วยแม่ของผมล่ะ? แม่ของผมไม่ได้ทำอะไรผิดเลยแท้ๆ แต่ทำไมท่านต้องโดนผู้ชายคนนั้นฆ่าด้วย?

ถึงแม้ว่า… ผลสุดท้ายแล้วผู้ชายคนนั้นจะตายในเวลาต่อมา เป็นช่วงเวลาไล่เลี่ยกับที่แม่ของผมเสียเลยก็เถอะ

ใช่… เขาตายในวันเดียวกับที่เขาได้ฆ่าแม่ของพวกเราทั้งสองคน นั่นเหรอคือสิ่งที่พระเจ้าประทานมาให้ผมกับโลแกนในวันนั้น? นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่พระองค์ท่านจะให้พวกเรามาแล้วใช่ไหม?

แล้ว…

ใครเป็นคนฆ่าผู้ชายคนนั้นกันล่ะ?







...

ผมลืมตาตื่นขึ้นอย่างเชื่องช้า แสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามาลอดผ่านมู่ลี่ทำให้แสบตาได้อย่างไม่น่าเชื่อ ผมพยุงตัวลุกขึ้นมา รู้สึกมึนหัวนิดหน่อย คงเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่กินเข้าไปเมื่อคืน แต่ก็ไม่ได้หนักหนาเหมือนจะเป็นจะตายอะไรเท่าก่อนหน้านี้ ตอนที่กินเหล้ากับโลแกนสองคนแล้วจบท้ายด้วยการโดนมันลากขึ้นเตียงเป็นครั้งแรก แปลว่าครั้งนี้ผมไม่ได้กินไปมากเท่าไรนัก

ผมมองเสื้อผ้าที่ยังอยู่ครบของตัวเอง หันไปมองข้างเตียงที่ว่างเปล่า แปลว่าเมื่อคืนผมคงไม่ได้นอนกับหมอนั่น ซึ่งก็ดีแล้ว คนเราไม่จำเป็นต้องมีอะไรกันทุกวันนี่ ถูกไหม

ผมเดินลากเท้าตรงไปที่ห้องน้ำ แต่สายไปสะดุดอยู่ที่แผ่นกระดาษโน้ตที่โลแกนเขียนทิ้งไว้ให้ก่อนออกไปจากบ้าน มีน้ำแก้วหนึ่งและยาวางเตรียมไว้ให้ด้วย ในโน้ตนั่นแค่เขียนข้อความง่ายๆ ว่ามีธุระต้องออกไปทำแล้วก็กำชับให้กินยานี่จะได้ช่วยให้สร่าง

ขอบคุณ… หมอนี่ทำตัวเป็นน้องที่ดีได้อย่างสรรเสริญมาก ถึงเมื่อก่อนจะไม่ได้เป็นแบบนี้ก็เถอะ ตอนแรกๆ ที่มันเริ่มทำดีกับผม ผมก็เริ่มขนลุกขึ้นมาอยู่เหมือนกันนะ แต่ตอนนี้เริ่มชินล่ะ ดีเหมือนกัน ค่อยรู้สึกเหมือนได้รับความห่วงใยจากหมอนี่หน่อย ไม่งั้นต้องเผลอคิดว่ามันเป็นเด็กที่เกิดมาจากไข่ของซาตานหรืออะไรทำนองนั้น…

แล้วอยู่ๆ ภาพที่โลแกนมีเขางอกออกมาจากหัวก็ลอยเข้ามาในสมองผม

….ไร้สาระน่า แค่กินเหล้าเมาจนเริ่มเห็นภาพหลอนไปก็เท่านั้นเอง

ผมลอบกลืนน้ำลายลงคอ พยายามโยนความคิดแปลกๆ ที่ว่าน้องชายฝาแฝดของตัวเองเป็นเด็กปีศาจทิ้งไป สงสัยเพราะได้ยินคนพูดบ่อยๆ ว่ามันเป็นเด็กที่นรกส่งมาเกิดบ่อยๆ เข้าเลยเริ่มคิดไปเป็นแบบนั้นแน่ๆ เรื่องจริงแล้วมันจะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไงฟะ ดูการ์ตูนมากไปหรือเปล่าเนี่ย

ผมจัดการภารกิจยามเช้าของตัวเอง วันนี้ผมมีนัดกับปีเตอร์เพื่อไปซ้อมดนตรีแล้วก็อัดคลิปวิดีโอลงช่องบทยูทูป ช่วงนี้ผมกำลังฝึกเขียนเพลงแล้วเล่นคู่กับไอ้หมอนั่น สำหรับช่วงปิดเทอมที่กำลังรอยื่นเรื่องมหาลัยหรืออะไรต่างๆ ก็นับเป็นการใช้เวลาที่ดี คลิปวิดีโอของผมเองก็มีเข้ามาตามดูเรื่อยๆ ก็ถือว่าค่อยๆ สร้างผลงานกันไป

ผมกำลังยืนรอรถเมล์ที่ควรจะมาจอดอยู่ที่ป้ายนี้ในอีกห้านาที ก้มลงมองนาฬิกาบนหน้าจอโทรศัพท์เล็กน้อย แล้วอยู่ๆ ก็นึกสงสัยขึ้นมาโลแกนมันมีธุระอะไรของมันตั้งแต่เช้า คงเป็นเรื่องงานพิเศษเสี่ยงตายของมันอีกนั่นแหละ บางทีผมก็น้อยใจนะที่มันไม่ยอมพูดอะไรตรงๆ ให้ผมรู้เรื่องบ้าง กังวลด้วย ยิ่งล่าสุดที่ผมได้ไปเอี่ยวกับคนที่มันต้องคอยตามจับด้วยนี่ยิ่งทำเอาน่าสยองไปกันใหญ่

งานที่โลแกนทำอยู่มันดูน่ากลัวจริงๆ นะ เหมือนไม่รู้เลยว่าจะไปทำอะไรผิดใจใครเข้าแล้วโดนฆ่าตายเมื่อไหร่ และอีกอย่างที่ผมได้เรียนรู้จากเหตุการณ์ที่ผ่านมานั่นก็คือ ชีวิตของเราทุกคนนี่ช่างเปราะบางและไร้ซึ่งความคุ้มครองใดๆ จริงๆ

โลแกนฆ่าคนไปสองคนในวันนั้นและไม่ถูกจับ หนำซ้ำมันยังไปช่วยงานให้พวกตำรวจต่อหน้าตาเฉยอีกต่างหาก ตอนแรกผมกลัวจับใจเลยนะว่าน้องชายฝาแฝดผมจะโดนลากเข้าคุก แต่ก็เปล่า ทุกอย่างยังคงดำเนินไปอย่างปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น อีกแง่หนึ่งมันก็เท่ากับว่าการตายของสองคนนั้นไม่ได้ทำให้อะไรๆ เปลี่ยนไปเลยสักนิด แม้แต่คนที่ฆ่าพวกมันอยู่ก็ยังนอนอยู่บนเตียงเดียวกับผมทุกคืนๆ

แล้วในทางกลับกัน… ถ้าเกิดผมโดนฆ่าบ้าง แล้วไอ้คนที่ฆ่าผมมันยังใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขแบบที่โลแกนทำอยู่ทุกวันนี้… ผมควรจะรู้สึกยังไงล่ะ?

หากยังไม่ทันได้คิดอะไรต่อ ทันทีที่ผมเงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์ก็มีรถสีขาวคันหนึ่ง ไม่มีเลขทะเบียนเปิดประตูจอดอยู่ตรงหน้า โลหะเย็นๆ ก็กระแทกอยู่บนหลังของผมพร้อมกับเสียงทุ้มต่ำที่ก้มลงมากระซิบอย่างข่มขู่

“เข้าไปในรถ”

“เฮ้” ผมร้องอย่างตกใจ เหลือบไปเห็นว่าสิ่งที่ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เจ้าของเสื้อเชิ้ตสีเขียวมะนาวกระทุ้งผมอยู่คือปืนกระบอกหนึ่ง “นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย”

“จะเข้าไปดีๆ หรืออยากให้กระสุนเข้าไปเจาะอวัยวะภายในของแกก่อน?”

เฮ้ ล้อเล่นน่า? เอาจริงดิ? นี่ผมเพิ่งจะคร่ำครวญถึงสวัสดิภาพการใช้ชีวิตอยู่ในประเทศนี้ของตัวเองไปหยกๆ เองนะ ยังไม่ทันจะได้คิดจบก็โดนเอาปืนจ่อกันแบบนี้อีกแล้วเหรอ? นี่ชีวิตผมหลังจากนี้คงไม่ได้อยู่อย่างสงบๆ จริงๆ แล้วใช่ไหม?

“คุณเป็นใคร” ผมถาม ปากกระบอกปืนกระทุ้งลงมาอีกครั้งตรงสีข้าง ช่างเป็นการคุยกันภาษาคนที่รู้เรื่องมาก ขอบใจ

“เฮ้ เดี๋ยวสิ” ผมพยายามอีกรอบ ยัดโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋ากางเกงขณะที่พยายามกดปุ่มโทรออก เบอร์ล่าสุดที่ผมโทรออกก็หนีไม่พ้นน้องชายสุดที่รักที่คงจะเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้ผมมาตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากแบบนี้เป็นแน่แท้ ขอให้ติดทีเถอะ ขอให้หมอนั่นรับสายผมด้วยเถอะ ต่อให้ผมจะไม่พูดจาอะไรกรอกลงหูโทรศัพท์เลยก็ตาม ช่วยถือไว้แบบนั้นที “ไม่เห็นต้องทำรุนแรงกันนักก็ได้นี่ มีอะไรก็ค่อยๆ พูดกัน”

ชายเสื้อสีเขียวมะนาวเหยียดยิ้มยิงฟันให้ผม เผยให้เห็นฟันทองสองซี่ที่อยู่ด้านใน ประเมินอายุจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว ผมคิดว่าเขาคงมีอายุไม่ต่ำกว่าสามสิบต้นๆ แน่

“ฉันจะให้โอกาสนายอีกครั้ง คอลลินส์” เจ้าตัวว่า นิ้วเลื่อนไปจ่อที่ไกปืน “ขึ้นรถเดี๋ยวนี้ แล้วเราจะได้ขับรถวนเล่นรอบเมืองกันสักรอบ พูดคุยอะไรกันเล็กน้อย จากนั้นเราก็พานายมาส่งที่เดิม นายจะได้ไปทำธุระของนายต่อ ฟังดูเป็นไง”

“เป็นไอเดียที่เยี่ยมมาก” ผมพึมพำประชดตอบ ไอ้กลัวน่ะมันก็กลัวอยู่ แต่ความรู้สึกที่ว่าช่วงหลังๆ นี้ผมเจอเรื่องแบบนี้บ่อยเกินไปจนเริ่มชินและชวนให้หงุดหงิดมากกว่าทำให้ผมลืมกลัวไปเสียสนิท

จนกระทั่งผมเขยิบตัวเข้ามานั่งที่เบาะด้านหลังแล้วเจ้าชายใส่เสื้อเขียวมะนาวก้าวตามเข้ามาแล้วประตูรถถูกปิดลงนั่นแหละ ผมถึงจะเริ่มกลัวขึ้นมาจริงๆ

“ออกรถเลย เจม” ชายหนุ่มหันไปพูดกับคนขับรถ จากนั้นก็ค่อยๆ เบือนหน้ากลับมาทางผม รอยยิ้มบนริมฝีปากยังคงค้างอยู่ตรงนั้น แต่เห็นได้ชัดเลยว่าตาของเขาไม่ได้ยิ้มไปด้วย

“โทษทีนะที่เอาตัวนายมากะทันหัน โลแกน คอลลินส์ แต่บังเอิญว่าเจ้านายของฉันเนี่ย ได้ยินเรื่องของนายมาหนาหูพอสมควร และเขาเริ่มรู้สึกว่ามันชักจะมากเกินไปหน่อยแล้ว ก็เลยส่งฉันให้มาคุยปรับความเข้าใจกับนายสักหน่อย”

“คุยกับนายเหรอ…?” ผมพยายามคุมน้ำเสียงให้นิ่งที่สุด ไม่มีประโยชน์อะไรจะพูดว่าผมไม่ใช่โลแกนอีกต่อไปแล้ว บทเรียนคราวที่แล้วยังคงฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกของผม ผมได้เรียนรู้แล้วว่า บางทีถ้าผมสวมบทเป็นโลแกนเสียเลย อย่างน้อยพวกคนที่คิดจะเข้ามาหาเรื่องด้วยจะยังพอมีความกริ่งเกรงอยู่บ้าง อย่างน้อยก็มากกว่าตอนที่พวกมันรู้ตัวตนที่แท้จริงของผมน่ะนะ

“อ้อ ใช่ แนะนำตัวช้าไปหน่อย ฉันจาฟาร์” จาฟาร์ยกยิ้มอวดฟันทองของตัวเองอีกรอบ แววตาบ่งบอกว่าคาดหวังว่าผมคงจะรู้จักหรือเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของเจ้าตัวมาก่อน

ผมคิดว่าโลแกนคงรู้… แต่ผมไม่ได้อยู่ในวงการเดียวกับมันนี่หว่า แต่สิ่งที่ผมแสดงออกไปก็คือการเสแสร้งที่บอกว่ารู้ด้วยการพยักหน้าช้าๆ ตอนนี้ในหัวของผมพยายามอย่างเต็มที่ที่จะนึกภาพว่า ถ้าโลแกนเป็นคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ ไม่ใช่ผม หมอนั่นจะทำยังไง

“ก็… อย่างที่ฉันบอกนายไปล่ะนะ โลแกน” จาฟาร์เริ่มต้นอีกครั้ง ยกขาขึ้นไขว่ห้างพร้อมกับเอนตัวลงพิงพนักเบาะ สองมือก่ายอยู่บนนั้น “พี่น้องรอยล์น่ะ… เขาไม่ชอบให้ใครมายุ่มย่ามกับถิ่นของเขาเท่าไร แล้วพวกเขาก็ไม่ค่อยชอบตำรวจด้วย แต่ก็อย่างว่านะ จะมีใครสักกี่คนในประเทศนี้ชอบพวกคนในเครื่องแบบ พวกนั้นมันห่วยแตกสิ้นดี”

พี่น้องรอยล์เหรอ… พี่น้องรอยล์ไหนอีกวะ โอ๊ย ตาย… อย่าบอกนะว่าเป็นกลุ่มมาเฟียหรือพวกผู้มีอิทธิพลอะไรทำนองนั้น นี่โลแกนมันเอาตัวเองมาพัวพันกับอะไรบ้างเนี่ย?

“แต่ก็นะ คอลลินส์ เราเองก็รู้ดีว่าตัวนายเองก็มีศักยภาพมากแค่ไหน” จาฟาร์พูดต่อ แม้น้ำเสียงจะดูไม่ค่อยเต็มใจที่ต้องพูดแบบนั้นออกมาเท่าไรก็ตามที “เพราะงั้น… ถ้าเกิดว่าทางเราสามารถประนีประนอมกันได้เนี่ย มันคงจะเป็นการดีกว่าระหว่างพวกเราทั้งสองฝ่ายใช่ไหม? จะได้ไม่มีการนองเลือด ไม่มีใครต้องเจ็บตัว… แม้แต่พี่ชายฝาแฝดของนายก็จะได้อยู่อย่างปลอดภัยในโลกของเขา”

คราวนี้มีการเอ่ยถึงผมแล้ว… และนั่นทำให้ผมใจเต้นตึกตักขึ้นมาทันที มือทั้งสองข้างเริ่มชื้นไปด้วยเหงื่อ หากพยายามเรียบเรียงคำพูดไปว่า

“ลูคัสไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้” ว่ากันตามตรงนะ ผมชักจะคิดอะไรไม่ออก… แล้วไอ้คนพวกนี้คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน คิดจะแหยมกับน้องชายของผมเหรอ ไม่รู้อะไรซะแล้ว… “นายไม่รู้หรอกว่ากำลังเล่นอยู่กับใคร”

อย่างน้อยนั่นก็เป็นสิ่งที่ผมคิดจริงๆ ล่ะนะ

จาฟาร์ตาวาวขึ้นมาทันที จากนั้นเจ้าตัวก็ตะครุบมือวางบนเข่าของผมอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ผมต้องควบคุมตัวเองอย่างมากไม่ให้เผลอสะดุ้ง วินาทีที่ฝ่ามือเย็นเฉียบนั่นสัมผัสลงมา ผมคิดว่าเขาชายคนนี้จะหักขาผมซะแล้ว เจ้าตัวค่อยๆ โน้มหน้าต่ำลงมาหาผม จากนั้นก็กระซิบด้วยน้ำเสียงข่มขู่อย่างชัดเจน

“นายอาจจะเก่งจริงนะ โลแกน คอลลินส์” เสียงนั้นพูด และมันทำให้ผมเกือบหยุดหายใจ “แต่ผิวหนังของนายไม่ได้ทำมาจากเหล็ก ระวังตัวไว้ให้ดีเถอะ ถ้าไม่มองหน้ามองหลังดีๆ ลูกตะกั่วอาจจะฝังเข้าไปอยู่ในหัวนายโดยไม่รู้ตัว”

ผมลอบกลืนน้ำลายลงคอ รู้สึกเสียวสันหวังวาบขึ้นมาทันที

จาฟาร์สั่งให้คนขับรถวนรถกลับมาที่เก่า เป็นการพูดคุยกันไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำบนท้องถนน แต่ผมไม่ขอเรียกสิ่งนี้ว่าการพูดคุยดีกว่า มันคือการข่มขู่ชัดๆ

ไอ้ฟันทองนี่ค่อยๆ เลื่อนมือออกจากเข่าผม หากเลื่อนมาจับคางผม หันหน้าขึ้นไปให้ผมสบตากับมันตรงๆ จากนั้นจาฟาร์ก็แสยะยิ้มน่าขนลุกออกมา

“นายรู้อะไรไหม หน้านายเนี่ย เหมือนกับพี่ชายฝาแฝดของนายไม่มีผิดเพี้ยนเลยว่ะ ไอ้หนูโลแกน”

ผมปัดมือของมันออกด้วยความขยะแขยง รู้สึกได้เลยว่าหน้าซีดลงนิดหนึ่ง แต่ผมต้องพยายามไม่แสดงออกมาให้คนข้างตัวเห็น ไม่อย่างนั้นพวกมันจะได้ใจไปมากกว่านี้แน่ จาฟาร์หัวเราะหึๆ ออกมา จากนั้นก็พูด

“พี่นายที่เล่นเปียโนน่ะ… เก่งใช้ได้เลยนะ ขอเดาว่าเขาคงไม่รู้จักโลกที่นายอยู่ในตอนนี้ล่ะสิ”

อ้อ รู้จักสิ รู้จักแบบกระจ่างแจ้งแดงแจ๋เลยด้วย

ว่าแต่ทำไมไอ้พวกนี้มันถึงได้มั่นใจนักว่าผมเป็นโลแกน ทั้งๆ ที่ก็รู้อยู่ว่า…

อ้อ… ใช่ วันนี้ผมแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าตามสไตล์ของโลแกนนี่หว่า เพราะว่ามีอัดวิดีโอต่อจากนี้ ไอ้หมอนี่ถึงได้คิดว่าผมเป็นโลแกนสินะ บ้าชิบเลย

“รู้อะไรไหม โลแกน” จาฟาร์พูดปิดท้ายขณะที่ตัวรถค่อยๆ ลดความเร็วลง “นิ้วของพี่นายน่ะ สวยดีนะ บางทีเจ้านายฉันอาจจะอยากได้เก็บเป็นคอลเลคชั่นของสะสมของคนดังอะไรแบบนั้น”

ผมตัวชาวาบ มือทั้งสองข้างกำเข้าหากันอย่างเผลอตัวทันที ในชีวิตนี้ อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับนิ้วอีกแล้ว และคนข้างตัวก็กำลังขู่ว่าจะตัดนิ้วผมถ้าเกิดโลแกนไม่ยอมให้ความร่วมมือกับไอ้คนพวกนี้ดีๆ…

“เอาเป็นว่า ลองเอาข้อเสนอของพวกเราไปคิดดูนะ” จาฟาร์ยกยิ้ม ปล่อยให้ผมเปิดประตูลงจากรถแล้วโบกมือให้อย่างเริงร่า

ผมยกมือข้างหนึ่งของตัวเองไปกุมมืออีกข้างหนึ่งทันทีที่เดินกลับมาอยู่ที่ป้ายรถเมล์อีกครั้งหนึ่ง รู้สึกได้เลยว่าเนื้อตัวสั่นเทาขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว

จริงๆ แล้วผมแอบสงสัย… บางทีจาฟาร์อาจจะรู้อยู่แล้วก็ได้ว่าผมคือลูคัส มันจะต่างกันตรงไหนถ้าเขาสามารถทำให้โลแกนให้ความร่วมมือด้วย จะลากตัวใครไปข่มขู่ก็ไม่ได้แตกต่างกันมากมายเท่าไรนัก

ผมล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกง หยิบโทรศัพท์ที่มีปลายสายถือค้างเอาไว้อยู่ ผมยกมันขึ้นมาทาบหูแล้วกรอกเสียงสั่นเทาลงไปทันที

“...โลแกน”

“นายรออยู่ตรงนั้น อย่าขยับไปไหน เดี๋ยวฉันจะไปหา”

คำพูดนั่นช่วยให้ผมใจชื้นขึ้นมาได้หน่อยหนึ่ง แต่ก็หยุดอาการเสียวสันหวังวาบๆ นี่ไม่ได้อยู่ดี






---------------------------------------------
Talk: ทำไมลูคัสแม่งมีศึกหลายด้านจังวะ....  นายจะมีชีวิตต่อไปจนจบเรื่องไหมเนี่ย 5555555

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
โลแกน คุ้มครองลูคัส ได้แน่ๆ  :z6: :z6: :z6:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด