บทที่ 32
(Mode: Logan Collins)
ผมได้ลงสนามจริงครั้งแรกโดยที่มีหน้าที่เป็นผู้สังเกตการณ์ตามติดตูดของไรอัน ฮิวเบอร์ราวกับเป็นลูกสุนัขติดตามนายและกลัวว่าจะโดนทอดทิ้ง
จริงๆ แล้วก่อนหน้านี้ ทางหน่วยงานให้ผมดูสถานการณ์ทุกอย่างผ่านทางหน้าจอมอนิเตอร์ การทำงานล่าสังหารใครสักคนที่ได้รับการออกแบบวางแผนมาอย่างดี ผมเคยเห็นการทำงานของฮิวเบอร์มาก่อนหน้านี้แล้ว ฝีมือของเขาเฉียบคม ไม่มีความลังเลอยู่เลยในการทำงาน ที่ถ้าลองดูผ่านหน้าจอแล้วอาจจะเห็นว่ามันไม่ได้ยากอะไร
แค่เหนี่ยวไก จากนั้นลูกตะกั่วก็เจาะลงบนร่างของเป้าหมาย ภารกิจเสร็จสิ้น แล้วทุกคนก็แยกย้ายกลับบ้าน
หากผมเคยลงมือทำงานภาคสนามมาบ้าง แม้การสังหรคนของผมจะไม่ได้มีระเบียบแบบแผนอย่างแยบยลและประณีตเหมือนที่หน่วยงานของผมทำ แต่ก็รู้ได้ว่าในการลงสนามจริงๆ อะไรๆ ก็ไม่ง่ายเหมือนอย่างที่ตาเห็นจากหน้าจอมอนิเตอร์หรอก
ผู้ชายคนนี้เด็ดเดี่ยว มีประสาทสัมผัสคมกริบ ยิงปืนแม่นราวกับจับวาง แต่สิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจและประทับใจไปได้พร้อมๆ กันคือความเลือดเย็นของเขาต่างหาก ยิ่งได้ทำงานร่วมกัน รู้จักกับชายหนุ่มผู้นี้มากขึ้นไปเท่าไร ผมก็ยิ่งรู้สึกเหมือนเปิดโลกของตัวเองกว้างขึ้นไปเท่านั้น
“พร้อมรึเปล่า” ชายหนุ่มผู้เป็นแกนหลักของการทำงานภาคสนามในครั้งนี้ถามขึ้น พวกเราทั้งคู่มาอยู่ในโรงแรมแห่งหนึ่งซึ่งห่างจากสถานที่เป้าหมายในการทำงานไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ผมมองเสื้อผ้าลำลองของทั้งตัวเองและอีกฝ่าย เป็นเสื้อผ้าสีทึม และเป็นประเภทแบบที่ว่าใส่ไปที่ไหนก็ไม่สะดุดตาใครแน่นอน กลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมและผู้คนได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญหรือใส่แล้วเคลื่อนไหวสะดวก กระชับตัว
“พร้อมเหรอ” ผมย้อนถามยิ้มๆ อย่างยียวน รับปืนกระบอกหนึ่งที่คนตรงหน้าเพิ่งยัดกระสุนใส่เข้าไปแล้วยื่นมาให้ ผมเช็คดูรังเพลิงอีกรอบ “ผมแค่ไปดูคุณทำงานอย่างใกล้ชิดเท่านั้นไม่ใช่เหรอ ฮิวเบอร์ หน้าที่หลักของผมคืออะไรล่ะ… ไม่ทำตัวเป็นก้างขวางคอคุณใช่ไหม”
“หน้าที่ของนายคือมีชีวิตรอดกลับมา” อีกฝ่ายพูดเรียบๆ และผมอดยิ้มตอบกลับไปไม่ได้ ผู้ฝึกคนปัจจุบันของผมหันมามองหน้าอย่างไม่ค่อยเป็นสุขนัก เขาตีความไปว่ารอยยิ้มของผมบ่งบอกให้เห็นว่าผมไม่เห็นถึงความจริงจัง ความเป็นความตายที่ต้องเผชิญ แต่จริงๆ แล้วผมเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่อถึงอะไร เข้าใจดีด้วยว่าการทำงานแบบนี้ทำให้เส้นกั้นระหว่างความเป็นและตายบางลงมาอีก
“ในสนามจริง เราไม่รู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง” ฮิวเบอร์ว่าต่อ เขาอาจไม่ค่อยชอบใจกับยิ้มโง่ๆ ของผม แต่ก็รู้ว่าผมมีฝีมือพอที่จะเอาตัวรอดได้จากที่ได้ทำงานมาด้วยกัน และเขาคงคร้านเกินกว่าจะพูดตักเตือนกับเรื่องหยุมหยิมแบบนี้ “ไม่เคยมีแผนการไหนสมบูรณ์แบบ ต่อให้มันรัดกุมแค่ไหน แต่แผนการในกระดาษกับสถานการณ์จริงไม่เคยตรงกัน”
“เรื่องที่ไม่ได้คาดการณ์ไว้เกิดขึ้นได้เสมอ” ผมพูดต่ออย่างคนที่จำอะไรได้ขึ้นใจ อีกฝ่ายสอนผมเรื่องนี้มาตลอด ไม่ใช่ด้วยคำพูด แต่เป็นในรูปแบบสถานการณ์จริงๆ
“ถูกต้องแล้ว” เจ้าตัวว่าขณะหยิบหมวกขึ้นมาสวมศีรษะของตัวเองเพื่อพรางตัว หยิบของบางอย่างใส่ลงในกระเป๋าเสื้อโค้ตตัวยาว จากนั้นก็ตรงไปที่ประตูห้อง “ไปกันเถอะ”
พวกเราทั้งคู่เดินผ่านฝูงชนที่อยู่บนท้องถนนและในตัวเมืองกันไปอย่างไม่เร่งร้อน หน้าที่ของผมคือสังเกตพฤติกรรมและการทำงานของคนที่เดินนำหน้าไป ท่าทีของชายหนุ่มสงบ แต่ผมก็รู้อีกอยู่ดีว่าเขาคอยสอดส่องสายตาเพื่อดูว่ามีอะไรที่ผิดปกติหรือควรต้องเฝ้าระวังหรือไม่ มันเป็นการกระทำที่ฝังรากลึกลงไปจนเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของเขาไปแล้ว และผมเองก็กำลังกลายเป็นแบบนั้น
สถานที่ทำเลในการลงมือครั้งนี้อยู่บริเวณสวนสาธารณะแห่งหนึ่งใจกลางเมือง ผมกระชับฮู้ดเสื้อของตัวเองเพื่อป้องกันไม่ให้กล้องตัวใดตัวหนึ่งที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้จับภาพได้ ฮิวเบอร์มีหมวกอยู่แล้ว เขาจึงไม่จำเป็นต้องทำอย่างที่ผมทำ อีกอย่าง… เขาไม่ได้ใส่ฮู้ดแบบผม
เรามาถึงสะพานที่อยู่สูงขึ้นไปหน่อย จากนั้นก็ค่อยๆ เข้าไปในตัวสิ่งก่อสร้างเล็กๆ ที่ไม่ได้ดูเด่นเป็นสง่าเหมือนสิ่งอื่นๆ ที่อยู่ในสวนสาธารณะแห่งนี้ อย่างเช่นรูปปั้นคนดังที่ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใคร
ผมเดินหลบมาอยู่ตรงมุมทันทีเพื่อหลบทางให้ฮิวเบอร์ได้ทำงานของเขา ชายหนุ่มเลื่อนมือไปปิดประตูลงอย่างเงียบเชียบ สถานที่แห่งนี้เหมือนรวมกันระหว่างที่เก็บของและห้องจ่ายไฟ ควบคุมโดยผู้ทำงานที่นี่ของเมืองซึ่งจะไม่กลับเข้ามาทำงานจนกว่าจะถึงเวลาแปดโมงเช้าของวันรุ่งขึ้น
ซึ่งเวลาแค่นั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับพวกเราที่จะทำงานให้เสร็จ… อ้อ ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าเป็นงานของฮิวเบอร์คนเดียวนี่นะ ในเมื่อผมมีหน้าที่แค่สังเกตการณ์… เรียนรู้งานอย่างชิดใกล้ แล้วก็ไม่ทำให้เรื่องแตก เท่านั้นแหละ หน้าที่ของผมในวันนี้
ผมมองฮิวเบอร์จัดแจงหยิบของออกมาจากกระเป๋าของตัวเองเพื่อเตรียมสิ่งที่จะใช้ ในการทำงานยามรุ่งสาง มีชิ้นส่วนจำนวนหนึ่งที่เจ้าตัวหยิบออกมาวางเรียง และในอีกสองนาทีต่อมามันก็ถูกประกอบเป็นปืนไรเฟิลอย่างรวดเร็ว
ผมมองทุกการกระทำนั้นอย่างเงียบงัน นึกถึงปืนพกกระบอกเล็กที่อีกฝ่ายให้ผมมาเผื่อใช้ป้องกันตัว… แต่ดูแล้วงานนี้ผมคงเป็นแค่ตัวประกอบฉากจริงๆ ฮิวเบอร์เริ่มจมลงในความคิดของตัวเอง เขาคงกำลังวางแผนสิ่งที่เขาจะทำในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าในหัว การวางแผนในหัวซ้ำๆ นึกภาพตามจะทำให้การลงมือทำงานจริงๆ เป็นเรื่อง่ายขึ้น… แค่นิดเดียว แต่แค่นิดเดียวก็ช่วยได้มากพอแล้วในการลอบสังหารใครสักคน
ฮิวเบอร์เคยสอนผมว่าการจดจำแผนการทุกอย่างให้ได้เป็นสิ่งที่ต้องทำขั้นแรก และขั้นตอนต่อมาคือการซึมซาบทุกอย่างที่ว่านั่นให้ถึงจุดที่สามารถลงมือทำได้โดยไม่ต้องคิด แค่ทำลงไปเลย
ผมตัดสินใจปล่อยให้เขาอยู่กับตัวเองเงียบๆ ทั้งหมดนั่นกินเวลาเกือบชั่วโมง… จริงๆ ถ้าคิดว่าผมไม่ได้ต้องลงมือทำอย่างเขา การต้องนั่งอยู่เฉยๆ แบบนี้ก็อาจจะดูน่าเบื่อ… จนกระทั่งชายหนุ่มเปิดปากพูดขึ้นมาในที่สุด
“ฉันเคยคิดเสมอว่าพวกเขาไม่ควรเอานายเข้ามาเลย”
ผมนิ่งเงียบไปกับคำพูดนั้น น้ำเสียงของฮิวเบอร์ราบเรียบ ผมเลยไม่แน่ใจว่าเขากำลังจะสื่อว่าอะไร
“ผมทำอะไรให้คุณผิดหวังเหรอครับ”
“เปล่า” อีกฝ่ายตอบ สบตาผมตรงๆ “เธอยังเด็ก เด็กเกินกว่าจะต้องมาทำงานแบบนี้”
ผมคิดว่าตัวเองจะยกยิ้มกวนประสาทกลับไปให้อีกฝ่าย แต่ผมก็ไม่ได้ยิ้ม
“คุณฆ่าคนครั้งแรกตอนอายุเท่าไร ฮิวเบอร์”
“นายไม่อยากรู้เรื่องนั้นหรอก”
“ผมเองก็ไม่อยากให้คุณรู้เรื่องนั้นเหมือนกัน”
ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง แต่ผมตัดสินใจพูดต่อ
“ผมรู้นะว่าคุณเองก็เข้าร่วมดีซีไอเอสตอนอายุประมาณผม”
“แต่ฉันไม่ได้จะต้องลงสนามเร็วเท่านาย”
ผมเงียบไปนิดหนึ่ง เข้าใจความหมายของคำพูดนั้นทันที อีกไม่นานจะมีภารกิจมาให้ผมทำเองคนเดียว… คนคนนี้ฝึกผม ปั้นผมอย่างรวดเร็วเพื่อที่ทางหน่วยงานจะได้ใช้งานผมได้อย่างทันท่วงที
“ผมคิดว่าผมรับมือได้ครับ” ผมพูดตัดบทและอีกฝ่ายก็นิ่งเสีย ฮิวเบอร์หยิบกระเป๋าของตัวเองมา ใช้แทนหมอน จากนั้นก็หลับตาลง รอจนกว่าจะถึงเวลาทำงานจริงๆ ของเขา
ผมไม่หลับ อาจเพราะยังไม่เคยชินกับการออกภาคสนามเท่าเขา ผมจึงแค่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยผ่านไป นึกสงสัยเหมือนกันว่าเขาจะตื่นขึ้นมาตามกำหนดการได้หรือ เพราะในสถานการณ์แบบนี้ แน่นอนล่ะว่าเราไม่ใช่นาฬิกาปลุก มันคงตลกน่าดูถ้าต้องมาต้องนาฬิกาเพื่อให้มันบอกเวลาที่เราต้องฆ่าคน
อีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา เป็นเวลาหกโมงเช้ากับอีกเล็กน้อย ฮิวเบอร์ลุกพรวดขึ้นมาราวกับเขามีนาฬิกาอยู่ในตัว จากนั้นก็ถึงขั้นตอนต่อไป ขั้นตอนที่สำคัญที่สุด
ผมมองชายหนุ่มตรงหน้าเดินไปที่บริเวณหนึ่งของกำแพงหิน มีรูอยู่สองรูตรงนั้น… หากมันมีอะไรอุดอยู่เพื่อไม่ให้ใครต่อใครรับรู้ถึงการมีอยู่ของมัน รูพวกนี้ ทีมที่จัดการเตรียมการวางแผนทำไว้ให้ตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ฮิวเบอร์จัดการดึงอะไรบางอย่างที่ปิดรูนั่นออก จากนั้นก็จัดแจงวางลำกล้องปืนไรเฟิลของเขาลงในรูหนึ่ง หยุดก่อนที่ปลายของมันจะทะลุออกไปด้านนอก นี่จะทำให้การเล็งเป้าลำบากมากขึ้นเพราะไม่สามารถขยับปากกระบอกปืนที่ว่าไปทางไหนได้เลย แต่ก็อีกนั่นแหละ เขาต้องใช้อะไรที่มันมีมาให้ ไม่มากไปกว่านั้น การทำงานของพวกเขาไม่สามารถทำได้ในสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์แบบอยู่แล้ว
ผมมองฮิวเบอร์หยิบที่หูฟังขนาดหัวแม่ก้อยออกมาสวม รวบรวมของของตัวเองติดตัว เพื่อที่ว่าพอทุกอย่างจบลงจะได้ออกวิ่งและไปจากที่นี่ได้ทันที ผมเองก็เริ่มทำแบบเดียวกัน ผมหยิบแท็บเล็ตเครื่องใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อยตามออกมา ผมสามารถมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสวนได้ผ่านจอนี้
พวกเราทั้งคู่ฟังเสียงที่อาจโผล่ขึ้นมาจากหูฟังแบบไร้สายอย่างระมัดระวัง หากไม่มีอะไรมาจากอีกทีม นั่นหมายความว่าเป้าหมายกำลังเดินทางมายังสถานที่ที่อาจเป็นลานประหารของเขา
หน้าที่ของฮิวเบอร์มีแค่ลั่นไกใส่เป้าหมายที่จะออกมาจ๊อกกิ้งยามเช้าพร้อมกับบอดี้การ์ดเป็นขโยงของเขา ถ้าฮิวเบอร์ยิงเร็วหรือช้าไปแค่เสี้ยววิฯ… คนคนนั้นก็จะรอด
หากชายหนุ่มผู้เป็นครูฝึกของผมไม่พลาด… ในการทำภารกิจของเขาแต่ละครั้ง แทบไม่เคยมีคำคำนี้อยู่เลยด้วยซ้ำ
จากหน้าจอ… ผมมองเป้าหมายของพวกเราล้มลงไปกองกับพื้นท่ามกลางความสับสนของเหล่าชายคุ้มกันที่ล้อมหน้าล้อมหลังเขาและกำลังสอดส่ายสายตาหาตัวคนร้ายอย่างเอาเป็นเอาตาย
ฮิวเบอร์เก็บกลับเข้ามา แยกชิ้นส่วนมันออกอย่างชำนาญการ เก็บมันใส่ไว้ในกระเป๋าด้วยท่าทีสงบหากรวดเร็ว เก็บส่วนที่เอาไว้ใช้ปิดรูบนกำแพงลงไปตามเดิม จากนั้นก็หันมามองหน้าเขาด้วยสีหน้าสงบ
“ภารกิจเสร็จสิ้น”
เสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นมาในหู ผมดึงหูฟังไร้สายออกเช่นเดียวกับชายข้างตัว จากนั้นพวกเราทั้งคู่ก็เดินกลับมาที่โรงแรมเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เข้ามาในห้องพัก ผมเดินไปที่เตียงฝั่งของตัวเอง มีของที่ไม่สลักสำคัญอะไรสองสามชิ้นที่ผมวางทิ้งไว้ที่นี่
“ผมควรจะพูดไหม” ผมเปิดปากพูดขึ้นเป็นประโยคแรกตั้งแต่เสร็จสิ้นภารกิจทั้งหมด “ว่าขอแสดงความยินดีด้วยน่ะ”
“ถ้าถามฉัน” ฮิวเบอร์ตอบกลับมาด้วยสีหน้าและน้ำเสียงไร้อารมณ์เช่นเคย “ฉันก็จะบอกว่าไม่ควร”
“ทำไมล่ะครับ”
“มีอะไรน่ายินดีเหรอ กับการฆ่าคน”
“ถ้างั้น… ผมควรจะพูดอะไรในสถานการณ์แบบนี้ล่ะ?”
“ไม่ต้องพูดอะไรเลย”
คำตอบนั้นทำให้ผมนิ่งคิดไปนิดหนึ่ง หากท่าทางเยือกเย็นและสงบของอีกฝ่ายทำให้ผมหลุดปากถามต่ออย่างอดไม่อยู่
“งั้นผมถามได้ไหมครับ ว่าคุณรู้สึกยังไง”
อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาจากข้าวของของตัวเอง พวกเราจะเตรียมตัวกลับไปที่นิวยอร์กในเย็นนี้โดยจะมีรถของหน่วยงานมารับ
“ถ้าฉันตอบว่าไม่รู้สึกอะไรเลย” ฮิวเบอร์ว่า “เธอจะเชื่อไหม”
ผมยกยิ้มบนมุมปาก จากนั้นก็พูดออกมาตรงๆ อย่างที่ใจคิด
“ผมสงสัยจริงๆ ว่า…” พูดพร้อมกับสบตาอีกฝ่ายอย่างค้นคว้า “มนุษย์กับปีศาจเนี่ย ต่างกันตรงไหนเหรอครับ”
“เธอเข้าใจผิดแล้ว โลแกน” ชายหนุ่มยังคงมีสีหน้าราบเรียบ ไม่สะทกสะท้านใดๆ “มนุษย์น่ะ… เลวร้ายกว่าปีศาจเสียอีก ถ้าเธอถามฉันน่ะนะ”
…
ผมกลับมาอยู่ที่ห้องพักของตัวเองในหอที่ทางหน่วยงานจัดเตรียมไว้ให้ หลังจากนี้ผมน่าจะมีเวลาว่างอยู่จนกว่าจะถึงวันจันทร์ถัดไป
ไปหาลูคัสดีกว่า… คราวที่แล้วผิดสัญญากับมันไว้ หมอนั่นคงโกรธน่าดู
คิดแล้วผมก็คว้ากระเป๋าเป้ใบเล็ก เอาของเท่าที่ต้องการแล้วก็เดินไปบึ่งรถของตัวเองออกจากแห่งนั้น
เอ่อ… แต่จะว่าไป… วันนี้มันวันศุกร์ ไม่รู้หมอนั่นจะกลับมาถึงบ้านหรือยัง ไม่รู้ตารางเรียนของมันด้วย หรือไม่มันก็อาจจะไปทำอะไรที่ไหนอย่างอื่น…
คิดแล้วผมก็เปิดโทรศัพท์ ค้นหาสัญญาณที่ระบุว่าพี่ชายฝาแฝดของผมอยู่ที่ไหน ผมเป็นคนบอกลูคัสเรื่อง GPS ที่ว่านี้เอง เผื่อว่าวันดีคืนดีหมอนี่โดนจับตัวไปไหน ผมจะได้ตามไปช่วยมันทัน หรือต่อให้ตอนนั้นผมไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ผมก็ยังสามารถบอกแมคโดเวลให้ส่งคนไปช่วยมันได้อยู่ดี
ผมมองพิกัดที่พี่ชายฝาแฝดของตัวเองอยู่แล้วขับรถมุ่งหน้าไปยังพื้นที่นั้น กำลังคิดว่าจะโทรไปบอกเจ้าตัวอยู่เหมือนกัน แต่ขับรถไปเรื่อยๆ ก็ชักขี้เกียจ… ไว้ค่อยบอกตอนไปเจอหน้าหมอนั่นเลยก็ได้ว่าจะไปหา (?)
ว่าแต่หมอนี่ไปกินร้านแถบขึ้นชื่อเหมือนกันนะเนี่ย… เดี๋ยวนี้ยอมใช้เงินไปกับอะไรแบบนี้แล้วเหรอ เมื่อก่อนนี่เห็นบ่นจัง แถมยังเหนียวสุดๆ กับเรื่องพวกนี้
เออ สงสัยมันคงมาฉลองเรื่องรางวัลที่เพิ่งได้ ก็ดีเหมือนกัน หาความสุขใส่ตัวซะบ้าง จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน ว่าแต่หมอนี่มากับใครนะ กับปีเตอร์แล้วก็เพื่อนๆ สมัยมัธยมรึเปล่า… ไม่คิดว่ามันจะกินคนเดียวในร้านแบบนี้หรอกนะ
ผมเดินลงจากรถแล้วปิดประตู กำลังคิดคำแก้ตัวที่สัปดาห์ที่แล้วหายหน้าไปแถมยังส่งข้อความไปบอกเจ้าตัวช้าอยู่ เป็นจังหวะเดียวกับที่สายตาเหลือบไปเห็นลูคัสที่นั่งอยู่บนโต๊ะภายในร้านพอดี
ตรงหน้าเจ้าตัวมีแก้วไวน์แดงและจานอาหารวางอยู่ แต่งตัวค่อนข้างเป็นทางการ เพราะการจะเข้าร้านอาหารระดับนี้ได้ การแต่งกายที่เหมาะสมก็เป็นเรื่องสำคัญเหมือนกัน
พี่ชายฝาแฝดผมกำลังหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดี นิ้วเรียวเลื่อนไปยกแก้วไวน์ขึ้นมาจิบเบาๆ
ทุกอย่างดูดี ดูเป็นปกติ แล้วผมก็ดีใจนะที่เห็นหมอนั่นมีความสุข
...ว่าแต่ไอ้ผู้ชายใส่แว่นที่นั่งกินข้าวอยู่กับพี่ชายผมนี่มันใครกันวะ?
----------------------------------------
Talk: จะใครล่ะ โลแกน ก็ชู้--- เอ้ย เพื่อนใหม่ลูคัสไง!