ตอนที่22
I’m trying so hard to be a better person.
พระอาทิตย์ตกดินแล้ว ทุกคนเริ่มทยอยกลับบ้าน พี่ปอเหลือบมองหน้าผมด้วยความเป็นห่วงแต่ก็ไม่พูดอะไร เธอเพียงแค่ปิดคอมพิวเตอร์ของตัวเองแล้วก็จากไปเงียบๆ ท้องฟ้าด้านนอกเริ่มมืดไม่ใช่เพราะได้เวลากลางคืนแต่เพราะเมฆเริ่มตั้งเค้า เดาว่าอีกไม่นานฝนคงตก
ผมยังนั่งอยู่กับที่แม้ในห้องจะไม่เหลือใคร รัวนิ้วลงบนคีย์บอร์ดพิมพ์งานที่ไม่จำเป็นต้องทำวันนี้ก็ได้ไปเรื่อยๆเหมือนคนไร้จุดหมาย เจ้าดอกทานตะวันสีสันสดใสผิดกับบรรยากาศโดยรอบยังตั้งอยู่ที่เดิม ผมไม่กล้าแม้แต่จะแตะมันราวกับมันเป็นกองเพลิงขนาดย่อม
ตรงหูกระเช้ามีการ์ดใบเล็กๆเหน็บไว้ ทั้งสีทั้งเนื้อกระดาษเหมือนกับของที่ผมให้เขาวันนั้นไม่มีผิด คิดว่าคงซื้อมาจากร้านเฮียเหมือนกันนั่นแหละ
“ยังไม่กลับอีกเหรอ?”
“อ๊ะ!? ประธาน”ผมร้องทักอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ เจ้าของหัวเหม่งใสเดินเข้ามาด้านใน มองเจ้าทานตะวันบนโต๊ะทำงานของลูกน้องอย่างสนใจ
“ฉันเกลียดทานตะวันจริงๆ เพราะมันดูสว่างเจิดจ้าจนแทบจะสะท้อนหัวล้านๆของฉันได้เลย ฮ่าๆๆ”คนอาวุโสกล่าวกลั้วหัวเราะ”แต่มันเป็นดอกไม้ที่น่าสงสารนะ ทำได้แค่แหงนคอขึ้นฟ้าเฝ้ามองพระอาทิตย์ที่อยู่ห่างอยู่ไกลออกไปไม่รู้กี่พันกี่หมื่นปีแสงอย่างบ้าคลั่ง ในขณะที่ตัวมันต่ำเตี้ยเรี่ยดิน”
“...”
“และที่น่าสงสารที่สุดก็ตรงที่จะกี่วันกี่วันขอแค่พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้ามันก็เอาแต่มองตามอยู่อย่างนั้น...จนกว่าจะแห้งเหี่ยวและตายไป...เบื้องหลังสีสันสดสวยกลับซ่อนความหมายของรักที่ไม่อาจเอื้อมถึง...”
“!!”
“โอ๊ะ ประโยคเมื่อกี้คมมั้ย หึหึหึ นี่ก็สองทุ่มกว่าแล้ว ข้างนอกฝนก็ตก ฉันว่าเธอรีบกลับจะดีกว่านะ อยู่ไปก็เปล่าประโยชน์ฉันไม่มีโอทีให้หรอก ฮ่าๆๆๆๆ”ประธานวางกระเช้าดอกไม้ลง เดินไปยังมุมห้องและช่วยปิดไฟผมเลยกุรีกุจอปิดคอมและจัดเอกสารให้เข้าที่ จ้องมองเจ้าดอกไม้น่าสงสารอย่างลังเล จนกระทั่งประทานพูดประโยคถัดมา
“อ่อ...แล้วก็พ่อหนุ่มที่เธอวิ่งหนีเมื่อวานยังนั่งอยู่ข้างล่างนะ อยู่ที่เดิมมาตั้งแต่เมื่อสายแล้ว”
นั่นคือคำพูดสั้นๆสุดท้ายของท่านประธานที่ผมได้ยินก่อนจะคว้ากระเช้าดอกไม้แล้ววิ่งผลุนผลันออกจากห้องไปอย่างร้อนรน!
ภายในลิฟท์ซึ่งเคลื่อนที่อืดอาดดจนน่ารำคาน ผมค่อยๆคลี่การ์ดที่เหน็บอยู่กับกระเช้าออกด้วยมืออันสั่นเทา
อยู่ข้างล่างนะ ถ้าอยากเจอก็ลงมา
ข้อความสั้นๆที่ทำให้คนอ่านร้องไห้และไร้กำลังเหมือนเด็กทารก
“นาย...”
บริษัทตอนกลางคืนวันฝนตกทั้งมืดและน่ากลัว โถงทางเดินที่ควรปราศจากเงาผู้คนกลับมีผู้ชายคนนึงนั่งอยู่ตรงม้านั่งยาวข้างทางเข้า คนคนนั้นเงยหน้าขึ้นมามองตามเสียงเรียก
เจ้านายของผมอยู่ในสภาพโทรมกว่าเมื่อวานเป็นร้อยเป็นพันเท่าขนาดเสื้อเชิ้ตชั้นดีแบรนด์guy laroche ยังกลบออร่าทะมึนรอบๆตัวเขาไม่ได้เลย
“งานเสร็จแล้วเหรอ?”เขาถามเสียงอ่อน
“อะ...อื้ม!”
“เลิกมืดอย่างนี้ทุกวันเลยรึป่าว”
“ป่าว...พอดีวันนี้มีงานด่วนเข้ามา”ที่จริงวันนี้ผมแทบไม่มีอะไรทำด้วยซ้ำ ผมโกหกไปพลางทิ้งตัวลงนั่งบนม้านั่งบ้างโดยรักษาระยะห่างเอาไว้เกือบสองฟุต พวกเราต่างก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเอง
“แล้ววันนี้ไม่ไปทำงานเหรอ”
“อืม...ไม่มีอารมณ์”
“...”
จะว่าไม่อยากพูดด้วยก็คงไม่ใช่เพราะถ้าไม่อยากคุยผมคงไม่วิ่งมาหาเขาแบบนี้ จะว่าไม่มีอะไรจะพูดยิ่งไม่ใช่ใหญ่ในสมองตอนนี้มีคำถามผุดขึ้นเต็มไปหมด จนจับต้นชนปลายเรียบเรียงออกมาไม่ถูกมากกว่า
“ยังโสดอยู่นะ”และคนที่พูดประโยคแสนงี่เง่าออกมาก่อนก็คือผมเอง!
ดูเหมือนนายจะตกใจไม่ต่างกัน เขาหันมามองผมด้วยสีหน้าประหลาดใจเล่นเอาเบือนหน้าหนีแทบไม่ทัน นายขยับเข้ามาใกล้จนไหล่ของเราชนกัน เขาเอื้อมมือมากุมมือของผมที่กำขากางเกงเสียแน่นอย่างอ่อนโยนพร้อมกับกล่าวเสียงนุ่มว่า
“โสดเหมือนกัน”
“ทำไมตอนนั้นถึงหายไป”ผมอยากจะลุกขึ้นแล้วหนีจากคนนิสัยไม่ดีคนนี้ไปไกลๆแต่เมื่อคิดว่าถ้าหนีไปทั้งๆที่ยังรู้สึกครึ่งๆกลางๆแบบๆนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากเดิม
วันนี้ต้องพูดให้รู้เรื่อง
“ขอโทษ ขอโทษจริงๆ”
คำขอขมาของเขาทำให้เส้นอารมณ์ของผมขาดผึง!
“ขอโทษเรื่องอะไร!?”คำขอโทษและสีหน้าราวกับกำลังวิงวอนนั้นเหมือนมีดแหลมกรีดแทงหัวใจ”นายเป็นคนบอกเลิกกันย์เองนะ!! ตอนนั้นกันย์ร้องไห้จนแทบขาดใจแต่นายก็ไม่เหลียวแลเลย!! นายทิ้งกันย์ไปทั้งๆที่นายเองก็ยังรัก!! คนขี้ขลาด!!!”
“ขอโทษ...”นายพยามเอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาให้แต่ผมปัดทิ้งหมดล่ะ ทั้งโมโหทั้งเสียใจตีกันมั่วไปหมด
“รู้ว่าหวังดี แต่มันมีทางออกแค่ทางเดียวรึไงเล่า!? แล้วไง!! ตอนนี้กลับมาทำไม รวยแล้วเหรอ!!? คิดว่าพ่อกันย์จะยอมรับรึไง!? อุ๊บส์ อื๊อออออ”
สุดท้ายเขาก็ทนฟังผมพูดไม่ไหว เจ้านายปิดปากของผมด้วยปากของเขา มันไม่ใช่จูบที่ลึกซึ้งหรือรุนแรงแต่จูบนี้กลับตรึงร่างของผมให้แน่นิ่งและฉุดรั้งหัวใจให้จมดิ่งลงสู่คำว่า’โหยหา’ ลิ้นอุ่นๆของเจ้านายๆค่อยๆแทรกกลีบปากของผมเข้ามา เลาะเล็มอย่างละเมียดละไม มือแกร่งรั้งท้ายทอยของผมไว้ให้แนบชิดกันมากขึ้น
เพียงชั่วอึดใจนายก็ผละออกไป ใช้มือทั้งสองข้างประคองใบหน้าของผมให้จ้องลึกเข้าไปในดวงตาอันสั่นเทาของเขา
“เพราะตอนนั้นนายยังเด็ก ก็เลยทำให้กันย์ต้องร้องไห้และเสียใจ...”ถ้อยคำของผู้ชายตรงหน้าซึมซับเข้าสู่สมองอย่างแช่มช้า แต่กลับรวดเร็วนักในการเข้าสู่หัวใจ
“ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าโตพอรึยัง แต่ขอโอกาสอีกสักครั้งได้ไหม”
เสียงพายุฝนด้านนอกอาคารเบาลงแล้ว เสียงกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งของผมก็หยุดดังแล้วเช่นกัน
ผมโทษอะไรเขาไม่ได้เพราะตอนนั้นสิ่งเดียวที่ผมทำก็คือร้องไห้
ที่จริงคนที่ต้องขอโทษอาจจะเป็นผมมากกว่า...
ผมพยักหน้าย้ำๆแทนคำตอบ จากนั้นก็ซบหน้าลงกับไหล่ของอีกฝ่ายอย่างหมดแรง เจ้านายเลยถือโอกาสกอดผมซะแน่น
”หิวแล้ว”ผมพูดเสียงอู้อี้”ไปหาอะไรกินกันเถอะ”
“แล้วจากนั้นก็หาที่เงียบๆคุยกัน?”นายช่วยต่อประโยคให้ด้วยน้ำเสียงล้อเลียน สีหน้างี้เจ้าเล่ห์เชี่ยว ผมส่ายหัวไปมาอย่างระอา เจ้านายก็ยังเป็นเจ้านายคนเดิมที่แสนหื่น
“ด๊ายย~~ แต่ถ้ามากกว่าคุยล่ะก็จะให้ตามจีบใหม่ตั้งแต่เริ่มเลย!”ผมขู่ไปงั้นแหละ นายไม่มีท่าทีว่าจะกลัวเลยสักนิด ชิส์ๆๆๆ เห็นว่าผมใจง่ายเหรอไง...เออ! ก็ใจง่ายจริงๆนั่นแหละ! เชอะ!
“จะสองทุ่มแล้ว กินข้าวต้มข้างถนนนะ”
“อื้ม!”
ผมตัดสินใจปล่อยเจ้าเบนซ์ ซีคลาสของตัวเองจอดตากฝนอยู่ในลานจอดรถอย่างไม่ใยดีแล้วก็โดดขึ้นฟอร์ด Ranger สี่ประตูสีแดงอิฐของนายด้วยใบหน้าชื่นมื่น ยิ้มหน้าบานราวกับเป็นคนละคนกับเมื่อวาน
นายพาผมมากินข้างต้มกุ๊ยในร้านตึกแถวข้างทางแห่งหนึ่ง ผมไม่เคยมาแถวนี้มาก่อน ดูเหมือนว่านายจะอาศัยอยู่ใกล้ๆกันนี่และมาฝากท้องกับร้านนี้เป็นประจำ สังเกตได้จากอาแปะเจ้าของร้านที่เอ่ยทักตั้งแต่เจ้าตัวเอารถมาจอด
ผมชอบรถของนายนะสีสวยดีทรงก็เท่ห์ ถึงผมจะไม่เคยนั่งรถกระบะมาก่อนก็เถอะแต่มันเข้ากับผู้ชายห่ามๆแบบนายมากเลย
พวกเราฟาดข้าวต้มกันไปคนละห้าชาม กับอีกสามสี่อย่าง หิวโซอย่างกับแร้งลง กินแป๊ปเดียวเสร็จเก็บเงินออกจากร้านไปด้วยความรวดเร็วชนิดอาแปะงง
“อร่อยยย”ผมยิ้มแป้นนั่งผึ่งพุงอยู่บนรถของแฟนเก่า คืนนี้ผมจะไปค้างที่ห้องของนายด้วยเหตุผลความแรดส่วนบุคคล แรดถึงขั้นถ้านายไม่เอ่ยปากชวนผมคงเสนอตัวเอง ฮ่าๆๆๆๆ
นายเสตามองผมแล้วก็ส่งยิ้มให้ ผมเลยยิ้มกลับแก้มแทบแตก รู้สึกมีความสุขจนตัวจะลอย
ใช้เวลาไม่นานพวกเราก็มาถึง...เอิ่ม ร้านเกมส์?
นายจอดรถที่หน้าร้านเกมส์หันมาบอกผมว่า”รอเดี๋ยวนะ”จากนั้นก็ลงจากรถไป เห็นคนคุมร้านกุลีกุจอลุกไหว้ ผมไม่รู้ว่าเขาคุยอะไรกันเพราะยังนั่งอยู่ในรถเลยได้แต่กวาดตาสำรวจรอบๆร้าน สุดซอยนี้มีโรงเรียนมัธยมอยู่คิดว่าตอนบ่ายๆคนคงเยอะน่าดู นี่ขนาดสามทุ่มแล้วคนยังนั่งเกือบเต็ม
รอสักพักเจ้านายก็เดินออกมา
“โทษที รอนานไหม พอดีนัดเด็กไว้ว่าจะเอาเกมส์ใหม่มาลงให้วันนี้แต่คงต้องเลื่อนนัดไปก่อน”เจ้านายพูดไปพลางออกรถอีกครั้ง”แม่งบ่นใหญ่เลย ขอให้ขึ้นเงินเดือนยิกๆ สงสัยกรรมที่เคยก่อไว้กับพี่แก้วจะตามสนอง”
“ร้านนี้ของนายเหรอ”ผมเลิกคิ้วถามอย่างแปลกใจ
“อ้อ...อืม เปิดมาได้สองปีกว่าแล้ว”นายกล่าว เขายกมือขึ้นเกาแก้มเหมือนไม่อยากจะเล่าหรือไม่อยากรื้อฟื้นที่มาของร้านนี้นัก”กันย์รู้ไหมว่าแฟนกันย์ต้องกระเสือกกระสนขนาดไหนกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้”
“แฟนเก่าต่างหาก”ผมแกล้งแย้ง แต่ดูท่าจะแกล้งแรงไปหน่อย เจ้านายแทบจะหักพวงมาลัยทิ่มข้างทาง
“โกหกน่า!? มาขนาดนี้แล้วยังไม่ดีกันอีกเหรอ ไหนบอกว่าไม่ต้องจีบใหม่ตั้งแต่ต้นไง!?”
“ก็ไม่ต้องจีบใหม่ ให้จีบต่อจากเดิม”
“แล้วจีบยากไหม จะติดรึป่าว”
“ก็ไม่รู้สินะ ฮ่าๆๆๆ”ผมหัวเราะร่วนเมื่อเห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของนาย
ระหว่างทางพวกเราแลกเปลี่ยนเรื่องราวชีวิตที่ไม่มีกันและกันให้อีกฝ่ายฟังคร่าวๆเหมือนกำลังทำความรู้จักกันใหม่อีกครั้ง ชีวิตของผมก็ไม่มีอะไรอย่างที่รู้กัน นอกจากเข้าทำงานด้วยเส้นสายและได้รถหรูจากเงินพ่อผมก็ยังได้พอร์ตหุ้นเป็นของขวัญวันเกิดเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งแค่ปันผลจากหุ้นพวกนี้ก็แทบจะเยอะกว่าเงินเดือนทั้งปีรวมกันอีกพูดได้อีกอย่างว่าทุกวันนี้ทำงานเป็นงานอดิเรก
ด้านเจ้านายชีวิตต่างกับผมราวกับฟ้ากะเหวส่วนใหญ่มีแต่เรื่องงานกับเงินทั้งนั้น
สมแล้วที่มังกรจะด่าว่าคลั่งงานเหมือนขายวิญญาณให้เงิน
เริ่มจากหลังเลิกกับผมได้สองเดือนกว่า พี่แก้วก็แนะนำเพื่อนเก่าซึ่งทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์อยู่ นายรับงานฟรีแลนซ์จากเพื่อนพี่แก้ว ทำงานร้านพี่แก้ว ช่วยมังกรคุมคนจัดอีเว้นท์งานแต่ง เรียนคณะวิศวะภาคคอมปีสี่ซึ่งขึ้นชื่อว่าเหนื่อยแบบสาหัสไปพร้อมๆกัน พอขึ้นเทอมสองก็นำเงินที่หามาได้เปิดร้านขนมไทยให้แม่ที่สุพรรณกำไรต่อเดือนดีทีเดียวเพราะแม่ของนายทำอร่อย นักท่องเที่ยวชอบกันมาก ปากต่อปากแถมได้ทำเลดีอีก
นายควรจะเลิกทำงานและเรียนปีสี่ซึ่งสำคัญมากที่สุดในชีวิตนักศักษา แต่เขาก็ไม่เลิก! นายยังทำทุกอย่างตามเดิม ที่เพิ่มเติมก็คือเขาหุ้นกับมังกรเปิดร้านเกมส์หลังเรียนจบ!
ผมอยากจะเอาหัวโขกคอนโซลรถเมื่อเขาเล่ามาถึงตรงนี้แต่ติดที่พวกเรามาถึงคอนโดที่เขาซื้อผ่อนไว้แถบชานเมืองเสียก่อนผมเลยได้แต่บ่นกระปอดกระแปดทำนองว่า
“จะบ้าเหรอ!? ทำทั้งร้านพี่แก้ว! งานพี่ฟรีแลนซ์! เรียนหนังสือ! โปรเจ็คจบ! แล้วยังกระแดะเปิดร้านเกมส์อีก ฆ่าตัวตายรึไง!!”ดีนะที่หลังจากนายเรียนจบพี่แก้วก็ตัดสินใจรับจัดอีเว้นท์งานแต่งร่วมกับมังกระในขณะที่เจ้านายลาออกจากร้านและนานๆทีแวะเวียนไปเยี่ยมสักครั้ง
นายก็ได้แต่หัวเราะเสียงแห้ง ไขกุญแจเชิญผมเข้าไปในห้องสี่เหลี่ยมขนาด 28 ตารางเมตรอันเป็นขนาดที่เล็กที่สุดของคอนโด
“แล้วไงต่อ”ผมเร่งให้เขาเล่าต่อจะได้ด่าทีเดียว ยืนกอดอกมองเจ้านายที่ตัวหดเหลือมิลเดียวนั่งจ๋องอยู่บนโซฟา
“ก็...แรกๆคนก็ยังไม่ค่อยเข้าเท่าไหร่ ได้กำไรแค่เดือนละสามหมื่นกว่าๆ...”เล่าไปพลางเหลือบมองหน้าผมไปพลาง คงกลัวจะโดนดุว่าได้เดือนละสามหมื่นแล้วยังไม่พออีกรึไง!?”ตอนนี้ค่อยดีขึ้นหน่อย ได้เดือนละแสนต้นๆ แต่ช่วงนั้นนายกับไอ้กรได้งานประจำทำที่ SKT ต้องออกไซด์งานบ่อยก็เลยฝากร้านให้ไอ้เบสกับพอสช่วยดู รายได้ตอนนั้นเลยหารสี่...”
“อ่าหะ”ร้านเกมส์ได้เงินดีกว่าที่ผมคิดไว้เยอะเลยครับ แสนต้นๆ พระเจ้า! เยอะกว่าเงินเดือนผมสองสามเท่าเลยนะนั่น!!
นายทำท่าจะเล่าต่อผมจึงรีบร้องห้าม“เดี๋ยวๆๆๆ พอเลย พอ! ไม่ต้องเล่าแล้ว! แค่ฟังก็ประสาทกิน!”ผมยกมือเป็นปางห้ามญาติ สะบัดหัวไปมาอย่างหงุดหงิด คว้าผ้าขนหนูและชุดที่นายเตรียมให้แล้วเดินฉับๆเข้าห้องน้ำไป
ผมอยากขอบคุณพระเจ้าที่ไม่เอาเจ้านายไปอยู่กับพระองค์ก่อนเวลาอันควร บ้างานขนาดนี้ถ้าเขาเส้นเลือดในสมองแตกตายไปก่อนคงไม่มีใครแปลกใจ!
โอเค...สรุปคือชีวิตของนายสามปีโสดสนิท มีงานเป็นเมีย เวลาคือพระเจ้า เหนื่อยคืออะไรไม่รู้จัก!
.
.
ผมซึ่งอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้วนอนแอ้งแม้งอยู่บนเตียง ตอนนี้นายกำลังอาบน้ำอยู่ เมื่อกี้มังกรโทรมาผมเลยช่วยรับแทน พอได้ยินเสียงของผมตอบกลับมาจากเบอร์ของเจ้านาย มังกรก็ดีใจจนแทบจะร้องไห้ ได้ยินเสียงร้องไชโยของพี่แก้วดังลอดเข้ามาด้วย แสดงว่าสองคนนี้อยู่ด้วยกัน ตอนดึกๆงี้อ่านะ?
มังกรพูดแค่ให้ผมดูแลนายให้ดี คอยห้ามมันด้วยเวลาจะริเริ่มงานใหม่ ผมหัวเราะลั่นทันทีที่ได้ยินคำนั้น พวกเราคุยกันอีกสองสามคำแล้วก็วางสายเพราะมังกรแค่โทรมาเช็คว่าเพื่อนตัวเองยังเป็นบ้านั่งรอผมอยู่ใต้ตึกอยู่ไหมเท่านั้น
นายเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยใบหน้าฉงน”เมื่อกี้คุยกับใครเหรอ?”
“มังกรโทรมาหานายน่ะ”
“มันว่าไง”
“ก็...ไม่มีอะไร คิกๆ”
“เห้ย!? คุยอะไรกัน นินทาเหรอ ทำไมต้องหัวเราะ!?”นายพาดผ้าขนหนูไว้กับโซฟา เลื่อนประตูกระจกคั่นห้องนอนปิดแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างผมซึ่งผลุดลุกขึ้นมาตั้งหลักตามสัญชาตญาณ
“นินทาอะไร ไม่มี๊~”
“กันย์!”
“อารายยยย”ผมลอยหน้าลอยตาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
ใบหน้าของพวกเราเต็มใบด้วยรอยยิ้มหลังจากได้รับสิ่งที่เผลอทำหล่นหายไปกลับคืนมา
มันอาจจะฟังดูหลงตัวเอง แต่การที่เจ้านายทำทุกอย่างขนาดนั้นผมคิดว่าเขาไม่ได้ทำเพื่อเงินหรอก...แต่เขาทำเพื่อผมต่างหาก
เพื่อลดระยะห่างที่เจ้าตัวคิดเอาเองว่าไกลแสนไกลให้ใกล้ขึ้นมาอีกสักนิด...ทั้งๆที่ผมก็อยู่ใกล้แค่นี้มาตลอดแท้ๆ
_________________________________________
ขอโทษในความงี่เง่าทั้งปวงของนายด้วยค่ะ
คนเขียนจะรับความผิดทั้งหมดเอาไว้เอง
/กางปีกปกป้องเจ้านายลูกรัก/ 5555