My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด[จบแล้ว][Updateเรื่องรวมเล่ม]P.7
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด[จบแล้ว][Updateเรื่องรวมเล่ม]P.7  (อ่าน 70144 ครั้ง)

ออฟไลน์ shoky_9

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
สนุกดีอ่ะ เริ่มมีศัตรูเข้ามาเยอะขึ้นละ ดูซิโลแกนจะทำไงนะ  :katai1:

ออฟไลน์ angel_Z4

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 783
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
เอาละเหวย โลแกน!เขาจะเอา(นิ้ว)เมียะ อุ๊ป!! ลูคัสไปแล้วนะเว้ยย

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3


บทที่ 26

(Mode: Lucas Collins)



เสียงของหมัดหนักๆ ที่กระทบลงบนกระสอบทรายที่ถูกแขวนอยู่กับเพาดานด้านบนดังขึ้น จากนั้นเศษฝุ่นบางส่วนก็ฟุ้งกระจายออกมา ผมเหม่อมองบุรุษที่มีใบหน้าแบบเดียวกับผมทุกประการอย่างคนไม่มีอะไรจะทำ นั่งขุดคู้พิงอยู่กับผนังด้านหลังราวกับเด็กที่เสียขวัญ และดูเหมือนโลแกนจะเอือมระอากับท่าทางปอดแหกแบบนี้ของผมเต็มกลืน นี่ดูจากสีหน้ามันนะ แต่เจ้าตัวก็ยังข่มใจไม่พูดออกมาตรงๆ ตอนนี้

“สรุปก็คือ” โลแกนพยายามเรียบเรียงขณะเสยหมัดฮุกไปทางซ้ายทีหนึ่ง “คนที่ชื่อจาฟาร์มาหานาย จากนั้นก็พานายไปนั่งรถเล่น แล้วก็คุยอะไรด้วยนิดๆ หน่อยๆ งั้นสิ”

“นายรู้จักมันใช่ไหม” ผมถามกลับ เสียงพลั่กที่ดังมาจากหมัดของไอ้หมอนี่ทำให้ผมรู้สึกเจ็บมือแทนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เสียงเหมือนกระดูกจะหัก แต่แน่นอนล่ะว่าไอ้เด็กนรกนี่ไม่มีทางปล่อยให้ตัวเองไปตกอยู่ในสภาพแบบนั้นเพียงแค่ต่อยกระสอบทรายอยู่แล้ว

สถานที่ในการฝึกที่เราอยู่ในตอนนี้ก็คือ… ห้องใต้หลังคอของบ้านเรานั่นเอง ถึงแม้ว่าบ้านของเราจะไม่ได้ใหญ่อะไรมากมายแต่ก็มีพื้นที่ใช้สอยเยอะพอสมควร และโลแกนก็ยึดที่นี่เป็นที่ฝึกวิชาของมันมาตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแล้ว แถมบางครั้งบางคราวยังลากผมมาฝึกกับมันด้วย แต่ผมฝีมือไม่ได้เท่าขี้เล็บของมันหรอก

“เคยได้ยินชื่อ” โลแกนว่า จากนั้นก็รัวหมัดเข้าใส่กระสอบทรายสีแดงอีกระลอก “แต่ฉันนึกว่าหมอนั่นทำงานอยู่แถวมิดเวสต์ซะอีก แล้วก็คิดว่าไม่มีสังกัด… ยังแปลกใจอยู่เลยว่ามาร่วมกับพี่น้องรอยล์ได้ไง”

“พี่น้องรอยล์คือใคร”

“มาเฟียที่ทรงอิทธิพลที่สุดในย่านนี้” เจ้าตัวตอบหน้าตาเฉย ในขณะที่ผมเริ่มวาดมือออกไปข้างตัวอย่างไม่อยากจะเชื่อ นี่ไอ้น้องชายบ้าๆ ของผมมาเกี่ยวพันกับไอ้พวกนี้ได้ยังไงเนี่ย

“มันต้องการอะไรจากนาย”

“ก็แค่เรื่องยาน่ะ ลูคัส” เจ้าตัวพยายามอธิบาย จากนั้นก็ค่อยๆ ลดจังหวะและความเร็วในการปล่อยหมัดลง แม้ว่าเจ้าตัวจะฝึกอยู่ตรงนี้มาเป็นเวลาร่วมชั่วโมงแล้ว แต่เหงื่อก็ยังไม่มีให้เห็นซักหยด หมอนี่นี่มันปีศาจชัดๆ “ฉันไปแหยมถิ่นมัน เอาตัวคนของมันเข้าคุกไป แถมเกือบจะซัดทอดไปโดนมัน ก็เป็นปกติแหละที่คนระดับใหญ่โตขนาดนั้นต้องกำจัดเสี้ยนหนาม”

“นายทำงานให้พวกตำรวจไม่ใช่เหรอ” ผมพยายามหาทางออกตามแบบฉบับคนทั่วไป “รายงานให้หัวหน้านายรู้สิ หาทางทำอะไรสักอย่าง นี่เรากำลังโดนข่มขู่อยู่นะ”

“เราจะทำแบบนั้นก็ได้” โลแกนว่า จากนั้นก็ผละออกจากกระสอบทรายนั่น เดินไปหยิบเบาะทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขึ้นมาโยนให้ผม เป็นเชิงขอให้ผมช่วยฝึกให้ “แต่พวกคนระดับบิ๊กๆ จริงๆ ก็พวกมันหมดแหละ ยัดเงินน่ะ หรือต่อให้ไม่ใช่พวกมัน ก็หาหลักฐานดีๆ มามัดพวกมันยาก นายคิดว่าคนพวกนี้มันอยู่มาได้นานแบบนี้ได้ยังไงล่ะ”

ผมทำเสียงในลำคอนิดหนึ่งอย่างไม่ค่อยพอใจ ก่อนจะหยิบเบาะที่ว่าขึ้นมา แยกขาออกจากกันเล็กน้อยแล้วจับเบาะที่ว่าชูขึ้นเพื่อให้คนตรงหน้าประเคนหมัดและลูกเตะเข้ามา อันที่จริงการจะทำแบบนี้ หากคุณไม่มีประสบการณ์มาก่อนก็ค่อนข้างอันตรายเหมือนกัน แต่โลแกนฝึกผมมานานแล้ว เพื่อให้ผมเป็นคู่ซ้อมให้ตัวเอง

“แล้วเราจะทำยังไง” ผมเอ่ยถามต่อ กัดฟันนิดหนึ่งเมื่อหมัดหนักๆ กระทบลงมาบนเบาะที่ยึดเอาไว้ ไอ้หมอนี่หมัดแม่งหนักขึ้นทุกวันๆ “ปล่อยให้ฉันโดนฆ่าก่อนดีไหม ถึงตอนนั้นค่อยมาหาวิธีจัดการ”

“เฮ้ อย่ารวนใส่ฉันได้ไหม” โลแกนขมวดคิ้วมุ่นขึ้นอย่างไม่พอใจบ้าง “ฉันขอโทษก็แล้วกันที่ทำให้นายโดนเข้าใจผิดแล้วต้องติดร่างแหมาด้วย แต่ฉันไม่ใช่คนที่เอาปืนจ่อนายนะ เข้าใจใหม่ด้วย”

“งั้นนายก็หาวิธีจัดการสิ”

“อืม… พูดง่ายสิ” โลแกนว่าด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ร้อนจริงจังนัก และนั่นทำให้ผมรู้สึกเดือดปุดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

“นี่” ผมพูดอย่างข่มอารมณ์ ชะงักไปหน่อยหนึ่งเพราะโลแกนใส่หมัดเข้ามาอีกรอบ “ไอ้หมอนั่นมันเพิ่งขู่จะตัดนิ้วฉันนะ นายก็ได้ยินไม่ใช่หรือไง?”

“ใจเย็นๆ สิพี่ชาย” โลแกนว่า สีหน้าครุ่นคิดขึ้นมานิดหนึ่ง “คนจำพวกนั้นน่ะ มันก็ชอบขู่ไว้ก่อนให้นายขวัญหนีดีฝ่อแบบนี้ ถ้านายไปเต้นตามคำพูดมัน ก็ยิ่งเข้าทางพวกนั้นพอดีสิ”

“แล้วนายจะทำยังไง”

“คนพวกนั้นบอกให้ฉันรามือใช่ไหม”

“ใช่”

น้องชายผมพยักหน้าเนิบๆ คว้าเอาเบาะออกไปจากมือผมแล้วเริ่มเป็นฝ่ายที่ชูขึ้นมาแทน ผมขมวดคิ้วมุ่นทันที

“ช่วงนี้ไม่อยากใช้มือ นายก็รู้ ฉันต้องไปเล่นให้พวกคณะกรรมการดู”

“ไม่อยากใช้มือก็ใช้ขา” โลแกนว่า ขมวดคิ้วมุ่นขึ้นด้วยความไม่พอใจเช่นกัน “แล้วขอที ลูคัส นายไม่ได้เป็นง่อยนะ ทำอย่างกับตัวเองชกไม่เป็นไปได้ แล้วอีกอย่าง ระหว่างเสียมือกับเสียชีวิต นายจะเลือกแบบไหนฮะ เอ้า เตะมาได้แล้ว”

ผมเลยฉลองศรัทธาด้วยการยกขาขึ้นฟาดเบาะในตำแหน่งที่เจ้าตัวถือค้างเอาไว้อยู่แรงๆ ทีหนึ่ง แต่แน่ล่ะว่าความแรงนั้นไม่ได้ทำให้โลแกนสะเทือนเลยสักนิด เจ้าตัวขยับมือ เปลี่ยนตำแหน่งอย่างรวดเร็ว ปากก็ว่าต่อ

“แต่จริงๆ พวกมันขู่มาแบบนี้ ถ้าผมรามือไปสักระยะพวกมันก็คงเลิกยุ่งไปเอง”

“จริงเหรอ” ผมถามอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อ กลัวแต่ว่าคำว่ารามือของวงการนี้คือตายสถานเดียวอะไรเทือกนั้น

“อืม ก็นะ ผมปิดคดีของส่วนตัวเองไปแล้ว คงไม่ต้องไปยุ่งกับพวกมันอีกหรอก”

“แน่ใจเหรอว่าพวกมาเฟียจะปล่อยนายไว้? ง่ายๆ แบบนั้นน่ะนะ?”

โลแกนยกยิ้ม เป็นยิ้มที่ถือตัวและบ่งบอกความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม แล้วอยู่ๆ เจ้าตัวก็โยนเบาะที่ผมกำลังเล็งตำแหน่งฟาดหน้าแข้งลงไปอีกมุม ทำเอาจังหวะเสียไปหมด

ระหว่างที่ผมกำลังจะล้มเพราะตั้งท่าไม่ทัน โลแกนก็เอื้อมมือมาคว้าข้อขาผมหมับ จากนั้นก็เหวี่ยงตัวผมให้กระเด็นไปที่เบาะรองด้านหลัง ไอ้บ้าเอ๊ย… คิดว่าตัวเองแรงน้อยนักรึไง ฮะ?

“ฉันเองก็สร้างชื่อเสียงไว้ไม่น้อยหรอก ลู” เจ้าตัวว่า สาวเท้าเข้ามาหาผมที่ยังทรงตัวลุกขึ้นไม่ได้ จากนั้นก็ทรุดตัวลงมาแล้วขึ้นคร่อมอย่างรวดเร็ว ผมหรี่ตาลงมองมันอย่างไม่ไว้ใจทันที เวลาเราซ้อมกันแบบนี้ห้ามตายใจเด็ดขาด หมอนี่ชอบหาลูกเล่นมาแกล้งผมแล้วก็ทำร้ายร่างผมอยู่เรื่อย

“ชื่อเสียงนายอาจจะใช้ได้ผลกับเด็กมัธยมนะ ไอ้น้อง” ผมว่า ตามองการเคลื่อนไหวของคนตรงหน้าอย่างระมัดระวัง “แต่กับคนระดับบิ๊กๆ แล้ว… ไม่แน่ใจเลยว่ะ”

“จาฟาร์เหรอ” อยู่ๆ โลแกนก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าครุ่นคิด จากนั้นก็ฮุกหมัดหนึ่งมาตรงหน้าผม ซึ่งถ้าผมไม่ขยับหลบอย่างรวดเร็วมันอาจจะกระแทกไปเต็มๆ ก็ได้แล้ว “หมอนี่น่ะตัวปัญหา แต่ถ้ามันอยู่ใต้อาณัติของไอ้สองพี่น้องนั่นก็คงโอเค”

“ไอ้โลแกน!!!” ผมด่ามันไปทีหนึ่ง ถึงจะรู้ว่าถ้ามันคิดจะต่อยผมจริงๆ ยังไงผมก็หลบไม่ทันก็ตาม… แต่นี่อยู่ๆ แม่งใส่หมัดมาแบบนี้ ไอ้บ้าเอ๊ย นี่ผมต้องเจอทั้งศึกในศึกนอกเลยใช่ไหม?

“เอาเป็นว่าช่วงนี้เราอยู่ใกล้ๆ กันไว้หน่อยดีกว่า” โลแกนว่า แล้วอยู่ๆ มันก็เลื่อนมือมารวบข้อมือผมที่ไม่ทันตั้งตัวไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว ผมสะดุ้งเฮือก คิดไปว่าโดนสักหมัดแน่ๆ แต่คนด้านบนแค่เลื่อนใบหน้าลงมาแล้วประกบปากจูบผมเสียอย่างนั้น

“!!!” เฮ้ยยย ไอ้บ้า… ไม่ได้ดูมู้ดอะไรกันเลยใช่ไหม…

“เอาแบบให้เราตัวติดแน่นหนึบไปเลย” โลแกนว่า ขยับตัวขึ้นมาแล้วยกลิ้นเลียริมฝีปาก รอยยิ้มพึงพอใจปรากฏออกมาให้เห็น “หรือให้ฉันเข้าไปอยู่ในตัวนายเลยดีไหม จะได้ไม่มีใครกล้าแหยม”

“อะ… ไอ้…!” ผมร้องออกมาเพราะคิดคำด่าไม่ทัน จากนั้นไอ้น้องชายตัวแสบของผมก็ก้มหน้าลงแล้วปิดปากผมด้วยปากของมันอีกรอบ

“อื้อ…” ผมหลับตาลงแน่น ครางในลำคอเบาๆ จากนั้นก็เลื่อนมือไปโอบคอของคนตรงหน้าอย่างสมยอม ปล่อยให้โลแกนดันลิ้นร้อนเข้ามา กวาดเข้ามาในโพรงปาก ผมรู้สึกแย่กับตัวเองนิดหน่อยเพราะเหงื่อซึมออกมาตามบริเวณต่างๆ ของร่างกายจนเหนียวเหนอะไปหมด ทั้งๆ ที่ออกแรงไปได้แค่นิดเดียวแท้ๆ ในขณะที่ไอ้หมอนี่ออกแรงมาเป็นชั่วโมงๆ ยังมีสภาพเหมือนเดิมอยู่ได้

ผมชักคิดขึ้นมาจริงๆ แล้วสิว่าไอ้หมอนี่มันไม่ใช่คน

“นี่ โลแกน” ผมเรียกชื่อ ขณะที่คนตรงหน้าค่อยๆ ผละปลายลิ้นออกไปอย่างอ้อยอิ่ง

“อะไร” โลแกนรับคำก่อนจะไซร้ลงมาบนคอผม ทำเอาเสียววูบวาบไปหมด ให้ตาย… นี่เราจะคุยกันดีๆ แบบที่คนปกติทั่วไปเขาทำกันบ้างได้ไหมเนี่ย

“นายเคยคิดว่าตัวเองไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาทั่วไปบ้างไหม… อ๊ะ...”

โลแกนแตะลิ้นลงบนใบหูของผม ทำสีหน้าที่ไม่บ่งบอกอะไรนิดหนึ่งก่อนจะยกยิ้ม

“ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนธรรมดาอยู่แล้ว ลูคัส”

“เหรอ” ผมยกลิ้นเลียริมฝีปากบ้าง ไอ้น้องบ้านี่ชักจะเหิมเกริมไปแล้วนะ ต้องหาทางทำอะไรเป็นการโต้ตอบกลับไปบ้างแล้ว

และเพราะคิดแบบนั้น ผมเลยเลื่อนมือไปเกลี่ยหูของคนตรงหน้าเบาๆ บ้าง สำหรับคนอื่นผมไม่รู้หรอก แต่สำหรับผมแล้วมันเป็จุดอ่อนอย่างหนึ่งเลยล่ะ และบางทีมันอาจจะเป็นจุดอ่อนของไอ้หมอนี่ด้วย ผมเลยลองเสี่ยงดู

“ยังไงล่ะ?”

“ก็ผมเป็นเด็กที่นรกส่งมาเกิดไง” โลแกนว่า ไหวตัวนิดหนึ่งเมื่อปลายนิ้วผมเลื่อนไปโดนใบหูของมัน โอ้โหเฮะ สงสัยจะได้เจอจุดอ่อนมันก็วันนี้นี่แหละ

“เออ ไม่ต้องสงสัยเลย” ผมยกยิ้ม จากนั้นก็ขยับริมฝีปากไปครอบลงบนหูมันอย่างรวดเร็ว โลแกนสะดุ้งตัวเฮือกทันที และนั่นทำให้ผมเริ่มเข้าใจความรู้สึกของมันแล้วว่าทำไมถึงได้ชอบแกล้งผมนัก มันสนุกแบบนี้นี่เอง

“หนอย… ไอ้ลูคัส” เจ้าตัวแสบร้องโวยวาย จากนั้นก็พยายามดึงหน้าผมออกจากบริเวณหูของมัน ผมหลุดหัวเราะร่าออกมากับท่าทางฉุนๆ แบบไม่จริงจังของมัน ก่อนจะโดนไอ้คนตรงหน้าจับกดราบลงบนเบาะอีกรอบ

“เฮ้ย… โลแกน เดี๋ยวๆๆ ฉันขอ… โลแกน!!” ผมร้องจ๊ากออกมาแทบจะในทันทีเมื่ออีกฝ่ายพลิกเกม ขยับหน้าเข้ามาแล้วเริ่มจัดการงับหูผม ลากลิ้นไปทั่วบริเวณนั้นแล้วครอบเข้าไปในโพรงปาก ผมดิ้นอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่ายพักหนึ่งกว่าเจ้าตัวจะยอมผละออกแล้วหัวเราะด้วยเสียงที่ดังกว่า แถมยังฟังดูสะใจสุดๆ ไปเลยด้วย

ไอ้บ้าเอ๊ย! ฝากไว้ก่อนเถอะ!

“แล้วถ้าฉันบอกว่าฉันเป็นเด็กที่นรกส่งมาเกิดจริงๆ นายจะว่ายังไงล่ะ ลู” โลแกนว่าหลังจากที่เสียงหัวเราะของมันซาลง มือของมันเลื่อนลงมากดข้อมือผมที่ราบอยู่กับพื้นเบาะให้แนบชิดลงไป รอยยิ้มบางๆ ปรากฏอยู่ที่มุมปาก หากนัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยนั่นไม่มีร่องรอยขบขันเลย “นายจะกลัวฉันไหม หรือว่าจะรังเกียจกันรึเปล่า?”

“หา? พูดเรื่องบ้าอะไรของนายวะ” ผมถามกลับด้วยน้ำเสียงและสีหน้าไม่จริงจัง ถึงจะรู้สึกได้ถึงความจริงจังบางอย่างที่มาจากคนตรงหน้าก็เถอะ “ฉันก็อยู่กับเด็กนรกอย่างนายมาตั้งนานสองนาน อ้อ ไม่ใช่สิ อยู่มาตั้งแต่เกิดเลยด้วยซ้ำ แล้วอยู่ๆ นายมาถามแบบนี้ มันไม่แปลกไปหน่อยหรือไง?”

นัยน์ตาสีฟ้าของคนตรงหน้าผมเบิกกว้างขึ้นนิดหนึ่ง แล้วอยู่ๆ… อะไรบางอย่างก็ดลใจผมให้จินจนาการตอนที่หมอนี่มีดวงตาสีแดงแทนที่จะเป็นสีฟ้าอย่างในตอนนี้

จินตนาการเหรอ…? เหมือนมันเป็นภาพซ้อนมากกว่า แต่มันจะเป็นภาพซ้อนได้ยังไงล่ะในเมื่อผมไม่เคยเห็นหมอนี่ใส่คอนแทคเลนส์สีแดงหรืออะไรแบบนั้น…

โดยไม่รู้ตัว ผมเลื่อนมือไปสัมผัสบริเวณใกล้ตาของอีกฝ่ายอย่างเบามือราวกับต้องการจะพิสูจน์ ตาของโลแกนก็ยังเป็นสีฟ้าอยู่เหมือนเดิม แล้วมันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับดวงตาของผมเลยด้วย

โลแกนชะงักไปอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่เจ้าตัวจะส่งยิ้มที่ไร้ความหมายใดๆ มาให้ผม จากนั้นเจ้าตัวก็หลุดคำถามออกมาง่ายๆ หากเป็นคำถามที่ผมไม่คาดคิดว่าจะได้ยิน

“แล้วถ้าฉันบอกว่าฉันเป็นคนที่ฆ่าผู้ชายคนนั้น… คนที่ให้กำเนิดเรา นายจะยังพูดแบบนั้นอยู่รึเปล่าล่ะ? ลู”

คำพูดนั้นทำให้ผมเป็นฝ่ายที่ต้องเบิกตากว้างขึ้นในครั้งนี้

เมื่อกี้ไอ้หมอนี่มันพูดว่าอะไรนะ?






------------------------------------
Talk: เอาล่ะสิ... ลูคัสจะว่ายังไงล่ะเนี่ยยยย

ออฟไลน์ zonpine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
ค้างงงงงงงงงงงงงงงง
ค้างอย่างแรง!!!
ทำไมทำกับเราแบบนี้คะ
มาต่อเดี๋ยวนี้เลย55555
เป็นกำลังใจนะคะ สู้ๆค่ะชอบมากๆเลย

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ค้างงงงง.......ค้างเจงๆ  :ling1: :ling1: :ling1:

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3


บทที่ 27

(Mode: Lucas Collins)




ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะคิดกับเรื่องที่เพิ่งได้ยินมายังไงดี

นัยน์ตาสีฟ้าคู่คมของโลแกนยังคงจับจ้องมาที่ผมอย่างค้นคว้า ไม่มีร่องรอยอะไรบ่งบอกเลยว่าเจ้าตัวกำลังพูดเล่นอยู่แม้แต่นิดเดียว

วูบหนึ่ง ผมรู้สึกกลัว… เหมือนกับว่าผมไม่เคยรู้จักคนตรงหน้ามาก่อนอย่างไรอย่างนั้น มันเป็นความรู้สึกที่บรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ ราวกับว่าผมได้มองเห็นอีกมุมของน้องชายฝาแฝดของตัวเองอย่างไรอย่างนั้น

แต่วูบถัดมา เมื่อสติค่อยๆ พัดหวนคืน ความสมเหตุสมผลของอะไรหลายๆ อย่างก็ย้อนกลับเข้ามาย้ำเตือนผม

อันดับแรกเลยก็คือ… ผมเคยเห็นโลแกนฆ่าคนมาแล้วต่อหน้าต่อตา สองคนพร้อมๆ กัน และน้องชายตัวดีของผมก็ไม่มีอาการลังเลใดๆ เลยทั้งนั้น ทั้งท่ายืนที่สงบนิ่ง การกระชับปืนในมือที่บ่งบอกว่าเชี่ยวชาญ ทุกๆ อย่างในนั้นบอกได้เลยว่านั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่โลแกนฆ่าคน และก็คงไม่ใช่ครั้งสุดท้าย มันสงบ เยือกเย็น และน่ากลัวไปพร้อมๆ กัน

แต่ก็อีกนั่นแหละ ถ้าให้มาคิดถึงมันตอนนี้ มันก็เป็นเรื่องที่เก่าไปแล้ว ผมเห็นตัวตนด้านนั้นของมันมา และผมก็รับมันได้ ผมยังคงอยู่ในชีวิตมัน สนิทกันมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะงั้นถ้าในอดีตหมอนี่จะฆ่าใครอีกสักคนสองคนก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอีกต่อไปแล้ว

อันดับที่สอง… พอลองมานึกย้อนดูเหตุการณ์ในวันนั้นดีๆ วันที่ทุกอย่างเกิดขึ้นและเหมือนยังชัดเจนอยู่ในหัวของผม แต่ในขณะเดียวกันก็มีส่วนที่ขาดหายไปราวกับวิดีโอเทปตกร่อง และถ้าเอาสิ่งที่โลแกนพูดมาลองเสริมเข้าไปดู ทุกอย่างมันก็ลงล็อคพอดี

มันต้องมีใครสักคนนั่นแหละที่ฆ่าพ่อผู้ให้กำเนิดพวกเรา ผมเคยคิดว่าอาจจะเป็นคุณแม่… แต่มันก็ไม่สมเหตุสมผลตรงที่ว่า ท่านน่ะ ล้มลงไปก่อนหน้านั้นเพราะผู้ชายคนนั้นเอามีดแทงท่านไปก่อนแล้ว เพราะงั้นไม่มีทางที่ท่านจะลุกขึ้นมาเพื่อจัดการชายหนุ่มคนนั้นได้

เพราะงั้น… ก็เหลืออยู่แค่คนเดียว

“นายคือคนที่ฆ่าคุณพ่องั้นเหรอ” ผมถาม เหมือนถามขึ้นมาลอยๆ เป็นเชิงพูดกับตัวเองมากกว่าจะหวังคำตอบจริงจัง หากโลแกนขยับตัว สีหน้าจริงจัง มุมปากยกยิ้มขึ้นนิดหนึ่ง

“ใช่แล้ว ผมเองแหละที่ฆ่าคุณพ่อ”

“นายอยากให้ฉันพูดยังไงกับเรื่องนี้ล่ะ”

“แค่บอกฉันมาก็พอว่าว่าเรื่องนี้ทำให้นายเกลียดฉันรึเปล่า”

ผมแสร้งทำหน้าครุ่นคิด ก่อนจะถามเหมือนหยั่งเชิง

“แล้วถ้าฉันบอกว่าเกลียด… นายจะทำยังไงล่ะ โลแกน จะปล่อยฉันไปเหรอ? หรือว่าจะหายไปจากชีวิตฉันทั้งๆ อย่างนี้?”

มือแกร่งเลื่อนลงมือยึดคางผมด้วยแรงที่มากขึ้น รอยยิ้มงี่เง่าที่ไม่มีความหมายใดๆ เลือนหายไปจากใบหน้า นัยน์ตาสีฟ้าคู่คมจับจ้องลงมาที่หน้าผมนิ่ง บรรยากาศรอบตัวเย็นลงจนผมรู้สึกได้

“ไม่หรอก ลู ฉันไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก”

ผมนิ่งเงียบ ตายังจ้องแฝดของตัวเองไม่กระพริบ สงสัยว่านี่เป็นแค่การแสดงหรือสิ่งที่ออกมาใจจริงของหมอนี่จริงๆ

“แต่ฉันจะจับนายล่ามไว้ในห้อง ขังนายเอาไว้แบบนั้นไม่ให้นายหนีฉันไปไหน” เจ้าตัวว่าพลางเลื่อนมือต่ำลงมาตรงบริเวณอกของผม ใบหน้าเลื่อนลงมาชิดจนหน้าผากสัมผัสกัน “ถ้าทำแบบนั้น… ต่อให้นายจะกลัวฉันหรือว่ารังเกียจฉัน นายก็หนีจากฉันไปไหนไม่ได้ใช่ไหมล่ะ”

“หืม” ผมแกล้งลากเสียงยาว จากนั้นก็กระตุกยิ้มบนมุมปากขึ้นอย่างท้าทาย “น่ากลัวจัง โลแกน นายจะทำกับฉันขนาดนั้นเลยเหรอ”

“ก็ถ้านายบอกว่านายเกลียดฉันน่ะนะ”

“แต่ถ้าทำแบบนั้น ฉันก็ยิ่งเกลียดนายเข้าไปใหญ่น่ะสิ?”

ในที่สุดเจ้าตัวดีก็ผละออกจากตัวผม เจ้าตัวลุกขึ้นยืนก่อนจะยักไหล่ทีหนึ่ง สีหน้ากลับมาเป็นปกติตามเดิม

“ก็พูดไปนั่น ถึงยังไงนายก็ไม่มีทางเกลียดฉันได้อยู่แล้ว ลูคัส เรื่องนั้นฉันรู้ดี เพราะงั้นฉันก็ถามไปอย่างนั้นเองนั่นแหละ”

“หา??” ยังถ่อมตัวไม่เปลี่ยนเลย ไอ้น้องชายของผมคนนี้ “ไอ้คนหลงตัวเองเอ๊ย… นายนี่น่าจะเพลาๆ ลงหน่อยนะ ไอ้นิสัยแบบนี้น่ะ”

“ก็มีดีให้หลงนี่” โลแกนว่าพร้อมกับส่งยิ้มเผล่มาให้ ทำเอาผมต้องส่ายหน้ายิ้มๆ เหมือนเอือม โลแกนยื่นมือออกมาเพื่อช่วยพยุงให้ผมลุกขึ้น ผมจึงเอื้อมมือไปจับมือของหมอนั่นอย่างว่าง่าย แล้วค่อยๆ ประคองตัวเองให้ลุกขึ้นมายืนบนพื้น

“แต่ฉันไม่รังเกียจหรอกนะ” ผมพูดขึ้นด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่จริงจังขึ้นนิดหนึ่ง “อันที่จริง… พอนายพูดออกมา ทุกอย่างก็ดูสมเหตุสมผลไปหมด ฉันหมายถึง… ผู้ชายคนนั้นไม่มีทางเอามีดแทงตัวเองตายได้อยู่แล้ว ถูกไหม เพราะงั้นก็ต้องมีใครบางคนฆ่าเขา… หรือไม่ก็ต้องมีอุบัติเหตุ เหตุสุดวิสัยที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนั้น ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ตาม แต่ฉันคิดว่าทุกอย่างมันออกมาในรูปแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว”

คราวนี้โลแกนหันกลับมามองผมด้วยสายตาแปลกใจจริงๆ

“ผิดคาดแฮะ”

“อะไร”

“ฉันนึกว่านายจะโวยวายกว่านี้ หรือไม่ก็ช็อกกว่านี้เสียอีก”

ผมยักไหล่กลับไปให้มันทีหนึ่ง

“ตอนนั้นผู้ชายคนนั้นพยายามจะทำร้ายพวกเราใช่ไหม” ผมพูด ยังนึกทุกอย่างไม่ออกหรอก แต่จำได้รางๆ ตอนที่คนคนนั้นลงมือทำร้ายร่างกายพวกเรา ผมจำได้ตอนที่เขายกมือบีบคอโลแกนที่ตอนนั้นไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าเด็กหกขวบเท่านั้นด้วยซ้ำ “เพราะงั้นบางที… ถ้าเกิดว่านายไม่ได้ทำให้เขาตายตอนนั้น คนที่ต้องตายอาจเป็นพวกเราสองคนแทนก็ได้”

โลแกนยกยิ้มอย่างพึงพอใจทันที

“ในที่สุดนายก็เริ่มฉลาดขึ้นมาสักทีนะ พี่ชาย”

….ยัง ยังไม่เลิกกวนประสาท มันน่าถีบสักทีไหม!!









หลังจากวันนั้นมาไอ้น้องชายจอมกวนประสาทของผมก็แทบจะตามติดตูดผมไปทุกที่จริงๆ เริ่มจากการไปซ้อมเปียโนแล้วก็อัดวิดีโอกับปีเตอร์ (เพื่อนผมแทบจะกรี๊ดแตกตอนเห็นพวกเราทั้งคู่ไปด้วยกัน) หรือแม้กระทั่งไปเล่นเปียโนต่อหน้าคณะกรรมการที่ตัดสินใจว่าจะให้ทุนผมหรือไม่ในรอบสุดท้าย และจนแล้วจนรอดผมก็ได้ที่เรียนในระดับวิทยาลัยเรียบร้อยโดยที่ยังมีชีวิตอยู่ แทบอยากจะกราบขอบคุณพระเจ้าขึ้นมากันไปข้างเลยทีเดียว

“ดีนะที่วิทยาลัยที่ฉันอยากไปอยู่ไม่ไกลจากบ้านมาก” ผมพูดอย่างอารมณ์ดีขณะที่นั่งอยู่บนเบาะข้างที่นั่งคนขับ ส่งยิ้มให้โลแกนที่ทำหน้าที่เป็นคนขับรถตลอด ก็นะ เจ้าตัวมันได้ใบขับขี่มาแล้วนี่ ก็ต้องใช้ให้คุ้มหน่อย “แล้วนายล่ะ โลแกน ตกลงนายจะทำยังไงกับอนาคตตัวเองต่อ เออ แต่นายทำงานกับพวกตำรวจอยู่แล้วนี่? งั้นก็คงไม่มีอะไรน่ากังวลแล้วมั้ง ยังไงนายก็ได้เรียน… ได้ทำงานที่อยากทำอยู่แล้ว”

เจ้าตัวยกยิ้มบนมุมปากนิดหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากออกด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ แต่ทำเอาคนฟังอย่างผมหยุดชะงักไปได้เหมือนกัน

“แต่ฉันต้องย้ายไปอยู่ที่อื่นนะ”

“หะ?” ผมพูดอย่างแปลกใจ หันขวับไปมองหน้าคนข้างตัวเหมือนไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “นายว่าอะไรนะ”

“ผมบอกว่าผมต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น” โลแกนพูดทวน เริ่มขมวดคิ้วมุ่นขึ้นมานิดหนึ่งแล้วตอนนี้ “มันก็ไม่ได้ไกลจากที่นี่นักหรอก แต่ฉันต้องไปเข้ารับการฝึกแบบเป็นเรื่องเป็นราวกว่าที่ทำอยู่ทุกวันนี้หน่อย แล้วก็แบบ… พวกระเบียบการเรื่องเวลาต่างๆ อะไรงี้น่ะ ฉันต้องฝึกซ้อมมากขึ้น เพราะงั้นจะให้ขับรถไปกลับทุกวันคงไม่ไหว แถมเท่าที่ฟังมาแล้วอาจจะต้องถูกส่งตัวไปช่วยงานในที่ต่างๆ อีก เพราะงั้นคงต้องย้ายเข้าไปอยู่ที่หอที่ทางนู้นเขามีไว้ให้จริงๆ”

“เดี๋ยวๆๆๆๆ” ผมรียกมือห้ามคนข้างตัวทันทีอย่างตามไม่ทัน นี่ผมไม่เห็นรู้เรื่องที่น้องชายฝาแฝดของตัวเองจะย้ายออกเลย แล้วหมอนี่ก็ไม่เคยพูดเกริ่นสักนิด “ทำไมนายจะต้องย้ายไปอยู่ที่อื่นด้วยไม่ทราบ บ้านเราก็มี ที่ทำงาน… นายก็ไม่ได้อยู่ไกลไม่ใช่เหรอ ที่ผ่านมา นายก็ทำงานให้คนพวกนั้นมาตลอด”

“ฉันจะไม่ได้แค่ทำงานเป็นสายให้ตำรวจแบบมือสมัครเล่นอีกแล้ว ลู” โลแกนว่า ลอบถอนหายใจออกมา เท้าเหยียบเบรคเพราะสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีแดงพอดี “ฉันจะเข้าร่วมหน่วยเอฟบีไอน่ะ… แล้วมันก็ต้องผ่านการฝึกอะไรนิดหน่อย”

ผมอ้าปากค้าง มองน้องชายที่เคยเป็นที่โจษจันเรื่องไปมีเรื่องกับเด็กนักเรียนโรงเรียนอื่นหรือแม้กับเด็กนักเรียนในโรงเรียนเดียวได้ไม่เว้นแต่ละวันมาตลอดอย่างไม่อยากจะเชื่อ นี่คนอย่างหมอนี่จะได้เข้าหน่วยงานรัฐจริงๆ เหรอเนี่ย!? คนเถื่อนๆ อย่างหมอนี่เนี่ยนะ!?

“ทำหน้าแบบนั้นหมายความว่าไง” โลแกนแยกเขี้ยวให้ผมทีหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มออกรถอีกครั้งเมื่อไฟกลายเป็นสีเขียว “ฉันเองก็มีน้ำยาพอสมควรนะโว้ย ไม่ได้เป็นแค่ไอ้กุ๊ยข้างถนน”

“นายไม่เห็นเคยเล่าเรื่องพวกนี้ให้ฉันฟังเลย” ผมพูดเหมือนคราง ขนาดผมยังคอยเล่าความคืบหน้าเรื่องทุนต่างๆ ของตัวเองให้คนข้างตัวฟังเสมอแท้ๆ แต่ไอ้หมอนี่นี่อะไร ถ้าผมไม่พูดถึงก็ไม่คิดจะบอกกันเลยใช่ไหม “แล้วเรื่องย้ายบ้าน… นายจะไปอยู่ที่ไหน”

“ในตัวเมืองนิวยอร์กน่ะ”

“แล้วฉันล่ะ?” ผมถามออกไปเหมือนไม่อยากจะเชื่อ ถึงแม้ว่าพอหลุดปากออกไปแล้วจะรู้ตัวว่ามันฟังดูเอาแต่ใจตัวเองไปหน่อยก็ตามที

โลแกนชักสีหน้าลำบากใจนิดหนึ่ง จากนั้นก็ว่า

“ไม่ต้องห่วงหรอก ทางตำรวจจะส่งคนมาคอยดูแลนายอยู่เป็นระยะๆ ไอ้พวกพี่น้องรอยล์หรือจาฟาร์มาทำอะไรนายไม่ได้หรอก อีกอย่าง… ยังไงฉันก็จะกลับมาหานายเป็นระยะๆ อยู่แล้ว และถ้านายอยากเจอฉัน มาแค่นิวยอร์กก็ไม่ได้ไกลหรือยุ่งยากอะไร”

“แต่นายจะย้ายออก” ผมพูดย้ำคำเดิมด้วยน้ำเสียงผิดหวัง ผมก็รู้นะว่าไม่ควรทำแบบนั้น แต่เรื่องนี้ทำให้ผมรู้สึกหดหู่ขึ้นมาทันที กลบความยินดีเรื่องที่ผมได้เข้าเรียนอย่างเป็นทางการไปจนหมดสิ้น “นายจะทิ้งฉันไว้คนเดียวเหรอ”

“อย่าพูดแบบนั้นสิ” คนข้างตัวผมถอนหายใจออกมาอย่างอัดอั้นไม่แพ้กัน “ฉันแค่ต้องไปทำหน้าที่ของฉันก็เท่านั้น นี่เองก็เป็นความฝันของฉัน ความตั้งใจของฉัน และฉันก็ไม่ได้คิดจะทิ้งนายไปไหน”

คำอธิบายนั่นทำให้ผมต้องหุบปากของตัวเองลงทันที จริงสินะ ต่อให้ผมจะไม่อยากให้หมอนี่ย้ายออกไปแค่ไหน แต่ผมก็ไม่มีสิทธิ์อะไรจะไปขวางเส้นทางเดินของมัน ผมเองก็มีความฝันของตัวเอง โลแกนเองก็มีสิ่งที่อยากจะทำ เพราะงั้นไม่มีเหตุผลเลยที่ผมจะไปห้ามมันเพียงเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเอง

“...ฉันขอโทษนะ” โลแกนว่า ตายังคงมองตรงไปที่ถนน ผมส่ายหน้าให้มันน้อยๆ นี่ไม่ใช่เรื่องอะไรที่จะต้องมาขอโทษกัน

“แล้วนายจะย้ายออกไปเมื่อไหร่”

“สิ้นเดือนนี้”

“เตรียมของแล้วหรือยัง”

แฝดคนน้องของผมยิ้มออกมาได้นิดหนึ่ง “ฉันไม่จำเป็นต้องเอาอะไรไปมากหรอก ที่นั่นมีข้าวของให้ครบ เอาแค่เสื้อผ้ากับของใช้ไม่กี่อย่างไปก็พอแล้ว”

ผมพยักหน้ารับ ยังรู้สึกมึนๆ กับข่าวที่เพิ่งได้รับรู้นี้ จะอธิบายความรู้สึกนี้ออกมายังไงดีล่ะ เหมือนว่าผมกับโลแกนอยู่ด้วยกันมาตลอดตั้งแต่จำความได้ ในบ้านหลังนั้น… แล้วก็อยู่ด้วยกันมาเกือบจะยี่สิบปีอยู่แล้ว แต่อยู่ๆ เจ้าตัวก็มาพูดว่าจะย้ายออกแบบนี้… มันก็เลย… รู้สึกหวิวๆ นิดหน่อยล่ะมั้ง

“แต่นายจะกลับมาหาฉันบ่อยๆ ใช่ไหม”

“อื้ม” คนข้างตัวผมยิ้มร่า ก่อนจะพูดต่อไปว่า “และถ้านายเหงานะ ลู ฉันมีวิดีโอที่อัดไว้ตอนที่เรานอนด้วยกันตั้งเยอะ ถ้าคิดถึงฉันมากๆ จะเอาขึ้นมาดูแล้วช่วยตัวเอง ฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ”

“ไอ้ทุเรศ!!!” นี่คนกำลังเครียดๆ ใจหวิวๆ อยู่ ไอ้น้องนรกนี่ก็ไม่ได้ดูตาม้าตาเรืออะไรเลยทั้งนั้น

แล้วเดี๋ยวนะ… สรุปนี่แม่งถ่ายไว้จริงๆ ใช่ไหม! ถ่ายไว้จริงๆ สินะ!!

“เออ แต่เดี๋ยวขอฉันก็อปปี้เก็บไว้ชุดหนึ่งนะ” เจ้าตัวยังสามารถพูดเรื่องทุเรศๆ ออกมาได้หน้าตาเฉยต่อไป “จะเอาไปดูที่นู่นตอนนั่งสมาธิ นายคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม”

“ไม่ได้โว้ยยยยย!!” และนึกภาพ… ถ้าใครสักคนแม่งเข้าไปเห็นวิดีโอที่ว่า โอ๊ย… ไอ้ชิบหาย เมื่อไหร่น้องชายฝาแฝดของผมคนนี้จะมีสามัญสำนึกแบบคนปกติเขามีกันสักที!?

เออ ลืมไป มันไม่ใช่คนปกตินี่หว่า ก็มันเป็นคนที่โดนนรกส่งมาเกิด! มันจะไปมีได้ยังไงล่ะ ไอ้สามัญสำนึกแบบคนปกติที่ว่า!

“อย่าทำหน้าแบบนั้นดิ้” ไม่พูดเปล่า ไอ้ตัวแสบโน้มหน้าลงมาหอมแก้มผมเร็วๆ ทีหนึ่งอย่างเอาใจ “ระหว่างที่ผมยังไม่ย้ายออก เดี๋ยวพาไปเที่ยวเยอะๆ น้า แล้วก็นอนด้วยกันบ่อยๆ ด้วย พอผมย้ายออกไปแล้วจะได้ไม่คิดถึงกันมาก”

“ไม่!!!”

ไอ้รักไอ้หมอนี่มันก็รักอยู่นะครับ แต่เรื่องบางเรื่องของมันนี่… บางทีก็น่าตบกระโหลกหันไปข้างจริงๆ สักที

พวกเราสองคนนั่งเงียบกันไปครู่หนึ่ง จนกระทั่งโลแกนเลี้ยวตัวรถเข้ามาจอดตรงบริเวณหน้าบ้าน เจ้าตัวถึงได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนมากขึ้น

“ถ้านายอยากย้ายออกจากบ้านหลังนี้ แล้วไปหาห้องเช่า… หรือที่อื่นอยู่ ฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ”

ผมหันไปมองหน้าคนพูด รู้ทันทีว่าหมอนี่กำลังพูดถึงเรื่องอะไร คงจะหนีไม่พ้นเรื่องฝันร้ายของผม ที่ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีๆ ก็ยังเห็นภาพหลอนอยู่อย่างนั้น

ผมนิ่งคิดกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูด จริงอยู่ที่บ้านหลังนี้อาจจะมีเหตุการณ์แย่ๆ เกิดขึ้นถึงขนาดตามมาหลอกหลอนในยามค่ำคืน แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นบ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำระหว่างผมกับโลแกนไม่น้อยทีเดียว ผมโตกับหมอนี่ในบ้านหลังนี้มาตลอดทั้งชีวิต และตอนนี้… โลแกนก็กำลังจะทิ้งบ้านหลังนี้ไปแล้ว และจะให้ผมทิ้งมันไปอีกคนอย่างนั้นเหรอ?

“ไม่ล่ะ” ผมตอบอย่างคนที่ตัดสินใจแล้ว “ฉันจะอยู่ที่นี่แหละ”







---------------------------------
Talk: โลแกน.... นายจะทิ้งพี่ไปทั้งๆ แบบนี้ไม่ได้นะ ;_; แล้วถ้าพี่นายโดนเป่าดับขึ้นมาล่ะ!?

ออฟไลน์ shoky_9

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
ตัดฉับ  :ling1:

ออฟไลน์ mirage

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
ตามทันแล้ว เย้  :L2:
ต้องแยกกันเพราะอนาคตแล้ว สุดท้ายโลต้องกลับนรกจริงหรอ ลูก็เหลือคนเดียวสิ หรือจะยกสำมะโนครัวไปอยู่ด้วยกันนะ พวกพี่โลนี่เฮฮากันดีนะคะ เหมือนมีปมกับความรัก ท่านลูซิเฟอร์ด้วย
ดีใจจังเลย ชอบอ่านแนวนี้มาก และหาอ่านยากมากกกก

ติดตามค่า
ขอบคุณนะคะ
 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ zonpine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
งุ้ยยยยยยยยยยยยยยยย
ชอบตอนที่แฝดยียวนใส่กันจังฉากที่มีการสารภาพบาป(?555555)ดูจิตดี
เขาจะแยกกันแล้วเง้อ :mew2:
ชอบจังที่มาอัพทุกวันเลยน่าร้ากกกกกกก จริงๆก็แอบซุ่มดูไม่ค่อยได้เม้นท์(เลวมาก55)
แต่ตอนนี้ก็เริ่มเม้นท์แล้วนะ เป็นกำลังใจให้ตลอดนะคะ
ชอบเรื่องนี้จริงๆอย่าทิ้งกลางทางนะ :bye2:

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3


บทที่ 28

(Mode: Lucas Collins)






โลแกนพาผมตะลอนเที่ยวแบบเต็มที่จริงๆ ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนที่มันจะต้องย้ายไปอยู่ในตัวเมือง

เจ้าตัวพาผมไปทะเลเพราะผมเอ่ยปากชวนมันเมื่อคราวก่อน เราพักอยู่ในโรงแรมที่ถึงจะไม่ใช่แห่งที่ดีที่สุดแต่ก็สามารถมองเห็นวิวทะเลจากทางหน้าต่างของห้องพักได้

โลแกนพาผมไปกินร้านอาหารที่เราสามารถดื่มด่ำกับบรรยากาศของลมทะเลได้อย่างเต็มที่ และเมื่อเรากลับเข้าห้องพักแล้ว อาบน้ำ พักผ่อน ทำกิจกรรมสบายๆ อย่างนั่งดูทีวีด้วยกัน พูดคุยกันเรื่องเส้นทางในอนาคตต่อจากนี้ แล้วหลังจากนั้นก็พากันขึ้นเตียง

ผมปล่อยให้โลแกนดึงของผมแนบเข้าไปใกล้ตัวของมันมากขึ้น จากนั้นก็เคลื่อนเข้ามา ผมปล่อยให้ความรู้สึกวาบหวามนั่นแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ตาที่หลับแน่นทั้งสองข้างเพราะความรู้สึกเสียวซ่านค่อยๆ เปิดขึ้นอีกครั้ง

ตลกดีที่เห็นคนหน้าเหมือนตัวเองอยู่ตรงหน้าในเวลาที่กำลังทำอะไรแบบนี้ และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ… ดันมีอารมณ์ร่วมไปซะได้นี่สิ นี่แหละที่น่ากลัว

“อืม….” ผมครางออกมาเบาๆ ขณะที่โลแกนดันตัวเข้ามา ซุกหน้าลงบนซอกคอของผม ลมหายใจอุ่นๆ นั่นทำให้ผมรู้สึกวูบวาบขึ้นมาไปทั้งบริเวณ

คนด้านบนขบริมฝีปากลงมาบนซอกคอของผมด้วยความมันเขี้ยวแล้ว จากนั้นความปรารถนาทุกส่วนของร่างกายก็พุ่งสูงขึ้น ผมได้ยินเสียงหัวใจในอกเต้นตุบๆ จนมันดังเลยขึ้นมา สะท้อนอยู่ในหัวจนคิดอะไรไม่ออก แล้วความเสียวซ่านก็แล่นไปทั่วร่างในท้ายที่สุด

ผมได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ หลุดออกมาจากริมฝีปากคู่นั้นของคนด้านบนระหว่างที่เจ้าตัววางใบหน้าลงบนซอกคอของผม ตำแหน่งเดียวกับที่เจ้าตัวเพิ่งจะทิ้งรอยไว้ให้

“ขำอะไรเหรอ” ผมกระซิบถามขณะที่หอบหายใจออกมาเบาๆ และค่อนข้างถี่

โลแกนขยับตัวผุดลุกขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็ส่งยิ้มอ่อนโยนแบบที่นานๆ ทีมันจะทำสักครั้งมาให้ อะไรบางอย่างบอกผมมาแต่แรกแล้วว่าโลแกนไม่ยิ้มแบบนั้นให้ใครนอกจากผม มันเป็นรอยยิ้มสำหรับผมคนเดียว

ของผมแค่คนเดียว…

“ไม่มีอะไรหรอก… ฉันก็แค่รู้สึกว่า…” โลแกนว่า แสร้งมองไปทางอื่นแล้วยักไหล่ทีหนึ่ง แต่ผมไม่ยอมให้มันเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง

“รู้สึกว่า?”

“ฉันไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะรักใครได้”

คำตอบนั้นทำให้ผมใจเต้นรัวขึ้นอีกครั้ง โลแกนไม่เคยบอกรักผมมาก่อนจริงๆ จังๆ และผมเองก็ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินหมอนี่พูดอะไรทำนองนี้ขึ้นมาเลยด้วยซ้ำ

“ฉันเคยบอกนายใช่ไหมว่าฉันน่ะ ไม่มีความรู้สึก… อะไรพวกนั้นมาตั้งแต่แรกแล้ว” เจ้าตัวว่าขณะไล้ปลายนิ้วลงบนแผ่นอกของผมอย่างแผ่วเบา ผมรู้สึกร้อนวูบทันทีตรงบริเวณที่ถูกสัมผัส “อย่างพวกความอาลัยอาวรณ์ ความรู้สึกผิด ผิดหวัง เสียใจ… หรืออะไรเทือกๆ นั้น”

“ก็นายมันเด็กนรกนี่หว่า”

“ใช่” โลแกนยิ้ม นัยน์ตาสีฟ้าพราวระยับอย่างมีความสุข และมันทำให้ผมใจเต้นรัวขึ้นอีกแล้ว “แต่นายเป็นคนเปลี่ยนฉันในเรื่องนั้น”

“ไม่ยักรู้นะว่านายเป็นคนโรแมนติก”

โลแกนหัวเราะรับกับคำพูดนั้นง่ายๆ และนั่นทำให้ผมเผลอหลุดยิ้มตามไปด้วย

“คนเราก็เปลี่ยนกันได้”

“แปลว่าเมื่อก่อนไม่ล่ะสิ”

“อืม” เจ้าตัวยกมือขึ้นลูบคางอย่างครุ่นคิดขณะที่ค่อยๆ ย้ายตำแหน่งมาทรุดนั่งลงข้างๆ ผม “ก็คงงั้นมั้ง ไม่รู้สิ”

“แต่สาวติดนายเยอะนี่”

“นั่นเพราะฉันหล่อไง”

ผมหัวเราะออกมาบ้างในคราวนี้ “พูดดีนี่ เหมือนฉันได้รับคำชมไปด้วยเลยแฮะ”

จากนั้นพวกเราทั้งคู่ก็เงียบกันลงครู่ใหญ่ ผมปล่อยให้โลแกนเลื่อนมือมาจับเส้นผมของผมเองอยู่อย่างนั้น เจ้าตัวมองหน้าผมนิ่ง ผมเองก็ทำแบบนั้นอยู่เหมือนกัน แค่อยากจะตักตวงช่วงเวลาที่เราได้อยู่ด้วยกันให้ได้มากที่สุดก็เท่านั้น เพราะถึงเจ้าตัวจะบอกว่าจะพยายามแวะมาหาผมที่บ้านก็เถอะ แต่ลางสังหรณ์ผมมันบอกว่ามันจะต้องยุ่งจนแทบหาเวลามาไม่ได้แน่ๆ… หรือต่อให้มาได้ก็คงอยู่ด้วยกันได้ไม่นาน อีกอย่าง ผมเองก็จะยุ่งขึ้นเหมือนกัน เพราะงั้นถ้าคิดเรื่องเวลาที่ไม่ตรงกันของพวกเราเข้าไปอีก เวลาที่เราอาจได้อยู่ร่วมกันในวันข้างหน้าก็ยิ่งหดสั้นลงไปใหญ่

“ฉันได้ยินว่าปีเตอร์เพื่อนนายก็เข้าเรียนที่เดียวกับนายเหมือนกันนี่”

“ใช่” ผมตอบรับ แปลกใจเหมือนกันที่หมอนี่สนใจเรื่องคนรอบตัว “ทำไมเหรอ”

“ก็คิดว่า… ดีแล้วไง” เจ้าตัวยิ้ม “นายจะได้ทำคลิปก็หมอนั่นต่อ… เพลงที่นายเขียนแล้วก็อัดลงยูทูปกับหมอนั่นน่ะ ดังเอาเรื่องอยู่เหมือนกันไม่ใช่เหรอ”

“นายตามเรื่องพวกนี้ด้วยเหรอ” ผมส่งยิ้มหวานให้อีกฝ่าย โลแกนขยับตัวเข้ามาใกล้มากขึ้นจากนั้นก็แนบหน้าผากของมันลงบนหน้าผากของผม

“เพราะมันเป็นเรื่องของนายหรอก”

“โอ๊ย… นายทำตัวหวานแบบนี้ กลัวว่าพรุ่งนี้โลกจะแตกจังเลย”

“ปากดี” คนข้างตัวผมหัวเราะดังๆ เลื่อนมือมาหยิกแก้มผมแรงๆ อีกรอบ ตามด้วยเคลื่อนริมฝีปากลงมาจูบอีกครั้ง

เฮ้ย… นี่ผมพูดจริงๆ นะ โลกจะแตกเร็วๆ นี้ไหมเนี่ย นี่ไม่ได้ล้อเล่นนะครับเนี่ย









ผมเริ่มต้นเรียนหนังสือหลังจากที่โลแกนย้ายออกจากบ้านไปได้ประมาณสองสัปดาห์ การเรียนช่วงแรกที่เป็นภาคทฤษฎีไม่ได้เป็นปัญหาอะไรสำหรับผมมากนัก แต่เรื่องที่ทำให้ผมรู้สึกหนักใจเล็กน้อยจนถึงปานกลางคือเรื่องของอาจารย์ประจำตัวมากกว่า

ผมเลือกเรียนเอกเปียโน… ส่วนไอ้ปีเตอร์ไม่รู้มันจะไปลงหลักปักฐานอยู่ที่เอกไหน มันยังสับสนระหว่างกีต้าร์กับการร้องเพลงแบบเพียวๆ เลย หลังๆ มานี้ที่เราเล่นเพลงด้วยกัน ผมจะรับหน้าที่เป็นคนเขียนเพลงแล้วก็เขียนโน้ตในส่วนเปียโนของตัวเองไป ส่วนปีเตอร์จะเป็นคนร้องหลัก มีกีต้าร์เข้ามาแซมบ้างเป็นครั้งคราวแล้วแต่เพลง

กลับมาที่เรื่องของผมต่อ… คือครูประจำตัวที่ผมเพิ่งเลือกไปเนี่ย ผมได้ยินชื่อเสียงมาว่าแกค่อนข้างเคี่ยว ให้เกรดโหด แถมถ้าวันไหนไม่เข้าคลาสหรือมาสายโดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า แกเทศน์แหลก แต่ผมลองดูจากรายชื่อบรรดาอาจารย์เอกผมคนที่เหลือ… เทียบกับตารางเวลาเรียนคาบอื่นของผมอีก ดูเหมือนว่าผมจะไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากต้องเลือกคุณไมเคิล ฮาร์ริสมาเป็นครูผู้จะต้องคอยฝึกอบรมและตามประกบผมหลังจากนี้จนจบภาคเรียน

และ… ตอนนี้ผมก็กำลังเผชิญหน้ากับเขา

“ไหน ดูซิ คุณคอลลินส์” ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีดำสนิท นัยน์ตาสีน้ำตาลหลังเลนส์แว่นกรอบทรงวงรีขอบสีน้ำเงินคมกริบที่ชวนให้คนมองต้องลอบกลืนน้ำลายลงคออึก

เขาเป็นชายหนุ่มที่ดูจากภายนอกแล้วน่าจะอายุไม่เกินสามสิบต้นๆ แต่งตัวเนี้ยบขนาดที่ผมเชื่อว่าต่อให้มองหาก็ไม่เจอรอยยับสักรอยบนเสื้อผ้าแบรนด์เนมของเขา ผมก้มลงมองเสื้อฮู้ดกับกางเกงยีนส์ขาดๆ ของตัวเองด้วยความรู้สึกทดท้อใจ รู้งี้น่าจะใส่เสื้อผ้าที่ไอ้โลแกนมันทิ้งๆ ไว้มาวันนี้… ให้ผมเดาจากที่เจ้าตัวกวาดสายตาคมกริบประเมินผมตั้งแต่หัวจรดเท้าแบบนั้นแล้ว… ขอเดาว่าความประทับใจแรกพบไม่ค่อยดีเท่าไร

“อื้ม… เป็นเด็กทุนงั้นเหรอ” เจ้าตัวว่าขณะกวาดสายตาอ่านแผ่นกระดาษที่อยู่ในมือ

“ครับ”

“ทำไมถึงอยากเรียนเปียโนล่ะ?”

“เอ่อ.. ผมเล่นเปียโนมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ แล้ว” ผมตอบแกนๆ อันที่จริงคำถามเทือกนี้ ผมเคยตอบได้ดีกว่านี้ตอนที่ต้องไปสัมภาษณ์ขอทุนนะ แต่รอบนี้ผมไม่ได้เตรียมตัวมาเหมือนอย่างตอนจะไปสัมภาษณ์นี่นา

และดูเหมือนคำตอบนั่นจะไม่ค่อยทำให้ครูฝึกสอนของผมพอใจขึ้นสักเท่าไร ฮาร์ริสสั่งให้ผมไปนั่งประจำที่บนเปียโนหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในห้อง จากนั้นก็เล่นเพลงที่ถนัดให้เขาฟังสักเพลง

ผมเลือกเล่นเพลงง่ายๆ และเป็นเพลงที่ผมเล่นบ่อยที่สุดยามที่ไม่รู้ว่าควรจะเล่นเพลงอะไรดีให้เขาฟัง ชายหนุ่มตรงหน้ากอดอก ยืนฟังเงียบๆ จนกระทั่งมันจบลง ไม่มีเสียงปรบมือหรือรอยยิ้มชื่นชมใดๆ หลุดออกจากคนตรงหน้า นั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกใจแป้วลงเล็กน้อย

จะว่ายังไงดีล่ะ… คือทั้งชีวิตผม เรื่องที่มั่นใจสุดๆ ก็คือเรื่องเปียโนนี่แหละครับ แล้วอยู่ๆ มาโดนเงียบใส่แบบนี้… ยังไงล่ะเนี่ย หรือว่าเงียบแบบนี้คือดีแล้ว? อย่างน้อยผมก็ไม่โดนด่าใช่ไหม?

“อืม… ก็ถือว่ามีฝีมือพอตัวล่ะนะ”

คำพูดนั้นแทบทำเอาผมถอนหายใจเฮือกออกมาอย่างโล่งอก แต่ยังไม่ทันได้หายใจทั่วท้อง อีกฝ่ายก็พูดขึ้นมาต่อเสียก่อน

“แต่ถ้าคิดว่านี่เป็นเพลงที่คุณถนัดที่สุดแล้ว ผมคิดว่าคุณยังต้องพัฒนาฝีมืออีกมาก”

โอย… แล้วนี่พี่ท่านจะมาชมแต่แรกให้ผมตายใจทำไมเนี่ย!!

“อะไรครับ” คนเป็นครูว่าพร้อมกับมองผมด้วยสายตาวับๆ เอาเรื่อง “ทำหน้าแบบนั้น คุณมีอะไรไม่พอใจรึเปล่า คุณคอลลินส์”

“ปะ… เปล่า” ผมรีบว่าทันที “ไม่มีครับ”

“ถ้าอย่างนั้นผมอยากให้คุณเล่นอีกสักเพลง” เจ้าตัวว่า คราวนี้เดินไปเปิดกระเป๋าของตัวเอง หยิบโน้ตเพลงออกมาจำนวนหนึ่ง กวาดสายตามองแล้วเลือกใบหนึ่งมาให้ผม “เพลงนี้แล้วกันครับ ลองเล่นให้ผมดูที”

ถ้าหากว่าครั้งแรกเป็นการพบเจอกันที่เรียกว่าไม่ค่อยจะโสภาแล้ว ครั้งต่อๆ มาน่าจะเรียกว่าเลวร้ายถึงขั้นวิกฤต

“คุณคอลลินส์… โน้ตตรงนั้นน่ะมันไม่ใช่แบบนั้น นี่คุณอ่านโน้ตออกรึเปล่าเนี่ย” จากนั้นเจ้าตัวก็จะดีดไม้เรียวที่จุดประสงค์หลักของมันคือการเอาชี้ตัวโน้ตลงบนมือของผมแรงๆ อย่างไม่ใยดี

ผมชักมือของตัวเองขึ้นมากุมอย่างตกใจ คือจะว่าเจ็บมันก็เจ็บ แต่มันตกใจเสียมากกว่า ที่สำคัญไปกว่านั้นคือเจ็บมือน่ะไม่เท่าไร แต่ความเจ็บใจที่โดนอีกฝ่ายตำหนิออกมาแบบนั้นนี่สิ เจ็บกว่าหลายเท่านัก

“อ่านโน้ตทวนเดี๋ยวนี้” เจ้าตัวว่าพร้อมกับใช้ไม้เรียวขนาดเล็กที่ทำจากสแตนเลสซึ่งมีรูปร่างเหมือนเสาไฟฟ้าที่ติดอยู่บนรถตีแปะๆ ลงบนโน้ตเพลงที่อยู่ตรงหน้าผม

“คุณคอลลินส์… จังหวะตรงนี้มันไม่ใช่อย่างนั้น”

จากนั้นความเจ็บก็แล่นแปลบผ่านมือผมไปอีกครั้ง

“นี่ คุณได้ตั้งสมาธิระหว่างที่เล่นบ้างไหม”

แล้วก็อีกครั้ง

“เอาล่ะ… อาทิตย์หน้าค่อยมาซ้อมเพลงนี้กันอีกรอบ อย่ามาสายนะครับ ขอให้สนุกกับวันหยุดสุดสัปดาห์”

“ขอบคุณครับ” ผมพูดตอบไปอย่างเสียไม่ได้ จากนั้นจึงค่อยๆ หยิบเข้าของของตัวเองแล้วออกมาจากห้องเรียนส่วนตัว

ผมเดินออกมาข้างนอกอาคารตรงบริเวณด้านหน้าของมหาลัย ปีเตอร์ที่เพิ่งเลิกคลาสเหมือนกันตรงเข้ามาทักทายผมด้วยรอยยิ้มเริงร่า

“ไง ลูคัส”

ทันทีที่เห็นหน้ามัน ผมก็กระโดดกอดคอมันทันที

“โอย… พีท ฉันไม่ไหวแล้ว เรียนกับครูคนนี้ฉันจะเป็นบ้า วันนี้ไอ้บ้านั่นมันตีมือฉันไปตั้งสองรอบ!”

“เออ ก็ใครให้ให้นายไปลงเรียนกับครูโหดวะ สมน้ำหน้าแล้ว”

“ไอ้ปีเตอร์! เอ็งเป็นเพื่อนใคร ฮะ!!??”

คนผมแดงหัวเราะร่า จากนั้นก็เอื้อมมือมาโอบบ่าผม โยกตัวเบาๆ เป็นเชิงปลอบ

“เพื่อนนายไง เอาน่า อย่าอารมณ์เสียไปหน่อยเลย ไปกินข้าวกันดีกว่า วันนี้นายอยากกินอะไร”

“ไม่เอาเบอร์เกอร์แล้วนะ” ผมพูดดักคอ กินข้าวกับหมอนี่ทีไรต้องหนีไม้พ้นเบอร์เกอร์ทุกที เบื่อจะตายอยู่แล้ว

“งั้นก็พิซซ่า!”

“...เออ พิซซ่าก็ได้” อย่างน้อยก็ยังดีกว่าเบอร์เกอร์ล่ะวะ

โทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของผมสั่น ผมหยิบมันขึ้นมาดูก่อนจะต้องหลุดยิ้มออกมาอดไม่อยู่เมื่อได้อ่านข้อความที่น้องชายฝาแฝดของผมเป็นคนส่งมา

‘กลางวันนี้ว่าจะกินพิซซ่าว่ะ ฝั่งนั้นล่ะ?’

ผมเลยพิมพ์ตอบกลับไปอย่างรวดเร็วก่อนจะรีบจ้ำเท้าเดินตามเพื่อนที่เดินนำหน้าไปก่อน

‘เหมือนกันเลยว่ะ’







----------------------------------
Talk: ลูคัส... นายอยู่ที่ไหนก็โดนทรมานทรกรรม (?) นะ อย่าร้องนะลูก โอ๋ๆ (??) //ถถถถถถถถ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ลูคัส เจอครูสอนสุดโหด
สอนดีๆ ก็ได้นี่นะ
นี่ใช้ไม้ชี้ตัวโน้ตตีมือลูคัส
มันมีแต่หนังหุ้มกระดูกนะ
แย่มาก ก็มันเจ็บโคตรๆเลย
อิจฉา หน้าตา หรือว่าโรคจิต
เคยถูกทำโทษแบบนี้มาก่อน
ต้องให้โลแกนตีมือนายฮาร์ริสดูบ้าง
จะยิ้มเบิกบาน หัวเราะดีอยู่มั้ย
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ mirage

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
คิดในแง่ดีลูคัส เขาโหดเพื่อให้เรามีประสบการณ์ไง
สู้ไปด้วยกันลูกับโล

ติดตามค่ะ
 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ zonpine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
ชอบงับ

ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ทำไมเราเพิ่งมาเจอเรื่องนี้ สนุกมากๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 29

(Mode: Logan Collins)





ผมเข้ารับการฝึกพร้อมกับนักเรียนคนอื่นๆ ในช่วงแรก และสามารถสร้างความตื่นตะลึงให้แก่ครูผู้ฝึกทั้งในภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ หลังจากที่ผมเข้ามาอยู่ในสถานที่แห่งนี้ที่ซึ่งฝึกและปั้นเจ้าหน้าที่แก่รัฐบาลกลางและองค์กรต่างๆ ในหน่วยงานภาครัฐเป็นเวลาเกือบหกเดือน ผมก็ถูกแมคโดเวลผู้ซึ่งเปรียบเสมือนคนที่รับผิดชอบดูแลผมมาตั้งแต่ต้นเรียกตัวไป

“สวัสดีครับ” ผมพูดขึ้นขณะที่ก้าวเท้าเข้าไปในห้อง ตอนนี้พวกเราไม่ได้อยู่ในอาคารหลังเดิมที่ซึ่งมีห้องทำงานของชายผู้นี้อยู่อีกแล้ว… เจ้าตัวเดินทางมาหาผมที่ใจกลางเมืองและคงจะขอยืมใช้ห้องนี้ชั่วครางเพื่อคุยงานกับผม “แปลกใจจังที่เห็นคุณมาถึงนี่ มีอะไรเหรอครับ”

“นั่งก่อนสิ โลแกน” อีกฝ่ายไม่ตอบคำถามของผม หากผายมือไปที่เก้าอี้ตรงหน้าให้ผมนั่งลง จังหวะนั้นเองที่สายตาผมเหลือบไปเห็นชายหนุ่มอีกคนที่อยู่ในเครื่องแต่งกายดูไม่เป็นทางการ หากทะมัดทะแมง เสื้อผ้าของเขาสีทึมและกลมกลืนไปกับผนังด้านหลังจนทำให้ผมไม่ทันสังเกตเห็นในตอนแรก

ผมเดินลงไปหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ว่า หากสายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งซึ่งยืนพิงกับผนังห้อง กอดอกนิ่ง สีหน้าราบเรียบหากแววตาฉายแววสุขุมและเงียบสงย เส้นผมสีน้ำตาลของเจ้าตัวชี้ไปมาไม่เป็นทรง คะเนจากสายตาแล้วชายหนุ่มคงอยู่ในวัยสามสิบกลางๆ ตัวสูงกว่าผมไปพอสมควร รูปร่างกำยำ เห็นแค่นี้ผมก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายต้องเป็นคนในองค์กร… หรือหน่วยงานสักหน่วยงานที่ทำหน้าที่ใกล้เคียงกับผู้พิทักษ์สันติราษฎร์แถวนี้

“ไม่เห็นคุณบอกผมเลยว่าเราจะมีแขก”

“สังเกตไวดีนี่” แมคโดเวลพุดด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ร้อน มือเริ่มหยิบเอกสารออกมากางบนโต๊ะในขณะที่สายตาผมยังคงจับจ้องอีกฝ่ายนิ่งอย่างสนใจ

คนคนนี้ต้องมีฝีมือพอตัว… นั่นแหละคือสิ่งที่ผมรู้สึกได้ และดูจากการแต่งตัว… ที่ดูไม่เป็นทางการแล้ว ผมเดาเลยว่าเจ้าตัวไม่ได้ขึ้นตรงกับเอฟบีไอหรือหน่วยงานที่ปกครองโดยรัฐบาลกลางโดยตรง

“โลแกน นี่คุณไรอัน ฮิวเบอร์ เขาเป็นคนจากดีซีไอเอส”

ผมผิวปากหวือในใจทันที รู้ดีว่าหน่วยงานที่อีกฝ่ายพูดมีรูปแบบการทำงานยังไง ฮิวเบอร์ก้าวเท้าเข้ามาใกล้พวกเราสองคนมากขึ้น แค่เห็นแววตาเขา ผมก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายผ่านการใช้ชีวิตมาในรูปแบบที่โชกโชนมาก มันเต็มไปด้วยประสบการณ์อย่างชัดเจนสะท้อนออกมาจากนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มนั่น

อ่า… อยากถามจังเลยว่าเขาฆ่าคนมากี่คนแล้ว แต่บางทีเขาเองอาจจะลืมนับไปแล้วก็ได้

“คุณฮิวเบอร์ นี่โลแกน คอลลินส์ คนที่ได้คะแนนท็อปในคลาสมาตลอดที่ผมเคยเล่าให้ฟัง”

ผมจับมือกับชายตรงหน้านิดหนึ่งอย่างมีมารยาท จากนั้นก็ส่งยิ้มเป็นมิตรให้ อีกฝ่ายไม่ยิ้มตอบ สีหน้าเขาแทบไม่เปลี่ยนเลยด้วยซ้ำ แต่ผมก็ไม่ถืออะไรหรอก

“คุณบอกรายละเอียดเรื่องพวกนี้ให้เขาทราบหรือยัง”

แมคโดเวลผายมือทั้งสองข้างออกจากกัน พยักเพยิดไปที่เอกสารที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ

“ผมถึงได้เรียกคุณมานี่ไง เพื่อช่วยอธิบายให้เขารู้”

ฮิวเบอร์ถอนหายใจออกมาหน่อยหนึ่งจากนั้นก็ดึงเก้าอี้ที่อยู่คู่กับโต๊ะอีกตัวมานั่ง ดึงแผ่นเอกสารมากมายออกมา ดูเหมือนเขาจะรู้ว่าเอกสารเหล่านั้นไม่ได้มีความจำเป็นใดๆ เลย เพราะเนื้อหาใจความสำคัญมันอยู่ที่แผ่นนี้เพียงแผ่นเดียว

ผมนั่งฟังแมคโดเวลกับฮิวเบอร์พูดสลับกัน ได้ใจความมาว่าทั้งสองคนกำลังคิดจะให้ผมเข้าร่วมหน่วยดีซีไอเอสที่ว่านี้ด้วย ซึ่งหน่วยงานที่ว่านี้… ถ้าให้พูดกันง่ายๆ เลยก็คือหน่วยงานมือสังหารนั่นแหละ เงื่อนไขที่ผมจะต้องทำความเข้าใจในส่วนนี้ก็คือ รัฐบาลจะไม่รับผิดชอบใดๆ ถ้าเกิดว่าผมดันตายในหน้าที่ขึ้นมา หรือถ้าโดนจับได้ก็จะโดนทางหน่วยงานลอยแพเหมือนกัน

ถ้าให้เจาะลึกเข้าไปอีกว่าทำไมถึงใช้ระบบนั้น… เนื่องจากการจ้างวานมือสังหารให้ลอบฆ่าใคร… นั่นหมายความว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องเป็นผู้กระทำผิดที่กฎหมายไม่สามารถเอาผิดได้ ไม่ว่าจะด้วยอำนาจหรือเงินทองที่คนคนนั้นมี การมีหน่วยงานดีซีไอเอสที่ว่านี้ก็สามารถช่วยลัดขั้นตอนทางกฎหมายที่ยุ่งยากไปได้เลยอย่างรวดเร็ว แต่แน่นอนว่าหากมีการจับได้เกิดขึ้น ทางผู้ว่าจ้างก็ต้องแน่ใจว่ามันจะไม่ซัดทอดกลับมาทางรัฐบาลเพื่อไม่ให้เกิดความโกลาหลและความไม่พอใจของประชาชนที่อาจจะตามมา

แหม… ช่างเป็นหน่วยงานที่เหมาะกับผมอะไรขนาดนี้

“แน่นอนว่าทางเราจะให้เวลาเธอตัดสินใจ” แมคโดเวลว่าขณะกล่าวสรุป “งานตรงนี้มีความเสี่ยงสูง แล้วก็ต้องผ่านการฝึกอย่างหนัก แน่นอนว่าถ้าเธอตกลงใจที่จะทำ ฮิวเบอร์ก็จะเป็นคนฝึกทุกอย่างให้กับเธอ รวมถึงจะพาเธอไปออกภาคสนามด้วยกันกับเขาด้วย”

ผมเหลือบมองคนข้างตัวที่ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง จากนั้นก็วางกระดาษสำหรับเซ็นสัญญาที่อยู่ในมือลง

งานที่ผมได้รับการเสนอให้ทำ… ความเสี่ยงมันสูงก็จริง แต่สำหรับผมแล้วมันก็ดูตื่นเต้นท้าทายดี แถมค่าตอบแทนที่ได้ก็สูงไม่ใช่น้อย ผมน่ะ ไม่ได้สนใจตัวเม็ดเงินหรอก เพราะในชีวิตก็ไม่ได้ใช้จ่ายอะไรมากมายอยู่แล้ว

แต่ลูคัส… บางทีหมอนั่นอาจต้องการ

อีกอย่าง… ที่สำคัญไปกว่านั้น จากรายละเอียดที่ได้ยินได้ฟังมาแล้ว เนื่องจากผมไม่ได้ถูกควบคุมโดยหน่วยงานโดยตรง แต่ลักษณะงานจะเป็นไปตามแผนการที่ได้รับการออกแบบมาจากอีกหน่วย ส่วนภาคสนามของจริงค่อนข้างจะมีอิสระมาก

ผมไตร่ตรองถึงข้อดีและข้อเสียของมันก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองบุคคลทั้งสองภายในห้องอย่างรวดเร็ว

“ผมจะเข้าร่วมหน่วยงานนี้ด้วยครับ”

“แน่ใจเหรอว่าจะไม่เอาเก็บไปคิดดูก่อน?” ฮิวเบอร์เอ่ยถามเสียงเรียบ ผมยกยิ้มบนมุมปาก มองหน้าชายอีกสองคนในห้องแล้วพูดตอบอย่างรู้ทัน

“ถึงยังไงพวกคุณก็คิดว่าผมจะตอบตกลงอยู่แล้วใช่ไหม ถึงได้เอาข้อเสนอนี้มายื่นให้”

ทั้งสองคนไม่ตอบ หากความเงียบเป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุด

“อีกอย่าง… โดนผู้บังคับบัญชาของตัวเองเรียกตัวมาคุยด้วยแบบนี้… ผมคิดว่าคำตอบจะมีแค่อย่างเดียวเสียอีก ไม่น่าต้องถามซ้ำให้เสียเวลาเลย”

จากการฝึกที่ผมโดนเทรนด์มา… คำสั่งจากเบื้องบนถือเป็นอะไรที่เด็ดขาด มันก็คล้ายๆ กับการฝึกทหารนั่นแหละ คุณไม่มีสิทธิ์ตั้งคำถามกับผู้บังคับบัญชาของคุณ ไม่มีสิทธิ์บ่ายเบี่ยง ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเสียเวลาคิดหรือลังเล เพราะวินาทีหนึ่งที่คุณลังเลอาจทำให้ชีวิตคนมากมายดับสูญลงได้ มันก็เป็นคอนเซปต์อะไรเทือกนั้น เพราะงั้น… ในความเป็นจริงแล้ว ผมไม่มิสิทธิ์ที่จะตอบปฏิเสธข้อตกลงนี้ด้วยซ้ำ ถ้าคิดในแง่นี้แล้วน่ะนะ

ผมจรดปากกา เซ็นลงในกระดาษแผ่นนั้นอย่างง่ายดาย ชายหนุ่มอีกสองคนนัดแนะผมในเรื่องขั้นตอนต่อไปอีกเล็กน้อย แต่ต่อจากนี้ไปผมจะได้ครูฝึกคนใหม่แล้ว ครูฝึกที่เป็นของผมคนเดียว ไม่ต้องไปรวมกับพวกคนธรรมดาที่ต้องค่อยๆ ปั้น ค่อยๆ พัฒนาฝีมือ ค่อยๆ ไต่เต้าขึ้นมา บางทีการได้อยู่กับคนที่ใกล้เคียงกับตัวเองอาจเป็นอะไรที่ดีกว่า

หืม? ทำไมผมถึงบอกคนข้างตัวใกล้เคียงกับตัวเองน่ะเหรอ… ก็เพราะว่า…

“นี่ คุณฮิวเบอร์”

“หืม?”

“คุณเคยฆ่าคนมากี่คนแล้ว” ผมถามออกไปตรงๆ ไม่ผิดหวังเลยที่เห็นนัยน์ตาสีน้ำตาลคู่นั้นเรียบเฉย ไม่สะทกสะท้านใดๆ กับคำถามนั้นแม้แต่นิดเดียว

อ่า… นี่สิ มันต้องคนระดับนี้สิ ที่จะฝึกผมได้

“ผมไม่เคยนับ”

“อ้อ”

“แล้วคุณล่ะ คอลลินส์”

หากคำถามที่อีกฝ่ายย้อนกลับมาทำให้ผมชะงักไปทันทีเพราะคาดไม่ถึง อีกฝ่ายยังคงมีท่าทีเรียบเฉยเหมือนเดิมขณะที่ถามสืบต่อไปว่า

“ฆ่าคนมาแล้วกี่คน”

ผมรู้สึกเหมือนหัวใจในอกข้างซ้ายเต้นรัวขึ้น จากนั้นก็สงบลงอย่างรวดเร็ว ผมมั่นใจว่าทุกศพที่ผ่านมือผมมาจะไม่ทีทางสืบสาวไปถึงมือของตำรวจ ผมมีการเก็บกวาดที่เรียบร้อย ดังนั้นแล้วต่อให้ผมจะพูดกับคนตรงหน้าว่ายังไง เรื่องราวที่ผ่านไปแล้วเหล่านั้นก็ไม่สามารถย้อนกลับมาเล่นงานผมได้

“อืม… ไม่รู้สิครับ” ผมยกยิ้ม “ไม่เคยนับเหมือนกัน”

และนั่น… เรียกรอยยิ้มเล็กๆ บนมุมปากให้ชายหนุ่มตรงหน้าในที่สุด

“แฝดของคุณน่ะ…” หัวข้อสนทนาที่เปลี่ยนไปกะทันหัน ทำเอาผมสะดุดไปได้เหมือนกัน บ๊ะ… อะไรกันนี่ คนคนนี้ จะทำผมเกือบหัวคว่ำมาหลายรอบล่ะนะ “ลูคัส คอลลินส์สินะ”

ผมไม่แสดงท่าทีตกใจหรือแปลกใจอะไร พี่ชายฝาแฝดของผมตอนนี้เริ่มมีหน้าตาผ่านทางสื่อโทรทัศน์และอินเตอร์เน็ตมากขึ้น… จริงๆ ต้องเรียกว่าพุ่งพรวดเลนก็ว่าได้ เพราะล่าสุดเจ้าตัวเพิ่งไปคว้ารางวัลแข่งเปียโนอะไรสักอย่างมาจากทางฝั่งตะวันตก เห็นลูคัสบอกว่าช่วงนี้ตะลุยแข่งไปทั่วตามที่ครูฝึกของตัวเองแนะนำมา ผมไม่แปลกใจเลยสักนิดกับรางวัลชนะเลิศถ้วยแรกที่หมอนั่นเพิ่งได้มา แล้วผมก็เชื่อด้วยว่าถ้วยที่สอง ที่สามจะตามมาหลังจากนี้

“ฝากแสดงความยินดีให้เขาด้วยแล้วกัน”

“ผมไม่นึกว่าคุณจะสนใจเรื่องแบบนี้ด้วย” ผมพูดอย่างแปลกใจจริงๆ เพราะถึงลูคัสจะเริ่มมีหน้ามีตาขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้เด่นดังขนาดที่คนทั่วไปจะรู้ ถ้าไม่ใช่คนในวงการดรตรีด้วยกัน… และดูจากลักษณะของคนตรงหน้าแล้ว ไม่น่าใช่คนที่อยู่วงการนั่นแน่ล่ะ

“ไม่ค่อยสนใจหรอก” ฮิวเบอร์ตอบตรงๆ “แต่มันเป็นนิสัยน่ะ เวลาที่เห็นอะไรผ่านตาทีหนึ่งแล้วจะจำได้ค่อนข้างแม่น ยิ่งได้เอกสารของคุณมาอ่านก่อนหน้า ยิ่งจำได้ดีเข้าไปใหญ่”

ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจ ถ้าเขาได้อ่านประวัติผม… ก่อนจะเจอลูคัสในหน้าทีวี ก็คงไม่ใช่เรื่องเข้าใจยากอะไร

พวกเราสองคนเดินไปด้วยกันตามทางเงียบๆ ผมเดาเอาว่าเขาอาจจะพูดเรื่องประวัติของผมมากกว่านี้ อย่างที่ใครๆ ทำกัน… ก็จะเรื่องอะไรล่ะ เรื่องที่พ่อกับแม่ผู้ให้กำเนิดผมและลูคัสฆ่ากันตายต่อหน้าต่อตาพวกเราไง ใครที่ได้อ่านประวัติส่วนนี้ของผมเป็นต้องยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดด้วยสีหน้าแววตาเห็นใจทุกที เอียนจะแย่… และดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ว่าผมเอียนกับเรื่องพวกนี้ถึงได้ไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้นออกมาเลยสักคำ…

เออ… เพิ่งรู้สึกเหมือนได้เจอเพื่อนร่วมงานที่ถูกใจก็คราวนี้แหละ คิดว่าต่อจากนี้น่าจะทำงานไปด้วยกันได้ดี








ผมกลับมาที่ห้องพักของตัวเองหลังจากที่นัดแนะวันและสถานที่ที่ต้องไปเจอกับฮิวเบอร์ในครั้งต่อไปเสร็จเรียบร้อย ผมมีเวลาพักผ่อนอีกสองวันก่อนจะต้องเตรียมตัวเริ่มการฝึกหฤโหดกับครูฝึกคนใหม่ สถานะตัวตนใหม่ แต่ก่อนหน้านั้นผมมีเวลาพักผ่อนและทำตัวเรื่อยเฉื่อยสองวัน

ผมหยิบของใช้บางชิ้นและเสื้อผ้าอีกส่วนหนึ่งใส่ลงกระเป๋าเป้อย่างไม่เร่งร้อน เหลือบมองดูนาฬิกาที่แขวนผนังนิดหนึ่งเพื่อคำนวนเวลา จากนั้นจึงเดินออกจากห้องพัก ไปที่รถซึ่งจอดอยู่ในลานแล้วบึ่งออกไปตามท้องถนน ไหลไปกับสภาพการจราจรเรื่อยๆ จนกระทั่งพ้นช่วงตัวเมืองออกมานั่นแหละถึงจะเริ่มบึ่งรถได้อีกครั้ง

ผมขับรถมาจอดอยู่ที่หน้าบ้านหลังเดิม หลังที่อาศัยอยู่กับลูคัสมาตลอดเกือบทั้งชีวิต ก้มลงมองดูนาฬิกาข้อมือ น่าจะอีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงกว่าหมอนี่จะมาถึง แต่ผมไม่ต้องรอนานขนาดนั้น รถแท็กซี่คันหนึ่งจอดลงที่หน้าบ้าน จากนั้นลูคัสก็เดินลงมาพร้อมกับกระเป๋าลากอีกใบ เจ้าตัวอยู่ในเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงแสลคสีดำกึ่งทางการ สีหน้าของแฝดผมแปลกใจไม่น้อยทีเดียวที่เห็นยืนโบกมือยิ้มให้อยู่ตรงนี้

“โลแกน!?” เจ้าตัวว่า ลากกระเป๋ามาประชิดตัวผมอย่างตกตะลึง “นายมานี่ได้ไง แล้วทำไมไม่ส่งข้อความมาบอกว่าจะมา”

“อยากเซอร์ไพรส์ไง” ผมตอบยิ้มๆ มองตามแผ่นหลังของพี่ชายที่ก้าวเท้าดุ่มๆ ไปไขกุญแจ เปิดประตูบ้านด้วยท่าทีกระฟัดกระเฟียดมากขึ้น

“นายก็เป็นซะอย่างนี้ คิดจะทำอะไรก็ทำ จะกลับมาก็ไม่บอกไม่กล่าว นี่ดีนะที๋ฉันกลับมาบ้านพอดี ไม่งั้นนายก็ต้องรอแกร่วแบบนี้ไปอีกสามชาติ แล้วกับข้าวก็มีไม่พอส่วนของสองคนหรอกนะ บอกไว้ก่อนเลย ถ้านายอยากจะกินก็ต้องขับรถพาฉันไปซื้อ แล้วนี่นายมารอนานรึยัง ฉันถึงได้บอกไงว่า--”

ผมไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจนจบประโยคเพราะไม่อยากรอแล้ว ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในตัวบ้าน ผมก็คว้าตัวของลูคัสเข้ามาในวงแขน ดันไปติดกับผนังด้านหลังแล้วโน้มหน้าลงไปจูบปากอีกฝ่ายอย่างโหยหา รู้สึกว่าช่วงเวลาที่ห่างกันไป ผมจะสูงกว่าหมอนี่ขึ้นนิดหนึ่งแฮะ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีแล้ว

“อือ… โลแกน” คนตรงหน้าครางเสียงหวานออกมาหน่อยหนึ่ง จากนั้นก็เรียกชื่อผมในจังหวะที่ผมผละริมฝีปากออกมา แล้วผมก็ปิดปากลงไปใหม่อีกครั้งอย่างมันเขี้ยว

คนตรงหน้าเลื่อนมือมาโอบไหล่ผม ใบหน้าร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนผมสัมผัสได้ ผมไล้ลิ้นลงบนใบหูซึ่งเป็นจุดอ่อนของอีกฝ่ายให้เจ้าตัวสะดุ้งเล่น จากนั้นก็ผละริมฝีปากออกแล้วเปลี่ยนไปกอดคนในวงแขนไว้แนบแน่นแทน ไม่อยากเชื่อเลยว่าผมจะคิดถึงพี่ชายฝาแฝดของตัวเองได้มากขนาดนี้ ยังกับเด็กติดพี่งั้นแหละ...

“ฉันคิดถึงนาย” คนในอ้อมแขนของผมพูด ราวกับประโยคนั้นหลุดออกมาจากกลางใจผมอย่างนั้น ผมยกยิ้มขึ้นบนมุมปาก จากนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่

เรื่องที่เราสองคนคิดอะไรตรงกันนี่… มันเป็นเพราะว่าเราเป็นฝาแฝดกันด้วยรึเปล่านะ?







----------------------------------
Talk: แหม... คิดถึงกันก็บอก... XD ถถถถถ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมากนะคะ >w< คนอ่านอาจจะไม่เยอะเท่าไร แต่ยังไงก็จะพยายามเขียนตอ่ไปค่า~
ป.ล. เดี๋ยวเอามาลงเพิ่มอีกตอนค่ะวันนี้ ฮุๆ

ออฟไลน์ kothan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
หวานเล็กๆ
โลแกนว่างสองวันทำอะไรดีน้อ  :hao6:

ออฟไลน์ zonpine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
เฮ้!!!!!!!!
จะตัดจบแบบนี้ไม่ได้นะ! 55555
ชอบโลแกนจังใาต่อไวๆนะคะ

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3


บทที่ 30

(Mode: Lucas Collins)







นี่ไม่ได้เจอกันแต่แป๊บเดียว… หมอนี่สูงนำหน้ากันไปแล้วเหรอเนี่ย

ความคิดนั้นลอยเข้ามาในหัวหลังจากที่ผมลืมตาตื่นขึ้นมาเพราะลำคอแห้งผาก สะโหลสะเหลเดินไปรินน้ำจากเหยือกที่อยู่บนโต๊ะภายในห้อง ดับกระหายเรียบร้อยแล้วก็ตั้งใจจะกลับมานอนต่อ… แต่พอหันไปมองข้างเตียงที่วันนี้ไม่ได้ว่างเปล่าเหมือนทุกวันแล้ว… ผมก็เผลอคิดเรื่องนั้นขึ้นมาทันที

จริงๆ ตอนเจอหมอนั่นยืนพิงรถ รอผมอยู่ที่หน้าบ้าน ผมก็แอบคิดเหมือนกันว่ามันสูงขึ้นรึเปล่า แต่ตอนแรกคิดว่าคิดไปเอง… ที่ไหนได้ พอมายืนเทียบกันชัดๆ จริงๆ… แฝดคนน้องของผมได้สูงนำขึ้นไปเรียบร้อยแล้ว

บ้าจริงเลย เป็นแค่น้องแท้ๆ นี่ผมน่ะเกิดก่อนมันนะ เกิดก่อนมัน… (ถึงจะแค่ไม่กี่นาทีก็ตาม) ผมก็ควรจะสูงกว่ามันไม่ใช่เรอะ แล้วนี่อะไร นี่ผมโดนมันแซงหน้าแม้กระทั่งเรื่องความสูงไปแล้วเรอะ

“เหอะ น้องบ้า” ผมว่าพร้อมกับเลื่อนมือไปลูบไล้เส้นผมสีบลอนด์ทองที่ปรกอยู่บนหน้าของอีกฝ่ายที่เปลือยกายครึ่งท่อนบน ผมเองก็อยู่ในสภาพแบบเดียวกับหมอนี่เหมือนกัน คงจะพูดว่าอะไรมันไม่ได้

ครั้งล่าสุดที่ผมเจอหมอนี่… น่าจะประมาณครึ่งเดือนที่แล้ว มาเจอกันอีกทีตอนนี้… คะเนจากสายตาที่พิจารณาดูร่างกายมันแล้ว… ไอ้หมอนี่น่าจะผ่านการฝึกที่หนักหน่วงมาอย่างพอสมควร ถึงเมื่อก่อนสมัยอยู่ด้วยกันมันจะฝึกอยู่ในห้องใต้หลังคาอยู่บ่อยๆ ก็เถอะ แต่การฝึกเองที่บ้านกับฝึกที่สถาบันเฉพาะทางด้านนี้เลยย่อมต้องไม่เหมือนกันอยู่แล้ว

ที่แปลกไปกว่านั้นก็คือ… สถาบันที่นี่ให้เงินสำหรับเป็นเบี้ยเลี้ยงให้แก่นักเรียนที่ฝึกอยู่ที่นี่ด้วย เพราะงั้นน้องชายสุดที่รักของผมถึงได้คอยเทียวส่งเงินมาให้อยู่เรื่อย อุตส่าห์พูดย้ำนักย้ำหนาว่าไม่เอา ให้มันเก็บไว้ใช้เอง เจ้าตัวแสบก็ตอบกลับมาง่ายๆ ว่า ‘ฝากเก็บหน่อย’

ก็ดีเหมือนกัน เพราะยังไงเงินของพวกเราก็ถือเป็นเงินกองกลางอยู่แล้ว ก็เหลือกันอยู่แค่สองคน…

“ลู” เสียงงึมงำจากปากอีกฝ่ายทำเอาผมสะดุ้งนิดหนึ่ง ก่อนจะต้องสะดุ้งหนักขึ้นไปอีกเมื่อมือแกร่งเลื่อนมาจับมือผมที่กำลังเล่นหัวมันอยู่อย่างเพลิดเพลิน ดึงตัวผมลงไปกอดแนบอกจนผมได้ยินเสียงหัวใจเต้นตึกตักของมัน

ผมหน้าร้อนขึ้น รู้สึกขัดเขินขึ้นมาเล็กน้อยเพราะไม่ได้สัมผัสร่างกายหมอนี่มาพักหนึ่ง (ถึงจะเพิ่งนอนไปด้วยกันเมื่อกี้ก็เถอะ) แต่ผ่านไปไม่กี่วินาที ไออุ่นจากร่างของคุณตรงหน้าก็แผ่ซ่านเข้ามาชวนให้รู้สึกสบายใจ อบอุ่น… จริงๆ แล้วผมคิดถึงสัมผัสของหมอนี่มากเลยนะ แค่อ้อมกอดง่ายๆ แค่นี้ก็มีความสุขมากแล้ว มันเป็นความสุขง่ายๆ ที่ทำให้ผมนึกอยากหยุดเวลาเอาไว้ให้หมอนี่อยู่กับผมตลอดไป แต่ก็รู้ว่ามันคงเป็นแบบนั้นไม่ได้ ก็พวกเราไม่ใช่เด็กๆ กันอีกต่อไปแล้วนี่นะ

“อะไรเหรอ” ผมถามกลับขณะที่เจ้าตัวขยับแขน กระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น จากนั้นเจ้าตัวก็ค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า นัยน์ตาสีฟ้าคู่คมมองผมนิ่ง จากนั้นก็เอ่ยถามออกมาเสียงเรียบ

“นายห้อยสร้อยนั้นไว้ตลอดเลยเหรอ? เมื่อก่อนไม่ค่อยเห็นนายใส่”

เจ้าตัวว่าพลางพยักเพยิดไปทางสร้อยคอที่มีจี้เป็นไม้กางเขนที่วางอยู่บนโต๊ะตัวเล็กข้างหัวเตียง มันเป็นไม้กางเขนที่น้าลิซ่าให้ผมมาในวันนั้น… ก่อนหน้านี้ผมมักจะเก็บมันใส่ไว้ในกล่องที่รวบรวมจดหมายจากน้าและของมีค่าบางอย่างไว้ด้วยกัน นานๆ ทีถึงจะหยิบขึ้นมาใส่

ผมเลื่อนมือไปหยิบมันขึ้นมาถือไว้ในมือ ไล้ปลายหัวแม่โป้งลงแสตนเลสนั้นอย่างเบามือ มันอาจไม่ใช่ของที่มีราคาค่างวดสูงอะไร แต่นี่ก็ถือเป็นของที่ผมเอาไว้ยึดเหนี่ยวจิตใจที่สำคัญชิ้นหนึ่งเลยทีเดียว

“ก็นะ… ช่วงนี้เอามาใส่บ่อยหน่อย เป็นเครื่องรางนำโชคของฉันเอง”

“เห” คนถามลากเสียงยาวนิดหนึ่ง

“แล้วนายล่ะ” ผมเลยถือโอกาถามย้อนบ้าง “เดี๋ยวนี้ไม่ใส่แล้วเรอะ สร้อยกางเขนกลับหัวของนายน่ะ หรือว่าเปลี่ยนใจ กลับมาอยู่ในจารีตประเพณีที่ดีงามแล้ว?”

โลแกนทำหน้าราวกับผมเพิ่งอ้วกใส่หน้ามันไปเลยทีเดียว

“ฉันเคยอยู่ด้วยเหรอวะ ไอ้อะไรแบบนั้นน่ะ”

“ไม่เคย” ผมยิ้นหวานตอบ

“ก็หยิบเอามาใส่บ้างไม่ใส่บ้าง บางทีช่วงฝึก… ใส่แล้วมันเกะกะน่ะ แต่ของฉันน่ะ มันไม่ใช่เครื่องรางนำโชคอะไรแบบของนายหรอกนะ ก็แค่… ใส่แล้วรู้สึกเหมือนมีพลังมากขึ้น ก็เท่านั้น แล้วก็เป็นการบูชา… อะไรที่ฉันเชื่อด้วย”

“ซาตานเหรอ” ผมถามกลับอย่างสงสัย อีกฝ่ายยักไหล่ทีหนึ่ง

“บางคนก็เรียกลูซิเฟอร์”

“นายไม่เชื่อในพระเจ้า แต่เชื่อในลูซิเฟอร์เนี่ยนะ?” ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่สูงขึ้นนิดหนึ่งอย่างไม่อยากจะเชื่อ ก็รู้อยู่หรอกนะว่าหมอนี่มันเพี้ยนมาแต่ไหนแต่ไร แต่นี่ก็โตๆ กันเป็นผู้ใหญ่แล้ว ยังไม่เลิกเพี้ยนอีกเหรอวะ

“พระเจ้าเหรอ ไม่รู้สิ” โลแกนว่าพร้อมกับดึงไม้กางเขนออกไปจากมือผม เอาไปพิจารณาใกล้ๆ “บางทีฉันอาจจะเชื่อก็ได้ แต่ในความเชื่อของฉันมันอาจจะแตกต่างจากของนายนิดหน่อย นั่นก็แค่… ท่านจะไม่มาคอยช่วยเหลือทุกคนหรอก แล้วก็จะไม่คอยช่วยเหลือตลอดเวลาด้วย สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อฝั่งไหน ผลลัพธ์มันก็ออกมาที่การกระทำของพวกเราอยู่ดี”

“นายเชื่อแบบนั้นเหรอ” ผมรับไม้กางเขนจากมืออีกฝ่ายกลับมาถือในมือ “แต่ฉันเชื่อนะ… ว่าท่านมีจริง และท่านก็จะคอยปกป้องคุ้มครองลูกๆ ของพวกท่าน ถ้าหากพวกเราเป็นคนดีน่ะนะ”

“นั่นที่ลิซ่าบอกมาใช่ไหม” โลแกนว่าอย่างคนที่จำอะไรได้แม่น

“ใช่”

“นายไม่ต้องมีพระเจ้าหรอก ลูคัส” แฝดผมว่าพร้อมกับเลื่อนหน้าลงมาทาบริมฝีปากลงบนแก้มของผมแผ่วเบา “ฉันจะคอยปกป้องนายเอง ไม่ต้องถึงมือพระเจ้าหรอก”

ผมหน้าร้อนวูบ จากนั้นก็ต้องรีบหันหน้าหนีไปอีกทางเพราะไม่อยากให้โลแกนสังเกตเห็นใบหน้าที่แดงขึ้นของผม ก่อนจะต้องรีบเฉไฉไปว่า

“จะคอยปกป้องฉัน ไม่ต้องถึงมือพระเจ้าเนี่ยนะ” ผมว่า ทำน้ำเสียงเหมือนระอา “อย่างกับเนื้อเพลงลูกทุ่งเห่ยๆ”

“แต่ว ตะตะแหน่ว ตะตะแหน่ว ตะตะแต๊วแว๊วแวว”

นั่น มันรับมุกด้วยการทำมือดีดกีต้าร์ประกอบทำนองอีก ไอ้เด็กบ้า คิดว่านี่เป็นตลกคาเฟ่รึไง

แต่ถึงจะคิดแขวะมันแบบนั้น ผมก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ คลานขึ้นไปหามันแล้วจูบปิดปากไอ้คนจอมกวนประสาททีหนึ่งอย่างหมั่นไส้ โลแกนดึงผมลงไปนอนลงบนหมอนแล้วประกบริมฝีปากปิดลงมาอีกครั้ง คราวนี้เนิ่นนานและชวนให้สั่นสะท้าน

มือหนาเริ่มไล้ลงไปบนหน้าท้องของผม ไล้ต่ำลงไปเรื่อยๆ จนจะถึงต้นขาอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะมีเสียงโทรศัพท์เรียกเข้าดังขึ้นมาก่อน

ผมสะดุ้งตัวเฮือกด้วยความตกใจในขณะที่คนด้านบนเพียงแค่ขมวดคิ้วมุ่นขึ้นอย่างหงุดหงิด เสียงริงโทนที่ดังขึ้นมาไม่ใช่ของผมแน่ล่ะ ดังนั้นก็ต้องเป็นสายของคนตรงหน้าผม

โลแกนผละออกจากร่างของผมไป ลุกออกจากเตียง จากนั้นก็เดินไปเปิดกระเป๋าแล้วหยิบโทรศัพท์ที่แผดเสียงร้องออกมา

ผมเหลือบมองดูนาฬิกาดิจิตัลที่อยู่บนโต๊ะเล็กข้างหัวเตียงด้วยความรู้สึกฉงน… ตีสองกว่าๆ เกือบจะตีสาม…  โทรมาเวลาแบบนี้แปลว่าต้องมีเรื่องเร่งด่วนอะไรแน่ ไม่ชอบเลย มันทำให้ผมรู้สึกแย่มาก รู้สึกได้เลยว่าใจเต้นตึกตักขึ้นด้วยความกังวล กลัวว่าหมอนี่จะต้องไปจากผมก่อนเวลาอันควร ก็โลแกนก็บอกผมว่าอยู่ได้ถึงพรุ่งนี้ตอนเย็นนี่นา แต่โทรศัพท์เข้ามากลางดึกแบบนี้…

ผมนั่งจ้องน้องชายของตัวเองกรอกเสียงลงในโทรศัพท์ จากนั้นเจ้าตัวก็อุทานออกมาเสียงดังอย่างตกใจ เดินพรวดพราดไปเปิดผ้าม่านออก ก้มมองลงไปยังชั้นล่างบริเวณหน้าตัวบ้าน จากนั้นเจ้าตัวก็ยกมือขึ้นมาตีหน้าผาก ถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างคนเซ็งจัดทันที

...นั่นไง ผมว่าแล้วเชียว ลางสังหรณ์เรื่องร้ายๆ นี่มีผิดพลาดที่ไหน

“ครับๆ จะลงไปครับ” โลแกนพูดเป็นประโยคสุดท้ายก่อนจะกดปุ่มตัดสาย ถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างเซ็งจัดในอารมณ์

ผมใจหายวาบเมื่อเห็นเจ้าตัวเดินไปคว้ากระเป๋าสัมภาระของตัวเองขึ้นมา ยัดข้าวของน้อยชิ้นลงไป หยิบเสื้อที่กองอยู่บนพื้นขึ้นมาใส่ ผมถามอย่างแปลกใจทันที

“อะไรกัน นายจะไปแล้วเหรอ?”

“อืม ใช่ มีงานด่วน”

“งานด่วนอะไร” ผมอึกอัก มองอีกฝ่ายที่ทำสีหน้าปั่นยากอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ก็นายยังเป็นแค่เด็กนักเรียนฝึกหัดอยู่เลยไม่ใช่เหรอ? แล้วจะมีงานอะไรให้ทำอีก แล้วนี่มันก็เวลาขนาดนี้”

“จริงๆ แล้วในสายงานแล้ว เวลาแบบนี้แหละที่เหมาะแก่การออกล่าเหยื่อ” โลแกนพูดทีเล่นทีจริง โยนเสื้อของผมที่อยู่บนพื้นขึ้นมาให้ ผมรับมาอย่างงงๆ สายตายังจับจ้องไปที่เจ้าตัวดีเหมือนไม่อยากเชื่ออยู่

“ฉันล้อเล่นนะ” โลแกนว่าต่อ “จริงๆ แล้วเวลาทำงานของสายงานนี้มันก็ตลอด 24 ชั่วโมงนั่นแหละ เอ้า เร็ว ใส่เสื้อซะ”

“ใส่ทำไม” ผมถามกลับ รู้สึกเหมือนโดนไม้หน้าสามฟาดลงกลางกบาลอย่างไรอย่างนั้น ทุกวันนี้แค่เวลาที่หมอนี่จะมาหาผมก็น้อยมากอยู่แล้ว เดือนหนึ่งมาได้แค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น แล้วก็มาได้แค่เสาร์อาทิตย์ที่เป็นวันหยุด แล้วนี่… ไอ้หมอนี่เพิ่งจะมายังไม่ทันไร ต้องไปอีกแล้วเหรอ

“อย่างน้อยก็มาส่งกันหน่อย” โลแกนว่า นิ่งไปนิดก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน “นะครับ?”

….เจอแบบนี้เข้าไป ใครจะปฏิเสธได้ลงคอล่ะ





ผมเดินลงไปที่ชั้นล่างของตัวบ้านด้วยสภาพที่บ่งบอกเลยว่าเพิ่งลุกออกจากเตียง ผมเผ้ายุ่งเหยิงไม่เป็นทรง ในขณะที่แฝดของผมปัดๆ ผมหน่อยเดียวก็กลับมาเข้าที่ได้อย่างสวยงาม ไม่รู้ใช้เวทมนตร์อะไรมันถึงได้ดูดีอยู่ตลอด ผมเองก็หน้าเหมือนกันแท้ๆ แต่ทำไมทำไม่ได้แบบมันวะ

“สวัสดีครับ” ผมเอ่ยทักชายในชุดสูทเต็มยศที่ยืนอยู่ที่หน้าประตูบ้าน ข้างตัวเขามีรถมียี่ห้อคันหนึ่งจอดอยู่ไม่ดับเครื่อง เจ้าตัวมีเส้นผมสีเทาปกคลุมไปทั่วทั้งหัว หากท่าทางยังคงแข็งแรงและมีสุขภาพดี

โลแกนรีบหันกลับมาแนะนำอีกฝ่ายให้ผมรู้จักทันที

“ลูคัส นี่แมคโดเวล… จอห์น แมคโดเวล คนในเอฟบีไอที่รับหน้าที่ดูแลฉันอยู่ แมคโดเวลฮะ นี่พี่ชายฝาแฝดผม ลูคัส”

ผมเขย่ามือกับชายสูงวัยตรงหน้าทั้งๆ ที่ยังงงๆ อยู่ อีกฝ่ายยังมีสีหน้าสุขุมไม่เปลี่ยนขณะออกปากพูด

“ผมเห็นคุณในข่าว เรื่องที่คุณชนะการแข่งเปียโนระดับภูมิภาค ยินดีด้วยนะครับ”

“เอ้อ ขอบคุณครับ” ผมตอบรับไปแกนๆ หน้าร้อนขึ้นมานิดหนึ่ง เป็นปฏิกิริยาที่ควบคุมไม่ได้ แม้ว่าจะมีคนมาแสดงความยินดีกับผมแบบนี้เกือบร้อยคนแล้วก็ตามที ยังไงก็ไม่ชินสักทีสิน่า

“ขอโทษด้วยจริงๆ ที่มารบกวนดึกดื่นขนาดนี้”

อ้อ ก็รู้ตัวเหมือนกันนี่

ก็รู้นะว่าคิดแบบนั้นมันไม่ดี… แต่ก็อดคิดงั้นไม่ได้อยู่ดี ก็นี่มันช่วงเวลาส่วนตัวของผมกับโลแกนนี่!

“ไม่เป็นไรครับ” ถึงจะไม่ชอบใจ แต่ผมก็ออกปากตามมารยาทอยู่ดี “จะเข้ามาข้างในก่อนไหมครับ ผมจะหาอะไรให้ดื่ม”

“เกรงว่าเราจะไม่มีเวลากันมากขนาดนั้น” อีกฝ่ายเอ่ยปากด้วยสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปทางโลแกนนิดหนึ่ง ผมรู้สึกเหมือนใจหายวูบ ทั้งๆ ที่เราก็เจอกันเรื่อยๆ แท้ๆ แต่พอถึงเวลาที่หมอนี่จะไปทีไร ผมชอบเป็นงี้อยู่เรื่อยเลย “ถ้ายังไง… ผมคงต้องขอยืมตัวน้องชายฝาแฝดของผมไปช่วยงานสักหน่อย”

“...รอจนถึงตอนเช้าไม่ได้เลยเหรอครับ” ผมหลุดปากพูดออกไปอย่างอดไม่อยู่ ก็รู้หรอกนะว่ากำลังทำตัวเอาแต่ใจตัวเอง แต่มัน… ไม่อยากให้หมอนี่ไปเลย

“ถ้ารอได้ ผมคงไม่รบกวนขนาดบุกมาหาที่บ้านแบบนี้หรอกครับ”

“ไปกันเถอะ แมคโดเวล” โลแกนพูดขัดขึ้นในที่สุด “ต้องรีบไม่ใช่เหรอครับ แล้วเรื่องรถ…”

“นายมากับฉัน โลแกน รถนาย เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยให้คนมาเอากลับไปให้ มาเถอะ”

โลแกนยกมือขึ้นนิดหนึ่ง ปล่อยให้อีกฝ่ายเข้าไปในตัวรถที่นั่งฝั่งคนขับ

“ขอเวลาผมสามนาที”

แล้วเจ้าตัวดีก็เดินกลับมาหาผม ผมรู้สึกได้เลยว่าตอนนี้ตัวเองกำลังแสดงความรู้สึกทุกอย่างออกมาทางสีหน้า และมันคงชัดเจนมาก เจ้าตัวถึงได้ดันผมให้กลับเข้ามาในตัวบ้าน เพื่อจะได้พ้นจากสายตาของคนที่อยู่ในรถ

“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ” โลแกนพูดพร้อมกับเลื่อนมือมาวางบนแก้มผม เกลี่ยลงตรงหางตาเบาๆ ราวกับว่าผมสามารถร้องไห้ออกมาได้ทุกเมื่อ “เดี๋ยวผมจะติดต่อมา ถ้าโชคดี พรุ่งนี้ตอนเย็นๆ อาจจะเจอกันได้”

“สัญญา?”

“สัญญาไม่ได้” เจ้าตัวตอบตามตรง และนั่นทำให้ผมต้องเม้มริมฝีปากแน่นขึ้นอย่างไม่พอใจทันที

“ลู…”

“นายบอกว่าจะอยู่ถึงวันพรุ่งนี้ตอนเย็น” ผมพูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ ทั้งๆ ที่ในหัวก็เข้าใจดีอยู่แล้วว่ามันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้… ทำไมผมถึงได้ทำตัวเด็กนักนะ

“ผมขอโทษ”

คำพูดง่ายๆ นั่นทำเอาผมใจอ่อนยวบลง ก่อนจะพยายามรวมรวมสติ หลับตาลง สูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็พูดออกมาอีกครั้ง

“ไปเถอะ โลแกน” ผมว่า “อย่าให้หัวหน้านายรอนาน”

“แล้วจะรีบติดต่อมา” เจ้าตัวว่า ก้มหน้าลงมาจูบผมเร็วๆ ทีหนึ่งก่อนจะผละออกไป ผมเดินไปส่งมันถึงหน้าประตูบ้าน โบกมือให้อีกฝ่าย ยืนดูจนกระทั่งรถหรูคันนั้นแล่นจากไปในท้องถนนยามค่ำคืน ราวกับถูกความมืดกลืนกินไปทั้งๆ อย่างนั้น

บางที… ความรู้สึกของผมก็อาจจะใกล้เคียงกับอะไรแบบนั้นเหมือนกัน







---------------------------------------
Talk: โอ๋... ลูคัส ไม่ร้องนะคะ เดี๋ยวพี่สาวพาไปกินไอติมนะ//โดนโลแกนดักตีหัว

ออฟไลน์ shoky_9

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
อืม เพิ่งรู้ตัวว่าคิดถึงตอนจุ๊บรึ  :mew1:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
มาเจอกัน แป๊บเดียว กลับและ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ angel_Z4

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 783
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
งือ ได้อยู่ด้วยกันแป๊บเดียวเองอ่ะ

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 31

(Mode: Lucas Collins)





โลแกนไม่กลับมาเมื่อวาน… แล้วก็ส่งข้อความมาบอกผมว่ามาเจอกันไม่ได้เมื่อคืน

ผมนอนพลิกตัวอยู่บนเตียงอย่างหงุดหงิดขณะที่พระอาทิตย์โผล่พ้นเส้นขอบฟ้าขึ้นมาอย่างอ้อยอิ่ง แสงของมันส่องกระทบลงมายังพื้นโลก กระเด็นกระดอนมาพาดผ่านผ้าม่านที่ถูกปิดเอาไว้อย่างไม่สนิทนัก แสงที่ว่านั่นทำให้ผมต้องลุกพรวดขึ้นจากเตียงด้วยอารมณ์ที่ไม่เป็นสุขนัก

มันจะไม่มา… ผมก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ แต่อะไรคือการที่ส่งข้อความมาบอกกันตอนตีสาม…

‘ขอโทษนะ ลู คงไปไม่ได้จริงๆ แล้วว่ะ ยังไงก็นอนไปก่อนนะ แล้วจะติดต่อไปใหม่’

แล้วไอ้คนรออย่างผมก็รอไปเถอะ… ก็เห็นเจ้าตัวพูดทิ้งท้ายไว้ว่าอาจจะมาเจอได้ แล้วคนที่อยาเจอมันจะเป็นจะตายอย่างผมก็รอไปเถอะ ง่วงแค่ไหนก็ถ่างตารอมัน เล่นเกมรอก็แล้ว อ่านหนังสือรอก็แล้ว ซ้อมเปียโนรอก็แล้ว ขนาดตาจะปิดก็ยังเดินไปชงกาแฟมากินเพื่อให้ตาสว่าง…

ตาสว่างละเป็นไงล่ะ ผลสุดท้ายแม่งก็มาไม่ได้ แล้วแทนที่จะส่งมาบอกกันแต่หัวค่ำ ดันปล่อยให้รอมาจนถึงรุ่งสาง

ผมเดินเข้าไปในห้องน้ำอย่างหงุดหงิด ทำภารกิจในยามเช้าอย่างรวดเร็ว ตอนที่ส่องกระจกเพื่อแปรงฟัน ภาพที่ตัวเองที่สะท้อนออกมานี่… เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเมื่อคืนแทบไม่ได้นอน ถุงใต้ตาคล้ำเด่นชัด ผมเผ้ายุ่งเหยิง แถมยังมีรังสีความอารมณ์บูดฉายชัดออกมาอีกด้วย

นี่ไม่ดีเลย เป็นการเริ่มต้นวันใหม่ที่แย่มาก… แล้ววันนี้ตอนเช้าผมก็มีเรียนภาคปฏิบัติกับไมเคิลอีก… ขืนอารมณ์บูดไปเจอหมอนั่น ต้องโดนพูดเอ็ดอะไรแน่

เดินกลับเข้ามาภายในตัวห้องอีกที หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดู เหมือนเป็นไปตามอัตโนมัติมากกว่าจะอยากทำอะไรกับเจ้าโทรศัพท์เครื่องนี้จริงๆ ผมรู้ว่าใครๆ ก็เป็นกัน ไม่ใช่แค่ผมหรอก ในยุคที่โทรศัพท์มือถือกลายเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของชีวิตคนเราไปแล้วแบบนี้

เอ๊ะ… แต่เดี๋ยวก่อน…

ตัวเลขนาฬิกาดิจิตัลที่โผล่ขึ้นมาบนหน้าจอนี่… ไม่จริงใช่ไหม… นี่มันเวลาขนาดนี้แล้วเรอะ!!??

“ชิบหายแล้ว!!” ผมอุทานกับตัวเองอย่างตกใจ ตรงดิ่งไปใส่เสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว คว้าสิ่งของทุกอย่างที่ต้องใช้ในการเรียนวันนี้ใส่กระเป๋าเป้ จากนั้นก็รีบตรงดิ่งออกจากบ้านไปเพื่อไปมหาลัยอย่างรวดเร็ว

ถึงจะรู้ดีอยู่แล้วก็เถอะ… ว่าตอนนี้ ต่อให้รีบขนาดไหน ยังไงก็สายอยู่ดี

แม่งเอ๊ย!! เพราะไอ้บ้าโลแกนแท้ๆ เลย!! (ไม่รู้ล่ะ ยังไงวันนี้ทั้งวันก็จะโทษมันคนเดียว!! ไอ้น้องชายบ้า!)






ไมเคิล ฮาร์ริสมาถึงที่ห้องเรียนอยู่ก่อนแล้วและกำลังอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ค่อยเป็นสุขนัก

อันที่จริงก็คือ ชายหนุ่มกำลังอยู่ในอารมณ์โกรธจัดสุดๆ เลยต่างหากล่ะ แค่ออร่าที่แผ่ออกมารอบตัวก็ชัดเจนพอแล้ว คิ้วเรียวของเจ้าตัวขมวดเข้าหากันจนแทบจะผูกเป็นปมได้ มือทั้งสองกอดอกไว้แนบแน่น และเมื่อผมค่อยๆ วางกระเป๋าเป้ของตัวเองลง โค้งตัวให้คนตรงหน้า ทำท่าจะเอ่ยปาก พูดขอโทษออกมา ฮาร์ริสก็พูดขัดขึ้นมาก่อน

“คุณรู้ตัวรึเปล่าว่ามาสายไปเกือบชั่วโมง”

“ระ… รู้ครับ” ผมตอบอึกอัก พยายามอ้าปากพูดอีกรอบ “ขอโทษด้วยจริงๆ---”

“ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณกำลังคิดอะไรอยู่ คุณคอลลินส์”

ผมใจหายวาบเมื่อได้ยินคนตรงหน้าเรียกผมด้วยนามสกุล… อันที่จริงช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ความสัมพันธ์ของพวกเราสองคนค่อนข้างไปได้ด้วยดี ยิ่งมีการแข่งขันที่นอกรัฐเมื่อสัปดาห์ก่อน ที่ผมต้องนั่งเครื่องไปถึงนั่นเพื่อแข่ง… และชายหนุ่มตรงหน้าก็ตามมาด้วยในฐานะผู้ให้คำปรึกษาและช่วยเหลือเรื่องต่างๆ

การได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันนอกสถานที่ยิ่งทำให้พวกเรารู้จักกันและกันมากขึ้น บวกกับตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ได้เรียนกับชายคนนี้… เอาเป็นว่ามันทำให้พวกเราสองคนสามารถเปลี่ยนจากเรียกนามสกุลมาเป็นเรียกชื่อต้นกันได้อย่างเป็นธรรมชาติก็แล้วกัน แล้วการที่อีกฝ่ายเรีกยผมด้วยนามสกุลแบบนี้แปลว่าต้องฉุนจัดแน่ๆ

ก็นะ… ผมเองก็ไม่เคยมาเรียนคาบหมอนี่สายด้วย… ก็เพิ่งจะเคยโดนโกรธเพราะเรื่องนี้เป็นครั้งแรกนี่แหละ

“คุณอาจจะคิดว่าการที่คุณได้รางวัลมาทำให้คุณกลายเป็นคนสำคัญ… กลายเป็นคนที่ไม่ต้องรักษากฎ กติกาแล้วระเบียบมารยาทอะไรขึ้นมาแล้ว”

“เดี๋ยวก่อนครับ” ผมพยายามพูดแทรก “นั่นมันไม่ใช่…”

“แล้วอะไรคือการที่คุณมาคลาสของผมสาย!” ฮาร์ริสว่าพร้อมกับฟาดสมุดโน้ตเปียโนลงบนโต๊ะที่อยู่ตรงหน้าอย่างหัวเสีย และไม่รู้ทำไม… อยู่ๆ ความหงุดหงิดที่สั่งสมมาตั้งแต่เมื่อคืนก็เอ่อล้นขึ้นมา ประกอบกับท่าทีฉุนเฉียวเกินเหตุของอีกฝ่ายด้วย และอยู่ๆ ผมก็ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ขึ้นมา

“นั่นเหรอ มิกกี้” ผมขึ้นเสียงอย่างไม่อยากจะเชื่อ “แค่ผมมาคลาสของคุณสายแค่ครั้งเดียว ผมกลายเป็นคนไม่เคารพกติกา กลายเป็นคนที่คิดว่าตัวเองดังแล้วไม่เห็นหัวคนอื่นไปแล้วเลยเหรอ?”

“อย่าเรียกผมว่ามิกกี้!” อีกฝ่ายโต้กลับด้วยน้ำเสียงที่ดังกว่า “ชื่อนั้นน่ะ มีไว้ให้เพื่อนผมเรียก ไม่ใช่ให้นักเรียนที่ไม่มีมารยาทแล้วก็ไม่เคารพกฎกติกาของคลาสมาใช้เรียกผม!”

“โอเค” ผมยกมือทั้งสองข้างขึ้นเป็นเชิงยอมแพ้ สูดลมหายใจเข้าปิดลึกๆ ทีหนึ่งเพื่อสงบสติอารมณ์ของตัวเองก่อนผ่อนออก ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะปะทะกันรุนแรงเพียงเพราะเรื่องแค่นี้ และเรื่องนี้มันก็เป็นความผิดของผมเอง “ผมขอโทษครับ คุณฮาร์ริส ผมผิดเองที่มาคลาสของคุณสาย แถมยังไม่ส่งข้อความหรือบอกคุณก่อนล่วงหน้า”

อีกฝ่ายยังคงจ้องผมนิ่งอย่างไม่พอใจ หากสีหน้าไม่แดงก่ำด้วยความโกรธเหมือนเมื่อครู่แล้ว

“บอกผมมาซิว่าอะไรทำให้คุณมาสาย”

“คือ… ผมลืมตั้งนาฬิกาปลุก” ผมยอมรับตรงๆ ไมเคิลเป็นคนที่ชอบอะไรตรงไปตรงมามากกว่า ถ้าเกิดผมสร้างเรื่องโกหกเพื่อกลบเกลื่อนความผิดของตัวเองไปแล้วเขามาจับได้ทีหลัง นั่นจะยิ่งทำให้เขาโกรธกว่าที่ควรจะเป็นเพิ่มขึ้นไม่รู้กี่เท่า แต่ที่แน่ๆ… แค่เขาโกรธธรรมดาก็แย่พอแล้ว “แล้วเมื่อคืน… ผมนอนดึกไปหน่อย พอตื่นขึ้นมาอีกทีก็สายแล้ว”

“ไปดื่มมางั้นสิ?”

“เปล่าครับ” ผมว่า “คือ… น้องชายผมบอกว่าเขาอาจจะมาเจอผมได้ ผมก็เลยรอเขา แต่ผลสุดท้ายเขาก็ไม่มา”

คำอธิบายนั่นทำให้ชายตรงหน้าดูมีท่าทีอ่อนลง เขารู้ว่าผมไม่มีใครคนอื่นในครอบครัวนอกจากโลแกน

“แล้วทำไมคุณถึงไม่โทรไปหาเขาล่ะ รอทำไมจนถึงดึกดื่น”

คำถามนั้นทำเอาผมสะอึกไปทีหนึ่งผมไม่ได้ติดต่อหมอนั่นไปเลยอย่างที่คนตรงหน้าว่าจริงๆ เพราะผมถือว่าโลแกนพูดแล้วว่าอาจจะมาได้ ก็เลยเอาแต่รอการติดต่อจากหมอนั่นฝ่ายเดียว อีกอย่าง… ก่อนที่จะแยกกัน โลแกนต้องไปทำงานที่ดูเร่งด่วน ผมก็ไม่อยากไปเซ้าซี้หรือทำอะไรที่อาจเป็นอุปสรรคในการทำงานของเขา ก็เลยไม่ได้ติดต่ออะไรหมอนั่นไปเลย

“ผม… นึกว่าเขาจะมาจริงๆ นี่”

“ช่างเถอะ” ครูฝึกสอนของผมตัดบท ถอนหายใจเฮือก ดูเหมือนเขาจะอารมณ์เย็นลงแล้ว “ทีหลังก็ระวังอย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกแล้วกัน ผมไม่ชอบนักเรียนที่ไม่ทำตามกฎของผม แล้วเรื่องการตรงต่อเวลา… ผมย้ำเสมอว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ ยิ่งตอนนี้คุณกลายเป็นคนดังแล้ว จะทำอะไรก็ต้องระวังมากขึ้น อย่าให้ใครมาดูถูกว่ามีชื่อเสียงแต่รักษามารยาทพื้นฐานแค่นี้ไม่ได้”

“ขอโทษครับ” ผมพูดเสียงอ่อย ยอมรับการเทศนาจากเจ้าตัวโดยดุษณี

ไมเคิลเริ่มสั่งให้ผมหยิบสมุดโน้ต เนื้อเพลง และอุปกรณ์การเรียนต่างๆ ออกมา เขาสั่งให้ผมเขียนสรุปที่ไปแข่งมาเมื่อสัปดาห์ก่อนเพื่อเอาไว้ใช้ทบทวนตัวเองว่าสามารถแก้ไขและพัฒนาส่วนไหนของตัวเองได้บ้าง จากนั้นก็ขอให้ผมเล่นเพลงลงบนเปียโนต่ออีกพักหนึ่ง และเนื่องจากผมมาสายในวันนี้ คลาสของเราจึงจบลงค่อนข้างเร็ว

“เออ นี่ ลูคัส” อีกฝ่ายว่าเสียงอ่อนลงกว่าตอนแรกที่ผมเข้ามาในคลาสมาก “เมื่อตอนต้นคาบ ผมขอโทษด้วยนะที่ขึ้นเสียงใส่คุณขนาดนั้น คุณจะเรียกผมว่ามิกกี้เหมือนเดิมก็ได้นะ”

ผมยิ้มรับคำขอโทษนั้น รู้สึกโล่งอกเหมือนยกภูเขาออกจากอกไปได้ทันที มิกกี้เป็นครูฝึกที่ดีมากสำหรับผม ถึงเขาจะดุแล้วก็เข้มงวดจนน่ากลัวไปหน่อย แต่ถ้าไม่ได้เขา ผมกล้าพูดได้เลยว่าตัวเองไม่มีทางได้ถ้วยรางวัลล่าสุดนี่มาหรอก

“แล้ววันนี้นายจะเจอน้องชายนายรึเปล่า หรือว่าเขาจะกลับตอนเสาร์อาทิตย์?” เขาถามโดยอิงจากข้อมูลที่ผมเคยเล่าเรื่องโลแกนให้ฟัง ผมไม่ได้พูดถึงน้องชายฝาแฝดของตัวเองแบบละเอียอดมากนัก เนื่องจากกลัวว่าจะเผลอหลุดปากพูดสิ่งที่ไม่สมควรออกไป

ผมมีเรื่องเกี่ยวกับโลแกนที่คนนอกไม่ควรรู้อยู่เยอะเกินไป… ยิ่งถ้าในระหว่างการสนทนามีแอลกอฮอล์มาเอี่ยวด้วยแล้ว ผมจะพยายามหลีกเลี่ยงหัวข้อการสนทนานี้แบบสุดขีด ไม่ได้หรอก ก็แต่ละเรื่องของหมอนี่มันเหมือนคนธรรมดาทั่วไปที่ไหน… นี่ยังไม่นับรวมความสัมพันธ์แปลกๆ ของพวกเราสองคนอีกนะ ไม่ได้ๆๆๆ

เพราะงั้น… สิ่งที่คนตรงหน้ารู้ก็มีแค่ว่าผมมีน้องชายฝาแฝดที่เรียนอยู่ที่โรงเรียนตำรวจ และเพราะอย่างนั้นเจ้าตัวเลยต้องย้ายไปอยู่ในหอ อาทิตย์หนึ่งจะได้กลับบ้านสักครั้งหนึ่ง หรือไม่ก็ไม่ได้กลับเลย

“เอ่อ… ไม่รู้สิครับ ช่วงนี้หมอนี่ยุ่ง” ผมพูดอุบอิบ ไม่อยากบอกหรอกว่าจริงๆ มันก็เพิ่งแวะมาหาผมเมื่อวันเสาร์ ฉลองเรื่องที่ผมได้รางวัลให้ แล้วก็สัญญาว่าจะอยู่ด้วยจนถึงคืนวันอาทิตย์ แต่สุดท้ายก็โดนลากตัวกลับไปทำงานซะก่อน

“คงจะเหงาแย่สินะ” ไมเคิลถอนหายใจออกมาเบาๆ เลื่อนมือมาลูบศีรษะผมนิดหนึ่ง “ครอบครัวก็มีแค่คนเดียว แล้วอีกฝ่ายก็คงยุ่ง… นี่ก็แปลว่านายไม่ได้ฉลองเรื่องที่ได้รางวัลกับครอบครัวเลยสินะ”

“เอ่อ…” จะบอกว่าฉลองแล้วตอนนี้จะทันไหมนะ…

“เอางี้ วันศุกร์ตอนเย็นนี้นายว่างไหมล่ะ เดี๋ยวฉันพาไปเลี้ยงเอง” 

ข้อเสนอนี้ของอีกฝ่ายทำให้ผมแปลกใจจริงๆ จะว่าไปแล้ว… นอกจากปีเตอร์ที่อยู่มหาลัยเดียวกับผม ผมก็คงสนิทกับไมเคิลนี่รองลงมาจากหมอนั่นได้เลยมั้ง เพื่อนสมัยมัธยมก็ยังนัดเจอกันอยู่บ้างก็จริง แต่มันก็ต่างจากคนที่อยู่ในวิทยาลัยเดียวกันอยู่ดี

แต่พอลองคิดในแง่นั้นแล้ว… ผมกับไมเคิลไม่เคยไปกินข้าวด้วยกันตอนที่ยังอยู่ที่นี่เลย… ผมหมายถึง ตอนที่ผมไปแข่ง ยังไงผมก็ต้องตัวติดกับครูผู้ฝึกคนนี้แทบจะตลอดเวลาก็จริง แต่มันก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ตอนที่อยู่ในรั้วมหาลัยแบบนี้ เราสองคนไม่เคยไปไหนมาไหนด้วยกันเลย แค่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันในคลาสเท่านั้น ดังนั้นข้อเสนอที่อีกฝ่ายพูดมาจึงชวนให้ผมแปลกใจอยู่นิดหน่อย

แต่… ก็ดีเหมือนกัน ตั้งแต่จบการแข่งมาผมก็รู้สึกกับอีกฝ่ายมากขึ้นพอสมควรด้วย อีกอย่าง ยังไงผมก็ไม่มีโรแกรมอะไรอยู่แล้ววันศุกร์นี้ สู้ไปกินข้าวกับเพื่อนยังจะดีซะกว่า

“จะดีจริงๆ เหรอครับ?” ผมถามย้ำ

“ดีสิ” ไมเคิลยกยิ้ม “จะได้ฉลองเรื่องรางวัลให้นายไง ไหนๆ ที่บ้านนายก็… เอ่อ ฉันหมายถึง ยังไงๆ น้องชายนายก็ยุ่ง ไม่ได้มาฉลองให้… โอกาสดีๆ แบบนี้ ถ้าไม่ฉลองเป็นเรื่องเป็นราวหน่อยก็น่าเสียใจแย่ นายไม่คิดแบบนั้นเหรอ?”

ผมยิ้มเจื่อนๆ ให้อีกฝ่ายทันที พูดไปตอนนี้จะทันไหมน้อ ว่าโลแกนลงทุนเอาไวน์เกรดดีมาเปิดขวดเพื่อยินดีให้ผมมือคืนก่อนแล้ว… แต่ก็ช่างเถอะ ฉลองกับหมอนั่นก็ไม่ค่อยต่างอะไรจากกินข้าวด้วยกันธรรมดาๆ อยู่ดี ไปฉลองจริงจังอีกสักรอบจะเป็นไรไป

“นายจะชวนเพื่อนนายไปด้วยก็ได้นะ… คนนั้นน่ะ คนที่เล่นเพลงกับนายบ่อยๆ”

“ปีเตอร์น่ะเหรอครับ”

“ใช่”

“งั้น…” ผมคิดตาม มีปีเตอร์ไปด้วยก็น่าจะสนุกกว่าล่ะนะ “ผมจะลองชวนดู แต่มันจะโอเคกับคุณเหรอ มิกกี้?”

“ผมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว” อีกฝ่ายว่าขณะหยิบกระเป๋าถือมียี่ห้อของตัวเองขึ้นมาไว้ในมือ เตรียมออกจากห้องเช่นเดียวกับผม “ก็นี่มันงานฉลองของคุณนี่ เอาที่คุณสบายใจเถอะ”

ผมส่งยิ้มกว้างให้อีกฝ่าย ก่อนจะรีบพูด

“ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ผมก็ไม่มีทางได้รางวัลนี้มาหรอก”

ไมเคิลไม่พูดอะไรตอบ แค่ยิ้มกลับมาให้ผมเท่านั้น เออ… จะว่าไปหมอนี่เวลายิ้มก็ดูหล่อดีนะ ถ้าฝึกยิ้มบ่อยๆ อาจจะกลายเป็นครูที่ป๊อบในหมู่นักเรียนขึ้นมาก็ได้ แต่นี่เจ้าตัวดันเอาแต่ทำหน้าดุตลอด…

แต่ช่างเถอะ ไม่ค่อยอยากให้มีนักเรียนคนอื่นมาเรียนกับไมเคิลเหมือนกัน เพราะถ้าเป็นแบบนั้น เวลาที่หมอนี่จะฝึกให้ผมอาจจะลดลงไปก็ได้ เพราะงั้นให้เขาไม่ค่อยป๊อบแบบนี้ต่อไปแหละ ดีแล้ว






----------------------------------
Talk: อ้าววว ไรอะ ลู เล่นชู้เหรอลู.... ถถถถถถถ// ขอบคุณทุกคนที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ >3<

ออฟไลน์ zonpine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
นี่ลูคัสห้ามนอกใจโลแกนะลู๊กกกกกกกก

ออฟไลน์ mirage

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
มิกี้แอบชอบลูหรือเปล่า อัพเร็วมาก ชอบๆ  :katai2-1:

ติดตามค่ะ
 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ kothan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
เสน่ห์แรงจริง เดี๋ยวโลแกนโมโหจะไม่มีครูสอนเปียนโนนะลู

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 32

(Mode: Logan Collins)




 ผมได้ลงสนามจริงครั้งแรกโดยที่มีหน้าที่เป็นผู้สังเกตการณ์ตามติดตูดของไรอัน ฮิวเบอร์ราวกับเป็นลูกสุนัขติดตามนายและกลัวว่าจะโดนทอดทิ้ง

จริงๆ แล้วก่อนหน้านี้ ทางหน่วยงานให้ผมดูสถานการณ์ทุกอย่างผ่านทางหน้าจอมอนิเตอร์ การทำงานล่าสังหารใครสักคนที่ได้รับการออกแบบวางแผนมาอย่างดี ผมเคยเห็นการทำงานของฮิวเบอร์มาก่อนหน้านี้แล้ว ฝีมือของเขาเฉียบคม ไม่มีความลังเลอยู่เลยในการทำงาน ที่ถ้าลองดูผ่านหน้าจอแล้วอาจจะเห็นว่ามันไม่ได้ยากอะไร

แค่เหนี่ยวไก จากนั้นลูกตะกั่วก็เจาะลงบนร่างของเป้าหมาย ภารกิจเสร็จสิ้น แล้วทุกคนก็แยกย้ายกลับบ้าน

หากผมเคยลงมือทำงานภาคสนามมาบ้าง แม้การสังหรคนของผมจะไม่ได้มีระเบียบแบบแผนอย่างแยบยลและประณีตเหมือนที่หน่วยงานของผมทำ แต่ก็รู้ได้ว่าในการลงสนามจริงๆ อะไรๆ ก็ไม่ง่ายเหมือนอย่างที่ตาเห็นจากหน้าจอมอนิเตอร์หรอก

ผู้ชายคนนี้เด็ดเดี่ยว มีประสาทสัมผัสคมกริบ ยิงปืนแม่นราวกับจับวาง แต่สิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจและประทับใจไปได้พร้อมๆ กันคือความเลือดเย็นของเขาต่างหาก ยิ่งได้ทำงานร่วมกัน รู้จักกับชายหนุ่มผู้นี้มากขึ้นไปเท่าไร ผมก็ยิ่งรู้สึกเหมือนเปิดโลกของตัวเองกว้างขึ้นไปเท่านั้น

“พร้อมรึเปล่า” ชายหนุ่มผู้เป็นแกนหลักของการทำงานภาคสนามในครั้งนี้ถามขึ้น พวกเราทั้งคู่มาอยู่ในโรงแรมแห่งหนึ่งซึ่งห่างจากสถานที่เป้าหมายในการทำงานไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ผมมองเสื้อผ้าลำลองของทั้งตัวเองและอีกฝ่าย เป็นเสื้อผ้าสีทึม และเป็นประเภทแบบที่ว่าใส่ไปที่ไหนก็ไม่สะดุดตาใครแน่นอน กลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมและผู้คนได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญหรือใส่แล้วเคลื่อนไหวสะดวก กระชับตัว

“พร้อมเหรอ” ผมย้อนถามยิ้มๆ อย่างยียวน รับปืนกระบอกหนึ่งที่คนตรงหน้าเพิ่งยัดกระสุนใส่เข้าไปแล้วยื่นมาให้ ผมเช็คดูรังเพลิงอีกรอบ “ผมแค่ไปดูคุณทำงานอย่างใกล้ชิดเท่านั้นไม่ใช่เหรอ ฮิวเบอร์ หน้าที่หลักของผมคืออะไรล่ะ… ไม่ทำตัวเป็นก้างขวางคอคุณใช่ไหม”

“หน้าที่ของนายคือมีชีวิตรอดกลับมา” อีกฝ่ายพูดเรียบๆ และผมอดยิ้มตอบกลับไปไม่ได้ ผู้ฝึกคนปัจจุบันของผมหันมามองหน้าอย่างไม่ค่อยเป็นสุขนัก เขาตีความไปว่ารอยยิ้มของผมบ่งบอกให้เห็นว่าผมไม่เห็นถึงความจริงจัง ความเป็นความตายที่ต้องเผชิญ แต่จริงๆ แล้วผมเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่อถึงอะไร เข้าใจดีด้วยว่าการทำงานแบบนี้ทำให้เส้นกั้นระหว่างความเป็นและตายบางลงมาอีก

“ในสนามจริง เราไม่รู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง” ฮิวเบอร์ว่าต่อ เขาอาจไม่ค่อยชอบใจกับยิ้มโง่ๆ ของผม แต่ก็รู้ว่าผมมีฝีมือพอที่จะเอาตัวรอดได้จากที่ได้ทำงานมาด้วยกัน และเขาคงคร้านเกินกว่าจะพูดตักเตือนกับเรื่องหยุมหยิมแบบนี้ “ไม่เคยมีแผนการไหนสมบูรณ์แบบ ต่อให้มันรัดกุมแค่ไหน แต่แผนการในกระดาษกับสถานการณ์จริงไม่เคยตรงกัน”

“เรื่องที่ไม่ได้คาดการณ์ไว้เกิดขึ้นได้เสมอ” ผมพูดต่ออย่างคนที่จำอะไรได้ขึ้นใจ อีกฝ่ายสอนผมเรื่องนี้มาตลอด ไม่ใช่ด้วยคำพูด แต่เป็นในรูปแบบสถานการณ์จริงๆ

“ถูกต้องแล้ว” เจ้าตัวว่าขณะหยิบหมวกขึ้นมาสวมศีรษะของตัวเองเพื่อพรางตัว หยิบของบางอย่างใส่ลงในกระเป๋าเสื้อโค้ตตัวยาว จากนั้นก็ตรงไปที่ประตูห้อง “ไปกันเถอะ”

พวกเราทั้งคู่เดินผ่านฝูงชนที่อยู่บนท้องถนนและในตัวเมืองกันไปอย่างไม่เร่งร้อน หน้าที่ของผมคือสังเกตพฤติกรรมและการทำงานของคนที่เดินนำหน้าไป ท่าทีของชายหนุ่มสงบ แต่ผมก็รู้อีกอยู่ดีว่าเขาคอยสอดส่องสายตาเพื่อดูว่ามีอะไรที่ผิดปกติหรือควรต้องเฝ้าระวังหรือไม่ มันเป็นการกระทำที่ฝังรากลึกลงไปจนเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของเขาไปแล้ว และผมเองก็กำลังกลายเป็นแบบนั้น

สถานที่ทำเลในการลงมือครั้งนี้อยู่บริเวณสวนสาธารณะแห่งหนึ่งใจกลางเมือง ผมกระชับฮู้ดเสื้อของตัวเองเพื่อป้องกันไม่ให้กล้องตัวใดตัวหนึ่งที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้จับภาพได้ ฮิวเบอร์มีหมวกอยู่แล้ว เขาจึงไม่จำเป็นต้องทำอย่างที่ผมทำ อีกอย่าง… เขาไม่ได้ใส่ฮู้ดแบบผม

เรามาถึงสะพานที่อยู่สูงขึ้นไปหน่อย จากนั้นก็ค่อยๆ เข้าไปในตัวสิ่งก่อสร้างเล็กๆ ที่ไม่ได้ดูเด่นเป็นสง่าเหมือนสิ่งอื่นๆ ที่อยู่ในสวนสาธารณะแห่งนี้ อย่างเช่นรูปปั้นคนดังที่ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใคร

ผมเดินหลบมาอยู่ตรงมุมทันทีเพื่อหลบทางให้ฮิวเบอร์ได้ทำงานของเขา ชายหนุ่มเลื่อนมือไปปิดประตูลงอย่างเงียบเชียบ สถานที่แห่งนี้เหมือนรวมกันระหว่างที่เก็บของและห้องจ่ายไฟ ควบคุมโดยผู้ทำงานที่นี่ของเมืองซึ่งจะไม่กลับเข้ามาทำงานจนกว่าจะถึงเวลาแปดโมงเช้าของวันรุ่งขึ้น

ซึ่งเวลาแค่นั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับพวกเราที่จะทำงานให้เสร็จ… อ้อ ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าเป็นงานของฮิวเบอร์คนเดียวนี่นะ ในเมื่อผมมีหน้าที่แค่สังเกตการณ์… เรียนรู้งานอย่างชิดใกล้ แล้วก็ไม่ทำให้เรื่องแตก เท่านั้นแหละ หน้าที่ของผมในวันนี้

ผมมองฮิวเบอร์จัดแจงหยิบของออกมาจากกระเป๋าของตัวเองเพื่อเตรียมสิ่งที่จะใช้ ในการทำงานยามรุ่งสาง มีชิ้นส่วนจำนวนหนึ่งที่เจ้าตัวหยิบออกมาวางเรียง และในอีกสองนาทีต่อมามันก็ถูกประกอบเป็นปืนไรเฟิลอย่างรวดเร็ว

ผมมองทุกการกระทำนั้นอย่างเงียบงัน นึกถึงปืนพกกระบอกเล็กที่อีกฝ่ายให้ผมมาเผื่อใช้ป้องกันตัว… แต่ดูแล้วงานนี้ผมคงเป็นแค่ตัวประกอบฉากจริงๆ ฮิวเบอร์เริ่มจมลงในความคิดของตัวเอง เขาคงกำลังวางแผนสิ่งที่เขาจะทำในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าในหัว การวางแผนในหัวซ้ำๆ นึกภาพตามจะทำให้การลงมือทำงานจริงๆ เป็นเรื่อง่ายขึ้น… แค่นิดเดียว แต่แค่นิดเดียวก็ช่วยได้มากพอแล้วในการลอบสังหารใครสักคน

ฮิวเบอร์เคยสอนผมว่าการจดจำแผนการทุกอย่างให้ได้เป็นสิ่งที่ต้องทำขั้นแรก และขั้นตอนต่อมาคือการซึมซาบทุกอย่างที่ว่านั่นให้ถึงจุดที่สามารถลงมือทำได้โดยไม่ต้องคิด แค่ทำลงไปเลย

ผมตัดสินใจปล่อยให้เขาอยู่กับตัวเองเงียบๆ ทั้งหมดนั่นกินเวลาเกือบชั่วโมง… จริงๆ ถ้าคิดว่าผมไม่ได้ต้องลงมือทำอย่างเขา การต้องนั่งอยู่เฉยๆ แบบนี้ก็อาจจะดูน่าเบื่อ… จนกระทั่งชายหนุ่มเปิดปากพูดขึ้นมาในที่สุด

“ฉันเคยคิดเสมอว่าพวกเขาไม่ควรเอานายเข้ามาเลย”

ผมนิ่งเงียบไปกับคำพูดนั้น น้ำเสียงของฮิวเบอร์ราบเรียบ ผมเลยไม่แน่ใจว่าเขากำลังจะสื่อว่าอะไร

“ผมทำอะไรให้คุณผิดหวังเหรอครับ”

“เปล่า” อีกฝ่ายตอบ สบตาผมตรงๆ “เธอยังเด็ก เด็กเกินกว่าจะต้องมาทำงานแบบนี้”

ผมคิดว่าตัวเองจะยกยิ้มกวนประสาทกลับไปให้อีกฝ่าย แต่ผมก็ไม่ได้ยิ้ม

“คุณฆ่าคนครั้งแรกตอนอายุเท่าไร ฮิวเบอร์”

“นายไม่อยากรู้เรื่องนั้นหรอก”

“ผมเองก็ไม่อยากให้คุณรู้เรื่องนั้นเหมือนกัน”

ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง แต่ผมตัดสินใจพูดต่อ

“ผมรู้นะว่าคุณเองก็เข้าร่วมดีซีไอเอสตอนอายุประมาณผม”

“แต่ฉันไม่ได้จะต้องลงสนามเร็วเท่านาย”

ผมเงียบไปนิดหนึ่ง เข้าใจความหมายของคำพูดนั้นทันที อีกไม่นานจะมีภารกิจมาให้ผมทำเองคนเดียว… คนคนนี้ฝึกผม ปั้นผมอย่างรวดเร็วเพื่อที่ทางหน่วยงานจะได้ใช้งานผมได้อย่างทันท่วงที

“ผมคิดว่าผมรับมือได้ครับ” ผมพูดตัดบทและอีกฝ่ายก็นิ่งเสีย ฮิวเบอร์หยิบกระเป๋าของตัวเองมา ใช้แทนหมอน จากนั้นก็หลับตาลง รอจนกว่าจะถึงเวลาทำงานจริงๆ ของเขา

ผมไม่หลับ อาจเพราะยังไม่เคยชินกับการออกภาคสนามเท่าเขา ผมจึงแค่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยผ่านไป นึกสงสัยเหมือนกันว่าเขาจะตื่นขึ้นมาตามกำหนดการได้หรือ เพราะในสถานการณ์แบบนี้ แน่นอนล่ะว่าเราไม่ใช่นาฬิกาปลุก มันคงตลกน่าดูถ้าต้องมาต้องนาฬิกาเพื่อให้มันบอกเวลาที่เราต้องฆ่าคน

อีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา เป็นเวลาหกโมงเช้ากับอีกเล็กน้อย ฮิวเบอร์ลุกพรวดขึ้นมาราวกับเขามีนาฬิกาอยู่ในตัว จากนั้นก็ถึงขั้นตอนต่อไป ขั้นตอนที่สำคัญที่สุด

ผมมองชายหนุ่มตรงหน้าเดินไปที่บริเวณหนึ่งของกำแพงหิน มีรูอยู่สองรูตรงนั้น… หากมันมีอะไรอุดอยู่เพื่อไม่ให้ใครต่อใครรับรู้ถึงการมีอยู่ของมัน รูพวกนี้ ทีมที่จัดการเตรียมการวางแผนทำไว้ให้ตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ฮิวเบอร์จัดการดึงอะไรบางอย่างที่ปิดรูนั่นออก จากนั้นก็จัดแจงวางลำกล้องปืนไรเฟิลของเขาลงในรูหนึ่ง หยุดก่อนที่ปลายของมันจะทะลุออกไปด้านนอก นี่จะทำให้การเล็งเป้าลำบากมากขึ้นเพราะไม่สามารถขยับปากกระบอกปืนที่ว่าไปทางไหนได้เลย แต่ก็อีกนั่นแหละ เขาต้องใช้อะไรที่มันมีมาให้ ไม่มากไปกว่านั้น การทำงานของพวกเขาไม่สามารถทำได้ในสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์แบบอยู่แล้ว

ผมมองฮิวเบอร์หยิบที่หูฟังขนาดหัวแม่ก้อยออกมาสวม รวบรวมของของตัวเองติดตัว เพื่อที่ว่าพอทุกอย่างจบลงจะได้ออกวิ่งและไปจากที่นี่ได้ทันที ผมเองก็เริ่มทำแบบเดียวกัน ผมหยิบแท็บเล็ตเครื่องใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อยตามออกมา ผมสามารถมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสวนได้ผ่านจอนี้

พวกเราทั้งคู่ฟังเสียงที่อาจโผล่ขึ้นมาจากหูฟังแบบไร้สายอย่างระมัดระวัง หากไม่มีอะไรมาจากอีกทีม นั่นหมายความว่าเป้าหมายกำลังเดินทางมายังสถานที่ที่อาจเป็นลานประหารของเขา

หน้าที่ของฮิวเบอร์มีแค่ลั่นไกใส่เป้าหมายที่จะออกมาจ๊อกกิ้งยามเช้าพร้อมกับบอดี้การ์ดเป็นขโยงของเขา ถ้าฮิวเบอร์ยิงเร็วหรือช้าไปแค่เสี้ยววิฯ… คนคนนั้นก็จะรอด

หากชายหนุ่มผู้เป็นครูฝึกของผมไม่พลาด… ในการทำภารกิจของเขาแต่ละครั้ง แทบไม่เคยมีคำคำนี้อยู่เลยด้วยซ้ำ

จากหน้าจอ… ผมมองเป้าหมายของพวกเราล้มลงไปกองกับพื้นท่ามกลางความสับสนของเหล่าชายคุ้มกันที่ล้อมหน้าล้อมหลังเขาและกำลังสอดส่ายสายตาหาตัวคนร้ายอย่างเอาเป็นเอาตาย

ฮิวเบอร์เก็บกลับเข้ามา แยกชิ้นส่วนมันออกอย่างชำนาญการ เก็บมันใส่ไว้ในกระเป๋าด้วยท่าทีสงบหากรวดเร็ว เก็บส่วนที่เอาไว้ใช้ปิดรูบนกำแพงลงไปตามเดิม จากนั้นก็หันมามองหน้าเขาด้วยสีหน้าสงบ

“ภารกิจเสร็จสิ้น”

เสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นมาในหู ผมดึงหูฟังไร้สายออกเช่นเดียวกับชายข้างตัว จากนั้นพวกเราทั้งคู่ก็เดินกลับมาที่โรงแรมเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เข้ามาในห้องพัก ผมเดินไปที่เตียงฝั่งของตัวเอง มีของที่ไม่สลักสำคัญอะไรสองสามชิ้นที่ผมวางทิ้งไว้ที่นี่

“ผมควรจะพูดไหม” ผมเปิดปากพูดขึ้นเป็นประโยคแรกตั้งแต่เสร็จสิ้นภารกิจทั้งหมด “ว่าขอแสดงความยินดีด้วยน่ะ”

“ถ้าถามฉัน” ฮิวเบอร์ตอบกลับมาด้วยสีหน้าและน้ำเสียงไร้อารมณ์เช่นเคย “ฉันก็จะบอกว่าไม่ควร”

“ทำไมล่ะครับ”

“มีอะไรน่ายินดีเหรอ กับการฆ่าคน”

“ถ้างั้น… ผมควรจะพูดอะไรในสถานการณ์แบบนี้ล่ะ?”

“ไม่ต้องพูดอะไรเลย”

คำตอบนั้นทำให้ผมนิ่งคิดไปนิดหนึ่ง หากท่าทางเยือกเย็นและสงบของอีกฝ่ายทำให้ผมหลุดปากถามต่ออย่างอดไม่อยู่

“งั้นผมถามได้ไหมครับ ว่าคุณรู้สึกยังไง”

อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาจากข้าวของของตัวเอง พวกเราจะเตรียมตัวกลับไปที่นิวยอร์กในเย็นนี้โดยจะมีรถของหน่วยงานมารับ

“ถ้าฉันตอบว่าไม่รู้สึกอะไรเลย” ฮิวเบอร์ว่า “เธอจะเชื่อไหม”

ผมยกยิ้มบนมุมปาก จากนั้นก็พูดออกมาตรงๆ อย่างที่ใจคิด

“ผมสงสัยจริงๆ ว่า…” พูดพร้อมกับสบตาอีกฝ่ายอย่างค้นคว้า “มนุษย์กับปีศาจเนี่ย ต่างกันตรงไหนเหรอครับ”

“เธอเข้าใจผิดแล้ว โลแกน” ชายหนุ่มยังคงมีสีหน้าราบเรียบ ไม่สะทกสะท้านใดๆ “มนุษย์น่ะ… เลวร้ายกว่าปีศาจเสียอีก ถ้าเธอถามฉันน่ะนะ”









ผมกลับมาอยู่ที่ห้องพักของตัวเองในหอที่ทางหน่วยงานจัดเตรียมไว้ให้ หลังจากนี้ผมน่าจะมีเวลาว่างอยู่จนกว่าจะถึงวันจันทร์ถัดไป

ไปหาลูคัสดีกว่า… คราวที่แล้วผิดสัญญากับมันไว้ หมอนั่นคงโกรธน่าดู

คิดแล้วผมก็คว้ากระเป๋าเป้ใบเล็ก เอาของเท่าที่ต้องการแล้วก็เดินไปบึ่งรถของตัวเองออกจากแห่งนั้น

เอ่อ… แต่จะว่าไป… วันนี้มันวันศุกร์ ไม่รู้หมอนั่นจะกลับมาถึงบ้านหรือยัง ไม่รู้ตารางเรียนของมันด้วย หรือไม่มันก็อาจจะไปทำอะไรที่ไหนอย่างอื่น…

คิดแล้วผมก็เปิดโทรศัพท์ ค้นหาสัญญาณที่ระบุว่าพี่ชายฝาแฝดของผมอยู่ที่ไหน ผมเป็นคนบอกลูคัสเรื่อง GPS ที่ว่านี้เอง เผื่อว่าวันดีคืนดีหมอนี่โดนจับตัวไปไหน ผมจะได้ตามไปช่วยมันทัน หรือต่อให้ตอนนั้นผมไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ผมก็ยังสามารถบอกแมคโดเวลให้ส่งคนไปช่วยมันได้อยู่ดี

ผมมองพิกัดที่พี่ชายฝาแฝดของตัวเองอยู่แล้วขับรถมุ่งหน้าไปยังพื้นที่นั้น กำลังคิดว่าจะโทรไปบอกเจ้าตัวอยู่เหมือนกัน แต่ขับรถไปเรื่อยๆ ก็ชักขี้เกียจ… ไว้ค่อยบอกตอนไปเจอหน้าหมอนั่นเลยก็ได้ว่าจะไปหา (?)

ว่าแต่หมอนี่ไปกินร้านแถบขึ้นชื่อเหมือนกันนะเนี่ย… เดี๋ยวนี้ยอมใช้เงินไปกับอะไรแบบนี้แล้วเหรอ เมื่อก่อนนี่เห็นบ่นจัง แถมยังเหนียวสุดๆ กับเรื่องพวกนี้

เออ สงสัยมันคงมาฉลองเรื่องรางวัลที่เพิ่งได้ ก็ดีเหมือนกัน หาความสุขใส่ตัวซะบ้าง จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน ว่าแต่หมอนี่มากับใครนะ กับปีเตอร์แล้วก็เพื่อนๆ สมัยมัธยมรึเปล่า… ไม่คิดว่ามันจะกินคนเดียวในร้านแบบนี้หรอกนะ

ผมเดินลงจากรถแล้วปิดประตู กำลังคิดคำแก้ตัวที่สัปดาห์ที่แล้วหายหน้าไปแถมยังส่งข้อความไปบอกเจ้าตัวช้าอยู่ เป็นจังหวะเดียวกับที่สายตาเหลือบไปเห็นลูคัสที่นั่งอยู่บนโต๊ะภายในร้านพอดี

ตรงหน้าเจ้าตัวมีแก้วไวน์แดงและจานอาหารวางอยู่ แต่งตัวค่อนข้างเป็นทางการ เพราะการจะเข้าร้านอาหารระดับนี้ได้ การแต่งกายที่เหมาะสมก็เป็นเรื่องสำคัญเหมือนกัน

พี่ชายฝาแฝดผมกำลังหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดี นิ้วเรียวเลื่อนไปยกแก้วไวน์ขึ้นมาจิบเบาๆ

ทุกอย่างดูดี ดูเป็นปกติ แล้วผมก็ดีใจนะที่เห็นหมอนั่นมีความสุข

...ว่าแต่ไอ้ผู้ชายใส่แว่นที่นั่งกินข้าวอยู่กับพี่ชายผมนี่มันใครกันวะ?





----------------------------------------
Talk: จะใครล่ะ โลแกน ก็ชู้--- เอ้ย เพื่อนใหม่ลูคัสไง!

ออฟไลน์ angel_Z4

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 783
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
อาจารย์เขาไงๆ ไม่ใช่ชู้เล๊ยยย :hao7:

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
เราพลาดเรื่องนี้ไปได้ยังง้ายยยยยย โอ้ยย นี่มัน twincest แนวที่ชอบชัดๆเลย คือดีถึงแม้แรกๆจะหมั่นไส้อิตาโลแกนบ้างก็เถอะแต่เดี๋ยวนี้ทำตัวดีขึ้น ให้อภัยก็แล้วกัน ส่วนลูคัสนี่เป็นห่วงนิดๆกลัวเจออะนตรายอีก

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ไมเคิล ยิ้มแล้วดูดี
ลู ก็ไม่อยากให้ไมเคิลยิ้ม เพราะเดี๋ยวคนเข้าหา
แล้วไมเคิล จะไม่มีเวลาสอนตัวเอง
ว่าแต่ไมเคิล พอลู ขอโทษ ก็หายโกรธไวนะ
สัมพันธภาพระหว่างอาจารย์ กับศิษย์ ดีขึ้นนะ
แถมยังมาเลี้ยงฉลองให้อีก
เพิ่งตีมือกันไปแป๊บๆ เอง  :katai1:
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ zonpine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
ไงล่ะๆดูซิว่าโลแกนจะทำไงต่อ
เรื่องนี้จะไม่ดราม่าใช่ไหมค่ะ รอต่อไปค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด