ตอนที่13 กันย์side
“นาย!!”ผมตะโกนเรียกร่างสูงสุดเสียง เขาทิ้งผมแล้วก็เดินออกจากร้านมาท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของคนทั้งงาน แม้ว่าเมษจะรั้งตัวผมไว้แต่ผมก็ไม่สนใจ
เขาพูดเกินไป!!
ทั้งเพื่อนของเมษทั้งตัวเมษเองเอาแต่ว่ากระแนะกระแหนนายของผมตลอดเวลาจนผมเองก็รู้สึกอึดอัด
“กันย์”นายเหลียวกลับมามอง สีหน้าเขาดูตกใจไม่น้อยที่เห็นผมวิ่งตามมาด้วยความเป็นห่วง นายหยุดยืนแล้วก็หันหน้ามามอง
ผมหอบหายใจขณะจับแขนเสื้อของเขาเอาไว้
“มาทำอะไรตรงนี้ ออกจากงานมาทำไม”นายถามขึ้น
“ก็มาหานายไงเล่า!!”ผมเงยหน้าขึ้นมาตอบเรื่องที่เขาน่าจะดูออกถ้าไม่ตาบอด ผมวิ่งตะโกนเรียกชื่อเขาตามหลังมาขนาดนี้เขาคิดว่าผมออกมาตามเด็กโบกรถรึไง!?
“ก็ที่ถามน่ะคือตามนายออกมาทำไม ไม่อยู่ฉลองวันเกิดเพื่อนต่อหรือไง!”ดูเหมือนนายจะอารมณ์ไม่ดีอยู่เขาเลยขึ้นเสียงใส่ผมนี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่คบกันมาที่เขาหน้านิ่วใส่ผมแบบนั้น
นั่นทำให้ผมหน้าเสีย
ผมกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอดังอึก ถ้าหากเขาจะโกรธผมคงไม่มีข้อแก้ตัวหรือหน้าไปขอโทษเขา ในเมื่อผมเป็นคนบังคับให้เขามาด้วยกันที่นี่ เป็นคนบังคับให้เขานั่งกับพวกเมษ...
“...”
“...”
“ขอโทษ”พวกเรายืนมองปลายเท้าตัวเองเงียบๆจนกระทั่งนายเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมา ผมเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขาอย่างไม่เข้าใจ
“ขอโทษเรื่องอะไรเหรอ”
“ก็เรื่องที่....ก่อเรื่องกลางงาน...”
“ไม่เป็นไรหรอก เมษมันอยากปากเสียก่อนเองยังไงกันย์ก็เข้าข้างนายนะ”ผมเว้นจังหวะ จับไหล่ลู่ๆของเขาขึ้นแล้วก็ส่งยิ้มหวานไปให้”ก็พวกเราเป็นแฟนกันนี่ ”
“!!”นายเบิกตากว้างอย่างตกใจ เขามองหน้าผมค้างเหมือนกำลังใช้ความคิดอะไรสักอย่างจนผมเริ่มประหม่านั่นแหละเขาถึงได้พูดออกมาว่า
“นั่นสินะ...พวกเราเป็นแฟนกัน....”สีหน้าของเขาหมองลงจนผมเริ่มใจไม่ดี ท่าทางของนายวันนี้แปลกไป...แปลกจนน่าใจหาย
“เอ่อคือว่า...พวกเรากลับกันเถอะเนอะ”ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง รั้งแขนของเขาให้ตามไปยังรถซึ่งจอดอยู่ นายยังคงนิ่งเหมือนอยู่ในภวังค์ผมเลยหยิบกุญแจจออกมากะว่าจะเป็นคนขับเองแต่ทว่าเขากลับแย่งกุญแจไปและเดินไปยังที่นั่งฝั่งคนขับด้วยสีหน้าเรียบเฉย
รถของผมเคลื่อนตัวออกจากผับชื่อดัง
ผมเหลือบมองเสี้ยวหน้าของเจ้านายด้วยใจเต้นแรงไม่เป็นส่ำ
นายขับรถออกนอกเส้นทาง เขากำลังจะไปที่ไหนก็ไม่รู้ เส้นทางนี้ผมไม่คุ้นเท่าไหร่ เวลาตอนนี้ก็สี่ทุ่มกว่าแล้วถนนเลยโล่งมากพอจะขับด้วยความเร็วสูง
“นาย...จะไปไหนเหรอ?”
“ไปไกลๆ”
"เห!?”
“อยากไปที่ๆไม่มีใครรู้จักเรา ไปที่ๆไม่ต้องสนว่านายเป็นใครหรือกันย์เป็นใคร...มีที่ไหนพอจะแนะนำบ้างไหม...”
ผมอึ้งหายไปพักใหญ่ สมองน้อยๆพยามทำความเข้าใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูดแต่จนแล้วจนรอดผมก็นึกไม่ออกอยู่ดีว่าเขาหมายความว่าอย่างไรเลยตอบกลับไปว่า
“อยากไปทะเล”
นายพยักหน้าแล้วก็เปลี่ยนเส้นทางที่ขับแบบสะเปะสะปะมุ่งตรงไปยังถนนเส้นที่ใช้ออกจากกรุงเทพ
พวกเราใช้เวลาแค่ชั่วโมงเดียวก็มาถึงพัทยาเพราะถนนโล่งและนายก็ขับรถเร็วจนน่ากลัว เขาเลี้ยวเข้าโรงแรมที่ดูจากการตกแต่งแล้วค่าพักน่าจะแพงเอาเรื่อง ร่างสูงจอดรถในที่จอดแล้วก็เดินเข้าไปติดต่อที่เคาเตอร์แบบไม่พูดพร่ำทำเพลง
ผมวิ่งตามดุ๊กๆมาหน้าตื่นๆ นายหันมายิ้มเนือยๆให้เล็กน้อยก่อนจะจูงมือผมขึ้นลิฟท์ มือหนากดหมายเลขชั้นที่สิบแปด...อืม โรงแรมนี้มีหลายชั้นเอาเรื่องแฮะ
แต่เพราะเขายังจับมือของผมเอาไว้อยู่ความรู้สึกหวิวๆเดาอารมณ์อีกฝ่ายไม่ถูกของผมเลยผ่อนคลายลงไปบ้าง
“มาค้างคืนที่แบบนี้แล้วทำไงต่อล่ะเนี่ย ไม่ได้เอาชุดมาเปลี่ยนด้วย คืนนี้จะใส่อะไรนอนแล้วพรุ่งนี้จะใส่อะไรกลับ”ผมพยามชวนคุยเพื่อไม่ให้รอบตัวเงียบเกินไปนัก ลิฟท์ใช้เวลาพอสมควรกว่าจะถึงชั้นเป้าหมายของพวกเรา
”ก็เอาเสื้อที่ใส่มาซักตากซะพรุ่งนี้ก็มีเสื้อใส่กลับแล้ว”นายหัวเราะในลำคอแล้วก็ส่งยิ้มกรุ้มกริ่มมาให้
“อ้าว แล้วคืนนี้จะใส่ไรล่ะ”
เหมือนว่าผมจะถามอะไรโง่ๆออกไปนะนายถึงได้หัวเราะลั่นขนาดนั้น
จังหวะเดียวกับที่ลิฟท์เปิดออกเขาก็หันมาตอบผมว่า
“ก็ไม่ต้องใส่อะไรสิ”
เสียงทุ้มของคนที่ก้มหน้าลงมากระซิบข้างหูทำเอาผมขนลุกซู่ รู้สึกร้อนผ่าวบริเวณใบหน้า ก่อนที่ลิฟท์จะปิดไปโดยที่ผมยังยืนหน้าเหวออยู่ที่เดิมมือแกร่งก็เอื้อมมาคว้าข้อมือของผมก่อนดึงให้เดินตามไป
นายบ้า!!
นายบ้าไปแล้ว เขาพาผมถ่อมาที่นี่เพื่อมีอะไรกับผมเนี่ยนะ!!!!??
เพื่อเรื่องพรรคนั้นไม่เห็นต้องลงทุนขนาดนี้เลย...ขอแค่เป็นเขาต่อให้ที่ไหนผมก็ยอมหมดอ่ะ
“เง้อ...”เมื่อเข้ามาในห้องพักเขาก็จับให้ผมนอนลงบนเตียงแล้วก็ตามขึ้นคร่อมทันที!!
พระเจ้า!!
นายกินอะไรเข้าไปเนี่ย!! ถ้ารู้ว่าพาไปงานวันเกิดเพื่อนแล้วของขึ้นขนาดนี้ล่ะก็จะได้พาไปบ่อยๆ
เดี๋ยวนะ ผมคิดนอกเรื่องไปไหน มือหยาบกร้านของนายล้วงเข้ามาในเสื้อตัวเก่งที่ผมเลือกเฟ้นเพื่อใส่ไปงานวันนี้แล้วก็ดึงมันออกจากหัวของผมตามด้วยเข็มขัด กางเกง และบ็อกเซอร์
ย๊ากกกกกกกกก
ตอนนี้ผมกำลังแก้ผ้าอยู่ ไฟสว่างโล่งเลย งือออออออออ
ในขณะที่ผมกำลังหน้าแดงแจ๋ดีดดิ้นไปมาบนเตียงนั้นเอง...นายก็ลุกขึ้น...เขาเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วก็โยนผ้าขนหนูมาให้ผมจากนั้นก็เดินหายเข้าไปในห้องน้ำ...
ผมรีบคว้าผ้าขนหนูสีขาวของทางโรงแรมมาพันเอวเอาไว้ลวกๆแล้วก็เดินตามเขาไปยังหน้าห้องน้ำ เมื่อมองเข้าไปด้านในก็เห็นนายที่พันผ้าขนหนูไว้ที่เอวเช่นกันกำลังถอดเสื้อผ้าของตัวเอง
ตอนแรกผมคิดว่าเขาจะอาบแต่พอคิดอีกทีก่อนไปงานก็อาบกันไปแล้วผู้ชายห่ามๆแบบนายคงไม่รักสะอาดแบบนั้น ผมขมวดคิ้วมองใบหน้าหล่อเหลาคมคายของเขาซึ่งหันมายักคิ้วให้ผมหนึ่งทีแบบกวนตีนก่อนจะกองเสื้อผ้าทั้งหมดลงในอ่างล้างหน้า...เปิดน้ำและตีสบู่ฟรีของโรงแรม...
เพื่อซักผ้า
“นายนิสัยไม่ดี!!!”ฮึ่ยยยยย ถ้าจะขอเสื้อไปซักก็บอกกันดีๆก็ได้ทำไมต้องจู่โจมขนาดนั้นด้วย
ผมกระแทกส้นเท้าเดินปึงปังกลับไปที่เตียงแล้วก็ล้มตัวลงนอนเอาผ้าห่มคลุมโปงด้วยความโมโหและอับอาย
สาบานได้เลยว่าได้ยินเสียงหัวเราะสะใจดังลอยมาจากห้องน้ำ...ให้ตายเถอะ เมื่อกี้เขาต้องจงใจแกล้งผมแน่ๆ!!
หลังจากนั้นไม่นานผมก็ได้ยินเสียงเหมือนคนเดินเข้ามาใกล้ ไม่ต้องสืบก็รู้ว่าเป็นใคร เจ้านายเลิกผ้าห่มของผมออกแล้วก็ส่งรอยยิ้มแพรวพราวมาให้
“ไม่ต้องมายิ้มเลย”
นายหยุดยิ้มตามที่ผมสั่ง(?)แต่แทนที่เขาจะง้อผมที่แกล้งงอนแก้มป่องอยู่เขากลับทิ้งตัวลงมานอนกอดผมแน่น เจ้านายฝังใบหน้าของเขากับซอกคอของผมแล้วก็ซุกอยู่อย่างนั้น
ท่าทีเหมือนเด็กยังไม่หย่านมกำลังอ้อนคุณแม่
“โอ๋ๆ ลูกนายเป็นอะไรไปเหรอครับ เพื่อนที่โรงเรียนรังแกเหรอ บอกแม่มา แม่จะไปเฉ่งมันเอง”ผมสวมบทคุณแม่แล้วก็พูดหยอกเขาพลางหัวเราะคิกคัก อยากทำให้บรรยากาศมาคุเมื่อครู่หายไปจนหมด แต่คำตอบของนายกลับผิดคาด
เขาพยักหน้าแล้วก็พูดว่าอืมในลำคอ
“เห...”
“ก็อืม...เพื่อนแกล้งไง คุณแม่ไปจัดการให้หน่อยสิ”
“ใครหน้าไหนมันจะกล้าไปแกล้งเจ้านายคนเก่งของกันย์ได้ บ้า...”
“ก็เพื่อนของกันย์ไง...แล้วก็กันย์ด้วย...”เสียงทุ้มเอ่ยแผ่วเบา
ถ้าแค่เพื่อนผมนี่ผมพอจะเข้าใจนะ แต่ผมไปแกล้งอะไรเขาตอนไหนเนี่ย มันตรงกันข้ามเลยไม่ใช่เหรอ!?
คิ้วเรียวขมวดมุ่นอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะได้ถามอะไรเจ้านายก็เงยหน้าขึ้นมาประทับริมฝีปากลงกับกลีบปากของผมอย่างนุ่มนวล เขามอบจุมพิตอ่อนหวานให้ผม พวกเราคลอเคลียกันอย่างเคลิบเคลิ้มก่อนเขาจะเป็นฝ่ายผละออกไปก่อน
เจ้านายลูบเส้นผมของผมขณะทอดสายตาเว้าวอนมองมายังผมที่เริ่มกลอกสายตาหลุกหลิกด้วยความเขิน
นายที่เป็นแบบนี้คือนายที่กำลังจะมีอะไรกับผม...
นายที่ทำหน้าเศร้าๆแล้วก็มองลึกเข้ามาในนัยน์ตาที่ไหววูบเพราะสัมผัสที่อบอุ่นของเขาอย่างผม...คือนายที่ผมไม่รู้ว่ากำลังมองเห็นใครในตัวผม...สิ่งเดียวที่รู้ก็คือนายรักคนๆนั้นมาก
รักมากเสียจนโอบกอดคนที่เป็นเหมือนตัวแทนอย่างผมเสียอ่อนโยนและแนบแน่น
ทุกครั้งที่พวกเราจูบกัน เขากำลังจูบกับใครหรือรู้สึกอย่างไร ในอกซ้ายมันกลวงโบ๋ไปหมดเพราะทั้งความสุขและความเสียใจได้ถูกหอบพัดออกไปพร้อมความร้อนรุ่มที่ล้นปรี่ออกมาแทนทีเสมอ
“ทำไมถึงทำหน้าอย่างนั้น หืม...”ผมคลี่ยิ้มแล้วก็สวมกอดเขาเอาไว้หลวมๆ
“ไปอาบน้ำกันเถอะ”ถึงเขาจะเลี่ยงตอบคำถามของผมแต่ผมก็รู้อยู่แล้วเลยไม่ได้ร้องท้วงอะไร
“อืม....”ก่อนจะพาตัวเองลุกขึ้นแล้วก็ส่งรอยยิ้มละไมไปให้คนชวน
นายเปิดน้ำที่อ่างนี้แล้วก็ตีฟองสบู่ โรงแรมนี้เขาแถมสบู่เยอะใช้ได้เลยนะเนี่ย ดูจากการที่เทซักผ้าไปตั้งเยอะแล้วยังเหลือพอจะใช้ทำกิจกรรมอื่นอีก
“ลงมาดิ”นายที่สะบัดผ้าขนหนูออกแล้วก็หย่อนตัวลงกับอ่างน้ำอุ่นที่มีฟองฟอดเต็มเอ่ยเรียก มาถึงตรงนี้ผมเริ่มหน้าขึ้นสีหน่อยๆแต่ก็ตามลงไปแบบว่าง่าย
พวกเรานั่งหันหน้าชนกัน เขาจ้องหน้าผมนิ่งค้างแบบเดิมอีกแล้ว ผมที่เกร็งไม่รู้จะเอามือไม้ไปไว้ที่ไหนก็เลยนั่งกอดเข่า
“เป็นเด็กมีปัญหาหรือไงนั่งอย่างนั้น”
“ทำไมวันนี้นายหาเรื่องจัง”ผมมุ่ยหน้าแล้วก็เสตาไปทางอื่น”อ๊ะ...หรือว่าเบื่อแล้วเลยหาเหตุเลิก...”
“อยากเลิกต้องพามาถึงทะเลด้วยหรือไง”
เออนั่นสิเนอะ งั้นอาการแปลกๆของเขาคืออะไรล่ะเนี่ย
“กันย์อยากเลิกหรือไง?”
ผมส่ายหน้าอย่างแรงแทนคำตอบ ไม่เอานะไม่เลิก “โอ๊ย!!”ดูท่าผมจะส่ายแรงไปหน่อย ฟองสบู่มันเลยกระเด็นเข้าตาเต็มๆ”แสบง่ะ งือออออ....”ผมหลับตาปี๋เลยไม่รู้ว่าคนที่รีบเอาฝักบัวมารดหน้าแล้วก็สั่งให้ผมปรือตาขึ้นนิดนึงทำสีหน้าเอือมระอาระดับไหน
“ให้ตายเถอะ เป็นเด็กอนุบาลหรือไง”นายบ่นพลางล้างสบู่ออกจากตาให้ สัมผัสอันอ่อนโยนจากมือของเขาอบอุ่นกว่าน้ำอุ่นที่อาบอยู่เสียอีก ทันใดนั้นเองผมก็ปัดมือของเขาออกแล้วก็โผกอดเขาแน่น
“นาย...”
“ตาหายแสบแล้วเหรอ หืม?”
“หายแล้ว”
นายยกมือขึ้นมาลูบหลังผมเหมือนปลอบเด็ก ผมไม่รู้ว่าผมกำลังเสียขวัญเรื่องอะไร แต่นายวันนี้ทำตัวแปลกมากจนผมตามไม่ทัน
เขาอารมณ์ขึ้นลงและผันผวนเหมือนพายุจนผมอดกลัวว่าเขาจะพัดหายไปไม่ได้...ผมกลัวว่ามันจะเป็นอย่างที่เพื่อนของเมษบอก
“กันย์...”เสียงทุ้มกระซิบข้างหู”เป็นแฟนกันไหม”
“เอ๋!?”ในพริบตานั้นเองผมก็ดันตัวออกมามองสีหน้าคนพูดอย่างตกตะลึง”หมายความว่ายังไง!?”
“ก็หมายความตามนั้นนั่นแหละ...เป็นแฟนกันไหม ตอบมาเร็วๆสิ”
“ก็ตอนนี้พวกเราก็เป็นแฟนกันอยู่...”
“ไอ้แฟนครึ่งๆกลางๆแบบนี้ไม่นับสิ ขอแค่ความรู้สึกของกันย์ตอนนี้ อยากเป็นแฟนกับนายไหม...ที่นี่ไม่มีใคร มีแค่เราเท่านั้น ไม่ว่าที่ผ่านมากันย์จะเคยชอบใครมากแค่ไหน หรือฐานะของพวกเราจะแตกต่างกันยังไง แต่ในที่ที่มีแค่เราสองคนนี้...ได้โปรดมองตาของนายแล้วก็พูดความต้องการของกันย์ออกมาได้ไหม...”
เพราะพวกเรากำลังกอดกันอยู่ ผมก็เลยมองไม่เห็นหน้าของเขา แต่เสียงหัวใจที่ดังสะท้อนในหูตอนนี้ผมพอจะแยกออกว่าจังหวะไหนเป็นของผม จังหวะไหนเป็นของเขา...
“นาย...”
“เราชอบกันย์นะ ชอบมาตลอด...”
“เหะ!?”
“ชอบตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น ไม่ว่าจะทำอะไรหรือคบกับใคร ทุกๆวันก็คิดถึงแค่กันย์...แค่กันย์คนเดียวเท่านั้น...”
“...”
“ทุกๆวันของหนึ่งเดือนก็คือสามสิบวัน...ทุกๆวันของหนึ่งปีก็คือสามร้อยหกสิบห้าวัน...ทุกๆวันของสองปี...นายรักกันย์มาเกือบเจ็ดร้อยวันแล้วนะ...เพราะฉะนั้นขอร้องล่ะ ถึงกันย์จะยังไม่ชอบนาย แต่ขอโอกาสได้ไหม รับรองว่า...”
“เป็นพันๆวันแล้ว!!”
ผมตะโกนใส่หน้าคนที่กำลังสารภาพรักกับผมอยู่ด้วยสีหน้าตกใจระคนดีใจ นายขมวดคิ้วแบบงุนงงผมเลยเอามือปาดน้ำตาที่ไหลเอ่อออกมาอย่างช่วยไม่ได้ออกแล้วก็ต่อว่าเขากลับไปว่า
“นายนิสัยไม่ดี ชอบเรามาแค่เจ็ดร้อยกว่าวันไม่ต้องทำเป็นคร่ำครวญเลย ฮือออ กันย์ชอบนายมาเป็นพันๆวันแล้วไม่เห็นบ่นสักคำ!”