บทที่ 45
(Mode: Lucas Collins)
ผมพรมนิ้วลงบนโน้ตเพลงช่วงสุดท้าย และเมื่อผละมือขึ้นมาจากคีย์เปียโน ผมรู้สึกได้เลยว่าตัวเองกำลังยิ้ม
“อะไรน่ะ ช่วงนี้ร่าเริงจังเลย ลูคัส” เอ็ดการ์ว่าพร้อมกับปรบมือแปะๆ ให้ผมนิดหนึ่ง ผมหันไปยิ้มหวานให้อีกฝ่ายเล็กน้อย ในขณะที่ไมเคิลซึ่งยังคงทำตัวนิ่งได้ทุกสถานการณ์พยักหน้าเล็กน้อยอย่างพอใจกับเสียงเพลงที่เพิ่งฟังไป “เจออะไรดีๆ มางั้นเหรอครับ? เล่าให้ฟังบ้างสิ”
“เอ่อ… ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ” ผมยิ้มหวานส่งให้คนถาม ในขณะที่ไมเคิลเดินมาแล้วเอาโน้ตเพลงในมือที่ม้วนเข้าหากันตีลงบนหัวผมเบาๆ ทีหนึ่ง
“ไอ้หมอนี่มันไม่มีอะไรมากหรอก ก็แค่ช่วงนี้น้องชายกลับมาบ้านบ่อยขึ้นเท่านั้นเอง”
“โธ่ มิกกี้ อย่าพูดสิ!” ผมหน้าร้อนขึ้นนิดหนึ่งด้วยความอาย ในขณะที่เอ็ดการ์ครางออกมาในลำคอนิดหนึ่งอย่างแปลกใจ
“น้องชายของลูคัสเนี่ย ไม่ได้อยู่บ้านเดียวกันหรอกเหรอ?”
“หมอนั่นอยู่หอในตัวเมืองน่ะ พอดีไปเรียนแถวนั้น” ผมตอบยิ้มๆ แยกตัวไปฟังคำแนะนำจากไมเคิลเล็กน้อยจากนั้นก็เตรียมเก็บของแยกย้ายกันกลับบ้าน
“การแข่งขันของจริงกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว” คนเป็นครูยกนิ้วขึ้นดุนแว่นทีหนึ่ง “ก็เป็นเรื่องดีนะที่พวกเธอสองคนผ่านรอบคัดเลือกที่ผ่านมาได้ จากนี้ไปก็เป็นของจริงแล้ว ฉันหวังว่าทั้งคู่จะฝึกซ้อมอย่างหนักแล้วก็เตรียมความพร้อมให้เต็มที่”
“ครับ” ผมกับเอ็ดการ์รับปาก
“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็แยกย้ายกลับได้ อย่าลืมซ้อมนะ”
ผมหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ กับคำพูดย้ำของครูผู้ฝึกของตัวเอง และเมื่อเดินพ้นออกมาจากตัวอาคาร เอ็ดการ์ก็หันมาถามผมทันที
“แล้วคุณจะเอายังไงครับ ลูคัส? วันนี้จไปกินข้าวกับผมไหม หรือว่าจะตรงกลับบ้านเลย?”
“อืม… วันนี้ฉันขอตัวดีกว่า” ผมพูดตอบอย่างอารมณ์ดี ชำเลืองมองเวลาที่อยู่บนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือนิดหนึ่ง เอ็ดการ์ยกยิ้มหวานที่ชวนให้คนเห็นรู้สึกสบายใจเหมือนเช่นเคย
“จะได้ไปเจอน้องชายเร็วๆ สินะครับ”
“เอ่อ” ผมอึกอักขึ้นมานิดหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจเฮือกอย่างยอมแพ้แล้วพูดว่า “โทษทีนะ มันน่าอายใช่ไหม ที่ทำตัวเหมือนติดน้องแบบนี้”
“ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่ครับ” เอ็ดการ์หัวเราะออกมาเบาๆ ยกมือมาตบบ่าผม “ผมเองก็มีน้องสาว… พอเข้าใจความรู้สึกเหมือนกัน”
“แล้วนายได้เจอน้องนายบ่อยไหมล่ะ เอ็ด” ผมถามกลับ นึกถึงตัวเองที่นานๆ จะได้เจอโลแกนสักที ถึงช่วงนี้หมอนั่นจะมาอยู่ที่บ้านถี่ขึ้นก็เถอะ แต่ก่อนหน้านี้นี่… เกือบแดดิ้นตายเพราะไม่ได้เจอกันเกือบครึ่งปี
“เจอทุกวันแหละครับ” เจ้าตัวหัวเราะร่วนทันที “ผมยังอยู่บ้านพ่อแม่อยู่ไง น้องสาวผมก็ด้วย จริงๆ มันก็เดินทางอะไรลำบากอยู่เหมือนกัน แต่น้องผมไม่อยากให้ผมไปอยู่หอ”
ฟังแล้วนี่ผมถึงน้ำตาซึมด้วยความซาบซึ้ง (ล้อเล่นนะ) ให้ตายสิ หมอนี่จะเป็นคนดีไปถึงไหน แค่น้องบอกว่าไม่อยากให้ไปอยู่ที่อื่นก็ไม่ไปจริงๆ…
“อ่า ให้ตาย นายนี่มันเป็นพี่ที่ดีจริงๆ” ผมพูดพร้อมกับโถมน้ำหนักลงไปกอดคนข้างตัว อีกฝ่ายหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ถ้าน้องชายฉันคิดได้แบบนายบ้างคงดี”
จากนั้นพวกเราทั้งสองคนก็แยกกัน ผมเดินไปถึงบริเวณหน้ารั้วมหาลัยแล้ว เป็นจังหวะเดียวกับที่โทรศัพท์ดังขึ้นมาพอดี โลแกนนั่นเองที่โทรมา
“ฮัลไหล ว่าไง ฉันกำลังจะกลับบ้านพอดีเลย” ผมกรอกเสียงลงไป
“เฮ้” อีกฝ่ายว่า “มัวแต่ทำอะไรอยู่ ถึงได้ช้านัก”
“หืม?” ผมว่าอย่างแปลกใจ หากเมื่อก้าวขาออกมาภายนอกตรงถนนใหญ่ก็รู้ว่าเจ้าตัวพูดถึงอะไร รถของโลแกนจอดอยู่ตรงข้างทาง และเจ้าตัวกำลังรอให้ผมเข้าไปนั่งที่นั่งข้างคนขับเพื่อกลับบ้านพร้อมกัน
“ไง พี่ชาย” เจ้าตัวเอ่ยทักทันทีที่ผมหย่อนก้นลงไปนั่ง “วันนี้เรียนเป็นไงบ้าง”
“ก็สนุกดี” ผมว่า พิงหลังลงบนเบาะหนังเทียมด้านหลัง ยืดเส้นยืดสายที่แขนและขานิดหนึ่ง “ใกล้จะถึงงานแข่งของจริงแล้ว… ตื่นเต้นเป็นบ้า”
“นายทำได้อยู่แล้ว” โลแกนว่า สายตามองตรงไปข้างหน้านิ่ง
ผมรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงเล้กน้อยของเจ้าตัว ดูเหมือนช่วงนี้หมอนี่จะดูเหม่อบ่อยขึ้นยังไงก็ไม่รู้ แถมบางทีก็เหมือนนั่งคิดอะไรเงียบๆ คนเดียว แต่พอผมเข้าไปหาก็เอาแต่ขลุกอยู่กับผมไม่ยอมปล่อย ขนาดผมขอตัวไปซ้อมเปียโนต่อ มันยังยึดตัวผมไม่ปล่อยเลย
สงสัย… คงจะเครียดเรื่องงานมั้ง ในทางกลับกัน ทำงานที่ต้องเสี่ยงอันตรายขนาดนั้น ถ้ามันไม่เครียดอะไรเลยนี่สิ น่าเป็นห่วงมากกว่า
…
“เฮ้ โลแกน” ผมเอ่ยเรียกอีกฝ่ายหลังจากที่เรารับประทานอาหารเย็นกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
คนที่ผมเรียกยังคงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ นั่นทำให้ผมต้องเบ้ปากขึ้นนิดหนึ่ง ผมเดินไปเปิดตู้เย็นแล้วรินว้อดก้าใส่แก้วสองใบ จากนั้นก็เอามันกลับมาที่ห้องนั่งเล่นซึ่งโลแกนยังคงนั่งอยู่
ผมวางแก้วหนึ่งลงตรงหน้าเจ้าตัว โลแกนไหวตัวเล็กน้อยจากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมามองผมอย่างงงๆ
“อะไร ลู เดี๋ยวนี้นายดื่มแบบนี้เป็นปกติแล้วเหรอ?”
“ก็นิดๆ หน่อยๆ” ผมยิ้มหวานเอาใจ จากนั้นก็ยัดแก้วใส่มือเจ้าตัว “ดื่มกันเถอะนะ ถือว่าฉลองที่ฉันจะได้ไปแข่งรอบชิงพรุ่งนี้”
“ตามสัญญาใช่ไหม” น้องชายฝาแฝดของผมยกยิ้มกว้าง ขยับแก้วในมือไปมาแล้วสบตาผมนิ่ง “ที่หนึ่งน่ะ”
“ใช่” ผมยิ้มตอบ “แล้วนายก็ต้องมาดูฉันขึ้นแสดง”
“อ่า… ใช่” มีความลังเลเล็กน้อยอยู่ในคำพูดนั้น “ฉันต้องไปดูนายแสดงอยู่แล้ว”
“ทำไม โลแกน” ผมถามอย่างรู้ทัน “นายมีภารกิจพรุ่งนี้เหรอ?”
“อืม ก็… ประมาณนั้น”
“ไม่ต้องฝืนมาก็ได้นะ ถ้าลำบาก” ผมฝืนใจพูด ถึงแม้ว่าใจจริงจะอยากให้หมอนั่นยกเลิกงานทั้งหมดแล้วมาดูผมแสดงมากกว่าก็ตาม แต่ผมคงทำตัวเห็นแก่ตัวขนาดนั้นไม่ได้หรอกใช่ไหม?
“ไม่… ไม่ๆ ฉันจะไป” โลแกนรีบพูด จากนั้นก็ดึงตัวผมไปนั่งตักเจ้าตัวหน้าตาเฉย ผมรู้สึกได้เลยว่าหน้าของตัวเองร้อนวูบขึ้น “ฉันดูเวลางานแล้ว… มันจะเสร็จก่อนที่นายจะเริ่มแสดง เพราะงั้น… ฉันจะไปดู นายต้องได้ที่หนึ่งตามที่สัญญากับฉันไว้นะ”
“บอกกี่ครั้งแล้วว่ามันไม่ได้ง่ายแบบนั้น” ผมหัวเราะเบาๆ รู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อยที่โลแกนซุกหน้าลงถูไถกับซอกคอ “งั้น… ดื่มกันเถอะ รวดเดียวเลยนะ?”
“เดี๋ยวนี้นี่ซ่านะพี่ชาย” โลแกนว่าแต่ก็ยกยิ้มชอบใจ แก้วของเราสองคนชนกันดังกริ๊งเบาๆ ผมยกมันขึ้นซดรวดเดียว รู้สึกมึนวูบขึ้นมาทันที
“เฮ้ ไหวไหม หน้าแดงเชียว” คนที่ยังยึดผมไว้บนตักตัวเองยิ้มแหย่ จากนั้นก็กระชับเอวผมไว้ในอ้อมแขนแน่นขึ้น
“อือ… โลแกน” ผมครางออกมาเบาๆ เลื้อยมือไปปลดกระดุมเสื้อของเจ้าตัวออก ผ้าพันแผลสีขาวสะอาดยังโผล่ออกมาให้เห็น แต่อย่างน้อยก็ไม่มีร่องรอยของเลือดให้เห็นอีกแล้ว ผมขอโมเมไปว่าอาการของมันคงดีขึ้น
ผมไล้ปลายนิ้วลงบนผ้าพันแผลพวกนั้นอย่างอ้อยอิ่ง โลแกนเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น ผ่อนลมหายใจร้อนๆ ลงบนขมับของผมไปพร้อมๆ กัน ผมแทบไม่กล้าแตะผ้าพันแผลพวกนั้นตรงๆ ด้วยซ้ำ กลัวว่ามันจะไปกระเทือนแผลของเจ้าตัวแล้วมันจะทำให้โลแกนเจ็บ ผมไม่อยากให้น้องชายเจ็บเลย ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม
“ยังเจ็บแผลอยู่รึเปล่า” ผมถามเสียงเบา เจ้าตัวส่ายหน้าน้อยๆ
“ไม่เจ็บมานานแล้ว”
“ค่อยยังชั่วหน่อย” ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นก็ซุกหน้าลงบนแผ่นอกอีกฝั่งที่ไม่มีผ้าพัแผลนั่น โลแกนหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ เลื่อนมือมาลูบหัวผมอย่างปลอบโยน
“ค่อยยังชั่วอะไรเล่า ก็บอกแต่แรกแล้วว่าไม่เป็นไร”
“ภารกิจพรุ่งนี้นายจะไม่เป็นไรใช่ไหม” สิ่งที่คิดอยู่ในใจเริ่มหลดออกจากปากอย่างควบคุมไม่ได้ เวลาเหล้าเข้าปากทีไรชอบเป็นแบบนี้ทุกที
“ฉันไปดูนายเล่นบนเวทีแน่นา ฉันสัญญา”
“ฉันไม่ได้… หมายความแบบนั้น” ผมว่าอย่างอึดอัด ทำไมโลแกนถึงได้ไม่เข้าใจเลยนะว่าผมห่วงมันแค่ไหน เป็นแบบนี้ตลอดเลย “แต่ไม่อยากให้นาย… บาดเจ็บ”
“อืม ไม่เป็นไรหรอก” เจ้าตัวรับคำ จากนั้นก็ทอดสายตาเหม่อไปอีกทาง ผมขมวดคิ้วมุ่นขึ้น เบ้ริมฝีปากอย่างไม่พอใจ เอื้อมมือไปบังคับหน้าของโลแกนให้หันกลับมาแล้วขยับหน้าเข้าไปจูบปากของหมอนี่อย่างไม่สบอารมณ์นิดหนึ่ง
“ลู---”
“อยู่กับฉันก็สนใจฉันสิ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนเด็กๆ ที่ถูกขัดใจ โลแกนหัวเราะร่วนออกมาอีกรอบ ดึงผมไปกอดแนบอก พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ
“ไม่เคยไม่สนใจนายเลยสักครั้ง”
“แล้วนายกำลังคิดอะไรอยู่ล่ะ” ผมถามเหมือนเพ้อ แต่สติยังพอมีเหลืออยู่พอจะรับฟังคนตรงหน้าได้ อย่ามองผมแบบนั้นน่า… แค่แก้วเดียว ไม่ทำให้สติเตลิดหรอก “ไหน ลองบอกให้พี่ชายฟังซิ”
“ก็กำลังคิดว่า” เจ้าตัวพูด สีหน้าครุ่นคิดนิดหนึ่งขณะขยับตัวให้พิงหลังเข้ากับแผ่นอกของตัวเอง เกยคางลงบนบ่าของผมอ้อนๆ “จบภารกิจนี้แล้วจะเอายังไงต่อดีเท่านั้นเอง”
“นายจะยอมเลิกทำงานนี้แล้วเหรอ?” ผมเบิกตากว้างขึ้นนิดเหมือนไม่อยากเชื่อ ทุกครั้งที่โลแกนทำภารกิจหนึ่งจบก็มักจะมีภารกิจต่อมาตามมาทุกครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่หมอนี่เปิดปากพูดอะไรแบบนี้ออกมา
“ก็กำลังคิดๆ อยู่” เจ้าตัวว่าและผมรู้สึกเหมือนหัวใจพองฟูขึ้นด้วยความดีใจ บางที… หมอนี่อาจจะเก็บเอาเรื่องที่ผมขอไปคิดจริงๆ จังๆ แล้วยอมเลิกทำงานเสี่ยงๆ นี่สักทีก็ได้
“นี่ ลูคัส”
“หือ?” ผมรู้สึกเหมือนตาลอยๆ แต่ริมฝีปากโค้งยิ้มอย่างควบคุมไม่อยู่กับความคิดนั้น
“นายอยากไปทัวร์นรกกับฉันไหม?”
“ฮะ?” ผมอุทานเสียงดังจากนั้นก็ระเบิดหัวเราะออกมาอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่ “นี่นายเมาแล้วเหรอ โลแกน เพิ่งแก้วเดียวเองนะ ไอ้น้อง เดี๋ยวนี้คออ่อนแล้วเหรอ”
“ไม่ได้เมาสักหน่อย” โลแกนว่าพร้อมกับลงโทษผมด้วยการหอมแก้มฟอดแรงๆ ทีหนึ่ง ผมหัวเราะร่วนออกมาอีกรอบ เหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้
“ที่นั่นน่ะ ไม่ต้องรีบไปก็ได้มั้ง ไอ้น้อง เพราะยังไง เดี๋ยวนายก็ต้องได้ไปอยู่แล้ว” ผมพูดติดตลก แปลกใจเหมือนกันที่คนข้างตัวไม่ได้หัวเราะตอบ สงสัยยังเครียดเรื่องงานไม่หาย ภารกิจพรุ่งนี้คงตึงเครียดจริงๆ แฮะ
“ถ้าเกิดว่าฉันต้องไปจริงๆ” เจ้าตัวว่าขณะดึงนิ้วผมขึ้นมาจับเล่น “นายจะมากับฉันไหม”
“ที่นรกอ่ะนะ??” ผมถามก่อนจะหัวเราะออกมาอีกรอบ “จะบ้าเหรอ นี่นายหาสถานที่เดทดีกว่านี้ไม่ได้แล้วใช่ไหม? ไม่เอาด้วยหรอก อยากจะไปที่นั่นก็ไปคนเดียวเหอะ นรกน่ะ มันมีไว้สำหรับให้คนแย่ๆ ไปอยู่นะ รู้เปล่า? ไม่ใช่ที่ที่น่าไปนะเว้ย”
“งั้นตอนเราตาย เราก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้วสิ?” อีกฝ่ายถาม ผมจับน้ำเสียงของมันไม่ค่อยได้เพราะรู้สึกมึนๆ แต่เพราะคิดว่าหมอนี่คงกำลังพูดเล่นก็เลยไม่ได้คิดอะไรตอนตอบ
“ก็นะ… ถ้านายทำตัวไม่ดีก็ต้องไปอยู่ในนรกสิ ส่วนฉัน… คนดีอย่างฉันขอจรลีไปอยู่บนฟ้าดีกว่า ไม่ไปอยู่กับพวกเลวๆ ในนู้นหรอก”
“ว้า… งี้ฉันคงเหงาแย่เลย”
ผมหัวเราะออกมาเบาๆ เลื่อนใบหน้าไปจูบริมฝีปากอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน เอ… นี่ผมคิดไปเองหรือว่าวันนี้ไอ้โลแกนมันแปลกไปจริงๆ? เหมือนมันดูไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเองยังไงไม่รู้
“นี่ โลแกน” ผมช้อนสายตาขึ้นไปสบตาเจ้าตัวตรงๆ “นายอย่าพูดเหมือนตัวเองเป็นคนไม่ดีขนาดนั้นสิ นายเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่านายไม่ใช่คนเลวเสียหน่อย”
“แต่ฉันฆ่าคนมาเยอะแล้วนะ” เจ้าตัวว่า ดึงมือของผมไปวางบนแก้มตัวเองเหมือนต้องการกำลังใจ ผมจึงรีบพูดต่อไปว่า
“แต่นายฆ่าใครสักคนเพื่อช่วยชีวิตใครอีกหลายๆ คนไม่ใช่หรือไง… แบบนั้นน่ะ ฉันว่าพระเจ้าคงยอมยกโทษให้นายนะ ไม่สิ นายไม่ได้ทำอะไรผิดด้วยซ้ำกับเรื่องนั้น เพราะงั้นคงไม่ต้องตกนรกหรอก”
“นั่นคือสิ่งที่นายคิดจริงๆ เหรอ” โลแกนถามผมด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น แววตาของอีกฝ่ายที่มองตรงเข้ามาในตัวผมก็จริงจังเช่นกัน และสายตาแบบนั้น… มันทำให้ผมใจเต้นรัวขึ้นในอกยังไงไม่รู้ “ที่บอกว่าต่อให้ฉันฆ่าคนมาเป็นเบือ… นายก็ยังเห็นว่าฉันเป็นคนดีอยู่น่ะ”
“โลแกน...”
“นายนิยามคำว่าคนดีไว้ยังไงกันแน่ ลูคัส”
ผมคิดอะไรไม่ออก รู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จากนั้นโลแกนก็ประทับจูบลงมาอย่างร้อนแรงบนริมฝีปากของผม ราวกับว่าคำพูดใดๆ ระหว่างพวกเราก็ไม่จำเป็นอีกแล้ว ผมเคยบอกแล้วไง… ต่อให้โลแกนต้องฆ่าคนมามากมายขนาดไหน ผมก็ไม่สนหรอก ผมหวังว่าโลแกนจะรู้นะว่าผมคิดแบบนี้
แล้วก็… ไอ้ที่พูดเมื่อกี้นี้น่ะ ผมโกหก ที่หมอนี่ถามผมว่าจะไม่ยอมไปลงนรกกับเหรอนั่นน่ะ…
โลแกนจะรู้ไหมนะ… ว่าต่อให้ผมต้องลงไปอยู่ในนรกขุมสุดท้าย แต่ถ้าได้อยู่กับเจ้าตัวแล้วล่ะก็ ผมก็พร้อมจะตามมันไปด้วยจนถึงที่สุดนั่นแหละ
----------------------------
Talk: บอกแล้วใช่ไหมว่าให้สื่อสารกันให้ดีๆ ถถถถถถถถ
ป.ล. เหตุผลที่ไม่ได้เอาตอนแทรกลงหน้าเว็บ เพราะตอนแรกไม่รู้ว่ามันลงได้ค่ะ.... O_O;;;
แบบ... เห็นในกฎแวบๆ ว่าห้ามลงฉากอย่างว่า และปกติก็ไม่ค่อยได้เล่นเล้าเลยไม่รู้ว่าเขาก็ลงกัน 5555555 //น้ำตาไหลแปป