My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด[จบแล้ว][Updateเรื่องรวมเล่ม]P.7
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด[จบแล้ว][Updateเรื่องรวมเล่ม]P.7  (อ่าน 70028 ครั้ง)

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
โอ้......ทั้ง วาบหวาม ทั้งค้างงงงงง   :o8: :z3:
“งั้นนายก็อยู่ด้านบนสิ คืนนี้?”   :ling1: :ling1: :ling1:
แต่คำตอบนี่สิ
“ไม่ได้! คืนนี้งด!”  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 44

(Mode: Logan Collins)




ผมเดินออกมาจากห้องน้ำในห้องพักของตัวเองในชุดเสื้อยืดสีขาวแขนสั้นและกางเกงวอร์มสีกรมท่า ผิวปากฮัมเพลงเบาๆ อย่างอารมณ์ดี ผมเดินไปหยิบไดร์เป่าผมในห้องพักของตัวเองที่มีเฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้น มีเพียงเตียงหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ที่มุมห้อง มีครัวเล็กๆ ถูกกั้นเอาไว้อีกด้าน นอกจากนี้ก็มีตู้เสื้อผ้า ตู้เก็บของ ตู้ใส่หนังสือ ถ้าเทียบกับที่บ้านของผมและลูคัสแล้ว ของที่นี่ถือว่าน้อยมากๆ แค่ให้ผมมีชีวิตไปวันๆ ได้ก็เท่านั้น

ผมทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ เปิดสวิทช์ไดร์เป่าผม เป็นจังหวะเดียวกับที่กระจกเงาบานเล็กที่ตั้งอยู่บนโต๊ะส่องแสงวิบวับออกมา ใครบางคนพยายามจะติดต่อกับผมจากโลกนู้น… ซึ่งในเวลาแบบนี้ก็คงหนีไม่พ้นพี่สาวตัวแสบขี้เหงาของผมหรอก ในพวกเราทุกคนแล้ว เมแกนเป็นคนที่ติดต่อหาใครต่อใครมากที่สุด ซึ่ง… ก็คงเป็นเรื่องปกติของผู้หญิงล่ะมั้งที่ต้องหาคนคุยเจ๊าะแจ๊ะตลอดเวลา

ผมขยับกระจกเข้ามา เปิดฝาพลาสติกแล้วพับครึ่ง ตั้งมันไว้ในมุมที่มองเห็นอีกฝ่ายถนัด

“กระจกเอ๋ย กระจกเอ๋ย… กระจกวิเศษ” ผมแกล้งพูดขณะที่ขยับมือยีหัวของตัวเองไปพร้อมๆ กับเป่าลมร้อยใส่พวกมัน “บอกข้าเถิด ใครงามเลิศที่สุดในปฐพี”

“หืม… ถามอะไรโง่ๆ แบบนั้นล่ะ เจ้าหนู” หญิงสาวผมแดงหยิกเป็นลอนๆ คลอเคลียรอบวงหน้ายิ้มหวานส่งกลับมาให้ผม ยกมือวางบนอกราวกับภาคภูมิใจเสียเต็มประดา “ก็ต้องเป็นฉันคนนี้ไม่มีผิดอยู่แล้ว หวัดดี โลแกน ช่วงนี้หายไปนานเลยนะนาย นึกว่าตายไปแล้วซะอีก”

“ขอบคุณสำหรับคำอวยพรครับ” ผมโค้งหัวให้อีกฝ่าย แล้วลงมือเป่าผมต่อ ถึงมันจะแห้งไปครึ่งแถบแล้วก็เถอะ “อยู่นู่น… เนทกับพ่อเป็นไงบ้างล่ะครับ สบายดีกันรึเปล่า”

“ท่านพ่อก็สบายดีเหมือนเดิม” หญิงสาวตอบรับอย่างกระตือรือร้น “แต่เนท… ไม่รู้สิ ทำไมนายไม่ไปคุยกับเขาเองล่ะ นายได้เจอกับหมอนั่นบ่อยกว่าฉันอีก”

ผมยักไหล่ให้คนด้านในทีหนึ่ง ฉากหลังของเมแกนก็ยังเป็นในนรกสักขุมอยู่ดี ดูเหมือนยัยนี่จะชอบใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นมากกว่ามาเที่ยวเล่นบนโลกมนุษย์จริงๆ

“ผมไม่ค่อยได้คุยกับเขาหรอก นอกจากเรื่องงาน ก็รู้อยู่ว่านิสัยเราสองคนไปกันไม่ค่อยได้”

“เออ ไอ้แว่นนั่นมันน่าเบื่อ งี้แหละ อย่าไปสนใจเลย” เมแกนว่าพร้อมกับทำมือปัดๆ ในอากาศ ก่อนเจ้าหล่อนจะยกยิ้มแล้วถามต่อขึ้นมาอย่างสนอกสนใจ “นี่ๆ โลแกน นายเองก็ใกล้จะทำงานที่ท่านพ่อสั่งเสร็จแล้วใช่ไหม แล้วนายก็จะได้กลับมาอยู่ที่นี่กับพวกเราแล้วใช่ไหม แหมๆๆ ฉันนั่งนับวันรอที่จะได้อยู่กับนายอย่างใจจดใจจ่อเลยนะ”

“อย่าพูดอะไรบ้าๆ ชวนเข้าใจผิดหน่อยได้ไหม เมแกน” ผมแกล้งโวยวายอย่างไม่จริงจัง “ใครจะไปอยู่กับพี่กัน น่าขนลุกเป็นบ้า”

“เออ ว่าแต่… ถ้านายทำงานเสร็จแล้ว แล้วแฝดนายจะเอาไง” เจ้าหล่อนถามขึ้นเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ แต่ผมว่านั่นเป็นหัวข้อสนทนาหลักที่เมแกนหยิบยกขึ้นมาในบทสนทนาครั้งนี้มากกว่า

“พี่หมายความว่ายังไง” ผมรู้ดีแหละว่าที่เจ้าหล่อนถามหมายความว่ายังไง แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

“เอ๊า ก็…” นัยน์ตาสีแดงคู่สวยของหล่อนหรี่เล็กลงนิดหนึ่งอย่างล้อเลียน “นายน่ะ อินเลิฟกับพ่อหนุ่มคนนั้นไม่ใช่เหรอจ๊ะ น้องชาย ฉันก็เลยสงสัยว่า… อ้าว ท่านพ่อมาพอดีเลย… ท่านพ่อค่ะ หนูกำลังคุยกับโลแกนอยู่ค่ะ”

“เอ๊า!” ผมโวยวายนิดหนึ่ง “จะไปเรียกท่านพ่อมาทำไม๊”

 “อะไร โลแกน” ชายหนุ่มทรงอำนาจเดินตรงมาบริเวณหน้ากระจกของทางฝั่งนู้น คล้องแขนมากับเมแกนที่มีสีหน้ายิ้มระรื่นไม่ต่างจากเดิม “เดี๋ยวนี้ไม่อยากจะพูดจะจากันแล้วเหรอ หรือว่าอยู่นู่นเอาแต่เล่น ไม่ยอมตั้งใจทำงาน?”

“โธ่ ท่านพ่อ” ผมกลอกตานิดหนึ่ง วางไดร์เป่าผมลงบนโต๊ะ “ผมก็กำลังพยายามอยู่”

“คุยกับฉันเนี่ย กรุณาให้เกียรติกันด้วย”

ผมลุกขึ้นออกจากเก้าอี้ พยายามความรู้สึกอยากจะกัดฟันหรือกลอกตาขึ้นมองเพดานอีกซักสามรอบลงไป เอาล่ะ โลแกน ใจเย็น ถึงยังไงนั่นก็พ่อนาย… นายต้องสำรวม…

“เออ ใช่ โลแกน นายยังพูดไม่จบเลย” พี่สาวตัวแสบของผมพูดขึ้นมาต่อด้วยท่าทีร่าเริงเกินเหตุ นี่ยัยนี่วางแผนไว้แบบนี่แต่แรกรึเปล่าเนี่ย? “เรื่องแฝดนายไง โลแกน ท่านพ่อคะ ท่านพ่อรู้ใช่ไหมว่าโลแกนกำลัง มี ความ รัก กับพี่ชายฝาแฝดของตัวเองไงคะ!”

ผมยกมือขึ้นตบหน้าผากอย่างไม่อยากจะเชื่อหู พี่สาวตัวดีของผมทำเรื่องให้แล้วไหมล่ะ!

“หืม?” หากแทนที่จะโกรธหรือเอะอะโวยวาย ท่านลูซิเอร์ผู้ยิ่งใหญ่กลับทำเพียงเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งอย่างแปลกใจ “กับลูคัสน่ะเหรอ นี่พวกแกสองคนได้กันแล้วเหรอ?”

บางทีก็สงสัยนะว่าครอบครัวตัวเองนี่สะกดคำว่ายางอายเป็นไหม

“เอ่อ ก็… ครับ” ผมอึกอัก ไม่รู้ว่าควรจะตั้งรับกับสถานการณ์นี้ยังไงดีเหมือนกัน

“อ้อ เหรอ” ท่านพ่อของผมพูดแล้วก็เงียบลงไปนิดหนึ่ง ทำเอาผมใจเต้นตุ่มๆ ต่อมๆ

“คือ… ผมจะไม่ทำให้งานเสียหรอก” พูดพลางยกมือกระแอมขึ้นนิดหนึ่งอย่างไว้ท่า “อีกไม่นานผมก็จะได้ชื่อของจูดี้ ฮิลล์มาเป็นเป้าหมายของตัวเองแล้ว และพอแผนการทุกอย่างเตรียมพร้อม ผมก็จะฆ่าหล่อนโดยไม่ต้องให้ท่านพ่อรอนาน”

“ฉันจะส่งเนทไปรับแกหลังจากที่งานเสร็จแล้วก็แล้วกัน”

ผมพยักหน้ารับอย่างเชื่องช้า การที่ผมจะได้กลับไปอยู่ในนรกกับพ่อและพวกพี่ๆ จำเป็นต้องมีการกำหนดเวลาและสถานที่ที่ชัดเจนเพื่อให้ท่านพ่อส่งคนมารับ ถ้าเกิดว่าไม่เป็นแบบนั้น แล้วผมตายไปโดยที่ไม่มีใครมารับดวงวิญญาณ… ผมก็ไม่ได้กลับไปอยู่กับพ่อหรือพวกพี่ๆ อย่างที่ตัวเองหวังไว้หรอก

“ท่านพ่อคะ ให้แฟนของโลแกนมาอยู่กับเราด้วยสิคะ” เมแกนว่าพร้อมกับเขย่าแขนท่านพ่อยิ้มๆ และพูดก็พูดเถอะนะ… ท่านพ่อของผมน่ะ ถึงจะอายุเป็นร้อยๆ พันๆ ปีแล้วก็ยังดูหนุ่ม… แล้วก็หล่อมากด้วย (หน้าตาดีทั้งตระกูลแหละครับ) และการที่เห็นเมแกนเขย่าแขนอ้อนท่านพ่อแบบนั้น มันเหมือนกับเด็กอ้อนอาเสี่ยไม่มีผิด นี่ยังไม่นับสูทที่ดูราคาแพงของท่านลูซิเฟอร์อีกนะ ให้ตาย… ดีนะที่เจ้าตัวยังมีเขางอกออกจากหัวให้ผมพอดูออกว่านั่นพ่อของตัวเองบ้าง

“หา??” ท่านพ่ออุทานออกมาอย่างงงๆ นิดหนึ่ง

“ก็ลูคัส… แฝดของโลแกนไงคะ” เมแกนว่าพร้อมกับหันมากลับมาส่งยิ้มหวานให้ผม “เนอะ โลแกน นายเองก็อยากให้ลูคัสอยู่กับตัวเองเหมือนกันไม่ใช่รึไง? อีกอย่าง…. ฉันเองก็อยากจะเจอแฝดนายด้วย ว่าไงๆ เนี่ย ขอท่านพ่อให้เอาเขามาอยู่ด้วยกันเลยสิ”

“นี่เธอคิดจะทำอะไรลูคัสรึเปล่าเนี่ย” ผมหรี่ตาลง มองหน้าพี่สาวของตัวเองซึ่งสะท้อนอยู่ในกระจกเงาอย่างไม่ไว้ใจ หากเจ้าหล่อนหัวเราะร่วน

“แหม คิดอะไรแบบนั้น ก็แค่นึกอยากเจอเฉยๆ ก็เท่านั้น ไม่งั้นนายจะเอาไง โลแกน? จะปล่อยเขาไว้บนโลกมนุษย์แบบนั้นเหรอ?”

“จริงๆ ที่พี่พูดมาก็ไม่เลวนะ” ผมยกมือขึ้นลูบคางอย่างครุ่นคิด ที่ผ่านมาก็คิดแค่ว่าต้องทำงานให้ท่านพ่อให้เสร็จเท่านั้น ไม่ได้คิดเรื่องหลังจากนั้นเลยแฮะ

ให้ลูคัสไปอยู่กับผมในนรกเหรอ….

คิดแบบนี้แล้วผมก็อดยิ้มไม่ได้ ถ้าหากว่าผมได้กลับไปบ้านเกิดของตัวเองที่อยากจะกลับนักหนา บวกกับทำงานให้ท่านพ่อเสร็จแล้ว ไม่ต้องคอยพะวงหรือห่วงอะไร แบบนั้นน่าจะสบายแล้วก็สนุกกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้เยอะเลย

“ก็ดีนะ เมแกน ท่านพ่อ วันที่เนทมารับผม ให้เขารับลูคัสไปด้วยได้ไหม ผมเอาเขาไปอยู่กับเราที่นู่นได้ไหมครับ?”

“หืม…” จ้าวแห่งปีศาจทั้งมวลลากเสียงยาวก่อนจะพูดตอบกลับมาเรียบๆ “ถ้าอยากจะทำแบบนั้นก็ตามใจ”

“จริงเหรอครับ/คะ?” ผมกับเมแกนพูดออกมาแทบจะพร้อมๆ กันเหมือนไม่อยากเชื่อ ถึงผมจะยังไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมพี่สาวตัวเองถึงอยากจะเจอลูคัสมากขนาดนั้นก็เถอะ แต่ก็เย้! ผมหันไปส่งยิ้มอย่างยินดีให้สาวเจ้านิดหนึ่งก่อนใจจะเริ่มลอยไปถึงพี่ชายฝาแฝดของตัวเอง

ผมนึกถึงวันก่อนที่ผมไปดูการแสดงเปียโนของหมอนั่นมา… การแข่งรอบคัดเลือกของเจ้าตัว ลูคัสเล่นเปียโนได้อย่างไม่มีที่ติจริงๆ และผลในวันนั้นก็ชัดเจนว่าหมอนั่นผ่านเข้ารอบไปยังรอบต่อไปด้วย เห็นเจ้าตัวบอกว่าหากไปยังรอบท้ายๆ เขาจะได้แข่งกับพวกนักเปียโนต่างชาติด้วย หรือพูดอีกอย่างก็คือระดับโลก ลูคัสเคยบอกกับผมด้วยซ้ำว่าสักวันเขาอยากมีการแสดงคอนเสิร์ตเดี่ยวของตัวเองอย่างที่ไมเคิล ฮาร์ริสมี

หลังจากจบการคัดเลือกในวันนั้น ผมจำได้ว่าแม้แต่ตอนที่ออกมาจากฮอล์แล้ว ทุกคนก็ยังพูดถึงการแสดงของพี่ชายฝาแฝดของผม หลายเสียงพูดไปด้วยซ้ำว่าเขาเป็นตัวเก็งในการแข่งครั้งนี้… แล้วอย่าว่าแต่เสียงจากผู้ชมเลย ขนาดในสื่อต่างๆ ที่อยู่ในแวดวงนี้ก็พูดถึงพี่ชายฝาแฝดของผมอย่างกว้างขวางในแง่ที่ดี บอกว่าเขาเป็นตัวเต็งแล้วก็อนาคตไกล อะไรทำนองนั้น

ผมไม่รู้หรอกนะว่าลูคัสคิดยังไงกับอะไรพวกนี้บ้าง แต่ที่ผมจำได้ก็คือ… หมอนั่นดูเปล่งประกายมากตอนที่อยู่เวที แม้แต่ตอนที่เล่นเสร็จ หันหน้ามาทาผู้ชมแล้วโค้งให้ ใบหน้าที่เปื้อนด้วยรอยยิ้มและหยาดเหงื่อนั่นดูมีความสุขมากแค่ไหน

ผมรู้ได้ทันทีที่เห็นภาพนั้น… ไม่สิ จริงๆ ผมอาจจะรู้มาตลอด รู้มาตลอดตั้งแต่ตอนที่เรายังเป็นเด็ก

เปียโนคือชีวิตของหมอนั่น… แล้วมันก็ทำให้ลูคัสมีความสุขจริงๆ อีกอย่าง… ผู้ชมที่ไปฟังต่างก็ชอบเสียงเพลงของหมอนั่นกันทั้งนั้น

คิดแบบนี้แล้วรอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าของผมก็เลือนหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ จากนั้นผมก็หลุดปากพูดสิ่งที่คิดว่าตัวเองจะไม่มีวันพูดออกมา

“คิดอีกที… ไม่เอาดีกว่า”

“หา??” เมแกนหันกลับมามองผมงงๆ กระพริบตาปริบๆ สองสามที “ไม่เอางั้นเหรอ? นายหมายความว่าไง โลแกน?”

“ผมไม่ให้ลูคัสไปกับผมด้วยดีกว่า”

“อ้าว...” เมแกนลากเสียงยาวอย่างผิดหวังเต็มที่ ในขณะที่ท่านพ่อของผมแค่ทำสีหน้าราบเรียบราวกับรู้ว่าผมกำลังคิดอะไร “ทำไมล่ะ โลแกน!? ไม่ใช่ว่านายรักลูคัสมากจนอยากให้เขามาอยู่ด้วยกันกับนายที่นี่เหรอ? นายไม่ได้รักเขาหรือไง?”

“ก็… รัก” ผมพูดอย่างสับสน อย่าว่าแต่เมแกนเลย แม้แต่ตัวผมในตอนนี้ก็ยังสับสน ผมยังไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าทำไมถึงคิดแบบนี้ ถ้าผมรักหมอนั่นมากจริงๆ ผมก็ต้องอยากให้ลูคัสไปอยู่ด้วยกันกับผมไม่ใช่เหรอ?

“ทำไม? หรือว่าหมอนั่นไม่ได้รักนายขนาดนั้น?”

“ไม่ใช่” ผมหน้าร้อนขึ้น ไม่รู้เหมือนกันว่าด้วยสาเหตุอะไร “หมอนั่นก็บอกว่ารักผม… รักมากด้วย แต่…”

“แกไม่คิดว่าเขาจะรักแกถึงขนาดมาอยู่ในที่แบบนี้สินะ” ท่านพ่อของผมยกยิ้มอย่างรู้ทัน และนั่นทำให้ผมนิ่งไปทันที ส่วนเมแกนเริ่มโวยวายเบาๆ

“ไม่เห็นต้องไปสนเลย โลแกน เราอยากได้เขา เราก็เอาตัวเขามาซะเลยสิ จะไปยากอะไร อีกอย่าง ฝีมือระดับนายแล้ว การจะลากคนที่เขาไม่เต็มใจมาอยู่ด้วยให้มาพร้อมกับนาย จะไปยากตรงไหน ถูกไหม?”

“ไม่” ผมหลุดปากพูดคำนั้นออกมาอีกแล้ว แม้ว่ามันกำลังบีบรัดหัวใจผมจนปวดหนึบไปพร้อมๆ กันก็ตาม “ผมไม่เอาลูคัสไปอยู่ด้วยหรอก ไม่เอาดีกว่า”

“ทำไมล่ะ โลแกน?”

“ให้หมอนี่อยู่บนโลกนี้ต่อไปก็ดีแล้ว” ผมพูดต่อ แม้ว่าการที่แค่นึกภาพตัวเองกลับไปอยู่ในที่แห่งนั้นโดยไม่มีพี่ชายฝาแฝดของตัวเองไปด้วย… มันจะเจ็บปวดทรมานแค่ไหนก็ตาม “เขามีความฝันของเขา เขามีสิ่งที่อยากจะทำ”

“อะไรกัน น่าเบื่อจัง…” หญิงสาวเบ้ปากนิดๆ ก่อนจะโดนสะบัดหน้าหลบฉากออกไปเหมือนคนที่ค้นพบว่าเรื่องสนุกได้จบลงแล้ว ท่านพ่อหันมามองผมนิดหนึ่งด้วยสายตารู้เท่าทัน

“อยากจะทำอะไรก็ทำไป โลแกน” เขาว่า “แต่หน้าที่ของแก… อย่าทำให้ฉันผิดหวัง”

“ครับ ท่านพ่อ” ผมตอบรับเสียงเรียบ และแม้ภาพทุกอย่างในกระจกเงาที่สะท้อนออกมาจะหายไปแล้ว ผมก็ยังพูดตอบรับในลำคอต่อไปเงียบๆ

“ผมทราบดีครับ”

ผมยังมีงานที่ต้องทำ 





------------------------------------------
Talk: อ้าววว งั้นสองคนนี้ก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันอะดิ?? O_O

ออฟไลน์ larynx

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 821
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
โลแกนแกอย่าคิดแทนคนอื่นจะได้ไหมเนี่ย อ่านตอนนี้แล้วหน้าตึงเลย
ปล.ทำไมถึงแยกฉากเอ็นซีไว้ที่อื่นด้วยเหรอคะ ลงในเว็บเลยไม่ได้เหรอ

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 45

(Mode: Lucas Collins)




ผมพรมนิ้วลงบนโน้ตเพลงช่วงสุดท้าย และเมื่อผละมือขึ้นมาจากคีย์เปียโน ผมรู้สึกได้เลยว่าตัวเองกำลังยิ้ม

“อะไรน่ะ ช่วงนี้ร่าเริงจังเลย ลูคัส” เอ็ดการ์ว่าพร้อมกับปรบมือแปะๆ ให้ผมนิดหนึ่ง ผมหันไปยิ้มหวานให้อีกฝ่ายเล็กน้อย ในขณะที่ไมเคิลซึ่งยังคงทำตัวนิ่งได้ทุกสถานการณ์พยักหน้าเล็กน้อยอย่างพอใจกับเสียงเพลงที่เพิ่งฟังไป “เจออะไรดีๆ มางั้นเหรอครับ? เล่าให้ฟังบ้างสิ”

“เอ่อ… ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ” ผมยิ้มหวานส่งให้คนถาม ในขณะที่ไมเคิลเดินมาแล้วเอาโน้ตเพลงในมือที่ม้วนเข้าหากันตีลงบนหัวผมเบาๆ ทีหนึ่ง

“ไอ้หมอนี่มันไม่มีอะไรมากหรอก ก็แค่ช่วงนี้น้องชายกลับมาบ้านบ่อยขึ้นเท่านั้นเอง”

“โธ่ มิกกี้ อย่าพูดสิ!” ผมหน้าร้อนขึ้นนิดหนึ่งด้วยความอาย ในขณะที่เอ็ดการ์ครางออกมาในลำคอนิดหนึ่งอย่างแปลกใจ

“น้องชายของลูคัสเนี่ย ไม่ได้อยู่บ้านเดียวกันหรอกเหรอ?”

“หมอนั่นอยู่หอในตัวเมืองน่ะ พอดีไปเรียนแถวนั้น” ผมตอบยิ้มๆ แยกตัวไปฟังคำแนะนำจากไมเคิลเล็กน้อยจากนั้นก็เตรียมเก็บของแยกย้ายกันกลับบ้าน

“การแข่งขันของจริงกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว” คนเป็นครูยกนิ้วขึ้นดุนแว่นทีหนึ่ง “ก็เป็นเรื่องดีนะที่พวกเธอสองคนผ่านรอบคัดเลือกที่ผ่านมาได้ จากนี้ไปก็เป็นของจริงแล้ว ฉันหวังว่าทั้งคู่จะฝึกซ้อมอย่างหนักแล้วก็เตรียมความพร้อมให้เต็มที่”

“ครับ” ผมกับเอ็ดการ์รับปาก

“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็แยกย้ายกลับได้ อย่าลืมซ้อมนะ”

ผมหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ กับคำพูดย้ำของครูผู้ฝึกของตัวเอง และเมื่อเดินพ้นออกมาจากตัวอาคาร เอ็ดการ์ก็หันมาถามผมทันที

“แล้วคุณจะเอายังไงครับ ลูคัส? วันนี้จไปกินข้าวกับผมไหม หรือว่าจะตรงกลับบ้านเลย?”

“อืม… วันนี้ฉันขอตัวดีกว่า” ผมพูดตอบอย่างอารมณ์ดี ชำเลืองมองเวลาที่อยู่บนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือนิดหนึ่ง เอ็ดการ์ยกยิ้มหวานที่ชวนให้คนเห็นรู้สึกสบายใจเหมือนเช่นเคย

“จะได้ไปเจอน้องชายเร็วๆ สินะครับ”

“เอ่อ” ผมอึกอักขึ้นมานิดหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจเฮือกอย่างยอมแพ้แล้วพูดว่า “โทษทีนะ มันน่าอายใช่ไหม ที่ทำตัวเหมือนติดน้องแบบนี้”

“ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่ครับ” เอ็ดการ์หัวเราะออกมาเบาๆ ยกมือมาตบบ่าผม “ผมเองก็มีน้องสาว… พอเข้าใจความรู้สึกเหมือนกัน”

“แล้วนายได้เจอน้องนายบ่อยไหมล่ะ เอ็ด” ผมถามกลับ นึกถึงตัวเองที่นานๆ จะได้เจอโลแกนสักที ถึงช่วงนี้หมอนั่นจะมาอยู่ที่บ้านถี่ขึ้นก็เถอะ แต่ก่อนหน้านี้นี่… เกือบแดดิ้นตายเพราะไม่ได้เจอกันเกือบครึ่งปี

“เจอทุกวันแหละครับ” เจ้าตัวหัวเราะร่วนทันที “ผมยังอยู่บ้านพ่อแม่อยู่ไง น้องสาวผมก็ด้วย จริงๆ มันก็เดินทางอะไรลำบากอยู่เหมือนกัน แต่น้องผมไม่อยากให้ผมไปอยู่หอ”

ฟังแล้วนี่ผมถึงน้ำตาซึมด้วยความซาบซึ้ง (ล้อเล่นนะ) ให้ตายสิ หมอนี่จะเป็นคนดีไปถึงไหน แค่น้องบอกว่าไม่อยากให้ไปอยู่ที่อื่นก็ไม่ไปจริงๆ…

“อ่า ให้ตาย นายนี่มันเป็นพี่ที่ดีจริงๆ” ผมพูดพร้อมกับโถมน้ำหนักลงไปกอดคนข้างตัว อีกฝ่ายหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ถ้าน้องชายฉันคิดได้แบบนายบ้างคงดี”

จากนั้นพวกเราทั้งสองคนก็แยกกัน ผมเดินไปถึงบริเวณหน้ารั้วมหาลัยแล้ว เป็นจังหวะเดียวกับที่โทรศัพท์ดังขึ้นมาพอดี โลแกนนั่นเองที่โทรมา

“ฮัลไหล ว่าไง ฉันกำลังจะกลับบ้านพอดีเลย” ผมกรอกเสียงลงไป

“เฮ้” อีกฝ่ายว่า “มัวแต่ทำอะไรอยู่ ถึงได้ช้านัก”

“หืม?” ผมว่าอย่างแปลกใจ หากเมื่อก้าวขาออกมาภายนอกตรงถนนใหญ่ก็รู้ว่าเจ้าตัวพูดถึงอะไร รถของโลแกนจอดอยู่ตรงข้างทาง และเจ้าตัวกำลังรอให้ผมเข้าไปนั่งที่นั่งข้างคนขับเพื่อกลับบ้านพร้อมกัน

“ไง พี่ชาย” เจ้าตัวเอ่ยทักทันทีที่ผมหย่อนก้นลงไปนั่ง “วันนี้เรียนเป็นไงบ้าง”

“ก็สนุกดี” ผมว่า พิงหลังลงบนเบาะหนังเทียมด้านหลัง ยืดเส้นยืดสายที่แขนและขานิดหนึ่ง “ใกล้จะถึงงานแข่งของจริงแล้ว… ตื่นเต้นเป็นบ้า”

“นายทำได้อยู่แล้ว” โลแกนว่า สายตามองตรงไปข้างหน้านิ่ง

ผมรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงเล้กน้อยของเจ้าตัว ดูเหมือนช่วงนี้หมอนี่จะดูเหม่อบ่อยขึ้นยังไงก็ไม่รู้ แถมบางทีก็เหมือนนั่งคิดอะไรเงียบๆ คนเดียว แต่พอผมเข้าไปหาก็เอาแต่ขลุกอยู่กับผมไม่ยอมปล่อย ขนาดผมขอตัวไปซ้อมเปียโนต่อ มันยังยึดตัวผมไม่ปล่อยเลย

สงสัย… คงจะเครียดเรื่องงานมั้ง ในทางกลับกัน ทำงานที่ต้องเสี่ยงอันตรายขนาดนั้น ถ้ามันไม่เครียดอะไรเลยนี่สิ น่าเป็นห่วงมากกว่า






“เฮ้ โลแกน” ผมเอ่ยเรียกอีกฝ่ายหลังจากที่เรารับประทานอาหารเย็นกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว

คนที่ผมเรียกยังคงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ นั่นทำให้ผมต้องเบ้ปากขึ้นนิดหนึ่ง ผมเดินไปเปิดตู้เย็นแล้วรินว้อดก้าใส่แก้วสองใบ จากนั้นก็เอามันกลับมาที่ห้องนั่งเล่นซึ่งโลแกนยังคงนั่งอยู่

ผมวางแก้วหนึ่งลงตรงหน้าเจ้าตัว โลแกนไหวตัวเล็กน้อยจากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมามองผมอย่างงงๆ

“อะไร ลู เดี๋ยวนี้นายดื่มแบบนี้เป็นปกติแล้วเหรอ?”

“ก็นิดๆ หน่อยๆ” ผมยิ้มหวานเอาใจ จากนั้นก็ยัดแก้วใส่มือเจ้าตัว “ดื่มกันเถอะนะ ถือว่าฉลองที่ฉันจะได้ไปแข่งรอบชิงพรุ่งนี้”

“ตามสัญญาใช่ไหม” น้องชายฝาแฝดของผมยกยิ้มกว้าง ขยับแก้วในมือไปมาแล้วสบตาผมนิ่ง “ที่หนึ่งน่ะ”

“ใช่” ผมยิ้มตอบ “แล้วนายก็ต้องมาดูฉันขึ้นแสดง”

“อ่า… ใช่” มีความลังเลเล็กน้อยอยู่ในคำพูดนั้น “ฉันต้องไปดูนายแสดงอยู่แล้ว”

“ทำไม โลแกน” ผมถามอย่างรู้ทัน “นายมีภารกิจพรุ่งนี้เหรอ?”

“อืม ก็… ประมาณนั้น”

“ไม่ต้องฝืนมาก็ได้นะ ถ้าลำบาก” ผมฝืนใจพูด ถึงแม้ว่าใจจริงจะอยากให้หมอนั่นยกเลิกงานทั้งหมดแล้วมาดูผมแสดงมากกว่าก็ตาม แต่ผมคงทำตัวเห็นแก่ตัวขนาดนั้นไม่ได้หรอกใช่ไหม?

“ไม่… ไม่ๆ ฉันจะไป” โลแกนรีบพูด จากนั้นก็ดึงตัวผมไปนั่งตักเจ้าตัวหน้าตาเฉย ผมรู้สึกได้เลยว่าหน้าของตัวเองร้อนวูบขึ้น “ฉันดูเวลางานแล้ว… มันจะเสร็จก่อนที่นายจะเริ่มแสดง เพราะงั้น… ฉันจะไปดู นายต้องได้ที่หนึ่งตามที่สัญญากับฉันไว้นะ”

“บอกกี่ครั้งแล้วว่ามันไม่ได้ง่ายแบบนั้น” ผมหัวเราะเบาๆ รู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อยที่โลแกนซุกหน้าลงถูไถกับซอกคอ “งั้น… ดื่มกันเถอะ รวดเดียวเลยนะ?”

“เดี๋ยวนี้นี่ซ่านะพี่ชาย” โลแกนว่าแต่ก็ยกยิ้มชอบใจ แก้วของเราสองคนชนกันดังกริ๊งเบาๆ ผมยกมันขึ้นซดรวดเดียว รู้สึกมึนวูบขึ้นมาทันที

“เฮ้ ไหวไหม หน้าแดงเชียว” คนที่ยังยึดผมไว้บนตักตัวเองยิ้มแหย่ จากนั้นก็กระชับเอวผมไว้ในอ้อมแขนแน่นขึ้น

“อือ… โลแกน” ผมครางออกมาเบาๆ เลื้อยมือไปปลดกระดุมเสื้อของเจ้าตัวออก ผ้าพันแผลสีขาวสะอาดยังโผล่ออกมาให้เห็น แต่อย่างน้อยก็ไม่มีร่องรอยของเลือดให้เห็นอีกแล้ว ผมขอโมเมไปว่าอาการของมันคงดีขึ้น

ผมไล้ปลายนิ้วลงบนผ้าพันแผลพวกนั้นอย่างอ้อยอิ่ง โลแกนเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น ผ่อนลมหายใจร้อนๆ ลงบนขมับของผมไปพร้อมๆ กัน ผมแทบไม่กล้าแตะผ้าพันแผลพวกนั้นตรงๆ ด้วยซ้ำ กลัวว่ามันจะไปกระเทือนแผลของเจ้าตัวแล้วมันจะทำให้โลแกนเจ็บ ผมไม่อยากให้น้องชายเจ็บเลย ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม

“ยังเจ็บแผลอยู่รึเปล่า” ผมถามเสียงเบา เจ้าตัวส่ายหน้าน้อยๆ

“ไม่เจ็บมานานแล้ว”

“ค่อยยังชั่วหน่อย” ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นก็ซุกหน้าลงบนแผ่นอกอีกฝั่งที่ไม่มีผ้าพัแผลนั่น โลแกนหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ เลื่อนมือมาลูบหัวผมอย่างปลอบโยน

“ค่อยยังชั่วอะไรเล่า ก็บอกแต่แรกแล้วว่าไม่เป็นไร”

“ภารกิจพรุ่งนี้นายจะไม่เป็นไรใช่ไหม” สิ่งที่คิดอยู่ในใจเริ่มหลดออกจากปากอย่างควบคุมไม่ได้ เวลาเหล้าเข้าปากทีไรชอบเป็นแบบนี้ทุกที

“ฉันไปดูนายเล่นบนเวทีแน่นา ฉันสัญญา”

“ฉันไม่ได้… หมายความแบบนั้น” ผมว่าอย่างอึดอัด ทำไมโลแกนถึงได้ไม่เข้าใจเลยนะว่าผมห่วงมันแค่ไหน เป็นแบบนี้ตลอดเลย “แต่ไม่อยากให้นาย… บาดเจ็บ”

“อืม ไม่เป็นไรหรอก” เจ้าตัวรับคำ จากนั้นก็ทอดสายตาเหม่อไปอีกทาง ผมขมวดคิ้วมุ่นขึ้น เบ้ริมฝีปากอย่างไม่พอใจ เอื้อมมือไปบังคับหน้าของโลแกนให้หันกลับมาแล้วขยับหน้าเข้าไปจูบปากของหมอนี่อย่างไม่สบอารมณ์นิดหนึ่ง

“ลู---”

“อยู่กับฉันก็สนใจฉันสิ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนเด็กๆ ที่ถูกขัดใจ โลแกนหัวเราะร่วนออกมาอีกรอบ ดึงผมไปกอดแนบอก พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ

“ไม่เคยไม่สนใจนายเลยสักครั้ง”

“แล้วนายกำลังคิดอะไรอยู่ล่ะ” ผมถามเหมือนเพ้อ แต่สติยังพอมีเหลืออยู่พอจะรับฟังคนตรงหน้าได้ อย่ามองผมแบบนั้นน่า… แค่แก้วเดียว ไม่ทำให้สติเตลิดหรอก “ไหน ลองบอกให้พี่ชายฟังซิ”

“ก็กำลังคิดว่า” เจ้าตัวพูด สีหน้าครุ่นคิดนิดหนึ่งขณะขยับตัวให้พิงหลังเข้ากับแผ่นอกของตัวเอง เกยคางลงบนบ่าของผมอ้อนๆ “จบภารกิจนี้แล้วจะเอายังไงต่อดีเท่านั้นเอง”

“นายจะยอมเลิกทำงานนี้แล้วเหรอ?” ผมเบิกตากว้างขึ้นนิดเหมือนไม่อยากเชื่อ ทุกครั้งที่โลแกนทำภารกิจหนึ่งจบก็มักจะมีภารกิจต่อมาตามมาทุกครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่หมอนี่เปิดปากพูดอะไรแบบนี้ออกมา

“ก็กำลังคิดๆ อยู่” เจ้าตัวว่าและผมรู้สึกเหมือนหัวใจพองฟูขึ้นด้วยความดีใจ บางที… หมอนี่อาจจะเก็บเอาเรื่องที่ผมขอไปคิดจริงๆ จังๆ แล้วยอมเลิกทำงานเสี่ยงๆ นี่สักทีก็ได้

“นี่ ลูคัส”

“หือ?” ผมรู้สึกเหมือนตาลอยๆ แต่ริมฝีปากโค้งยิ้มอย่างควบคุมไม่อยู่กับความคิดนั้น

“นายอยากไปทัวร์นรกกับฉันไหม?”

“ฮะ?” ผมอุทานเสียงดังจากนั้นก็ระเบิดหัวเราะออกมาอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่ “นี่นายเมาแล้วเหรอ โลแกน เพิ่งแก้วเดียวเองนะ ไอ้น้อง เดี๋ยวนี้คออ่อนแล้วเหรอ”

“ไม่ได้เมาสักหน่อย” โลแกนว่าพร้อมกับลงโทษผมด้วยการหอมแก้มฟอดแรงๆ ทีหนึ่ง ผมหัวเราะร่วนออกมาอีกรอบ เหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้

“ที่นั่นน่ะ ไม่ต้องรีบไปก็ได้มั้ง ไอ้น้อง เพราะยังไง เดี๋ยวนายก็ต้องได้ไปอยู่แล้ว” ผมพูดติดตลก แปลกใจเหมือนกันที่คนข้างตัวไม่ได้หัวเราะตอบ สงสัยยังเครียดเรื่องงานไม่หาย ภารกิจพรุ่งนี้คงตึงเครียดจริงๆ แฮะ

“ถ้าเกิดว่าฉันต้องไปจริงๆ” เจ้าตัวว่าขณะดึงนิ้วผมขึ้นมาจับเล่น “นายจะมากับฉันไหม”

“ที่นรกอ่ะนะ??” ผมถามก่อนจะหัวเราะออกมาอีกรอบ “จะบ้าเหรอ นี่นายหาสถานที่เดทดีกว่านี้ไม่ได้แล้วใช่ไหม? ไม่เอาด้วยหรอก อยากจะไปที่นั่นก็ไปคนเดียวเหอะ นรกน่ะ มันมีไว้สำหรับให้คนแย่ๆ ไปอยู่นะ รู้เปล่า? ไม่ใช่ที่ที่น่าไปนะเว้ย”

“งั้นตอนเราตาย เราก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้วสิ?” อีกฝ่ายถาม ผมจับน้ำเสียงของมันไม่ค่อยได้เพราะรู้สึกมึนๆ แต่เพราะคิดว่าหมอนี่คงกำลังพูดเล่นก็เลยไม่ได้คิดอะไรตอนตอบ

“ก็นะ… ถ้านายทำตัวไม่ดีก็ต้องไปอยู่ในนรกสิ ส่วนฉัน… คนดีอย่างฉันขอจรลีไปอยู่บนฟ้าดีกว่า ไม่ไปอยู่กับพวกเลวๆ ในนู้นหรอก”

“ว้า… งี้ฉันคงเหงาแย่เลย”

ผมหัวเราะออกมาเบาๆ เลื่อนใบหน้าไปจูบริมฝีปากอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน เอ… นี่ผมคิดไปเองหรือว่าวันนี้ไอ้โลแกนมันแปลกไปจริงๆ? เหมือนมันดูไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเองยังไงไม่รู้

“นี่ โลแกน” ผมช้อนสายตาขึ้นไปสบตาเจ้าตัวตรงๆ “นายอย่าพูดเหมือนตัวเองเป็นคนไม่ดีขนาดนั้นสิ นายเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่านายไม่ใช่คนเลวเสียหน่อย”

“แต่ฉันฆ่าคนมาเยอะแล้วนะ” เจ้าตัวว่า ดึงมือของผมไปวางบนแก้มตัวเองเหมือนต้องการกำลังใจ ผมจึงรีบพูดต่อไปว่า

“แต่นายฆ่าใครสักคนเพื่อช่วยชีวิตใครอีกหลายๆ คนไม่ใช่หรือไง… แบบนั้นน่ะ ฉันว่าพระเจ้าคงยอมยกโทษให้นายนะ ไม่สิ นายไม่ได้ทำอะไรผิดด้วยซ้ำกับเรื่องนั้น เพราะงั้นคงไม่ต้องตกนรกหรอก”

“นั่นคือสิ่งที่นายคิดจริงๆ เหรอ” โลแกนถามผมด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น แววตาของอีกฝ่ายที่มองตรงเข้ามาในตัวผมก็จริงจังเช่นกัน และสายตาแบบนั้น… มันทำให้ผมใจเต้นรัวขึ้นในอกยังไงไม่รู้ “ที่บอกว่าต่อให้ฉันฆ่าคนมาเป็นเบือ… นายก็ยังเห็นว่าฉันเป็นคนดีอยู่น่ะ”

“โลแกน...”

“นายนิยามคำว่าคนดีไว้ยังไงกันแน่ ลูคัส”

ผมคิดอะไรไม่ออก รู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จากนั้นโลแกนก็ประทับจูบลงมาอย่างร้อนแรงบนริมฝีปากของผม ราวกับว่าคำพูดใดๆ ระหว่างพวกเราก็ไม่จำเป็นอีกแล้ว ผมเคยบอกแล้วไง… ต่อให้โลแกนต้องฆ่าคนมามากมายขนาดไหน ผมก็ไม่สนหรอก ผมหวังว่าโลแกนจะรู้นะว่าผมคิดแบบนี้

แล้วก็… ไอ้ที่พูดเมื่อกี้นี้น่ะ ผมโกหก ที่หมอนี่ถามผมว่าจะไม่ยอมไปลงนรกกับเหรอนั่นน่ะ… 

โลแกนจะรู้ไหมนะ… ว่าต่อให้ผมต้องลงไปอยู่ในนรกขุมสุดท้าย แต่ถ้าได้อยู่กับเจ้าตัวแล้วล่ะก็ ผมก็พร้อมจะตามมันไปด้วยจนถึงที่สุดนั่นแหละ



----------------------------
Talk: บอกแล้วใช่ไหมว่าให้สื่อสารกันให้ดีๆ ถถถถถถถถ
ป.ล. เหตุผลที่ไม่ได้เอาตอนแทรกลงหน้าเว็บ เพราะตอนแรกไม่รู้ว่ามันลงได้ค่ะ.... O_O;;;
แบบ... เห็นในกฎแวบๆ ว่าห้ามลงฉากอย่างว่า และปกติก็ไม่ค่อยได้เล่นเล้าเลยไม่รู้ว่าเขาก็ลงกัน 5555555 //น้ำตาไหลแปป

ออฟไลน์ Roman chibi

  • Death is not the end. Death can never be the end. Death is the road. Life is the traveller. The soul is the guide.
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-3
สนุกมากค่ะ รอติดตามตอนต่อไปนะคะ :katai4:

ออฟไลน์ larynx

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 821
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
คุยเรื่องเดียวกันแต่ไปกันคนละความหมายเลย 555555555 ในคราวหน้าถ้ามีเอ็นซีอีกก็ลงในนี้เลยนะคะ เพื่อความสะดวกสบาย  :hao6:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-04-2017 08:53:03 โดย larynx »

ออฟไลน์ MissMay

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
รอค่ะ อ่านรวดเดียวเลย ชอบมากๆ
สุดท้ายโลแกนกับลูคัสก็สื่อสารไม่ตรงกัน งื้ออออ  :ling1:

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 46

(Mode: Lucas Collins)



ผมเดินทางมายังโรงแรมแห่งหนึ่งใจกลางเมืองซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณที่ใกล้เคียงกับสถานที่จัดแสดงในวันนี้ ไมเคิลนั่นแหละเป็นคนเสนอแนะให้มาเปิดห้องอยู่ในโรงเรียน เตรียมตัวก่อนจะถึงเวลา ดีกว่าไปแกร่วรออยู่ในร้านกาแฟหรือสถานที่อื่นๆ ที่ไม่มีความเป็นส่วนตัวเท่าไรนัก ส่วนเอ็ดการ์มีครูฝึกคนเก่าแก่ที่เขาสนิทสนมคอยดูแลอยู่แล้ว วันนี้ไมเคิลจึงมีผมอยู่ในการดูแลเพียงคนเดียว และตอนนี้เราทั้งคู่ก็อยู่ในห้องพักของโรงแรมซึ่งมีเตียงคู่หลังใหญ่อยู่กลางห้อง

ไมเคิลเดินไปวางกระเป๋าลงบนเก้าอี้ หยิบเอกสารกำหนดการในวันนี้ขึ้นมาทบทวน ส่วนผมตรงดิ่งไปที่เตียงแล้วทิ้งน้ำหนักตัวลงนอนคว่ำทันที อ่า… นุ่มดีจริงๆ

“นี่ คุณ เราไม่ได้มาเที่ยวเล่นหรือมาพักผ่อนกันนะ” ครูผู้เข้มงวดของผมขมวดคิ้ว พูดเอ็ดนิดหนึ่ง “เล่นอะไรเป็นเด็กๆ ไปได้ เอ้า เอาเสื้อผ้าออกมาแขวนสิครับ เดี๋ยวมันก็ยับหมดหรอก แล้วพกหวีกับแว็กซ์ใส่ผมมาด้วยรึเปล่า เตรียมให้พร้อมนะคุณ”

“โธ่ มิกกี้ อย่าพูดเป็นตาแก่ขี้บ่นได้ไหม” ด้วยความที่เราทั้งคู่ไม่ได้อยู่ในคลาสเรียน บวกกับบรรยากาศดูดีของห้องทำให้ผมลดทอนความกลัวในตัวของครูผู้ฝึกตรงหน้าลงไปมาก ไมเคิลเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง จากนั้นก็ก้าวเท้าเข้ามาประชิดผมแล้วเอื้อมมือมาหยิกแก้มแรงๆ

“ไหน อะไร เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะ ผมไม่ค่อยได้ยิน”

“โอ๊ย… เจ็บๆๆ มิกกี้ ปล่อยน้า ผมแค่ล้อเล่นเอง” ผมพูดเสียงอู้อี้เพราะโดนดึงแก้มเอาไว้ และเมื่อเจ้าตัวยอมปล่อยมือ ผมก็รีบกุมแก้มของตัวเองแล้วครางเบาๆ ทันที จากนั้นก็ส่งสายตาตัดพ้อแบบเสแสร้งส่งไปให้ “มิกกี้… ไอ้ครูโหด! แค่นี้ก็ต้องประทุษร้ายกันด้วยนะ!”

“แค่หยิกแก้มแค่นี้ไม่เรียกว่าประทุษร้ายหรอกครับ” คนใส่แว่นพูดหน้าตาเฉย เลื่อนมือไปดันแว่นขึ้นบนใบหน้านิดหนึ่งอย่างไว้ท่า “แล้วนี่คุณจะเอายังไง ผมว่าจะไปทำธุระแถวนี้สักหน่อย… พอดีนัดคนไว้ก่อนจะถึงเวลาแสดง”

“งั้นมิกกี้ไปตามนัดเถอะ” ผมว่า เปิดกระเป๋าขึ้นมาหยิบขนมที่ติดมาเผื่อด้วย “ผมว่าจะนอนพักเอาแรงสักงีบ”

“คุณจะตื่นมาแสดงทันไหมเนี่ย” อีกฝ่ายหรี่ตาลงอย่างไม่ค่อยไว้ใจ ผมเลยต้องตีหน้าเหมือนไม่พอใจคนตรงหน้าอีกรอบ

“ผมจะตั้งนาฬิกาปลุกไว้ในโทรศัพท์น่า… หรือถ้าคุณกลัวนักก็มาตามผมก่อนถึงเวลาแสดงสักครึ่งชั่วโมงก็ได้ สถานที่จัดแสดงมันก็อยู่ใกล้แค่นี้”

“อย่าให้ฉันต้องลำบากขนาดนั้นเลย” เจ้าตัวตัดบท “เอาเป็นว่าเจอกันที่หลังเวทีเลยก็แล้วกัน อย่าให้ถึงขั้นต้องมาตามถึงนี่เลย ไม่ใช่เด็กๆ แล้วสักหน่อย”

“เข้าใจแล้วน่า” ผมพูดตัดบทและอีกฝ่ายค่อยๆ ผละออกจากห้องไป

พอได้อยู่ในห้องเงียบๆ คนเดียวความประหม่าและความกดดันก็ค่อยๆ เข้ามาครอบงำในจิตใจผม ผมสูดลมหายใจลึกๆ เข้าปอด ก่อนจะค่อยๆ ผ่อนออกเพื่อผ่อนคลายตัวเอง

ผมยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาบีบนิ้วนิดหนึ่ง จินตนาการถึงเพลงที่ซ้อมครั้งแล้วครั้งเล่าซ้ำไปซ้ำมาในหัว ผมยกมือขึ้นกลางอากาศตรงหน้า ทำท่าราวกับจะพรมมันลงบนคีย์เปียโนที่มองไม่เห็น เปิดเพลงที่อัดเอาไว้ในโทรศัพท์ จากนั้นก็ค่อยๆ ขยับนิ้วตามเสียงเพลงเหล่านั้น การจะทำแบบนี้ได้ ต้องแน่ใจว่าคุณไม่อยู่ในที่ที่ใครมองเห็น หรืออย่างน้อยต่อให้เห็น คนคนนั้นก็ควรจะเป็นนักเปียโนเหมือนกัน ไม่งั้นเขาอาจหาว่าคุณบ้าได้

ผมฟังเสียงเพลงนั้นซ้ำไปมาอยู่ครู่หนึ่ง และเมื่อความเงียบเข้าครอบงำอีกครั้ง ความกดดันก็ถาโถมลงมาราวกับเงาตามตัว การแข่งครั้งนี้ไม่ใช่ระดับเล็กๆ เหมือนอย่างที่ผ่านมา คู่แข่งของผมที่ดูผ่านตามาก็มีฝีมือทั้งนั้น… นี่ยังไม่นับเอ็ดการ์อีกนะ ยิ่งได้ฝึกซ้อมกับหมอนั่นแทบทุกวันยิ่งรู้ว่าเจ้าตัวมีฝีมือมากแค่ไหน ดีไม่ดี หมอนี่เนี่ยแหละ ตัวเก็งที่น่ากลัวอีกคน แต่ถ้าให้คิดในแง่ที่ว่ามันเป็นการแข่งขัน… ก็น่าสนุกดี ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าตัวเองจะไปได้ไกลถึงขั้นไหน

แต่ตอนนี้… ต้องมาอุดอู้อยู่ในห้องแบบนี้เงียบๆ คนเดียวก็ทำเอาฟุ้งซ่านเหมือนกันแฮะ ออกไปเดินเล่นสูดอากาศสักหน่อยดีกว่า ยังไงก็ยังเหลืออีกตั้งหลายชั่วโมงก่อนถึงเวลาแสดง

ผมเดินออกมาจากล็อบบี้โรงแรม ล้วงมือลงในกระเป๋ากางเกงยีนส์ตัวเก่ง ตอนนี้ผมอยู่ในชุดลำลองที่เคลื่อนไหวสะดวก เสื้อยืดแขนยาวสีพื้นที่มีคำอะไรบางอย่างติดอยู่ตรงแถบหน้าอก ไอ้เรื่องจะให้ผมแต่งตัวเนี้ยบตลอดเวลาแบบไมเคิลน่ะ ทำไม่ได้หรอก แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นขนาดนั้นด้วย แค่ตอนขึ้นแสดงใส่เสื้อผ้าดีๆ ก็พอแล้วไม่ใช่หรือไง ส่วนชีวิตประจำวันผมจะแต่งอะไรมันก็เรื่องของผม พวกคณะกรรมการคงไม่เอาตรงนี้ไปคิดคะแนนหรอกน่า

ตรงหน้าของผมตอนนี้คือสวนที่อยู่บริเวณด้านหลังของโรงแรม ไม่น่าเชื่อเลยว่าในเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คน และรถมากมายมหาศาลบนท้องถนนจะมีสวนที่ดูร่มรื่นและเงียบสงบอยู่ด้วย โรงแรมนี้จัดแต่งซะดูดีเชียว ไม่เลวๆ ค่อยคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปหน่อย

ผมเดินลากขาไปที่บริเวณน้ำพุตรงกลางสวนอย่างสนใจ มันถูกทำมาจากหินอ่อนสีขาวสะอาดและถูกสลักลวดลายอย่างประณีตงดงาม บางทีการเสพอะไรสวยๆ งามๆ ก็เป็นการหาแรงบันดาลใจที่สำคัญของนักดนตรีอย่างหนึ่งเหมือนกันนะครับ

ผมไม่รู้ตัวเลยว่ามีใครบางคนก้าวเท้ามาทางด้านหลังของผมอย่างเงียบงัน จากหางตา ผมเห็นเงาของใครสักคนอยู่ที่ด้านหลัง จากนั้นแรงกระแทกหนักๆ ก็กระทบลงบนหลังคอผม แล้วภาพทุกอย่างตรงหน้าก็ค่อยๆ ดับวูบลงราวกับโทรทัศน์ที่ถูกกระชากปลั๊กไฟออกอย่างกะทันหัน

ชิบหายล่ะ… ผมคิดกับตัวเองก่อนที่สติทั้งหมดจะค่อยๆ หายไปจากตัว นี่จะได้ไปขึ้นเวทีแสดงไหมเนี่ย






….

ผมรู้สึกตัวอีกทีและค่อยๆ ลืมตาขึ้น

อื๊อ? ลืมตาไม่ขึ้น…? อ้อ ใช่แล้ว มีผ้าผืนหนาปิดตาผมอยู่นี่เอง…

ผมพยายามขยับตัว รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่หลังคอซึ่งยังปวดแปลบอยู่ สงสัยว่าตรงบริเวณที่โดนฟาดลงมาเลือดออกรึเปล่า แต่ขอเดาว่าคงออก… เพราะมันยังรู้สึกแสบๆ อยู่เลย ถึงแม้จะไม่รู้สึกถึงของเหลวอุ่นๆ ที่ว่านั่นเลยก็เถอะ แผลคงแห้งไปแล้ว แต่เรื่องนั้นจะเป็นยังไงก็ช่าง…

นี่… ผมอยู่ที่ไหนเนี่ย?

“เฮ้อ ให้ตายสิ… เป็นนายอีกแล้วเหรอเนี่ย อุตส่าห์คิดว่าไม่อยากจะต้องยุ่งกับพวกคอลลินส์อีกแล้วแท้ๆ เชียว”

อื๊อ? เสียงนี้มัน… คุ้นชะมัด

“เออ ใช่ แล้วก็แผลที่หลังคอนายน่ะ ฉันทำให้แล้วนะ ส่วนไอ้สร้อยคอไม้กางเขนนี่ของนาย… มันเกะกะตอนทำแผลน่ะ ก็เลยเอาออก คิดว่านายคงไม่ต้องการมันแล้ว ก็เลยโยนทิ้งไปแล้วล่ะ” เสียงกลั้วหัวเราะนั้นดังขึ้นอีกครั้ง ผมเริ่มขยับตัวขยุกขยิกแล้วก็ค้นพบว่าตัวเองถูกมัดมือทั้งสองข้างไพร่หลังติดกับเสาด้านหลัง นี่คนพวกนี้คิดว่าตัวเองเป็นอะไร ผู้ร้ายในหนังมาเฟียเรอะ? ทำไมไม่มีใครคิดจะจับตัวประกันไปไว้ที่ที่ดีกว่านี้บ้าง หรืออย่างน้อยก็สบายก้นกว่านี้ พื้นคอนกรีตนี่โคตรแข็งเลย

เออ แต่คิดอีกแง่หนึ่ง… ถ้าแม่งจับผมไปไว้บนเตียงนั่นก็น่ากลัวไปอีกแบบ

“เฮ้ เอาสร้อยนั่นมานะ” ผมพูดออกไปอย่างไม่ทันคิดอะไร แต่ตอนนี้ผมว่าผมรู้แล้วว่าเจ้าของเสียงนี้เป็นใคร “นายน่ะ… จาฟาร์ใช่ไหม”

“โอ้โหเฮะ ไอ้หนูนี่ความจำดีแฮะ” เสียงนั้นพูดขึ้นอย่างเริงร่า ผมรู้สึกได้ว่าชายคนนั้นกำลังย่ำฝีเท้าใกล้เข้ามาทางผม ถ้าฟังจากเสียงแล้วเดา ผมว่าห่างไปจากตรงนี้อีกหน่อย น่าจะมีคนอยู่อีกสัก 2-3 คนในอีกมุมหนึ่ง ก็คงเป็นพวกๆ มันนั่นแหละ

จาฟาร์เดินมากระชากผ้าที่ปิดตาของผมออก จากนั้นเจ้าตัวก็ส่งยิ้มแสยะให้อย่างน่าขนลุก หมอนี่ยังดูเหมือนเดิม ตั้งแต่คราวก่อนที่มันลากผมขึ้นรถไปเพราะเข้าใจผิดคิดว่าผมเป็นโลแกน ยกเว้นรอยแผลที่อยู่บนใบหน้า มันลากยาวตั้งแต่หางคิ้วพาดผ่านแก้มด้านซ้ายจนเกือบถึงมุมปาก ผมไม่รู้ตัวเลยว่าเผลออ้าปากค้างกับรอยแผลที่ดูลึกนั่น แม้ว่ามันจะแห้งไปนานมากแล้วก็ตามแต่ก็ยังดูน่าสยดสยองอยู่ดี เจ้าตัวหุบยิ้มของตัวเองลงก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกแทน

“ตกใจล่ะสิ… อยากรู้ไหมล่ะว่าใครเป็นคนฝากแผลนี่ไว้บนหน้าฉัน”

“ละ… โลแกนเหรอ?” ผมสะดุ้ง หลุดชื่อของน้องชายตัวแสบออกมาอย่างเผลอตัว

“เออสิ!” พูดพลางมือหนากระชากคอเสื้อผมขึ้นไปนิดหนึ่ง ผมลอบกลืนน้ำลายลงคอดังอึก ถึงลึกๆ จะสะใจไม่น้อยกับสิ่งที่โลแกนทำกับคนตรงหน้าก็เถอะ “ไอ้เด็กนรกเวรนั่น! ฉันเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดจากมัน…”

“เหรอ” ผมยกยิ้มอย่างสะใจ ลืมความกลัวทั้งหมดไปชั่วขณะ “น่าเสียดายนะที่มันไม่ฆ่านายน่ะ”

ผัวะ!

หมัดหนักๆ กระแทกลงบนหน้าผมอย่างจัง ผมหลับตาแน่น รู้สึกได้ถึงกลิ่นคาวเลือดในปาก จากนั้นเลือดอุ่นๆ ก็หยดลงมาจากมุมปากของผม

“ปากดีนักนะ ลูคัส คอลลินส์” อีกฝ่ายคลี่ยิ้มเย็นน่าขนลุก แล้วอยู่ๆ ผมก็คิดอะไรขึ้นมาได้

หมอนี่รู้ว่าเราคือลูคัส ไม่ใช่จับตัวผิดเพราะคิดว่าเราเป็นโลแกนแบบตอนนั้น

ความคิดนั้นทำให้ผมต้องลอบกลืนน้ำลายลงคออีกรอบ มันหนืดมาก และผมก็เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก… อีกแล้ว

ไม่สิ มันอาจจะแย่กว่าครั้งก่อนอีก

“สมแล้วจริงๆ ที่เป็นแฝดไอ้เวรนั่น”

“นายคิดจะทำอะไร” ผมพยายามควบคุมไม่ให้เสียงตัวเองสั่น สิ่งสุดท้ายที่คุณควรทำต่อหน้าศัตรูก็คือแสดงความอ่อนแอออกมาให้อีกฝ่ายเห็น “คิดจะใช้ฉันเป็นเหยื่อล่อโลแกนออกมาเหรอ? แผลที่หน้านั่นยังไม่พอใช่ไหม? อุบ!!”

ผมงอตัวลงไปทันทีที่อีกฝ่ายกระแทกฝ่าเท้าลงมาบนลำตัวผม มันกระเทือนไตอย่างแรงจนผมต้องไอแรงๆ ออกมา เลือดจำนวนหนึ่งกระเซ็นออกมาจากริมฝีปากผม คาวเป็นบ้าเลย

“เสียใจด้วยว่ะ ลูคัส คอลลินส์” ฝั่งนั้นแสยะยิ้มขึ้นมาช้าๆ “ครั้งนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับโลแกน… อีกอย่าง ฉันได้ยินมาว่าหมอนั่นช่วงนี้หายตัวเข้ากลีบเมฆไปแล้วไม่ใช่เหรอ ไม่ค่อยก่อเรื่อง ไม่ค่อยอาละวาดเหมือนเมื่อก่อน… ได้ยินมาว่าไม่ค่อยมีน้ำยาแบบแต่ก่อนแล้ว”

ผมหัวเราะหึๆ ออกมาจากลำคออย่างไม่เข็ดหลาบ

“ดูเหมือนว่าคนส่งข่าวของนายจะทำงานได้ไม่ค่อยดีเท่าไรนะ”

“หุบปากสักทีเถอะว่ะ” พูดพลางเจ้าตัวยกบุหรี่ขึ้นมามวนหนึ่ง จุดไฟแช็กแล้วสูบ พ่นลมสีขาวออกมาจากปาก “แต่แกน่าจะเสียใจมากๆ หน่อยนะ คอลลินส์คนพี่ เพราะอย่างน้อยถ้าแกเป็นตัวประกันหรือตัวล่อเพื่อให้โลแกนออกมา อย่างน้อยเราก็คงต้องห่วงเรื่องความปลอดภัยของแกบ้าง อาจจะไม่ทำอะไรรุนแรง”

ผมรู้สึกใจเต้นรัวขึ้นมาด้วยความกลัวและสับสน สมองวิ่งเร็วจี๋เพื่อประมวลผลในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด

ตอนแรกผมฟันธงไปแล้วว่าตัวเองซวยเพราะโลแกนและงานบ้าบอของมันอีกจนได้… แต่พอจาฟาร์พูดมาแบบนี้ ผมก็ชักไม่แน่ใจแล้ว ชีวิตผมก็ไม่ได้ทำอะไรให้ไปพัวพันกับพวกมาเฟียหรืออะไรอย่างนั้นสักหน่อย แล้วถ้าไม่ใช่เพราะโลแกน… ผมจะโดนจับมาเพราะอะไรล่ะ?

“ฉันไม่รู้จัก… พี่น้องรอยล์” ผมพูดอย่างสับสน แต่มั่นใจว่าตัวเองจำชื่อมาเฟียที่คุมอยู่แถบนี้ที่โลแกนเคยบอกอยู่ได้ไม่ผิด จาฟาร์ส่งเสียงหัวเราะน่าสะอิดสะเอียนออกมา จากนั้นก็สูดนิโคตินเข้าร่างกายอีกรอบแล้วผ่อนลมออก

“มันก็แน่อยู่แล้ว ลูคัส คอลลินส์ ถ้าไอ้นักเปียโนเห่ยๆ อย่างนายรู้จักกับรอยล์ขึ้นมา… ฉันว่าอันนั้นน่ะแปลกกว่าอีก”

“งั้นนายจับฉันมาทำไม” ผมถามอย่างสับสน สะดุ้งเฮือกเมื่ออีกฝ่ายขยี้ก้นบุหรี่ลงบนเสาด้านหลังผม มันเฉี่ยวหน้าผมไปเพียงไม่กี่เซนฯ ผมยังรู้สึกได้ถึงความร้อนของมวนบุหรี่นั่นอยู่เลย

“นายรู้จักเจสัน คอร์เนอร์ไหม คอลลินส์”

“เจสัน คอร์เนอร์…” ผมพึมพำตาม “พ่อของเอ็ดการ์ คอร์เนอร์…?”

“ใช่แล้ว” จาฟาร์แสยะยิ้ม เผยให้เห็นฟันทองที่อยู่ภายใน “น่าเสียดายนะ ที่เขาบังเอิญรู้จักกับรอยล์คนน้อง”

ผมหน้าซีดเผือดลงทันทีเมื่อสมองรับรู้ถึงสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะบอก

“ลูกชายของคอร์เนอร์น่ะ อยากชนะรางวัลนี้มากเลยนะ” เจ้าตัวว่าขณะดึงเก้าอี้ไม้เตี้ยๆ มาวางลงข้างๆ ตัวผม “แต่ว่า… ดูเหมือนว่านายจะขวางทางเขาว่ะ”

 จากนั้นเจ้าตัวก็เอื้อมมือไปแก้มัดมือผมออกมาข้างหนึ่ง แค่ข้างซ้ายข้างเดียว จากนั้นก็เอาไปวางลงบนเก้าอี้ไม้พื้นเรียบตัวนั้น หยิบมีดสั้นเล่มหนึ่งขึ้นมาถือในมืออีกข้าง ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรนอกจากหัวใจของตัวเองที่เต้นรัวขึ้นด้วยความกลัว รู้เลยว่าเจ้าตัวต้องการจะทำอะไรกับนิ้วของผม

ผมออกแรงดิ้นด้วยแรงทั้งหมดที่เหลืออยู่ แต่แน่นอนละว่ามันไม่ช่วยให้มือของผมหลุดรอดไปจากแรงตรึงของคนตรงหน้าได้ ผมรู้สึกได้ว่าหางตาของตัวเองร้อนขึ้น น้ำตารื้นขึ้นมาคลอหน่วย ผมยอมเสียขาข้างหนึ่งดีกว่าต้องเสียนิ้วเพียงนิ้วเดียว… มันเป็นยิ่งกว่าชีวิตของผม

“ยะ… อย่า…” ผมไม่สามารถควบคุมเสียงของตัวเองไม่ให้สั่นอีกต่อไปได้อีกแล้ว “ได้โปรด… ได้โปรดเถอะ นิ้วของผม…”

“โทษทีว่ะ” คนตรงหน้าผมยิ้มอย่างไม่ทุกข์ร้อนอะไร ราวกับเขาตัดนิ้วคนมาแล้วไม่รู้กี่ร้อยครั้ง “แต่งานก็คืองาน ขอแนะนำให้นายหลับตาซะไอ้หนู มันเจ็บแค่แป๊บเดียวเท่านั้นแหละ”

ใครก็ได้… ได้โปรดเถอะ ช่วยผมที… โลแกน ได้โปรด

“อย่า… อย่า… อย่า!!!!”

ฉึก!

ของเหลวสีแดงสาดไปทั่วทั้งเก้าอี้ไม้ตัวนั้น ส่วนหนึ่งของมันกระเซ็นมาเปื้อนเสื้อ

นิ้วก้อยข้างซ้ายของผมหลุดออกไปจากมือผมแล้ว



-----------------------------------
Talk: อุบบส์ เลือดสาด....

ออฟไลน์ larynx

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 821
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
wat!!!!!!  โหดร้ายยยยยยยยยย  นั่นมันทั้งชีวิตของเขาเลยนะเว้ยยยยยยย ไอ้เวรนี่มันจะต้องไม่ตายดี!!  ฆ่ามัน!!!!  :angry2: :angry2: :angry2: :angry2:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
นิ้วก้อยถูกตัด แล้วลูคัส จะเล่นเปียโนยังไง
อยากให้ลูุกชนะถึงกับตัดนิ้วคู่แข่งเลยหรอ ทำเกินไปปะ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 47

(Mode: Lucas Collins)




“อะ… อ่า…” ผมพูดเสียงสั่นขณะที่มองมือของตัวเองเหลือเพียงสี่นิ้วในตอนนี้ เลือดสีแดงฉานอาบไปทั่วทั้งบริเวณนั้น เก้าอี้ไม้ตัวสวยตอนนี้เต็มไปด้วยเลือด ชโลมอาบไปทั่วจนผมรู้สึกราวกับว่าตัวเองเข้ามาอยู่ในฉากหนังสยองขวัญสักเรื่อง เพียงแต่เรื่องนี้คงมีตัวแสดงหลักเป็นผมเอง “อ่า… อ่า!!!!”

ผมคิดอะไรไม่ออกอีกต่อไปแล้ว รู้สึกราวกับสมองทุกส่วนหยุดทำการลงชั่วคราว ทุกอย่างขาวโพลน มีเพียงความคิดเดียวที่ทะลุเข้าหัวมาในวินาทีนั้น

ฉันเล่นเปียโนไม่ได้อีกแล้ว ฉันเล่นเปียโนไม่ได้อีกแล้ว ฉันเล่นเปียโนไม่ได้อีกแล้ว...

เสียงกระสุนนัดหนึ่งดังมาให้ผมได้ยินดังเปรี้ยง! จากนั้นก็ตามด้วยเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดจากชายที่อยู่ตรงหน้าผม

เสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งใกล้เข้ามา จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงฝ่าเท้ากระทบลงบนผิวเนื้อของจาฟาร์อย่างแรง เลือดสีแดงสาดกระเซ็นออกมาจากปากแผลที่อยู่ตรงบริเวณหน้าท้องที่กระสุนฝังใน

โลแกนก้าวนั่นเองที่เป็นคนกระทืบเท้าลงบนปากแผลนั้นย้ำไปมา ขยี้ปลายเท้าของตัวเองตรงปากแผลนั้นซ้ำๆ มองคนที่นอนพังพาบอยู่ที่พื้นราวกับมองตะไคร่น้ำโสโครก

“ฉันจะยังไม่ฆ่าแกหรอก” ชายหนุ่มพูดด้วยสายตาวาววาบ ปรายตามองคนที่ดิ้นทุรุนทุรายอยู่บนพื้นก่อนจะผละมาที่ผมอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปจากเมื่อครู่ราวกับหลังเท้าเป็นหน้ามือ

“ลูคัส… ลูคัส”

ผมแทบไม่รับรู้ถึงการมาถึงของน้องชายฝาแฝดของตัวเองเลยด้วยซ้ำ ภาพทุกอย่างตรงหน้ามันพร่ามัวไปหมดเพราะน้ำตากลบ ทั่วทั้งร่างสั่นเทาด้วยความเจ็บปวด มือของผมยังคงวางอยู่ตรงนั้น บนเก้าอี้ไม้ที่เปรียบเสมือนแดนประหารของผม ไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้ราวกับถูกสาปให้อยู่ตรงนั้น

“ละ… โลแกน” ผมเพิ่งหาเสียงของตัวเองเจอ ไม่สามารถห้ามน้ำตาของตัวเองที่ไหลออกมาอาบแก้มได้ ผมช้อนสายตาขึ้นไปมองหน้าอีกฝ่ายอย่างสิ้นหวัง ทดท้อ ไม่เคยรู้สึกเจ็บปวดขนาดนี้มาก่อน ไม่ว่าจะทั้งทางกายและทางใจ บางทีความตายอาจจะไม่เจ็บปวดขนาดนี้ด้วยซ้ำ “โลแกน… โลแกน…”

“ไม่เป็นไร ลูคัส ไม่เป็นไร” เจ้าตัวพูดกลับมาด้วยสีหน้าเจ็บปวดอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน มันเหมือนกับจะแตกสลายไปพร้อมๆ กับตัวผมอย่างไรอย่างนั้น สีหน้าที่ผมมองเห็นผ่านม่านน้ำตาออกมา… ราวกับมองเห็นเงาสะท้อนของตัวเอง

มันเจ็บปวด ทรมาน อยากจะหนีไปจากตรงหนีให้พ้นๆ อยากให้ทุกอย่างเป็นเพียงเรื่องโกหก อยากจะสามารถย้อนเวลากลับไปได้ แค่คิดว่าผมจะเล่นเปียโนอีกต่อไปไม่ได้แล้ว หัวใจผมมันก็เจ็บแปลบไปหมด ไม่ดคยคิดเลยว่าในชีวิตจะต้องมารู้สึกเจ็บปวดอะไรถึงเพียงนี้

“ใจเย็นๆ ลูคัส ไม่เป็นไร ฉันอยู่นี่แล้ว”

“โล.. แกน…” ผมพูดอะไรไม่ออก ทำได้แต่เรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างสิ้นหวัง

โลแกนหยิบมีดสั้นขึ้นมาถือไว้ในมือจากนั้นก็เลื่อนมาตัดเชือกที่พันธนาการมืออีกข้างของผมกับเสาด้านหลังเอาไว้ ผมไม่มีแรงแม้แต่จะขยับตัวอะไรทั้งนั้น ปล่อยให้โลแกนดึงมือข้างที่ชุ่มไปด้วยเลือดของผมขึ้นไป รู้สึกได้เลยว่ามือของคนตรงหน้าสั่น และถ้าผมไม่ได้ตาฝาดไปเอง ผมรู้สึกว่าตัวเองเห็นโลแกนกำลังร้องไห้ น้ำตาหยดหนึ่งไหลออกจากตาของเขา

ไม่รู้ว่าทำไม แต่นั่นทำให้ผมร้องไห้หนักยิ่งขึ้น มันทำให้ผมรู้สึกเศร้ามากขึ้นไปอีก

“ฉัน… ฉันเล่นเปียโนอีกต่อไปไม่ได้แล้ว โลแกน” ผมพร่ำเพ้อคร่ำครวญ หยุดน้ำตาที่ไหลลงมาอย่างต่อเนื่องไม่ได้ “ฉันขึ้นแสดงบนเวทีไม่ได้อีกแล้ว เล่นเปียโนไม่ได้อีกแล้ว…”

“ไม่หรอก นายจะไม่เป็นไร เชื่อฉันสิ” โลแกนว่า เลื่อนมือที่สั่นเทาของตัวเองลงไปเปิดกระเป๋าใบเล็กที่ติดอยู่กับเข็มขัดกางเกง เพิ่งเคยเห็นหมอนี่อยู่ในชุดปฏิบัติการเต็มยศแบบนี้ มันก็ดูเหมาะกับเจ้าตัวดี คงจะดูดีกว่านี้ถ้าใบหน้าของชายหนุ่มไม่มีมีน้ำตาไหลกลิ้งลงมาบนแก้มแบบนั้น

“เมแกน… เมแกน” โลแกนหยิบกระจกเงาขนาดพกพาของตัวเองออกมาด้วยมือที่สั่นเทา วินาทีหนึ่ง ผมรู้สึกน้อยใจคนตรงหน้าขึ้นมาวูบ ผมจะเป็นจะตายอยู่แล้วยังมีหน้ามาส่องกระจกอีก หากวินาทีต่อมาผมก็ต้องตะลึง เพราะภายในกระจกไม่ได้สะท้อนเงาของโลแกนออกมาอีกแล้ว หากสะท้อนร่างของหญิงสาวคนหนึ่งออกมาแทน

ผม… คิดว่าผมเคยเห็นเจ้าหล่อนมาก่อนนะ…

“หืม? ว่าไงคะ น้องรัก” คนที่อยู่ในกระจกยิ้มตอบ “สีหน้าแบบนั้น… ดูไม่ดีเท่าไรเลยนะ โลแกน คอลลินส์”

พื้นหลังของหญิงสาวผมแดงตาแดงคนนั้นลุกโชนไปด้วยเพลิงไฟจำนวนมากขึ้นอยู่เป็นหย่อมๆ และเมื่อผมละสายตาออกมาจากกระจกบานนั้น ผมก็ต้องเห็นว่าไม่ใช่เพียงแค่ในกระจกเท่านั้น หากทั่วทั้งบริเวณโกดังโล่งที่ผมถูกพาตัวมานี่ก็เต็มไปด้วยเปลวไฟสีแดงลุกโชนขึ้นมาอย่างไม่เป็นธรรมชาติ มันโชติช่วงอยู่เป็นหย่อมๆ แต่แปลกที่ผมไม่ได้รู้สึกร้อนอะไร หรือบางทีผมอาจจะไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไปแล้วก็ได้

ร่างของจาฟาร์ยังคงนอนโอดโอยอยู่ที่เดิม ดูก็รู้ว่าเจ้าตัวยังมีลมหายใจ แต่ก็แผ่วมาก มองผ่านเลยไปอีก ผมเห็นศพของคนจำนวนมากนอนตายอยู่ แม้แต่ด้านหลังประตูที่ถูกแง้มเปิดออก ผมก็มองเห็นคนมากมายที่นอนกองอยู่กับพื้น บ่งบอกให้เห็นว่าโลแกนฝ่าคนพวกนั้นเข้ามาเพื่อมาให้ถึงตัวผม และเมื่อลองสังเกตดูดีๆ จะเห็นว่าเจ้าตัวได้รับบาดเจ็บจากการปะทะมาบ้างเหมือนกัน

นั่นสินะ… ก็น้องชายของผมเป็นแค่คนธรรมดาเท่านั้น… ต้องสู้กับคนมากมายขนาดนั้น ไม่มีทางที่จะเอาชนะได้โดยไม่บาดเจ็บอยู่แล้ว

แต่… ถ้าน้องผมเป็นคนธรรมดาจริง…

แล้วเปลวไฟที่ลุกท่วมอยู่ทั่วทั้งบริเวณนี่มันอะไรกัน แล้วไหนจะยังเขาที่งอกออกมาจากหัวทั้งสองข้างของหมอนี่อีก

นี่… ผมไม่ได้ตาฝาดไปจริงๆ ใช่ไหม?

“ได้โปรด เมแกน” น้องชายฝาแฝดของผมสะอื้นออกมาเบาๆ “ได้โปรด… ช่วยผมด้วย”

“ช่วยนาย…” หญิงสาวลากเสียงยาว สีหน้ายิ้มๆ “หรือว่าช่วยพี่ชายฝาแฝดของนาย?”

“เมแกน ผมขอร้อง” ชายหนุ่มผมบลอนด์ทองพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน “ช่วยลูคัสด้วย ช่วยลูคัสที…”

“หืม… แล้วทำไมฉันจะต้องทำตามที่นายขอร้องด้วยล่ะ?”

“ผมยอม… ทำทุกอย่าง” ชายหนุ่มว่าต่อด้วยสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ออกมาอีกรอบ “ทุกอย่าง”

“ก็ได้” หญิงสาวว่าในที่สุด “นายติดหนี้ฉันหนหนึ่งนะ น้องรัก”

ทันใดนั้นเอง หญิงสาวคนนั้นก็หายวับไปจากกระจกเงาตรงนั้น จากนั้นเจ้าหล่อนก็มาปรากฎอยู่ตรงหน้าพวกผมราวกับมีเวทมนตร์ ผมเบิกตากว้างขึ้นเมื่อสังเกตเห็นเขาลักษณะเดียวกับของโลแกนอยู่บนศีรษะของเจ้าหล่อน

หญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีแดงเดินมา คุกเข่าลงตรงหน้าผมจากนั้นก็หยิบนิ้วที่ถูกหั่นสะบั้นออกไปขึ้นมาถือ ริมฝีปากโค้งเล็กน้อย จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะเบาๆ

“พวกนั้นเล่นซะหมดจดเลยสิเนี่ย แย่หน่อยนะ ลูคัส คอลลินส์”

“อะ… อะ…” ท่าทีไม่รู้สึกรู้สมอะไรของเจ้าหล่อนทำให้ผมขนลุก หากเจ้าหล่อนเพียงแค่ประกบนิ้วนั้นลงบนมือข้างซ้ายของผมอย่างอ่อนโยน เลื่อนมืออีกข้างขึ้นมาเหนือมือบริเวณนั้นของผม มีแสงสว่างสีส้มอ่อนคลุมอยู่ตรงบริเวณที่ถูกตัดขาดออกจากกันอยู่เมื่อครู่ ความอบอุ่นแผ่ซ่านอยู่รอบบริเวณที่แสงนั้นคลุมไปถึง และเมื่อหญิงสาวตรงหน้าเลื่อนมือออก นิ้วของผมก็กลับมาสมานกับมือข้างซ้ายของผมตามเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ไหนลองขยับซิ” คนที่เพิ่งเอานิ้วมาต่อกันให้ผมสั่ง “เป็นไง? เหมือนเดิมเลยใช่ไหมล่า? ฝีมือระดับฉันแล้ว”

“ทะ… ทำไม” ผมละล่ำละลักออกมาอย่างไม่เข้าใจ นี่ทั้งหมดนี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ หรือว่าผมแค่กำลังฝันอยู่กันแน่? นี่มันเกิดอะไรขึ้น…

“เอาล่ะ โลแกน” เจ้าหล่อนลุกขึ้นยืนตามเดิม เสื้อผ้าของเจ้าตัวค่อนข้างวับๆ แวมๆ และเผยให้เห็นผิวเนื้อขาวเนียนด้านใน “นายติดหนี้ฉัน… อย่าลืมเรื่องนี้ก็แล้วกัน”

“รู้แล้วล่ะน่า” โลแกนพูดตอบด้วยเสียงเหมือนคำราม จากนั้นเจ้าตัวก็เลื่อนมือมาช่วยพยุงให้ผมลุกขึ้นยืนจากพื้น บอกตามตรง ผมยังรู้สึกเหมือนตามเรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่ทัน ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก ผมยังรู้สึกเหมือนตัวเองตกอยู่ในห้วงแห่งความฝัน

ทันใดนั้นเอง ประตูที่ถูกแง้มอยู่เล็กน้อยก็ถูกเปิดผลัวะออกมา ร่างของเจ้าหน้าที่ซึ่งรับผิดชอบโลแกนโดยตรงก้าวเข้ามา หน้าของผมซีดเผือดลงอย่างไม่ต้องสงสัย ผมจำผู้ชายคนนี้ได้ จอห์น แมคโดเวล… คนที่อยู่ในเอฟบีไอ คนที่โลแกนเป็นคนแนะนำให้ผมรู้จัก

“นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน” ชายหนุ่มผมเทาขมวดคิ้วมุ่น ผมหันไปมองหน้าโลแกนด้วยความหวาดหวั่น ทำตัวไม่ถูก รู้สึกกลัวแทนน้อยชายฝาแฝดของตัวเองขึ้นมาทันที

อีกฝ่ายเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ… แล้วหมอนี่เพิ่งฆ่าคนไปเป็นเบือขนาดนั้น ถึงคนที่มันฆ่าไปจะเป็นไม่ดียังไง แต่การฆ่าคนโดยพลการแบบนั้นมัน…

หากชายหนุ่มคนนั้นกลับทำให้ผมแปลกใจโดยการควักปืนขึ้นมาแล้วเลื่อนมันไปลั่นไกใส่สมองซีกซ้ายและขวาของจาฟาร์ที่นอนพังพาบอยู่ที่พื้นจนถึงเมื่อครู่ แต่ตอนนี้… ชายคนนั้นคงตายไปเรียบร้อยแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย

“เนท!!!” น้องชายฝาแฝดของผมตะโกนขึ้นมาอย่างหัวเสีย “นายจะฆ่าหมอนั่นทำไม!!? ฉันอุตส่าห์ตั้งใจจะเอาตัวมันไปทรมานแท้ๆ!!”

หืม? เนทเหรอ? แต่ตอนที่โลแกนแนะนำผมให้รู้จักกับอีกฝ่าย ไม่ใช่ชื่อนี้นี่…

ทันใดนั้นเอง ชายสูงวัยที่เส้นผมเกือบขาวไปทั้งหัวก็หายไป มีชายหนุ่มที่ดูอยู่ในวัยเพียงยี่สิบปลายๆ เข้ามาแทนที่ เส้นผมสีดำสนิทปกคลุมทั่วทั้งหัว นัยน์ตาหลังกรอบแว่นวงรีสีชาเยือกเย็นและนิ่งสงบ ริมฝีปากของเจ้าตัวเป็นเส้นตรงไม่บ่งบอกความรู้สึกใดๆ ที่สำคัญไปกว่านั้น… ผู้ชายคนนี้ก็มีเขางอกออกมาจากหัวเหมือนโลแกนแล้วก็ผู้หญิงผมแดงอีกคนเหมือนกัน

“เอาตัวมันไปทรมานเหรอ?” คนที่โลแกนเรียกว่าเนทยกยิ้มหมิ่น ดูถูกอย่างไม่ปิดบัง “เดี๋ยวนี้นายทำตัวต่ำแบบพวกมนุษย์ขนาดนั้นแล้วเหรอวะ โลแกน อย่าลืมสิว่าเรามีหน้าที่แค่ฆ่าเท่านั้น อย่าทำตัวเหลวไหลงี่เง่าไปหน่อยเลย”

“ไอ้หมอนี่มันตัดนิ้วลูคัส!!” เจ้าตัวพูดด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยวและนั่นทำให้นัยน์ตาคู่คมของบุรุษที่เพิ่งก้าวเข้ามาตวัดกลับมามองที่ผม กวาดตามองตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับจะประเมิน

“ฉันบอกนายแล้วใช่ไหมว่าอย่าเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องงาน” คำพูดนั้นทำให้โลแกนสะอึก ใบหน้าร้อนขึ้นเหมือนเด็กที่ถูกจับได้ว่าแอบกินขนมในห้องเรียน “แล้วนายมัวแต่ทำอะไร… งานของนายกำลังจะเริ่มในอีกไม่ถึงชั่วโมง รู้ตัวบ้างรึเปล่าว่านายกำลังจะทำให้ทุกอย่างพังไม่เป็นท่า”

“แหม ไม่น่าเชื่อ เราอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาเลย” หญิงสาวผมแดงที่ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดน่าจะชื่อเมแกนพูดขึ้นอย่างไม่สนใจบรรยากาศมาคุนั้น หล่อนคล้องแขนข้างหนึ่งของโลแกนและอีกข้างของเนทไว้แน่น ใบหน้ามีรอยยิ้มกว้างขวาง แม้ว่าบริเวณโดยรอบของพวกเราทั้งหมดจะลุกโชนไปด้วยไฟจำนวนมหาศาลก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ทำให้คนทั้งหมดอนาทรร้อนใจแต่อย่างใด “ดีใจจัง… นี่ถ้าท่านพ่อโผล่มาด้วยอีกคนคงครบทั้งครอบครัวพอดี”

“อย่ามัวแต่พูดอะไรไร้สาระหน่อยได้ไหม” โลแกนขมวดคิ้ว แกะมือออกจาการจับกุมของหญิงสาวแล้วเดินมากระตุกแขนผมเบาๆ “มาเถอะ ลูคัส นายต้องรีบไปขึ้นเวทีแล้ว เดี๋ยวไม่ทัน”

“โลแกน แล้วงานของนาย…” ชายหนุ่มสวมแว่นขมวดคิ้วมุ่นขึ้น

“รู้แล้วล่ะน่า! ผมจะรีบไป เนท ผมฝากพาลูคัสไปส่งด้วย ผมต้องรีบไปทำงานแล้ว”

“ฉันไปดูการแสดงเปียโนของลูคัสหรือดูโชว์ของโลแกนดีน้า” เมแกนว่ายิ้มๆ ยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากอย่างครุ่นคิด

“เธอน่ะ กลับนรกไปได้แล้ว” เนทตอบกลับอย่างไม่ใยดี

ทันใดนั้นเอง ระหว่างที่พวกเรากำลังเดินออกจากโกดังแห่งนั้น สายตาก็เหลือบไปเห็นชายคนหนึ่งที่ยังมีชีวิตอยู่ แม้ว่าบนร่างกายจะมีร่องรอยบ่งบอกว่าถูกยิงก็ตาม ชายคนนั้นเงื้อมีดเล่มหนึ่งเหนือร่างของโลแกน

ผมเบิกตากว้าง สมองในตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรเลยนอกจากกระชับมีดสั้นที่อยู่ในมือแน่นขึ้น มันเป็นมีดเล่มเดียวกับที่โลแกนใช้ตัดเชือกแล้วยื่นมาไว้ให้ผมแบบไม่ได้คิดอะไร

ผมเสือกมีดเล่มนั้นลงบนร่างของชายที่พุ่งเข้ามาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทิ่มแทงลงบนตำแหน่งเดิมที่เจ้าตัวมีรอยแผลจากการถูกยิง จากหางตา ผมเห็นโลแกนและคนอีกสองคนที่เหลือหันมามองอย่างตกตะลึง มีดในมือได้กินเลือดสมใจตามที่ผมบังคับมัน ปลามแหลมแทงทุละผ่านเนื้อผ้าลึกเข้าไปจนถึงผิวเนื้อและทำให้เลือดทะลักออกมาราวกับน้ำพุ

ผมชักมือออก มองของเหลวสีแดงที่อาบอยู่บนมือทั้งสองข้างของตัวเอง วินาทีนั้นราวกับภาพเหตุการณ์เมื่อสิบสี่ปีก่อนย้อนกลับเข้ามาในหัว เติมเต็มช่องว่างที่หายไปมานานแสนนาน ช่องว่างที่ผมคิดว่าตัวเองลืมไปแล้วกลับมาโลดแล่นอยู่ในหัวอย่างแจ่มชัด ราวกับมันเพิ่งขึ้นเมื่อกี้

ไม่จริง… สัมผัสนี่…

สัมผัสที่อยู่บนฝ่ามือนี่

“อะ… อะ….?” ผมยกมือที่อาบไปด้วยเลือดขึ้นมา มันสั่นเทาทีเดียว วินาทีแรกที่ผมรับรู้ เหมือนมีอะไรบางอย่างหนักๆ มาทุบเข้าที่หัว จากนั้นความเข้าใจ ความทรงจำทุกอย่างก็ไหลทะลักเข้ามาในหัวราวกับน้ำหลาก ไม่ว่าอะไรก็หยุดมันไม่ได้อีกแล้วตอนนี้

ผมปล่อยให้น้ำตาไหลลงอาบบนแก้มทั้งสองข้าง เงยหน้าขึ้นไปมองน้องชายฝาแฝดของตัวเองอย่างสับสน

“ทำไม… นายต้องโกหกฉันด้วย” เสียงของผมสั่นเครือ แต่ผมก็ยังรีดเค้นให้คำพูดออกมาจากลำคอ มันยากลำบาก เหมือนมีอะไรมากรีดลงที่กลางใจ แต่ผมก็ยังพูดมันออกไป“ที่นายบอกว่านายเป็นคนฆ่าพ่อ ในเมื่อ...”

โลแกนเม้มริมฝีปากแน่นขึ้น มือกำหมัดแน่น นัยน์ตาสีฟ้าคู่คมจ้องมองตาผมไม่หลบ ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก รู้สึกได้ถึงของเหลวอุ่นที่อยู่บนพวงแก้ม จากนั้นก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรงเต็มทน

“ฉันต่างหาก… ที่เป็นคนฆ่าพ่อ”




--------------------------------
Talk: อุ้ย... คดีพลิก O_O

ออฟไลน์ MissMay

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
สงสารลูคัส  :hao5:

ออฟไลน์ larynx

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 821
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
ยังมีอะไรพีคๆเพิ่มอีกไหมคะ ต่อไปนี่คงต้องบอกลูคัสแล้วใช่ไหมว่าตัวเองไม่ใช่คนธรรมดา  :hao4:

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 48

(Mode: Lucas Collins)




วันนั้นเป็นวันเกิดครบรอบหกขวบของพวกเราสองคน เค้กที่ตั้งอยู่บนโต๊ะอาหารดูน่ากินยิ่งกว่าปีไหนๆ หรือไม่บางทีมันก็อาจจะเหมือนๆ กันทุกปีนั่นแหละ เพียงแต่ความเด็กของผมทำให้แยกมันไม่ออก

ผมเดินกลับเข้ามาในตัวบ้านพร้อมกับโลแกนด้วยรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า ถูกใจกับสร้อยคอไม้กางเขนที่น้าลิซ่าเพิ่งให้พวกเราสองคนมา แต่ดูโลแกนจะไม่ถูกใจของขวัญชิ้นนี้เท่าไรนัก เจ้าตัวแค่มองๆ มันนิดหนึ่ง ถอดมันออกมาจากคอแล้วขมวดคิ้ว แต่เมื่อเจ้าตัวเอาไม้กางเขนที่ว่าห้อยหัวลง รอยยิ้มเล็กๆ ก็ปรากฎขึ้นบนมุมปาก เป็นคนที่เพี้ยนมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว หมอนี่

พวกเราสองคนไม่ได้กินเค้กในวันนั้น สิ่งที่ผมจำได้ต่อจากนั้นก็คือร่างของแม่ที่ลงไปนอนกองกับพื้น ไม่ขยับเขยื้อน ไม่ไหวติง ไม่… แม้แต่จะหายใจ เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นความตายอยู่ตรงหน้า ต่อหน้าต่อตา และมันทำให้ผมรู้สึกหวาดหวั่น

โลแกนคือคนที่ตั้งสติได้ก่อนผมในตอนนั้น มือเล็กๆ ของเจ้าตัวคว้ามือของผมให้ถอยห่างออกมาจากพ่อที่ย่างเท้าสาวขุมเข้ามาทางพวกเรา

ผมรับรู้ได้ถึงความกลัวของตัวเองที่กุมไปทั้งหัวใจ แต่จะกลัวแค่ไหน สิ่งที่ผมทำก็คือกางแขนทั้งสองข้างออกเพื่อกันโลแกนเอาไว้ด้านหลัง ไม่สนว่าขาทั้งสองข้างจะสั่นเทาเสียจนจะยืนแทบไม่ไหว ไม่สนว่าแขนที่กางออกมาจะสั่นจนเหมือนจะตกลงข้างตัวได้ทุกเมื่อ

ผมต้องปกป้องน้อง… น้องชายของผม ผมสัญญากับแม่ไว้แล้ว

ผัวะ!

“อึ้ก!!” หมัดหนักๆ กระแทกลงบนหน้าท้องของผมจนตัวงอ จากนั้นก็ตามมาด้วยแรงกระแทกบนใบหน้า อยากจะตะโกนร้องบอกโลแกนให้วิ่งหนีไปให้ไกลจากตรงนี้ แต่ความจุกก็ทำให้ผมพูดอะไรไม่ออก เลือดจำนวนหนึ่งไหลออกมาจากปากที่แตกของผม จากนั้นร่างของผมกระพุ่งไปกระแทกกับฝาบ้านด้านข้างด้วยแรงเหวี่ยงอย่างแรง รู้สึกไปทั่วทั้งร่าง

“หยุดนะ!!” โลแกนกรีดร้อง จากนั้นก็หยิบมีดบนพื้นขึ้นมาถือบนมือแล้วเริ่มต่อสู้กับชายหนุ่มผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อของตัวเองอย่างบ้าคลั่ง หมอนั่นสามารถสร้างบาดแผลให้ชายตรงหน้าได้ด้วยอาวุธในมือ แต่แรงของเด็กตัวเล็กที่สูงไม่ถึงเอวของคู่ต่อสู้ด้วยซ้ำจะไปชนะได้อย่างไร

“แก!!!!” เสียงของชายคนนั้นกรีดร้องลั่นอย่างบ้าคลั่งขณะที่ทุ่มร่างเล็กๆ ของน้องชายผมลงบนพื้น “แก… แกคิดจะฆ่าฉันเหรอ!!!?? ไอ้ลูกทรพี!!!”

“อั่ก!!” โลแกนดิ้นพล่านอย่างทรมานเมื่อมือแกร่งบีบรัดลำคอของตัวเองอย่างแรง มัดกดปิดหลอดลมของเจ้าตัวจนไม่สามารถสูดอากาศเข้าร่างกายได้อีกต่อไป ผมยังจำได้ดีตอนที่หน้าของหมอนั่นเริ่มเปลี่ยนสีคล้ำขึ้นเรื่อยๆ

ทำไมผู้ชายคนนั้นถึงได้มีแรงเยอะขนาดนี้กันนะ… ทั้งๆ ที่โลแกนก็แทงเจ้าตัวลงบนสีข้างไปแล้วรอบหนึ่งแท้ๆ

หากเลือดที่ไหลออกจากชายคนนั้นเป็นสิ่งที่ผมเห็นผ่านตา อย่างเดียวที่ผมให้ความสนใจคือสีหน้าที่ทรมานขึ้นเรื่อยๆ ของโลแกนและมีดทำครัวที่ตกอยู่ห่างไปไม่ไกล ผมรู้ว่าถ้าปล่อยไว้นานกว่านั้น น้องชายผมคงต้องขาดใจตายแน่ ผู้ชายคนนี้ฆ่าแม่มาได้คนหนึ่งแล้ว นับอะไรกับการฆ่าเด็กตัวเล็กๆ เพิ่มอีกสักคนสองคน

วินาทีนั้น… ไม่มีอะไรอยู่ในหัวของผมเลย นอกจากความคิดที่ว่าต้องช่วยโลแกน

ผมคว้ามีดที่อยู่บนพื้น แทงซ้ำลงตรงแผลเดิมที่โลแกนทิ้งไว้บนร่างของชายคนนี้ หากคราวนี้ผมจ้วงปลายคมของมีดให้กินเนื้อเข้าไปลึกขึ้น

ผมได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างทรมานของผู้ชายคนนั้น มันชัดเจน แต่ก็เหมือนดังมาจากที่ไกลๆ ผมผละมีดออกมาจากร่างของชายคนนั้น สัมผัสที่ติดอยู่ที่ฝ่ามือยังตราตรึงอยู่ตรงนั้น ผมยังจำมันได้ดี วินาทีที่อาวุธในมือทิ่มแทงเข้าไปในเนื้อหนังนั้น

ผมปล่อยมีดตกจากพื้น มองคนตรงหน้าทรุดฮวบลงไปและค่อยๆ แน่นิ่งลง

ผมถอยกรูดไปหลังติดกับผนังห้องก่อนจะค่อยๆ ทรุดตัวนั่งลง เข่าอ่อน หายใจหอบระรัวราวกับเพิ่งวิ่งมาเป็นระยะเวลาหลายชั่วโมง เสี่ยงหอบหายใจของตัวเองดังและถี่ขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ผมยกมือขึ้นมามองเลือดที่อยู่บนมัน เลือดพวกนั้นย้อมให้มือของผมเป็นสีแดงฉานราวกับไปจุ่มถังสีมา แต่ถังสีไม่มีกลิ่นคาวเลือดแบบนี้

มือของผมสั่นเทามากขึ้นเรื่อยๆ มันมาพร้อมกับความหนาวเย็นที่เข้ามาเกาะกุมหัวใจ มันทำให้ร่างของผมสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่ รู้สึกหนาวไปจนถึงกระดูก ทั้งๆ ที่อากาศตอนนั้นก็ไม่ได้เย็นอะไรเลยแท้ๆ

“ลูคัส” โลแกนที่ตั้งสติได้แล้วลุกขึ้นมาจากพื้น เดินมาหาผมด้วยสีหน้าเป็นปกติแม้จะยังหอบหายใจน้อยๆ เพราะโดนบีบคอไปเมื่อครู่

ผมไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าตัว หากยกแขนที่มีเลือดเปรอะเต็มไปหมดขึ้นกอดเข่าที่ชันขึ้นมา หนาวเหลือเกิน และมันกำลังทำให้ผมทรมาน

“นายทำได้เยี่ยมไปเลย ลูคัส!” น้ำเสียงของเจ้าตัวร่าเริงเกินเหตุ แต่ผมไม่รับรู้อะไร “ฆ่าหมอนั่นไปจนได้ ให้ตายสิ… เมื่อกี้น่ะ เกือบไปแล้วแท้ๆ เลย โชคดีนะที่นายจัดการหมอนั่นก่อน... เฮ้ ลูคัส เป็นอะไรไปน่ะ  ทำไมหน้าซีดไปแบบนั้น?”

“ฉัน… ฆ่าพ่อไปแล้ว….?” ผมพึมพำกับตัวเอง ยกมือที่เต็มไปด้วยเลือดขึ้นมากุมหัวราวกับคนเสียสติ “ผู้ชายคนนั้น… ตายไปแล้ว… ?”

“อ้อ ก็ใช่น่ะสิ” โลแกนว่าพร้อมกับหัวเราะร่วนอย่างถูกใจ ทันใดนั้นเองบ้านของผมก็ลุกโชนไปด้วยสีแดงเพลิงที่ผุดขึ้นมาเป็นหย่อมๆ

ไฟที่ว่านั่นไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกร้อน ไม่รู้ว่าเพราะมันเป็นเพียงภาพลวงตาหรือเพราะจิตใจของผมไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

ชายคนหนึ่งในชุดสูทก้าวออกมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ ใบหน้าของเขาเปื้อนรอยยิ้มบางๆ อย่างพึงพอใจ โลแกนอุทานออกมาอย่างยินดีก่อนจะถลาเข้าไปกอดขาชายหนุ่มตรงหน้าแน่น

“ท่านพ่อ!” เจ้าตัวว่าด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้วด้วยความดีใจ “มาหาผมแล้วเหรอ ยอมมาหาผมแล้วใช่ไหม”

“ไง ไอ้ตัวเล็ก” ชายในชุดสูท… ผู้ที่มีเขางอกออกมาจากศีรษะทั้งสองข้างก้มตัวลงไปลูบหัวของโลแกนน้อยๆ อย่างเอ็นดู และถ้าผมตาไม่ฝาด… โลแกนเองก็มีเขาเล็กๆ งอกออกมาจากหัวของตัวเองเหมือนกัน ชายที่ซึ่งมาใหม่อุ้มน้องชายฝาแฝดของผมขึ้นไว้ในอ้อมแขน จากนั้นก็กวาดตามองรอบๆ มองร่างที่ไร้วิญญาณของคนสองคนภายในตัวบ้านที่เจิ่งนองไปด้วยเลือดสีหน้ายิ้มๆ “เละเทะไม่เลวเลยนี่… โลแกน”

“ฮะ!” เด็กน้อยรับคำหน้าชื่นตาบาน “ผมฆ่าผู้ชายคนนั้นได้!”

“อย่ามาโมเมหน่อยเลย เราน่ะ” ชายหนุ่มคนนั้นว่าพร้อมกับเอื้อมมือไปดีดหน้าผากเด็กน้อยที่อุ้มอยู่ทีหนึ่งด้วยความมันเขี้ยว โลแกนครางออกมาเบาๆ อย่างไม่จริงจังนัก “คนที่ฆ่าผู้ชายคนนี้น่ะ คือลูคัส พี่ชายเราไม่ใช่เหรอ อย่ามามั่วนิ่มหน่อยเลย”

ฆ่า…

ฆ่า….?

เราเป็นคนฆ่า… พ่อของตัวเอง?

“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!” ผมกรีดร้อง งอตัวลง คุกเข่า วางหน้าผากลงบนพื้นแล้วตะโกนออกมาดังลั่น

สัมผัสยามที่ปลายแหลมของมีดทะลวงเข้าไปในผิวเนื้อยังติดอยู่ที่ที่ฝ่ามือ เลือดอุ่นๆ ที่ไหลหยดลงมาต่อจากนั้น มันไหลอาบท่วมจนย้อมให้มือผมกลายเป็นสีแดง

“ลูคัส!” ผมได้ยินเสียงโลแกนร้องเรียกอย่างตกใจ เด็กชายผู้มาจากนรกมีสีหน้ากังวล เป็นห่วง และไม่เข้าใจจริงๆ ว่าผมเป็นอะไร

สำหรับเขาแล้ว การฆ่าใครได้ ถือเป็นเรื่องที่มีเกียรติ สมควรได้รับการยกย่อง ยิ่งกับคนที่พยายามจะมาทำร้ายตัวเองด้วยยิ่งแล้วใหญ่ เพราะงั้นเขาถึงไม่เข้าใจว่าทำไมพี่ชายฝาแฝดของเขาถึงได้มีท่าทีทรมานแบบนั้น

“ฉันเป็นคนฆ่าพ่อ… ฉันเป็นคนฆ่าพ่อ ฉันเป็นคนฆ่าพ่อ ฉันเป็นคนฆ่าพ่อ…!!!”

“ท่านพ่อ ท่านพ่อครับ ลูคัสเป็นอะไรไปก็ไม่รู้” โลแกนว่าอย่างร้อนรน เขาพยายามเขย่าร่างของผม แต่ตัวผมในตอนนั้นไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว

ชายที่อยู่ในชุดสูทยกยิ้มบางๆ อย่างไม่ทุกข์ร้อนอะไร จากนั้นเจ้าตัวจึงอธิบายลูกชายคนเล็กง่ายๆ

“สำหรับคนบนโลกนี้… พวกเขาหลายๆ คนไม่ชอบการฆ่าเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเองเท่าไรน่ะ”

“ทำไมล่ะครับ”

คนถูกถามยิ้ม จากนั้นก็ถามกลับเรียบๆ

“มันสำคัญด้วยเหรอว่าทำไม? ในสถานการณ์ตอนนี้น่ะ”

โลแกนหันมามองผมอย่างกังวล ผมยังคงพูดพร่ำประโยคนั้นซ้ำไปซ้ำมาราวกับคนที่เสียสติไปแล้ว จากนั้นเด็กน้อยก็หันกลับไปมองผู้เป็นพ่ออย่างขอความช่วยเหลือ และเมื่ออีกฝ่ายเพียงแค่ยิ้มๆ ไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยอะไร โลแกนก็ถลาเข้ามาหาผม ใช้แรงทั้งหมดที่มีงัดไหล่ผมขึ้นจากพื้น

“ลูคัส ลูคัส! ฟังนะ นายไม่ได้เป็นคนฆ่าผู้ชายคนนั้น… ได้ยินไหม นายไม่ได้เป็นฆ่าพ่อของตัวเอง! ลูคัส!”

“ไม่ โลแกน… ฉันฆ่าเขา ฉันเป็นคนฆ่าเขา… ด้วยมือของตัวเอง” ผมส่ายหน้าพร้อมกับกรีดร้องออกมาอีกรอบอย่างอัดอั้น

โลแกนผงะไปอย่างคาดไม่ถึง จากนั้นเจ้าตัวก็เริ่มเบะริมฝีปาก น้ำใสๆ เริ่มคลอขึ้นมา เขาหันไปหาผู้ให้กำเนิดที่แท้จริงของตัวเอง จากนั้นก็อ้อนวอน

“ท่านพ่อ ได้โปรด บอกลูคัสทีว่าผมเป็นฆ่าผู้ชายคนนั้น… ผมเองก็ถือว่าฆ่าเขาไปครึ่งหนึ่งเหมือนกันนะ!ถ้าไม่ใช่เพราะผมแทงลงบนตัวของผู้ชายคนนั้นก่อน ลูคัสก็ไม่มีทางทำแบบนั้นได้หรอก ท่านพ่อ… บอกลูคัสสิว่าผมเป็นคนฆ่าผู้ชายคนนั้น!”

“อ่า…” ชายผู้มีเขาบนหัวเหลือบมองร่างของผมที่นั่งคุดคู้อยู่กับพื้น กรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง สะอื้นฮักๆ ราวกับจะแตกสลายลงได้ทุกเมื่อ

“ท่านพ่อ” โลแกนเรียก เจ้าตัวจึงส่งยิ้มบางๆ ให้เจ้าตัว จากนั้นจึงว่า

“เอาแบบนั้นก็ได้ โลแกน”

โลแกนรีบดึงบ่าของผมที่ยังร้องไห้ไม่เลิกขึ้นมา จากนั้นก็ยิ้มกว้างแบบเด็กๆ

“ได้ยินไหม ลูคัส ท่านพ่อบอกว่าฉันเป็นคนฆ่าผู้ชายคนนั้น… ฉันเองที่เป็นคนฆ่าเขา ไม่ใช่นาย เพราะงั้นอย่าร้องไห้เลยนะ”

แต่คำพูดนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยนอกจากทำให้ผมร้องไห้หนักขึ้น ผมร้องแหกปาก ร้องแล้วก็ร้อง ร้องจนในหัวมันตื้อไปหมด เหมือนความเจ็บไปมันไหลวนอยู่ในอกไม่ไปไหน ไม่ว่าผมจะร้องสักเท่าไร มันก็ไม่หายไปสักที

“เอาล่ะ พ่อคงต้องไปแล้ว” ชายใส่สูทคนนั้นพูดขึ้นในขณะที่โลแกนพยายามพูดปลอบผมอย่างงกๆ เงิ่นๆ ตามประสาเด็ก เจ้าตัวเงยหน้ามองอีกฝ่ายอย่างตื่นๆ ก่อนจะต้องไหวตัวนิดหนึ่งเมื่อรู้สึกได้ถึงพลังที่ไหลเวียนอยู่ทั่วร่าง

พลังที่ชายคนนั้นมอบให้…

“ในเมื่อเจ้าตัวเขาไม่ยอมรับ งั้นก็ถือว่าลูกเป็นคนฆ่าไอ้ผู้ชายคนนี้ไปแล้วกัน เอาพลังไปแล้วใช้ดีๆ ล่ะ แล้วพ่อจะติดต่อมาใหม่ โลแกน”

“ครับ” เด็กน้อยรับคำ และเมื่อชายคนนั้นจากไปแล้ว โลแกนก็ตรงเข้ามาโอบกอดผมแรงๆ ไม่สนว่าผมจะสะบัดการเกาะกุมนั้นกี่สิบครั้ง ไม่สนว่าผมจะดิ้นแรงแค่ไหน น้องชายฝาแฝดของผมก็ล็อกตัวผมอยู่ในอ้อมแขนของมันจนได้

ผมสะอื้นลมออกมาเพราะไม่มีแรงเหลืออีกต่อไปแล้ว ผมซบหน้าลงบนบ่าของน้องชายตัวเองอย่างสิ้นหวัง สะอื้นถี่ๆ อยู่แบบนั้น รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเป็นลมเพราะหมดแรง

“ไม่เป็นไร ลูคัส” โลแกนว่าขณะเลื่อนมือมาลูบศีรษะของผม จากนั้นเจ้าตัวรีดพลังอันน้อยนิดที่ตัวเองได้มาไว้ตรงฝ่ามือ ผมเห็นโลแกนเม้มปากแน่นขึ้นนิดหนึ่งด้วยความทรมาน ดูเหมือนพลังที่เขาต้องการใช้จะกินแรงเขาไม่น้อยเหมือนกัน “ไม่เป็นไรนะ ลืมมันไปซะเถอะ ทั้งหมดนั่น ลืมมันไปซะ ไม่เป็นไรหรอก ทุกอย่างจะไม่เป็นไร นายแค่ต้องลืมมัน…”

และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนั้นก็ค่อยๆ ถูกลบหายออกไปจากหัวของผมเพราะพลังของโลแกนจริงๆ ผมนอนนิ่ง สงบอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่ายที่ตอนนี้หอบหายใจระรัวเพราะฝืนใช้พลังที่ไม่คุ้นเคย แต่ถึงอย่างนั้น มันก็คุ้มค่า… เพราะเจ้าตัวแค่อยากให้ผมลืมเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้นไปซะ ถึงมันจะไม่หมดจดเพราะฝีมือที่ยังอ่อนหัดของเจ้าตัวก็ตาม

“ไม่เป็นไร” โลแกนพึมพำ มือยังลูบเส้นผมของผมที่สลบไม่ได้สติอย่างอ่อนโยน “ไม่เป็นไร ลูคัส ลืมมันไปซะ มันไม่เคยเกิดขึ้น”

นั่นคือเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด… ในวันเกิดครบรอบหกขวบของเรา






ผมร้องไห้ออกมาอีกครั้งอยู่ในอ้อมแขนของโลแกน ไม่สนใจสายตาของคนอีกสองคนที่อยู่ในที่นั้นแม้แต่นิดเดียว ผมรู้สึกได้ถึงสายตาของเมแกนที่มองมาอย่างสนใจ เสียงถอนหายใจยาวอย่างเบื่อหน่ายของเนท แต่ผมไม่สนอะไรพวกนั้นอีกต่อไปแล้ว ผมแค่ต้องการระบายความเจ็บที่อยู่ในอกนี่เท่านั้น และไม่มีใครสามารถช่วยผมได้ในเรื่องนี้จริงๆ

โลแกนลูบหัวของผมอย่างสงบ หากนัยน์ตาสีฟ้าของเจ้าตัวมีร่องรอยเศร้าสร้อย

“ไม่เป็นไร ลูคัส” เจ้าตัวเอ่ยย้ำคำพวกนั้นซ้ำๆ “มันผ่านไปแล้ว ไม่เป็นไรหรอก เชื่อฉันสิ”

“พวกมัน… อะ… เอาไม้กางเขนของฉันไป” ผมว่าหลังจากพยายามคลำหาไม้กางเขนอันที่น้าลูซี่ให้มา แต่ไม่มีอีกแล้ว… จาฟาร์บอกว่าเขาทิ้งมันไปแล้ว สัญลักษณ์ที่ผมยึดถือว่าเป็นเครื่องหมายแห่งความดีหรืออะไรทำนองนั้น แต่ผมไม่มีมันอีกต่อไปแล้ว

“ไม่เป็นไร ลูคัส” โลแกนปลอบผมต่ออย่างสงบ ทาบริมฝีปากลงมาบนหน้าผากของผมอย่างปลอบโยน “ฉันจะหาอันใหม่มาให้นายเอง ไม่เป็นไรหรอก”

“ไม่... โลแกน” ผมส่ายหน้าทั้งน้ำตา “ฉันไม่คิดว่าฉันต้องการมันอีกแล้ว”

“อืม” เสียงทุ้มตอบกลับผมมา มือยังคงลูบหัวผมไม่หยุด “ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ลูคัส นายไม่ต้องการมันหรอก”





-------------------
Talk: จะบอกว่า... โลแกนน่ะ เป็นพระเอกตั้งแต่ก่อนเรื่องจะเริ่มอีกค่ะ! เห็นไหม! (??) ถถถถถถถ

ออฟไลน์ larynx

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 821
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
เอ็นดูโลแกนเวอร์ชั่นเป็นเด็ก ทำไมหนูถึงดูเด๋อๆด๋าๆขนาดนั้น 55555555555555555555555

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
แล้วความจริงก็ปรากฏ ให้ลูคัส รู้จนได้
ว่าคนที่ฆ่าพ่อคือตัวเอง
แต่ดีจังที่มือของลูคัส ดีเหมือนเดิม
นิ้วก้อยที่ถูกตัดกลับมาต่อได้เพราะเมแกน
แต่โลแกน ต้องติดหนี้เมแกนครั้งหนึ่งน่ะสิ
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ MissMay

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
สงสารลูคัสจัง โลแกนก็ติดหนี้พี่สาว  :z10:

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 49

(Mode: Logan Collins)




“เร็วเถอะ ไม่มีเวลาแล้วนะ เดี๋ยวนายไปแข่งไม่ทัน” ผมพูดอย่างร้อนรน ก้มลงมองนาฬิกาที่ข้อมือของตัวเอง นอกจากเรื่องของลูคัสแล้ว ผมยังเป็นห่วงงานของตัวเองที่ต้องกำจัดจู้ดี้ ฮิลล์อีกด้วย

ผมต้องทุ่มเทอะไรหลายอย่างกว่าจะได้โอกาสนี้ โอกาสที่จะได้ฆ่าผู้หญิงคนนั้น คนที่ท่านพ่อสั่งมา… แต่ผมไม่สามารถทิ้งลูคัสไว้แบบนี้แล้วกลับไปทำงานได้ ผมจำเป็นต้องทำให้แน่ใจว่าพี่ชายฝาแฝดของผมโอเคและจะต้องได้ขึ้นแสดงบนเวทีวันนี้ ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม

“โลแกน นายต้องกลับไปทำงาน” เนทขมวดคิ้วมุ่นขึ้นอย่างหงุดหงิด พี่ชายคนนี้ของผมให้ความสำคัญกับงานเหนือสิ่งอื่นใดอยู่แล้ว ผมก็เข้าใจว่าทำไมเจ้าตัวถึงได้หงุดหงิด แต่จะให้ผมปล่อยลูคัสไว้แบบนี้รึไงล่ะ

“เนท… นายพาลูคัสไปหาที่อาบน้ำหน่อยได้ไหม แล้วเสื้อผ้า…”

“เออ รู้แล้ว” คนผมดำตัดบทอย่างหัวเสีย “เดี๋ยวฉันจัดการลูคัสให้ นายไปทำงานเดี๋ยวนี้”

“งั้นฉันไปกับโลแกนดีกว่า” เมแกนพูดแทรกขึ้นอย่างเริงร่า แต่ผมพูดห้ามเจ้าหล่อนอย่างรวดเร็ว

“ไม่ต้องเลย พี่มา ผมยิ่งเสียสมาธิ พี่ไปกับเนทแล้วก็ลูคัสเถอะ”

“โลแกน…” ลูคัสหน้าเสีย เจ้าตัวถลาเข้ามาเข้ามาเกาะแขนผมเหมือนเด็กที่กำลังจะถูกทิ้ง แค่มองตาหมอนี่ผมก็รู้แล้ว… ลูคัสยังไม่เข้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและเปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็วขนาดนี้ และเขาไม่อยากให้ผมทิ้งเขาไว้กับสองคนที่เจ้าตัวไม่รู้จัก ผมเหลือบมองหน้าของทั้งคู่ขณะที่พวกเราทั้งหมดจ้ำเท้าไปที่รถ เขาที่อยู่บนหัวของเนทและเมแกน รวมทั้งตัวผมค่อยๆ หายไปแล้ว และเนทก็กำลังคืนร่างกลับเป็นแมคโดเวลตามเดิม

การเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ภายนอกแบบนั้นเป็นพลังพิเศษของหมอนั่นล่ะ เช่นเดียวกับพลังในการรักษาของเมแกนและพลังในการลบความทรงจำของผม พวกเราทั้งสามคนมีพลังหลายอย่างที่เหมือนกัน มีเพียงแค่ที่ผมว่ามาทั้งนั้นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวและไม่มีคนอื่นทำได้

ผมลังเล… แน่นอนว่าผมย่อมอยากไปส่งลูคัสให้ถึงที่ อยากไปให้เห็นด้วยตาตัวเองว่าหมอนี่จะโอเคทุกอย่าง จะสามารถขึ้นเวทีได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ แต่เนทพูดถูกอยู่อย่าง… ผมต้องทำงานนี้ให้สำเร็จ และพี่ชายคนโตของผมก็ย้ำแล้วย้ำอีกว่าอย่าให้เรื่องความรักไร้สาระ (แบบที่เจ้าตัวว่า) มาทำให้งานเสีย ไม่อย่างนั้นต่อจากนี้ไปเขาจะไม่ช่วยอะไรผมอีก

ผมรู้ว่ามันฟังดูเห็นแก่ตัว… แต่การทำงานที่ท่านพ่อให้มาให้เสร็จสิ้น ถือเป็นเรื่องความเป็นความตายของผมเหมือนกัน และก็อย่างที่หลายๆ คนคงเดาได้ ผมได้รับความช่วยเหลือจากเนทมาตลอดในการทำงานนี้ ถ้าเขาไม่ยอมช่วยผมอีก ผมคงทำงานให้สำเร็จยากขึ้น

ข้อสำคัญอีกข้อก็คือ… ทั้งสองคนคือพี่ของผม ผมไว้ใจพวกเขาได้ บางทีทั้งคู่อาจจะปกป้องลูคัสได้มากกว่าที่ผมจะทำได้ด้วยซ้ำ

“ลูคัส ฟังฉันนะ” ผมเริ่ม และเจ้าตัวเริ่มส่ายหน้าเหมือนไม่อยากรับรู้ วันนี้คงเป็นวันที่หนักหน่วงเกินไปสำหรับพี่ชายฝาแฝดของผม

โดนเพื่อนที่อยู่ในวงการเดียวกันทรยศ โดนตัดนิ้วไปรอบหนึ่ง ต่อให้เมแกนจะช่วยต่อมันกลับให้เป็นเหมือนเดิมแต่ความเจ็บปวดที่ได้รับย่อมเหลืออยู่ และมันคงทำให้เจ้าตัวทรมานไม่น้อย หนำซ้ำยังต้องมารับรู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องในอดีต… ความจริงที่ผมพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะปกปิดมันตั้งแต่วันนั้นเมื่อสิบสี่ปีก่อน ความจริงที่ว่าลูคัสเป็นคนฆ่าผู้ชายคนนั้น

ทั้งหมดนี่ยังไม่นับรวมเรื่องที่หมอนี่รับรู้การมีตัวตนของพ่อแท้ๆ ของผม… ลูซิเฟอร์ แล้วก็เหล่าพี่ๆ ปีศาจจากขุมนรกที่โผล่มาจากไหนไม่รู้ แค่เรื่องหนักๆ ที่ว่ามาข้างต้นก็ยากเกินกว่าที่จะรับไหวแล้ว 

แล้วก็… นั่นยังไม่รวมเรื่องที่หมอนี่ได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของผมเข้าไปอีกนะ

“เฮ้ ฟังสิ” ผมบีบไหล่ของอีกฝ่ายแน่นขึ้น รับรู้ได้เลยว่าหมอนี่ตัวบางกว่าผมแค่ไหน ยังไม่นับนัยน์ตาสีฟ้าที่หม่นลง มันแสดงให้เห็นชัดเจนถึงความเจ็บปวด ความสิ้นหวัง ความสับสน และความกลัว ผมรู้สึกได้เลยว่าเจ้าตัวกำลังสั่น แต่ผมไม่โทษลูคัสหรอก “นายต้องไปกับสองคนนี้ เขาเป็นพี่ของผม นายเชื่อใจพวกเขาได้”

“หมายความว่ายังไง ที่ว่าพวกเขาเป็นพี่ของนาย” เจ้าตัวถามอย่างไม่เข้าใจ ยิ่งมองแววตาปวดร้าวของพี่ชายฝาแฝดของตัวเองแล้ว มันยิ่งทำให้ผมเจ็บ แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะช่วยบรรเทาความเจ็บนั้นได้ยังไง “แล้วฉันล่ะ โลแกน? ฉันไม่ใช่พี่นายหรอกเหรอ แล้วนี่มันเรื่องอะไรกัน นายเป็นใครกันแน่ นายเป็นตัวอะไรกันแน่? แล้วโลแกนที่ฉันรู้จักมาตลอดชีวิตล่ะ? นายไม่ใช่คนที่ฉันคิดว่าเป็นน้องชายฝาแฝดมาตลอดหรอกเหรอ?”

“โธ่เว้ย” ผมคำรามออกมานิดหนึ่งอย่างขัดใจ เจ็บปวดเหลือเกินกับสีหน้าสับสนเหมือนเด็กหลงทางของลูคัส ผมไม่ได้อยากให้ทุกอย่างออกมาในรูปแบบนี้

“ไปคุยกันในรถ” เนทที่ตอนนี้กลับมาอยู่ในร่างของแมคโดเวลแล้วพูดเสียงเย็นพร้อมกับคว้าต้นแขนของลูคัสมาไว้ในมือ ลูคัสสะดุ้งนิดหนึ่งอย่างตกใจ สีหน้าที่ซีดอยู่แล้วยิ่งซีดเผือดลง หากชายหนุ่มใส่แว่นไม่ใส่ใจ “ไม่ต้องทำหน้าเหมือนจะเป็นจะตายขนาดนั้น แค่นี้น่ะไม่ตายหรอก ไปทำงานเดี๋ยวนี้ โลแกน เมแกน ถ้าเธออยากจะมาด้วยก็ตามใจ ไปขึ้นรถได้แล้ว เราไม่มีเวลามานั่งตอบคำถามหรือคร่ำครวญกันทั้งวันหรอกนะ”

“โลแกน…” น้ำเสียงของเจ้าตัวสั่นเครือราวกับจะขอร้องเป็นครั้งสุดท้าย ผมได้แค่เม้มริมฝีปากแน่นขึ้นในขณะที่แมคโดเวลเริ่มกลอกตาขึ้นฟ้าอย่างเสียอารมณ์

“ขอทีเถอะน่า พวกนายเป็นเด็กห้าขวบหรือไง”

จากนั้นเจ้าตัวก็ยัดพี่ชายฝาแฝดของผมเข้าไปในที่นั่งด้านหลัง เมแกนหันมายิ้มให้ผมนิดหนึ่งเขย่งขาขึ้นมาหอมแก้มผมแรงๆ จากนั้นก็โบกมือให้น้อยๆ ด้วยรอยยิ้มพราย

“ทำงานให้สนุกนะคะ น้องชาย แล้วเดี๋ยวเจอกันในนรก เดี๋ยวฉันจะเตรียมของอร่อยๆ ไว้ให้”

ลูคัสที่โดนจับยัดใส่รถไปเมื่อครู่โผล่พุ่งออกมาบ้าง เจ้าตัวถลาแทรกตัวเมแกนเข้ามา คว้าแขนผม จากนั้นก็ดึงผมลงไปจูบแรงๆ อย่างโหยหา ผมรู้สึกราวกับถูกสัมผัสอ่อนนุ่มจากริมฝีปากนั้นกระตุกหัวใจที่อยู่บนอกข้างซ้ายลงไปจังหวะหนึ่ง ทำให้ตัวชาวาบไปทั้งตัวก่อนจะค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นอุ่นซ่าน

ผมเอื้อมมือไปยึดที่หลังคอของเจ้าตัวแล้วบดริมฝีปากลงไปอย่างร้อนแรง ประกบย้ำลงไปซ้ำๆ ราวกับกลัวว่าต้องเสียคนตรงหน้าไป จริงๆ แล้วเรื่องนั้นน่ะ ผมกลัวยิ่งกว่าความตายหรือการไม่มีตัวตนอยู่ของตัวเองเสียอีก ผมแค่อยากให้ลูคัสมีความสุขเท่านั้น ทั้งๆ ที่ผมต้องการแค่นั้นแท้ๆ แต่ทำไมมันถึงได้ยากเย็นนักนะ…

“นายต้องมาดูฉันขึ้นแสดงนะ” ลูคัสพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนหลังจากที่เราผละริมฝีปากออกจากกันแล้ว “นายสัญญาแล้ว… นายสัญญาแล้ว โลแกน”

“ผมจะไป ลูคัส” ผมรับปากพร้อมๆ กับปล่อยมืออีกฝ่าย “ผมสัญญา”

“อุ๊ย โรแมนติกจัง” เมแกนที่ยังยืนอยู่นอกรถยกมือแตะปาก ส่วนเนทในร่างแมคโดเวลเลื่อนกระจกลงแล้วโผล่หน้าออกมา

“รีบๆ แยกย้ายได้แล้ว”

นั่นแหละ ลูคัสถึงยอมขึ้นรถไปในที่สุด ผมรอให้ตัวรถเคลื่อนออกไปจากบริเวณนั้นครู่หนึ่งก่อนจะรีบตรงดิ่งไปที่รถของตัวเองบ้าง กุญแจรถยังคงเสียบคาอยู่ด้านใน ผมสตาร์ทเครื่อง ปลดเกียร์ว่างแล้วเริ่มเหยียบคันเร่งออกไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับที่เนทพาลูคัสไป

ผมเลื่อนมือไปกดเนวิเกเตอร์ที่อยู่บนหน้าจอตรงบริเวณคอนโซลรถ เลือกสถานที่เป้าหมายแล้วมุ่งหน้าไปยังที่นั่น พยายามตั้งสมาธิกับงานที่ต้องทำต่อจากนี้ ทบทวนแผนการของภารกิจทั้งหมดในหัว ครัง้นี้มันยากกว่าครั้งไหนๆ ที่ผ่านมาทั้งหมดเพราะจะคอยมีเรื่องของลูคัสเข้ามารบกวนอยู่ในหัวเรื่อยๆ บ้าชะมัด… ทั้งที่กว่าจะวางแผนงานนี้ได้ผมต้องทำงานหนักจนเลือดตาแทบกระเด็นแท้ๆ แต่ถ้ามันจะมาเสียเพราะความไม่มีสมาธิ… ความไม่ได้เรื่องของผมล่ะก็ ผมคงไม่มีวันให้อภัยตัวเองไปตลอดชีวิต

‘ใจเย็นๆ’ ผมสูดลมหายใจเข้าปอดช้าๆ ดึงความเยือกเย็นของตัวเองกลับมา ‘ถ้านายทำตามแผนทุกอย่างได้ นายก็จะกลับไปดูลูคัสขึ้นแสดงทัน เพราะงั้นอย่าลน นายเคยผ่านอะไรที่ยากกว่านี้มาแล้วไม่ใช่รึไง เพราะงั้น… แค่ตั้งสติให้ดีๆ นายก็จะฆ่าจูดี้ ฮิลล์ตามแผนที่วางไว้ได้ จากนั้นก็จะกลับไปดูลูคัสขึ้นแสดงทันด้วย’

ผมมาถึงตึกระฟ้าหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองอันเป็นสถานที่ที่ผมต้องใช้ในการทำงานวันนี้

เหตุผลหนึ่งที่แผนการครั้งนี้มันยุ่งยากกว่าทุกครั้งเพราะผมจำเป็นต้องวางแผนให้รัดกุมและทำให้แน่ใจว่าคนที่อยู่เบื้องบนจะไม่รับรู้ถึงภารกิจในครั้งนี้

จริงๆ แล้วนั่นเป็นสิ่งที่เรียกได้ว่าผิดกฎอย่างหนึ่ง แต่ในเมื่อผมต้องการจะสอยคนที่อยู่ในระดับสูงที่ว่า… ผมจำเป็นต้องทำ และได้รับความช่วยเหลือจากหลายๆ ฝ่าย อย่างเช่นแกรนท์… ผมรู้ดีว่าเจ้าหล่อนต้องเสี่ยงขนาดไหนเพื่อช่วยผม แล้วก็ยังมีฮิวเบอร์อีกคนที่คอยหนุนหลังให้ แต่ครั้งนี้เราต้องทำให้แน่ใจว่าจะไม่มีหนอนหรือพวกของฮิลล์รับรู้แผนการนี้เหมือนคราวที่แล้ว

หลังจากที่ผมฆ่าหล่อนแล้ว… ผมรู้ดีว่าเพื่อนร่วมงานของผมจะต้องตกอยู่ในที่นั่งลำบาก แต่ผมรู้ว่าพวกเขาฉลาดพอที่จะผ่านเรื่องนี้ไปได้ พวกเขามีหลักฐานทุกอย่างเกี่ยวกับความผิดของผู้หญิงคนนั้นและสาเหตุที่เจ้าหล่อนสมควรตายที่ดีพอ แต่พอถึงตอนนั้น ผมจะไม่เดือดร้อนอะไรอีกแล้ว เพราะผมจะไม่อยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไปแล้วนี่

ทางทีมของผมจัดเตรียมอุปกรณ์ไว้ให้ทุกอย่างแล้ว ผมเห็นแกรนท์ที่ยืนรออยู่ตรงมุมหนึ่งของตึกตามที่ได้นัดแนะกันไว้ เจ้าหล่อนอยู่ในเครื่องแต่งกายของยามรักษาการณ์ที่เน้นทรวดทรงส่วนเว้าของหล่อนให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ยัยนี่หุ่นเด็ดดวงจริงๆ นั่นแหละ ยิ่งชวนให้นึกถึงตอนที่ขึ้นเตียงด้วยกันเข้าไปใหญ่

โอย ให้ตาย แล้วผมจะมานึกถึงมันอะไรตอนนี้…

“โลแกน! ให้ตายเถอะ” หล่อนหันมาเอ็ดผมทันทีที่ผมเข้าไปหา หญิงสาวมีสีหน้าร้อนรนจริงๆ ก่อนที่ผมจะมาถึง และเมื่อเห็นสภาพค่อนข้างยับเยินของผมเจ้าตัวก็ชักสีหน้านิดหนึ่ง หากมิวายเอ็ดต่อ “ฉันนึกว่านายจะไม่มาซะแล้ว รู้ไหมว่าใจหายแค่ไหน… เอ้า นี่ของของนาย เดี๋ยวนายเข้าไป ผ่านทางนี้เข้าไปนะ เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วเข้าไปซะ เร็วๆ เข้า เราไม่มีเวลาแล้ว”

ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าตามที่เจ้าหล่อนจัดเตรียมไว้ให้ มันเป็นชุดที่ดูค่อนข้างเก่าเหมือนผ่านการใช้งานมานาน มีคราบน้ำมันและคราบเปื้อนเป็นจุดๆ มือข้างหนึ่งถือกล่องอุปกรณ์เครื่องมือที่ข้างในไม่ได้ใส่เครื่องมือการช่างอย่างที่คนนอกคิด คราวนี้ได้เป็นช่างซ่อมไฟเหรอเนี่ย เอาเถอะ ยังไงก็เป็นอยู่ไม่ถึงชั่วโมงอยู่แล้ว

ผมเดินขึ้นบันไดที่ใช้เป็นทางหนีไฟ ไม่ใช้ลิฟท์แบบผู้มาเยือนคนอื่นๆ ก้มลงมองนาฬิกาข้อมือที่เข็มวินาทียังเดินต่อไปเรื่อยๆ อย่างรวดเร็วในความรู้สึกของผม จากนั้นก็เร่งฝีเท้ามากขึ้นเพราะต้องแข่งกับเวลา คราวนี้ผมมาสายจากเวลาที่ควรจะลงมือปฎิบัติการไปหลายนาทีทีเดียว ทั้งๆ ที่จริงๆ แค่คลาดเคลื่อนไปไม่กี่วินาทีก็ถือว่าแย่พอแล้ว รอบนี้ต้องเรียกได้ว่าชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายระหว่างความเป็นกับความตายทีเดียว

“แฮ่ก…” ผมหลุดหอบหายใจออกมาเล็กน้อยขณะก้าวเท้าขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ละย่างก้าวค่อยๆ หนักขึ้นเพราะเรี่ยวแรงที่เริ่มหดหายไป เบื่อจริงๆ เลยที่ต้องมาอยู่ในร่างมนุษย์ที่มีเรี่ยวแรงจำกัดเนี่ย ยิ่งเพราะผมใช้พลังไปอย่างมหาศาลตอนที่ไปช่วยลูคัสออกมายิ่งทำเอาความเหนื่อยทวีคูณขึ้นไปอีก

หากในที่สุดผมก็ขึ้นมาถึงชั้นที่สี่สิบสองซึ่งเป็นชั้นบนสุดของอาคารแห่งนี้ ผมงอตัวลงหอบหายใจเล็กน้อยๆ พร้อมๆ กันนั้นก็หยิบของที่อยู่ในกล่องเครื่องมือช่างออกมาประกอบกันในห้องเล็กๆ ซึ่งเต็มไปด้วยข้าวของที่ไม่ได้ใช้งานมานานแล้ว จากผังตึกที่ได้ศึกษามาห้องนี้คือทำเลที่ตั้งที่ดีที่สุด และมันก็กลายเป็นจุดในการปฏิบัติงานของผมในวันนี้

ผมประกอบปืนไรเฟิลของตัวเองจนเสร็จ จากนั้นก็เปิดหน้าต่างออก แง้มพอให้ปลายกระบอกผ่านออกไปได้ หลับตาลงข้างหนึ่งเพื่อเล็งเป้าหมายที่นั่งประชุมอยู่ในตึกข้างๆ การที่เราได้รับอนุมัติในการใช้อุปกรณ์ต่างๆ ในภารกิจคราวนี้นั้น เราตั้งเป้าหมายเป็นใครอีกคนหลอกๆ แน่นอนว่ากว่าจะทำอย่างนั้นได้นั้นต้องผ่านขั้นตอนและการลงทุนลงแรงอะไรไปมาก แต่เอาล่ะ ผมมาอยู่ตรงนี้แล้ว ผมจะไม่ยิงเป้าหมายหลอกๆ ที่นั่งอยู่ในห้องประชุมนั้นเพราะนั่นไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริงของผม

ผมเล็งเป้าไปที่หัวของผู้หญิงคนนั้น จูดี้ ฮิลล์… คนที่ผมใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าหล่อน ดังนั้นต่อให้ผมไม่เคยเจอตัวจริง ผมก็รู้ว่าหญิงสาวสูงวัยเจ้าของเรือนผมสีบลอนด์แซมด้วยสีขาวนั่นคือเป้าหมายตัวจริงของผมไม่ผิดแน่

เรียกได้ว่าเป็นเป้าหมายชีวิตเลยก็ว่าได้...

ผมยกยิ้มนิดหนึ่งเมื่อคิดถึงตรงนี้ ตลกดี พอคิดว่าคนทั่วไปเรียกเป้าหมายชีวิตเป็นสิ่งที่ตัวเองขวนขวาย อยากเป็นได้แบบนั้น อยากไปให้ถึง แต่คนที่เป็นเป้าหมายในชีวิตของผม กลับเป็นคนที่ผมอยากำจัดให้ตาย

ผมขยับเป้าของตัวเองเพื่อให้แม่นยำที่สุด รู้ดีว่าเวลาที่ตัวเองควรจะลั่นไกจริงๆ น่ะ ผ่านมามาเป็นนาทีแล้ว แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก ผมรับมือได้ ผมทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละถ้าผมอยากจะทำ ก็ผมมันเป็นลูกปีศาจที่มาจากนรกนี่นา

เมื่อเห็นว่าทุกอย่างลงตัวแล้วผมก็ขยับนิ้วลั่นไกอย่างมั่นคงอย่างที่เคยทำมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

เกมจบแล้ว

ทั้งของจูดี้ ฮิลล์และของผม





------------------------------------------------
Talk: เรื่องนี้กำลังจะจบแล้วค่า~~ ขอบคุณที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้นะคะ ยังไงก็ฝากติดตามกันจนจบเลยเนอะ ^^

ออฟไลน์ MissMay

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ใกล้จะจบแล้วใจหายมากเลยค่ะ ไรท์แต่งดีมากๆ เหมือนสำนวนแปลเลย ชอบมากๆ ค่ะ :hao5:

ออฟไลน์ larynx

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 821
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
จะจบแล้วเหรอ  :o12: เราเชื่อว่าโลแกนต้องไปดูทันการแสดงของลูคัสแน่ๆ  :man1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 50

(Mode: Lucas Collins)



ผมจมอยู่ห้วงแห่งความฝัน ไม่สิ ต้องบอกว่าผมกำลังหลับอยู่ต่างหาก เป็นการหลับที่เรียกได้ว่าลึกพอสมควรเลย แต่ผมไม่ได้ฝันอะไรเป็นพิเศษ แค่เห็นทุกอย่างเป็นสีดำมืด ความรู้สึกผ่อนคลายที่ร่างกายได้พักผ่อน ง่ายๆ แค่นั้น

“ลูคัส… ลูคัส!!” เสียงเรียกของใครบางคนอย่างร้อนรนเหมือนดังมาจากที่ไกลๆ เสียงนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ พร้อมกับเสียงฝีเท้าที่กระทบลงกับพื้น จากนั้นก็ตามมาด้วยแรงเขย่าที่บ่า “ลูคัส! ตื่นสิ ไอ้บ้าเอ๊ย! ว่าแล้วเชียวว่าโทรมาไม่รับต้องยังไม่ตื่น ตื่นสิโว้ย!”

“หือ?” ผมค่อยๆ ผงกหัวขึ้นมา ลืมตาขึ้นช้าๆ อย่างงัวเงีย “อ้าว… มิกกี้?”

“ลุกขึ้น เร็วๆ เลย อีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงจะถึงคิวนายแสดงอยู่แล้ว ให้ตายสิ ทำอะไรอยู่วะ”

ผมเบิกตาโพลงขึ้นมาทันที เด้งตัวลุกขึ้นจากเตียงแล้วตรงดิ่งไปเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตาง่ายๆ คว้าเสื้อผ้าที่จะใส่ขึ้นเวทีขึ้นมาสวม ไมเคิลเลื่อนมือมาช่วยติดกระดุมและโบว์กระต่ายบนคอในขณะที่ผมเซ็ตผมตัวเองลวกๆ โอ๊ย ให้ตาย! สภาพผมแม่งดูแย่มาก แล้วอะไร… ต้องขึ้นแสดงภายในไม่กี่นาทีนี้เนี่ยนะ!? ยังไม่ทันได้ทำใจเลยโว้ย!

“เร็ว ลูคัส วิ่ง! ถ้าเกิดไปสายเขาจะตัดสิทธิ์เอานะ เร็วๆ เข้า”

ผมมาหยุดอยู่ที่หลังเวทีได้อย่างพอดิบพอดีด้วยการฉุดกระชากลากถูของครูผู้ฝึกของตัวเอง คนที่เล่นก่อนหน้าผมกำลังบรรเลงท่อนสุดท้ายอยู่พอดี ผมรายงานตัวกับสต๊าฟที่อยู่ด้านหลังเวทีขณะที่หอบหายใจรัวๆ ด้วยความเหนื่อยอ่อน

“เป็นอะไรรึเปล่าคะ?” สต๊าฟสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วงเหตุเพราะผมหอบหายใจแรงมากและไม่มีท่าทีว่าจะหยุด ผมบอกหล่อนไปว่าตัวเองไม่เป็นไร จากนั้นก็พยายามผ่อนลมหายใจยาวออกมา หายใจให้ช้าลงเพื่อผ่อนคลายและรวบรวมสติของตัวเอง

ผมขมวดคิ้วมุ่นทั้งสองข้างเข้าหากันเมื่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกอย่างไหลบ่าเข้ามาในหัว ผมยกมือข้างซ้ายขึ้นมา พิจารณามองนิ้วก้อยที่ยังติดอยู่กับมือของตัวเองในสภาพไร้ที่ติ ผมขยับนิ้วทั้งสิบรัวๆ โดยเฉพาะนิ้วก้อยที่เคยถูกหั่นสะบั้นลงไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ไม่มีอาการเจ็บปวดหรือฝืดเคืองใดๆ ทุกอย่างอยู่ในสภาพดีอย่างไม่น่าเชื่อ ราวกับว่าทุกอย่างที่ผ่านมาก่อนหน้านี้เป็นความฝัน

ฝัน…. ฝันเหรอ? หรือว่าทุกอย่างเป็นแค่ความฝันจริงๆ?

ทันใดนั้นเอง ภาพที่ด้านคมของมีดเฉือนลงบนนิ้วก้อยข้างซ้ายของผมก็ทะลักเข้ามาในหัว ผมสะดุ้งสุดตัว ยังรู้สึกถึงความเจ็บที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้จากนิ้วของตัวเอง มือผมสั่นเพราะความรู้สึกกลัวที่ถาโถมเข้ามาในใจอีกครั้ง

ไม่… มันไม่ใช่ความฝัน ไม่มีทางเป็นความฝัน ทุกอย่างแจ่มชัดเกินกว่าจะเป็นแค่ฝัน

วินาทีนั้นเองที่ผมนึกถึงคนที่สั่งให้จาฟาร์ลากตัวผมไปหั่นนิ้วออกผมก็ตัวชาวาบขึ้นมา สอดส่ายสายตาหาเอ็ดการ์ คอร์เนอร์ทันที แต่เหมือนเขาจะไม่อยู่บริเวณนั้น

หมอนั่น… ไอ้ทุเรศนั่น

ผมไม่รู้ว่าเอ็ดการ์เป็นคนบงการเรื่องนี้หรือว่าแค่พ่อของเขาเท่านั้น ผมอยากจะรู้เรื่องนั้นเหมือนกัน แต่ยังไม่ทันได้ตามหาเจ้าตัวอย่างที่ใจอยาก เจ้าหน้าที่ที่อยู่ด้านหน้าก็เรียกให้ผมขึ้นไปแสดงบนเวที

จริงสิ เสียงเพลงของคนก่อนหน้าผมเงียบลงไปแล้ว… ต่อจากนี้คือการแสดงของผม

“เชิญเลยค่ะ” หญิงสาวที่ยืนหมิ่นเหม่อยู่ตรงม่านกั้นหันมาหาผม ก่อนเจ้าหล่อนจะชะงักไปนิด ถามต่อไปด้วยน้ำเสียงกัวล “คุณคอลลินส์คะ เป็นอะไรรึเปล่า?”

“มะ… ไม่ครับ” ผมตอบอึกอัก แต่ก็รู้สึกได้ถึงความหวาดกลัวและความกดดันที่โหมเข้ามาในใจ เจ้าหน้าที่สาวหยิบทิชชู่มาแล้วซับหน้าผมเบาๆ อย่างอ่อนโยน หากแม้จะแผ่วเบา แต่สัมผัสนั่นทำผมสะดุ้งเฮือกสุดตัวทันที และนั่นทำให้เจ้าหล่อนสะดุ้งตามไปด้วย

“คุณจะขึ้นเวทีไหวเหรอคะ” เจ้าหน้าที่สาวถาม ตอนนี้หน้าซีดตามผมไปเรียบร้อย

ผมอยากจะบอกหล่อนเหลือเกินว่าไม่ไหว อยากจะขอยอมแพ้ตรงนี้แล้ววิ่งหนีไปให้ไกล หาตัวเอ็ดการ์ คอร์เนอร์แล้วเค้นคอมัน หาตัวโลแกน คอลลินส์แล้วต่อยหน้ามันสักทีโทษฐานปล่อยผมไว้ตรงนี้คนเดียว แล้วอีกสองคนที่พาผมไปส่งถึงห้องพักในโรงแรมนั่นชื่ออะไรนะ… เนทกับเมแกนใช่ไหม? จริงๆ แล้วสองคนนั้นเป็นใครกันแน่ แล้วโลแกนเป็นใครกันแน่ ทำไมหมอนั่นถึงไม่บอกอะไรผมสักคำ

ความเสียใจ โกรธ ผิดหวัง แค้น กังวล หวาดกลัว ความรู้สึกพวกนั้นมันปั่นป่วนอยู่ในตัวผมจนทำให้อึดอัดไปหมด อยากจะหาที่ระบายจริงๆ เพิ่งเข้าใจความรู้สึกของคนที่โมโหจนต้องอาละวาดทำลายข้าวของ ผมเองก็นึกอยากทำแบบนั้นขึ้นมาเหมือนกัน

“คุณคอลลินส์” เสียงนั้นปลุกผมขึ้นมาจากภวังค์อีกครั้ง เจ้าหล่อนมองหน้าผมด้วยสีหน้าไม่แน่ใจ หากผมรู้ดีว่าหญิงสาวต้องการจะพูดอะไร

ถึงเวลาที่ผมต้องขึ้นแสดงแล้ว

“ครับ ขอบคุณครับ” ผมพึมพำจากนั้นก็ก้าวเท้าออกไปผ่านม่านที่กั้นระหว่างด้านหน้ากับด้านหลังเวที แม้จะยังรู้สึกได้ว่ามือสั่น เนื้อตัวสั่น แม้จะยังรู้สึกเหมือนอยากจะวิ่งหนีไปให้ไกล อยากละทิ้งทุกอย่าง แต่อะไรบางอย่างที่รุนแรงพอๆ กันกลับผลักดันให้ผมก้าวเดินต่อไปได้

ผมต้องเล่นเปียโน

ผมบอกกับตัวเองแบบนั้น ผมสัญญากับใครคนหนึ่งไว้ว่าผมจะขึ้นไปแสดง แล้วคนคนนั้นก็สัญญากับผมว่าจะมาดู จากนั้นผมก็จะได้ที่หนึ่ง แล้วคนคนนั้นก็จะเข้ามาแสดงความยินดีกับผม

เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นทั่วทั้งบริเวณฮอลล์ของผู้ชมทันทีที่ผมก้าวออกไป เสียงที่ได้ยินแว่วเข้ามาชัดบ้างไม่ชัดบ้าง แต่น่าแปลก… ทั้งที่จิตใจผมไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวแต่ผมกับรับรู้ถึงเสียงพูดคุยเบาๆ นั่นได้อย่างชัดเจน

“นั่นเหรอ… ลูคัส คอลลินส์?”

“ตัวจริงดูดีกว่าในรูปอีกนะ”

“แต่เขาออกมาช้าจัง โฆษกประกาศเรียกตั้งหลายรอบแล้ว”

“เธอว่าหน้าเขาดูซีดๆ ไหม?”

“เห็นว่าเป็นตัวเก็งนี่? อยากรู้จังจะเล่นเพลงแบบไหน”

“ยังไงฉันก็เชียร์คอร์เนอร์อยู่ดี เพลงหมอนั่นมันสุดยอด”

“ทำไมหมอนี่เดินช้าจัง หรือว่าจะตื่นเต้น? ดูสิ ตัวเกร็งไปหมด”

“ถ่วงเวลาอยู่มั้ง”

ผมเดินออกไปตรงหน้าเวทีแล้วโค้งให้กับผู้ชม บอกให้ตัวเองตั้งสติแล้วสงบจิตสงบใจลง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ขึ้นเวทีสักหน่อย มาทำเป็นตื่นเวทีไปได้

ถึงผมจะรู้ดีก็เถอะว่าอาการของตัวเองในตอนนี้ไม่มีอะไรใกล้เคียงกับคำว่าตื่นเวทีเลยแม้แต่น้อยก็ตาม หลังจากผ่านเหตุการณ์ทั้งหมดมาในวันนี้… ในช่วงเวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง แต่เป็นไม่กี่ชั่วโมงที่เหมือนนั่งอยู่บนเครื่องบินที่กำลังเอาหัวปักลงมาเตรียมพุ่งสู่พสุธาโดยที่ไม่มีคนขับ… เรื่องตื่นเวทีอะไรนั่นก็เป็นอะไรที่เล็กกะจ้อยร่อยมาก เทียบกันได้ไม่ติดเลยด้วยซ้ำ ผมนึกไม่ออกเลยว่าจะมีอะไรที่ทำให้ผมหดหู่หรือสับสนมากไปกว่านี้อีกไหมในชีวิต

แต่ถ้ามี… เรื่องตื่นเวทีคงไม่ใช่หนึ่งในนั้นแน่

ผมเลื่อนเก้าอี้ออกมานั่ง จ้องมองคีย์เปียโนขาวดำนิ่งราวกับมันเป็นงูที่พร้อมจะกระโจนเข้ามากัดได้ทุกเมื่อ ผมพยายามสลัดความคิดนั้นทิ้ง ตลอดเวลาที่ผมฝึกซ้อมมาทั้งหมด ทุ่มเทมาทั้งหมด... ผมต้องเล่นเปียโน

ผมหงายฝ่ามือที่สั่นเทาทั้งสองข้างขึ้นมามองราวกับต้องการจะดูให้แน่ใจว่าผมยังมีนิ้วอยู่บนนั้นครบทั้งสิบนิ้ว มือของผมสะอาด แต่ภาพตอนที่มันเปื้อนเลือดซ้อนเข้ามาในตา

เลือดของผู้ชายคนนั้น… คนที่ผมฆ่าไปเพื่อช่วยชีวิตโลแกน

หรือว่า… เลือดของพ่อผู้ให้กำเนิดผมกันแน่?

ผมได้ยินเสียงตัวเองกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ จากนั้นใบหน้าก็ฟุบลงบนฝ่ามือทั้งสองข้างอย่างเหนื่อยอ่อน ผมได้ยินเสียงฮือฮาที่ดังมาจากทางฝั่งผู้ชม

“เป็นอะไรไปน่ะ? กดดันเหรอ?”

“สงสัยจะเครียดล่ะมั้ง รอบชิงด้วย”

“มัวแต่ทำอะไรของเขา รีบๆ เล่นสักที”

ไม่…. ผมทำไม่ได้ ผมเล่นเปียโนไม่ได้ ทุกอย่างนี่มันมากเกินไปแล้ว ผมไม่เข้าใจเลยว่าตัวเองใช้ชีวิตอยู่มาได้ยังไงจนถึงตอนนี้

วินาทีที่โลแกนบอกกับผมว่าเขาเป็นคนฆ่าพ่อในวันนั้น ส่วนหนึ่งในตัวของผมรู้สึกโล่งสบายอย่างบอกไม่ถูก บางทีผมอาจจะรู้ความจริงอยู่แล้วแต่หลบหนีมันมาตลอดก็ได้ โยนความผิดที่เรื่องที่ว่าใครเป็นผู้ชายคนนั้นให้กับน้องชายของตัวเอง เพียงเพราะว่าทำแบบนั้นแล้วมันทำให้ตัวเองสบายใจกว่าเท่านั้น มันทำให้ตัวผมรู้สึกโล่งใจ สามารถบอกกับตัวเองได้ว่าได้ว่าตัวเองเป็นคนดี บอกกับพระเจ้าได้ว่าตัวเองเป็นคนดี

ยังไงเสียโลแกนก็ไม่เดือดร้อนกับการต้องฆ่าคนอยู่แล้ว โยนความผิดทุกอย่างให้หมอนั่นไปซะก็ได้ ก็มันง่ายดีไม่ใช่เหรอ? ทำไมจะต้องแบกรับบาปหรือความผิดที่ตัวเองก่อด้วย ในเมื่อมีใครอีกคนที่คอยอ้าแขนโอบรับไว้ให้ แม้แต่ความผิดที่ฆ่าพ่อของตัวเอง ผมก็สามารถปัดมันออกไปจากตัวโดยง่าย เพียงเพราะโลแกนเป็นปีศาจที่ไม่รู้สึกรู้สมอะไรและผมเป็นคนที่อยากจะสร้างภาพลักษณ์หลอกตัวเองว่าเป็นคนดีแสนประเสริฐอย่างนั้นเหรอ?

ใครเป็นปีศาจกันแน่?

ตึ่ง!

ผมกระแทกนิ้วทั้งสิบลงบนคีย์เปียโนอย่างแรง ได้ยินเสียงอุทานอย่างตกใจออกมาจากที่นั่งคนดู ผมรู้ดีว่าคนมากมายกำลังรอฟังเปียโนของผมอยู่ และผมก็รู้ดีด้วยว่าต่อให้ผมกำลังตายลงอยู่ตรงนี้ผมก็ต้องเล่นมันออกมา

เสียงที่ตามมาจากการกระแทกนิ้วลงไปคือเสียงอ่อนหวานและเศร้าสร้อย เคล้าคลอกันราวกับความรุนแรงเมื่อครู่นี้เป็นเรื่องโกหก ผมกรีดนิ้วลงไปบนคีย์พวกนั้น ใช้พวกมันเป็นเครื่องระบายอารมณ์ที่พลุ่งพล่านอยู่ในอกของผม จวนเจียนจะระเบิดออกมาอยู่นี่

ผมรู้สึกได้ว่าจิตใจของตัวเองค่อยๆ สงบลงหลังจากที่เล่นเพลงที่ฝึกซ้อมมาตลอดไปเรื่อยๆ ได้ยินเสียงกรีดร้องที่เจ็บปวดจากหัวใจของตัวเองผ่านเสียงเพลงที่บรรเลงออกมา จากนั้นก็มีแค่ผมกับเปียโนตรงหน้าเท่านั้น ไม่มีอะไรอย่างอื่นเข้ามารบกวนพวกเรา ไม่มีเรื่องราวที่ชวนให้สับสนและเจ็บปวดอยู่ในหัวอีกต่อไป

‘ถ้าเป็นนายล่ะก็… ต้องทำได้อยู่แล้ว’ ผมจำได้ว่าโลแกนเคยพูดแบบนั้นกับผม และนั่นทำให้ผมหลุดยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว มันเติมเต็มความมั่นใจให้กับผม ให้กับเสียงเพลงของผม และมันก็ทำให้หัวใจของผมอุ่นซ่านขึ้นอย่างประหลาด ไม่น่าเชื่อว่าคำพูดของไอ้น้องชายฝาแฝดที่ใครต่อใครก็บอกว่ามันเป็นเด็กนรกนั่นจะมีอิทธิพลมากมายกับผมมากขนาดนี้

ผมบรรเลงโน้ตท่อนต่อไป ปล่อยให้มันขับกล่อมทั้งตัวผมและผู้ชมที่นั่งฟังอยู่ตรงนี้ทั้งหมด อยากฝากทั้งหมดของผมนี่ไปให้พวกเขา ให้ทุกคนได้รับรู้ เสียงเพลงของผม… ความตั้งใจของผม มันเปี่ยมไปด้วยแรงอารมณ์ที่คละเคล้าระหว่างอ่อนหวาน เศร้าสร้อย บีบคั้น และตื่นเต้นอยู่เป็นบางจังหวะ มันเป็นเพลงที่เล่นค่อนข้างยากถ้าเทียบกับเพลงอื่นๆ ที่ผมเคยเล่นมา แต่ไมเคิลก็ยืนยันว่าผมควรจะเล่นเพลงนี้ในการแข่ง

‘ไม่เป็นไรหรอก ลูคัส เชื่อฉันสิ’

ผมรู้สึกได้ถึงน้ำตาหยดหนึ่งที่หล่นลงมาบนแก้ม โลแกนมักจะพูดคำนั้นกับผมเสมอ บอกผมว่าไม่เป็นไร หมอนั่นพูดแค่นั้นเอง ไม่เคยมีหรอก ศิลปะในการพูดปลอบคนน่ะ หมอนั่นพูดได้แค่นั้นจริงๆ แต่สิ่งที่เจ้าตัวทำ สิ่งที่เจ้าตัวแสดงออกมา สิ่งที่เขาทำให้ผม… มันชัดเจนยิ่งกว่าคำพูดนั้นมากมายหลายเท่า

พอนายพูดแบบนั้นแล้ว… เหมือนกับว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไร… ตามที่นายพูดจริงๆ 

ผมเหลือบมองนิ้วก้อยข้างซ้ายที่ค่อยๆ ผ่อนแรงลงขณะบรรเลงเพลงท่อนสุดท้าย จากนั้นก็หลุดยิ้มบางๆ ออกมาที่มุมปากอย่างอดไม่อยู่

ขนาดฉันนิ้วขาดไปรอบหนึ่งแล้ว นายยังมีหน้ามาบอกกันอีกว่าไม่เป็นไร… แล้วนายก็ดันทำให้มันไม่เป็นไรตามที่นายพูดจริงๆ อีก

ผมจรดโน้ตตัวสุดท้ายลงบนคีย์ จากนั้นทุกอย่างก็ตกอยู่ห้วงแห่งความเงียบสงบ ผมค่อยๆ ละมือออกอย่างเชื่องช้า ลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่อย่างอ้อยอิ่ง

เสียงปรบมือดังกระหึ่มไปทั่วทั้งฮอลล์ เป็นการตอบรับที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยได้รับมา ผมได้ยินเสียงของผู้คนดังลอยมาปะปนไปกับเสียงปรบมือ คำพูดพวกนั้นล้วนเป็นคำชม ผมสังเกตเห็นว่ามีบางคนร้องไห้ตามผมด้วยซ้ำ และนั่นทำให้ผมต้องรีบยิ้มออกมากว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้

ยิ้ม… ทั้งๆ ที่มีน้ำตาอยู่บนหน้า แย่จริง สภาพตอนนี้ตอนดูไม่จืดแหงๆ

ผมมองผู้คนที่ลุกขึ้นยืนจากที่นั่งของตัวเองแล้วปรบมือให้ ภาพที่เห็นทำให้หัวใจพองโตด้วยความยินดีจริงๆ ผมกวาดตามองไปรอบๆ จนกระทั่งสายตาไปสะดุดอยู่ที่ใครคนหนึ่ง ชายหนุ่มคนนั้นยืนอยู่ที่ริมซ้ายสุดจากสายตาของผม อยู่ข้างๆ ริมบันไดที่ถูกกั้นเอาไว้อย่างดี เจ้าตัวไม่นั่งบนเก้าอี้เหมือนคนอื่น และดูจากตำแหน่งที่ยืนอยู่แล้วคงไม่ได้นั่งมาตลอดจนถึงตอนนี้

โลแกน คอลลินส์… น้องชายฝาแฝดของผมนั่นเอง

โลแกนอยู่ในชุดที่เปลี่ยนไปอีกแล้ว เป็นชุดกึ่งทางการ นั่นคือสูทแบบไม่ใส่เนคไท ชุดโปรดของเจ้าตัว การที่หมอนี่มาอยู่ในสภาพนี้ได้ แปลว่าภารกิจของมันต้องสำเร็จลุล่วงไปเรียบร้อยแล้ว

‘ให้ตายสิ นายนี่จริงๆ เลยนะ…’ ผมลอบคิดในใจอย่างมีความสุข นึกแปลกใจตัวเองเหมือนกันที่สามารถมีอารมณ์ได้มากมายขนาดนี้ในเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น

แต่ให้ตายเถอะ…

ผมดีใจจริงๆ ที่ได้เห็นมัน





---------------------------------------
Talk: เย่ๆๆๆ น่าจะอีก 2-3 ตอนก็จบแล้ววว~~ ฟฟฟฟ/ ฝากติดตามกันจนถึงวินาทีสุดท้ายด้วยนะคะ O3O จุ๊บๆ

ออฟไลน์ larynx

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 821
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
ดิฉันสัมผัสได้ถึงความละมุนในตอนที่เขามองเห็นกันค่ะ /ร้องไห้   บอกแล้วว่ายังไงโลแกน ไอ้เด็กนรกนั่นต้องมาทัน

ออฟไลน์ love noon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
ที่รัก เจ้รอ อยากเห็นเค้าหวานกันอ่ะ

ออฟไลน์ tiew93

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ภารกิจเสร็จแล้ว... เอาลูคัสไปด้วยนะโลแกนนน ถ้าปล่อยลูคัสอยู่คนเดียวแย่แน่  :sad4:

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 51

(Mode: Lucas Collins)




ผมสบตากับโลแกนนิ่งราวกับต้องมนตร์ หมอนี่มาดูผมแสดงบนเวทีจริงๆ ตามที่ได้สัญญาไว้ ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าเหมือนกันกับผมทุกประการมีรอยยิ้มประดับอยู่บนหน้า เจ้าตัวปรบมืออยู่ตรงนั้นเหมือนกับคนอื่นๆ แต่ผมไม่สามารถละสายตาจากเขาได้เลย

‘ฉันทำได้แล้ว โลแกน’ ผมลอบคิด แม้จะไม่รู้ว่ามันจะส่งไปถึงเจ้าตัวรึเปล่าก็ตาม แต่แค่หมอนั่นมาดูผม… ผมก็ดีใจมากเหลือเกินแล้ว ดีใจแบบที่บรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก

หากสิ่งที่โลแกนทำต่อจากนั้นทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกกระชากหัวใจออกไปเสียดื้อๆ เจ้าตัวหมุนตัวแล้วเดินไปจากตรงนั้น ผ่านเลยบริเวณที่นั่งคนดูทั้งหมดแล้วตรงไปยังประตูทางออกทางด้านหลัง

ผมมองตามแผ่นหลังของเขาไป บางทีโลแกนอาจจะออกจากตรงนั้นเพื่อมาพบกับผมที่เวทีด้านหลังก็ได้ แต่ลางสังหรณ์ในตัวผมบอกว่ามีอะไรบางอย่างต่างออกไป ความรู้สึกบางอย่างที่รุนแรง… อะไรบางอย่างที่ว่านั่นทำให้ผมกลัวอย่างไม่มีสาเหตุ

ช่วงเวลาที่ได้สบตากันเมื่อครู่ ราวกับโลแกนกำลังบอกอะไรกับผมหลายๆ อย่างผ่านสายตานั่น

ยินดี เสียใจ ภูมิใจ โหยหา… บอกลา?

โลแกนกำลังจะไปที่ไหนอย่างนั้นเหรอ? แล้วทำไมหมอนั่นไม่เห็นพูดอะไรกับผมสักคำ

อะไรของมันวะ...

“ขอโทษครับ” ผมเดินกลับไปที่หลังเวที มีเจ้าหน้าที่ที่คอยดูแลความเรียบร้อยของงานตรงเข้ามาแสดงความยินดีด้วย แต่ผมยกมือขึ้นเป็นเชิงบอกว่าไม่พร้อมจะคุยก้วยตอนนี้ โค้งศีรษะให้คนที่พยายามจะเข้ามาอย่างสุภาพจากนั้นก็เร่งฝีเท้าออกไปจากบริเวณหลังเวที เห็นหลังไวๆ ของโลแกนเดินออกจากสถานที่จัดแสดง

ไอ้นรกเอ๊ย…!!

ผมกัดฟันอย่างแค้นใจ หากฝีเท้าที่กำลังจ้ำพรวดไปข้างหน้าหยุดชะงักลงเมื่อสายตาหันไปเห็นใครอีกคน

เอ็ดการ์ คอร์เนอร์

ชายหนุ่มกำลังมองมาทางผมด้วยสีหน้าอึ้งๆ นัยน์ตาสีฟ้าใสเหลือบลงมองมือทั้งสองข้างของผม แค่เสี้ยววินาทีเท่านั้นที่นัยน์ตาคู่นั้นบ่งบอกถึงความผิดหวัง จากนั้นเจ้าตัวก็ทำตัวแบบเดิมๆ นั่นคือ… เล่นละคร

คนผมน้ำตาลยกรอยยิ้มหวานบนใบหน้าพร้อมกับเลื่อนมือทั้งสองข้างมาตบเข้าหากันเบาๆ

“ผมได้ฟังเปียโนของคุณแล้ว ลูคัส” เจ้าตัวว่าสีหน้าเปื้อนรอยยิ้ม “สุดยอดเลยนะ ไม่มีที่ติจริงๆ สมแล้วกับ---”

ผัวะ!

ผมไม่รอให้ให้มันพูดจนจบประโยคด้วยซ้ำขณะที่ซัดหมัดหนักๆ เข้าหน้าสวยๆ ของไอ้หมอนี่

แม่งเอ๊ย! ขอสักทีเถอะวะ!

หมัดในมือขวาของผมกระแทกลงบนกระพุ้งแก้มข้างซ้ายของเอ็ดการ์อย่างแรงจนมือชาไปหมด ผมได้ยินเสียงร้องกรี๊ดอย่างตกใจของสต๊าฟสาวที่อยู่ใกล้ๆ แถวนั้น แต่ผมไม่สนอะไรอีกต่อไปแล้ว ผมอยากจะซัดหน้าไอ้ทุเรศนี่อีกสักหลายๆ รอบนัก ถ้าไม่ติดที่ว่าผมต้องรีบตามโลแกนไปล่ะก็นะ

“แก…” ผมเค้นเสียงออกมาพร้อมกับหอบหายใจถี่ขึ้นเพราะอารมณ์ที่เริ่มพลุ่งพล่านภายใน จ้องหน้าชายหนุ่มที่ครั้งหนึ่งผมเคยไว้ใจและยกตำแหน่งเพื่อนให้อย่างแค้นเคือง เอ็ดการ์นั่งอยู่กับพื้นเพราะแรงต่อยของผมที่ทำให้เขาเซล้มลงไป นัยน์ตาสีฟ้าของหมอนั่นจ้องมองมาทางผมอย่างโกรธแค้นพอๆ กัน มันบ่งบอกอย่างชัดเจนถึงความอาฆาต

หมอนี่คงอยากได้นิ้วของผมจริงๆ นั่นแหละ ทำไมผมไม่รู้ตัวให้เร็วกว่านี้นะว่าหมอนี่น่ะ… มันจ้องจะแทงข้างหลังผมมาแต่แรกอยู่แล้ว!

“แค่นี้มันยังน้อยไปสำหรับแก ไอ้ระยำเอ๊ย!” ผมพูดด้วยเสียงที่ดังขึ้นอย่างควบคุมไม่อยู่ นักแสดงคนอื่นๆ เริ่มหันมามองทาพวกเราอย่างกล้ากลัวๆ เจ้าหน้าที่ผู้ชายที่ดูตัวใหญ่หน่อยกำลังก้าวเท้าเข้ามาเพื่อจะควบคุมสถานการณ์หรือการทะเลาะวิวาทที่อาจจะปะทุได้ทุกเมื่อ แต่ผมไม่มีเวลามาอธิบายให้เขาฟังหรือทำอะไรไร้สาระแบบนั้นหรอก

“เฮ้! เดี๋ยวก่อนสิ”

ผมก้าวเท้าออกวิ่งอีกครั้งอย่างรวดเร็วท่ามกลางความงุนงงและตื่นตะลึงของคนที่อยู่บริเวณนั้น เสียงเรียกของสต๊าฟคนนั้นดังตามไล่หลังมาแต่ผมไม่คิดจะฟัง และจะไม่ปล่อยให้ใครมาจับตัวผมไปสอบถามเหตุผลที่ผมต่อยเอ็ดการ์ คอร์เนอร์ไปด้วย ผมมีเรื่องที่สำคัญกว่าการจัดการขยะไร้ค่าแบบนั้นไม่รู้กี่สิบเท่า!

ผมก้าวพรวดออกจากประตูทางเข้าออกสวยหรูของอาคารนั้น ชายชราคนหนึ่งสะดุ้งอย่างตกใจเพราะผมพุ่งพรวดออกมาไม่ดูตาม้าตาเรือจนเกือบจะชนเขาเข้า ผมหันไปขอโทษเบาๆ จากนั้นก็ออกวิ่งไปยังทิศทางที่เห็นโลแกนเดินไปก่อนหน้านี้แวบๆ

อยู่ไหน… หมอนั่นอยู่ไหน ไปไหนแล้ว…

หากอะไรบางอย่างที่ผมเรียกมันว่าสายสัมพันธ์ระหว่างความเป็นฝาแฝดของเรากำลังชี้ทางให้ สายตาของผมเหลือบไปเห็นร่างของไอ้น้องตัวดีที่เดินหันหลังให้ผมอยู่หลังไวๆ ขณะก้าวเท้าไปตามสี่แยก กลมกลืนไปกับฝูงชนที่หลั่งไหลไม่ขาดสาย

ไอ้บ้านี่… ทำแบบนี้กับผมได้ยังไง แล้วนี่คิดจะไปไหนกันแน่ ถึงจะดีใจที่แม่งมาดูผมแสดงตามที่สัญญาไว้ก็เถอะ แต่แม่งต้องให้บอกด้วยเหรอวะว่าให้อยู่รอกันก่อน! ไม่ใช่ดูเสร็จแล้วจะหนีหายกันไปดื้อๆ แบบนี้!

“ปัดโธ่เว้ย!” ผมกัดฟันกรอดอย่างเจ็บใจ ควักโทรศัพท์ที่อยู่กระเป๋ากางเกงออกมาแล้วกดโทรหาหมอนั่น เท้าทั้งสองข้างยังคงพยายามวิ่งตามทิศทางที่เห็นร่างไวๆ ของเจ้าตัวอยู่

โลแกนไม่ชะงักตัวหรือหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู ไม่รู้ว่าเจ้าตัวไม่สนใจหรือไม่ได้พกโทรศัพท์อยู่ตอนนี้ และตอนนี้หมอนั่นก็กำลังไกลออกไปเรื่อยๆ แล้ว

ไอ้เด็กนรกเอ๊ย!!!

ผมกำลังจะวิ่งพรวดออกไปบนเส้นทางของถนน หากเสียงบีบแตรดังๆ ทำให้ผมต้องรีบดึงเท้ากลับมายืนบนฟุตบาทตามเดิม สัญญาณไฟจราจรสำหรับให้คนเดินเปลี่ยนเป็นสีแดงตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

“เร็วหน่อย… เร็วๆ หน่อย”

ผมพึมพำกับตัวเองขณะขยับขาทั้งสองข้างไปมาอย่างร้อนรน รอให้ไฟนั่นเปลี่ยนเป็นสีเขียวอีกครั้ง ระหว่างนั้นก็เขย่งเท้า มองตามแผ่นหลังของโลแกนไปด้วยเพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าตัวเดินไปทางไหน ผมไม่อยากคลาดสายตาจากหมอนั่น

ผมออกเท้าวิ่งทันทีที่สัญญาณไฟเป็นสีเขียว เดินชนไหล่ของชายคนหนึ่มที่อยู่ในชุดสูท ชนกระเป๋าถือของหญิงสาวในชุดเดรสที่จัดแต่งมาอย่างดี คนทั้งหมดหันกลับมาด่าผมอย่างหงุดหงิด ผมได้แต่พูดขอโทษไล่หลังไปโดยไม่แม้แต่จะหันไปมอง ผมไม่อยากเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว มันอาจจะทำให้ผมคลาดกับโลแกนได้

โลแกน… โลแกน! นายตั้งใจจะทำอะไรของนายกันแน่วะ? ภารกิจต่อไปเหรอ? แต่ถ้าเป็นเรื่องแบบนั้น… แล้วทำไมนายถึงไม่รับโทรศัพท์ของฉันกันล่ะ? นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ แล้วไหนจะเรื่องพี่ๆ ที่ไม่ใช่สนุษย์ของนายอีกล่ะ? รวมถึง… ตัวนายเองด้วย ไม่คิดจะอธิบายอะไรให้ฉันฟังเลยเหรอ?

ผมก้าวเท้าตามร่างของอีกฝ่ายไปเรื่อยๆ แม้จะหลุดตรงบริเวณที่พลุกพล่านด้วยผู้คนมาแล้ว ผมก็ยังตามฝีเท้าของหมอนั่นไม่ทันอยู่ดี

ให้ตายสิ… นี่มันแปลกเกินไปแล้วนะ ทั้งๆ ที่ผมกำลังวิ่งอยู่ และหมอนั่นแค่ก้าวเท้ายาวๆ เท่านั้นเอง ไม่ได้ออกแรงวิ่งเหมือนผมเลยด้วยซ้ำ แต่ทำไมกันนะ… ทำไมผมถึงไปไม่ถึงตัวหมอนั่นสักที

“โลแกน!” ผมตะโกนเรียกอีกฝ่ายเมื่อบริเวณรอบข้างเริ่มมีเสียงรบกวนน้อยลง ผู้คนบางตาลงไปมาก ใครหลายๆ คนที่อยู่บริเวณนั้นและได้ยินเสียงตะโกนของผมหันกลับมามอง แต่คนที่ผมอยากให้หันกลับมาที่สุดไม่แม้แต่จะชะงักเลยแม้แต่นิดเดียว

ผมใจหายวาบทันทีเมื่อเห็นว่าร่างสูงก้าวเท้าเดินต่อไปอย่างมุ่งมั่น ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ไม่ใส่ใจผู้คนที่เดินสวนกับตัวเองไป ไม่รับรู้เสียงเรียกของผม

นายกำลังจะไปไหนเหรอ โลแกน…

ผมคิดอย่างสิ้นหวัง อยู่ๆ ก็รู้สึกราวกับว่าระยะทางระหว่างน้องชายคนนั้นของผมกับตัวผมเองห่างไกลกันคนละโลก

นายกำลังจะทิ้งฉันไปในที่ที่ไกลแสนไกลเหรอ? เพราะว่าฉันดันไปรู้ความลับเรื่องที่นายไม่ใช่มนุษย์นั่นเข้างั้นเหรอ? แต่จนป่านนี้แล้วเนี่ยนะ? นายลบความทรงจำของฉันอีกรอบก็ได้นี่ถ้านายไม่อยากให้ฉันรู้เรื่องนั้น

“แฮ่ก…” ผมก้มตัวลง วางฝ่ามือบนเข่าทั้งสองข้างแล้วหอบหายใจออกมาแรงๆ สูดอากาศเข้าไปในปอด ขาทั้งสองข้างสั่นและล้าไปหมด เหงื่อเม็ดหนึ่งหยดลงมาจากข้างแก้มผม ไหลลงแล้วตกลงสู่พื้นดินอย่างเชื่องช้า ผมหลับตาทั้งสองข้างแน่นอย่างอัดอั้น รวบรวมพละกำลังของตัวเองอีกครั้งแล้วออกวิ่งต่อ

ไม่สิ…  ต่อให้นายไม่ทำอะไรเลย ฉันก็ไม่คิดจะบอกใครเรื่องนั้นอยู่แล้ว เพราะต่อให้บอกไปก็ไม่มีใครเชื่อ ถ้านายไม่เปิดเผยตัวตนนั่นของนายขึ้นมาเสียอย่าง นายเองก็รู้อยู่แล้วใช่ไหมว่ามันก็แค่นั้นเอง แล้วอะไรคือเหตุผลที่ทำให้นายตัดสินใจจะทิ้งฉันไปล่ะ?

ไม่เอานะ… ไม่เอาแบบนั้น

“อึก…” ผมเลี้ยวโค้งที่หัวมุมด้านซ้ายตามชายหนุ่มผมทองไปด้วยความเร็วทั้งหมดที่จะทำได้ ท้องฟ้าค่อยๆ ถูกย้อมเป็นสีส้มขณะที่พระอาทิตย์เคลื่อนลงต่ำ แสงที่ยังเหลืออยู่อาบไปทั่วทั้งเมือง ชโลมตัวผมเข้ากับแสงสีอ่อนของมัน

ฉันไม่สนใจหรอกต่อให้นายจะเป็นปีศาจ ไม่สนใจเลยว่านายจะฆ่าคนมาแล้วกี่คน… อ้อ ใช่ ฉันเองก็ฆ่าคนมาแล้วเหมือนกัน! ถึงจะไม่เยอะเท่านาย แต่ก็ถือว่ามือเปื้อนเลือดเหมือนกันแล้วใช่ไหม?

ได้โปรด โลแกน หันกลับมาหาฉันเถอะ ต้องให้ฉันทำยังไงล่ะ…

“แฮ่ก… แฮ่ก…” ผมหอบหายใจแรงๆ ขณะเงยหน้าขึ้นไปมองตึกร้างที่โลแกนเดินผลุบหายเข้าไป มันสูงเสียดฟ้าและดูจากสภาพภายนอก คงจะถูกปล่อยให้รกร้างมานานแล้ว

ผมเดินเข้าไปในอาคารผุพังอย่างไม่ลังเล หากต้องร้องครางออกมาหน่อยเมื่อเห็นบันไดชันทอดยาวขึ้นไป คอนกรีตของตัวอาคารนี้เต็มไปด้วยสีซีดๆ ของสเปรย์ซึ่งถูกพ่นเป็นรูปภาพและคำต่างๆ ที่ค่อนข้างหยาบคาย เป็นนัยว่าพวกเด็กเกรเรคงได้มาเยือนที่นี่แล้วเป็นแน่ และคงไม่ใช่แค่กลุ่มสองกลุ่มด้วย

ผมสูดลมหายใจลึกๆ เข้าปอดเพื่อให้กำลังใจตัวเองและเรียกกำลังกลับคืนมาบ้าง แม้ว่ามันจะช่วยได้จริงๆ แค่นิดเดียวก็เถอะ

ผมเดินขึ้นบันไดที่สูงชันนั้นขึ้นเรื่อยๆ ผ่านชั้นที่ห้ามา ชั้นที่สิบมา แต่ดูเหมือนผมจะยังไปไม่ถึงสถานที่ที่ผมต้องไปให้ถึงเสียที ผมได้ยินเสียงหอบหายใจของตัวเองค่อยๆ แผ่วลง ราวกับร่างกายเริ่มปรับตัวเข้ากับความเหนื่อยอ่อนได้แล้ว และค่อยๆ เปลี่ยนมันให้กลายเป็นความอ่อนล้าแทน

รู้สึกได้เลยว่าทุกก้าวที่ย่างก้าวขึ้นไปช่างหนักอึ้ง ความเร็วในการเดินลดลงเรื่อยๆ อย่างน่าใจหาย ราวกับว่ามันสามารถหยุดลงกับที่ได้ทุกเมื่ออย่างไรอย่างนั้น แต่เมื่อใดที่มันคิดจะหยุด ผมก็ต้องสั่งให้มันก้าวเดินต่อไป… ขึ้นไปเรื่อยๆ จนกว่าผมจะเจอคนที่อยากเจอ ต่อให้ต้องไปให้ถึงชั้นที่สูงที่สุดของอาคารแห่งนี้ผมก็จะไป… ถ้ามันจะทำให้ผมได้เจอกับโลแกนล่ะก็

ผมไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ในชั้นที่เท่าไรแล้ว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่ที่ตัวเองอยู่ตอนนี้อยู่บนโลกใบเดิมที่ตัวเองรู้จักมาตลอดรึเปล่า

เปลวไฟสีแดงฉานลุกท่วมขึ้นเป็นจุดๆ ทั่วทั้งชั้นชั้นนั้น ในพื้นที่ที่ว่างเปล่า ไม่มีอะไรนอกจากเสาพังๆ และสภาพเสื่อมโทรมของสิ่งก่อสร้าง

โลแกนยืนอยู่ตรงนั้น ตรงระเบียงที่ทอดยาวออกไปสู่พื้นที่ด้านนอกซึ่งมีคอนกรีตเก่าๆ กั้นเอาไว้กันคนตกลงไปตอนที่ตัวตึกยังเปิดให้บริการ

“โลแกน” ผมเรียกชื่อเขาอย่างยินดี กำลังจะก้าวเท้าเข้าไปหาเจ้าตัว หากเมื่ออีกฝ่ายหันหน้ากลับมามอง ผมก็ต้องชะงักฝีเท้าไปอย่างรวดเร็ว

นัยน์ตาสีฟ้าของเจ้าตัวสะท้อนสีแดงออกมาให้เห็นวูบวาบ บางทีมันคงอาจจะมาจากเพลิงที่ขึ้นอยู่รอบๆ นี่ หรือบางทีก็อาจเป็นเพราะตาของโลแกนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงจริงๆ

ผมมองเขาโค้งงอที่อยู่บนหัวของอีกฝ่าย แบบที่ถ้าผมเห็นก่อนจะเจอเหตุการณ์ทั้งหมดในวันนี้ผมคงหัวเราะก๊ากแล้วแซวมันว่าแต่งตัวคอสเพลย์วันฮาโลวีนอยู่เหรอ อะไรแบบนั้น แต่มาตอนนี้ผมไม่คิดจะล้อเล่นกับเรื่องนั้นอีกต่อไปแล้ว

น้องชายของผมไม่ใช่มนุษย์

ข้อเท็จจริงนั้นเด่นชัดและยากเกินกว่าจะปฏิเสธ แต่ผมก็ไม่ได้คิดจะปฏิเสธมันมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้วนี่

“โลแก--”

“กลับไปซะ” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบติดจะเย็นชาทำเอาผมชะงักไปทันที นัยน์ตาสีฟ้าที่สลับกับแดงวูบวาบนั่นว่างเปล่าทำให้ผมใจหายวูบ รู้สึกว่าเลือดในกายเย็นเฉียบ นี่หมอนี่กำลังไล่ผมกลับไปอย่างนั้นเหรอ?

จะผิดรึเปล่าถ้าผมถามมันกลับว่าจะให้ผมกลับไปที่ไหน?

“โลแกน… ฉัน--”

“ฉันจะพูดอีกครั้ง ลูคัส คอลลินส์” น้ำเสียงนั้นทรงอำนาจ ทำให้คนฟังอย่างผมขนลุกซู่ขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ผมรู้สึกได้ถึงท่าทีคุกคามของอีกฝ่ายและความร้อนจากเปลวไฟที่อยู่บริเวณรอบๆ ซึ่งพัดโหมแรงขึ้น “กลับไปในที่ที่นายควรอยู่ซะ นายไม่ควรมาอยู่ที่นี่”

เฮ้ๆ เดี๋ยวก่อน… นี่ล้อกันเล่นใช่ไหม นี่หมอนี่ตั้งใจจะไล่ผมกลับไปแล้วตัวเองก็หายไปจากชีวิตผม ทิ้งผมไว้คนเดียวในที่ที่ผมควรอยู่จริงๆ เหรอ?

ล้อกันเล่นใช่ไหม?





----------------------------
Talk: หว่าาาาาา จะจบแล้วววว อีกนิดเดียววววว//ฮึด

ออฟไลน์ tiew93

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
พบกัน เพื่อจากลา ใช่หรือเปล่า
เอ็ดการ์ อยากได้ชัยชนะมาก จนถึงขนาดอยากให้คู่แข่งนิ้วขาดเลยหรือ
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ larynx

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 821
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
แกจะปล่อยเขาไว้คนเดียวจริงๆเหรอ ไอ้เด็กนรก  o18 o18

ออฟไลน์ andaseen

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 742
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-1
เพิ่งได้เข้ามาอ่าน สนุกมากกกกกกกกกกกก
จะทิ้งลูคัสไปได้จริงๆเหรอโลแกน :z3:

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3


บทที่ 52

(Mode: Logan Collins)






ผมมาทันฟังตอนที่ลูคัสเริ่มเล่นเพลงไปได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ทั่วทั้งฮอลล์เงียบสงัดเพื่อรับฟังการบรรเลงเพลงที่อยู่บนเวทีอย่างให้เกียรติและตั้งอกตั้งใจ ผมว่าบางทีอาจเป็นเพราะทุกคนโดนมนตร์สะกดจากเสียงเพลงของพี่ชายฝาแฝดของผมด้วย แม้แต่ผมเองก็เช่นกัน

ผมก้าวเท้าไปเรื่อยๆ เคลื่อนไหวตัวอย่างเงียบเชียบระหว่างเดินลงไปเพื่อให้ใกล้กับด้านหน้าเวทีที่สุดเท่าที่จะทำได้ การเคลื่อนไหวไม่ให้เกิดเสียงหรือไม่ให้แม้แต่ใครคนอื่นรู้ตัวนี่เป็นงานถนัดของผมอยู่แล้ว นั่นเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของคนที่ทำงานสายนี้ เพราะถ้าทำไม่ได้ก็เตรียมลงไปนอนจูบพื้นตายก่อนใครเพื่อนเลยตอนที่ศัตรูรับรู้การมีอยู่ของเรา

ผมมาหยุดอยู่ตรงขอบบันไดที่ถูกบุด้วยกำมะหยี่สวยงาม ทอดสายตามองคนบนเวทีอย่างเหม่อลอย ฟังเสียงเปียโนที่เต็มไปด้วยแรงอารมณ์ซึ่งเหมือนจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามการบังคับของผู้เล่น วินาทีหนึ่งมันสะท้อนออกมาให้เห็ถึงความโกรธเกรี้ยว หากวินาทีถัดมากลับกลายเป็นอ่อนหวาน แล้วก็กลายเป็นเศร้าสร้อย สงสัยจังว่านั่นคืออารมณ์ของลูคัสในตอนนี้รึเปล่า เพราะมันสะท้อนออกมาผ่านเสียงดนตรีได้ชัดเจนจริงๆ

ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าแบบเดียวกับผมจมอยู่ในห้วงสมาธิอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว วินาทีนั้นเอง เหมือนผมจะเข้าใจขึ้นมาว่า นอกจากหน้าตาของพวกเราแล้ว เราสองคนไม่มีอะไรเหมือนกันเลยสักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นนิสัย ความคิดความอ่าน ขนาดความเป็นมนุษย์… ผมยังไม่มีเหมือนเขาเลย พวกเราสองคนช่างแตกต่างกันเหลือเกิน และระยะห่างระหว่างพวกเราก็มากเกินไป มากเกินกว่าที่ผมจะรู้สึกตัว การได้อยู่กับเขาทุกวันมาตลอดหลายปีนี้ทำให้ผมลืมนึกถึงระยะห่างที่ว่านี้ไป

ชายหนุ่มคนนั้นเปล่งประกาย เต็มไปด้วยความฝัน แม้ว่าในนัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยนั่นจะสะท้อนออกมาให้เห็นถึงความเจ็บปวดและขมขื่นกับสิ่งที่ได้ประสบพบเจอมาในชีวิต แต่นั่นกลับยิ่งขับให้ความงดงามของเขาเปล่งประกายออกมามากขึ้นเท่านั้น

ลูคัสเจ็บปวดกับการที่ได้รู้ว่าตัวเองเป็นคนฆ่าพ่อ เขาเจ็บปวดกับการฆ่าผู้ชายคนนั้นที่พยายามจะทำร้ายผมด้วยเช่นกัน เขาเจ็บปวดกับการฆ่า… เจ็บปวดกับการต้องทำร้ายเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ในขณะที่ตัวผมไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น ผมฆ่าคนโดยไม่เอาความรู้สึกส่วนตัวเข้ามาเกี่ยว ทำร้ายคนเพื่อความสนุกส่วนตัว… ผมไม่เข้าใจความรู้สึกเจ็บปวดของมนุษย์อย่างเขาหรอก และนั่นทำให้ผมรู้สึกเศร้าขึ้นมานิดหนึ่งเหมือนกัน

บางทีผมอาจจะอยากเป็นมุนษย์อย่างเขาก็ได้ เพื่อที่จะได้อยู่ข้างเขา… เพื่อที่เราจะได้อยู่ด้วยกันจนกว่าความตายจะพรากจาก อย่างที่คนอื่นๆ เขาทำกัน

การแสดงของพี่ชายผมจบลงแล้ว เสียงปรบมือดังก้องไปทั่วทั้งฮอลล์ในการจัดแสดงนั้นอย่างกึกก้อง เสียงปรบมือนั้นสะท้อนไปมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ผมเห็นรอยยิ้มกว้างขวางบนใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาของลูคัส ชายหนุ่มได้ใส่ทุกอย่างที่เขามีลงในการแสดงครั้งนี้จริงๆ

ใบหน้าของเจ้าตัวหันมาเจอกับผมเข้าจนได้ เราสองคนสบตากัน จากนั้นลูคัสก็ส่งยิ้มหวานที่ดูมีความสุขที่สุดมาให้ผม

‘นายทำได้แล้วนะ ลูคัส’ ผมลอบคิดพร้อมกับส่งยิ้มกลับไปให้เจ้าตัว ‘อย่างน้อย… นายก็เป็นที่หนึ่งในใจของผู้ชมแน่ๆ… รวมทั้งของฉันด้วย’

ผมอยากถลาเข้าไปกอดคนบนเวที อยากจูบ อยากสัมผัส อยากให้หมอนั่นรู้เหลือเกินว่าผมรักเขา แต่ระยะที่ผมยืนอยู่ตรงนี้กับเวทีมันไกลเกินไป มันก็เป็นแบบนั้นเสมอแหละระหว่างที่นั่งคนดูกับบนเวที ต่อให้คุณจะนั่งอยู่แถวหน้าสุดยังไง คุณก็ไม่สามารถก้าวขึ้นไปบนเวทีได้แบบไม่มีปี่มีขลุ่ยได้อยู่ดี

ผมนับเวลาถอยหลังในใจเงียบๆ รู้ดีว่าใกล้จะถึงเวลาที่นัดหมายกับเนทไว้แล้ว หมอนั่นจะเป็นคนมารับวิญญาณของผมไปตามที่ท่านพ่อสั่ง และผมต้องไปให้ถึงสถานที่นัดหมายตามเวลา ยิ่งอีกฝ่ายเป็นเนทด้วยแล้ว… หมอนี่เคร่งไปเสียทุกเรื่อง ยิ่งกว่าท่านพ่อของพวกเราเสียอีก

‘ลาก่อน ลูคัส’ ผมลอบคิดในใจขณะหมุนตัวกลับไปอีกทาง ‘ที่ผ่านมา ฉันสนุกมาก’

จากนั้นในหัวของผมก็ว่างเปล่า ไม่มีความคิดใดๆ ลอยอยู่ในนั้น

ผมแค่ก้าวเท้าไปตามทางเรื่อยๆ ตามสัญชาติญาณ ไม่สนใจผู้คนรอบข้าง ไม่ย้อนกลับไปมองข้างหลัง ชีวิตไม่มีการรีเซ็ตอะไรทั้งนั้น มีแค่ต้องการต่อไปข้างหน้าเท่านั้น

ผมรับรู้ได้ถึงเสียงตะโกนเรียกระหว่างที่ยังก้าวเท้าลงไปบนพื้นถนนที่เต็มไปด้วยฝุ่นและก้อนกรวดขนาดเล็ก

มันไม่มีประโยชน์เลยที่จะหันกลับไปหาคนที่พยายามไขว่คว้าผม ผมไม่สามารถอยู่กับเขาได้อยู่แล้ว เรื่องมันก็ง่ายๆ แค่นั้น เพราะงั้น… พอเถอะ นายน่าจะรู้ได้แล้วนะว่าควรจะหยุดวิ่งสักที เพราะมันไม่ช่วยอะไรเลยนอกจากทำให้นายเหนื่อยเปล่า

ผมเดินมาถึงตัวอาคารร้างที่เคยใช้เป็นที่หลบครั้งหนึ่งตอนที่โดนผู้หญิงซึ่งเป็นหนอนบ่อนไส้ยิงใส่เข้าที่ไหล่ข้างซ้ายของผม แผลตอนนั้นมันจางหายไปมากแล้ว และผมแทบจะไม่รู้สึกเจ็บปวดใดๆถ้าไม่ไปโดนตรงแผลที่ว่านั่นแรงๆ

ระหว่างที่ก้าวเท้าเดินขึ้นบันไดที่ลากยาวไปเรื่อยๆ ผมก็เผลอเหยียดยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว นึกขำตัวเองในใจ นี่วันนี้ก้าวขึ้นบันไดมากี่ก้าวแล้วหนอ… ดูเหมือนจะเป็นวันที่เต็มไปด้วยการปีนป่ายขึ้นบันไดที่ทอดยาวไปเรื่อยๆ ราวกับไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ

ผมมาหยุดที่ชั้น 33 ของอาคารแห่งนั้น ก้าวเท้าเดินออกจากบริเวณที่คงเคยเป็นประตูกระจกบานเลื่อนมาก่อน ออกไปที่บริเวณระเบียงซึ่งยื่นออกไปรับลมภายนอก ทอดสายตามองวิวทิวทัศน์ของยามเย็นที่ท้องฟ้ากำลังย้อมทั้งเมืองให้กลายเป็สีส้มอมแดง ผมสูดลมหายใจเฮือกหนึ่งเข้าปอดเพื่อรับอากาศจากลมที่พัดผ่านเข้ามา ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ปนมากับเสียงหอบหายใจของใครสักคนจากด้านหลัง และต่อให้ไม่ต้องหันกลับไปมอง ผมก็รู้ว่าใครเป็นคนล่วงล้ำอาณาเขตของผมเข้ามา

“โลแกน” เสียงนั้นเอ่ยเรียกอย่างลิงโลด

หมอนี่มันดื้อชะมัด… แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่คาดเดาไม่ได้หรอกนะ

ผมค่อยๆ หันหน้ากลับไปเผชิญหน้ากับลูคัสอย่างเชื่องช้าและเฉยเมย สังเกตเห็นแววตาตื่นเต้นดีใจของเจ้าตัวไหววูบหนึ่ง อ่า… ผมนี่ช่างเป็นคนที่เย็นชาจริงๆ ลูคัสกระเสือกกระสน ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาเจอผมแท้ๆ แต่ผมก็ยังมองเขาด้วยสายตาว่างเปล่าแบบนั้น

“โลแก--”

“กลับไปซะ” ผมพูดเรียบๆ หากหนักแน่นมั่นคง สีหน้าของแฝดคนพี่ของผมสับสน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอีกเช่นกัน

“โลแกน… ฉัน--”

“ฉันจะพูดอีกครั้ง ลูคัส คอลลินส์” ผมพูดย้ำ บังคับให้เปลวไฟที่ลุกโชนอยู่รอบๆ โหมแรงขึ้น หวังว่ามันจะทำให้หมอนี่ตกใจกลัวและตัดสินใจที่จะกลับไปในที่ของตัวเองง่ายขึ้น “กลับไปในที่ที่นายควรอยู่ซะ นายไม่ควรมาอยู่ที่นี่”

“หา??” เสียงของเจ้าตัวลากยาวอย่างผิดหวังและสับสน หากเห็นแววตาของหมอนี่แล้ว ผมก็รู้ได้ทันทีว่าลูคัสคงไม่ยอมถอดใจง่ายๆ “พูดเรื่องบ้าอะไรของนายวะ โลแกน? นายคิดว่านี่เป็นเรื่องล้อเล่นเหรอ? แล้วนี่นายตั้งใจจะทำอะไร?”

“ผมต้องกลับนรกแล้ว” ผมตอบกลับตรงๆ ด้วยคำพูดที่ถ้าเป็นลูคัสเมื่อสมัยก่อนคงจะหัวเราะก๊ากไปแล้ว “ผมทำงานเสร็จแล้ว ถึงเวลาต้องกลับสักที”

“แต่… ฉันไม่เข้าใจ” อีกฝ่ายอึกอัก “นายหมายความว่า… นายจะฆ่าตัวตายงั้นเหรอ? นายจะกระโดดตึกจากตรงนี้เหรอ? ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วย?”

ผมไม่ตอบคำถามนั้น เพราะได้พูดไปก่อนหน้านี้แล้ว ลูคัสอ้าปากค้าง มองหน้าผมเหมือนไม่อยากเชื่อ จากนั้นจึงหุบปากแน่นลง หลุบสายตาต่ำแล้วกลืนน้ำลายลงคอ เรียบเรียงคำพูดอีกครั้ง

“นาย… ไม่ใช่มนุษย์… เรื่องนั้นฉันรู้อยู่แล้ว”

“งั้นก็ไม่มีอะไรต้องอธิบายกันอีก”

“นายจะทิ้งฉันไว้คนเดียวเหรอ โลแกน” คำถามตรงไปตรงมานั่นทำให้ผมสะอึก สีหน้าร้อนขึ้นวูบด้วยความละอาย แค่เห็นแววตาเศร้าสร้อยของคนตรงหน้าผมก็เจ็บไปหมดแล้ว แต่ผมต้องหนักแน่น… ต้องมั่นคง ผมคงไม่สามารถทำเรื่องเห็นแก่ตัวอย่างเอาลูคัสไปกับผมได้หรอก

“นายไม่ได้อยู่คนเดียวสักหน่อย” ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “นายยังมีน้าลิซ่า มีเพื่อนๆ ของนาย มีผู้ชมที่รอฟังเปียโนของนาย”

“นายก็รู้ว่าคนพวกนั้นไม่สามารถแทนที่นายได้”

ผมนิ่งไปกับคำพูดประโยคนั้น ลูคัสสืบเท้าเข้ามาหาผม หมอนี่ไม่กลัวกับไฟที่ลุกท่วมอยู่นี่เลยสักนิด หนำซ้ำยังเลื่อนมือมาจับแขนผมหน้าตาเฉย… หมอนี่มันดูไม่ออกรึไง ผมไม่ใช่มนุษย์แบบที่เจ้าตัวเป็นอีกแล้ว ไม่อีกแล้ว

“ให้ฉันไปกับนายได้ไหม”

“นายรู้ตัวรึเปล่าว่าพูดอะไรออกมา” ผมรู้สึกถึงความโกรธที่แล่นวูบเข้ามาอย่างรวดเร็ว หมอนี่มันไม่เข้าใจอะไรเลย… ผมต้องต่อสู้กับความต้องการอีกด้านของตัวเองมากแค่ไหนถึงจะตัดสินใจเลือกทางเดินนี้ได้ แล้วหมอนี่กลับมาบอกว่าอยากจะไปกับผมเนี่ยนะ? “การที่นายบอกว่าอยากมากับฉัน… ไม่ต่างอะไรกับบอกว่านายอยากจะตายหรอกนะ”

“ฉันไม่สนหรอก”

“หยุดพูดจาไร้สาระได้แล้ว! ลูคัส คอลลินส์!” ผมตะโกน คว้าต้นแขนทั้งสองข้างของอีกฝ่ายแล้วบีบแน่นอย่างหมดความอดทน ลูคัสสะดุ้งตัวนิดหนึ่งด้วยความตกใจ หากเจ้าตัวก็ยังจ้องตาผมนิ่ง “นายไม่เข้าใจเหรอว่าทั้งหมดนี่มันหมายความว่ายังไง นายอยากจะละทิ้งทุกอย่างที่นายทำมางั้นเหรอ? ตลอดเวลาที่นายเฝ้าฝึกซ้อมเปียโนมาข้ามวันข้ามคืน ทุกอย่างที่นายทำก็พานำพานายไปสู่จุดสูงสุดของวงการนี้ และนายก็กำลังจะไปถึงจุดนั้นอยู่แล้ว! นายคิดจะละทิ้งทุกอย่าง ทิ้งชีวิตและความฝันของนายเพื่อตามฉันมาในที่ที่ไม่มีอะไรเหมาะสมกับนายเลยสักอย่างอย่างนั้นเหรอ!!??”

“แล้วนายไม่ได้รักฉันหรือไง!!” ลูคัสกรีดเสียงออกมาบ้างอย่างอัดอั้น น้ำใสๆ ไหลลงอาบแก้มของเจ้าตัวอีกรอบราวกับว่ามันเกินขีดจำกัดของเขาไปแล้ว “หา?? โลแกน นายไม่ได้รักฉันเหรอ? นายไม่ได้อยากจะอยู่กับฉันแบบที่ฉันอยากจะอยู่กับนายหรอกเหรอ? นายไม่รักฉันแล้วใช่ไหมถึงได้คิดจะทิ้งฉันเอาไว้แบบนี้น่ะ!?”

“ให้ตายเถอะวะ ลูคัส!” ผมตะโกนออกมาอย่างหงุดหงิด ดึงร่างนั้นเข้ามากอดแน่น… จนบางทีเจ้าตัวอาจจะแหลกสลายลงไปคาอ้อมกอดของผมก็ได้ ผมผละร่างนั้นออกเพื่อให้อีกฝ่ายได้มองหน้าผมชัดๆ ก่อนจะว่า “นายไม่เข้าใจเหรอว่าที่ฉันต้องทำแบบนี้ก็เพราะฉันรักนายมาก! รักนายมากเกินกว่าที่จะทำเรื่องเห็นแก่ตัวอย่างเอานายไปอยู่กับฉันได้…”

แย่ล่ะ… ผมรู้สึกถึงน้ำตาที่รื้นขึ้นมาแล้ว เหมือนทุกอย่างในตัวกำลังจะระเบิดออกมาอย่างไรอย่างนั้น สีหน้าของลูคัสอึ้งไปทันทีที่เห็นผมระเบิดออกมาแบบนั้น หมอนี่คงคาดไม่ถึง

“ถ้าฉัน… รักนายน้อยกว่านี้อีกสักนิด...” ผมบีบไหล่ของคนตรงหน้าแน่นขึ้น บางทีนั่นอาจจะทำให้เจ้าตัวเจ็บ แต่ผมหยุดตัวเองไม่ได้อีกต่อไปแล้ว “ถ้าฉันรักนายน้อยกว่านี้อีกสักนิด… อีกแค่นิดเดียว แค่นิดเดียวเท่านั้น… ฉันคงเอานายไปกับฉัน โดยไม่ถามความสมัครใจของนายเลยด้วยซ้ำ แต่นี่ฉัน…”

“โลแกน” ลูคัสพูดขัดขึ้นมาพร้อมกับก้าวเท้าเข้ามาสวมกอดผมอย่างอ่อนโยน ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังร้องไห้ ร้องไห้จริงๆ… ร้องไห้แบบที่ตอนเด็กๆ เคยทำและลูคัสเข้ามากอดปลอบผมแบบนี้ “โลแกน… ให้ฉันไปกับนายเถอะ ให้ฉันไปกับนายเถอะนะ ชีวิตของฉันไม่มีความหมายอะไรอีกแล้วถ้าไม่มีนาย ฉันทำทุกอย่างนี่ก็เพื่อนาย… เพื่อที่สักวันเราจะได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันโดยที่ไม่ต้องกังวลกับเรื่องอะไรอีกต่อไป”

“นายพูดอะ---”

“ที่ฉันเล่นเปียโน… ก็เพราะอยากจะเห็นรอยยิ้มของนายแบบที่นายเคยทำเมื่อตอนสมัยเด็กก็เท่านั้น ถ้าเกิดฉันเป็นนักเปียโนที่มีชื่อเสียง เราก็ไม่ลำบากเรื่องเงิน... นายก็จะได้ไม่ต้องไปทำงานเสี่ยงอันตรายแบบนั้นแล้วกลับมาอยู่กับฉัน… เท่านั้นเองที่ฉันต้องการ โลแกน ฉันทำทุกอย่างก็เพื่อที่จะได้อยู่กับนายเท่านั้น แต่ถ้าไม่มีนายอีกแล้ว ทุกอย่างนี่มันก็ไม่มีประโยชน์…”

“ลูคัส…” ผมฟังสิ่งที่หมอนี่พูดแล้วอึ้งไปทันที ไม่เคยรู้มาก่อนว่าหมอนี่จะคิดแบบนี้

บางที… อาจจะเหมือนกับที่ลูคัสไม่เคยรู้มาก่อนว่าผมคิดแบบนั้นมาตลอดเหมือนกันก็ได้

อ้อมกอดของเจ้าตัวกระชับแน่นขึ้น ผมโอบแขนทั้งสองข้างกอดมันกลับอย่างอัดอั้น รู้สึกได้ถึงของเหลวอุ่นที่อยู่บรเวณอกของตัวเอง ลูคัสเองก็กำลังร้องไห้เหมือนกัน นี่ผมทำหมอนี่ร้องไห้มาแล้วกี่ครั้งต่อกี่ครั้งกัน?

“เพราะ… งั้นนะ” เสียงของคนในอ้อมแขนผมขาดเป็นห้วงๆ เพราะแรงสะอื้น “ได้โปรดเถอะ พาฉันไปกับนายด้วยเถอะนะ โลแกน ขอแค่ได้อยู่กับนาย… ขอแค่มีนายอยู่ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ช่าง ขอร้องเถอะนะ อย่าทิ้งฉันไว้คนเดียว…”

ผมผละอ้อมกอดของอีกฝ่ายออก เลื่อนหน้าลงไปทาบจูบบนริมฝีปากของเจ้าตัวอย่างอ่อนโยน พร้อมๆ กับเลื่อนมือไปปาดน้ำตาของเจ้าตัวออก

ให้ตายเถอะ… ผมแพ้หมอนี่อีกแล้ว

เพราะหมอนี่เป็นพี่ผมงั้นเหรอ? เพราะว่าลูคัสเกิดก่อนผมรึเปล่า? ถึงมันจะแค่ไม่กี่นาทีก็เถอะ

“แล้วอย่ามาคร่ำครวญให้ฉันได้ยินทีหลังแล้วกัน” ผมเริ่มตั้งข้อแม้ขณะลูบพวงแก้มของอีกฝ่ายแผ่วเบา ปัดน้ำตาออก “ที่นู่นน่ะ… ไม่สนุกสำหรับนายหรอกนะ ขอเตือนไว้ก่อนเลย”

ลูคัสหัวเราะออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็ยื่นหน้าขึ้นมาแล้วจูบปากผมเร็วๆ ทีหนึ่ง

“อย่างกับว่าที่ใช้ชีวิตบนโลกนี้ที่ผ่านมาสนุกนักนี่”

“ไม่รู้ล่ะ ถือว่าฉันเตือนนายแล้วนะ ถ้านายมาร้องไห้ทีหลังล่ะก็… ฉันเล่นงานนายหนักแน่”

“งั้นร้องตอนนี้เผื่อไว้ก่อนเลยได้ไหม?”

“ลูคัส!” ไอ้พี่บ้า!

ผมกุมมือของคนข้างตัวเอาไว้แน่นขณะที่ค่อยๆ ปีนขึ้นไปอยู่บนระเบียงที่ค่อนข้างมั่นคง มองทิวทัศน์ของตัวเมืองเบื้องล่างอีกครั้งก่อนจะเบือนหน้ากลับมามองหน้าอีกฝ่ายที่หันกลับมามองทางผมเช่นกัน

ผมยิ้มให้เจ้าตัวนิดหนึ่ง รู้สึกถึงแรงบีบบนมือที่มากขึ้นจากอีกฝ่าย

“นายว่ามันจะเจ็บมากไหม โลแกน” เจ้าตัวเอียงคอถาม หากไม่มีท่าทีหวาดหวั่นอยู่ในน้ำเสียงหรือแววตานั้นเลยแม้แต่นิดเดียว

“อืม… ไม่รู้สิ” ผมแกล้งพูดด้วยน้ำเสียงครุ่นคิด “ฉันเองก็ไม่เคยตายมาก่อนด้วย ไม่รู้เหมือนกันจะเจ็บแค่ไหน”

“เดี๋ยวก็ได้รู้แล้ว”

“นั่นสิ” ผมส่งยิ้มยียวนกลับไปให้อีกฝ่าย “เดี๋ยวก็ได้รู้แล้ว”

พวกเราทั้งสองคนใช้ขาถีบตัวส่งเพื่อปล่อยให้ร่างกายร่วงหล่นลงจากที่ตรงนั้น สายลมหวีดหวิวโอบล้อมร่างของพวกเราเอาไว้ ผมหันไปมองหน้าของอีกฝ่ายพร้อมกับส่งยิ้มบางๆ ไปให้

ลูคัสยิ้มตอบให้ผม
 





-------------------------------------------
Talk: บทสุดท้ายค่ะ! แต่ยังไม่ท้ายสุดนะคะ! XD เดี๋ยวเอาบทส่งท้ายมาปิดฉากอีกที~~ ยังไงก็ขอบคุณที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้นะคะ ส่วนที่หลายๆ คนถามหา ss2 หรือคู่แยก หรือว่าตอนพิเศษ... เอาเป็นว่ายังไม่ขอรับปากใดๆ (ฮา) แต่ถ้ามีล่ะก็ จะมาแจ้งให้ทุกคนทราบแน่นอน!

แล้วก็... ตั้งใจจะรวมเล่มนิยายเรื่องนี้ด้วยค่ะ! แน่นอนว่าในเล่มจะมีตอนพิเศษที่ไม่ลงเว็บด้วย >w< แต่คงต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่เลยกว่าจะดำเนินการเสร็จ... ยังไงก็จะอัพเดทในหน้าเพจเรื่อยๆ นะคะ
ส่วนคนที่ตามหาบทแทรกไม่เจอ inbox มาได้ที่หน้าเพจนะคะ >>https://www.facebook.com/airinand/
ใครที่ยังไม่ได้กดไลค์ อย่าลืมกดเป็นกำลังใจกันให้ด้วยน้า~ แล้วก็ติดตามการอัพเดทที่เร็วที่สุดในหน้าเพจเลยจ้า
แวะมาพูดคุยกันได้เสมอนะคะ :D แล้วเจอกันค่า~

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด