My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด[จบแล้ว][Updateเรื่องรวมเล่ม]P.7
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด[จบแล้ว][Updateเรื่องรวมเล่ม]P.7  (อ่าน 70022 ครั้ง)

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3


บทที่ 33

(Mode: Lucas Collins)





ผลสุดท้ายปีเตอร์ก็มากินข้าวกับผมแล้วก็ไมเคิลไม่ได้ เห็นเจ้าตัวบอกว่าติดธุระกับทางบ้านแล้ว แต่เจ้าตัวบอกว่าจะมาฉลองให้ผมวันหลัง แล้วคราวหน้าเรานัดกินข้าวกลุ่มใหญ่เลย เอาโจชัวกับคนอื่นๆ มาด้วย ซึ่งผมว่าก็เป็นความคิดที่เข้าท่าเหมือนกัน

หลังจากผมบอกเรื่องนี้ให้ไมเคิลรู้ไป เจ้าตัวก็พยักหน้ารับรู้แล้วก็นัดแนะผมถึงสถานที่ที่จะพาผมไปกินในคืนวันศุกร์นั้น… พอได้รู้สถานที่ที่อีกฝ่ายจะพาไปเท่านั้นแหละ ผมถึงได้รู้สึกว่า… ดีแล้วที่ปีเตอร์ไม่มาด้วย เพราะแค่ดูจากชื่อร้านก็รู้แล้วว่าต้องราคาแพง

และเมื่อถึงวันเวลาที่นัดแนะ เพื่อนผู้เป็นครูฝึกของผมก็ขับรถมารับถึงหน้าบ้านจากนั้นจึงพาไปยังร้านที่ตั้งอยู่ในย่านซึ่งเต็มไปด้วยแสงสี

บรรยากาศภายในร้านดูดีจริงๆ นั่นแหละ คิดถูกแล้วที่ใส่ชุดแบบค่อนข้างเป็นทางการมา

พนักงานหนุ่มเดินมารินไวน์ใส่แก้วผมเป็นแก้วที่สองของวันแล้ว ผมมองอาหารจานหลักที่ถูกยกมาเสิร์ฟหลังจากที่มีของว่างมาก่อนหน้านี้และผมจดการมันเสร็จไปเรียบร้อยแล้ว อ่า… ให้ตาย แค่มื้อนี้มื้อเดียวนี่ล่อไปกี่สตางค์กันน้อ…

“พาผมมาเลี้ยงในร้านหรูขนาดนี้… จะดีจริงๆ เหรอครับ” ผมถามชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้าอย่างไม่แน่ใจ และอีกฝ่ายสิ่งยิ้มกลับมาให้

“ดีสิ” ไมเคิลว่า ยกแก้วไวน์ของตัวเองมาถือบ้าง “นานๆ ทีก็ไม่เป็นไรหรอก อีกอย่าง… จะฉลองที่นายได้รางวัลมาทั้งที จะพาไปร้านกระจอกๆ ได้ยังไง”

“ถ้าคุณพูดขนาดนั้น…”

“แต่ถล่มฉันไปมื้อนี้ แข่งรอบหน้าก็ต้องชนะ เอาถ้วยมาได้อีกนะ”

ผมหลุดหัวเราะออกมานิดหนึ่งก่อนจะหยิบแก้วไวน์มาถือในมือบ้าง

“คุณก็พูดซะอย่างกับมันเป็นเรื่องง่ายๆ… แต่ผมจะพยายามเต็มที่ครับ ไม่ให้คุณต้องขายหน้าหรอก”

ไมเคิลชวนผมคุยเรื่องเปียโนที่บ้านว่ามันเป็นรุ่นไหน ของบริษัทอะไร จากนั้นก็เริ่มถามถึงครอบครัวและเรื่องสัพเพเหระทั่วไปตามมารยาท ผมตอบได้บ้างไม่ได้บ้าง เรื่องครอบครัวผมเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน… บางทีก็ไม่อยากให้พูดคนนอกฟังเท่าไร อันที่จริงแล้วไม่ใช่ว่าผมลำบากใจที่จะต้องพูดถึงมันหรืออะไรแบบนั้นหรอกนะ แต่ผมลำบากใจตอนเห็นปฏิกิริยาอึดอัดของคนที่ได้ฟังมากกว่า ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่ความผิดของพวกเขาอยู่ดี เป็นคุณ… คุณฟังเรื่องที่ผมบอกว่าพ่อแม่ผมฆ่ากันต่อหน้าต่อตาให้ผมดู คุณจะพูดอะไรกับผมล่ะ?

โทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของผมสั่นพร้อมกับส่งเสียงสั้นๆ ขึ้นมา บ่งบอกว่ามีข้อความเข้า ผมเอ่ยปากขอคนตรงหน้านิดหนึ่ง หยิบมันขึ้นมาดู รู้สึกใจเต้นขึ้นมาจังหวะหนึ่งอย่างยินดีเมื่อเห็นว่าชื่อผู้ส่งคือชื่อของโลแกนนั่นเอง

หากเมื่อกดเข้าไปดูเนื้อความด้านใน ผมก็ต้องสะดุ้งแรงๆ จนโทรศัพท์เกือบจะหลุดมือ มีรูปถ่ายของผมที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวนี้ ในร้านอาหารนี้ แล้วก็ไมเคิลที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแนบมากับข้อความนั้น บ่งบอกใ้รู้ว่าเจ้าน้องชายตัวดีเพิ่งจะถ่ายภาพนี้มาสดๆ ร้อนๆ เลย

ข้อความต่อจากนั้นสั้น เรียบง่าย และได้ใจความ

‘ไปคุยกันที่บ้าน’

….อื้อหือ…. เจอแบบนี้เข้าไป แล้วผมควรจะตอบกลับว่าอะไรดี

“มีอะไรเหรอ ลูคัส” คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามผมถามขึ้นอย่างแปลกใจ ก่อนจะเอ่ยแปกแซวยิ้มๆ “ทำไมหน้าซีดไปแบบนั้นล่ะ อย่างกับเพิ่งเห็นผีมา”

“คงงั้นมั้งครับ” ผมว่า ถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วเก็บมือถือใส่กระเป๋าตามเดิม จะลุกพรวดพราดออกไปทั้งๆ อย่างนี้ก็ไม่ได้ เสียมารยาทเกินไป ดังนั้นผมจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากรับประทานอาหารมื้อนั้นให้เสร็จแล้วให้ไมเคิลขับรถกลับไปส่งที่บ้าน

ทันทีที่ตัวรถแล่นผ่านเข้ามาในบริเวณบ้านผม แสงไฟจากภายในตัวบ้านของตัวเองกระทบเข้ามาผ่านม่านตาผมเป็นอย่างแรก แสดงว่าโลแกนล่วงหน้ากลับมาก่อนแล้ว… แล้วที่หน้าบ้านก็มีรถของหมอนั่นจอดอยู่ด้วย

“อ้าว” ไมเคิลพูด สังเกตเห็นเหมือนกัน “แฝดนายกลับมาบ้านแล้วเหรอ”

“ครับ” ผมว่า “หมอนั่นเพิ่งส่งข้อความมาบอก”

“งั้นก็ดีเลย” อีกฝ่ายส่งยิ้มให้ จากนั้นก็เลื่อนมาลูบหัวผม ซึ่งถ้าเป็นในกรณีทั่วไปผมคงไม่อะไรหรอก… แต่ตอนนี้สิ… อืม… โลแกนมันจะเห็นจากข้างในบ้านไหมนะ “นายจะได้ฉลองกับน้องชายนายต่อไง วันนี้ได้ฉลองติดกันตั้งสองรอบ”

“ขอบคุณมากนะครับที่พาผมไปเลี้ยงวันนี้” ผมรีบพูดทันที ก่อนจะส่งยิ้มให้คนตรงหน้า “ผมสนุกมากเลยครับ”

“วันจันทร์อย่าเข้าคลาสสายแล้วกัน” ไมเคิลแสร้งพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม ผมหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะรับปากแล้วเดินลงจากรถ โบกมือลาให้เจ้าตัวอีกรอบแล้วจึงค่อยๆ เดินเข้าไปในตัวบ้าน ประตูหน้าถูกเปิดทิ้งไว้เพราะเจ้าของบ้านอีกคนยังอยู่ข้างใน เหยียดตัวลงบนโซฟายาว ตามองทีวี มือหยิบมันฝรั่งแผ่นเข้าปากเอื่อยๆ

“วันนี้ไม่ต้องไปทำงานเหรอ” ผมถามขึ้นเมื่อสังเกตเห็นว่าเจ้าตัวอยู่ในชุดลำลองธรรมดา แถมยังเป็นชุดที่มาจากตู้เสื้อผ้าในบ้านอีกด้วย

“ทำเสร็จแล้ว”

“กินข้าวเย็นรึยัง” ผมถามกลับ พยายามรักษาสีหน้าและน้ำเสียงให้เป็นปกติ ผมหมายถึง… ผมแค่ไปกินข้าวกับเพื่อนมาก็เท่านั้นเองนะ? แล้วทำไมผมจะต้องกลัวอะไรหมอนี่ด้วย? แล้วอะคือการที่โลแกนส่งข้อความมาหาผมเป็นเชิงขู่แบบนั้น? จะสื่ออะไร? แล้วเรื่องอะไรผมต้องดิ้นตามหมอนี่ไปด้วยเล่า

“แล้ว”

“แล้วทำไมวันนี้ถึงโผล่หน้ามาที่บ้านได้เนี่ย”

“ทำไม” นัยน์ตาสีฟ้าของคนพูดวาววับขึ้นมา “นี่ก็บ้านฉันเหมือนกัน ฉันจะกลับมาไม่ได้รึไง?”

...ชิบหายล่ะ ไอ้หมอนี่เองก็กำลังโกรธจริงๆ อยู่นี่หว่า… แปลว่ากำลังเก็บอาการอยู่เหมือนกันสินะ… ปัดโธ่โว้ยยย จะโกรธทำบ้าอะไรเนี่ย!? ไม่เคยเห็นคนไปกินข้าวกับเพื่อนรึไง?

“อย่าพาลใส่กันได้ไหม” ผมพยายามทำใจดีสู้เสือ ปกปิดอาการหวั่นใจของตัวเองด้วยการขมวดคิ้วมุ่นเสีย “ฉันถามก็แค่สงสัยเท่านั้น ปกตินายจะต้องโทรไม่ก็ส่งข้อความมาบอกก่อนนี่”

“ฉันตั้งใจว่าจะมาเซอร์ไพรส์นายน่ะ” โลแกนพูดตอบเสียงเรียบ ตาหันกลับไปมองทีวีตามเดิม “แต่ไม่นึกว่านายจะเป็นฝ่ายเซอร์ไพรส์ฉันซะเอง”

“แล้วนายรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่…” ผมเอ่ยปากถาม แต่ไม่ต้องพูดให้จบประโยคก็นึกออก

เออว่ะ… ไอ้หมอนี่มันรู้ตำแหน่งที่ผมอยู่ผ่านทางโทรศัพท์มือถือได้นี่หว่า… งั้นก็เป็นอันว่าเข้าใจกระจ่างชัดเจน

“ช่างเถอะ” ผมพูดตัดบท ยักไหล่ทีหนึ่ง และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงนิ่ง ไม่พูดอะไรขึ้นมาผมก็ว่า “งั้นฉันขอขึ้นไปอาบน้ำก่อนละกันนะ ส่วนนาย… ถ้าอยากจะคุยล่ะก็… ไปคุยกันบนห้องแล้วกัน”

ว่าแล้วผมก็เดินขึ้นบันไดบ้าน ตรงเข้าห้องนอนทันที นึกเซ็งชายหนุ่มที่อยู่ด้านล่างของตัวบ้านเหมือนกัน อะไรของมันวะ สรุปหมอนั่นจะเอายังไงกับผม? จะสนหรือไม่สนเรื่องของผมกันแน่วะ?

ตอนแรกก็หงุดหงิดนะที่หมอนั่นจะทำเป็นงี่เง่าขนาดที่ไม่คิดจะให้ผมได้ออกไปกินข้าวกับเพื่อนนอกบ้านบ้างเลยหรือไง แต่ถึงตอนนั้นจะหงุดหงิด… ลึกๆ ไปแล้วก็แอบดีใจเหมือนกัน มันเป็นความรู้สึกว่า… อย่างน้อยหมอนั่นก็ยังสนใจผม

แต่… มาตอนนี้ชักไม่แน่ใจล่ะ ว่ามันสนใจจริงๆ หรือเปล่า เพราะหมอนั่นนิ่งเฉยเกินกว่าจะดูสนใจใยดีอะไร เพราะงั้นสาเหตุของความหงุดหงิดของผมจึงเปลี่ยนไปเป็นอะไรที่ตรงข้ามกับเมื่อครู่

คิดๆ ไปแล้วนี่ก็เซ็งตัวเองนะ สรุปอยากให้หมอนั่นทำยังไงกันแน่ ขนาดจะหงุดหงิดมันยังไม่รู้จะหงุดหงิดเรื่องอะไรดีเลย แต่ช่างเถอะ… ไว้อาบน้ำ รอมันขึ้นมาก่อน ค่อยหาทางแย้บถามมันดูดีกว่า

ผมถอดเสื้อตัวนอกออกอย่างไม่รีบร้อน ตามองไปที่ผนังห้องตรงหน้าลอยๆ ก่อนจะต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อแขนของใครบางคนตะปบลงมาจากด้านหลัง จากนั้นเจ้าของลำแขนก็โน้มตัวลงกระซิบที่ข้างหูผมด้วยน้ำเสียงที่ชวนเอาขนหัวลุกไปได้อีกทั้งอาทิตย์

“ตกลงว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร”

“หา?” ด้วยอารามตกใจ ผมถึงหลุดคำพูดนั้นออกไปโดยไม่ทันคิด และนั่นทำให้โลแกนเดาะลิ้นอย่างไม่พอใจทีหนึ่ง หันตัวผมกลับไปเผชิญหน้ากับเจ้าตัวอย่างรุนแรง จากนั้นก็ดันร่างของผมเข้าไปชิดกับผนังด้านหลัง นัยน์ตาสีฟ้าคู่คมวาววับอย่างไม่พอใจทีเดียว

“อย่ามาทำเป็นไม่รู้เรื่อง”

“เดี๋ยวก่อน โล--”

“ก็ไอ้ผู้ชายคนนั้นไงที่ขับรถมาส่งนายถึงหน้าบ้าน แถมยังมีการลูบหัวกันด้วย นี่มันเรื่องอะไรกัน ลูคัส คอลลินส์”

เวลาที่หมอนี่โมโหผมมากๆ ก็มักจะเรียกชื่อผมเต็มยศแบบนี้ล่ะครับ… แล้วนี่มันจะโมโหอะไรมากมายวะ

“เดี๋ยวก่อน ใจเย็นๆ ก่อนสิ” ผมพยายามพูด แต่อีกฝ่ายเหมือนเบรคแตกไปแล้ว 

“นายอย่ามาเล่นบทไม่รู้ไม่ชี้กับฉันหน่อยเลย พี่ชาย” โลแกนว่าพร้อมกับยกยิ้ม… แต่เป็นยิ้มที่ไปไม่ถึงตาของเจ้าตัว “ก็เห็นๆ กันอยู่ว่ามีคนขับรถมาส่งนายถึงหน้าบ้านแล้วก็ขับกลับไปแล้ว หรือนายจะบอกว่าไง นายขับรถนั่นมาเองส่วนขากลับ รถมันเกิดมีพลังงานแล้ววิ่งไปได้เองรึไง”

“ฟังฉันก่อนได้ไหม” ผมพยายามพูดแทรกคนตรงหน้า ใจในอกข้างซ้ายเต้นตึกตักขึ้นมาอย่างกับอยู่ในดิสโก้ “นั่นน่ะ ครูฝึกฉันเอง… เขาแค่อยากพาฉันไปฉลองเรื่องที่ได้รางวัลมาก็เท่า---”

แต่น้องชายฝาแฝดของผมไม่ฟัง เจ้าตัวก้มหน้าลงมาประกบจูบแรงๆ บนริมฝีปากผม มันเป็นจูบที่แรงมาก แรงกดนั่นทำให้ผมรู้สึกได้กลิ่นคาวเลือดนิดๆ กระจายอยู่บริเวณริมฝีปาก ชิบหายแล้วไง นี่ไอ้หมอนี่มันโกรธเป็นจริงเป็นจังแล้วใช่ไหม

“ดะ… เดี๋ยว--”

“ไม่” เสียงทุ้มพูดเด็ดเดี่ยว จากนั้นก็กระชากแขนผมไป เหวี่ยตัวผมลงบนเตียง ผมร้องออกมาเบาๆ ด้วยความตกใจมากกว่าจะเพราะความเจ็บ จากนั้นก็ต้องสะดุ้งอีกเฮือกเมื่อแฝดผมปีนขึ้นมาคร่อมตัวอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เริ่มถอดเสื้อผมออก

“เดี๋ยว… โลแกน… เบาๆ หน่อย! เดี๋ยวเสื้อขาด!” ตัวนี้ซื้อมาหลายตังค์นะโว้ยยย ไอ้บ้าเอ๊ย!

“อย่ามาทำกลบเกลื่อนความผิดของตัวเองหน่อยเลย” โลแกนว่าด้วยน้ำเสียงสงบ ขัดกับการกระทำจากร่างกายส่วนอื่นๆ ของมันเป็นที่สุด “นายบอกฉันมาตามตรงดีกว่า ไอ้หมอนั่นเป็นใคร นายนอนกับมันใช่ไหมถึงได้ยอมปล่อยให้มันพามาถึงหน้าบ้านแบบนี้?”

 “หา!!??” ไหงมันกลายเป็นแบบนั้นไปได้ฟะ!? “น้อยๆ หน่อย โลแกน แค่ฉันไปกินข้าวกับเพื่อน… ฉันไม่ต้องนอนกับคนทุกคนที่ไปกินข้าวด้วยนะโว้ย!!”

“แต่ปกตินายไม่เคยพาใครมาถึงบ้าน!” พูดจบเจ้าตัวก็พุ่งลงมาจูบปากผมแรงๆ อีกรอบ ผมดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่ายที่มีเรี่ยวแรงมหาศาล ในหัวก็เริ่มประเมินสิ่งที่เจ้าตัวเพิ่งพูดออกมาโดยอัตโนมัติ

ผมไม่ได้พาไมเคิลเข้าบ้าน… จริงอยู่ที่ผมอาจจะบอกให้อีกฝ่ายรู้ที่อยู่ของผม ในขณะที่ผมไม่เคยบอกปีเตอร์หรือเพื่อนคนอื่นๆ ให้รู้เลย นอกจากโอลิเวีย แฟนเก่าของผมแล้ว ผมก็แทบไม่เคยเอาใครเข้าบ้านมาก่อนอย่างที่โลแกนว่าจริงๆ…

จริงๆ แล้วเรื่องนี้มันมีเหตุผลในตัวของมัน หนึ่งคือ… ตอนนั้นบรรดาเพื่อนๆ ของผมมันไม่มีรถขับไปไหนมาไหนนี่หว่า และผมก็ยังแสลงใจกับเรื่องที่ว่าบ้านผม ครั้งหนึ่งเคยเจิ่งนองไปด้วยเลือดของเจ้าของบ้านมาก่อน สอง… ผมไม่ได้อยากจะให้ไมเคิลรู้เรื่องที่อยู่ของผม แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นคนเสนอตัวจะมารับถึงบ้าน แสดงน้ำใจไมตรีในทุกๆ อย่างขนาดนั้น ผมก็ไม่อยากพูดปัดหรือปฏิเสธเขา แล้วอีกอย่าง… มันก็แค่เรื่องแค่นี้

แต่ดูเหมือนไอ้เรื่องแค่นี้ที่ว่านี่จะทำเอาน้องชายผมสติแตกไปเรียบร้อยแล้ว… เป็นการสติแตกแบบดูมีสติที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาเลย

“แฮ่ก… แฮ่ก…” ผมหอบหายใจเบาๆ ขณะเหลือบมองสีหน้าสงบของอีกฝ่ายที่กำลังลอกคราบตัวเองอย่างเชื่องช้า จากนั้นเจ้าตัวก็ไซร้หน้าลงมาบนบริเวณซอกคอของผม รู้สึกได้เลยว่าอุณหภูมิระหว่างพวกเราสองคนเพิ่มสูงขึ้น ผมสะดุ้งอีกเฮือกเมื่อมือหนาเลื่อนไปกระชากกางเกงออกจากร่างของผม โยนมันทิ้งลงบนกับพื้นห้องอย่างไม่ใยดี

“ดะ…  เดี๋ยวก่อน โลแก---” แต่อีกฝ่ายไม่ยอมให้ผมพูดจนจบ

...ถามจริง… สรุปนี่ผมทำอะไรผิดเนี่ย?





-------------------------------------------
Talk: มีตอนแทรกนะคะ (NC อะแหละ... ถถถถถ) XD ใครอยากอ่าน แวะไปได้ที่เพจเล้ย! >>https://www.facebook.com/airinand/ ลองดูที่โพสปักหมุดนะคะ :) หาไม่เจอก็ inbox มาได้น้า~

ออฟไลน์ angel_Z4

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 783
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
โกรธไรเหรอออ เขาแค่ไปกินข้าวกันเอ๊งงง กึกึ :hao7:

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 34

(Mode: Logan Collins)




หลายๆ ครั้งผมก็คิดนะ… ว่าตัวเองเป็นคนที่ถือไพ่เหนือกว่าพี่ชายฝาแฝดของตัวเองมาโดยตลอด แต่มาถึงตอนนี้ผมชักไม่แน่ใจล่ะ

“โลแกน” ลูคัสที่อยู่ในเสื้อแขนยาวตัวโคร่งตัวเดียวกวักมือเรียกมือเรียกผมไปหา ตอนนี้เจ้าตัวกำลังนั่งหมิ่นเหม่อยู่ที่ข้างเตียง ตามองโทรทัศน์รายการเกี่ยวกับคอนเสิร์ตดนตรีคลาสสิกที่มีผู้เล่นส่วนมากเป็นเปียโนและไวโอลิน “มานี่ดิ ไอ้น้อง ฝากหยิบโค้กตรงนั้นมาให้ด้วย”

“ใช้จริงนะ คุณชาย” ผมพูดประชดอีกฝ่าย หากก็ยอมทำตามที่ลูคัสขออย่างว่าง่าย… นึกถึงตัวเองสมัยก่อน… ไม่สิ ไม่ต้องนานมาก แค่ประมาณปีที่แล้ว ผมคงไม่มีทางยอมลงให้หมอนี่มากขนาดนี้แน่

“นายจะไปทำงานอีกทีวันไหน”

“พรุ่งนี้”

“นายว่าถ้าฉันไปค้างที่หอนายบ้างจะเป็นอะไรไหม นายอยู่หอกับพวกนักเรียนตำรวจคนอื่นๆ ใช่รึเปล่า”

ผมส่ายหน้าทันที จริงๆ ไม่ค่อยอยากพูดถึงเรื่องนี้มากเลย เรื่องวงในน่ะ หมอนี่รู้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นผลดีกับเจ้าตัวมากเท่านั้น

“เปล่า”

“อ้าว” ลูคัสหันมามองผมงงๆ “ก็ตอนนั้นนายบอก…”

“ตอนนั้นฉันอยู่จริง” ผมว่า ก่อนหน้าที่ผมจะย้ายไปอยู่กับดีซีไอเอส ผมก็เหมือนนักเรียนตำรวจทั่วไป แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว “แต่ตอนนี้ย้ายแล้ว ไปอยู่อีกที่หนึ่ง ก็เหมือนได้เลื่อนขั้นนั่นแหละ”

ลูคัสทำสายตาอย่างหนึ่ง นัยน์ตาสีฟ้ากลมโตเบิกกว้างขึ้นเหมือนไม่อยากเชื่อ

“นายเนี่ยนะ?”

“ทำหน้างั้นหมายความว่าไง เดี๋ยวก็จิ้มลูกตาเข้าให้หรอก”

“อย่าดุนักสิ” ลุคัสเบ้ปากนิดหนึ่ง “ก็แค่คิดว่านายเพิ่งเข้าเรียนได้ไม่เท่าไร… จะได้… อะไรนะ เลื่อนขั้นเหรอ? นี่สรุปว่านายไปเรียนหรือไปทำงานกันแน่?”

“แล้วใครว่าทำทั้งสองอย่างพร้อมกันไม่ได้ล่ะ” โลแกนยักไหล่ให้พี่ทีหนึ่ง จากนั้นก็ขยับตัวไปแล้วโอบกอดคนที่มีใบหน้าเหมือนกันกับผมทุกประการ แต่ตัวเล็กกว่าจากทางด้านหลัง ลูคัสหน้าร้อนขึ้นนิดๆ หากยอมซบศีรษะลงมาราวกับตั้งใจจะอ้อน

เออ… หมอนี่ทำตัวน่ารักๆ ก็เป็นแฮะ

“แต่งานนายก็เท่ห์ดีนะ” เจ้าตัวว่ายิ้มๆ “ไว้คอยยไล่ฟาดคนที่ทำตัวออกนอกลู่นอกทางไง ถึงเมื่อก่อนนายจะเป็นคนจำพวกนั้นก็เถอะ”

ผมมองคนในอ้อมแขนที่หัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดี แกล้งตีสีหน้าไม่พอใจใส่มัน จากนั้นก็เลื่อนใบหน้าไปขโมยจูบมันแรงๆ อีกรอบหนึ่ง

แต่ที่ทำให้ผมมีความสุขยิ่งไปกว่านั้นก็คือ… มันจูบตอบผม! ไอ้หมอนี่ชักจะเริ่มรู้งานแล้วสิ

“ตอนนี้ฉันก็ยังเป็นคนจำพวกนั้นอยู่นะ”

“อย่าให้คนที่ทำงานนายจับได้แล้วกัน” ลูคัสว่าพร้อมกับหัวเราะร่วนเหมือนเดิม เจ้าตัวคงคิดว่าผมพูดเล่น หากผมเพียงแค่ส่งยิ้มไม่สื่อความหมายใดๆ ให้มันกลับไป

ผมไม่เคยทำตัวอยู่ในลู่ทางแบบที่คนอื่นเขาเป็นกันอยู่แล้ว แค่มีบางครั้งที่ต้องทำตัวให้เหมือนเป็นแบบนั้น เพียงเพื่อที่จะให้การทำตัวออกนอกลู่นอกทางของผมมันง่ายขึ้นเท่านั้นเอง









ผมได้รับภารกิจให้ออกไปทำงานคนเดียวหลังจากที่ได้ออกภาคสนามกับฮิวเบอร์มาหลายครั้งหลายครา ในที่สุดคนในหน่วยงานก็เริ่มยอมรับและวางใจในตัวผม

งานที่ต้องทำครั้งนี้ทำให้ผมต้องนั่งเรือเดินทางไปยังเกาะเล็กๆ ที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยน้ำทะเลสีคราม ผมมองประกายบนผืนน้ำที่แสงแดดส่องกระทบลงมาด้วยสีหน้าเรียบสงบ อากาศบนท้องฟ้าแจ่มใสเสียจนนึกอยากจะหาเวลาว่างไปนอนอาบแดดแถวริมหาดขึ้นมา

ในเรือนั้นยังมีนักท่องเที่ยวอยู่อีกไม่ต่ำกว่าสี่สิบคน บางคนเริ่มยกมือขึ้นมาปิดปาก สีหน้าซีดลงด้วยความคลื่นไส้จากอาการของเรื่อที่แกว่งไปมา แน่นอนว่าผมไม่มีอาการอย่างนั้นออกมาให้ใครได้เห็นแน่ ต่อให้ผมจะกำลังทำตัวกลมกลืนไปกับพวกเขาด้วยการแต่งกายชุดลำลอง เสื้อยืดและกางเกงยีนส์สีเข้มพรางตัวผมไปได้กับหมู่นักท่องเที่ยวอย่างกลมกลืน

เมื่อมาถึงตัวเกาะแล้ว ผมไม่เดินไปขึ้นรถทัวร์อย่างที่คนอื่นๆ ทำกันเพราะทางหน่วยงานทิ้งรถคันหนึ่งไว้ให้อยู่แล้ว มันอยู่ห่างจากบริเวณท่าเรือเล็กน้อย

หลังจากนั้นผมก็มาอยู่ที่โรงแรมเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ใช้ชื่อปลอมในการดำเนินการจองห้องพัก ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องหยุมหยิมพวกนั้นเป็นสิ่งที่ทางทีมอื่นจัดการให้

ผมเปิดกระเป๋าที่มีข้าวของเพียงน้อยชิ้นออกมา หยิบข้าวของเครื่องใช้มาวางเรียงกัน และเมื่อจัดการสิ่งที่ต้องทำเรียบร้อยแล้วผมก็เดินไปทรุดนอนบนเตียง วางมือสองข้างไว้ที่หลังหัว ปิดเปลือกตาลง เริ่มทบทวนแผนการของภารกิจครั้งนี้ในใจ คิดภาพที่จะเกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมา จากนั้นเมื่อคิดว่าจัดการตรงส่วนนั้นได้เรียบร้อยแล้ว ผมก็ลืมตาขึ้น

เดินลากเท้าไปที่บริเวณหน้าต่างซึ่งหันออกไปทางฝั่งของทะเล เหม่อมองมันออกไปด้วยความรู้สึกบางอย่าง แล้วภาพตอนที่ผมกับลูคัสไปนั่งเล่นด้วยกันอยู่ที่ริมหาดก็สะท้อนกลับเข้ามาในหัว แค่เสี้ยววินาที… เสี้ยววินาทีเท่านั้น…

ผมเม้มริมฝีปากแน่น สลัดภาพพวกนั้นออกไปจากหัวทันที ในเวลาทำงานอย่างนี้ ผมไม่ควรจะนึกถึงเรื่องอะไรพวกนั้น แม้จะแค่เสี้ยววินาทีเดียวก็ตาม หากมันก็ยังบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าผมยังฝึกมาไม่พอ

ผมถอนหายใจเฮือกกับตัวเอง ยกมือขึ้นมาเสยผมลวกๆ อย่างไม่สบายใจและหงุดหงิด
ตอนนี้ฮิวเบอร์กับแมคโดเวลเริ่มเอ่ยปากเตือนผมเรื่องของพี่ชายฝาแฝดของตัวเองแล้ว ยิ่งผมทำงานที่ต้องเสี่ยงตายมากเท่าไร คนรอบตัวก็เริ่มจะกลายเป็นเป้าและเป็นอันตรายขึ้นมาตามไปด้วย

นี่ยังไม่นับรวมถึงเรื่องที่ลูคัสเองก็เริ่มมีชื่อเสียงในแวดวงของวงการดนตรีมากขึ้นไปทุกทีๆ ด้วย รวมไปถึงเรื่องที่พวกเราสองคนมีใบหน้าเหมือนกันราวกับถูกคัดลอกสำเนากันมายังไงยังงั้น เพราะงั้น… ถ้าเกิดว่ามีศัตรูของผมสักคำรู้ตัวตนของผมขึ้นมาล่ะก็… ต่อให้ไอ้คนนั้นมันจะโง่แค่ไหน มันก็ต้องดูออกแน่ว่าผมกับลูคัสเป็นพี่น้องกัน… เป็นฝาแฝดกันซะด้วย ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งเริ่มรู้สึกหงุดหงิดกับความเป็นแฝดของพวกเราก็ตอนนี้แหละ

“ทำศัลยกรรมไหม” แมคโดเวลเคยเสนอขึ้นมาระหว่างที่ผมกับฮิวเบอร์นั่งอยู่ในห้องเดียวกัน “ถ้าทำแบบนั้น อย่างน้อยก็อาจจะพอช่วยลดความเสี่ยงได้บ้าง”

“ศัลยกรรมเหรอครับ” ผมพูดทวนออกมาด้วยสีหน้าแขยง ไม่นึกว่าเรื่องที่เคยพูดเล่นๆ กับพี่ชายฝาแฝดของตัวเอง วันหนึ่งจะกลายเป็นสิ่งที่ถูกหยิบยกขึ้นมาให้พิจารณาจริงๆ “มันจะช่วยอะไรได้จริงๆ เหรอครับ ทำแบบนั้นน่ะ”

“นั่นน่ะ มันเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ” ฮิวเบอร์ไม่เห็นด้วย “พวกมือสังหารเก่งๆ น่ะ เขาต้องหัดพรางตัว เพราะงั้นถ้าจะห่วงเรื่องรูปลักษณ์ล่ะก็… นายอาจจำเป็นต้องฝึกเรื่องนี้”

“ไม่มีปัญหาครับ” ผมแทบจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ถึงจะดูเหมือนผมพูดเล่น แต่ผมหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ นะ ตอนที่บอกกับลูคัสว่าไม่อยากให้ใบหน้าหล่อเหลาของตัวเองต้องเปลี่ยนไปน่ะ… เฮ้ ไม่ต้องมองผมแบบนั้น นี่มันเรื่องคอขาดบาดตายนะ

“แต่ปัญหาคือ… ความสนิทสนมของเธอกับเขาต่างหาก”

ประโยคถัดมาทำให้ผมนิ่งลง สิ่งที่ฮิวเบอร์พูดออกมาไม่ใช่ว่าไม่เคยอยู่ในหัว หากไม่อยากจะคิดถึงมันมากก็เท่านั้นเอง

“ถ้าเป็นไปได้… ฉันว่าเธอพยายามห่างๆ เขาออกมาหน่อยดีกว่า” ฮิวเบอร์พูดแค่นั้น เสร็จแล้วก็เงียบไป ไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก เขาคงรู้ว่าผมสามารถคิดได้เองต่อจากนี้

แล้วก็ใช่… ผมคิดได้เองนั่นแหละ รู้ดีด้วยว่าการทำงานแบบนี้ ยิ่งมีคนที่แคร์มากเท่าไรก็ยิ่งเป็นผลเสียทั้งต่อตัวเองและคนคนนั้นมากเท่านั้น

ผมเหลือบมองดูนาฬิกาหลังจากที่จมดิ่งอยู่ในห้องความคิดครู่ใหญ่ ใกล้จะถึงเวลาทำงานของผมแล้ว คงต้องเริ่มเตรียมตัวสักที

ไม่กี่นาทีต่อมาผมก็เดินออกมาจากห้องพัก เดินเตร่ไปตามท้องถนน เดินไปเข้าร้านอาหารแล้วสั่งอาหารง่ายๆ มากิน ทอดสายตามองนักแสดงข้างถนนที่กำลังโชว์มายากลให้บรรดาคนที่มุงดูอย่างสนใจ จากนั้นก็มีนักแสดงอีกคนมาสมทบ แล้วพวกเขาก็เริ่มเล่นโชว์อะไรๆ คู่กัน

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จผมก็ออกเดินทางเพื่อมุ่งหน้าไปยังสถานที่เป้าหมาย จุดที่ผมแวะไปเยี่ยมชมคือตัวปราสาทเก่าแก่อันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของเกาะแห่งนี้

ผมเดินกลมกลืนไปกับบรรดานักท่องเที่ยว ลูบปืนใหญ่ที่วางตั้งอยู่ซึ่งคงไม่มีวันได้ยิงอีกต่อไปแล้ว จากนั้นก็หันไปมองอีกฟากที่เป็นส่วนของผืนทะเล ผมสูดอากาศของมันเข้ามาเต็มปอด มันทำให้รู้สึกสดชื่นเสมอบางทีถ้าลูคัสอยู่ที่นี่ด้วยกันกับผมก็คง…

ไม่สิ เผลอคิดเรื่องหมอนั่นอีกแล้ว เกลียดชะมัดเลยเวลาที่สมาธิวอกแวก

แต่จนแล้วจนรอดผมก็ต้องยอมรับความคิดของตัวเอง ผมเหยียดแขนขาที่ตึงออกจนสุด ได้ยินเสียงดังก๊อกจากไหล่ข้างซ้าย

พรุ่งนี้เป็นวันเกิดของผมกับลูคัส

ยี่สิบปีงั้นเหรอ… ใช่ คงจะยี่สิบแน่ถ้าผมอยู่รอดไปจนถึงพรุ่งนี้ ผมไม่อยากนึกภาพให้อะไรๆ ทุกอย่างออกมาสมบูรณ์แบบได้ดังภาพฝันตามแผน เพราะมันไม่เคยเป็นแบบนั้น

ผมเดินกลับลงมา ห่างออกจากตัวปราสาทไปไม่ไกล สายตาเริ่มกวาดมองตามเส้นทาง เดินไปตามทิศทางทุกอย่างที่อยู่ในแผนการซึ่งถูกฉายซ้ำไปมาในหัวผม

ในที่สุดผมก็มาอยู่ในห้องห้องหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยข้าวของในการจัดแสดงบ้านผีสิงซึ่งเป็นหนึ่งในจุดเล็กๆ ของทัวร์ปราสาท ผมหยิบอาวุธที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้ขึ้นมา ตรวจสอบดูว่าทุกอย่างสมบูรณ์ครบถ้วน หวังในใจเป็นอย่างยิ่งว่าเป้าหมายของผมคงจะสนุกกับโชว์ของตัวเองก่อนที่ผมจะได้เริ่มต้นโชว์ของผม

เพราะเมื่อโชว์ของผมเริ่มแล้ว… มันก็จะไม่มีทางย้อนกลับไปได้อีก

ผมหลุบอยู่เลี้ยวโค้งสุดท้ายของทัวร์ที่ว่า ได้ยินเสียงพูดอธิบายของไกด์ที่คงจะท่องบทมาจนขึ้นใจ ผมนับก้าวเท้าพวกนั้นในใจ และไกด์คนนั้นเองก็คงกำลังทำเหมือนกัน

เป้าหมายของผมถูกห้อมล้อมด้วยผู้ติดตามอีกสี่คน… เพราะฉะนั้นผมจึงมีผู้ที่ต้องจัดการทั้งหมดห้าคน ไม่นับไกด์คนนั้นซึ่งเป็นพวกเดียวกับผม นึกสงสัยเหมือนกันว่าพวกนั้นใช้อะไรเป็นเหยื่อล่อเป้าหมายมาที่นี่ นึกสงสัยไปถึงว่าเหยื่อในครั้งนี้ของผมมีความสำคัญแค่ไหน

...แต่ก็นั่นแหละ การรู้เรื่องพวกนั้นไม่ใช่หน้าที่ของผม

ผมรอจนถึงเวลาที่ต้องทำหน้าที่ของตัวเองจริงๆ จากนั้นจึงเริ่มปามีดไปเสียบที่อกของชายคนแรก ไม่รอให้เจ้าคนนั้นล้มลงไปถึงพื้นผมก็ลั่นไก ยิงชายคนที่สองด้วยปืนเก็บเสียง คนอื่นๆ เริ่มมีปฏิกิริยากับเรื่องนี้แล้ว แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวล

ผมขว้างมีดใส่ชายคนที่สามต่ออย่างรวดเร็ว มันปักลงบนหน้าอกเขาอย่างแม่นยำ ชายคนที่สี่ชักปืนของตัวเองออกมาแล้วยิงผม แต่แน่ล่ะว่าผมเตรียมตัวไว้แล้ว ผมใช้ร่างของชายคนที่สามขึ้นมาเป็นโล่กำบัง จากนั้นก็ยิงสวนกลับไปและปล่อยให้ร่างของคนคนนั้นร่วงหล่นจากพื้น

“ยะ… อย่า…” เหยื่อตัวจริงของผมเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดและเริ่มร่ำร้องอ้อนวอน ผมไม่รอให้เขาพูดเรื่องจำนวนเงินมากมายที่เขาสามารถให้ผมได้ อำนาจบารมีหรืออะไรก็ตามที่รอผมอยู่ถ้าผมปล่อยให้เขารอดไป แต่ผมเคยฟังอะไรแบบนี้มาแล้ว

ผมเหนี่ยวไกสองนัดใส่สมองของคนตรงหน้า มองร่างเป้าหมายของภารกิจที่ล้มลงอย่างไร้ความรู้สึก ผมมีไม้กางเขนกลับหัวห้อยอยู่กับคอใต้เสื้อผ้าของผมติดตัวมาด้วยในวันนี้ รู้สึกได้ถึงพลังบางอย่างที่พุ่งพล่านออกมา มันก็เป็นแบบนี้เสมอแหละเวลาที่ผมฆ่าใคร ท่านพ่อจะมอบพลังส่วนหนึ่งมาให้ เก็บตุนไว้ใช้ในวันข้างหน้าเพื่อที่จะฆ่าต่อไปได้อีกเรื่อยๆ อย่างน้อยผมก็ชอบความรู้สึกของพลังที่ไหลเวียนอยู่ในตัวนี่

ไกด์ทัวร์ที่เป็นพวกเดียวกับเดินแยกออกไปตั้งแต่ก่อนที่มีดเล่มแรกจะถูกเขวี้ยงออกมาแล้ว ผมเดินแยกไปรอยแยกเดียวกับคนคนนั้น จากนั้นก็เดินทางกลับไปนอนพักที่โรงแรมเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

สำหรับผมแล้ว… นี่มันก็แค่ชีวิตประจำวันอีกวันจริงๆ นั่นแหละ ถ้าผมยังไม่ตาย… ก็เท่ากับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ผมล้มตัวลงนอนบนเตียงหลังจากที่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเรียบร้อย เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง มองพระจันทร์ลูกกลมที่ลอยเท้งเต้งอยู่บนท้องฟ้า จากนั้นก็หลุดยิ้มที่ไม่มีความหมายใดๆ ออกมาจนได้

เค้กเปล่าๆ ของผม ปักเทียนในจินตนาการลงไปอีกสักเล่ม… เท่านี้เราก็ได้เค้กที่ต้องการมาแล้ว เค้กวันเกิดของผม

ผมเหลือบมองดูนาฬิกา ตอนนี้เป็นเวลาที่เลยเที่ยงคืนมาแล้วเล็กน้อย ผมอยากส่งข้อความให้ลูคัส… อยากจะบอกสุขสันต์วันเกิดให้หมอนั่น  แต่ก็รู้ดีว่าทำแบบนั้นไม่ได้ ผมเลิกส่งข้อความหาหมอนั่นมานานมากแล้ว และลูคัสเองก็เข้าใจดีว่าเพราะอะไร ผมอธิบายทุกอย่างให้เจ้าตัวฟังไปแล้ว และหนทางที่พวกเราสองคนจะสามารถติดต่อกันได้อย่างเป็นปกติก็คือ… การที่ผมต้องเป็นฝ่ายไปหาเจ้าตัวถึงที่เท่านั้น ไม่มีมากหรือน้อยไปกว่านี้

ผมปิดเปลือกตาลง ปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปถึงพี่ชายฝาแฝดคนนั้นของผมอย่างไม่ฝืนทนอีกต่อไป สงสัยเหลือเกินว่าอีกฝ่ายเองก็กำลังทรมานแบบเดียวกับที่ผมเป็นอยู่ไหม

สุขสันต์วันเกิดนะ ลูคัส

ผมว่ามันคงไปถึงพี่ชายฝาแฝดของผม ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งล่ะ...





------------------------------------
Talk: ตอนเริ่มเขียนเรื่องนี้มา คิดไว้ว่าสัก 40 ตอนจบ... อืม... ไม่น่าพอ 55555555

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
โลแกน  รักลูคัส หึงหวงลูคัสแล้วด้วย

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 35

(Mode: Lucas Collins)





เสียงหวานใสของตัวโน้ตที่ผมบรรเลงออกมา ไม่ได้ช่วยพิสูจน์อะไรนอกจากเรื่องที่ว่าเปียโนหลังนี้เป็นเปียโนที่มีคุณภาพดี และราคาของมันคงแพงระยับ แต่เสียงที่ผมกรีดนิ้วลงไปเล่น ไม่ได้บ่งบอกถึงความเก่งกาจของฝีมือคนเล่นแม้แต่น้อย

ไม่… ไม่ใช่ นี่ไม่ใช่เสียงแบบที่ฉันอยากให้เป็น

ผมคิดกับตัวเองอย่างอัดอั้น รู้สึกราวกับหัวใจในตอนนี้ถูกบีบด้วยมือที่มองไม่เห็น

ยังอีก… ต้องมากกว่านี้อีก… กังวานกว่านี้อีก

ภายในตัวบ้านที่ผมอยู่นั้นมืดมิดเพราะไม่ได้เปิดไฟ มีเสียงแสงจันทร์จากพระจันทร์ลูกโตเท่านั้นที่สาดส่องลงมา พอให้เห็นตัวโน้ตที่ตั้งอยู่ตรงหน้า

เมื่อสองวันก่อน… ผมเพิ่งไปแข่งมา มิกกี้ก็มาดูด้วย แถมรอบนี้ปีเตอร์ที่ไม่ติดอะไรก็โผล่หน้ามาเชียร์

แต่ผมก็รู้ตั้งแต่ตอนที่อยู่บนเวทีแล้ว… ว่าการประกวดครั้งนี้ ผมคงไม่ชนะหรอก

‘ฟอร์มตกลงนะ’

ไมเคิลพูดกับผม หลังจากที่การแข่งขันนั้นจบลง ผมได้รางวัลรองชนะเลิศอันดับสองไปครอง เป็นรางวัลที่แม้แต่ตัวผมยังบอกได้เลยว่ามากเกินกว่าฝีมือของผม

‘เฮ้ย อย่าคิดมากน่า’ ปีเตอร์ที่อยู่ตรงนั้นเดินมาตบบ่าให้กำลังใจ หันไปมองแผ่นหลังของครูผู้ฝึกของผมอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย ‘ได้ที่สามมาก็เจ๋งสุดยอดแล้วนา นายก็รู้ใช่ม้า… แบบว่า… เราจะเอาที่หนึ่งทุกเวทีคงไม่ได้ ต้องแบ่งให้คนอื่นเขาบ้าง’

ผมในตอนนั้นได้แต่ฝืนยิ้มเซียวๆ ตอบกลับไป รู้ดีว่ากลับไปรอบนี้มิกกี้ต้องเล่นงานผมหนักแน่ เพราะสิ่งที่เขาสอนและซ้อมให้ผมมาพังครืนไม่เป็นท่า ว่ากันตามตรงเลยก็คือ… ผมซ้อม ผมยังทำได้ดีกว่านี้อีก

ยัง… ยังไม่ใช่ นี่มันไม่ใช่

ผมสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ตัดสินใจหยุดมือของตัวเองลง ละมันออกจากคีย์บอร์ดสีขาวดำ มองมือที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อและสั่นเทาของตัวเองอย่างแปลกใจ

ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้ร้อน… แต่ทำไมเหงื่อถึงได้ออกมามากขนาดนี้

ผมเลื่อนมือข้างนั้นไปดึงคอเสื้อเล็กน้อย ราวกับนั่นจะช่วยทำให้ลำคอตีบตันที่เหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ดีขึ้นอย่างไรอย่างนั้น

ผมดึงสร้อยคอไม้กางเขนที่หมู่นี้มักพกติดตัวไปไหนมาไหนด้วยตลอดออกจากใต้เสื้อ ยกมันขึ้นมาพิจารณาครู่หนึ่ง มองเปียโนหลังงามตรงหน้าอย่างลังเลว่าควรจะเล่นต่อดีไหม แต่ผลสุดท้ายผมก็ตัดสินใจลุกออกจากเก้าอี้ เดินไปกดเปิดเพลงจากเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คของตัวเอง เป็นเพลงที่ผมเล่นไปตอนที่อยู่บนเวทีล่าสุด จากนั้นก็หยิบโน้ตเพลงขึ้นมา พิจารณาและทบทวนถึงความผิดพลาดที่ได้ทำลงไป

ผมเดินไปหยิบดินสอไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะอาหารที่ตอนนี้มีห่อขนมขบเคี้ยวและสารพัดของแห้งที่ไม่จำเป็นต้องเก็บเข้าตู้เย็นวางอยู่เกลื่อนกลาด ผมเคาะดินสอแท่งนั้นลงบนพื้นโต๊ะตามจังหวะของเสียงดนตรีที่ลอยมาให้ได้ยิน แล้วอยู่ๆ ผมก็เกิดความรู้สึกว่าอยากจะเล่นเพลง Happy Birthday ขึ้นมา…

ก็แหงสิ… ทำไมจะไม่ล่ะ ในเมื่อวันนี้มันเป็นวันเกิดของผมกับโลแกน…

ผมเดินพรวดกลับไปอยู่ที่หน้าเปียโนหลังเดิมหลังจากที่กดปิดเสียงดนตรีที่ตัวเองเป็นคนบรรเลงลง เพลงเห่ยๆ นั่นมันเห่ยจริงๆ นี่ผมทำได้แค่นั้นจริงๆ เหรอ?

ผมเริ่มบรรเลงตัวโน้ตลงไปอย่างเชื่องช้า แล้วก็ค้นพบว่ามันช้าและเอื่อยเกินกว่าจะเป็นเพลงสุขสันต์วันเกิดให้ใครได้ ไม่ได้แม้แต่จะเล่นให้ตุ๊กตาหมีที่ไม่รู็สึกรู้สาอะไรฟังด้วยซ้ำ

ผมพยายามเร่งจังหวะ ขยับนิ้วเรียวของตัวเองด้วยความเร็วที่มากขึ้น ไมเคิลมักบอกผมเสมอว่าผมมีข้อได้เปรียบตรงที่นิ้วยาว แต่ก็นั่นแหละ แค่นิ้วยาว มันก็ไม่ได้ช่วยให้คุณเป็นนักเปียโนอันดับหนึ่งตลอดไปหรอก

ผมดีดโน้ตตัวเดิม เพลงเดิมซ้ำไปซ้ำมาเรื่อยๆ กับอีแค่เพลงง่ายๆ แค่นี้… ทำไมมันถึงออกมาไม่ได้ดั่งใจเลยนะ?

ผมได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเองที่แรงขึ้น มันแรงขึ้นเรื่อยๆ กลบเสียงเปียโนของผมไปหมด

‘ทำไม! ฉันจะกินเหล้าแล้วมันทำไม ขนาดเปียโนแพงๆ นี่ยังซื้อมาได้! แล้วทำไมฉันจะซื้อความสุขของตัวเองบ้างไม่ได้!!’

‘อย่างคุณน่ะมันก็ดีแต่เมาหัวราน้ำไปวันๆ! ชีวิตฉันต้องพังก็เพราะคุณนั่นแหละ!!’

ทุกส่วนของร่างกายผมชาวาบราวกับมีคนเอาเครื่องช็อตไฟฟ้ามาโดนที่ตัวส่งผลให้กระแสไฟฟ้าแล่นไปทั่วร่างกาย

นิ้วของผมแข็งค้างคาอยู่บนคีย์เปียโนแล้ว แต่มันสั่นเทา ผมรู้ดีว่าอาการแบบนี้คืออะไร ก็แค่อาการเก่าๆ… ที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีๆ ก็ยังคงอยู่ตรงนั้น เป็นภาพสะท้อนอยู่ในหัวที่ยากจะลบเลือน

ใช่แล้ว ตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้น นับมาถึงวันนี้ก็ผ่านมา 14 ปีแล้ว ภาพทุกอย่างมันแจ่มชัดราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ไม่สิ… ราวกับว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อกี้นี้เลยด้วยซ้ำ

“แฮ่ก…” ผมปล่อยให้ตัวเองหอบหายใจออกมาเล็กน้อย รู้สึกเหมือนมีอะไรเต้นตุบๆ อยู่ในหัว และเจ้าสิ่งนั้นก็กำลังทำให้ทัศนวิสัยของผมพร่าเลือน

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ใช้ปลายนิ้วเลื่อนแตะหน้าจอเพื่อปลดล็อกมันทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้คิดจะทำอะไรหรือติดต่อใคร

ไม่ได้… ผมติดต่อโลแกนไม่ได้ หมอนั่นอาจจะกำลังทำงานอยู่ และผมเองก็สบายดี ไม่ได้เป็นเดือดเป็นร้อนอะไร

‘ถ้าเกิดว่ามีเรื่องฉุกเฉินจริงๆ’ น้องชายฝาแฝดของผมพูดไว้ตอนครั้งล่าสุดที่เราเจอกัน… และนั่นก็ผ่านมาเกือบจะหกเดือนได้แล้วมั้ง ‘ใช้เครื่องนี้โทรมาหาฉัน กดปุ่มนี้ปุ่มเดียว ไม่ว่าฉันจะอยู่ที่ไหนหรือทำอะไรอยู่ ฉันก็รับได้’

เหรอ… แล้วถ้าเกิดตอนนั้นนายกำลังรัวลูกปืนกับคนร้ายอยู่ล่ะ

นั่นเป็นคำถามที่ผมเพียงแค่คิดในใจ ไม่ได้พูดออกไป เพราะโลแกนอธิบายและบอกเล่าเรื่องราวก่อนหน้านี้ไปจนหมดแล้ว อธิบายถึงสาเหตุว่าทำไมเขาถึงจำเป็นต้องตัดขาดการติดต่อกับผม อธิบายว่าทำไมผมถึงไม่ควรส่งข้อความหรือโทรไปหาเขาถ้าหากไม่มีเรื่องฉุกเฉินจริงๆ

โลแกนให้เบอร์โทรศัพท์ของคนอื่นๆ ที่ผมสามารถพึ่งพามาได้ด้วย อย่างเช่นเบอร์ของคนที่กรมหรือเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานเก่งๆ ที่คงสามารถมาช่วยผมได้รวดเร็วและทันท่วงทีมากกว่า ในกรณีที่ความช่วยเหลือที่ผมต้องการไม่ได้หนักหนาจริงๆ…

ให้ตายสิ คิดถึงเรื่องนี้แล้วยังแค้นใจไม่หายเลย นี่หมอนี่เห็นผมเป็นเด็กอมมือรึยังไง ผมโตแล้ว ดูแลตัวเองได้ และถ้าให้คิดกันตามตรง… ผมก็อายุเท่ามันนั่นแหละ! มากกว่าด้วย เพราะผมเป็นคนที่ได้ออกมาจากท้องแม่ก่อน!

แล้วผมก็ยังได้รู้อีกว่าโลแกนขอให้คนจากทางรัฐมาคอยจับตาดูผมเป็นระยะๆ อาจจะไม่ตลอดเวลา แต่ก็โผล่มาเรื่อยๆ ซึ่งผมอาจจะมีโอกาสได้เห็นพวกเขาบ้างหรือไม่ได้เห็นเลย เพราะคนพวกนั้นจะคอยดูผมจากที่ไกลๆ เรื่องนั้นตอนแรกทำให้ผมรู้สึกว่าความเป็นส่วนตัวลดลงไปอยู่เหมือนกัน แต่พอผ่านไปสักพักก็เริ่มชิน แล้วก็ไม่รู้สึกว่ามีใครจับตาดูอยู่เป็นพิเศษ

หากตอนนี้… ผมชักไม่แน่ใจแล้วสิ บางทีผมอาจอยากให้มีคนมาคอยจับตาดูผมก็ได้…

ผมอยากให้โลแกนมาคอยจับตาดูผม ผมอยากได้เขามาอยู่ใกล้ๆ สิ่งที่ผมต้องการที่สุดในตอนนี้ก็คือขอคนในครอบครัวคนสุดท้ายของผมมาอยู่กับผมก็เท่านั้น มันเป็นคำขอที่มากเกินไปเหรอ?

“อึก…” ผมครวญครางออกมาจากลำคอนิดหนึ่ง คว่ำโทรศัพท์ในมือลงเพราะรู้สึกว่าแสงจากหน้าจอแยงตา

ผมพยายามเดินไปที่บริเวณครัวเพราะอยากได้น้ำดื่มมาช่วยทำให้อารมณ์ของผมสงบลงบ้าง หากเมื่อสายตาทอดมองลงไปที่พื้น จุดเดียวกับที่แม่เคยนอนเลือดอาบท่วมตัวอยู่ตรงนั้น ผมก็รู้สึกว่าเลือดในร่างของตัวเองเย็นยะเยือก จากนั้นภาพทุกอย่างก็ย้อนกลับเข้ามาในหัว

‘หยุดนะ!! อย่าทำอะไรลูกนะ!!’ นั่นเป็นเสียงกรีดร้องของแม่

‘อย่ามาเซ้าซี้ได้ไหม!! น่ารำคาญ!!’ เสียงที่ตะโกนกลับมาของพ่อ

‘ลูคัส… ไม่เป็นไรแล้วนะ’ โลแกนที่เดินเข้ามากอดร่างของผม เหมือนว่าเนื้อตัวของพวกเราจะเต็มไปด้วยเลือด

‘เละเทะไม่เลวเลยนี่… โลแกน’ ชายคนหนึ่งที่มีเขางอกออกมาจากหัวทั้งสองข้างพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม

อื๊อ? นั่นมัน…

ใครน่ะ??

“!!!” ผมยกมือกุมหัวที่ปวดตุบราวกับจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ ผมหลับตาทั้งสองข้างลงแน่น รู้สึกราวกับเรี่ยวแรงที่มีอยู่มันหมดลงไปดื้อๆ แล้วผมก็ล้มคว่ำลงตรงหน้าห้องครัว

แรงกระแทกนั่นทำให้ผมเจ็บจนชาไปหมดทั้งตัว แต่สติอันน้อยนิดของผมก็บอกผมว่านิ้วมือยังไม่เป็นไร

ผมอยากกรีดร้อง มันทรมาน อยากจะร้องขอความช่วยเหลือ แต่ก็ไม่รู้จะขอจากใคร ไม่รู้จะต้องขอว่ายังไง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นอะไร

โลแกน... ผมได้แต่ลอบคิดอยู่ในหัว รู้ดีว่าไม่มีทางทำอะไรที่มากไปกว่านั้นได้ โลแกน ได้โปรด ช่วยฉันที

จริงๆ แล้วผมรู้ดี… รู้ดีว่านอกจากน้องชายฝาแฝดผู้ได้เผชิญหน้าในเหตุการณ์วันนั้นด้วยกันกับผมแล้ว ไม่มีใครสามารถช่วยผมได้

ฉันคิดถึงนาย โลแกน นายไม่มาเจอฉันเป็นครึ่งปีแล้ว… นายทำอะไรอยู่ นายสุขสบายดีหรือเปล่า นายมีคนใหม่เหรอ นายไม่คิดถึงกันบ้างเลยหรือไง นายกำลังโดนใครจ้องเล่นงานอยู่รึเปล่า นายฆ่าคนไปแล้วกี่คน ถ้ามันเป็นคนที่สมควรตายก็ช่างมันเถอะ

ไม่หรอก… อันที่จริงแล้ว นายรู้อะไรไหม นายอยากจะฆ่าใครก็ฆ่าไปเถอะ ฉันไม่สนอยู่แล้วว่าคนพวกนั้นจะเป็นยังไง ขอแค่นายกลับมาหาฉัน โลแกน แค่นายมีชีวิตอยู่รอดกลับมาหาฉัน ต่อให้นายต้องฆ่าคนสักกี่สิบคน หรือกี่ร้อยคนก็ช่าง

อ่า… ช่างเป็นความคิดที่เห็นแก่ตัวอะไรอย่างนี้ แต่ก็แล้วยังไงล่ะ ในเมื่อคนอื่นๆ พวกนั้นไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับผมอย่างที่โลแกนเป็นนี่…

ผมใช้แขนยันตัวลุกขึ้นจากพื้นอย่างยากลำบาก หลับตาลง พยายามสูดลมหายใจให้ลึกและช้าลง นั่นพอจะช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง

ผมเดินไปเปิดตู้เย็น หยิบขวดว้อดก้าออกมาแล้วเปิดฝาอย่างรวดเร็ว พยายามลบภาพเหตุการณ์นองเลือดที่เกิดขึ้นเมื่อสิบสี่ก่อนหน้านี้ มันเป็นวันเดียวกับวันนี้เลย พอเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นในวันเกิด มันก็จะคอยตามหลอกหลอนไปชั่วชีวิต วันที่ควรจะได้ฉลองอย่างมีความสุขก็ต้องโดนฝันร้ายนั่นพาดผ่านลงมา และมันก็คงเป็นไปตลอดชีวิตของผมนั่นแหละ

ผมรินเครื่องดื่มสีใสนั่นใส่แก้วแล้วยกซดลงคอไปรวดเดียว ความร้อนไหลผ่านลำคอวูบ ตกลงถึงท้องในที่สุด ระยะหลังนี้ผมเริ่มจะนอนไม่หลับแล้วถ้าไม่มีแอลกอฮอล์พวกนี้มาคอยช่วยขับกล่อม

หลังจากที่รินเหล้าใส่แก้วเป็นครั้งที่สี่ ผมก็เริ่มรู้สึกเหมือนตัวเบา หัวเบา แทบไม่ต้องคิดอะไรแล้วตอนนี้

ผมเดินกลับไปที่เปียโนด้วยความรู้สึกกรึ่มๆ เหมือนล่องลอย แต่ในขณะเดียวกัน ความรู้สึกเหงาและโดดเดี่ยวกลับแทงทะลุหัวใจ แจ่มชัดยิ่งกว่าตอนที่ผมยังมีสติอยู่ครบถ้วนกว่าเป็นร้อยๆ เท่า

ผมจรดนิ้วลงบนคีย์เปียโนอีกครั้ง จากนั้นก็เริ่มเล่นเพลงที่รู้สึกว่ามันขัดหูมาตลอดตั้งแต่ที่พยายามเล่นมาหลายชั่วโมง

เสียงที่สะท้อนออกมาจากเปียโนนั้นใสและก้องกังวาน อย่างที่ผมอยากจะให้มันเป็นมาตลอดในไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า

บางทีผมอาจจะเล่นได้ดีแล้วจริงๆ หรือบางทีมันอาจเป็นฤทธิ์ของน้ำเมาที่เพิ่งไหลเข้าไปอยู่ในตัวเมื่อครู่ เสียงที่สะท้อนออกมาบาดลึก สะท้อนความเหงาของผมออกมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ เขาว่ากันว่าเปียโนก็คือกระจกเงาที่สะท้อนภาพของตัวผู้เล่นออกมา และนี่ก็คือภาพของตัวผม

“ฮะ…. ฮะๆๆๆ” ผมหลุดเสียงหัวเราะที่ไร้ความหมายออกมาหลังจากที่บรรเลงเพลงที่ต้องการเสร็จสิ้น

ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกลับมาอยู่หน้าเตียงในห้องนอนแบบนี้ได้ยังไง ทั้งๆ ที่เหมือนสคอจะพับ ล้มแหล่ไม่ล้มแหล่ขนาดนั้น ยังอุตส่าห์ฝืนสังขารขึ้นมาได้อีก ร่างกายคนเรานี่มันสุดยอดจริงๆ

“ฮะ… ฮะๆๆๆ” ผมยกมือขึ้นมาปิดหน้า ราวกับกลัวว่าจะมีใครมาเห็นน้ำตาที่ไหลอาบอยู่ทั่วแก้ม เค้นเสียงหัวเราะออกมาอย่างสุดกำลัง เพื่อที่มันจะข่มเสียงสะอื้นให้กลับลงไปในลำคอได้ ราวกับกลัวว่าจะมีใครมาได้ยิน

ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าไม่มีใครอยู่ที่บ้านหลังนี้อยู่อีกแล้วนอกจากผม แต่ผมก็ยังจะกลัวอะไรไม่เข้าท่าอยู่อีก เป็นไอ้โง่ขนานแท้เลย

ผมนอนแผ่หราอยู่บนเตียงนิ่งๆ เหม่อมองดูเพดานสีมอซอ รอจนกระทั่งน้ำตาพวกนั้นแห้งเหือดไป

จากนั้นผมก็ตะแคงหน้าหันไปมองดวงจันทร์ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าโปร่งผ่านบานหน้าต่าง

ปีนี้ผมไม่ได้อบเค้ก ทำไมจะต้องทำด้วยล่ะ ในเมื่อไม่มีโลแกนกลับมากินกับผม

ไม่มีแม้แต่ข้อความ ไม่มีคำอวยพร ไม่มีการ์ดวันเกิด ไม่มีของขวัญ ไม่มีเค้ก

ไม่มี… หมอนั่น

“สุขสันต์วันเกิดว่ะ โลแกน”

หวังว่าสายลมจะช่วยพัดพาคำพูดนั้นของผมไปถึงมันได้






------------------------------------------
Talk: โอ๋ๆ ไม่ร้องนะคะลูคัส... มากับพี่สาวนะคะ เดี๋ยวพาไปเลี้ยงข้า---//หลบกระสุนของโลแกนแปป

ออฟไลน์ tiew93

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ฮืออออ สงสารลูคัส ลูคัสจะติดเหล้ามั้ยอ่ะ ไม่เอานะ ถ้าความฝันล้มเหลวแล้วยังห่างกับโลแกนอีก...ตายแน่ๆ ตายแน่ๆคนอ่านเนี่ย  :katai1:

ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ลูคัสเริ่มแย่แล้ว

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 36

(Mode: Logan Collins)



ผมนั่งรอใครคนหนึ่งอยู่ในร้านอาหารมากว่าสิบนาทีแล้ว วันนี้ผมหยิบสูทแบบกึ่งทางการมาใส่ ไม่ผูกเนคไท จริงๆ แล้วผมเกลียดการผูกเนคไทมาก ถึงจะชอบใส่เสื้อผ้าแบบทางการก็เถอะ แต่ที่ผ่านมาผมก็มักจะใส่เสื้อผ้าแบบนั้นโดยปราศจากเนคไทมาเสมอ ยกเว้นแค่บางวันที่อารมณ์ดีมากๆ พอจะหยิบเนคไทบางเส้นขึ้นมาผูกติดกับคอเท่านั้น

จากบานหน้าต่าง ผมเห็นเจ้าหน้าที่แกรนท์ซึ่งไม่ได้อยู่ในชุดปฏิบัติการเฉกเช่นทุกครั้งอยู่อีกฟากของถนน เจ้าหล่อนกำลังรอไฟแดงเพื่อที่จะข้ามมายังร้านฝั่งนี้ แกรนท์เหลือบมองนาฬิกาข้อมือด้วยสีหน้าร้อนรนเพราะนี่มันเลยเวลานัดมาเกือบสิบนาทีแล้ว ผมสังเกตเห็นว่าเจ้าหล่อนแต่งหน้าบางๆ มาด้วย เครื่องสำอางค์ช่วยแต่งแต้มให้ใบหน้าหวานของหล่อนดูดียิ่งขึ้น ผมแอบสงสัยเหมือนกันว่านั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้หล่อนมาช้ารึเปล่า

“เฮ้ คอลลินส์” หล่อนเรียกผมทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในร้าน บอกพนักงานที่หน้าประตูว่านัดคนเอาไว้แล้วก็ก้าวเท้าเข้ามาด้วยท่าทีมั่นอกมั่นใจในตัวเอง ต่างจากหญิงสาวที่ก้มลงมองนาฬิกาแล้วก็หันไปมองกระจกของร้านค้าแล้วจัดแต่งทรงผมอย่างไม่แน่ใจเมื่อครู่ราวกับเป็นคนละคนเลย สงสัยจังเลยว่าผู้หญิงเนี่ย… เป็นแบบนี้กันทุกคนรึเปล่านะ “ขอโทษทีนะที่ให้รอ พอดีงานรัดตัวนิดหน่อย กว่าจะกลับบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอีก”

“ไม่มีปัญหาอยู่แล้วครับ” ผมยิ้มตอบกลับไปอย่างสุภาพ เดินออกไปเลื่อนเก้าอี้ให้หญิงสาวนั่งตามมารยาทจากนั้นก็เรียกบริกรมาสั่งอาหารและเครื่องดื่ม

“แปลกใจจังนะที่รอบนี้นายเป็นคนมาด้วยตัวเอง” แองเจลีน่า แกรนท์เป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาขึ้นก่อน เป็นจังหวะเดียวกับที่แก้วน้ำที่พวกเราสั่งไปมาเสิร์ฟพอดี ผมยกแก้วของตัวเองขึ้นถือในมือ เลื่อนไปชนกับแก้วของอีกฝ่ายดังกริ๊งเบาๆ จากนั้นก็ยกขึ้นดื่ม

“ก็นะครับ… มันเป็นเรื่องงานนี่ แล้วคุณได้เอกสารอย่างที่ผมขอรึเปล่า”

แกรนท์เลื่อนมือไปเปิดกระเป๋าถือแบบผู้หญิงของตัวเองด้วยท่าทีไม่รีบร้อน จากนั้นก็วางมันลงบนโต๊ะแล้วยื่นมาให้ผม

“นี่ไม่ใช่ว่าฉันจะเอามาได้ง่ายๆ เลยนะเนี่ย คอลลินส์ ไอ้แฟ้มคดีนี้น่ะ มันเคยลงเป็นข่าวใหญ่เมื่อปีก่อนในหน้าหนังสือพิมพ์ แถมมีชื่อของรัฐมนตรีกระทรวงการคลังเข้ามาเอี่ยวด้วยแบบนี้ กว่าจะได้มานี่ เลือดตาแทบกระเด็น”

ผมรับมันมาเปิดดูเนื้อหาด้านในคร่าวๆ จากนั้นริมฝีปากก็ค่อยๆ ฉีกยิ้มขึ้นอย่างอดไม่อยู่

“ผมรู้อยู่แล้วล่ะน่า” ผมรีบว่า เก็บแฟ้มสำเนาที่เพิ่งได้มาลงกระเป๋าของตัวเองทันที “ถึงได้พามาคุณมาเลี้ยงข้าวในร้านหรูๆ แบบนี้ไง เป็นการตอบแทน”

“หืม?” หญิงสาวเลิกคิ้ว เงียบลงไปนิดหนึ่งเพราะอาหารเรียกน้ำย่อยถูกยกมาเสิร์ฟลงตรงหน้า และเมื่อบริกรหนุ่มเดินจากไป เจ้าหล่อนก็รุกต่อ รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าพร่างพรายทีเดียว “แค่กินข้าวเท่านั้นเหรอคะ?”

“แล้วก็คุยงานด้วย” ผมรีบพูดดักคอก่อนที่หญิงสาวตรงหน้าจะคิดไปไกลกว่านี้ และนั่นเกือบจะทำให้รอยยิ้มหวานของหล่อนหุบลงไปแทบจะในทันที

“อ้อ งั้นเหรอ” เจ้าหล่อนว่า ยกแก้วไวน์ขึ้นมาจิบอึกหนึ่ง

“ผมขอโทษ แกรนท์” ผมตัดสินใจไม่อ้อมค้อม “ผมมีคนที่คบด้วยอยู่แล้ว”

“อย่าบอกนะว่าคนเดิม?” หล่อนอุทานออกมาอย่างแปลกใจ และคนเดิมที่หล่อนหมายถึงก็คือคนที่ผมอ้างว่ากำลังคบหาและขอคืนนาฬิกาเรือนงามให้หล่อน

“ครับ คนเดิม”

“นี่นายทำให้ฉันแปลกใจจริงๆ นะเนี่ย”

ผมยกยิ้ม ไม่โต้ตอบอะไร แต่ก็รู้ว่าเจ้าหล่อนแปลกใจเรื่องที่ว่าเสือผู้หญิงอย่างผมสามารถหยุดที่ใครคนหนึ่งได้นานขนาดนี้ได้

“ฉันไม่ได้เจอนายมานานกี่ปีแล้วน้า…”

“ปีเดียวเท่านั้นแหละครับ และคราวก่อนตอนไปคุยงาน เราก็ยังทักทายกันอยู่เลย” ผมช่วยเตือนความทรงจำ

“นั่นมันไม่เหมือนกัน” เจ้าหล่อนเบ้ริมฝีปากนิดหนึ่ง “ฉันหมายถึง… แบบส่วนตัวต่างหากล่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ 2 ปีมาได้แล้วครับ”

“นั่นสินะ… ครั้งแรกที่เรานอนด้วยกัน…” หญิงสาวพูดพึมพำ เหมือนพูดกับตัวเองมากกว่า “ตอนนั้นนายอายุ 18 พอดีนี่นะ”

“ผมว่าเราอย่าย้อนรำลึกวันเก่าๆ กันดีกว่าครับ” ผมดักคออย่างรู้ทัน และนั่นทำให้ผู้หญิงตรงหน้าคอแข็งไปหน่อยที่ผมหักหน้าเธอตรงๆ แบบนี้ ผมก็อยากจะเล่นอยู่กับเจ้าหล่อนด้วยหรอกนะ แต่เวลาของผมมีจำกัด ไม่เหมือนกับเมื่อก่อน “เรื่องคดีที่ผมให้คุณสืบ… ผมอยากให้คุณลองหาเจ้าหน้าที่เอฟบีไออีกสักคนแท็คทีมกับคุณแล้วขุดไปให้ลึกกว่านี้”

“ทำไม คอลลินส์” หล่อนหรี่ตาลง พูดด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงานมากขึ้น คงจะรู้แล้วจริงๆ ว่าผมไม่คิดจะรีเทิร์นกลับไปหรือแม้แต่หาเพื่อนเล่นแก้เหงาในคืนนี้ “เรื่องของจูดี้ ฮิลล์นี่มีอะไรมาสะกิดต่อมนายหรือไง? แล้วยังไง? เดี๋ยวนี้ดีซีไอเอสอย่างนายเริ่มจับงานสืบสวนด้วยแล้วเหรอ”

“เปล่าครับ” ผมยกสองมือชูขึ้นเหมือนจะบอกว่ายอมแพ้กลายๆ “เพราะไม่มีสิทธิ์ ไม่มีหน้าที่จะจับงานสืบสวน ผมเลยต้องขอร้องให้คุณช่วยอยู่นี่ไง แล้วผมบอกได้เลยนะ งานนี้คุณไม่คว้าน้ำเหลวเสียเวลาเปล่าแน่ คุณจะจับได้ปลาตัวใหญ่ แล้วหลังจากนั้นคุณก็สามารถรวบได้ทั้งปลาเน่าของเราและมาเฟียผู้ทรงอิทธิพลแห่งนิวยอร์กได้ด้วย ถ้าคุณทำงานได้สำเร็จนะ”

เจ้าหน้าที่พิเศษสาวเงยหน้าขึ้นมองผมเหมือนไม่เชื่อ นัยน์ตาเบิกกว้างอย่างตกตะลึงกับข้อมูลที่เพิ่งได้ยินมานั้น หากวินาทีต่อมาเจ้าหล่อนก็ขมวดคิ้วฉับ สีหน้าครุ่นคิด แต่ผมก็ไม่โทษเจ้าหล่อนถ้าคิดจะสงสัยในสิ่งที่ผมพูดออกไป เพราะมันดูเลื่อนลอยเสียเหลือเกิน

“ปลาเน่าของเราที่นายว่า” หล่อนพูดอย่างระมัดระวัง “หมายถึง… รัฐมนตรีกระทรวงการคลังงั้นเหรอ”

“คุณลองกลับไปอ่านแฟ้มที่ผมส่งไปให้นะ แล้วเริ่มสืบจากตรงนั้น” ผมไม่ตอบคำถามนั้นตรงๆ จากนั้นก็เลื่อนมือไปหยิบมีดและส้อมขึ้นมาถือในมือ จะว่าไปก็นานมากแล้วนะ ที่ผมไม่ได้กินอาหารดีๆ แบบนี้… อย่าว่าแต่อาหารดีๆ เลย แค่ได้นั่งโต๊ะกินข้าวแล้วกินอาหารแบบธรรมดาๆ ยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ทุกวันนี้ต้องพึ่งพวกโปรตีนบาร์ให้พออิ่มท้อง แล้วก็อีกอย่าง… ถ้ากินกระสุนปืนเป็นอาหารได้ผมคงกินไปนานแล้ว

“ฉันจะรู้ได้ไงว่าเรื่องนี้คุ้ม” แกรนท์ยังไม่ยอมรับปากง่ายๆ “ฉันเองก็มีงานยุ่งจนล้นมืออยู่แล้ว แล้วนายเองก็เป็นถึงดีซีไอเอส ถ้านายขอร้องใครสักคน…”

“ผมอาจจะขอร้องคนอื่น” ผมพยักหน้าเนือยๆ “แต่มันก็เป็นความจริงไม่ใช่เหรอ ที่ผมกำลังขอร้องคุณ หนึ่งเลย ผมคิดว่าคุณมีฝีมือมากพอที่จะช่วยผมในเรื่องนี้ได้ อำนาจคุณก็มีมาก คุณขอกำลังเสริม ขอผู้ช่วยมาทำงานร่วมกับคุณได้ ลองอ่านเอกสารที่ผมส่งไปให้คุณดูก่อนเถอะ แล้วคุณจะรู้ว่ามันมีเงื่อนงำจริงๆ ไม่ใช่แค่สิ่งที่ผมพูดขึ้นมาลอยๆ

“สอง… ถ้าคุณทำงานนี้ได้สำเร็จ คุณจะได้หน้า การงานก้าวไกล เจ้านายก็จะชื่นชมคุณ เอฟบีไอจะตบรางวัลให้กับคุณ ก็อย่างที่ผมบอก… ผมอาจจะเอาโอกาสนี้ไปให้คนอื่นที่เขาอยากทำมากกว่าก็ได้ถ้าคุณตอบปฏิเสธขึ้นมา แต่เชื่อผมเถอะ งานนี้มันคุ้มค่าเหนื่อยแน่”

หญิงสาวผมบลอนด์ทองมองผมนิ่งอย่างค้นคว้า เจ้าหล่อนรู้แน่ชัดแล้วว่าผมไม่ได้คิดจะตามจีบหรือหวังจะนอนกับหล่อน ดังนั้นคำถามก็คือ…

“ทำไมถึงเป็นฉันล่ะ โลแกน”

ผมยิ้มนิดๆ เพราะหล่อนเรียกชื่อต้นของผม หากก็ไม่ได้บอกห้ามอะไร เพราะรู้ดีว่าถึงยังไงเราสองคนก็เป็นแค่เพื่อนร่วมงานกันจริงๆ ผมพูดตอบตรงๆ

“ก็อย่างที่ผมบอกไปแล้ว เพราะว่าคุณคือเพื่อนที่ผมไว้ใจไง แล้วผมก็เห็นด้วยว่าคุณมีฝีมือ”

แล้วก็…

เพราะว่าเธอคอยช่วยดูแลลูคัสให้ผมยังไงล่ะ








ผมขับรถซีอาร์วีคันใหม่ที่ยืมแมคโดเวลมา ผมเวียนรถขับหลายๆ คันไปเรื่อยๆ นั่นแหละ และทั้งหมดนั่นก็เป็นรถของทางการ ขับจอดอยู่บริเวณไม่ไกลจากตัวบ้านของผมนัก และบ้านในที่นี้ที่กำลังพูดถึงคือบ้านของผมจริงๆ… บ้านที่ผมโตมาตลอดกับลูคัส พี่ชายฝาแฝดของผม

ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมาดู มองสัญญาณ GPS ที่ระบุตำแหน่งว่าลูคัสอยู่ที่ไหน ตอนนี้เจ้าตัวกำลังนั่งรถกลับบ้าน อีกไม่เกินห้านาทีก็คงจะถึง

ผมวางโทรศัพท์ลงข้างตัว กวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างพินิจ กลายเป็นนิสัยติดตัวไปเสียแล้วกับการต้องระวังรอบตัวตลอดเวลาขนาดนี้

ในที่สุดลูคัสก็กลับมาถึงบ้าน เจ้าตัวสะพายกระเป๋า เดินลากเท้ามาถึงที่หน้าประตูบ้านด้วยสีหน้าเรียบเฉย บอกได้ตรงนี้เลยว่าถ้าผมเป็นฝั่งศัตรูและคิดจะจับเอาหมอนั่นเป็นตัวประกันหรือฆ่าหมอนั่นทิ้งล่ะก็… ผมคงทำได้ในเวลาแค่พริบตาเดียว

บ้าชะมัดเลยหมอนั่น… ช่องโหว่เยอะเกินไปแล้ว คราวก่อนนู้นก็อุตส่าห์เตือนไว้แล้วแท้ๆ ว่าไปไหนมาไหนให้ระวังตัว แต่ก็อย่างว่าล่ะนะ ของแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันได้ง่ายๆ ต้องมาอยู่ในสถานการณ์จริง ต้องได้ฝึกจริงๆ แต่ถ้าเลือกได้ ผมก็ไม่นึกอยากให้ลูคัสก้าวเข้ามาอยู่ในโลกฝั่งเดียวกับที่ผมอยู่นี่นักหรอก

ผมมองชายหนุ่มผู้มีใบหน้าเหมือนของตัวเองอย่างโหยหา ลูคัสกำลังไขประตูหน้าบ้านด้วยสีหน้าเลื่อนลอยและดูเศร้าสร้อยกว่าตอนที่ผมเห็นเจ้าตัวอยู่บนถนน

มันทำให้ผมเจ็บแปลบอย่างบอกไม่ถูก ต้องยอมรับกับตัวเองว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้ลูคัสกลายเป็นแบบนั้น ต้นเหตุคงมาจากผม ลูคัสจะรู้รึเปล่านะว่าผมเองก็เหงา… เหงามากเหมือนกันที่ต้องทำแบบนี้

ผมเลื่อนหน้าไปพิงกับพวงมาลัยของรถอย่างอ่อนล้า เป็นครั้งแรกเลยมั้งที่รู้สึกเหนื่อยกับสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ขนาดนี้ ทำไมผมถึงได้มีความรู้สึกอะไรมากมายขนาดนี้ล่ะ? ผมน่ะ เป็นลูกของท่านพ่อไม่ใช่เหรอ เป็นเด็กปีศาจแท้ๆ แต่ทำไมถึงได้มีอารมณ์อัดแน่นอยู่ขนาดนี้ และมันก็กำลังทำให้ผมทรมาน…

อยากจะเลิกทำ… อยากจะหยุดทุกอย่างที่ทำอยู่ตอนนี้แล้วโผไป... เปิดประตูพรวดแล้วก็เข้าไปหาหมอนั่น อยากกอด อยากจูบ… อยากได้หมอนั่นมาครอบครอง

เอาล่ะ… โลแกน ใจเย็นๆ ตั้งสติหน่อย นายไม่ได้มาที่นี่เพื่อมีความรักงี่เง่านะ ท่านพ่อสั่งงานมา และนายก็ต้องทำให้สำเร็จ

คิดแบบนั้นแล้วผมก็เงยหน้าพรวดขึ้นมา พยายามข่มความรู้สึกที่เอ่อล้นอยู่ในใจนี่ กลบมันลงไปด้วยความเยือนเย็น

ผมมองลูคัสจากบานหน้าต่างของตัวบ้าน เจ้าตัวกำลังเดินไปเปิดฝาของเปียโนขึ้นอย่างเชื่องช้า แม้แต่ท่าทางที่หมอนั่นลงไปนั่งกับเก้าอี้ ขยับมือขึ้นมากางนิ้วออกอยู่เหนือคีย์เปียโนยังดูสง่างามเลย ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหมอนั่นถึงคว้ารางวัลของเวทีต่างๆ มาได้นับไม่ถ้วน

ผมมองดูพี่ชายฝาแฝดของตัวเองบรรเลงเพลง ภาพมันตัดกับรถบนถนนที่วิ่งสวนไปมา ผมไม่ได้ยินเสียงเปียโนของลูคัส หากแค่ท่าทางที่หมอนั่นเล่นเปียโนก็เติมเต็มความปรารถนาของผมได้มากแล้ว

ผมยกนิ้วเคาะกับคอนโซลรถอย่างเผลอตัว นึกถึงตอนเด็กๆ ที่ลูคัสเคยเล่นเปียโนให้ฟัง และตอนนั้นผมสามารถร้องเพลงแล้วก็หัวเราะคลอตามแฝดคนพี่ของตัวเองแล้วก็ลิซ่าได้ราวกับเป็นเด็กผู้ชายปกติ

ทั้งๆ ที่ในใจผมก็รู้ดีอยู่แล้ว ว่าตัวไม่ปกติ ไม่เหมือนกับเด็กคนอื่น ไม่เหมือนกับลูคัส…

ผมติดตามข่าวของหมอนี่มาตลอด รู้ด้วยว่าเวทีล่าสุดที่เจ้าตัวเพิ่งไปมาได้เพียงแค่ที่สาม ผมไม่คิดว่าหมอนั่นอ่อนหัดหรอก ยังไงที่สามก็เป็นตำแหน่งที่สุดยอดอยู่ดี แต่แน่ล่ะว่าลูคัสคงไม่พอใจ เพราะว่าได้แค่ที่สามจากการแข่งนั่นมารึเปล่านะ… ลูคัสถึงได้ดูเศร้าขนาดนี้

หรือว่า… เป็นเพราะความเศร้านั่น… ที่ทำให้ลูคัสได้ที่สามแบบนั้น?

ผมหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมา เปิดไปที่ช่องส่งข้อความ ลูคัสอาจจะไม่สามารถหาวิธีส่งข้อความหรือโทรหาผมได้ก็จริง แต่ถ้าเป็นจากผมแล้ว ผมสามารถทำได้ทั้งนั้น ผมมองหน้าจอนั้นอย่างชั่งใจและนึกถึงเรื่องแมคโดเวลกับฮิวเบอร์เคยเตือน… เรื่องที่คนเก่งๆ เสียท่าให้กับฝั่งตรงข้ามเพราะคนที่รักโดนไปจับเป็นตัวประกันนี่เป็นสิ่งที่เห็นกันได้เกร่อ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังเกิดขึ้น แล้วผมพร้อมที่จะรับกับความเสี่ยงนั้นแล้วเหรอ?

ผมกดปุ่มปิดหน้าจอโทรศัพท์ลงไปให้มืดสนิทอีกครั้ง หลังจากนั้นก็สตาร์ทรถแล้วก็ขับออกจากพื้นที่ตรงนั้น

ไม่ล่ะ ผมจะไม่ยอมเสี่ยงกับอะไรทั้งนั้นแหละ







-----------------------------------
Talk:  ตอนเริ่มเขียน คิดไว้สัก 40 ตอนจบ.... ไม่พอมั้ง...... 555555555555

ออฟไลน์ magic-moon

  • magKapleVE
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 495
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
    • Freedom of meetups, no obligations
ดีค่ะ จะรออ่านซักร้อยตอน ป.ล.คนเขียนอย่าเเกล้งน้อง

ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ใจเอนเอียนสงสารลูคัสมากกว่า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ sanri

  • เวลาไม่ใช่ตัวพิสูจน์ทุกสิ่งเสมอไป
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1553
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-9
 :m29: เอิ่ม คนแต่งจ๊ะ ไม่เอาน๊า มาม่าชามโตเนี่ย

ออฟไลน์ tiew93

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
โอยยย หน่วง! สงสารลูคัสมากกกก โลแกนยังได้เฝ้ามองแต่ลูคัสสิ ได้แต่รอ.. แบบดูไม่มีความหวัง โลแกนคงจะยังติดต่อกับลูคัสไม่ได้จนกว่าจะฆ่าคนนั้นสำเร็จรึเปล่า ฮือออ สงสารรรร  :katai1:

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 37

(Mode: Lucas Collins)




ผมรู้สึกเลยว่าช่วงนี้ตัวเองกำลังย่ำแย่… ย่ำแย่ขนาดหนักด้วย บางทีผมอาจต้องหาต้องช่วย

“เป็นอะไรไป ลูคัส” ครูผู้ฝึกของผมเอ่ยถามเสียงเรียบหลังจากที่ฟังผมเล่นเพลงอย่างใจลอยมาครู่หนึ่ง

ผมก้มลงมองมือที่วางอยู่บนคีย์เปียโนของตัวเอง กระพริบตาปริบๆ ขณะที่ค่อยๆ บรรเลงจังหวะที่ช้าลงและค่อยๆ หยุดไปในที่สุด

“อะไรเหรอครับ”

“ดูนายไม่ค่อยดีมาช่วงหนึ่งแล้วนะ” เจ้าตัวว่าด้วยน้ำเสียงที่งวดขึ้นเล็กน้อย คิ้วเรียวเข้มขมวดเข้าหากันอย่างหงุดหงิด “ถ้าไม่มีแก่ใจจะเล่นก็กลับบ้านไปซะ”

ผมสะดุ้งเฮือก เพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองทำคนข้างตัวหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อยๆ หากเจ้าตัวก็ยอมใจดีไม่มีหวดไม้ในมือมาฟาดมือผม แต่ผมว่าไอ้ไล่กลับ้านนี่รุนแรงยิ่งกว่าอีกนะ

“ผมขอโทษครับ มิกกี้” ผมพูดเสียงอ่อย จากนั้นก็เริ่มขยับตัว ยืดตัวให้ตรงอย่างกระตือรือร้นอีกครั้ง “ผมจะลองเล่นใหม่ ให้โอกาสผมอีกสักรอบนะครับ”

“อย่าเพิ่งครับ” ไมเคิลพูดห้าม และนั่นทำให้ผมใจเสียขึ้นมาจริงๆ นี่นอกจากชีวิตผมจะย่ำแย่เพราะอาการเครียดแล้ว ผมยังต้องมาโดนครูฝึกซึ่งเปรียบเสมือนมิตรแท้เพียงคนเดียวโกรธเอาอีกเหรอเนี่ย

“คุณคอร์เนอร์ส่งช่อดอกไม้แล้วก็จดหมายมาให้คุณน่ะ มันอยู่ที่ห้องพักครู ผมลืมหยิบติดมือมาให้คุณ”

ผมชะงักไปทันทีก่อนจะถามกลับอย่างแปลกใจ

“เอ็ดการ์ คอร์เนอร์ที่ได้ที่สองน่ะเหรอครับ?”

“ใช่สิครับ จะเป็นใครไปได้อีกล่ะ” ไมเคิลเอ่ยตอบเสียงเรียบ จากนั้นก็ส่งรอยยิ้มที่ตีความเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากต้องการจะแซวผม “เขาส่งมาแสดงความยินดีให้คุณเหมือนอย่างเคย ดูเหมือนคุณจะมีแฟนพันธุ์แท้เกาะเหนียวแน่นหนึบเลยนะครับ”

เอ็ดการ์ คอร์เนอร์เป็นชายหนุ่มที่มีอายุเท่ากับผม หากเรียนอยู่ในวิทยาลัยดนตรีอีกที่หนึ่ง ไม่ใช่ที่เดียวกัน เขาเป็นชายรูปร่างเล็ก ตัวเตี้ยกว่าผมลงไปเล็กน้อย เส้นผมสีน้ำตาลอ่อน นัยน์ตาสีฟ้าสว่าง เรามักจะเจอกันในงานประกวดเสมอ เจ้าตัวก็มักจะมีรอยยิ้มเล็กๆ อายๆ ประดับอยู่บนมุมปากตลอด เขาเป็นคนสุภาพเรียบร้อยแล้วก็เป็นนักดนตรีที่เก่งเอาเรื่องคนหนึ่งเชียวล่ะ

“แต่ส่งดอกไม้มาแสดงความยินดีให้คนที่ได้ตำแหน่งต่ำกว่าตัวเองเนี่ยนะ” ผมยิ้มแข็งๆ ก่อนหน้านี้ก็รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้… เอ็ดการ์ คอร์เนอร์เนี่ย เป็นคนแปลกๆ คือไม่ใช่ว่าเขานิสัยไม่ดีหรืออะไรแบบนั้น ผมแค่ตกใจกับการที่เขาคอยส่งจดหมายหรือส่งดอกไม้มาแสดงความยินดีให้ผมเสมอหลังการแข่งขัน ทั้งๆ ที่มันเป็นเวทีเดียวกันกับที่เขาลงประกวดด้วย… และตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมก็มักได้ที่หนึ่งแทบจะทุกครั้ง ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเขาแพ้ผมใช่ไหมล่ะ

แล้วลองคิดดู คนอะไรส่งดอกไม้มาแสดงความยินดีให้คนที่เอาชนะตัวเองมาได้ ต้องใจบุญขนาดไหน ผมล่ะนึกภาพไม่ออก

แต่ครั้งนี้… ถึงผมจะได้เพียงที่สาม เขาก็ยังส่งดอกไม้มาแสดงความยินดีอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ในขณะที่ตัวเองได้ที่สอง… เอ่อ จะว่ายังไงดีล่ะ ในสถานการณ์แบบนี้ มันเหมือนประชดประชันกันมากกว่ารึเปล่า? ถ้าคิดกันตามปกติ?

“อย่าทำหน้ายุ่งแบบนั้นสิ” ไมเคิลคลี่ยิ้มบางๆ อย่างรู้ทันความคิดของผม เจ้าตัวเลื่อนมือมาลูบเส้นผมสีทองของผมด้วย สัมผัสจากฝ่ามืออีกฝ่ายอบอุ่น… ช่วยทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายลงไปได้เหมือนกัน “เขาคงแค่ทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะทำยังไงดี เพราะก่อนหน้านี้เขาคอยสนับสนุนเธอในฐานะแฟนคลับมาตลอดไม่ใช่เหรอ? เกิดอยู่ๆ เขาชนะเธอขึ้นมาแล้วเขาหยุดส่งดอกไม้มา… มันก็ดูแปลกๆ เหมือนกันใช่ไหมล่ะ เขาคงกลัวเธอเสียใจน่ะ”

อืม… ถ้าลองคิดในแง่นั้นดู มันก็อาจจะจริงน่ะนะ

“แต่ว่า… คุณเนี่ยเนื้อหอมเหมือนกันนะ ลูคัส” ไมเคิลพูดยิ้มๆ ผมเลยหันกลับไปมองเจ้าตัวอย่างระมัดระวัง

“หมายความว่าไงครับ?”

“ก็นอกจากคุณคอร์เนอร์คนนี้ของคุณแล้ว คุณยังมีแฟนคลับอีกคนที่ไม่ประสงค์ออกนามคอยส่งดอกไม้มาให้อยู่เรื่อยเลยไม่ใช่เหรอ ในวันที่เธอแสดง”

ฟังถึงตรงนี้ผมก็หลุดยิ้มออกมานิดหนึ่ง เป็นยิ้มที่มีความสุข… แบบที่ผมไม่ได้ทำมาพักใหญ่แล้ว ผมรู้ว่าดอกไม้พวกนั้นมาจากโลแกน… น้องชายฝาแฝดของผม จริงๆ แล้วก่อนหน้านี้ผมก็ไม่แน่ใจนักหรอกนะว่าใช่รึเปล่า แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เจ้าน้องชายตัวดีใจดีถึงขนาดแนบการ์ดที่เขียนด้วยลายมือของตัวเองมาให้ด้วย นั่นแหละผมถึงได้รู้ว่าดอกไม้พวกนั้นมาจากหมอนั่นเสมอ แล้วก็รู้ด้วยว่าโลแกนคงไม่อยากให้ใครคนอื่นรู้เท่าไหร่เรื่องที่ตัวเองส่งดอกไม้มาให้ผม เพราะงั้นผมก็จะทำตีเนียนไม่รู้ไม่ชี้ต่อไป ปล่อยให้หมอนั่นเป็นแค่แฟนคลับที่ไม่ประสงค์ออกนามอย่างนั้นแหละ

“แล้วเธอจะเลือกคนไหนดีล่ะ?” อีกฝ่ายถามเสียงเย้าแหย่ทำเอาผมสะดุ้งเฮือก นึกกลัวไปต่างๆ นานาว่าไมเคิลอาจจะจับได้ว่าผมเป็นเกย์… แต่เดี๋ยวก่อน! ผมไม่ใช่เกย์นะเว้ย! แค่… แค่… แค่คนที่ชอบเป็นผู้ชายเท่านั้นเอง! แล้วที่ก่อนหน้านี้ผมก็คบกับผู้หญิงมาก่อนด้วย อืม… งั้นก็แปลว่าผมเป็นไบสินะ แต่แม่ง… จะนับได้ไหมวะ เพราะถึงจะบอกว่าคยกัยผู้ชายอยู่ตอนนี้ แต่อีกฝ่ายก็ดันเป็นน้องชายฝาแฝดของตัวเอง

แม่ง… เลวร้ายกว่าเป็นเกย์อีก

“ลูคัส... ลูคัส!”

“คระ.. ครับ?”

“หน้าซีดอะไรของคุณน่ะ?” ชายหนุ่มตรงหน้าผมเอ่ยยิ้มๆ นัยน์ตาสีน้ำตาลหลังแว่นพราวระยับชวนให้เจ้าตัวมีเสน่ห์มากขึ้น แน่นอนล่ะว่าเจ้าตัวไม่ค่อยแสดงสีหน้าท่าทางแบบนี้ให้ใครคนอื่นเห็นมากนัก แต่ผมยังยืนยันคำเดิมนะว่าถ้าเจ้าตัวยิ้มแล้วก็หัวเราะมากกว่าเดิมอีกสักนิดคงจะกลายเป็นที่นิยมโดยเฉพาะในหมู่นักศึกษาสาวๆ แน่

“อะไร? หน้าซีด? ผมน่ะนะ?” ผมแกล้งยกนิ้วชี้มาที่ตัวเองงงๆ

“ก็ใช่สิครับ แค่แซวเล่นแค่นี้ หน้าซีดเป็นกระดาษเลย” เจ้าตัวว่าพร้อมกับทำไม้ทำมือให้ผมขยับตัวไปเพื่อที่ตัวเองจะได้นั่งลงมาข้างๆ ผมทำตามที่เขาว่าอย่างว่าง่าย ไหวตัวนิดหนึ่งเมื่อไหล่ของเจ้าตัวแตะเข้ากับไหล่ของผมเล็กน้อย “แต่อย่างว่า… อย่างคุณคงอยากได้สาวน้อยน่าตาน่ารักๆ มาควงมากกว่าผู้ชายคนนั้นอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ คุณคอร์เนอร์น่ะ”

“เอ่อ ก็ ครับ” ผมอึกอักตอบไปตามแกน จะให้ผมพูดโพล่งไปได้ไงล่ะว่าจริงๆ แล้วตัวเองก็กำลังคบกับผู้ชายอยู่ มีหวัง… ถ้าอีกฝ่ายเป็นพวกเกลียดเกย์ล่ะก็ อาจโดนเกลียดขี้หน้าได้

“เอาล่ะ คุยเล่นกันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาจริงจังต่อ” มิกกี้พูดอย่างรวดรัด จากนั้นก็ปรับท่านั่ง ขยับโน้ตเพลงตรงหน้านิดหนึ่ง ผมเบิกตากว้างอย่างตกใจระคนตื่นเต้น ก่อนจะเอ่ยถามคนข้างตัวด้วยเสียงที่ใสขึ้นทันที

“นี่อย่าบอกนะครับ… ว่าคุณจะยอมเล่นคู่กับผม?”

“หึ” อีกฝ่ายหัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นก็หันมามองหน้าผมตรงๆ “ทีอย่างนี้ล่ะ ตาใสขึ้นมาเชียวนะคุณ ทีผมสั่งให้เล่นให้ฟังเมื่อกี้ไม่เห็นมีท่าทียินดีแบบนี้เลย”

“ก็มันไม่เหมือนกันนี่นา” ผมว่าอย่างกระตือรือร้น คุณข้างตัวเป็นครูสอนเปียโนของผม… และในขณะเดียวกัน เขาก็เป็นนักเปียโนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งเลยนะ เคยมีคอนเสิร์ตของตัวเองเดี่ยวๆ เลยด้วยซ้ำ

และต่อให้ผมจะเป็นลูกศิษย์คนโปรดของเขา (เขาบอกผมมาเองนะ!) แต่ไมเคิลก็ไม่ค่อยยอมเล่นเพลงคู่กับผมเท่าไร แม้จะแค่การฝึกซ้อม เพราะงั้นตอนนี้ที่เจ้าตัวยอมลดตัวลงมาเล่นกับคนที่ยังมีฝีมือไม่ได้เรื่องอย่างผมแบบนี้… จะไม่ให้ผมดีใจได้ยังไง

“เอาล่ะ พร้อมนะ?”

“ครับ” ผมว่า รวบรวมสมาธิของตัวเองอีกครั้ง ไมเคิลมองผมด้วยสีหน้าพึงพอใจ หากมิวายพูดขู่

“ถ้านายเล่นไม่ดี ไม่ตั้งใจล่ะก็… ต่อให้จบเพลงแล้วฉันก็จะฟาดมือนายตามจำนวนคีย์ที่นายพลาด”

“โหย” ผมโวยวาย “นี่ขนาดยังไม่ทันเริ่มก็ขู่กันขนาดนี้… มาเลยครับ ผมพร้อมแล้ว”

พอทุ่มสมาธิทั้งหมดให้กับเครื่องดนตรีตรงหน้า ผมก็รู้สึกว่าอาการฟุ้งซ่านของผมก็หายไปแทบจะในทันที

แปลกจัง… ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ตอนอยู่คนเดียว เล่นคนเดียว ผมก็พยายามทุ่มสมาธิกับการเล่นเปียโนแบบนี้เหมือนกันนะ แต่ไม่เห็นรู้สึกดีแล้วก็ปลอดโปร่งแบบนี้เลย… อาจเป็นเพราะว่าพอเล่นคู่กับคนอื่นแล้ว ผมต้องตั้งใจใจมากขึ้นเพื่อไม่ให้เสียมารยาทกับพาร์ทเนอร์ของตัวเองด้วยมั้ง แถม… อีกฝ่ายก็เป็นนักเปียโนที่สุดยอดด้วย ขืนเล่นคู่กับเขาแบบครึ่งๆ กลางๆ… มีหวังโดนหมอนี่ฆ่าหมกเปียโนแน่

“เฮ้ เห็นไหม จะทำจริงๆ ก็ทำได้นี่” ไมเคิลว่าหลังจากที่พวกเราบรรเลงเพลงด้วยกันจนเสร็จสิ้น ผมเผลอสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ สองสามทีแล้วผ่อนออกแรงๆ จนเหมือนหอบ ก่อนจะต้องสะดุ้งนิดหนึ่งเมื่อมือหนาเลื่อนมาลูบหัวผมอีกรอบ ยีแรงๆ สองสามทีแล้วส่งยิ้มกว้างขวางมาให้

บอกตามตรงนะครับ… พอเห็นยิ้มที่บ่งบอกถึงความภาคภูมิใจระคนชื่นชมจากคนที่เราเคารพนับถือแล้วเนี่ย… มันเป็นความรู้สึกเหมือนหัวใจพองโตออกมาจนแทบจะระเบิดได้เลย

“เก่งมาก ลูคัส ฉันนึกอยู่แล้วว่าถ้านายตั้งใจนายต้องทำได้”

“เอ่อ… ขอบคุณครับ” ผมพูด รู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนขึ้นด้วยความปลาบปลื้ม ให้ตายสิ! ไม่ใช่สิ่งที่จะหาได้ง่ายๆ เลยนะ! คำชมจากครูฝึกคนนี้เนี่ย!

“เอาล่ะ ดูเหมือนฟอร์มจะเริ่มกลับมาแล้วนะ” ไมเคิลพูดรวบรัด จากนั้นก็ลุกออกจากเก้าอี้ไป หยิบไม้ที่เอาคอยไกด์ตัวโน้ตขึ้นมาถือในมือแล้วสวมบทโหดต่อ “ถ้าอย่างนั้นรอบนี้ลองเล่นเดี่ยวดูบ้าง อย่าให้ความตั้งใจแบบเมื่อกี้มันหายไปล่ะ ได้ยินที่ฉันพูดชัดนะ ลูคัส?”

“ครับ” ผมรับคำทันที ถึงจะรู้สึกหวั่นใจนิดหน่อยที่อีกฝ่ายกลับมาสวมบทโหดตามเดิม หากความฮึกเหิมที่ปะทุขึ้นในใจเพราะอีกฝ่ายช่วยจุดประกายก็ช่วยให้ผมมีกำลังใจมากขึ้น

ผมกางมือออก นับจังหวะในใจจากนั้นจึงเริ่มออกแรงกดลงบนคีย์อย่างเชื่องช้า ทุ่มสมาธิทังหมดที่มีให้กับเครื่องดนตรีตรงหน้าเท่านั้น เสียงที่สะท้อนออกมาของมันใสกังวาน… และมันทำให้ผมนึกถึงคืนที่ผ่านมา… วันที่เป็นวันเกิดของผมกับลูคัส

เหงาเหรอ.. นั่นสินะ ผมคงเหงาจริงๆ นั่นแหละ แต่จะให้ทำยังไงได้ล่ะ ในเมื่อเราเลือกเดินกันคนละเส้นทางแบบนี้ ผมไม่สามารถบังคับให้โลแกนเปลี่ยนใจในสิ่งที่ตัวเองต้องการจะทำได้ เช่นเดียวกับที่มันก็ไม่อาจเปลี่ยนความตั้งใจกับเส้นทางในอนาคตของผมได้

‘ฉัน… ตัดสินใจแล้วว่าจะเป็นนักเปียโน’ ผมเคยพูดกับโลแกนว่าอย่างนั้นในวันหนึ่งตอนที่หมอนั่นกลับมาเยี่ยม… จริงๆ แล้วก่อนหน้านี้หกเดือนกว่าๆ โลแกนแวะมาเยี่ยมเยียนผมบ่อยอยู่เหมือนกันนะ บ่อยกว่าตอนนี้ที่ไม่โผล่หน้ามาเลยแน่ล่ะ แต่ตอนนั้นผมก็ยังงอแงใส่มันว่าทำไมไม่มาเยี่ยมกันบ้างเลย… แล้วลองหันมาดูตอนนี้สิ

‘จะบอกเรื่องที่ฉันรู้อยู่แล้วทำไมเนี่ย’ โลแกนว่าพร้อมกับหัวเราะ จากนั้นก็เดินมามาหาผมที่นั่งอยู่บนโซฟา ก้มหน้าลงมาจูบหน้าผากเร็วๆ ทีหนึ่งให้ผมหน้าแดงเล่นๆ ซะอย่างนั้น ‘นายทำได้อยู่แล้วล่ะ ลูคัส ก็นายมีพรสวรรค์แล้วก็ความตั้งใจเต็มเปี่ยมนี่นา ลุยไปเลย พี่ชาย ฉันเป็นกำลังใจให้เสมอนะ’

‘โลแกน...’ ผมแสร้งตอบกลับด้วยท่าทีซาบซึ้ง ‘นายนี่มัน… น้ำเน่าว่ะ ไอ้น้อง พรสววรค์แล้วก็ความตั้งใจเต็มเปี่ยมเนี่ยนะ? ก็บอกแล้วไงว่าให้เปลี่ยนแนวเพลงฟังบ้าง นี่ยังไม่เลิกฟังลูกทุ่งอีกเหรอ?’

‘เดี๋ยวปั๊ดเหนี่ยวเลยไอ้คุณพี่’ จากนั้นพวกเราสองคนก็หัวเราะออกมาเสียงดัง

ให้ตาย… พอมาลองคิดดูตอนนี้ แม่งเป็นบทสนทนาที่โคตรไร้สาระ ไร้แก่นสาร แล้วก็จับใจความอะไรแทบไม่ได้เลยแท้ๆ

แต่ทำไม… ผมถึงคิดถึง… คิดถึงช่วงเวลาไร้สาระเหล่านั้นเหลือเกิน

ผมจรดนิ้วลงบนโน้ตตัวสุดท้าย ยกปลายนิ้วขึ้นอย่างเชื่องช้า จากนั้นก็ค่อยๆ วางมือลงบนตักของตัวเอง รู้สึกว่ามีเหงื่อไหลลงมาหน้าผาก จากนั้นก็ผมก็ค่อยๆ เบือนหน้ากลับไปหาครูผู้สอนของผมราวกับขอความเห็น อีกฝ่ายพยักหน้าให้ผมอย่างเงียบงัน นัยน์ตาสีน้ำตาลเป็นประกายฉายชัดหลังกรอบแว่นนั้น

“เธอ… อกหักมาอย่างนั้นเหรอ ลูคัส?”

“ครับ?” ผมถามกลับอย่างแปลกใจ

“เสียงดนตรีของเธอมันบอกออกมาหมดแล้ว” ไมเคิลพูดออกมาด้วยท่าทีสงบ “ว่าเธอกำลังเหงาแค่ไหน”

ผมทอดสายตามองไปยังจุดจุดหนึ่งของห้องนิดหนึ่งอย่างไม่เจาะจงแล้วคิดตามคำถามนั้นของอีกฝ่าย

เหงางั้นเหรอ… ก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว ในเมื่อผมไม่ได้เจอโลแกนมานานขนาดนี้… ติดต่ออะไรกันก็ไม่ได้ แล้วจะไม่ให้เหงาได้ยังไงกัน

ในที่สุด… ผมก็ยกยิ้มน้อยๆ แล้วส่งไปให้คนตรงหน้า

“ผมไม่ได้อกหักหรอก มิกกี้” ผมพูดอย่างสงบ ราวกับสามารถรับมือกับความรู้สึกของตัวเองได้แล้ว “ผมก็แค่เหงามาก… เหงามากๆๆ ก็เท่านั้นเองครับ”






-------------------------------------------------
Talk:  เอ๊ะ... หรือว่าคู่มิกกี้ลูคัสจะเชียร์ขึ้น? เชียร์ไหมคะ? ซื้อไหมคะ? ถถถถถถถถ

ออฟไลน์ angel_Z4

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 783
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
ขออนุญาตเชียร์มิกลูเคอะ ฮ่าๆๆ :hao6: ก็นุงโลแกนมันน่าเบื่ออ่ะ :katai3: ///อ๊ายยยย โลแกน!!อย่ายิงฉันนนน

ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
โลแกนเหวย เมียเหงา :m31:

ออฟไลน์ kothan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
ไม่เอารักแท้แพ้ใกล้ชิดนะ

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 38

(Mode: Lucas Collins)




ผมฝึกซ้อมเปียโนเพื่อเตรียมไปแข่งใหญ่ในเดือนหน้า การแข่งรอบต่อไปเป็นเวทีที่สำคัญที่อาจเป็นตั๋วให้ผมเข้าไปแข่งในเวทีใหญ่ระดับโลกได้

ผมรู้สึกได้เลยว่าไมเคิลเข้มงวดกับผมมากขึ้น… ทุกครั้งเวลาที่ผมเล่นโน้ตผิดหรือเล่นคร่อมจังหวะ เข้าตัวจะฟาดมือผมลงมาอย่างแรงราวและรวดเร็วกับรู้ก่อนล่วงหน้าแล้วว่าผมจะผิดตรงนั้น

“ไม่ได้เรื่อง ลูคัส เล่นใหม่แต่ต้น”

“ครับ” ผมลอบกลืนน้ำลายหนืดๆ ลงคอ จากนั้นก็รวบรวมความกล้าและกำลังใจที่มี จดจ่อสมาธิอยู่ที่ตัวโน้ตและเริ่มบรรเลงเพลงเสียงหวานคละเศร้าลงไปอีกครั้ง

หากเมื่อเล่นไปได้อีกประมานครึ่งเพลง ไมเคิลก็ใช้ไม้เรียวเล็กที่ทำจากแสตนเลสฟาดลงบนมือผมอีกรอบ ความเจ็บแปลบนั่นทำให้ผมสะดุ้ง

“ใช้ไม่ได้ เล่นวนไปอีกรอบ วนไปเรื่อยๆ จนกว่านายจะแก้ตรงนี้ได้นั่นแหละ”

“ครับ”

โว้ย โหดจริงโว้ย… ไอ้ครูโหด!

แน่นอนล่ะครับว่านั่นคิดได้แค่ในใจ ขืนพูดออกมานี่มีหวังหัวแบะได้แน่นอน

แต่ผมก็รู้ดีว่าไม่ใช่แค่ผมเท่านั้นหรอกครับที่กำลังเจอช่วงเวลาที่หนักหนาสาหัส ทุกคนในโรงเรียนต่างก็วุ่นวายกับการเตรียมตัวไปประกวดเวทีนั้นเวทีนี้ราวกับเจ้าภาพจัดงานแสดงใหญ่ได้นัดหมายให้จัดไล่เลี่ยกันอย่างไรอย่างนั้น

วันก่อนผมเจอเพื่อนคนหนึ่งที่อยู่วงออร์เคสตร้า แต่ละคนนี่ซีดเป็นศพ ยังกับซอมบี้หลุดออกมาจากหลุม หาโลงของตัวเองไม่เจอ คนที่เล่นกองที่ผมพอจะเคยคุยด้วยอยู่นี่ถึงกับพันผ้าพันแผลที่มือ บอกว่าโดนเคี่ยวหนักจนเลือดตกยางออกกันไปข้าง ใครว่าดนตรีทำให้คุณอบอุ่นหัวใจได้อย่างเดียว มันสามารถทำให้คุณนองเลือดได้ด้วยนะ

ผมเดินออกมาจากห้องเรียนหลังจากเลิกคลาส หันหน้าไปคุยกับไมเคิลต่ออีกสองสามประโยคเรื่องการแข่งขันและเอกสารที่ต้องเตรียมนิดหน่อย จากนั้นเจ้าตัวก็ขอแยกไปเพราะมีประชุมต่อ ผมก้าวเท้าออกจากบริเวณอาคารเรียนของตนพลางนึกถึงปีเตอร์ แต่เวลานี้หมอนี่น่าจะยังติดเรียนอยู่ คงชวนมันไปกินข้าวด้วยไม่ได้ สงสัยคงต้องไปกินคนเดียว…

หากผมต้องชะงักฝีเท้าไปเมื่อเห็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง มีเจ้าหน้าที่จากวิทยาลัยของผมเป็นเหมือนไกด์แนะนำโรงเรียนอยู่

การมีคนมาทัวร์โรงเรียนแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ เพราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยแทบจะทุกวัน แต่สิ่งที่ทำให้ผมแปลกใจก็คือ… ชายหนุ่มที่ยืนรวมอยู่ในกลุ่มนั้น เจ้าของรางวัลที่สองในเวทีที่ผมพลาดรางวัลที่หนึ่งไปเป็นครั้งแรก

เอ็ดการ์ คอร์เนอร์

“คุณคอร์เนอร์” ผมอุทานอย่างแปลกใจขณะสืบเท้าเข้าไปหา อีกฝ่ายหันมามองผมมีสีหน้าแปลกใจนิดหนึ่งจากนั้นก็ส่งยิ้มบางๆ อย่างสุภาพมาให้เฉกเช่นเคย

“สวัสดีครับ คุณคอลลินส์”

“ขอบคุณสำหรับดอกไม้แล้วก็จดหมายมากนะครับ” ผมพูดอย่างนึกขึ้นได้ อีกฝ่ายพยักหน้านิดหนึ่ง มองกลุ่มคนที่ตัวเองอยู่ด้วยมาแต่แรก ฟังจากที่ไกด์กำลังบรรยายสถานที่แล้ว คิดว่าน่าจะใช้เวลาอีกพักใหญ่ในการอยู่ตรงนี้ เจ้าตัวจึงหันมาปักหลักคุยกับผม

“ไม่มีปัญหาหรอกครับ เอ้อ ผมว่าจะบอกนานแล้ว คุณเรียกผมว่าเอ็ดการ์ก็ได้นะ”

“อ้อ ครับ” ผมรีบพูด นั่นสินะ ถึงยังไงก็คุยกันมาตั้งหลายครั้ง แถมยังอยู่วงการเดียวกัน เจอหน้ากันบ่อยขนาดนี้ด้วย “งั้นเรียกผมว่าลูคัสเถอะนะ ยังไงก็ขอบคุณมากๆ ที่คอยให้กำลังใจผมมาตลอด”

“ไม่มีปัญหาครับ” เจ้าตัวว่ายิ้มๆ ก่อนจะทำสีหน้าสลดลงนิดหนึ่ง มองมาที่ผมอย่างไม่ค่อยสบายใจ

“เอ่อ ทำไมเหรอครับ?”

“ช่วงนี้คุณคอล-- เอ่อ ลูคัสมีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ การแสดงคราวที่แล้วถึงทำได้ไม่ค่อยดีเลย”

ผมหน้าร้อนวูบขึ้นด้วยความอาย ก่อนจะต้องเสมองไปทางอื่นอย่างอึดอัดใจนิดหนึ่ง

“คือ…” ดูเหมือนเอ็ดการ์จะรู้ความกระอักกระอ่วนของผม เจ้าตัวเลยรีบพูด “ผมไม่ได้ตั้งใจทำให้นายรู้สึกไม่ดีนะ แค่เป็นห่วงเท่านั้น ถ้าเกิดว่ามีอะไรที่ผมช่วยได้…”

“ไม่หรอกครับ” ผมฝืนยิ้มให้คนตรงหน้า หวังว่าอีกฝ่ายจะไม่ทันสังเกตเห็น “ผมแค่ไม่ค่อยสบายนิดหน่อยน่ะ เลยฟอร์มตกไปนิด แต่เวทีหน้า ผมเต็มที่แน่ครับ”

“ได้ยินอย่างนี้แล้วค่อยยังชั่วหน่อย” ชายหนุ่มว่า มองตามคณะทัวร์ที่กำลังจะก้าวไปยังที่หมายต่อไปนิดหนึ่ง “โอ้ ดูเหมือนผมจะต้องไปแล้ว ลูคัส”

“แล้ว… ทำไมคุณถึงมาที่นี่เหรอ ก็คุณมีที่เรียนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอครับ?”

“ผมมาเป็นเพื่อนเพื่อนอีกคนน่ะ” เจ้าตัวว่ายิ้มๆ จากนั้นก็โบกมือให้ผม “งั้นไว้คุยกันใหม่นะ ลูคัส แล้วเจอกันเวทีหน้า”

ผมโบกมือให้อีกฝ่าย มองตามชายหนุ่มที่หันไปพูดกับเพื่อนข้างตัวอย่างเริงร่าแต่ก็สุภาพ ดีจังน้า… จริงๆ แล้วบุคลิกลักษณะนิสัยแบบนั้นเป็นอะไรที่ผมชอบมาก อยากจะเป็นให้ได้แบบนั้นสักวันบ้าง








แต่… ถ้าต้องมาฝึกซ้อมโหดทุกวันแบบนี้ คงจะเป็นคนที่สดใสร่าเริง สุภาพอ่อนโยน อารมณ์ดีมองโลกในแง่ดีได้ตลอดเวลาแบบนั้นคงยาก…

ผมมองนิ้วมือของตัวเองที่วางเรียงอยู่บนคีย์เปียโนที่อยู่ภายในบ้านของตัวเองอย่างเหม่อลอย ไม่ต้องส่องกระจกก็รู้เลยว่าขอบใต้ตาดำปี๋ราวกับเอาถ่านหินมาทา ผมก้มมองตัวเองที่ยังอยู่ในสภาพชุดนอน ผมเผ้ายุ่งเหยิง ฟันยังไม่ได้แปรง หน้ายังไม่ได้ล้าง จากนั้นก็เหลือบมองนาฬิกา ถึงเวลาที่ผมต้องไปเตรียมตัวเริ่มต้นวันใหม่แล้ว เฮ้อ... ยังรู้สึกเหมือนเพิ่งซ้อมไปได้แค่แป๊บเดียวเอง

“ฮ้าว…” ผมยกมือปิดปากหาว หนังตาทั้งสองข้างหนักอึ้งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ผมเดินหลังค่อมซึ่งเป็นอะไรที่เสียบุคลิกมาก แต่ในวันที่ไม่ได้รับการนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอมันก็เป็นแบบนี้แหละ จริงๆ แล้วผมอยากจะโทรมายกเลิกคลาสวันนี้กับไมเคิลเสียให้รู้แล้วรู้รอดเพราะรู้สึกว่าร่างกายตัวเองต้องการการพักผ่อนอย่างจริงจัง

แต่ในที่สุด ใจที่อยากจะฝึกซ้อมมากกว่าก็เป็นฝ่ายชนะ และมันทำให้ผมต้องมาถึงวิทยาลัยจนได้

ผมเดินเข้าไปในห้องเรียนเดี่ยวของตัวเอง วันนี้เรียนภาคทฤษฎีช่วงบ่ายอีกคาบด้วย เซ็งเลย อุตส่าห์อยากรีบกลับไปนอน แต่คงไม่ได้ วันนี้ก็คงเป็นอีกวันที่ยาวนาน

“อรุณสวัสดิ์ครับ ลูคัส”

“อ่า สวัสดีครับ มิกกี้” ผมหันไปทักทายครูผู้ฝึกที่ประจำอยู่ในห้องเรียนอยู่แล้ว เจ้าตัวเริ่มต้นคลาสด้วยการทักทาย พูดคุยสัพเพเหระพอให้หายง่วงไปบ้าง แต่ผมก็ยังรู้สึกมึนๆ หัวอยู่ดี สงสัยช่วงพักต้องไปโด๊ปกาแฟสักแก้ว

“งั้นคุณลองเล่นให้ผมฟังก่อนรอบหนึ่ง วอร์มอัพกันหน่อย ผมอยากดูว่าคุณได้ไปฝึกตามที่ผมสั่งมารึเปล่า”

“ผมก็ต้องฝึกซ้อมมาตามที่นายบอกอยู่แล้วล่ะน่า” ผมหันไปแยกเขี้ยวใส่ไอ้ครูโหดหน้าเลือดทีหนึ่ง “อย่างกับใครจะกล้าขัดคำสั่งคุณงั้นแหละ”

ผมวางมือลงบนคีย์บอร์ดก่อนจะเริ่มบรรเลงตัวโน้ต การวอร์มอัพของทุกคลาสดีอยู่อย่าง ตรงที่ผู้ฟังจะไม่มาคอยจับผิดผม ไม่คอยเอาไม้มาฟาดใส่มือเวลาที่ผมไม่เชื่อฟังตัวโน้ต ไมเคิลฟังเสียงที่ผมเล่นออกมาอย่างสงบ และเมื่อผมละมือขึ้นอีกครั้ง เจ้าตัวก็พยักหน้าให้ สีหน้าบ่งบอกว่าพึงพอใจ

“ดีขึ้นนี่ครับ ซ้อมมาหนักล่ะสิ?”

“ครับ” ผมยิ้มเซียวๆ ให้ วันนี้ผมไม่ได้แต่งตัวดูดีอย่างที่ไมเคิลชอบเจ้ากี้เจ้าการให้ใส่เท่าไหร่ เพราะรู้สึกล้าเกินกว่าจะเลือกเสื้อผ้าดีๆ มาสวม

อันที่จริง… ไม่ใช่แค่วันนี้หรอก แต่เป็นช่วงนี้ตลอดแทบจะทั้งเดือนเลยต่างหาก

ผมมีชุดที่ดูทางการแบบเรียบหรูที่ตัวเองเลือกซื้อมาเองอยู่น้อยมาก ก่อนหน้านี้ที่ใส่บ่อยๆ มาคอยเอาใจครูฝึก (เพราะหวังว่าหมอนั่นจะลดดีกรีความโหดลงบ้างถ้าผมแต่งตัวแบบที่มันชอบ แต่สุดท้ายแม่งก็โหดกับผมอยู่ดี) ก็เป็นเสื้อผ้าของโลแกนทั้งนั้น แต่ช่วงหลังๆ มานี้ ผมพยายามหลีกเลี่ยงของทุกอย่างที่เกี่ยวกับน้องชายฝาแฝดที่ขาดการติดต่อไปราวกับได้กล่าวลาโลกและกลับลงนรกไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น

มัน… แสลงใจนิดหน่อยมั้งครับ เหมือนพอยิ่งเห็นของของหมอนั่น หรืออะไรที่เกี่ยวกับหมอนั่นขึ้นมาแล้ว เหมือนความเหงามันปะทุขึ้นมาในอกทำให้หายใจขัดทุกที ผมก็เลยตัดปัญหาด้วยการหลีกเลี่ยงอะไรที่เข้าข่ายของพวกนั้นให้หมด

การที่ต้องเป็นฝ่ายเฝ้ารอ คิดถึงใครสักคนอย่างไร้จุดหมายนี่ มันทรมานนะครับ ยิ่งอีกฝ่ายเป็นคนที่ผมใช้เวลาอยู่ด้วยมาตลอดแทบจะทั้งชีวิต แล้วอยู่ๆ เหมือนหมอนั่นหายวับไปในอากาศแบบนี้ มันเหมือน… เสียศูนย์น่ะ ถึงจะไม่ได้ทำให้แย่แบบรวดเดียวแต่ผลกระทบของมันก็ค่อยๆ กัดกร่อนลงไปในใจของผมทีละนิดๆ ราวกับว่าความเหงา ความโดดเดี่ยวพวกนั้นเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ถูกหว่านกระจายไปทั่วทั้งใจ และมันก็ค่อยๆ งอกเงยเติบโตขึ้นโดยที่ไม่ต้องใช้แสงแดดหรือน้ำในการเจริญเติบโตเลยสักนิด

ผมคงต้องยอมรับจริงๆ นั้นแหละ… ว่าผมเหงามาก แล้วก็คิดถึงหมอนั่นมากเหลือเกิน

ผมเริ่มพรมนิ้วลงบนคีย์เปียโนอีกครั้ง ใจของผมยังคงนึกถึงแฝดคนน้องที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาหลายเดือน นึกหาทางในใจไปเรื่อยๆ ว่าจะทำยังไงถึงจะสามารถเจอกับหมอนั่นได้

ลองพยายามติดต่อพวกคนของรัฐบาลที่โลแกนเคยทิ้งเบอร์ติดต่อไว้ให้ดีไหมนะ คนพวกนั้นจะช่วยติดต่อโลแกนให้ผมได้รึเปล่า? ก็พอจะเดาได้อยู่หรอกว่ามันคงไม่ง่ายขนาดนั้น แต่อย่างน้อยก็ขอแค่ข่าวคราวของหมอนั่นได้ไหม? อะไรก็ได้ที่เป็นเรื่องของหมอนั่น ช่วยบอกผมทีได้ไหมว่าหมอนั่นยังปลอดภัยดีอยู่ที่ไหนสักแห่ง

ผมกดโน้ตตัวสุดท้ายลงบนคีย์สีขาวดำ ได้ยินเสียงตัวเองหอบหายใจนิดหนึ่งตอนที่ละมือขึ้น เหงื่อหยดหนึ่งไหลลงมาจากแก้ม กลิ้งหล่นลงมาจนถึงปลายคาง

“เยี่ยมมาก ลูคัส เมื่อกี้น่ะ ไม่ผิดเลยสักคีย์นี่” เสียงพูดของไมเคิลฟังดูเหมือนห่างไกลมากกว่าความเป็นจริง ผมได้ยินครูฝึกของผมบอกย้ำเรื่องการลงน้ำหนักเสียงและท่อนที่น่าจะเกลาได้ดีกว่านี้ แต่เหมือนผมไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกต่อไปแล้ว

ผมมองไปยังแจกันดอกไม้ที่ตั้งอยู่ริมหน้าต่างของห้อง มันช่วยเพิ่มสีสันให้กับห้องเรียนเล็กๆ นี้ได้อย่างไม่น่าเชื่อ นั่นเป็นดอกไม้ที่มาจากผู้ไม่ประสงค์ออกนามเมื่อวาน เป็นครั้งแรกที่คนคนนั้นส่งดอกไม้มาให้ผมทั้งๆ ที่ไม่ใช่ที่สนามแข่งหรือเวทีไหนๆ

ผมสงสัยว่าบางทีโลแกนอาจคิดเหมือนผม อาจกำลังรู้สึกเหมือนผม และมันก็กำลังทำให้เจ้าตัวทรมานเหมือนอย่างที่ผมเป็น… มันเป็นแบนั้นรึเปล่า? หรือว่าทั้งหมดนี่เป็นแค่สิ่งที่ผมคิดไปเองคนเดียว เข้าข้างตัวเองไปคนเดียว บางทีหมอนั่นอาจจะส่งดอกไม้ให้ใครคนอื่นด้วยนอกจากผมก็ได้ บางทีหมอนั่นอาจจะเจอผู้หญิงที่ถูกใจ…

“ลูคัส?” คนที่อยู่ในห้องเอ่ยคนเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงกังวล “คุณไหวรึเปล่า? นี่ดูแย่ลงกว่าเดิมอีกนะ… เมื่อเช้าได้กินข้าวมารึเปล่าครับเนี่ย?”

“มะ… ไม่ได้กินครับ” ผมตอบตะกุกตะกักกลับไปโดยไม่รู้สึกตัว รู้สึกเหมือนมีก้อนน้ำแข็งขนาดยักษ์มาทาบลงกลางใจกับความคิดที่เพิ่งผ่านเลยเข้ามา

ผมรู้ดีอยู่แล้วว่าหมอนั่นเป็นพวกเจ้าชู้แล้วก็ชอบนอนกับคนนนู้นคนนี้อยู่เรื่อย แต่ผมก็คอยเตือนตัวเองเสมอว่าหมอนั่นน่ะเปลี่ยนไปแล้ว แล้วผมก็เลือกที่จะเชื่อใจหมอนั่นเองด้วย เพราะงั้นมันไม่มีประโยชน์อะไรเลยถ้าจะเอาเรื่องนี้มาคิดให้หนักใจเล่นกว่าเดิม

“ถ้าอย่างนั้นเราไปหาอะไรกินกันก่อนเถอะครับ” ไมเคิลว่าพร้อมกับเอื้อมมือมาดึงแขนผมให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ “หน้าคุณซีดมากเลย แล้วข้าวเช้าเนี่ยมันเป็นมื้ออาหารที่สำคัญนะ ทำไมถึงไม่รู้จักกินให้เรียบร้อย”

อ่า… จริงสิ โลแกนเองก็เคยพูดแบบนี้กับผมเหมือนกัน เรื่องต้องกินข้าวให้ครบทุกมื้อหรืออะไรแบบนั้น

โลแกน… ฉันยอมแพ้แล้วว่ะ

นายช่วยกลับมาหาฉันทีได้ไหม ถ้าเกิดว่านี่เป็นเกมฝึกความอดทน… ถ้าเกิดว่านี่เป็นเกมของนาย ฉันขอยกธงขาวยอมแพ้ตรงนี้เลยได้ไหม จะต้องให้ฉันทำยังไงล่ะ นายถึงจะยอมกลับมาหาฉัน

 ผมพยายามพยุงตัวลุกขึ้นตามแรงดึงของคนข้างๆ เหมือนภาพทุกอย่างเบื้องหน้ามันเบลอไปหมด เหมือนกล้องที่ไม่สามารถจับจุดโฟกัสได้ จากนั้นก็เหมือนมีเสียงหวีดแหลมเล็กกรีดร้องขึ้นในหัว แล้วผมก็ไม่รับรู้อะไรอีก ไม่รู้สึกตัวเลยด้วยซ้ำตอนที่ร่างล้มลงกระแทกลงกับพื้น

“ลูคัส… ลูคัส!!!”

อื๊อ? เสียงนั่นมัน….

โลแกนเหรอ?






------------------------------------------
Talk:  อุ๊ยยย พระเอกมา??? ว่าแต่... ใครพระเอกนะ :D 55555555555

ออฟไลน์ angel_Z4

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 783
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
ใจหนึ่งก็อยากให้เป็นโลแกนนะ...แต่มิกกี้ก็ไม่เลว ฮ่าๆๆๆ :hao7: แล้วแต่ลูคัสเลยจ้ะ เลือกเลย

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 39

(Mode: Logan Collins)




ผมเพิ่งจัดการกับภารกิจที่ต้องบินข้ามรัฐไปอีกฟากหนึ่งเสร็จแล้วกลับมาที่ถิ่นฐานเดิม ที่ผมเอง ทุกวันนี้ก็ไม่แน่ใจว่าจะเรียกนิวยอร์กว่าถิ่นฐานได้ไหม เพราะรู้สึกเหมือนต้องเทียวไปนู่นมานี่ตลอด แทบจะไม่ได้อยู่ที่ไหนเป็นหลักเป็นแหล่งเลย เรียกได้ว่าถิ่นฐานหรือบ้านอะไรนั่นไม่ใช่ส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผมน่าจะดีกว่า แต่เอาเถอะ ตราบใดที่ลูคัสยังอยู่ที่บ้านหลังเดิมตรงแถบชานเมือง ผมก็ยังจะเรียกแถวนี้ว่าถิ่นฐาน… แล้วก็เรียกบ้านหลังนั้นว่าบ้านอยู่นั่นแหละ

ผมมีกระเป๋าเดินทางเพียงใบเดียว ขนาดของมันไม่ใหญ่มาก ผมก้าวเท้าฉับๆ เข้าไปที่สำนึกงานใหญ่เพราะข้อความที่ได้ผ่านโทรศัพท์มือถือสองชั่วโมงก่อนหน้านี้ ฮิวเบอร์เรียกผมเข้าไปพบ ผมไม่แน่ใจว่าเจ้าตัวมีเรื่องอะไรจะคุยกับผมหรือแค่อยากจะมอบภารกิจใหม่ให้ทำ แต่ถ้าเป็นอย่างหลัง ปกติแล้วเราไม่จำเป็นต้องพบกัน

ทางหน่วยงานมักเอาเนื้องานที่ผมจำเป็นต้องรู้ใส่แฟลชไดรฟ์มาให้ ผมมักจะกวาดตาอ่าน จดจำรายละเอียดทุกอย่าง จากนั้นก็ลบข้อมูลที่อยู่ในนั้นทิ้ง ทำตัวราวกับไม่เคยเห็นเนื้อหาที่อยู่ในหน้ากระดาษเหล่านั้นมาก่อน

ผมเดินผ่านพนักงานและเจ้าหน้าที่ที่เดินสวนกันไปมาในตัวอาคาร ไม่สบตาใคร ไม่มองหน้าใคร มันเป็นหนึ่งในทริคง่ายๆ เวลาที่เราไม่อยากให้ใครจดจำใบหน้าของตัวเองได้ และถึงจะรู้ดีว่าที่นี่คือถิ่นของผม ผมก็ยังทำตัวแบบนั้นเหมือนเดิมด้วยเหตุผลที่ว่าการทำตัวไร้ตัวตนได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของผมไปแล้วในตอนนี้

ผมเคาะประตูห้องที่ฮิวเบอร์นัดเอาไว้ เปิดเข้าไปด้านใน ชายหนุ่มผู้เป็นครูฝึกเก่าของผมนั่งรออยู่แล้ว ตรงหน้าของเขามีแฟ้มเอกสารบางๆ วางรอไว้อยู่ นั่นบอกอะไรๆ ผมได้มากทีเดียว แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้ผมแปลกใจด้วย

ผมทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตามคำเชื้อเชิญของคนในห้อง จากนั้นก็ก้มลงมองแฟ้มที่ถูกเลื่อนมาไว้ตรงหน้าของตัวเอง

“ภารกิจใหม่” คนด้านหลังโต๊ะพูดเรียบๆ ผมขมวดคิ้วขึ้นมานิดหนึ่ง ไม่ได้หงุดหงิดเรื่องที่ว่าตัวเองเพิ่งจะทำภารกิจล่าสุดเสร็จและต้องการเวลาพักผ่อนก่อนที่จะเริ่มต้นภารกิจใหม่อะไรแบบนั้น ผมไม่มีเวลาพักผ่อนที่ว่านั่นมานานมากแล้ว แต่ที่ต้องขมวดคิ้วก็เพราะผมไม่เข้าใจวิธีการต่างหาก

“ทำไมคุณถึงต้องเป็นคนที่เอามาให้ผมด้วยตัวเองล่ะครับ มันต่างอะไรกับภารกิจก่อนๆ เหรอ”

“เอฟบีไอเป็นคนร้องขอภารกิจนี้มา” ฮิวเบอร์ว่าต่อขณะจับตามองปฏิกิริยาบนหน้าผม “เจ้าของงานนี้คือแองเจลีน่า แกรนท์”

ผมตาวาววาบขึ้นมาทันที ริมฝีปากกระตุกยิ้มอย่างพึงพอใจ มือเลื่อนไปคว้าแฟ้มตรงหน้ามาอย่างรวดเร็ว กวาดดูชื่อของเป้าหมายแล้วต้องร้องครางในใจออกมาอย่างหัวเสีย หากผมสามารถเก็บความผิดหวังเหล่านั้นลงไปได้ แต่คงไม่เร็วพอที่จะหลุดรอดคนที่ช่างสังเกตพอๆ กับผมอย่างคนตรงหน้าได้

“ผิดหวังอะไรเหรอ โลแกน”

“เปล่านี่ครับ” ผมพูดหน้าตาย กลับเข้าไปอยู่ใต้หน้ากากแห่งความเฉื่อยชาต่อ ความลิงโลดในใจหายวับไปทันที

“มีปัญหาอะไรกับภารกิจในครั้งนี้รึเปล่า?”

ผมยกยิ้มเยาะนิดๆ “ต่อให้มี ผมจะปฏิเสธงานของตัวเองได้เหรอ”

เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าคำสั่งของผู้ที่อยู่สูงกว่าคือประกาสิต มันต้องเป็นไปตามนั้น ไม่มีสิทธิ์ที่คนอยู่ล่างๆ จะขัดขืนได้ นั่นไม่ใช่วิสัยของผมเท่าไรหรอก แต่ในเมื่อการไปให้ถึงเป้าหมายของผม ผมเลือกเดินมาด้วยวิธีนี้ก็มีแต่ต้องก้าวต่อไปเท่านั้น

“แน่นอนว่านายไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ” คนตรงหน้าว่าเสียงเรียบ “แต่นายมีอะไรก็คุยกับฉันได้”

ผมนิ่งเงียบเพื่อบอกอีกฝ่ายว่าผมไม่มีปัญหาอะไรทั้งนั้น เรื่องของเรื่องก็คือ… ที่ผมมาทำงานตรงนี้ ไต่เต้ามาจนถึงขั้นนี้ได้ ทั้งหมดก็เพื่อวางแผนหาทางลอบเข้าใกล้จูดี้ ฮิลล์ซึ่งเป็นเป้าหมายตั้งแต่ก่อนที่ผมจะเกิดมาเท่านั้น ไม่ได้อยากมาทำงานเพราะอยากจะเป็นฮีโร่ จัดการเหล่าผู้ร้ายหรืออะไรแบบที่คนตรงหน้าผมอาจจะเคยเป็นมาก่อน และตอนนี้ก็ยังอาจจะเป็นอยู่ด้วย แต่ผมไม่ใส่ใจเรื่องพวกนั้นหรอก...

และ… เพราะพยายามสืบเรื่องของอีกฝ่ายมากไปหน่อย ผมถึงได้เริ่มระแคะระคายถึงความสัมพันธ์ของหญิงวัยกลางคนคนนั้นที่มีกับสองพี่น้องรอยล์ผู้เป็นมาเฟียที่ทรงอิทธิพลที่สุดแห่งนิวยอร์ก ความสัมพันธ์ของรัฐมนตรีกระทรวงการคลังกับมาเฟียผู้ทรงอิทธิพล แน่นอนล่ะว่าต้องมีการเอื้อผลประโยชน์กันหลายทางแน่

และเพราะแบบนั้น… ผมถึงได้นึกขึ้นมาได้ว่า มันคงจะดีกว่าถ้าสามารถฆ่าผู้หญิงคนนั้นในเรื่องงาน เพราะนั่นจะทำให้ผมทำงานได้ง่ายขึ้น ผมจะสามารถใช้อุปกรณ์ คน และการอำนวยความสะดวกที่ครบครันจากดีซีไอเอสได้ นั่นคงง่ายกว่าการที่ผมต้องลอบฆ่าแม่นั่นด้วยตัวคนเดียว

ดังนั้นแล้ว ทิศทางแผนของผมก็คือ หาทางให้พวกเอฟบีไอที่จับงานสืบสวนได้รับผิดชอบตรงนี้ จนกว่าจะมีคำสั่งฆ่ายัยนั่น… เพราะงั้นผมถึงได้หวังว่าแกรนท์จะสามารถเติมเต็มความต้องการของผมในจุดนี้ได้ในเวลาอันสั้น… แต่นี่… เป้าหมายงานรอบนี้กลับเป็นอย่างอื่นไปเสียได้

“นายมีความสัมพันธ์ยังไงกับเจ้าหน้าที่พิเศษแกรนท์” เมื่อเห้นว่าผมไม่พูดอะไรตอบ คนตรงหน้าจึงเปลี่ยนเป็นรุกถามแทน ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตาเขาตรงๆ สีหน้าเขาเหมือนจะมีตัวหนังสือแปะอยู่เลยว่า ‘คนที่ทำงานอย่างเราๆ ไม่ควรมีคนรัก’

ก็นะ นั่นเป็นเรื่องที่ผมได้เรียนรู้มาตลอดอยู่แล้ว และอีกอย่าง หมอนี่ก็กำลังเข้าใจผิด

“ผมไม่ได้มีอะไรกับคุณแกรนท์” ผมยืนยัน “ผมยอมรับว่าเรามีความสัมพันธ์ในเชิงส่วนตัวกัน… เป็นเพื่อนร่วมงานกัน ผมเคยทำงานกับเขามาหลายคดี ตอนช่วงที่ผมยังอยู่กับแมคโดเวล”

ฮิวเบอร์พยักหน้าเพื่อบอกว่าเข้าใจ หากสีหน้าแววตายังว่างเปล่าเหมือนเดิม ให้ตายสิ… แค่ท่วงท่าที่เขาขยับ ผมก็รู้สึกถึงความเป็นมืออาชีพของเขาแล้ว ผมไม่ได้คิดตัวเองไม่ใช่มืออาชีพหรอกนะ แต่ต้องยอมรับจริงๆ ว่าฝีมือยังห่างไกลจากอีกฝ่ายหลายขุม

“นายเอาแฟ้มนี้กลับไปก็ได้” เขาว่าขณะที่ผมกำลังเก็บเอกสารที่เอาออกมาใส่กลับที่เดิม “ขอบคุณที่มาวันนี้ หมดเรื่องแล้ว”

ผมยกยิ้มหวานให้คนตรงหน้า ตั้งแต่รู้จักกันมา ผมไม่เคยเห็นผู้ชายที่ชื่อไรอัน ฮิวเบอร์ยิ้มให้ผมเลยแม้แต่ครั้งเดียว ในขณะที่ผมเป็นฝ่ายขยันแจกยิ้มเสียเหลือเกิน

“ไม่มีคำอวยพรขอให้โชคดีหรืออะไรแบบนั้นเหรอครับ”

ฮิวเบอร์เงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยสายตาว่างเปล่าเหมือนเดิม

“คุณก็รู้ดีว่ามันไม่เคยเกี่ยวกับเรื่องโชค”

ผมหัวเราะหึๆ ในลำคอส่งให้ชายหนุ่มตรงหน้า จากนั้นก็ปิดประตูลงแล้วก้าวเดินออกจาสถานที่แห่งนั้น

ไม่เคยเกี่ยวกับโชคเหรอ นั่นสินะ ผมเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน







ก่อนที่จะต้องทำภารกิจต่อไป ผมยังพอมีเวลาอยู่บ้าง ผมจึงตัดสินใจที่จะตามสืบเรื่องที่ทำค้างคาไว้อยู่เล็กน้อย แล้วก็ถือโอกาสแวะไปโฉบดูไอ้ลูคัสมันหน่อย พักหลังนี้ไม่รู้เป็นยังไง แต่รู้สึกคิดถึงมันมากขึ้นทุกทีๆ

ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนที่แยกห่างกันไปใหม่ๆ ผมคิดว่าตอนนั้นน่ะทรมานแล้วนะ แต่ก็ปลอบตัวเองในใจไปแกนๆ ว่าเดี๋ยวอีกสักพักก็คงชิน เดี๋ยวเวลาผ่านไปก็คงทำใจรับได้ แต่ไม่เห็นมันจะเป็นแบบที่ว่ามาเลยสักนิด

ตรงกันข้าม ยิ่งทอดเวลาห่างกันออกไป ผมกลับยิ่งรู้สึกคิดถึงมันมากขึ้น โหยหามากขึ้น รู้สึกเจ็บปวดเวลาที่ได้แต่มองผ่านหน้าจอโทรทัศน์หรือสื่ออื่นๆ ที่เขียนข่าวพูดถึงนักเปียโนดาวรุ่งที่กำลังไต่เต้าขึ้นสูงเรื่อยๆ และเป้าหมายของชายหนุ่มมีเพียงระดับโลกเท่านั้น

ผมเคยยิ้มนิดๆ กับข่าวที่เคยอ่านผ่านตา รู้เลยว่าคนเขียนข่าวเป็นคนหยิบยกและเรียบเรียงคำพูดขึ้นมาเอง ลูคัสไม่มีทางพูดออกมาตรงๆ แน่ว่าเขาจะไปให้ถึงระดับโลกแบบนั้น พี่ชายเขาเล่นเปียโนเพราะว่าชอบ ถ้าเกิดมีคนถามว่าอยากไประดับโลกไหม เจ้าตัวก็คงตอบว่าอยาก แต่คงไม่พูดออกมาจากปากด้วยตัวเองแน่ๆ ถ้าไม่มีคนถามจริงๆ

ผมฟังเสียงเปียโนที่ลูคัสเป็นคนเล่น ผมดาวน์โหลดเสียงเพลงพวกนั้นเก็บไว้ในมือถือด้วยซ้ำ แต่ผมจำเป็นต้องดาวน์โหลดเพลงอื่นๆ มารวมปนกันด้วยเผื่อในกรณีที่ผมพลาดท่าแล้วมีใครพยายามจะสาวไปถึงตัวลูคัส… ยังไงผมก็ต้องระวังทุกทาง ต่อให้มันจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม

แต่ต่อให้ผมจะมีเพลงของใครหน้าไหนที่ผมไม่คิดอยากทำความรู้จัก เพลงที่ผมเปิดขึ้นมาฟังบ่อยสุดก็คือเสียงเพลงของพี่ชายฝาแฝดของตัวเองอยู่ดี ฟังแล้วก็จินตนาการไปว่าหมอนั่นกำลังรู้สึกยังไงตอนเล่นเพลงพวกนี้ มันหวานใส ลุ่มลึก บางครั้งก็เต็มไปด้วยแรงอารมณ์ หากแทบทุกครั้งมันมักสะท้อนออกมาให้เห็นถึงความโดดเดี่ยวและเศร้าสร้อย ยิ่งระยะหลังมานี้ ผมรู้สึกว่าความรู้สึกดังกล่าวมันรุนแรงมากขึ้น

ผมขอร้องให้ทางร้านส่งดอกไม้ไปให้ลูคัสเพราะหวังว่ามันจะช่วยให้เจ้าตัวมีกำลังใจในการขึ้นแสดงในแต่ละครั้งมากขึ้น ไม่รู้ว่ามันช่วยเจ้าตัวรึเปล่า แต่ถึงยังไงผมก็ยังอยากให้หมอนั่นรู้อยู่ดีว่าผมยังคอยคิดถึงเขาอยู่

...นี่ถ้าขืนผมพูดออกไปตรงๆ แบบนั้น ลูคัสคงได้หาว่าผมฟังเพลงลูกทุ่งมากเกินไปอีกแน่ๆ หมอนั่นชอบว่าแบบนั้นตลอด

ผมยกนาฬิกาข้อมือเหลือบมองเวลา จากนั้นก็คำนวนในใจอย่างรวดเร็ว เรื่องที่ผมจะตามสืบยังเริ่มต้นไม่ได้เร็วๆ นี้ เพราะงั้นผมควรจะใช้เวลาว่างตอนนี้แวะไปที่บ้านสักหน่อยดีกว่า ถึงตอนนี้มันจะยังเร็วเกินไปที่ลูคัสจะกลับมาบ้านก็เถอะ

ผมตัดสินใจเสี่ยงขับรถไปที่บ้านของตัวเอง ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายๆ จึงไม่ใช่เรื่อที่น่าแปลกใจที่ตัวบ้านจะเงียบสนิท พี่ชายผมคงยังไม่กลับมาจากเรียน งั้นจะเอาไงดีนะ แวะไปหากาแฟกินสักแก้วแล้วค่อยวนกลับมาดีไหม

ผมกำลังคิดอยู่ว่าจะลองเปิดโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อเช็คตำแหน่งดูว่าพี่ชายของผมอยู่ที่ไหน แต่พอสรุปกับตัวเองไปเรียบร้อยแล้วว่าเจ้าตัวคงยังอยู่ที่โรงเรียนผมก็ตัดใจ เลื่อนมือไปเตรียมบิดกุญแจเพื่อสตาร์ทรถแล้วไปหาอะไรอย่างอื่นทำฆ่าเวลาแทน

หากเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นสีบลอนด์เงินที่วิ่งผ่านเข้ามาผมก็ต้องชะงักไปทันที ผมจำรถคันนี้ได้เป็นอย่างดีเพราะมันเป็นรถที่ชายหนุ่มอีกคนขับมาส่งลูคัสที่บ้านเมื่อคราวก่อนนู้น ตอนที่ลูคัสบอกว่าชายคนนั้นพาตนไปเลี้ยงข้าวเพื่อฉลองที่ได้รางวัลชนะเลิศมา

ไหนบอกว่าไม่มีอะไรกับหมอนั่นไง ชื่ออะไรนะ… ชื่อเห่ยๆ… อ้อ ใช่ มิกกี้... ไหนนายบอกว่าไม่มีอะไรกับมิกกี้ไงวะ ลูคัส แล้วไอ้ที่ฉันเห็นนี่มันอะไรฟะ!

ผมพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเอง ใจที่เป็นกลางพยายามแก้ต่างให้ลูคัสไปว่ามิกกี้คงแค่มาส่งพี่ชายของเขาที่บ้านก็เท่านั้น

หากเมื่อชายหนุ่มผู้ขับเปิดประตูรถ ลงมาจากที่นั่งคนขับจากนั้นก็เดินมาเปิดที่ประตูหลังนั่นทำให้ผมแปลกใจเล็กน้อย ชายหนุ่มผมดำใส่แว่นคนนั้นประคองร่างของลูคัสขึ้นมาแขนทั้งสองข้าง ผมใจหายวาบ นึกไปว่าพี่ชายฝาแฝดของตัวเองเป็นอะไรอย่างร้อนรน

หากยังไม่ทันได้ขยับตัวทำอะไรมากไปกว่าจับตาดูภาพนั้น ลูคัสที่ถูกอีกฝ่ายอุ้มอยู่เหมือนจะได้สติพอดี เจ้าตัวเลื่อนมือไปโอบรอบคอของผู้ชายคนนั้น จากนั้นก็ขยับหน้าเข้าไปจูบกับอีกฝ่ายหน้าตาเฉยราวกับเคยทำแบบนั้นมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

ผมตัวแข็งทื่อ รู้สึกเหมือนโดนสายฟ้าฟาดลงบนกลางใจดังเปรี้ยง แล้วมันก็สงบลง ไม่เหลืออะไรเลย… นอกจากความรู้สึกหวิวๆ เหมือนหัวใจข้างซ้ายถูกกระชากออกไป เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาที่ผมรู้สึกทำอะไรไม่ถูกได้ขนาดนี้ รู้สึกได้ถึงความขัดแย้งในตัวเองที่อยากจะตรงไปฆ่าผู้ชายคนนั้นที่กำลังพาตัวลูคัสเข้าไปในบ้านของพวกเรา มันมากพอๆ กับที่ผมอยากกระชากลูคัสมา เขย่าตัวหมอนั่นแรงๆ แล้วถามว่า นี่เหรอ สิ่งที่ตอบแทนให้กัน…

แต่ผมไม่มีแรงทำอะไรเลย ไม่มีแรงทำอะไรเลยนอกจากฟุบหน้าลงบนพวงมาลัยรถอย่างเหนื่อยอ่อน รู้สึกได้เลยว่าบ่าทั้งสองข้างสั่นอย่างรุนแรง

นี่ใช่ไหมผลตอบแทนที่ผมเลือกเดินเส้นทางนี้ เพราะว่าผมเอาแต่คิดจะทำงานที่ท่านพ่อสั่งมาอย่างเดียวจนละเลยเรื่องของตัวเองไปใช่ไหม ถึงได้ต้องมาเจ็บปวดแบบนี้

...รู้อย่างนี้น่าจะเชื่อเนทซะตั้งแต่ต้น ก็รู้อยู่ว่าท่านพ่อสั่งให้ขึ้นมาทำงาน ไม่ใช่มามีความรักไร้สาระ สมน้ำหน้า… สมน้ำหน้าตัวเองแล้ว

ทำไมล่ะ ลูคัส… ทำไมล่ะ นายเองเป็นคนที่บอกฉันเองว่าไม่อยากให้ฉันมีใครนอกจากนาย ฉันก็ไม่มีใครแล้วไง แล้วทำไมนายถึงเป็นฝ่ายที่มีคนอื่นเสียเองล่ะ?

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ความเสียใจค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ… ผมรู้สึกได้ความโกรธ ผิดหวัง เสียใจที่พลุ่งพล่านอยู่ในออก

ต้องหาทางระบายออก… ผมต้องหาทางระบายมันออกสักทาง ผมไม่ได้มีความรู้สึกพลุ่งพล่านแบบนี้มานานมากแล้ว และตอนนี้ผมต้องหาทางจัดการกับมัน

เสียงโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงดังขึ้น จากแกรนท์นั่นเอง ผมเอื้อมไปกดรับสายแล้วกรอกเสียงลงไปอย่างรวดเร็ว

“ฉันอยากให้นายมาช่วยทางนี้” เจ้าหล่อนว่าพร้อมกับสรุปสถานการณ์มาให้ผมฟังพร้อมระบุสถานที่ที่อยากให้ผมไปหา

ผมขมวดคิ้วมุ่นขึ้น สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ตัวบ้าน

“ต้องเป็นตอนนี้เลยเหรอ?”

“ก็ต้องตอนนี้สิยะ” เสียงหล่อนว่าอย่างร้อนรน “นี่ โลแกน… ที่ฉันทำทุกอย่างอยู่เนี่ย ก็เพราะนายขอร้องมานะ”

ผมกัดฟันกรอด ลังเลอยู่ครู่หนึ่งว่าควรจะเลือกทางไหน แต่ผมเดินมาไกลเกินกว่าจะถอยหลังแล้ว

“ได้ แกรนท์” ผมว่าเสียงเรียบ “ผมจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”






-------------------------------------------
Talk:  ตัวใครตัวมันล่ะจ้า งานนี้//สลายโต๋แป๊บ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ลูคัส ได้ยินเสียงเรียกเหมือนเสียงโลแกน
จริงๆ อาจเป็นมิกกี้ เรียกลูคัส
ลู เหงามาก โล ไม่ติดต่อมาบ้างเลย
น่าเห็นใจสภาพลู ที่ต้องอยู่คนเดียวตามลำพัง
มิกกี้ เริ่มชอบลูคัส ใช่มั้ย
เอ็ดการ์ ชื่นชอบลูคัสมากกว่าคู่แข่งใช่ปะ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ tiew93

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
สงสารลูคัสสส ห่างกันก็แย่แล้ว ยังต้องมาเข้าใจผิดกันอีกเรอะ!!  :katai1:

ออฟไลน์ angel_Z4

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 783
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
ขอให้มิกกี้อย่าเป็นอะไร...กลัวใจลูคัสมากค่ะ

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 40

(Mode: Lucas Collins)





รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงของโลแกนดังมาจากที่ไกลๆ

ไม่สิ จริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้ไกลอะไรขนาดนั้น เหมือนมันใกล้กว่าที่คิดด้วยซ้ำ

“ลูคัส… ลูคัส” เสียงนั่นเอ่ยเรียกผมอย่างเป็นห่วง เป็นเสียงแผ่วเบา ทว่าอ่อนโยน มันฟังดูเหมือนเจ้าตัวกำลังรำพึงรำพันกับตัวเองมากกว่าพยายามจะเรียกให้ผมได้ยินจริงๆ เสียอีก “นายไม่เป็นไรใช่ไหม อดทนหน่อยนะ บ้าชะมัดเลย… หรือว่าฉันควรจะเอานายไปโรงพยาบาลดีกว่าวะเนี่ย”

“...ไม่เอา” ผมพยายามรวบรวมคำพูดเพื่อบอกคนตรงหน้า “แค่… กินยา นอน… เดี๋ยวก็หาย”

ใช่สิ เพราะผมไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรงมากนี่นา แค่มึนหัวนิดหน่อย แล้วก็เมื่อคืนดื่มมากไปนิด… แถมเมื่อเช้ายังไม่ได้กินข้าว แต่เรื่องพวกนั้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ขนาดที่จะต้องไปโรงพยาบาลสักหน่อย

ผมจำไม่ได้ตอนที่ตัวเองเดินโงนเงนมาขึ้นรถที่อีกฝ่ายเปิดประตูหลังให้ แต่เหมือนจะเป็นแบบนั้น และพอรู้สึกตัวอีกทีแรงของคนที่สูงกว่าก็ยกผมลอยขึ้นไปแล้ว ดูเหมือนหมอนี่จะหมดความอดทนกับอาการปวกเปียกของผมเต็มที

“ไหน กุญแจบ้าน… ให้ตายสิ นี่นายจะไม่เป็นไรแน่เหรอ ลูคัส”

“ไม่เป็นไร…” ผมงึมงำตอบกลับ รู้สึกปวดหัวตุ้บๆ ไม่หาย เหมือนสติที่มีอยู่พร่าเลือนไปหมด แต่ถึงจะทรมานจนนึกอยากให้หัวระเบิดแตกไปข้างหนึ่งยังไง ความรู้สึกที่อยากเห็นหน้า… อยากสัมผัสอีกฝ่ายก็มีมากกว่าอยู่ดี “แค่นาย… อยู่กับฉัน”

พูดจบ ผมก็ขยับแขนไปโอบรอบคอของคนที่อุ้มผมขึ้นไป ขยับใบหน้าเลื่อนขึ้นไปจูบก่อนที่ตัวเองจะรู้ตัวด้วยซ้ำ ทันทีสัมผัสริมฝีปากของอีกฝ่าย ผมก็แทบจะผละออกแทบไม่ทัน เบิกตากว้างมองอีกฝ่ายอย่างตื่นตะลึง เช่นเดียวกับที่ไมเคิลที่มองผมอย่างอึ้งๆ เช่นกัน

ทันใดนั้นเอง ม่านหมอกที่ปกคลุมอยู่ในหัวของผมก็มลายหายไป ผมเพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองถูกอุ้มขึ้นไปโดยครูผู้ฝึกของตัวเอง จากนั้นใบหน้าผมก็ร้อนขึ้นด้วยความอาย พยายามจะดิ้นเพื่อให้อีกฝ่ายปล่อยผมลง แต่ไมเคิลก็ยึดร่างผมไว้แน่นแล้วรีบพุ่งเข้าไปในตัวบ้านอย่างรวดเร็ว

“มิกกี้…! ปล่อยผมได้แล้ว ผมไม่เป็นไร…”

“ไม่เป็นไรอะไรของคุณล่ะ! เมื่อกี้ก็เป็นลมไปรอบหนึ่ง เมื่อกี้ตอนอยู่ในรถก็ปลุกไม่ตื่นอีก! นี่ อย่าดิ้นนะ ไม่งั้นผมจะจับทุ่มลงพื้น อยู่เฉยๆ เดี๋ยวนี้”

ผมหยุดการเคลื่อนไหวของตัวเองแทบจะในทันที อาจเป็นเพราะอีกฝ่ายสั่งด้วยน้ำเสียงเดียวกับตอนที่ใช้ในห้องเรียน ผมถึงเผลอทำตามโดยอัตโนมัติ

มิกกี้ปล่อยผมลงวางบนโซฟาอย่างเบามือ จากนั้นก็ถอนหายใจเฮือกยาวแล้วปรายตามองผมเหมือนอ่อนใจ

“รู้สึกดีขึ้นแล้วเหรอครับ?”

“คระ… ครับ” พอเห็นสายตาดุๆ ของอีกฝ่าย ผมก็รีบตอบรับแทบจะไม่ทัน

มิคกี้ทำท่าจะพูดอะไรไม่ออกมาอีก หากเจ้าตัวเปลี่ยนใจกะทันหัน หันหน้าหนีไปอีกทางแล้วถอนหายใจยาวอีกรอบ ผมมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่เดินไปที่ห้องครัวอย่างรู้สึกผิด อายด้วย เขาอุตส่าห์ขับรถมาส่งถึงบ้าน ผมดันไปจูบเขาหน้าตาเฉย ทำอะไรลงไปเนี่ย!!?

“เอ้า นี่” มิกกี้ว่าพร้อมกับยื่นแก้วที่ใส่น้ำมาให้ ผมพูดขอบคุณเบาๆ แล้วยกขึ้นดื่ม นั่นช่วยให้ลำคอรู้สุกชุ่มชื้นขึ้นมาอีกครั้งหลังจากแห้งผากมานาน “จะกินอะไร”

“เอ่อ ไม่เป็น…”

“ไม่ได้ ถ้าผมปล่อยคุณไว้แบบนี้ เดี๋ยวคุณก็ไม่ยอมกินข้าวกินปลาแล้วเป็นลมไปอีก”

ท่าทีที่เหมือนผู้ใหญ่กำลังดุเด็กอยู่นั่นทำให้ผมหน้าแดงขึ้นมาอีกรอบ ผมหลับตาลงเพราะยังรู้สึกปวดหัวตุ้บๆ อยู่ จากนั้นก็พยายามไล่เรียงความคิดแล้วตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว

“เราโทรสั่งอาหารจีนมากินกันดีกว่าครับ” ผมไม่อยากต้องเป็นภาระขนาดจะให้เข้าครัวทำอาหารให้หรอกนะ “ผมมีเบอร์โทรแปะอยู่ที่ข้างโทรศัพท์บ้าน… มีเมนูอยู่ข้างๆ ด้วย คุณสั่งมาได้เลย”

ไมเคิลพยักหน้าแล้วเดินผละไปอย่างว่าง่าย ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาอย่างอ่อนล้า รู้สึกเหมือนหัวใจในอกข้างซ้ายยังเต้นรัวไม่หาย

ชิบหายเอ๊ย… จะพูดแก้ตัวยังไงดีล่ะเนี่ยเรื่องที่ไปจูบหมอนั่นเข้า แล้วอีกฝ่ายเล่นไม่พูดอะไรแบบนี้ ผมควรจะทำยังไงดีล่ะ?

ไม่สิ… โดยปกติแล้วก็ควรจะต้องขอโทษใช่ไหม ต้องขอโทษสินะ

“เอ่อ คือ… มิกกี้ครับ”

อีกฝ่ายทำไม้ทำมือเหมือนบอกให้ผมหยุดพูดก่อนเพราะตัวเองกำลังรอฟังเสียงจากปลายสายโทรศัพท์อยู่ จากนั้นเจ้าตัวก็สั่งอาหารอย่างรวดเร็ว

ผมหันกลับมามองโต๊ะตัวเล็กที่วางอยู่หน้าโซฟาเหมือนไม่รู้จะวางตัวยังไง แปลกดี ทั้งๆ ที่นี่ก็เป็นบ้านของตัวเองแท้ๆ แต่ยังจะรู้สึกเกร็งอีก… คงเป็นเพราะมีไมเคิลที่ผมทั้งเคารพทั้งเกรงอยู่ด้วยแหงๆ… แล้วอีกอย่าง นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผมเอาคนอื่นเข้ามาในบ้านด้วย อ้อ… ไม่ใช่สิ ก่อนหน้านี้เคยเอาโอลิเวียเข้าบ้านมาก่อนนี่นะ แต่นั่นก็นานมาแล้ว แถมที่ผมเอาเจ้าตัวเข้ามาก็เพราะหล่อนเป็นแฟนผมอีกต่างหาก

ในขณะที่คนตรงหน้า… อืม… ก็เรียกได้ล่ะนะว่าเป็นเพื่อน แต่ก็ยังไม่สนิทใจมากพอที่จะเรียกว่าเพื่อนสนิทขนาดจะพาเข้ามาในตัวบ้านแบบนี้

ผมเหลือบมองไปที่หน้าครัวเล็กน้อย ไม่รู้ตัวเลยว่าว่าเผลอห่อไหล่ลง สาเหตุหนึ่งที่ผมไม่อยากเอาใครเข้าบ้านก็เพราะแบบนี้… มันรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเปิดเผยสิ่งที่ไม่อยากให้ใครรู้ให้คนนอกได้เห็น แม้ว่าในวันนี้เลือดที่ครั้งหนึ่งเคยเจิ่งนองอยู่ตรงนั้นได้หายไปแล้ว แต่ผมก็ยังอดคิดถึงมันไม่ได้

“ฉันสั่งอาหารให้นายเรียบร้อยแล้ว ลูคัส”

ผมไหวตัวนิดหนึ่งเมื่อเสียงทุ้มดังขึ้น ไมเคิลเดินมาหยุดยืนหน้าผมแล้วจ้องลงมาที่ผมนิ่ง นัยน์ตาสีน้ำตาลคมกริบทีเดียวอยู่หลังเลนส์แว่นนั่น

“เอ่อ คือ” ผมรีบพูด “ขอโทษนะครับ ที่จูบคุณไปเมื่อกี้”

อีกฝ่ายไม่พูดอะไรตอบ หากเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเหมือนอยากจะถาม

“แล้ว… เอ่อ… นายสั่งอาหารมาแค่ส่วนของผมเหรอ” ผมถามต่อ “จริงๆ สั่งเพิ่มในส่วนของนายมาก็ได้นะ มื้อนี้ผมจ่ายเอง คุณเองก็เลี้ยงผมมาแล้วก่อนหน้า…”

“ตอนที่นายจูบฉัน” ไมเคิลไม่ยอมให้ผมเฉไฉ “นายกำลังคิดถึงคนอื่นอยู่งั้นเหรอ?”

ผมหน้าร้อนวูบขึ้น ภาพของโลแกนปรากฏขึ้นมาในหัวอย่างรวดเร็ว ผมรีบเสมองไปอีกทางหากรู้สึกได้สายตาทิ่มแทงจากคนตรงหน้า ผมจึงต้องเงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่ายอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะยอมรับเสียงอ่อย

“ใช่ครับ”

“หืม…”

“ขอโทษจริงๆ ครับ” ผมกลั้นใจพูด กลืนน้ำลายลงคออึก “ฉันรู้ว่านายคงรังเกียจ ฉันก็ไม่ได้ตั้ง--”

หากคำพูดผมกลืนหายลงไปในลำคอเมื่ออีกฝ่ายก้มตัวลงมาจูบปิดปากผมอย่างรวดเร็ว

ผมเบิกตากว้างขึ้นอย่างตื่นตะลึง รู้สึกเหมือนสมองโล่งขึ้นมาชั่วขณะ สัมผัสอ่อนนุ่มเบียดเข้ามาในริมฝีปากผมอย่างรุนแรงและจาบจ้วง ผมจิกนิ้วลงบนบ่าของอีกฝ่ายอย่างรุนแรงอย่างคนที่ยังประเมินสถานการณ์ไม่ถูกหากวินาทีต่อมาผมก็ผลักร่างของอีกฝ่ายออกไปด้วยความตกใจ แต่ไมเคิลก็ดูไม่เป็นเดือดเป็นร้อนอะไรเพราะเหมือนนั่นเป็นจังหวะเดียวกับที่เขาตั้งใจจะผละออกไปอยู่แล้ว

“เอาคืนไง” ชายหนุ่มผมดำยิ้มเจ้าเล่ห์ เป็นรอยยิ้มและสีหน้าแบบที่ผมไม่เคยเห้นจากเจ้าตัวมาก่อน “คุณมาขโมยจูบผมก่อน ผมก็เอาคืนจากคุณบ้าง”

“อะ… อะ…!!?” ผมพูดไม่ออก

“ทีนี้ก็เสมอกันแล้วนะ ลูคัส” มิกกี้ว่ายิ้มๆ เดินมายีหัวหัวผมที่ยังนั่งเอ๋อ ประมวลสถานการณ์ไม่ทันสองสามที “ไม่ต้องกังวลนะ ตอนผมจูบคุณ ผมก็นึกถึงคนอื่นอยู่เหมือนกัน”

“...” ยังคงมึน

“ผมมีสอนช่วงเย็นต่อครับ ลูคัส คอลลินส์ เพราะงั้นคงอยู่เป็นเพื่อนเล่นให้คุณไม่ได้ ไปล่ะครับ แล้วเจอกันคลาสต่อไป กินข้าวเสร็จแล้วอย่าลืมกินยาแล้วก็นอนพักมากๆ นะครับ รอให้ไหวจริงๆ ก่อนค่อยซ้อม ไม่มีประโยชน์หรอกถ้าคุณจะซ้อมอย่างเอาเป็นเอาตายแต่ต้องเข้าโรงพยาบาลเสียก่อนแล้วขึ้นไปเล่นบนเวทีไม่ได้”

เจ้าตัวพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นแล้วก็ออกจากบ้านผมไป ผมมองประตูที่ถูกปิดลงอย่างมึนงง และเมื่อได้ยินเสียงรถของอีกฝ่ายที่แล่นจากไปแล้ว ผมถึงได้รู้สึกตัว ยกมือขึ้นแตะริมฝีปากของตัวเองอย่างมึนงง กระพริบตาปริบๆ ก่อนจะเริ่มครางออกมานิดหนึ่งอย่างคนที่เพิ่งรู้ตัวว่าโดนขโมยจูบไปแล้วเรียบร้อย ถึงตอนแรกผมจะเป็นขโมยมาจากเจ้าตัวก่อนก็เถอะ… แต่แบบ… เฮ้ย!? ปกติคนเราถ้าโดนขโมยจูบเนี่ย ต้องขโมยคืนกันด้วยเหรอ? นี่ใช้ตรรกะแบบไหนคิด?

ผมยกมือขึ้นกุมหน้าผากอย่างคิดไม่ตก คิดไปคิดมาปวดหัวหนักกว่าเดิม แถมอาการปวดท้องนี่ก็ดูจะรุนแรงขึ้นอีก… ไม่เอาล่ะ เลิกคิดดีกว่า รอกินข้าวแล้วกินยานอนพักอย่างที่ไอ้ครูตัวแสบมันสั่งไว้ดีกว่า เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ไม่อยากหาเรื่องมาคิดให้รกสมองแล้วโว้ย!






คืนนั้นผมเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ ที่จริงแล้วเข้านอนตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ลับขอบฟ้าเลยด้วยซ้ำเพราะฤทธิ์ยาที่ส่งผลรุนแรงจนเหมือนกระชากหนังตาให้ปิดลง

ผมยันตัวลุกขึ้นมาจากเตียงเพราะรู้สึกว่าลำข้อแห้งผากจนแสบไปหมดตอนที่ความมืดเข้ามาปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองแล้ว ผมเดินโซเซไปยกเหยือกในห้องนอนขึ้นมาแล้วรินน้ำลงในแก้ว วินาทีนั้นแหละที่ผมรู้ว่าน้ำในเหยือกนั่นหมดไปแล้ว

ดังนั้นถึงจะล้าแล้วก็อยากจะนอนต่อ แต่ความกระหายน้ำที่มีมากกว่าก็บังคับให้ผมเดินลงจากตัวบ้านมาที่ชั้นล่างจนได้ ผมเดินไปเปิดตู้เย็นแล้วรินน้ำใส่แก้วที่ถือติดมือมา ยกขึ้นดื่มปล่อยให้น้ำไหลลงคอไป ค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย

หากเมื่อปิดตู้เย็นลงแล้วเหลือบมองไปทางหน้าต่างผมก็ต้องตัวแข็งทื่อ ใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มด้วยความตกใจทันที บานหน้าต่างตรงห้องนั่งเล่นถูกเปิดทิ้งไว้… ผมแน่ใจว่าก่อนผมจะเดินขึ้นบ้านไปผมปิดทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว

ทันใดนั้นสิ่งที่โลแกนเคยเตือนเคยพร่ำสอนก็กระแทกเข้ามาในหัว

มีคนบุกรุกเข้ามาในบ้าน…

ผมนึกถึงปืนกระบอกหนึ่งที่น้องชายฝาแฝดของผมเคยให้ไว้ทันที รู้สึกเหมือนใจจะขาดรอนๆ เมื่อนึกขึ้นได้ว่ามันอยู่บนบ้าน ผมต้องขึ้นไปเอา…

ผมตัดสินใจเดินไปหยิบมีดเล่มหนึ่งจากห้องครัวมาถือติดมือ จากนั้นก็ค่อยๆ ก้าวเท้าอย่างเงียบงันขึ้นบันไดบ้านไปอย่างเชื่องช้า ความคิดต่อมาคือโทรหาตำรวจ… หาคนที่สามารถช่วยเหลือผมได้อย่างทันท่วงที บางทีอาจจะสักเบอร์ที่โลแกนทิ้งเอาไว้ให้ หรือผมจะใช้โอกาสนี้โทรหาหมอนั่นเลยดี? โทรศัพท์เครื่องที่โลแกนให้มาก็อยู่ในห้องนอนเหมือนกัน เอาวะ ลองดูสักตั้งเดี๋ยวก็รู้

ภายในความมืดผมพยายามสอดส่ายสายตาเพื่อมองหาใครก็ตามที่บุกเข้ามาในบ้าน แต่ไม่มีร่องรอยอะไรเลย นั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกกลัวขึ้นไปอีก ไม่รู้ด้วยว่าไอ้คนที่บุกเข้ามาต้องการอะไร ของบ้านผมก็ไม่ได้มีอะไรให้ขโมยมาก แต่ถ้ามาเพราะอยากจะจับผมเป็นตัวประกันเพื่อล่อโลแกนออกมาอะไรแบบนั้น… อันนั้นฟังดูเป็นไปได้มากกว่าอีก

ผมค่อยๆ เปิดประตูห้องนอนเข้าไป ใช้แสงจันทร์ที่มีอยู่ไม่มากเพื่อดูว่ามีใครอยู่ด้านในรึเปล่า จากนั้นจึงรีบเดินไปที่ตู้ซึ่งผมเก็บปืนเอาไว้ หากยังไม่ทันทำได้อย่างที่ใจคิด แรงของใครบางคนจากด้านหลังก็กระแทกลงมา ใครคนนั้นพาดผ้าลงแล้วมัดปิดตาผม ผมพยายามจะอ้าปากส่งเสียงร้องแต่อีกฝ่ายก็ตะปบมือลงมาอย่างรวดเร็ว

ผมออกแรงปลุกปล้ำกับอีกฝ่ายด้วยแรงทั้งหมดที่มีเหลืออยู่ แต่เพราะอาการป่วยที่ยังไม่ดีขึ้นเท่าไรนัก บวกกับคนที่เข้ามาคงเตรียมพร้อมมาอย่างดี ไม่นานมือของผมก็โดนมัดติดกันไว้ทั้งสองข้าง จากนั้นทั้งร่างก็ถูกเหวี่ยงขึ้นไปบนเตียงอย่างไม่ใยดี อีกฝ่ายจิกหัวของผมกดลงไปบนฟูก ปล่อยให้ผมดิ้นอยู่แบบนั้นจนหมดแรงไปเอง

เหนื่อยเหมือนกับวิ่งมาเป็นกิโลๆ เลย… รู้สึกถึงเหงื่อที่ไหลมาอาบท่วมตัว หายใจไม่ทัน ทรมานชะมัด แล้วไอ้บ้านี่มันต้องการอะไร

ผมใช้โอกาสที่อีกฝ่ายนิ่งไปนี้เงยหน้าพรวดขึ้นมา ส่งเสียงร้องออกมาจากริมฝีปากด้วยความหวังที่อาจมีใครสักคนได้ยิน หากคนที่จับผมไว้ก็ไวทายาท กดหน้าผมลงไปตามเดิมจนเสียงที่ออกมาอู้อี้ ฟังไม่ได้ศัพท์

ผมคิดหาวิธีให้ตัวเองหลุดพ้นจากสถานการณ์นี้อย่างร้อนรนก่อนจะต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อคนด้านบนโถมน้ำหนักตัวลงมาไซร้ลงบนซอกคอของผม มือเลื่อนไปกระชากกางเกงออกอย่างรวดเร็วและรุนแรง ผมได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นรัวขึ้นด้วยความกลัว

ไม่อยากจะเชื่อ… เดี๋ยวนี้เป็นผู้ชายอยู่บ้านตัวคนเดียวยังจะต้องกลัวโดนคนบุกเข้ามาปล้ำอีกเหรอ? ให้ตายสิ ไม่ตลกเลยนะ มันเรื่องบ้าอะไรกันวะ!

“อึก…!!” ผมส่งเสียงอู้อี้เพราะอีกฝ่ายยังกดหัวลงไว้กับพื้นเตียงไม่ปล่อย ขาทั้งสองข้างพยายามดิ้นรน ถีบให้คนด้านบนออกไปให้พ้นจากตัวผม เพิ่งเข้าใจความรู้สึกของผู้หญิงที่โดนข่มขืนที่เห็นตามข่าวขึ้นมาก็วันนี้ สัมผัสจากฝ่ามือที่เลื่อนเข้ามาใต้สาบเสื้อทำให้ผมขนลุกซู่ รู้สึกขยะแขยงจนอยากจะสำลักออกมา

ยิ่งโดนอีกฝ่ายปิดตาด้วยแบบนี้แล้วยิ่งทำให้ผมรู้สึกหวาดหวั่นแทบบ้า เหมือนหัวใจจะหลุดออกมาจากอกด้วยความตื่นกลัว

“มะ… ไม่” ผมครางออกมาเสียงเบาเมื่อมือหนาเลื่อนไปสัมผัสที่ต้นขาของผม

ใครก็ได้… ใครก็ได้ช่วยผมที

โลแกน… ช่วยฉันที







-------------------------------------
Talk:  มีบทแทรก 40.1 นะคะ~~ ใครอยากอ่าน แวะไปหน้าเพจเน้ออ >>https://www.facebook.com/airinand/

ออฟไลน์ kothan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
มาหาบ่อยๆสิ  จะได้ไม่ต้องหึงแบบนี้

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 41

(Mode: Lucas Collins)




ผมตื่นเช้าขึ้นมาด้วยความกระตือรือร้นทุกวันหลังจากที่ได้เจอโลแกนเมื่อสัปดาห์ก่อน

ผมทำภารกิจในยามเช้า เดินลงไปทำอาหารเช้าง่ายๆ กิน กวาดอุปกรณ์การเรียนใส่กระเป๋าเป้ จากนั้นก็ตรงดิ่งไปมหาลัยอย่างกระชุ่มกระชวย

วันนี้ผมมีเรียนภาคทฤษฎีก่อนในช่วงเช้าถึงจะเจอภาคปฏิบัติในตอนบ่าย ซึ่งแน่นอนล่ะว่าครูผู้ฝึกจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากไมเคิล

“หืม… ช่วงนี้อารมณ์ดีจังนะคุณ ทั้งๆ ที่เมื่อสัปดาห์ก่อนยังอ่อนระโหยโรยแรงจนเป็นลมหัวฟาดพื้นไปรอบหนึ่งแท้ๆ” ไมเคิลว่าหลังจากฟังเพลงที่ผมบรรเลงจบไปรอบหนึ่ง เสียงเพลงที่ออกมาใสและเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ หวาน แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าผู้เล่นกำลังอารมณ์ดี ร่าเริงถึงขีดสุด

ผมหันไปยิ้มหวานหยดให้ครูข้างตัว

“ก็นะครับ พอดีมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นนิดหน่อย”

“อะไรๆ เอ… ให้ผมลองเดาดูนะ” ไมเคิลแกล้งยกนิ้วขึ้นเคาะคางอย่างครุ่นคิด ก่อนเจ้าตัวจะดีดนิ้วเปาะ “รู้แล้ว เพราะว่าคุณได้มีโอกาสจูบผมเมื่อวันก่อนนั่นใช่ไหมล่ะ”

“ไม่ใช่!” ผมรีบพูดขัด ใบหน้าร้อนขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในตอนนั้น เหตุการณ์ที่ทำเอาโลแกนบุกมากดผมลงเตียงถึงบ้าน ทำเอาวุ่นวายกันไปหมด

แต่… ถึงอย่างนั้นก็ยังมีเรื่องดี อย่างน้อยผมก็ได้เจอหมอนั่นหลังจากที่ไม่ได้เจอมานานเสียที แต่ถึงยังไงก็ไม่ขอให้หมอนั่นเข้าใจผมผิดๆ อีกแล้วนะ เวลาหมอนั่นโกรธน่ากลัวจะตาย

“จริงสิ… จะว่าไป” ไมเคิลพูดขึ้นเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้ จากนั้นชายหนุ่มก็เดินกลับไปที่โต๊ะของตัวเอง หยิบสมุดเล่มหนึ่งออกมาจากกระเป๋า พลิกดูด้านในก่อนจะพูดต่อ “ตั้งแต่วันมะรืนเป็นต้นไป คุณคอร์เนอร์จะมาเรียนที่นี่กับเราด้วยนะ”

“หา!?” ผมลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ทันที มองครูฝึกของตัวเองอย่างงงๆ “หมายความว่าไงครับ? มิกกี้ ก็เอ็ดการ์น่ะ เรียนอยู่มหาลัยอีกที่ไม่ใช่เหรอ?”

“อ้อ เดี๋ยวนี้สนิทกันขนาดเรียกชื่อกันแล้วเหรอ” ชายหนุ่มผมดำปิดสมุดในมือของตัวเอง “เอ็ดการ์น่ะ เขาจะมาเรียนแลกเปลี่ยนที่นี่ แล้วเขาก็ใส่ชื่อผมเป็นครูฝึกไป ทางมหาลัยก็เพิ่งแจ้งมา”

“ไม่กระทันหันไปหน่อยเหรอครับ?” ผมถามอย่างงุนงง “อีกอย่าง… ใกล้จะถึงการแข่งใหญ่อยู่แล้ว แล้วครูฝึกของหมอนั่นที่นู่นล่ะ?”

“ถ้าคุณอยากรู้เรื่องนั้น ทำไมคุณไม่รอถามเขาเองล่ะ” ไมเคิลคลี่ยิ้มหวานหยดที่ดูกวนประสาทชอบกล… ถ้าผมไม่ได้คิดไปเองนะ รู้สึกเหมือนยิ่งผมสนิทกับเขามากขึ้นเท่าไรก็ได้เห็นอีกด้านของเขามากขึ้นไปทุกที มันก็สนุกดีนะครับในบางครั้ง แต่บางทีก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโดนปั่นหัวอยู่ยังไงก็ไม่รู้

“มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ มิกกี้” ผมเริ่มบ่นอุบ หยิบโน้ตเพลงอีกเพลงขึ้นมากวาดตาดู “หมอนั่นน่ะ ถือว่าเป็นคู่แข่งของผมนะครับ ให้มาเรียนกับคุณแบบนี้…  รู้สึกไม่ค่อยดียังไงไม่รู้”

“หืม อะไรครับ?” ยิ้มกวนๆ ของครูฝึกยิ่งเพิ่มดีกรีความยียวนเข้าไปใหญ่ “หวงผมเหรอ? ไม่อยากให้ผมไปสอนคนอื่นสิท่า”

“...ไม่อยากให้คุณไปสอนศัตรูครับ” ผมหรี่ตาลงพร้อมกับพูดตอบตรงๆ ไมเคิลเพียงแค่ยักไหล่อย่างไม่ยี่หระให้ผม

“อย่าไปคิดว่าเขาเป็นศัตรูสิคุณ ถึงยังไงก็เป็นนักเปียโนเหมือนกัน… อีกอย่าง ลองคิดในแง่ดี บางทีคุณอาจจะได้เทคนิคอะไรมาจากเขาก็ได้ นักดนตรีน่ะจะเติบโตได้ก็เมื่อได้เรียนรู้เทคนิคจากคนอื่นๆ คุณเองไม่คิดแบบนั้นบ้างหรือไง”

“ก็ใช่อยู่หรอกครับ” ผมตอบ ตอนแรกผมก็ไม่ค่อยชอบใจกับความคิดที่ว่าหนึ่งในคู่แข่งของตัวเองจะมาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ เท่าไร แต่พอคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเอ็ดการ์ คอร์เนอร์… บางทีมันอาจจะไม่เลวร้ายนักก็ได้

หมอนั่นเป็นนักเปียโนที่เก่ง เป็นคนที่สุภาพด้วย แล้วก็นิสัยดี บางทีเราคงสนิทกันได้มากกว่าเดิมด้วย

“เอ้า อย่ามัวแต่เหม่อ” ไมเคิลกลับมาสวมบทโหดต่อหลังจากคุยกันเสร็จ “ซ้อมกันต่อได้แล้วครับ การแข่งใหญ่ก็กำลังจะมาถึงแล้ว แล้วเดี๋ยวคุณคอร์เนอร์ก็จะมาอีก จะมาทำผมเสียชื่อด้วยการเล่นเปียโนเห่ยๆ ให้เขาเห็นไม่ได้นะ”

“ผมไม่เคยเล่นเปียโนเห่ยสักหน่อย!”

ให้ตายสิ หมอนี่… ชอบพูดปรักปรำกันอยู่เรื่อย






ผมมองชายหนุ่มที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับตัวเอง สวมเสื้อผ้ามีราคาที่กำลังพูดแนะนำตัวกับผมและไมเคิลอย่างสุภาพตรงหน้าแล้วอดเปรียบเทียบกับตัวเองไม่ได้

“...เพราะงั้น ถึงจะเป็นแค่เวลาสั้นๆ ยังไงก็ฝากตัวด้วยนะครับ ลูคัส คุณฮาร์ริส” เจ้าตัวพูดทิ้งท้ายโดยหันมายิ้มหวานประจบให้ผมและไมเคิล ให้ตาย… ผมรู้สึกเหมือนมีประกายระยิบระยับออกมาจากตัวหมอนี่ยังไงชอบกล แล้วถามจริง… ไอ้เนคไทที่ผูกติดคอหมอนี่อยู่น่ะ ราคาเท่าไร ให้เดานะ เท่ากับราคารวมของเสื้อผ้าทั้งชุดของผมแล้วคูณไปอีกสามเท่าแหง ทำไมคนพวกนี้ถึงได้ชอบใช้ของมีแบรนด์กันนักนะ

หลังจากที่ได้ฝึกเปียโนร่วมกันกับเจ้าตัว แทบจะทุกครั้งหลังเลิกเรียนที่เราทั้งคู่ชวนไปกินอะไรด้วยกัน จริงๆ ผมก็อยากชวนปีเตอร์มาแล้วแนะนำให้เอ็ดการ์รู้จักด้วย แต่ปีเตอร์นี่ไม่รู้ยังไงของมัน ลงเรียนไปไม่เคยตรงกับตารางของผมเลย เพราะงั้นการจะได้เจอหมอนี่สักทีเป็นอะไรที่ยากมากช่วงนี้

“แต่เปียโนที่นายเล่นน่ะ ดูมีพลังดีนะ” ผมพูดทักขณะที่กำลังซดซุปข้าวโพดที่อยู่ตรงหน้า วันนี้เราสองคนกินอาหารกลางวันที่โรงอาหารของวิทยาลัย อาหารของที่นี่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากหรอก ราคาก็ถูกด้วย “แล้วก็มีเอกลักษณ์ดีด้วย สมแล้วที่ได้ที่สองเมื่อคราวก่อน”

“เอ๊ะ? ไม่หรอกครับ” เอ็ดการ์รีบพูด ใบหน้าขึ้นสีระเรื่อเล็กน้อย “ยังไงก็สู้เปียโนของลูคัสไม่ได้หรอก เก่งขนาดนั้น… แถมนายนิ้วยาวด้วย เวลาพรมลงบนเปียโนทีดูเพลินมากเลยล่ะ”

“อ้อ นิ้วน่ะเหรอ” ผมทวนคำพร้อมกับกางมือออกมาพิจารณา นิ้วของผมค่อนข้างเรียวและยาวกว่าคนทั่วไปอย่างที่คนตรงหน้าว่าจริงๆ

ผมไหวตัวนิดหนึ่งเมื่ออีกฝ่ายกางมือของตัวเองออกมาตรงหน้าบ้าง แล้วเอามาทาบกับฝ่ามือของผม รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากมือของคนตรงหน้าแผ่มาถึงมือของตัวเอง นัยน์ตาสีฟ้าสว่างของเจ้าตัวพิจารณาขนาดนิ้วของผมกับของตัวเอง ดูเหมือนนิ้วของผมจะยาวกว่าของอีกฝ่ายขึ้นมาเล็กน้อย

“เห็นไหมล่ะ นิ้วของลูคัสยาวกว่าจริงๆ ด้วย สำหรับนักเปียโนแล้ว นี่เป็นเรื่องที่น่าอิจฉามากเลยนะ”

“ก็แค่นิ้วยาวกว่าคนอ่นนิดเดียวเท่านั้นแหละ” ผมหัวเราะ จากนั้นพวกเราสองคนก็ผละมือออกจากกันแล้วลงมือรับประทานอาหารต่อ

“ไม่ใช่แค่นั้นสักหน่อย” เอ็ดการ์โบกมือขึ้นในอากาศ “นายน่ะเล่นออกจะเก่ง มีพรสววรค์สุดๆ ไปเลยไม่ใช่รึไงครับ?”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก” ผมตอบพร้อมกับละเลียดอาหารในจานของตัวเองอย่างไม่เร่งร้อน

“ว่าแต่… ลูคัสมีพี่น้องรึเปล่า?”

“อืม มีน้องชายคนหนึ่ง” ผมว่า

“แล้วเขาไม่เล่นเปียโนด้วยเหรอครับ?”

“ไม่หรอก หมอนั่นไม่ค่อยสนเรื่องพวกนี้เท่าไร” ผมพูดพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อนึกถึงหน้าโลแกนตอนเด็กๆ ที่โดนบังคับให้เรียนเปียโนพร้อมกับผม

จำได้ว่าหมอนั่นตีหน้าเบ้ทีเดียว แล้วก็เล่นแบบขอไปทีประมาณสาม สี่ครั้ง หลังจากนั้น พอถึงเวลาเรียน หมอนั่นก็แอบหนีไปไหนต่อไหนก็ไม่รู้ ทำเอาคนอื่นปวดหัวกันไปหมด จนในที่สุดก็ต้องยอมให้หมอนั่นเลิกเรียนเปียโนไป เหลือผมคนเดียวที่ยังสมัครใจเล่นต่อ

แต่… ถึงหมอนั่นจะไม่ชอบเล่นเปียโนด้วยตัวเอง แต่ก็ไม่ได้ดูรังเกียจเปียโนที่ผมเล่นหรอกนะ

“น่าเสียดาย” เอ็ดการ์ว่า “บางทีถ้าน้องชายนายเล่น อาจจะฝีมือพอๆ กับนายเลยก็ได้”

“หมอนั่นเหรอ” ผมแทบจะหัวเราะก๊าก แค่นึกสีหน้ายับยู่ยี่ของมันตอนจรดนิ้วลงบนคีย์บอร์ดก็ขำจะแย่แล้ว “ไม่หรอกๆ หมอนั่นมันไม่ชอบจริงๆ… ว่าแต่นายล่ะ เอ็ดการ์? มีพี่น้องรึเปล่า”

“มีน้องสาวคนหนึ่งครับ” เจ้าตัวตอบอย่างกระตือรือร้น “เจ้าตัวก็เล่นเปียโนเหมือนกัน แล้วก็ไวโอลินด้วย แต่ระยะหลังมานี่เห็นจะชอบไวโอลินมากกว่า ไม่แน่บางที ยัยนั่นอาจจะเบนเข็มไปเล่นไวโอลินไปเต็มตัวเลยก็ได้”

“แบบนั้นก็ดีสิครับ” ผมตอบยิ้มๆ “จะได้เล่นคู่กับนายได้ไง ดูน่ารักออก พี่เล่นเปียโน น้องเล่นไวโอลิน อยู่บนเวทีเดียวกัน ต้องเยี่ยมมากไปเลย”

คิดแล้วก็นึกไปถึงโลแกน… ถ้าหมอนั่นเล่นไวโอลินได้แล้วเราได้เล่นคู่กัน… ต้องเป็นอะไรที่สุดยอดมากแน่ๆ… ก็คงจะหวังยาก แค่ทุกวันนี้มันยังยอมฟังเปียโนที่ผมเล่นนี่ก็นับว่าน่าเหลือเชื่อมากพอแล้ว อย่าว่าแต่เล่นเครื่องดนตรีสักประเภทเลย

“พูดถึงเล่นคู่แล้ว” เอ็ดการ์พูดอย่างนึกขึ้นได้ นัยน์ตาสีฟ้ามองผมขึ้นมาอย่างมีความหวัง “ผมอยากลองเล่นคู่กับคุณดูสักครั้ง”

“หา?” ผมกระพริบตาปริบๆ ให้คนตรงหน้าอย่างงุนงง “กับผมเนี่ยนะ?”

“ครับ” เจ้าตัวส่งยิ้มหวาน ตาเป็นประกายมาให้ “แค่เล่นกันขำๆ ก็ได้ นะครับ เล่นคู่กับผมสักครั้งนะ?”

“อืม… ก็ได้อยู่หรอก” ผมว่า นึกถึงตัวเองที่มีความสุขเหลือเกินตอนที่ไมเคิลยอมเล่นเปียโนคู่กับผมแล้วนึกถึงคนตรงหน้าที่คอยส่งดอกไม้มาให้ผมเป็นประจำพร้อมกับบอกว่าตัวเองเป็นแฟนคลับของผม…

นึกถึงตรงนี้ อยู่ๆ หน้าของผมก็ร้อนขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ไม่สิ สาเหตุก็คนตรงหน้าที่ยิ้มหน้าแป้น พูดออกมาอย่างยินดีที่ผมตอบรับว่าจะเล่นเปียโนคู่ด้วยนี่ไง

“ดีใจจัง งั้นพรุ่งนี้นะครับ ผมมีเพลงที่อยากเล่นกับนาย ลูคัส ผมเลือกเพลงได้ใช่ไหม?”

“อืม ได้สิ” ผมยิ้มตอบกลับ พอเห็นอีกฝ่ายดูมีความสุขขนาดนั้นผมก็ดีใจไปด้วยแฮะ “งั้นพรุ่งนี้เรามาเจอกันก่อนเข้าเรียนแล้วกัน แล้วถ้าเราจะใช้ห้อง ต้องไปจองไว้ก่อนล่วงหน้าด้วย… เดี๋ยวกินเสร็จแล้วฉันไปจองให้ก็ได้ นายจะเอาเพลงไหนก็ส่งให้ฉันหน่อยแล้วกัน”







ผมกลับมาถึงบ้านตอนที่ท้องฟ้าภายนอกถูกย้อมด้วยสีดำของความมืด

พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปนานแล้ว แต่วันนี้ผมอยู่ซ้อมที่มหาลัยในห้องที่จองเอาไว้ก่อนจนถึงป่านนี้ ทันทีที่ถึงบ้าน ผมโยนกระเป๋าเป้ลงบนโซฟา หยิบโน้ตเพลงที่ซ้อมตลอดทั้งเย็นออกมา เดินไปเปิดตู้เย็นแล้วรินนมใส่แก้วก่อนจะเดินกลับมาพิจารณาตัวโน้ตครู่หนึ่ง

ทันทีที่นมหมดแก้ว ผมก็ลุกขึ้นแล้วตรงไปที่เปียโนหลังงามทันที เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นพอดี ผมหยิบมันขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงแล้งมองหน้าจอ ก่อนจะหลุดยิ้มออกมาอย่างเสียไม่ได้

น้องชายฝาแฝดตัวแสบของผมนั่นเองที่โทรมา นี่เป็นครั้งที่สองที่โลแกนโทรมาหาผมหลังจากที่เราแยกกันสัปดาห์ที่แล้ว… ถ้าเทียบกับคนทั่วไป นี่อาจจะถือว่าเป็นการติดต่อที่น้อย แต่เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายเคยขาดการติดต่อกับผมไปเป็นเดือนๆ อาทิตย์ละครั้ง สองครั้งนี่ถือว่าเยอะมากแล้ว

“เฮ้ น้องชาย” ผมรับสายพร้อมกับกรอกเสียงลงไปอย่างเริงร่า “ว่าไง คิดถึงกันเหรอครับ ถึงต้องโทรมาหาเนี่ย”

“เหอะๆๆ” เสียงหัวเราะแห้งๆ ดังมาตามสาย “ก็นายเป็นคนย้ำนักหนาไม่ใช่หรือไง ว่าให้ฉันโทรหาน่ะ”

“อ้าวๆๆ” ผมโวยวายบ้าง “พูดงี้ได้ไง พูดงี้แปลว่านายไม่อยากคุยกับฉันเหรอ วางไปเลยดีกว่ามั้ง พูดแบบนี้”

“เฮ้! ฉันแค่ล้อเล่นหน่อยเดียวเอง!” ปลายสายรีบว่า

ผมชวนโลแกนคุยเรื่อยเปื่อยไปอีกพักหนึ่ง จากนั้นจึงเดินไปที่เปียโนของตัวเองพร้อมกับบอกอีกฝ่าย

“ฉันจะซ้อมเปียโนต่อแล้วว่ะ”

“ก็ซ้อมสิ” ปลายสายตอบกลับมา “ฉันจะฟัง”

“แน่ใจเหรอว่าจะฟัง?”

“ฟังสิ” เสียงที่ออกมาจากลำโพงฟังดูกระตือรือร้นขึ้น “เล่นเลยๆ”

ผมยกยิ้มนิดๆ บมุมปาก จากนั้นจึงเริ่มกดนิ้วลงบนคีย์บอร์ดแล้วบรรเลงสบายๆ ลงไป และเมื่อผมเล่นไปได้ครู่หนึ่ง เสียงของโลแกนก็ดังออกมาจากโทรศัพท์ที่ผมวางไว้บนตัวเปียโนอีกรอบ

“เฮ้ ไม่เลวนี่ ลู” เจ้าตัวว่า “รอบหน้านายก็ต้องได้ที่หนึ่งแล้วใช่ไหม แบบนี้ ที่สามอะไรนั่น ไม่เอาแล้วนะ”

“ของแบบนั้นมันกำหนดได้ที่ไหนเล่า” ผมหัวเราะออกมาเบาๆ นึกถึงไมเคิลขึ้นมาทันที หมอนั่นเองก็เคยพูดอะไรแบบนี้เหมือนกัน

“ไม่รู้แหละ” โลแกนว่าหน้าตาเฉย “ถ้านายไม่ได้ที่หนึ่ง ฉันก็ไม่ไปดูนายแข่ง”

“เจ้าบ้าเอ๊ย” ผมหัวเราะร่วนออกมาอย่างอดไม่อยู่ “ผลการแข่งมันรู้หลังจากที่ฉันเล่นต่างหากเล่า เจ้าน้องโง่”

“นายว่าใครโง่!!?”

แล้วผมก็หัวเราะออกมาด้วยเสียงที่ดังขึ้นอย่างอดไม่ได้จริงๆ ถ้าผมทำให้หมอนี่โกรธหรือโมโหมากๆ ได้อีกสักครั้งคงดี หมอนี่จะได้ตามมาตบหัวถึงที่บ้านไง

แล้วตอนนั้น… ผมก็จะได้เจอตัวมันไปพร้อมๆ กันด้วย





--------------------------------------------
Talk:  ปะ ลูคัส ไปลากมิกกี้มาจูบอีกสักรอบ ถ่ายรูปส่งให้โลแกน ต้องมีใครดิ้นพล่านสักคนล่ะ 55555555

ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
หึงรุนแรงเหลือเกิน :hao6:

ออฟไลน์ kothan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
อาจไม่ใช่แค่ดิ้นพล่านนะ น่าจะจมดินเลยมากกว่า

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 42

(Mode: Logan Collins)
 



“ฮัลโหล สวัสดีค่ะ”

“อธิบายมาซิว่านี่มันหมายความว่ายังไงกันแน่ คุณเจ้าหน้าที่พิเศษ แกรนท์” ผมกรอกเสียงลงไปทันทีเมื่อได้ยินเสียงปลายสายกดรับโทรศัพท์

“หา??” หญิงสาวถามกลับเสียงแหลมสูงเลยทีเดียว “ขอประทานโทษเถอะค่ะ คุณคอลลินส์ ไม่ทราบว่าคุณกำลัง… อ้อ รู้ล่ะ เรื่องภารกิจที่นายเพิ่งได้ไปใช่ไหม”

“ใช่” ผมว่าต่อด้วยราบเรียบเป็นการเป็นงาน “ผมนึกว่าคุณจะไปจัดการหาหลักฐานมารวบตัวเพื่อนรัฐมนตรีกระทรวงการคลังของเราเสียอีก”

“แหม คุณคอลลินส์คะ” หล่อนพูดเสียงหวานประชด “การจะไปหาเอกสารหรือหลักฐานมารวบตัวหล่อนแล้วส่งตัวให้อีกหน่วยงานเนี่ย ไม่ใช่เรื่องง่ายนะคะ ฉันต้องได้อะไรที่มันรัดกุมกว่าทั้งหมดที่นายมีแล้วส่งมาให้ฉัน แล้วไอ้ภารกิจที่ฉันเพิ่งขอร้องไปเนี่ย ก็เพื่อเอามาต่อยอดให้งานนี้มั้งนั้น”

คำพูดนั้นทำให้ผมนิ่งไปนิดหนึ่ง ความหงุดหงิดในใจคลายลงไปบ้าง

“แล้วก็อย่างที่นายบอก… อย่างที่เรารู้ ในเมื่อฝั่งนั้นมีผู้อิทธิพลหนุนหลังขนาดนั้น ทางเราเองก็ต้องทำอะไรรอบคอบแล้วก็ระมัดระวังนิดหนึ่งเหมือนกัน”

“ก็เลยส่งผมไปงั้นเหรอ” ผมว่า สายตาหลุบต่ำลงมองกระดาษในมือ

“ก็ตามนั้นล่ะค่ะ”

“คุณแน่ใจจริงๆ ใช่ไหมว่าภารกิจนี้จะทำให้เป้าหมายของเราดิ้นไม่หลุดน่ะ?”

ปลายสายเงียบเสียงครู่หนึ่งและนั่นทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองพลาดมาก ไม่น่าเผลอหลุดปากพูดเจาะจงแบบนั้นลงไปเลย

“ถามหน่อยเถอะ โลแกน… เป้าหมายในความหมายของนายเนี่ย คือการที่เรารวบตัวคนทำผิดมาลงโทษตามกฎหมาย หรือว่าคือจูดี้ ฮิลล์?”

ผมเรียกความสงบเยือกเย็นของตัวเองกลับมาก่อนจะกรอกเสียงราบเรียบลงไปอย่าไม่ทุกข์ร้อน

“แล้วตอนนี้ต่างกันยังไงล่ะ”

“ดูเหมือนนายจะมั่นใจมากเลยสินะว่าคนของเราคือปลาเน่า”

ผมไม่พูดอะไรตอบ

“ถามจริงๆ เถอะ… นายเคยคิดบ้างไหมว่าบางทีมันอาจจะไม่ใช่อย่างที่นายคิด”

“หมายถึงว่า… จริงๆ แล้วเพื่อนรัฐมนตรีของเราคนนี้เป็นผู้บริสุทธิ์น่ะเหรอ” ผมทวนคำถามเหมือนไม่อยากจะเชื่อ “ดูจากแฟ้มที่ผมรวบรวมไปหมดนั่นแล้ว คุณยังจะพูดแบบนั้นออกมาได้อีกเหรอ?”

“เฮ้ อย่าเข้าใจผิดสิ ฉันอยู่ข้างนายนะ” แกรนท์รีบพูด “เอาเถอะ ไม่ว่าจะยังไงก็แล้วแต่ จัดการทำภารกิจของนายให้เรียบร้อยแล้วกัน แล้วดูซิว่าเราจะได้เดินหมากต่อไปยังไงต่อ”

มันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว…

“ว่าแต่… ตอนนี้เธออยู่ไหนน่ะ แกรนท์ แถวบ้านผมรึเปล่า” ผมตัดสินใจพูดเปลี่ยนเรื่อง

“อ้อ ใช่” เจ้าหล่อนยอมรับ “จับตาดูพี่ชายฝาแฝดนายอยู่ไง แต่อีกเดี๋ยวก็ไปแล้วล่ะ ต้องไปเคลียร์เอกสารสักหน่อย”

“ลูคัสเป็นไงบ้าง”

“สบายดี เพิ่งจะกลับมาจากมหาลัย เออ เห็นว่าพี่นายจะขึ้นเวทีประกวดใหญ่เลยไม่ใช่เหรอ รอบนี้”

“อืม คงเจอศึกหนักนะ”

“สงสัยจังว่าจะหนักเท่าของพวกเราไหม” แกรนท์หัวเราะหึๆ ในลำคอนิดหนึ่ง “เอาล่ะ ฉันต้องวางสายแล้ว ยังไงก็โชคดีกับภารกิจนะคะ คุณคอลลินส์”

ผมยกยิ้มนิดๆ กับคำอวยพรนั้น

“มันไม่เคยเกี่ยวกับโชคอยู่แล้ว คุณก็รู้”






...

ผมนั่งทบทวนแผนการทั้งหมดในหัวก่อนที่จะถึงเวลาปฏิบัติการจริงอย่างที่เคยทำเช่นทุกครั้ง

ผมอยู่ในชุดสูทและเนคไทที่ทางองค์กรจัดเตรียมไว้ให้ ในมือถือกระเป๋าทำงานที่ดูเหมือนไม่ว่าใครก็มีใช้ทั่วไป ข้างในเต็มไปด้วยเอกสารไร้สาระที่ไม่มีความหมายอะไรทั้งนั้น

ผมหยิบแว่นที่ทางหน่วยงานจัดเตรียมไว้ให้ขึ้นมาสวมติดหน้า จากนั้นก็ตามด้วยหูฟังแบบไร้สายที่แนบมาพร้อมกัน

ผมเดินตรงดิ่งไปยังสถานีรถไฟที่ยุ่งเหยิงและคราคร่ำไปด้วยผู้คน ยิ่งเป็นช่วงเวลาเร่งด่วนแบบนี้ด้วยแล้ว ยิ่งไปกันใหญ่ ถ้าคุณหกล้มลงไปกองกับพื้นสักนิดเดียวคงโดนฝูงชนเหยียบจนตาย

ผมเดินเบียดเสียดไปตามหมู่ผู้คนที่แย่งกันเดินเข้าออกตั้งแต่ก่อนเข้าสถานีจนถึงบันไดซึ่งนำมาถึงทางด้านล่างก่อนที่ผู้คนจะสามารถขึ้นรถไฟไปยังจุดหมายปลายทางของตัวเองได้

แว่นตาของผมเริ่มทำงานของผม มันแสกนหาตัวบุคคลที่ผมต้องไปพบซึ่งเดินเบียดเสียดอยู่ในหมู่ผู้คนจำนวนมาก ให้ตายสิ เทคโนโลยี สงสัยจริงๆ ว่าจะก้าวหน้าไปได้ถึงไหน

หลังจากที่กวาดตามองอยู่เกือบนาทีผมก็เจอกับชายคนหนึ่งซึ่งเป็นเป้าหมายของพวกเรา เขาอยู่ในเสื้อโค้ตตัวรุ่มร่าม เส้นผมขาวไปทั้งหัวมีหมวกสีน้ำตาลปิดอยู่ สายตาสอดส่องหาคนที่กำลังมองหาอย่างกังวล ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ใช่มืออาชีพสักเท่าไรนัก

เขาขมวดคิ้วมุ่นสลับกับมองนาฬิกาที่ข้อมือเพราะคนที่นัดเอาไว้ไม่มาตามเวลา แน่นอนล่ะว่าคนคนนั้นจะไม่มา… เพราะว่าผมกวาดไปเรียบร้อยแล้วยังไงล่ะ

ผมสาวเท้าเข้าไปใกล้เขามากขึ้นเรื่อยๆ เป็นจังหวะเดียวกับที่เขาเดินตรงมาทางผม เป้าหมายของเขาคือออกจากสถานีที่เนืองแน่นไปด้วยผู้คนแบบนี้ เราสวนกัน ผมยกมือปักเข็มที่อาบยาสลบใส่หลังคอเขาอย่างรวดเร็วตามแผนการที่วางเอาไว้ ชายคนนั้นทรุดฮวบลงและทำท่าเหมือนจะกองลงไปนอนกับพื้น ผมคว้าตัวเขาไว้ได้อย่างรวดเร็ว ตามแผนเหมือนกัน จากนั้นก็ถามเขาที่ข้างหูด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

“เฮ้ คุณ เป็นอะไรไหม”

แน่นอนล่ะว่านั่นเพื่อไม่ให้ผู้คนที่เหลือบมองมาเข้ามาช่วยเหลือชายผู้นี้แทนที่จะเป็นผม ผมประคองร่างที่ไร้สตินั้นไปนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกลออกไป จากนั้นก็สับเปลี่ยนกระเป๋าของตัวเองกับคนคนนี้อย่างรวดเร็ว ก้าวเท้าฉับๆ ขึ้นบันไดที่เพิ่งเดินลงมาหยกๆ ได้ยินเสียงสั่งมาจากข้างหูเล็กน้อยซึ่งทุกอย่างก็เป็นไปตามที่ผมคิดไว้อยู่แล้วล่ะ

ผมจ้ำเท้าออกมาจากตัวสถานี ฝ่าคลื่นฝูงชนมหาศาลออกมาได้สำเร็จ ผมทำท่าทางเร่งรีบแต่จะต้องไม่แสดงออกว่าแตกตื่นหรือร้อนรน ก็แค่พนักงานบริษัทธรรมดาๆ ที่เร่งรีบเพราะกลัวว่าจะไปทำงานสายเหมือนคนอื่นๆ เท่านั้น

ผมเดินต่อมาเรื่อยๆ ตามเส้นทางที่อยู่ในแผนซึ่งถูกสลักอยู่ในหัวของผม ตอนนี้ผู้คนเริ่มบางตาแล้ว ผมจำเป็นจะต้องเอาแฟ้มเอกสารที่ได้มากลับไปสถานที่เป้าหมายของตัวเองให้เร็วที่สุด จากนั้นภารกิจก็จะเสร็จสิ้น… นี่คงเป็นภารกิจแรกของผมเลยมั้งเนี่ยที่ไม่ต้องฆ่าคน

‘จริงๆ สั่งให้คนอื่นทำก็ได้แท้ๆ… งานง่ายๆ แบบนี้’ ผมคิดอย่างหงุดหงิดนิดหนึ่ง ไม่ใช่ว่าผมอยากจะดูถูกงานของใครหรืออะไรแบบนั้น เพียงแต่ผมยังมีงานลอบฆ่าอีกมากมายที่ต้องทำ ซึ่งงานพวกนั้นมีความเสี่ยงสูงกว่ามาก ยากกว่ามาก แต่ก็อีกนั่นแหละ ในเมื่อนี่เป็นงานที่ผมขอร้องแกรนท์ เมื่ออีกฝ่ายแจกแจงงานมาให้ผมช่วยแบ่งเบาภาระ… ผมจะปฏิเสธได้ยังไง

“อะ.. ขอโทษครับ” ผมหลุดปากออกมาเบาๆ เมื่อบ่ากระแทกเข้ากับหญิงสาวคนหนึ่ง เจ้าหล่อนสวมแว่นตาดำ เส้นผมสีน้ำตาลเข้มหยิกเป็นลอนๆ ยาวไปถึงกลางหลัง สวมเสื้อโค้ตสีน้ำตาลตัวใหญ่ที่ดูจะเข้ากับแฟชั่นของฤดูนี้ได้เป็นอย่างดี

ทันใดนั้นเอง สัญชาตญาณของผมก็ตื่นตัวเต็มที่ วินาทีที่คนตรงหน้าขยับมือออกจากเสื้อโค้ตของตัวเอง มีปืนกระบอกหนึ่งถือติดมือมาด้วย

ผมเบี่ยงตัวหลบกระสุนไปได้สองนัด อย่างรวดเร็ว หากนัดหนึ่งถากไหล่ข้างซ้ายของผมไป อีกนัดฝังลงไปบนนั้นเต็มๆ

ความเจ็บปวดแล่นปราดบริเวณที่กระสุนฝังลงไป ทำเอาทัศนวิสัยของผมพร่ามัวไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่ประสบการณ์ที่สั่งสมมาทำให้ผมตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว ก้าวขาออกวิ่งตามสัญาตญาณ มือที่กุมกระเป๋าถือกระชับมันแน่นขึ้น จากนั้นผมก็ออกวิ่งไปอีกทาง ได้ยินเสียงกระสุนดังมาไล่หลัง

ชิบหายเอ๊ย… ถ้าขยับตัวช้ากว่านั้นอีกแค่วินาทีเดียว อีกแค่วิฯ เดียวเท่านั้น ร่างผมคงได้พรุนไปหลายรูแล้ว

“ผมถูกยิง” ผมรวบรวมสติแล้วกรอกเสียงลงบนไมโครโฟนที่ติดอยู่กับคอเสื้อ ในเวลาคับขันแบบนี้ ต่อให้เจ็บเจียนตายยังไงแต่การรายงานสถานการณ์ให้ผู้สังเกตการณ์รู้เป็นสิ่งที่สำคัญ ไม่อย่างนั้นความช่วยเหลืออาจมาไม่ถึงคุณอย่างทันท่วงที

“เรากำลังส่งกำลังเสริมไป” เสียงนั้นตอบกลับมาราบเรียบ แน่นอนว่าถ้าคนที่ไม่เคยทำงานแบบนี้มาก่อนจะรู้สึกกับความนิ่งเฉยของคนพวกนี้ แต่ผมไม่โทษอะไรพวกเขาหรอก ก็เขาไม่ใช่คนที่เจ็บเจียนตายเหมือนพวกที่ลงสนามจริงๆ นี่ “ขอลักษณะมือปืนด้วย”

“เป็นผู้หญิง ผมยาวสีน้ำตาลลอน โค้ตสีน้ำตาลยาว สวมแว่นตาดำ สูงประมาณ 165 อายุคงราวๆ สามสิบกลางๆ”

“รับทราบ”

“ผมต้องการปฐมพยาบาล” ผมว่าด้วยเสียงที่เริ่มหอบนิดๆ มองดูเลือดสีแดงฉานที่ทะลักออกมาจากบ่า อดยิ้มหยีนออกมาหน่อยๆ ไม่ได้ ดีใจที่ได้รู้นะว่าเลือดของลูกปีศาจอย่างผมนี่ก็เป็นสีแดงเหมือนกัน

แต่ก็นะ… ก็มาอยู่ในร่างมนุษย์แบบนี้ มันก็ไม่ต่างอะไรจากมนุษย์ทั่วไปนั่นแหละ

“เรากำลังส่งคนไปตรงแถวที่คุณอยู่” ปลายสายว่าต่อเสียงเรียบ อันที่จริงผมชอบนะ กับความไม่อนาทรร้อนใจของเพื่อนร่วมงาน มันเหมือนกับว่าเราสามารถควบคุมสถานการณ์ทุกอย่างไว้ได้ แม้ความเป็นจริงแล้วเราจะไม่เคยควบคุมอะไรไว้ได้จริงๆ เลยก็เถอะ “คุณเห็นอาคารร้างที่อยู่ตรงหน้าคุณ เยื้องไปขวานั่นไหม เข้าไปหลบในนั้นก่อน แล้วหน่วยพยาบาลจะไปหา”

“ขอบใจ” ผมพึมพำ

“ได้กระเป๋ามารึเปล่า” เสียงนั้นถามต่อ ยิ่งตอกย้ำไปอีกว่าสำหรับหน่วยงานแล้ว อะไรก็ไม่สำคัญเท่าเป้าหมาย ต่อให้จะมีคนของตัวเองแดดิ้นตายอยู่ต่อหน้าต่อตาก็ตาม เป็นคอนเซปต์งานที่ทำให้ใครต่อใครตัวสั่นอยากมาร่วมงานกับเรามากเลย

“ได้” ผมหอบหายใจรัวขึ้น ใช้มือผลักประตูเข้าไปในอาคารร้างตามที่อีกฝ่ายว่ามา จากนั้นก็ทรุดตัวนั่งลงตรงมุมห้องที่อยู่ด้านในสุด

หน่วยพยาบาลที่ว่ามาถึงผมในอีกเกือบครึ่งชั่วโมงต่อมา เจ้าหน้าที่แกรนท์เป็นคนพาผมไปส่งที่สำนักงานซึ่งมีที่สำหรับรักษาแผลจำพวกนี้โดยที่ไม่ต้องไปถึงโรงพยาบาลซึ่งต้องกรอกรายละเอียดมากมายและจะนำมาซึ่งความยุ่งยากต่างๆ และนั่นอาจทำให้ต้องพัวพันไปถึงตำรวจ

ผมส่งกระเป๋าใบที่เพิ่งเสี่ยงชีวิตได้มาให้เจ้าหล่อน ถ้าไม่ใช่แกรนท์ ผมก็ตั้งใจแล้วว่าจะไม่ให้ใครอื่น เหตุผลก็ง่ายๆ เพียงเพราะว่า…

“ทำไมถึงมีคนรู้เรื่องแผนของเรา” น้ำเสียงของผมราบเรียบหากแฝงร่องรอยหงุดหงิด แกรนท์ขมวดคิ้วมุ่นขึ้นก่อนจะยักไหล่ให้ผมทีหนึ่ง

“เรื่องนั้นฉันเองก็อยากรู้เหมือนกัน”

“เรามีหนอนงั้นเหรอ”

“คงอย่างนั้นมั้ง ไม่งั้นยัยนั่นจะโผล่มายิงนายทื่อๆ แบบนั้นได้ไง”

“จับตัวคนยิงได้ไหม”

หญิงสาวตรงหน้าผมส่ายหน้า “หล่อนหนีไปแล้ว ทางนั้นคงมีแบ็คอัพดีเหมือนกัน”

“แต่อย่างน้อยเราก็ได้สิ่งที่เราต้องการมา” ผมยกยิ้มอย่างมีชัย พอหมอทำแผลให้เสร็จแล้ว ผมก็รู้สึกกลับมากระปรี้กระเปร่าตามเดิม “ที่เหลือผมคงต้องให้คุณจัดการต่อ”

“ฉันจะทำให้เต็มที่” หล่อนรับปาก และผมนั่นทำให้ผมนึกขึ้นมาได้ว่าทำไมถึงนอนกับหล่อนในตอนนั้น หญิงสาวเป็นคนสวย แกร่ง เชื่อมั่นในตัวเอง แล้วก็มีความมุ่งมั่น ที่สำคัญ… แม้ว่าผมจะไม่สามารถตอบรับความรู้สึกของหล่อนได้ เจ้าหล่อนก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีของผม “แล้วนายจะทำยังไง… แผล…”

ผมก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ ใกล้จะถึงเวลาที่ลูคัสต้องขึ้นแสดงบนเวทีแล้ว วันนี้เป็นรอบคัดเลือก และผมก็สัญญากับเจ้าตัวว่าจะไปดู…

“ผมต้องไปแล้ว” ผมพูดขึ้น หญิงสาวตรงหน้าผมขมวดคิ้วมุ่นขึ้นนิดหนึ่ง ตอนนี้ผมกลับมาสวมสูทแบบไม่ผูกเนคไทอีกครั้ง มันปิดรอยแผลที่ถูกพันด้วยผ้าสีขาวสนิท แม้ว่าการเสียดสีกับเนื้อผ้าจะทำให้เจ็บแปลบๆ ขึ้นมาหน่อยก็เถอะ “อย่าทำหน้าแบบนั้นน่า แผลแค่นี้น่ะไม่เป็นไรหรอก”

“กระสุนมันฝังในนะ โลแกน”

“หมอเอาออกให้แล้วไง”

“ไม่อยากเชื่อว่านายจะดื้อขนาดนี้” แกรนท์พูดพร้อมกับส่ายหน้า แต่ผมทำเป็นไม่สนใจ

“คุณเอาดอกไม้ที่ผมขอมาด้วยหรือเปล่า”

“อยู่ในรถแน่ะ”

“ขอบคุณ”

“ฉันจะให้รูบี้ขับรถไปส่งนายที่สถานที่จัดแสดง”

“นั่นช่วยได้มากเลย” ผมยิ้มให้เจ้าหล่อนอย่างจริงใจ “ผมต้องไปแล้ว ยังไงฝากคุณจัดการตรงนั้นต่อ”

“ระวังตัวด้วยล่ะ แล้วอย่าลืมกินยาที่หมอให้ไปด้วย”

“ผมไม่ใช่เด็กห้าขวบแล้วนะ ไม่ต้องเป็นห่วงนักก็ได้” ผมว่า ก่อนจะตัดบทด้วยการเดินออกจากสถานที่แห่งนี้ไปก่อนหล่อน เหลือบลงมองนาฬิกาอีกรอบด้วยความร้อนรน

ยังไงก็ขอให้ผมไปฟังหมอนั่นเล่นทันทีเถอะ สักนิดก็ยังดี


ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ลูคัส เผลอจูบไมเคิล
ไมเคิล เลยจูบลูคัส เพื่อเอาคืน  :katai1:
โลแกน จะไปทันงานแข่งขันของลูคัส ทันมั้ยเนี่ย
ว่าแต่เกลือเป็นหนอน ใครนะ  :katai1:
คงไม่ใช่แกรนท์นะ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 43

(Mode: Logan Collins)



ในที่สุดก็มาทัน

ผมหอบหายใจระรัวขณะที่เดินเข้ามาในฝั่งที่นั่งคนดู มีผู้ชมคนอื่นๆ อยู่ในฮอลแห่งนี้มากพอสมควร แต่ที่นั่งหลังๆ ยังคงว่างอยู่เป็นแถบ ผมประคองช่อดอกไม้ในมือที่ถือติดมาด้วย แล้วเลือกที่นั่งฝั่งติดทางเดินที่ใกล้ที่สุดทรุดตัวลงนั่ง

บริเวณไหล่รู้สึกเจ็บปวดแปลบขึ้นมา แผลที่เพิ่งโดนยิงไปนี่คงไม่เหมือนแผลหกล้มที่จะหายได้เร็วขนาดนั้นสินะ ผมปิดเปลือกตาทั้งสองข้างลงนิดหนึ่ง ผ่อนลมหายใจให้ช้าลงเพื่อคลายความเจ็บปวด เสียงเปียโนหวานใสดังมาให้ได้ยิน ผมเข้ามาในสถานที่นี้ตอนการแสดงของลูคัสเริ่มไปได้แล้วครึ่งหนึ่ง และตอนนี้เพลงของพี่ชายฝาแฝดของผมก็ยังดำเนินต่อไป

ผมลืมตาขึ้นอีกครั้งอย่างเชื่องช้า พิจารณามองร่างของลูคัสที่อยู่บนเวทีอย่างโหยหา ลูคัสอยู่ในชุดสูทสีดำสนิท ผูกหูกระต่ายอยู่บนคอแทนที่จะเป็นเนคไท ถ้าหมอนี่แต่งตัวดีๆ แบบนี้ก็ดูดีไม่เลวเลย เสียดายตอนอยู่มัธยมเอาแต่แต่งอะไรก็ไม่รู้ไร้รสนิยม…

แต่จะไปว่ามันตอนนี้ก็กระไรอยู่ ในเมื่องานของผมตอนนี้ก็เลือกชุดหรูๆ ดูดีมาใส่ไม่ได้ ต้องปรับไปตามสถานการณ์

ผมรู้สึกได้เลยว่าดนตรีที่บรรเลงออกมาจากด้านบนเวทีกำลังสะกดคนดูทุกคน เรียกร้องให้สายตาทุกคู่มองไปตรงนั้น ผมเองก็กำลังโดนมนตร์สะกดนั้นอยู่เหมือนกัน เปียโนของลูคัสยังยอดเยี่ยมไม่มีที่ติเหมือนเดิม ไม่สิ ดีขึ้นด้วยซ้ำ ดีขึ้นมากๆ… ถึงผมจะไม่มีความรู้เรื่องโชแปงหรือบีโธเฟนหรืออะไรก็แล้วแต่ที่เกี่ยวกับเรื่องดนตรี แต่ผมก็ฟังออกนะว่าเปียโนของลูคัสน่ะสุดยอด มีพลัง มีชีวิตชีวา เปี่ยมไปด้วยความรู้สึก

‘อย่างน้อยก็ไม่เศร้าเหมือนจะขาดใจอย่างก่อนหน้านี้’ ผมคิดยิ้มๆ ‘ถึงนั่นมันจะเพราะไปอีกแบบก็เถอะ’

ผมฟังเสียงดนตรีที่เหมือนจะทำให้ล่องลอยไปตามแรงอารมณ์ของผู้เล่น ผมมองนิ้วเรียวของชายหนุ่มผู้มีใบหน้าแบบเดียวกับผมซึ่งกำลังพรมอยู่บนคีย์บอร์ดอย่างชำนาญและคล่องแคล่ว รู้สึกราวกับเสียงเปียโนพวกนั้นมีสีสันขึ้นมาเลย แปลกจังนะ ทั้งๆ ที่มันเป็นเสียงเพลงแท้ๆ แต่กลับมีสีสันออกมาได้

คนที่อยู่บนเวทียกยิ้มบนมุมปากนิดๆ ราวกับเด็กที่กำลังเล่นของเล่นชิ้นโปรดที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไรก็ไม่มีทางเบื่อ ผมอดยิ้มตามออกมาไม่ได้ นึกถึงสมัยเด็กที่เราเคยเล่นด้วยกัน มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมเล่นคู่กับลูคัสสมัยที่ยังแตะเปียโนอยู่บ้าง… ครั้งเดียว แค่ครั้งเดียวจริงๆ และผมก็ไม่ได้ทำอะไรไปจากกดโน้ตง่ายๆ ตามจังหวะ ในขณะที่คนบรรเลงหลักคือพี่ชายฝาแฝดของผมที่นั่งอยู่ข้างๆ

ผมยังจำรอยยิ้มของหมอนั่นตอนที่หันมาส่งให้ผมได้เลย มันกว้างขวางเสียจนน่าหมั่นไส้ ยิ่งตอนที่เจ้าตัวเลื่อนมือมาลูบหัวผมเบาๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแบบพี่ชาย

‘ไม่เป็นไรนะ โลแกน นายเล่นเท่าที่เล่นได้ก็พอ ที่เหลือเดี๋ยวฉันช่วยเอง’

ผลสุดท้ายก็เหมือนมันเล่นอยู่คนเดียวนั่นแหละ เพราะพอจบเพลงนั้นผมก็ลุกออกจากเก้าอี้ทันที ก็นะ… คนมันไม่ชอบนี่หว่า ถึงตอนได้ยินเสียงใสๆ ที่ลูคัสเล่นจะเพลินดีก็เถอะ

ลูคัสกรีดโน้ตสุดท้ายลงก่อนจะยกมือขึ้นจากเปียโนในที่สุด เสียงปรบมือดังกระหึ่มขึ้นทั่วบริเวณทั้งฮอล ผมเองก็กำลังปรบมือร่วมไปกับผู้ฟังคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน ผู้บรรเลงลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม จากนั้นก็โค้งตัวให้กับผู้ชมทีหนึ่งแล้วเดินกลับเข้าหลังเวทีไป

ผมลุกออกจากเก้าอี้แทบจะพร้อมๆ กัน จากนั้นก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่หลังเวที มีสต๊าฟที่จัดงานเดินมาหยุดผมไม่ให้ผมเข้าไปในบริเวณนั้นนิดหนึ่ง ผมกำลังคิดจะล้วงโทรศัพท์ไปโทรหาหมอนั่นให้ออกมาหาผมพอดีกับที่เจ้าตัวเดินออกมาจากบริเวณห้องที่ห้ามคนนอกเข้าไป

นัยน์ตาสีฟ้าของเจ้าตัวเบิกกว้างขึ้น ลูคัสชะงักฝีเท้าไปทันทีก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างที่เห็นผม เจ้าตัวขอเจ้าหน้าที่คนที่เพิ่งห้ามไม่ให้ผมเข้าไปออกมาแล้วเดินมาจับมือผมอย่างตื่นเต้น

“โลแกน!” น้ำเสียงชายหนุ่มลิงโลดอย่างชัดเจน “นายมาดูฉันจริงๆ ด้วย! ไม่อยากจะเชื่อ!”

“แล้วก็เอานี่มาให้” ผมว่ายิ้มๆ ส่งช่อดอกไม้ในมือให้คนตรงหน้า ลูคัสรับมันไปถือด้วยสีหน้าที่แดงระเรื่อขึ้นนิดหนึ่ง

“ขอบคุณนะ โลแกน” เจ้าตัวว่า จากนั้นพวกเราสองคนก็เงียบกันไปครู่หนึ่งก่อนลูคัสจะชวนผมไปนั่งอีกมุมหนึ่งที่ไม่ใช่ส่วนซึ่งห้ามคนภายนอกเข้า

บริเวณที่ลูคัสพาผมมาเป็นเหมือนห้องนั่งพักง่ายๆ มีโต๊ะและเก้าอี้อยู่หลายชุดข้างใน มีตู้กดน้ำหลากสีหลากรสอยู่ภายในด้วย เจ้าตัวเดินกดกาแฟมาสองแก้วแล้วส่งให้ผมแก้วหนึ่ง ผมยกมันขึ้นจิบเล็กน้อย มองคนตรงหน้าที่สีหน้ายังมีเลือดฝาดระเรื่ออยู่บนพวงแก้ม นัยน์ตาคู่สวยหลุบต่ำลงเล็กน้อยเหมือนไม่กล้าสบตา ทำตัวเป็นสาวน้อยริรักไปได้

“แล้ว เป็นไง”

“หือ?” ผมเลิกคิ้วถามกลับงงๆ

“เปียโนของฉันน่ะ” ในที่สุดลูคัสก็เงยหน้าขึ้นมาสบตาผม “เป็นยังไงบ้าง”

อ้อ ที่มันอายนี่คือเรื่องเปียโนของมันสินะ ไม่ใช่อายผม… ก็ว่าสิ อยู่ด้วยกันมาเกือบจะตลอดชีวิต อยู่ๆ มาองมาอาย

“เพราะสิ” ผมยิ้ม “เพราะมากๆ เลยด้วย นายนี่ สุดยอดเหมือนเดิมเลยนะ ลู”

“แค่เหมือนเดิมเท่านั้นเหรอ?”

“สุดยอดกว่าเดิม” ผมแก้ และได้รับเสียงหัวเราะร่วนจากอีกฝ่ายเป็นคำตอบ

“ขอบคุณ”

“แล้วเอาดอกไม้ไปไว้ไหนแล้วล่ะ” ผมทักเมื่อสังเกตว่าคนตรงหน้าผมไม่มีอะไรในมือนอกจากกาแฟแก้วเดียว

“เอาไปไว้ในห้องพักแล้วล่ะ ถือไปถือมาเดี๋ยวมันช้ำหมด”

ผมพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ซดกาแฟในแก้วกระดาษเล็กๆ รวดเดียวจนหมด จากนั้นก็ลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้

“ห้องน้ำไปทางไหน”

“เดี๋ยวพาไป” ลูคัสว่า รวบแก้มกระดาษของผมไปรวมกับของตัวเองแล้วทิ้งลงในถังขยะใกล้ๆ ก่อนจะเดินนำไปที่ห้องน้ำที่อยู่ใกล้ที่สุด

ทันทีที่เข้ามาถึงห้องน้ำที่ค่อนข้างโอ่โถงและสะอาดสะอ้าน กวาดตามองไปรอบๆ แล้วไม่มีใครอยู่ข้างใน ผมก็ปิดประตูลงกลอน คว้าคอเสื้อของลูคัสที่กำลังจะเดินไปที่อ่างล้างหน้าทันที จากนั้นก็ลากเจ้าตัวที่เริ่มเรียกชื่อผมอย่างงงๆ นี่หมอนี่กำลังแกล้งเล่นบทไม่รู้ไม่ชี้อยู่หรือไง? หรือว่ามันซื่อบื้อจริงๆ?

“หะ… เฮ้ โลแกน” เจ้าตัวว่าอ้ำอึ้ง สะดุ้งตัวนิดหนึ่งเมื่อเห็นผมเลื่อนมือไปล็อกประตู ผมดันพี่ชายฝาแฝดของตัวเองให้หลังไปติดกับประตูจากนั้นก็ก้มหน้าลงไปจูบปากของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วและรุนแรง

รู้สึกได้เลยว่าลูคัสสะดุ้งเฮือกขึ้นทีหนึ่ง หากวินาทีต่อมาเจ้าตัวก็ยอมหมุนคอไปตามจังหวะการจูบของผม ลิ้นของเจ้าตัวตวัดเข้ามาตอบรับสัมผัสของผมอย่างนุ่มนวลและอ่อนหวาน ยิ่งทำให้ผมรู้สึกต้องการการตอบสนองจากคนตรงหน้ามาขึ้น

“อือ…” ลูคัสครางเสียงหวานออกมาจากในลำคอแผ่วเบา ใบหน้าขาวแดงระเรื่อขึ้นจนลามไปถึงใบหู เห็นแล้วอดไม่อยู่ ผมต้องเลื่อนไปงับหูของหมอนี่เบาๆ จนได้ ชอบใจที่คนในอ้อมแขนสะดุ้งตัวอย่างเสียวซ่าน จากนั้นเจ้าตัวก็ดึงหน้าผมไปแล้วประทับจูบลงมาอีกรอบ

พวกเราสองคนแลกลิ้นกันอยู่แบบนั้น ไม่รู้ว่านานแค่ไหน และทั้งๆ ที่ครั้งล่าสุดที่เรานอนไปด้วยกันก็ไม่ได้นานอะไรขนาดนั้น แต่ผมกลับยิ่งรู้สึกโหยหา ร่างกายร้อนระอุ ความปรารถนาเหมือนกับเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ

ทุกครั้งที่ผมได้สัมผัสกับหมอนี่ ทุกครั้งที่ได้นอนกับลูคัส ผมรู้สึกเลยว่าสัมผัสวาบหวามชวนให้ละลายเหล่านั้น มันไม่เคยพอ ผมอยากได้ยินเสียงเขา อยากอยู่ใกล้ๆ เขา อยากคอยเป็นกำลังใจให้เขา อยากเป็นคนแรกที่พูดแสดงความยินดีกับเขาเหมือนอย่างวันนี้

ลูคัสดันร่างผมให้ทรุดตัวลงไปนั่งบนชักโครกที่ถูกปิดฝาอย่างดี จากนั้นก็ชันเข่าขึ้นมาข้างหนึ่งแล้วก้มหน้าลงมาจูบอีกระลอกอย่างโหยหา แค่สัมผัสที่ติดจะรุนแรงนิดๆ ของอีกฝ่ายผมก็รู้แล้วว่าลูคัสเองก็ต้องการผมมากแค่ไหน เหมือนอย่างที่ผมต้องการเขาเหมือนกัน

ให้ตายเถอะ… ผมมีเซ็กส์กับหมอนี่ที่นี่ตอนนี้เลยได้ไหมเนี่ย เขาจะประกาศผลการแข่งนั่นเมื่อไหร่นะ หมอนี่จะออกไปทันรึเปล่า

แต่… ไม่ไหวแล้ว… แค่นิดเดียว แค่นิดเดียวก็ได้

“อึก!!” ลูคัสสะดุ้งเฮือกเมื่อผมกวาดมือลงไปใต้สาบเสื้อของเจ้าตัว เลื่อนไปลูบไล้ตรงบริเวณแผ่นอกจากนั้นก็ออกแรงบีบคลึงตรงบริเวณนั้นอย่างซุกซน เจ้าตัวปล่อยให้เสียงหวานลอดผ่านลำคอออกมาอย่างยั่วยวน จากนั้นนิ้วเรียวก็จิกลงบนบ่าของผมอย่างหาที่ระบายอารมณ์

“โอ๊ย…” ผมคลุดครางออกมาเบาๆ เพราะบริเวณนั้นเพิ่งจะโดนกระสุนฝังในมาหมาดๆ นี่เอง หากแม้เสียงนั้นจะเบาแค่ไหนลูคัสก็ยังได้ยินอยู่ดี เจ้าตัวชะงักไปทันทีก่อนจะมองหน้าผมอย่างตกใจ

“อะไร โลแกน นายเป็นอะไร”

“เปล่า ไม่มีอะไร” ผมพูดตอบอย่างรวดเร็ว และเจ็บใจตัวเองที่พูดเร็วเกินไปนิดจนดูมีพิรุธ “แค่… ตรงนั้นเป็นแผลนิดหน่อย… เดี๋ยว! ลู!”

หากพี่ชายฝาแฝดตัวดีของผมไม่ฟัง เจ้าตัวเลื่อนมือมาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของผมแล้วกระชากเปิดออก ก่อนนัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยจะเบิกกว้างขึ้นเมื่อเห็นผ้าพันแผลที่อยู่ข้างในเสื้ออีกที จากนั้นใบหน้าสวยนั่นก็ซีดเผือดลง

“เฮ้ ลูคัส” ผมส่งยิ้มแหยๆ ให้อีกฝ่ายที่ค่อยๆ ทรุดตัวลงมานั่งบนขาของผมอย่างอ่อนแรง เห็นหน้าซีดเผือดของหมอนี่แล้วรู้สึกปวดหนึบขึ้นมาในใจยังไงบอกไม่ถูก “มันไม่ใช่แผลร้ายแรงอะไรเลย ไม่ต้องตกใจขนาดนั้นก็ได้”

“เลือด…”

“อ้อ นี่น่ะเหรอ” ผมหันไปมองที่ผ้าพันแผลของตัวเองนิดหนึ่ง “อือ ตอนเขาพันมันไม่ค่อยแห้งดีเท่าไรน่ะ แต่ตอนนี้หยุดไหลแล้ว”

“ไปโรงพยาบาลกัน” เจ้าตัวว่า ทำท่าจะลุกขึ้นจากตรงนี้ แต่ผมเลื่อมือไปคว้าต้นแขนของลูคัสได้เร็วกว่าและดึงเจ้าตัวกลับมาให้นั่งอยู่ที่เดิม “นายควรจะให้หมอทำแผลให้ใหม่นะ!”

“ไม่เป็นไรหรอกน่า เชื่อฉันสิ” ผมพูดพร้อมกับดึงตัวอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ตัวเองมากขึ้น “นี่มันร่างกายของฉัน ฉันย่อมรู้ดีอยู่แล้ว”

“นายโดนอะไรมา”

มาแล้วไง…. คำถามนี้

“ตอบฉันมาตรงๆ โลแกน” เจ้าตัวว่า สบตาผมอย่างคาดคั้น คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่นนิดๆ “นายโดนอะไรมา”

ผมก้มหน้าลงไปจูบปากหมอนี่นิดหนึ่ง หากเจ้าตัวผลักออก

“ตอบฉันมา!”

“ฉัน…” ผมอึกอัก ไม่อยากบอกความจริงให้หมอนี่รู้เลย แต่ไอ้ที่จะโกหกนี่ก็ไม่ใช่นิสัยของผมเหมือนกัน อีกอย่าง… แผลมันก็ค่อนข้างใหญ่โต คงจะกลบเกลื่อนอะไรไม่ได้เท่าไร “ฉันโดนยิงน่ะ”

ลูคัสอุทานออกมาเหมือนไม่อยากจะเชื่อด้วยสีหน้าที่ซีดเผือดลงเรื่อยๆ… ถ้าผมดูไม่ผิด เหมือนเจ้าตัวจะมีน้ำตาคลอหน่วยขึ้นมาด้วย ให้ตายสิ… ผมไม่ชอบตอนหมอนี่ร้องไห้เลย

“ไม่เอาน่า ลูคัส หมอเขาทำแผลให้ฉันแล้ว ไม่เจ็บแล้ว”

“นายมัน… บ้า โลแกน ทำอะไรบ้าๆ โดนยิงมาแล้วยังจะมีหน้ามาหากันอีก” ลูคัสว่าเสียงสั่น เจ้าตัวไม่ได้ร้องไห้ออกมาจริงๆ แต่เห็นได้ชัดว่าคงกำลังอดทนอยู่ ผมดึงร่างของคนตรงหน้าเข้ามากอดแนบอก ผมเองก็ไม่อยากเห็นน้ำตาของอีกฝ่ายเหมือนกัน

“ก็ฉันสัญญาแล้วนี่นาว่าจะมาหา”

“นาย… เลิกทำแบบนี้ได้ไหม โลแกน” น้ำเสียงของคนในอ้อมแขนผมอ้อวอน และนั่นทำให้ผมต้องกระชับอ้อมกอดนั้นให้แน่นขึ้น ได้ยินเสียงหัวใจเต้นดังตุบๆ มาจากคนตรงหน้าเลย มันทำให้ผมรู้สึกทรมานขึ้นมาอย่างไรพิกล “นายเลิกทำงานเสี่ยงอันตรายแบบนี้ทีเถอะ นายทำแบบนี้ไปทำไมล่ะ เงินเหรอ? นายอยากได้เงินจากงานนี้เหรอ เงินที่นายได้มาทั้งหมด ที่นายส่งมาให้ฉันเราก็มีมากพอแล้ว ไม่จำเป็นที่นายจะต้องทำแบบนี้ต่อไปอีก”

“มันไม่ใช่เรื่องเงิน” ผมพูดตอบเสียงเรียบ เลื่อนมือไปลูบเส้นผมของลูคัสแผ่วเบา “แต่ฉัน…”

“ได้โปรดเถอะ โลแกน” เจ้าตัวว่า เขากอดผมแน่นขึ้นเช่นกัน แต่หลีกเลี่ยงบริเวณที่เป็นแผลของผมอย่างระมัดระวังราวกับกลัวว่ามันจะสะเทือนแล้วทำให้ผมเจ็บอีก “เถอะนะ… ถือว่าฉันขอร้อง เป็นฉันก็ไม่ได้เหรอ นี่ฉันนะ”

“ฉัน… ฉันเสียใจ ลู” ผมกลั้นใจพูดออกมาจนได้ รู้สึกทรมานกับสายตาที่ลูคัสมองมาทางผมอย่างตัดพ้อ “แต่ฉัน… เลิกทำงานนี้ไม่ได้”

ลูคัสเม้มริมฝีปากแน่นขึ้น พี่ชายฝาแฝดของผมไม่ได้ร้องไห้ แต่ผมก็ยังเลื่อนมือไปเกลี่ยที่หางตาของหมอนี่อยู่ดี

“ไม่เอาน่า อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ เดี๋ยวตอนขึ้นไปรับรางวัลรูปออกมาไม่สวยนะ”

“ไม่มีการประกาศรางวัลวันนี้เฟ้ย เจ้าโง่” เจ้าตัวว่า เบือนหน้าหันไปทางอื่น บ่าทั้งสองข้างสั่นขึ้นมาเล็กน้อย คงกำลังฝืนไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมาแน่ๆ “รอบนี้มันแค่รอบคัดเลือก แล้วเดี๋ยวพอเขาประกาศรายชื่อแล้วก็แยกย้ายกันกลับได้ ไม่ได้มีถ่ายรูปอะไร”

“โอเค” ผมพูด ดึงเจ้าตัวเข้ามาจูบริมฝีปากเบาๆ อีกครั้งหนึ่งอย่างปลอบโยน และพอทำท่าจะผละออก ลูคัสก็เลื่อนมือมาวางบนหลังศีรษะของผม แล้วเลื่อนหน้าลงมาจูบอีกครั้งอย่างโหยหา ราวกับกลัวว่าผมจะหายจากหมอนี่ไป

ผมคงพูดไม่ได้ว่าไม่เข้าใจความรู้สึกของหมอนี่…

“วันนี้จะกลับมานอนบ้านไหม?”

“อยากให้กลับไปรึเปล่าล่ะครับ?” ผมถามยิ้มๆ และยิ่งยิ้มกว้างขึ้นไปอีกเมื่อลูคัสพยักหน้ารับเบาๆ อย่างเสียไม่ได้ “อืม… วันนี้ผมได้ลาหยุดหนึ่งวันเพราะแผลนี่”

ผมโกหก… ถ้าเกิดมีภารกิจอะไรเข้ามาจริงๆ ต่อให้จะโดนยิงจนพรุนขนาดไหน แต่ถ้ายังเคลื่อนไหวร่างกายอยู่ได้ล่ะก็ ยังไงผมก็ไม่มีทางได้หยุดอยู่แล้ว

“เพราะงั้น… วันนี้จะกลับไปนอนกับนายนะ ตกลงไหม”

“อืม” ลูคัสว่า ทาบริมฝีปากลงมาอีกครั้งหนึ่งอย่างอ้อยอิ่ง ก่อนจะพูดเหมือนเตือน “แต่กลับไปฉันจะไม่ยอมให้นายทำอะไรหนักๆ แน่ เข้าใจไหม เดี๋ยวแผลเปิดอีกจะยิ่งวุ่นวายไปกันใหญ่”

“งั้นนายก็อยู่ด้านบนสิ คืนนี้?” ผมแกล้งพูด และได้เห็นสีหน้าที่ร้อนขึ้นของคนตรงหน้า

“ไม่ได้! คืนนี้งด!”





--------------------------------------------
Talk: โอ๋ๆ นะคะ ลูคัส ไม่ร้องน้าาาา น้องชายถึกจะตาย แค่นี้ไม่เป็นไรหรอก ถถถถถถ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด