ผมเดินแก้เขินขาขัดกันไปสามรอบติดออกมาตรงลานจอดรถก็เห็นพวกเพื่อนผมยังไม่ได้เดินไปที่รถพี่หมอครับ แต่หยุดอยู่ที่รถบีเอ็มคันคุ้นเคย แต่กูไม่เคยอยากให้มันมาคุ้นเคยเวลานี้เลย ไม่ต้องมองไปถึงคนข้างๆว่าตอนนี้หน้ามันจะไม่รับแขกขนาดไหนเพราะนอกจากจะได้ตัวเสือกร่วมรถแล้วดูท่าทางยังได้ศัตรูคู่ชีวิตพี่มันร่วมทริปไปอีกด้วย
“อู้! มารถกูมา” พี่โยโบกมือยิ้มจนตาปิดให้ผม ตาพี่คงปิดจริงๆ เลยอดเห็นเส้นเลือดตรงขมับพี่หมอที่ยืนอยู่ข้างๆผมซึ่งกระตุกเป็นจังหวะเรกเก้เลย ผมยกมือบ๊ายบายตอบเตรียมเดินเข้าไปหาพี่กับเดอะแก๊งแต่ทว่าเสียงมารก็ดังขึ้นเข้มข้างหูซะก่อน
“อย่าแม้แต่จะคิดนะมึง คดีเก่ามึงยังไม่เคลียร์”
สะดุ้งเลยกู อย่างกับฉากในหนังเสียงกระซิบจากนรก
“แหะๆ พี่โย พี่ไปค่ายด้วยอ่อ ไม่ยักรู้ว่าปีสามไป”
“ก็เพราะมึงไปกูถึงไปนี่แหล่ะ” พี่เทคนี่เค้าเทคจริงจังจริงๆครับมหาลัยนี้ ผมหล่ะแอบรู้สึกโชคดีจริงๆได้พี่เทคที่เทเทคน้องรหัสประหนึ่งลูกตัวเองอย่างพี่โย ว่าแต่นั่นใส่เสื้อคณะธรรมดาทำไมอยู่บนตัวพี่โยแล้วมันดูมีภูมิฐานเหมือนเป็นเจ้าของคณะได้ขนาดนั้นวะ งงใจอีกแล้ว
“สรุปวันนี้ปีสามเอารถไปสามคันเลยแฮะ ปันไปคันไหนได้บ้างอ่ะ”
ผมมองรถยี่ห้อที่ไม่ควรมาอยู่แถวนี้ได้จอดเรียงกันสามคัน คันแรกบีเอ็มซักซีรี่ส์นึงสีขาวเดาว่าแพงของพี่โย คันนี้คุ้นตาครับมักจะขับอยู่รอบมหาลัยโชว์ความเสี่ย คันต่อมาเบนซ์ซักรุ่นหนึ่งของพี่ภูมิคุ้นตาอีกเหมือนกันเพราะพี่แกชอบขับขนนู่นขนนี่ให้คณะใครๆก็ชอบพูดว่าขับเบนซ์ให้เป็นกระบะได้คือความสามารถพิเศษของพี่ภูมิ ตบท้ายด้วยรถทรงไม่เหมือนชาวบ้านอ่านว่าอะไรโรเวอร์ๆซักอย่างของพี่หมอที่เปิดประทุนอยู่มันคือรถซักรุ่นหนึ่งที่ดูท่าจะแพง อย่าถามว่าทำไมไม่รู้ เพราะกูไม่เล่นรถครับ บอกแล้วว่ารู้จักแค่นิสสันมาร์ชกับฮอนด้าแจ๊ซซึ่งเป็นรถแม่กับพี่สาว อยู่กรุงเทพใช้บริการอยู่แค่บีทีเอสกับแท็กซี่ครับ บุญตูดแค่ไหนได้มานั่งรถหรูที่บ้านนอกแทนในเมือง ส่วนที่บอกทำไมน่าจะแพง ก็ไม่รู้อีกครับ คันไหนราคามากกว่าแสนก็แพงหมดอ่ะ
“เอางี้ปันกับพีมารถกู เติ้ลก็ไปคันมึงละกันโยมันเข้ากับแป๊ะได้ดีนี่ อ้อ ส่วนหมอก็ไปกับอู้ ไหนๆพวกมันก็เมทกันอยู่แล้ว” เสร็จศัพท์เหมือนร่างบทไว้อยู่แล้ว พี่ภูมิพูดไปจุดบุหรี่ไป สายแบดและฉลาดที่แท้จริง โผล่มาตัดปัญหาได้ทุกอย่างไม่เปิดโอกาสให้แย้ง
“แต่...” พี่โยเหมือนจะพูดอะไรซักอย่าง แต่ก็ถูกเมินเพราะพี่หมอเดินไปเหวี่ยงกระเป๋าผมขึ้นรถมันแล้วกดปิดประทุนไม่ลืมหันหน้ามาตะโกนเรียกผมด้วยเสียงที่ดังลั่น
“ไอ้ลูกหมามาขึ้นรถ!”
โฮ่ง!
เอ้ย
ได้!
ผมขึ้นมานั่งจ๋องเป็นตุ๊กตาหน้ารถรอพี่มันดูดบุหรี่เสร็จ จีบบ้านพ่อมึงหรอพี่ให้สาว(?)มานั่งรอบนรถเนี่ย กูต้องประทับใจไหม ดีนะยังใจดีสตาร์ทรถไว้ให้ คิดว่าจะปล่อยตากแดดกลายเป็นอู้อบแห้งอยู่ในรถซะแล้ว เห็นไหมครับ บอกเลยว่าไอ้พี่หมอเนี่ยไม่ได้เปลี่ยนไปเลยซักนิด เหมือนเดิมจนน่าตกใจ ที่ผมดูไม่ออกว่าพี่มันรู้สึกอะไรกับผมก็ไม่แปลกหรอกจริงๆ ไม่อยากจะบ่นแต่ก็บ่น นั่งบ่นรออยู่ซักพักพวกพี่ก็ขยี้บุหรี่แล้วแยกย้ายขึ้นรถใครรถมันครับ
“ใส่เข็มขัดด้วย” พี่มันดุเสียงเข้ม
“ครับพ่อ” ผมซ้ายเอื้อมจะไปดึงเข็มขัดนิรภัย
“เห้ยๆ! อย่าเพิ่งๆ” พี่มันโวยวายเสียงดังห้ามไม่ให้ผมเอื้อมมือไปดึงเข็มขัดนิรภัย
“อะไรของพี่วะ”
“กูใส่ให้” พูดจบแขนแน่นๆก็พาดผ่านหน้าผมโดยไม่ทันตั้งตัว กลิ่นน้ำหอมที่พี่มันชอบฉีดฟุ้งกระจายติดอยู่แถวๆปลายจมูก ใกล้กันจนต้องหดคอหนี
“มึงจะหดคอทำไมวะ”
“เอ้า ก็มันกะ ใกล้ ใกล้ไปแล้วไอ้เหี้ยพี่”
“ซีนนี้จมูกกูต้องเกี่ยวแก้มมึงดิ เอาหน้ามึงออกมา”
มึงจะหลอกหอมแก้มคนโดยการบังคับหน้าด้านๆแบบนี้ก็ได้หรอพี่ มึงนี่มันจริงๆ!
ผมยกมือขึ้นดันหน้าหล่อของพี่มันทันทีที่มันเฉลยแผนการณ์ลวนลาม โว้ยยยย เปิดโอกาสนิดโอกาสหน่อยไม่ได้ ต้องทำตัวแบบนี้ตลอดเลย
“ออกไปเลย ผมใส่เอง พี่นี่แม่ง” หาได้สำนึกผิดไม่ครับ ไอ้พี่หมอยกยิ้มเจ้าเล่ห์แบบที่มันชอบทำ สงสัยเห็นแก่คณะทัวร์ที่จอดรออยู่เลยยอมถอยทัพไปขับรถ
รถเคลื่อนที่ออกมามหาลัยมาได้ซักพักแล้ว พี่มันไม่ได้เป็นคนขับรถไว เพราะดูจากพี่โยกับพี่ภูมิที่นู่น รถออกตัวก็ซิ่งกันออกไปเรียบร้อยเยี่ยงนักแข่งรถ ส่วนไอ้พี่หมอนี่มขับรถเหมือนมาธีมนุ่งขาวห่มขาว รถวิ่งหนอ ออกตัวหนอ ถึงสระแก้วตอนกูปีสี่เลยมั้ยหนอ ถามใจดูนะหนอ
“ขับช้าจังวะพี่”
“อยากอยู่กับมึงนานๆ”
อืม...
เป็นหวยกูถูกไปแล้วหล่ะ
“พี่แม่ง!!”
“กูก็ขับช้ารอให้มึงพูดออกมานี่แหล่ะ ฮ่าๆ กูเสิร์ชมุกจีบมาดีโว้ย” พูดจบพี่มันก็เร่งความเร็วขึ้นประหนึ่งว่าถ้าผมไม่พูดมันก็จะขับช้าอย่างนี้ไปเรื่อยๆนั่นแหล่ะ เล่นเป็นเด็กจริงๆ นี่ปีสามหรือปอสามวะ
“ก็ว่าแล้ว อย่างพี่อะหรอจะมาขับช้า”
“เออ มาคนเดียวกูก็คงขับตามตูดไอ้ภูมิไปแล้ว แต่นี่มีมึงมาด้วยขับไวไปรถชนตายห่าหมดนี่ก็แย่ดิ กูเอาลูกคนอื่นไปชดใช้แม่มึงไม่ได้ จะเอาตัวเองไปแม่มึงก็ไม่น่ารับ”
“แต่แม่ผมน่าจะชอบพี่นะ”
“ทำไมวะ”
“ไม่รู้ แม่ชอบคนหล่อ แม่กับพี่สาวน้องสาวผมบ้าซีรี่ส์มาก หน้าพี่ก็โอป้าอยู่นะ”
“แล้วมึงอ่ะ”
“ผมอะไร”
“น่าจะชอบกูบ้างป่ะ?” ไอ้พี่หมอ มึงขับรถเงียบๆไปเลย!!!
ท่องจำเอาไว้ครับว่าอยู่บนรถนี้มึงต้องระวังหมัดใต้เข็มขัดที่มาในรูปแบบคำพูด เดี๋ยวจะเสียดินแดนให้นายแพทย์ไปได้ซะง่ายๆ พี่หมอแม่งขยันรุกแรงเหลือเกิน กลัวใจชิบหาย สงสัยไอ้ที่นอนดึกๆทุกวันนี้นี่ไม่ได้อ่านหนังสือเตรียมสอบนะแต่มัวไปนั่งเสิร์ชกระทู้จีบหนุ่มแน่ๆ มุกแต่ละมุก กูยอมใจร้อยรอบ ไม่หล่อมาเล่นนี่มีโดนสาวถอดเอาส้นตีนตบปากบ้างแหล่ะ
นั่งมาได้ซักพักชักหนาวครับ เป็นปกติเพราะผมเป็นคนขี้หนาวอยู่แล้ว จะเลื่อนมือไปปรับก็ลืมไปว่าไอ้พี่หมอมันเป็นพวกขี้ร้อน เวลาอยู่ที่ห้องแม่งชอบเดินไปปรับแอร์เป็นสิบห้าองศา ตื่นเช้ามาที่นี่ ฝ้าขึ้นกระจกห้องนอน บางทีได้ยินเสียงจิ๊บๆนี่ไม่รู้นกตรงระเบียงหรือแพนกวิ้นมาทำรังอยู่ใต้เตียง
พรึ่บ!
เห้ย!
อยู่ดีๆผ้าห่มสีชมพูมุ้งมิ้งลายโดเรมีที่ตอนนี้ชักจางกลายเป็นรูปเรขาคณิตโง่ๆแทนบินโปะบนหน้าผมโดยไม่ทันตั้งตัว ใครที่ไหนไม่ไกลหรอก ทำเป็นเก๊กขับรถหน้าหล่ออยู่ข้างๆผมเนี่ยแหล่ะ
“เห้ยยย โดเรมีของผม”
“หนาวหล่ะสิมึง แต่กูไม่เบาแอร์หรอก แค่นี้เหงื่อก็ชุ่มรักแร้แล้ว” โห ทุเรศคนที่สุด เหม็นเปรี้ยวมาเลย แม่งเป็นผู้ชายประเภทไหนวะเนี่ยจีบคนโดยการบอกว่ารักแร้เปียก
“ทุเรศว่ะพี่”
“หึ สีชมพูนี่เหมาะกับมึงดีนะ” พี่มันยื่นมาโยกหัวผมแบบที่ชอบทำ แต่ตาก็ยังจ้องไปที่ถนนอยู่เหมือนเดิม
“เออ ก็ผ้าห่มผมอ่ะ จะทำไม!” คิดแล้วแค้นครับ ตัดภาพกลับไปตอนเจอกันแรกๆ มันด่าสีเทปแปะแบ่งกลางห้องว่าเป็นสีตุ๊ด ทีงี้มาทำแซว หนาวให้ตายจนแม่คะนิ้งขึ้นตากูก็ไม่มีวันให้ยืมน้องโดเรมีหร๊อก!!
“ไม่ทำไมหรอกก็น่ารักดี”
“ตบหัวแล้วลูบหลังชัดๆ ทีก่อนหน้านี้มาบอกสีตุ๊ด”
“เออก็ตุ๊ด”
“เอ๊า”
“แต่อยู่กับมึงแล้วน่ารัก กูชอบตุ๊ดก็ได้”เป๊ง!
โดนอีกหมัดต่อยใต้เข็มขัด ฮืออออออ ผมนอนหันหลังให้ไอ้พี่มันแม่งเลยไม่คุยด้วยแล้ว พอเปิดตัวว่าจีบหน่อยนี่ ไม่เว้นจังหวะเลยนะมึ้งงง
“มึงเขินหรอ งี้กูมีหวังนะไอ้ลูกหมา”
“ไม่ได้เขิน!!”
“หันหน้ามาดิ๊”
“พี่หมอมึงอย่าวอแวได้ป่ะ ขับๆไป”
“เอาหน้ามาดู” ไม่พูดเปล่า พี่มันยื่นมือมาทั้งบีบคาง ดึงผ้า ดึงแก้มวุ่นวายไปหมด ผมก็งัดวิชากังฟูมาปัดมือพี่มันไม่ยอมแพ้ ปัดชิ้งชั้งประหนึ่งเป็นอาจารย์ชิฟูจากกังฟูแพนด้า
“อย่ายุ่งงงง ขับไปดิวะ เดี๋ยวรถชน”
“เออ งั้นกูจอด”
เห้ย!
ไม่พูดอย่างเดียวแม่งเอาจริงเลี้ยวเข้าปั๊มเฉย มึงจริงจังอะไรกับการเปิดโปรงผ้าห่มโดเรมีกูขนาดนั้นวะ ตั้งแต่ตอนไม่สบายแล้ว นี่รู้เลยนะว่าสมัยก่อนนั่งท่องโอมมะลึกกึ๋ยด้วยความเรียบง่ายอยู่หน้าทีวี ผมอ้าปากกำลังจะโวยวายเลยถ้าเกิดไม่ติดว่ามองดีๆ เห็นรถของคณะจอดเรียงอยู่ด้านหน้า เดาว่าคงเป็นแวะพักเข้าห้องน้ำกัน
...ว่าแต่ท่อรั่วกันหรอ เพิ่งออกจากมหาลัยมาได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเองนะ
มัวแต่นั่งนินทาท่อฉี่เพื่อนในใจ กรรมมันเหมือนติดสี่จีตามทันแก้แค้นแทนท่อฉี่ที่ถูกพาดพิง แต่มาในรูปแบบมือใหญ่ๆที่แข็งเหมือนคีมบีบเข้ามาเต็มคาง
“โอ๊ยๆ พี่หมอ!!”
“ทำไมมึงมันหน้าหมั่นไส้จังวะห๊ะ” เอ้าไอ้พี่ ประจำเดือนมารึไง หน้าก็หล่อแบบนี้มาปกติเกิดมาหมั่นไส้อะไรวันนี้วะไอ้นายแพทย์
“เจ็บนะ หยุดสิวะ พี่หมอ!!” ผมดิ้นปัดมือปัดไม้ที่ไม่ใช่เล็กๆยื่นมาดึงแก้มบิดจมูกอยู่นั่นแหล่ะ ผมบอกเจ็บเพราะแม่งเจ็บจริงๆ อีกนิดจมูกกูหลุดติดมือไปแล้วแต่พี่มันก็ยังหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอยู่ นอกจากจะเป็นหมอที่มือหนักมากๆแล้วยังเป็นโรคจิตอีกด้วย บุญแค่ไหนที่พี่มันไม่สอบหมอบ้าจี้ตามชื่อมันจริงๆ
พี่มันเล่นอยู่กว่าสิบนาทีถึงจะยอมปล่อยผมออก แม่งเล่นซะหอบแฮ่กเลย โคตรผีบ้า ร่างถึกเท่าร่างผมคูณสองยังจะมาเล่นใช้กำลังอีก ผมผละออกหายใจหอบก่อนจะรู้สึกถึงความผิดปกติที่พี่หมอมันเอาแต่จ้องผมนิ่งไม่วางตา
“...”
“มองห่าอะไรอีกหล่ะ ลองเข้ามาอีกรอบ ผมต่อยพี่จริงๆนะ” ผมมองค้อนพี่หมอสุดชีวิต
“มองมึงหอบ”
“โรคจิตรึไง!”
“มองมึงหอบแบบนี้กูคิดดีๆไม่ได้เลยว่ะอู้”
แม่งเอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
ผมผลักหน้าพี่มันออกแล้วเปิดประตูรถออกมาทันที ปล่อยให้พี่มันหัวเราะสะใจเป็นบ้าบนรถอยู่คนเดียว ในหนังมีหมอแปลกแต่ในชีวิตจริงมีหมอแปลกยกกำลังสอง แปลกกว่านี้มึงขึ้นโชว์งานวัดได้แล้วเนี่ย ขอสบถแม่งเอ๊ยอีกซักที
ผมเดินเข้าเซเว่นด้วยอารมณ์คุกกรุ่น แอบลูบแก้มตัวเองนิดหน่อยว่ายังอยู่ดี ไม่ใช่ติดนิ้วไอ้พี่มันไปแล้ว เป็นบ้าจริงๆไม่บีบแก้มก็ชอบบีบคาง ทำเหมือนของตัวเองไม่มี โวะ อารมณ์เสียหยิบเบนโตะมาปาลงพื้นแม่งให้ดังแปะแล้วค่อยหยิบไปจ่ายตังค์
“อู้ๆ”
“มึงเรียกเพื่อนหรือมึงตกใจเงาตัวเองวะปัน” ผมหันไปหาเสียงเรียก ปรากฏเป็นพี่ภูมิยืนอยู่กับปัน
“ปันเรียกอู้”
“เออ กูเล่นมุกไม่ได้อยากให้ตอบ” เป็นไงหล่ะ เจอพลังเอ๋อของนายปันไป พี่ภูมิก็พี่ภูมิเถอะ มีต้องขมวดคิ้วบ้างแหล่ะ
“หมา มึงซื้อมาม่าไปกินบนรถไหม” แขนผมถูกดึงด้วยแรงที่คุ้นเคย เล่นเอาเซแถ่ดๆไปกระแทกอกแข็งๆดังปั้ก เงยหน้าไปก็เจอหน้าไอ้คนที่เพิ่งประทุษร้ายร่างกายไปบนรถเมื่อสิบนาทีที่แล้ว
“ไม่เอาไม่แดก”
“อู้ ว่าแต่มึงรู้ยังอ่ะว่าพี่โยรถชน” ไอ้ปันโพล่งถามขึ้น เล่นเอาผมแทบปล่อยซองขนมหล่น
“เห้ย!! ชนอะไร”
“ควาย”
“ด่ากูไมวะ กูถามว่าชนอะไร”
“ควาย!!”
“ไอ้เพื่อนบี มึงเอาเรื่องจริงซิ” พี่หมอขมวดคิ้วถามไอ้ปัน
“ควายจริงๆ”
เหยดเขร้ เพื่อนปันกูมาว่ะ จากที่เอ๋อเล่นน้ำลายตอนนี้มาเป็นน้ำลายฟูมแยกเขี้ยวสู้ไอ้หมอเถื่อนแล้วโว้ยมาดูกันสถานีต่อไปจะเป็นน้ำตาแทนไหม ตัดภาพมาอีกฝ่ายกันบ้างครับ ไอ้พี่หมอที่ถูกเรียกเป็นคนมีเขาสองเขางี้แทบจะเอาตะกร้าสีส้มฟาดหน้าไอ้เอ๋อถ้าไม่ติดที่ว่าพี่ภูมิมันยกมือชี้ไปที่หน้าร้านเยื้องๆกับรถตู้มหาลัย เป็นอันห้ามสงครามกลางเซเว่น ก็พบกับภาพที่ไม่คิดว่าจะได้เห็น
ควาย…
ควายจริงๆครับ ควายตัวเป็นๆสีเทาเข้ม กำลังนอนยิ้มอวดเขาประหนึ่งเขาเป็นนอยูนิคอร์น เชี่ย นี่มันกลิ่นอายความบ้านนอกที่แท้จริง ยืนซื้อของในเซเว่นมองออกไปเจอควายมองหน้า แต่จะมัวมองควายไม่ได้ครับ ความเป็นอยู่พี่รหัสต้องมาก่อน ผมงี้พุ่งตัวออกไปหน้าร้านทันทีซึ่งก็พบพี่โยกำลังยืนหน้าทำหน้าเหนื่อยอยู่กับเด็กผู้ชายตัวเล็กยืนกอดอกหน้าตาไม่สบอารมณ์สุดๆโดยมีแต่แป๊ะคอยยืนหัวเราะเกลี้ยกล่อมอยู่ขนาบข้าง
“พี่โยเป็นไงบ้างพี่”
“คุณถามผิดคนแล้ว คุณควรจะถามมิคาเอลมากกว่าว่าเป็นอะไร คนเมืองกรุงนี่มันจริงๆเลย สักแต่ว่ามีเงินซื้อรถมาแล้วจะขับยังไงก็ได้หรอ” รัวยิ่งกว่าแรปอิสนาว ผมนี่งงไปหมดเลยทั้งๆที่ไม่ได้เป็นคนรวยที่ว่า แล้วมิคาเอลนี่คือใคร อย่าบอกนะควาย ชื่อมึงนี่จะดูดีกว่าชื่อคนขนาดนี้ได้หรอ ควายชื่อมิคาเอล คนชื่อแป๊ะ ถามใจดู
“มันไม่ได้ชน แต่ควายคุณ..”
“มิ-คา-เอล”
“เออๆ มิคาเอลของคุณมันเดินใกล้ถนนผมก็บีบแตร ควา..มิคาเอลของคุณแค่สะดุ้งแล้วขาพลิก ผมไม่ได้ชนซักหน่อย”
“คนกรุงทำไมใจไม้ใส้ระนองแบบนี้”
“ระกำ!”
“เออ นั่นแหล่ะพูดผิด”
พ่ามไหมหล่ะมึง ไอ้พี่แป๊ะที่อุตส่าห์แก้คำให้กับคุณเจ้าของมิคาเอลถึงกับยกมือขึ้นทาบหน้าผาก ตกลงน้องเค้าจะโกรธหรือจะเล่นมุกไหนตอบมาที
“แต่คุณก็ทำไม่ถูกที่ขี่ควายมาแถวถนน”
“มิคาเอล”
“เออ มิคาเอลก็มิคาเอล” พี่โยถอนหายใจยาว
“ถนนนี้คุณสร้างหรือไงถึงจะมาห้ามคนนั้นคนนี้ใช้ถนน อ๋อ คิดว่ารวยเลยจะบีบแตรยังไงก็ได้แบบนี้หรอ คนกรุงนี่มันจริงๆ ถึงคุณจะหลงใหลบั้นท้ายของมิคาเอลยามเดินแค่ไหน คุณก็ไม่มีสิทธิ์มาบีบแตรให้มิคาเอลตกใจแบบนี้คุณเข้าใจไหม โถขวัญเอ๊ยขวัญมานะน้องมิ ฮึ่ย!! ผมกำลังจะพามิคาเอลกลับบ้านพ่อของผม คุณต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่คุณทำ!!” อะโห มาอย่างกับบทที่พระเอกเมาแล้วได้กับนางเอกตื่นมาโดนนางเอกเรียกร้องความรับผิดชอบทั้งๆที่ฉากความจริงนางเอกชื่อน้องมิกำลังนอนอวดเขาไม่สนใจโลกอยู่บนพื้น พอย่อชื่อเป็นน้องมินี่ดูคาวาอี้คิโยมิจนดูเป็นควายดัดจริตขึ้นมาเชียว แหมๆ ว่าแต่อย่าพูดไปครับ เผลอๆงบประมาณสร้างถนนอาจจะมาจากบ้านไอ้พี่โยก็ได้นะ
“แล้วคุณจะเอายังไง”
“คุณจะเอาแบบไหนหล่ะ” เห้ย เดี๋ยวๆ คุยเรื่องควายหรืออะไร ทำไมบทสนทนาดูสิบเก้าบวก ผมได้แต่มองพี่โยสลับกับน้องเจ้าของมิคาเอลสลับไปสลับมาแบบอย่างกับดูหนัง ตอนนี้พี่โยยื่นเหงื่อตกหมดสภาพเสี่ยโยที่ทุกคนคุ้นชินกันไปหมด ส่วนเจ้าของน้องมิก็หน้าตาไม่ยอมความมากๆ
“เห้อ ผมต้องค่ายอาสากับมหาลัย งั้นเอาแบบนี้เดี๋ยวผมเรียกรถที่บ้านมาขนควาย...”
“มิคาเอล” นี่ก็ต้องแก้ทุกครั้ง
“เออ ขนมิคาเอลของคุณไปหาหมอ คุณพอใจหรือยัง”
“ผมไม่ปล่อยให้น้องมิไปเผชิญหมอตามลำพังแน่นอน! ผมต้องไปกับน้องมิแล้วคุณก็ต้องไปกับผมด้วย! อย่าหวังชิ่ง คนเมืองกรุงไว้ใจไม่ได้หรอก” เจ้าเด็กเสื้อตัดอ้อยยกมือขึ้นกอดอกยันคำขาด โดยมีน้องมิพยักหน้าเออออไปกับเจ้าของอีกแรง ส่วนพวกผมไทยมุงไม่ทำอะไรเลยนอกจากมุง พวกผมยังไม่เท่าไหร่ครับแค่เสือกพอประมาณ ไอ้เติ้ลนี่ความเสือกแท้จริง ยกมือถือมาไลฟ์สดไปด้วย เกาะติดสถาณการณ์ยิ่งว่าอะไรทั้งสิ้น เติ้ลปณีรายงาน
“เกิดอะไรขึ้นหืมโยชิ อ้าว หนูเล็ก” อ้าวด้วยคนงงกันเป็นแถบๆ อยู่ดีๆ อาจารย์พนมผู้เป็นที่ปรึกษาหลักประจำทริปเดินเข้ามากลางวงดูจะเตรียมมาช่วยปรับความเข้าใจแต่จู่ๆอาจารย์ก็เอ่ยทักเจ้าเด็กเสื้อตัดอ้อยของน้องมิขึ้นมาซะอย่างนั้น
“อ้าวอาจารย์ สวัสดีครับ”
“เกิดอะไรขึ้นหล่ะเนี่ย”
“อาจารย์รู้จักน้องเค้าด้วยหรอครับ”
“นี่หนูอเล็กซ์ ลูกเจ้าของบ้านที่เราจะไปค้างทริปนี้ไง เอ้าไม่รู้จักได้อย่างไร น้องก็อยู่มหาลัยเรา คณะเกษตรไง ใช่ไหมหนูเล็ก” เจ้าเด็กตัดอ้อยหยักหน้าหงึกหงัก ไม่แปลกครับที่จะไม่รู้จัก มหาลัยเราใหญ่มากแล้วมีหลายคณะ ถึงจะอยู่หอแต่ก็มีหลายหอและถึงจะอยู่หอเดียวกันก็มีหลายชั้น ยิ่งดูลักษณะของน้องแล้วน่าจะหมกตัวอยู่กับคณะไม่ค่อยพบปะประชาชนแน่นอนไม่งั้นคงไม่มายืนเถียงกับเดือนเดือดตำแหน่งเสี่ยของมหาลัยขนาดนี้
ว่าแต่
ชื่อควายที่ว่าพีค ชื่อเจ้าของพีคกว่า อเล็กซ์อ่ะมึงอเล็กซ์ โอโหหหหหหหหห ไฮโซเวอร์ เฟี้ยวกว่าชื่อมิคาเอลไปอีก
“ช่างเถอะครับ แต่คนเด็กของอาจารย์คนนี้ทำมิคาเอลขาพลิก ไม่รู้แหล่ะยังไงก็ต้องรับผิดชอบ”
“ผมกำลังเรียกรถกระบะของที่บ้านมารับควา..มิคาเอลของน้องเค้าไปหาหมอครับอาจารย์”
“เอ้อๆ เอาอย่างนี้ละกัน งั้นเดี๋ยวก็รอกระบะบ้านพี่เค้ามารับน้องมิไปหาหมอ หนูเล็กก็ติดรถพี่เค้าไป ไว้หาหมอเสร็จค่อยให้พี่เค้าขับกลับไปที่ค่ายเลยละกัน” พี่โยเหมือนจะไม่โอเค แต่พอเจ้าหนูเล็กพยักหน้าว่ายอมรับ พี่โยเลยต้องจำใจเออก็ได้ไปอย่างเซ็งๆ โวยวายอยู่ตั้งนานมาจบง่ายๆด้วยอาจารย์พนมคนเดียว สมชื่ออาจารย์พนม ผมนี่พนมมือเลยครับ
เมื่อหาหนทางเจอปุ๊ปทำให้พี่โยต้องนั่งรอรถจากทางบ้านอยู่ที่นี่กับน้องตัดอ้อยไปก่อนโดยให้คณะทัวร์เดินทางต่อไม่งั้นอาจจะถึงที่พักมืดเกินไป ซึ่งกาฝากรถอย่างพี่แป๊ะกับเติ้ลเลยจำต้องย้ายรถครับ รถตู้เป็นอันหมดสิทธิ์เพราะที่เต็มไปแล้วเรียบร้อย รถพี่ภูมิก็มีไอ้ปันกับไอ้พีก็มีของทำค่ายอีกเต็มเบาะ และนั่นก็หมายความว่า...
“พี่หมอคร้าบบบบบบบ ดูโอ้เติ้ลแป๊ะฝากตัวด้วยนะครับโพ้มมมมมมมมมม”
เอาหล่ะ
พับแผนจีบน้ำเน่ามึงทิ้งไปได้เลยไอ้พี่หมอ!!
----------------------
ช่วงนี้ก็ช่วงไฟนอลแล้วค่ะ อาจจะหายหัวไปบ้าง
ไปอ่านหนังสือ?
ไปเล่นROV !!
ผิดส์
555555555555555555555555555555555555555
ขอบคุณทุกคอมเมนต์นะคะ ทั้งในเล้าเป็ดและใน #เด็กหอหมออู้
มีเพจในเฟสแล้วนะคะ ชื่อเพจ
oiimaps เจอกันเมื่อ... เมื่อหลังสอบเสร็จนะคะ

หวังว่าจะคนที่หลงมาอ่านนิยายเรื่องนี้จะได้ยิ้มมุมปากเบาๆออกมาในวันที่เครียดๆค่ะ
อย่างน้อยเครียดอะไรมา เสียใจอะไรมา อยากให้มาพักสายตาไร้สาระกับนิยายเรื่องนี้
เลิ้บยู <3