Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา [08-11-2017] แจ้งข่าวรวมเล่ม
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา [08-11-2017] แจ้งข่าวรวมเล่ม  (อ่าน 47454 ครั้ง)

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ดีนะครับ ก่อนคอมเมนท์เรื่องนี้...ผมแอบสะกิดใจ แวบไปอ่านผ่านๆเรื่องเงือกที่คุณข้าวบอกไว้ตอนต้นประมาณ 3-4 ตอน แต่ก็เล่นเอาใจหาย + งงๆไปนิดหน่อยเหมือนกันนะครับ (หัวเราะ)

จุดแรกคือชื่อของราชินี แม่ของเลอาฟร์ ที่แตกต่างกับเรจิน่าในตอนบทต้นๆ เลยทำให้งง แต่อ่านจากรูปการณ์ก็คงจะ...อืม นะ คนเดียวกันมั้ง ดังนั้นคุณข้าวเลยทำเรือผมล่มครับ!! /โวยวาย พออ่านบทเก้าแล้วผมนี่ลุกขึ้นชู้ายไฟ ไคราห์น x เรจิน่า เลย (หัวเราะ) คือเคมีและดูท่าทางประสบการณ์จะใช้ช่วยกันบริหารบ้านเมืองได้ดีครับ น่าสนใจมากคู่นี้ แต่ดัน.....เฮ้อออ

จุดสอง ผมว่าโครงความทับซ้อนของเร็กซ์กับเวทอร์สอาจจะต้องไปปรับนะครับ และแนะนำว่าให้ปรับที่เรื่องเก่า เพราะดูเหมือนบทสนทนาในเรื่องนั้นหลายๆอย่าง ถ้าเราอิงพื้นอดีตจากเรื่องนี้ บทสนทนาตรงนั้นจะดูทับซ้อนและเหลื่อมกันอย่างเห็นได้ชัดว่ามี plot error ครับ

จุดสาม เรื่องนั้นคุณข้าวเขียนจับคู่ได้น่าสนใจมากครับ! (หัวเราะ) เรื่องนั้นนี่น่าอ่านพอสมควรเลยครับ แต่พอเจอองค์ประกอบแวดล้อมพล็อตหลายๆอย่าง มันเลยทำให้ผมทะแม่งๆ ทั้งภาษาพูดที่ดูจะวัยรุ่นไปหน่อย เส้นทางการเดินพล็อต มันเลยทำให้ความน่าสนใจส่วนตัวสำหรับผมลดลงไป ความจริงเส้นทางการเดินพล็อตคุณข้าวโอเคนะครับในเรื่องนั้น แค่ลอจิกบางตัวละครมันทะแม่งๆ และผมก็ยังไม่ชินซะทีกับการเดินพล็อตแบบ Game of Thrones นี่ล่ะ (ฮา) เพราะการเดินเรื่องแบบ straightforward เป็นเส้นตรงไปยังจุดจบโดยไม่ได้ให้รายละเอียด parallel line ของเส้นทางชีวิตคนอื่น มันเลยทำให้ผมรู้สึกว่าไม่ได้ซึมซับดีเทลของเรื่องน่ะครับ แต่ก็ถือว่าไม่ได้แย่นะ

อะเฮื้อ ไม่ตอบไม่ได้... อย่างแรก... ขอโทษที่ล่มเรือนะคะ 5555555

อา แอบตกใจนิดนึงที่มองทุกอย่างออกหมดเลย :a5: ชอบค่ะชอบ :กอด1:
บัลลังก์ฯ เรื่องนี้นี่เขียนมาแก้พลอตเออเรอร์ในสัญญาฯ แหละค่ะ ฮาาา (สัญญาฯนี่แต่งตอนอายุ 20-21 มั้งคะ ถ้าจำไม่ผิด ช่วงที่ชอบให้พระเอกอายุ 23-25 ใสๆคิ้วท์ๆ..... แต่ตอนนี้เริ่มชอบพระเอกวัย 30 กลางๆแบบฝ่าบาทไคราห์น ฮ่าาา) ตอนเขียนสัญญาฯคือหาช่องตอบไม่ได้เลยว่า... ทำไมแวมไพร์ถึงมาจับเงือกกินดื้อๆ ทั้งๆที่ดูไม่น่าได้เจอกัน

เรื่องนี้จะตอบให้ว่ามีเงือกที่ไม่ต้องใช้ยาช่วยในการกลายร่างเป็นมนุษย์ แล้วเงือกกลุ่มนี้แหละที่ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน (โถ่)
อา... จริงๆหลายๆจุดที่ไม่ค่อยบอกอะไรเพราะกลัวจะสปอยเส้นเรื่อง ยิ่งคนที่อ่านสัญญาฯมาก่อนคือถ้าเขาโยงกันได้ปุ้บนี่รู้เรื่องที่เหลือเลย ฮ่าๆ (นี่ก็เลี่ยงมาเขียนอีกเมืองนึงที่ไม่ใช่มารินาการ์ดเพราะกลัวจะเดาเรื่องได้กันแล้วหมดสนุก แฮะๆ)

จำได้ว่า บางอย่างแก้ในตัวเล่มของสัญญาฯไปแล้ว แต่ไม่ได้แก้ในเว็บ
ถ้าลงบัลลังก์ฯแบบนี้สงสัยต้องแก้สัญญาฯตามด้วย ไม่งั้นคนที่ตามไปอ่านจะเห็นจุด error อย่างที่ตั้งข้อสังเกต

โดยเฉพาะเรื่องของเร็กซ์กับเวทอร์ส << เรื่องนี้อยากทำให้เห็นด้วยว่า ทำไมเร็กซ์ถึงยอมรับความสัมพันธ์ของชาย-ชายได้ ทั้งที่นางดูเป็นชายปกติ และไม่ค่อยโอเคสักเท่าไหร่ << คือเขาเป็นผู้ชายปกติจริงๆนะ ไม่ได้ตั้งใจจะอ้อยใคร 555555


เห็นเม้นท์คราวที่แล้วคิดว่าไม่ชอบเคมีคู่เลยเลิกอ่านไป  :sad4: ดีใจที่เจอเม้นท์ยาวๆ เพราะช่วยนักเขียนพัฒนาได้มากจริงๆค่ะ แม้หลายๆคนจะบอกว่าวางพลอตเก่งขึ้น มีลูกเล่นมากขึ้น << แต่คือมันก็มีจุดพลาดอยู่ แล้วเป็นจุดที่เรารู้ด้วยตัวเองไม่ได้ว่าที่ทำอยู่นี่มันโอเคแล้วหรือยัง... อย่างแอสทารอธนี่เรื่องแน่นมากเลยนะ แต่มันไม่ตอบโจทย์นิยายวายอะ คือเหมือนเน้นทุกอย่างยกเว้นความสัมพันธ์ตัวละคร

:z3:

แต่ชอบการลงดีเทลเหล่าอมนุษย์ทั้งหลาย ยิ่งเงือกแบ่งเผ่านี่สนุกมาก (คิดว่ายังไม่มีเงือกเรื่องไหนสำลักน้ำเพราะขึ้นไปหายใจไม่ทัน แบบนี้เรื่องนี้นะ 55555) ก็เลยคิดว่าอยากจะคงเอกลักษณ์ตรงนี้ไว้ แต่ไปปรับอย่างอื่นเอา เช่นการจับคู่ที่ดูเหมือนลองผิดลองถูกอยู่ รูปแบบการเดินเรื่องที่ยังไม่ค่อยกล้าเล่นอะไรแปลกๆ เช่น การสลับฉากอดีต/ปัจจุบันอะไรงี้

แต่ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์มากๆค่า  :mew1:

ออฟไลน์ oilzaza001

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
อ่านคอมเมนท์คุณ Grey Twilight
เป็นนักอ่านชั้นเยี่ยมจริง ๆ นับถือค่ะ

ส่วนราชากับองค์รักษ์ก็ขมต่อไป

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนที่ 10.1

ฝ่าบาทคงจะถูกใจราชินีเรจินาขึ้นมาจริงๆ

จริงอยู่ว่าหน้าที่การต้อนรับอาคันตุกะระดับผู้นำเป็นหน้าที่ของผู้นำซึ่งมีฐานะเท่าเทียมกัน แต่นอกเหนือจาก 'หน้าที่' แล้ว ฟาลกลับสัมผัสได้ว่าฝ่าบาทไคราห์นดูจะพอใจ และชื่นชอบการพูดคุยกับราชินีเรจินามากเป็นพิเศษจนถึงขั้นนั่งคุยกันได้เป็นวันๆ และหลายวันนานนับสัปดาห์

ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดี... และคงจะยิ่งน่ายินดีขึ้นไปอีกหากพวกเขาเข้ากันได้ดีมากจนถึงขั้นอภิเษก

สุดท้ายแล้ว ฟาลก็ต้องเป็นผู้รายงานเรื่องหมู่บ้านธราฟัสการ์ เพราะการฝากฝังเวสเทียร์เอาไว้เมื่อวันก่อนไม่ได้เรื่องได้ราว องครักษ์หลับไม่ได้สติจนถึงเช้าวันต่อมา ซึ่งทำให้เลขาอาวุโสไม่ค่อยพอใจ ด้วยคิดว่าอีกฝ่ายทำเรื่องเหลวไหลไม่เข้าท่าทั้งที่มีเรื่องสำคัญกว่าต้องรายงาน แต่ในเมื่อเขาเป็นถึงคนโปรดของฝ่าบาทไคราห์น ใครจะกล้าต่อว่าอะไรได้

"ภายในวันนี้แน่ๆ" เลสซีย์ นางเงือกผู้นำองครักษ์หน่วยลาดตระเวนยืดอกมั่นใจ "เสียงของพวกเขาใกล้เข้ามาเรื่อยๆ และถี่ขึ้นเรื่อยๆ ข้าคิดว่าภายในวันนี้ พวกวาฬหลังค่อมจะเดินทางมาถึงเซลทิค" ชาวเงือกเซลทิคตื่นเต้นกับเทศกาลเล่นแสงจันทร์เสมอ อีกทั้งปีนี้ยังเป็นปีที่มีอาคันตุกะจากอาณาจักรอื่นมาร่วมอีกด้วย ดังนั้นไม่น่าแปลกที่พวกเขานับวันรอคอย

"วันนี้ก็คงจะดี ข้าอยากให้ราชินีเรจินาได้ฟังบทเพลงของฝ่าบาทเร็วๆ"

"ข้าล่ะกลัวองค์ชายเร็กซ์เบื่อ..." เลสซีย์กระซิบกับเลขาใหญ่ "ต่อให้ดูเป็นคนง่ายๆ ไม่หือไม่อือก็เถอะ แต่ข้าเห็นว่าเวทอร์สจะต้องรีบกลับจากการลาดตระเวนทุกวันเพื่อไปพบเขา ทั้งๆ ที่คนที่เหมาะสมในการต้อนรับองค์ชายเร็กซ์น่าจะเป็นพวกเผ่าโลมาเสียมากกว่า"

ชายาคนหนึ่งขององค์ชายมาจากเผ่าโลมาของเซลทิค แต่หลังจากการสนทนาทักทายและพูดคุยกันได้ไม่กี่วัน องค์ชายเร็กซ์แห่งมารินาการ์ดก็ปลีกตัวออกมา เขาดูจะชอบการพูดคุยกับเวทอร์สมากกว่า

"เขาเป็นน้องของฝ่าบาทเรจินา องค์หญิงอาโกรนาห์พยายามเข้าไปพูดคุยต้อนรับ แต่มันก็ไม่ใช่วิสัยที่นางซึ่งเป็นสตรีจะไปพูดคุยสองต่อสองกับบุรุษ อีกทั้งเผ่าโลมาก็เอาแต่ถามถึงธิดาองค์ที่สามซึ่งเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพวกเขา ซึ่งองค์หญิงอาร์นิเอสยังเด็กเกินกว่าจะเดินทางไกลมาเยี่ยมถึงที่นี่ได้ ข้าจึงเข้าใจว่าเหตุใดองค์ชายลำบากใจจะพูดคุย" ฟาลกล่าวอย่างผู้ที่เข้าใจเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้น "และหากองค์ชายถูกใจเวทอร์ส ข้าก็คิดว่าเราควรจะให้เวทอร์สไปดูแลงานต้อนรับองค์ชายอย่างเต็มตัวด้วยซ้ำ"

เลสซีย์เลิกคิ้วบ้าง "เวทอร์สอายุเพียงสิบแปด พูดจาก็ใช่จะถูกที่ถูกกาละเทศะ"

"องค์ชายอาจจะชอบแบบนั้นก็ได้ ใครจะไปรู้เล่า" ฟาลว่า "แล้วนี่เวทอร์สกลับมาหรือยัง"

เมื่อเอ่ยถึงคนใต้บัญชา เลสซีย์ก็กอดแขนตัวเองจนหน้าอกอวบถูกดันขึ้นมาให้เห็นชัดเป็นเป้าสายตา "เฮอะ! ก็พาองค์ชายเร็กซ์ออกไปลาดตระเวนด้วยแล้วน่ะสิ!" ฟาลเม้มปากครู่หนึ่ง และตัดสินใจมองไปยังเงือกตนอื่นที่อยู่ในสายตาเพื่อละจากหน้าอกของคู่สนทนา "เจ้าคาดันน์ก็ไปด้วยอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ..."

"อย่างไรฝ่ายใต้ก็ไม่มีภัยคุกคามจากแวมไพร์ เพราะไม่มีแผ่นดิน" เลขาว่า "องค์ชายอาจจะชอบ"

"มันหมายถึงหน้าตาของอาณาจักรเราเลยนะ ท่านฟาล"

"กว่าสัปดาห์ที่องค์ชายดูจะโปรดการสนทนากับเวทอร์สมากกว่าผู้อื่น ข้าไม่คิดว่าเจ้าเด็กนั่นจะทำให้เราเสียหน้าหรอก" ฟสลยิ้มขัน "แล้วองค์ชายก็ดูจะชื่นชอบเจ้าคาดันน์มากเป็นพิเศษด้วย ดังนั้นจึงวางใจไปได้ จะมีก็แต่ด้านของฝ่าบาทเรจินานี่ล่ะนี่ต้องลุ้นสักหน่อย"

เลสซีย์เลิกคิ้ว "ลุ้นอะไรกัน"

"จริงอยู่ว่าการสมรสระหว่างราชาอาณาจักรหนึ่งกับราชินีอาณาจักรหนึ่งจะเป็นเรื่องสูญเปล่าอย่างแท้จริง เพราะพวกเขามักจะไม่มีทายาทร่วมกัน ไม่เช่นนั้นสองอาณาจักรจะต้องยุบรวมเป็นหนึ่งเดียว แต่ว่า..." ฟาลเริ่มวิเคราะห์ แต่นับตั้งแต่เลขาพูดเรื่องการสมรส ดวงตาของเลสซีย์ก็เบิกกว้างขึ้นเสียจนน่ากลัวว่าจะหลุดออกมาจากเบ้าด้วยความตื่นเต้น

"ท่านจะรวมอาณาจักรหรือไร!"

"เจ้าเสียงดังไปแล้ว" เงือกอาวุโสเอ็ด "ฝ่าบาทไคราห์นตั้งมั่นแต่แรกว่าจะไม่มีบุตร และฝ่าบาทเรจินาเองก็เช่นกัน... ดังนั้นต่อให้พวกเขาสมรสกัน มันก็จะมีแต่ประโยชน์ต่อทั้งสองอาณาจักร โดยไม่มีใครเสียอะไร"

นางเงือกพยักหน้าเห็นด้วย "ก็เท่ากับว่าราชวงศ์เซลทิคจะได้เกี่ยวดองกับสายเลือดจอมราชัน"

"หากฝ่าบาทมีฐานะที่ไม่เท่าเทียมกับเชื้อพระวงศ์คนอื่นเพียงเพราะสีผิว การสมรสกับทายาทจอมราชันจะผลักดันสถานะของพระองค์ขึ้นมา ปัญหายิบย่อยของอาณาจักรอาจหมดไป อีกทั้งราชินีเรจินาก็จะได้สวามีที่เชิดหน้าชูตาได้อีกด้วย"

และหากฝ่าบาทไคราห์นเสกสมรส ประโยชน์อีกข้อหนึ่งของเผ่าเพชฌฆาตคือการได้เวสเทียร์คืนมา

ในฐานะผู้นำเผ่าผู้มีความสามารถ เวสเทียร์ควรจะแต่งงานกับผู้หญิงดีๆ สักคนหนึ่ง และมีทายาทเพื่อสืบทอดความสามารถและความแข็งแกร่งต่อไป "เลสซีย์..." เลขาเบาเสียงลง "เจ้ากลับไปปรึกษากับพวกอาวุโส ลองหาหญิงเผ่าเพชฌฆาตที่มีลักษณะดีสักคนมา" เขาก้มไปกระซิบที่ข้างหูผู้นำองครักษ์หน่วยลาดตระเวน

"จะจับคู่ให้เวสเทียร์รึ!"

"ข้าจะกระซิบไปทำไมกัน ถ้าเจ้าจะตะโกนออกมาแบบนี้" ฟาลถอนใจ พ่นฟองอากาศออกมาเป็นสาย "ข้าจะขึ้นไปหายใจละ อย่าลืมทำตามคำสั่งด้วย" นางเงือกมุ่นคิ้ว ก่อนจะบุ้ยปากล้อเลียนอีกฝ่าย นางกระชับหอกยาวในมือให้มั่น และว่ายออกไป

--------------------------------------------------

ฝ่าบาทไคราห์นใช้เวลาช่วงเช้าในการสางผมและพูดคุยกับน้องสาว องค์หญิงอาโกรนาห์ และในวันนี้ดูจะมีเรื่องพิเศษบางอย่างเกิดขึ้น เพราะนอกเหนือจากอาโกรนาห์แล้ว นางยังพาองค์หญิงเอสลินน์ซึ่งเป็นธิดาองค์สุดท้องของราชาแห่งเซลทิคมาด้วย

องค์หญิงเอสลินน์มีอายุเพียงสิบสองปีเท่านั้น และนางก็เป็นน้องสาวต่างมารดาของฝ่าบาทไคราห์น

"นึกอย่างไรจึงได้พาน้องเอสลินน์มาด้วย" ราชาหนุ่มเลิกคิ้ว มองร่างของเด็กหญิงตัวน้อยถือวิสาสะขยับขึ้นมานั่งบนแท่นหินที่ประทับเคียงข้างพี่ชาย และหยิบหวีที่ทำจากกระดูกสัตว์ไปหวีผมของตนเล่นอย่างสนิทสนม ราชาหนุ่มลูบผมสีดำขลับของเด็กหญิงแล้วหันไปมองอาโกรนาห์เป็นเชิงถาม

"ก็จะเป็นเรื่องใดไปได้" องค์หญิงขยับเข้ามาใกล้ "เรื่องของท่านพี่กับราชินีเรจินาอย่างไรเล่า!"

ไคราห์นเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง และพอจะเดาได้ว่าข่าวลืออะไรแพร่ออกไป ในหลายวันที่ผ่านมานี้เขาเอาแต่ขลุกอยู่กับผู้นำมารินาการ์ด ด้วยเกรงว่านางจะเบื่อหน่ายอาณาจักรอันแสนเงียบเหงาก่อนที่จะถึงเทศกาลเล่นแสงจันทร์ โดยลืมไปว่ายังมีประชาชนคอยจับจ้องความเคลื่อนไหวของเขาอยู่

"แม้จะเป็นถึงสายเลือดจอมราชัน แต่พระนางดูไม่ถือตัวกับท่านพี่เลยนะ"

...ไม่หรอก เรจินามีเมตตากับทุกคนต่างหาก

"จริงอยู่ว่าพระนางอาจจะอายุมากสักหน่อย แต่ก็มีข่าวลือมานานแล้วว่าพระนางไม่ต้องการมีบุตร"

...ก็เพราะสายเลือดจอมราชันไม่ใช่หรือไร

ราชาหนุ่มกระแอมเบาๆ ในลำคอทำให้องค์หญิงอาโกรนาห์หยุดพูด "เรื่องนี้เราไม่ควรจะออกตัวไปก่อนราชินี เป็นการให้เกียรติพระนาง อีกทั้งการสนทนาของเรากับฝ่าบาทเรจินาไม่ได้มีเรื่องส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการเมืองการปกครองและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระดับผู้นำเท่านั้น"

ไคราห์นตั้งใจจะสนทนาเรื่องนั้น เพราะราชินีเรจินามีประสบการณ์มากกว่า แต่ชายหนุ่มก็เพิ่งรู้สึกว่าโกหกคำโตเรื่องการไม่สนทนาเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว จริงอยู่ว่าเขาพูดคุยเรื่องการปกครอง แต่ก็มีเรื่องสัพเพเหระเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่บ่อยครั้งเป็นการผ่อนคลายบรรยากาศ และหากจะพูดว่าไม่กล่าวถึงเรื่องส่วนตัวเลยก็คงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะจู่ๆ เขาก็รู้ว่าราชินีไม่โปรดปลาไหลอันเป็นสัตว์ท้องถิ่นของมารินาการ์ด และใจสั่นจนถึงขั้นต้องกุมมือองค์ชายเร็กซ์ผู้เป็นน้องทุกครั้งที่พบเจอ

พระนางสนิทกับองค์ชายมาก อีกทั้งยังพูดติดตลกด้วยว่า เหตุผลที่องค์ชายมีพระชายาถึงสี่องค์ ก็เนื่องด้วยมีสี่อาณาจักรที่เสนอพระสวามี 'ที่คู่ควร' ให้ พระนางจึงต่อรองและเปลี่ยนเป็นพระชายาให้องค์ชายเร็กซ์แทน

และหนึ่งในพระชายาขององค์ชายเร็กซ์คือธิดาคนโตของผู้นำเผ่าโลมา

ฝ่าบาทไคราห์นจำได้ว่าบิดาของเขา อดีตราชาบริททาเนียไม่เคยคิดจะส่งใครไปสมรสเป็นสวามีของพระนางมาก่อน เนื่องด้วยเขามีบุตรชายเพียงสองคน นั่นก็คือฝ่าบาทไคราห์น และองค์ชายเดียร์ราฮาน แต่เผ่าโลมาซึ่งในเวลานั้นพยายามจะสร้างความดีความชอบจึงเสนอตัวหัวหน้าเผ่าไปทำหน้าที่แทน ทว่าราชินีเรจินากลับบ่ายเบี่ยง และสุดท้ายก็ส่งองค์ชายเร็กซ์เดินทางมาพบบุตรสาวคนโตของพวกเขา

เผ่าโลมาและเผ่าเพชฌฆาตเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่จะเรียกได้ว่าแบ่งออกเป็นสองฝั่งฝ่ายก็ย่อมได้ เผ่าเพชฌฆาตมีร่างกายที่สูงใหญ่ และแข็งแรงกว่า ในขณะที่เผ่าโลมาตัวเล็กกว่า และปราดเปรียวกว่า เผ่าเพชฌฆาตสาบานความจงรักภักดีต่อหน้าที่องครักษ์ ว่าจะปกปักษ์รักษาราชวงศ์แห่งเซลทิค ต่างจากเผ่าโลมาที่ไม่ได้ยื่นคำสัตย์สาบานใด และขอเป็นเพียงประชาชนธรรมดา

ในครั้งที่เผ่าโลมาอาสาผูกมิตรกับราชวงศ์มารินาการ์ด ก็เนื่องด้วยผู้นำเผ่าคนใหม่ต้องการจะยกความสำคัญของเผ่าให้ทัดเทียมกับพวกเพชฌฆาตผู้ใกล้ชิดราชวงศ์ จึงเสนอตัวเดินทางไปเชื่อมความสัมพันธ์กับอาณาจักรอื่นหมายจะสาบานความจงรักภักดีต่อหน้าที่ทางการทูตของอาณาจักร

"ท่านพี่..." อาโกรนาห์เอ่ยเรียก ดึงพี่ชายของตนกลับมาจากภวังค์ "น้องไม่อยากอ้อมค้อม ในความเห็นของน้องแล้ว ฝ่าบาทเรจินาอาจช่วยท่านพี่ได้มากกว่าจะเป็นที่ปรึกษาทางการปกครอง" หญิงสาวมองสบตาพี่ชาย และราชาหนุ่มก็เข้าใจในทันทีว่านางหมายถึงอะไร

"อาโกรนาห์ เรื่องนี้..."

"พระนางปฏิเสธสวามีมาตลอด ไม่ใช่เพราะพระนางไม่ต้องการ" เด็กสาวว่า "แต่เพราะยังไม่มีผู้ใดที่คู่ควรต่างหาก" องค์หญิงเอสลินน์แหงนหน้าขึ้นมองพี่ชายคนโตของนาง ก่อนจะเอื้อมมือไปสางปลายผมสีขาวที่ยาวถึงกลางอก

"และบางทีผู้คนอื่นจะลืมไปเลยด้วยซ้ำว่าท่านพี่แตกต่างจากคนอื่นในราชวงศ์เซลทิคอย่างไร"

"หากเราทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เท่าจอมราชันไม่ได้ หนทางเดียวที่ผู้คนจะยอมรับเรา... คือการแต่งงานกับผู้หญิงที่สูงศักดิ์กว่าอย่างนั้นหรือ" ฝ่าบาทถามย้อน และนั่นทำให้น้องสาวของเขาเงียบไป องค์หญิงเห็นด้วยกับคำพูดนั้น สิ่งที่นางกำลังยุให้พี่ชายทำคือการละทิ้งศักดิ์ศรีของตัวเองและอาศัยบารมีของผู้อื่น

แม้ว่ามันจะเป็นหนทางที่ง่ายที่สุดในตอนนี้แล้วก็ตาม

"แล้วเมื่อไหร่กันที่ท่านพี่จะมีอำนาจพอที่จะสั่งคนของตัวเองได้" อาโกรนาห์ถาม "เรื่องที่ธราฟัสการ์ทำให้น้องกลัวไม่พอหรือ เราจับกุมคนทั้งอาณาจักรไม่ได้ และหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป พวกแวมไพร์คงตามมาพบเราเข้าสักวัน"

ในบางครั้ง ศักดิ์ศรีก็ช่วยชีวิตผู้คนไม่ได้

ไคราห์นมุ่นคิ้วและเม้มปากครุ่นคิด ...เวสเทียร์จะรู้สึกอย่างไรกับข่าวลือนี้หนอ

--------------------------------------------------

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนที่ 10.2

ท้องทะเลเคลติกไม่มีอะไรเลยในสายตาขององค์ชายเร็กซ์ ไม่มีปะการัง ไม่มีดอกไม้ทะเล ไม่มีกระทั่งปลาสักตัว มีเพียงความหนาวเย็น อึมครึม และอ้างว้างสุดลูกหูลูกตา จนองค์ชายเกิดความระแวงว่าเวทอร์สหลอกพาเขามาที่นี่เพื่อจะทำอะไรบางอย่างหรือไม่ เช่นการฆาตกรรมแล้วซ่อนศพเอาไว้ที่ไหนสักแห่ง

เขาก้มลงมองพื้นทะเลที่มีกองหินเล็กๆ ระเกะระกะอยู่ประปราย ก่อนจะเคลื่อนสายตากลับมามององครักษ์หนุ่มเป็นเชิงถามว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงพาเขามาที่นี่ "ที่นี่คือทะเลเคลติกฝ่ายใต้อย่างนั้นรึ" และนี่เป็นคำถามที่ไม่ฉลาดที่สุดขององค์ชายแห่งมารินาการ์ด นับตั้งแต่เดินทางมาถึงอาณาจักรเซลทิค องค์ชายรู้ดีว่าเขาว่ายน้ำลงมาทางใต้ ดังนั้นเขาจึงรู้อยู่แล้วว่าที่นี่คือทะเลฝ่ายใต้ แต่เหตุผลที่ทำให้องค์ชายถามออกมาแบบนั้น นั่นก็เพราะเขาไม่รู้ว่าควรจะชวนเวทอร์สพูดคุยอย่างไร

แต่องครักษ์หนุ่มกำลังเงี่ยหูฟังเสียงบางอย่าง และไม่ตอบคำถามของเขา

นี่ชักจะสนิทสนมจนเหิมเกริมมากไปแล้วกระมัง!

"องค์ชาย..." ร่างสูงเอ่ยเรียก "กลัวหรือเปล่าขอรับ"

คนฟังเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งขึ้นสูงเสียจนอาจหายไปใต้เรือนผม หากทรงผมของเขาไม่ใช่แสกกลางอย่างที่เป็นอยู่ แต่แล้วเร็กซ์ก็นึกได้ว่าเขาควรจะวางตัวให้สมฐานะเมื่ออยู่ต่อหน้าองครักษ์เมืองอื่น เขากระแอมเบาๆ ก่อนจะถามกลับ "กลัวสิ่งใดกัน"

"เสียงน่ะขอรับ" เวทอร์สตอบเรียบ "เสียงของวาฬ..."

องค์ชายอยากจะสวนกลับเหลือเกินว่าเขาไม่ใช่เงือกวาฬ จะไปแยกเสียงพรรค์นั้นออกได้อย่างไร กระทั่งเสียงของคาดันน์ เขายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่านั่นเป็นภาษาวาฬจริงๆ หรือมันเพียงแค่การกรีดร้อง อีกทั้งคนระดับองค์ชายเช่นเขาคงไม่กลัวเสียงสัตว์หรอกกระมัง และต่อให้เขากลัว เขาก็คงไม่บอกอีกฝ่ายอย่างแน่นอน!

ยังไม่ทันกล่าวอะไรตอบโต้ เวทอร์สก็ชะเง้อมองออกไปอีกทิศ และเม้มปากด้วยความตื่นเต้น ในขณะที่คาดันน์มุดหัวกับฝ่ามือเล็กๆ ขององค์ชายราวกับออดอ้อน ร่างโปร่งพยายามมองตาม และเริ่มคิดว่าสายตาของเงือกวาฬอาจจะดีกว่าเงือกปลา ดวงตาสีน้ำตาลเพ่งไปในท้องทะเลสีสลัว แต่ก็ไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดๆ

นี่คงเป็นเรื่องความสามารถในการมองของเผ่าพันธุ์ ...ไม่ใช่เพราะเขามีอายุมาก

"องค์ชาย วาฬสีน้ำเงินขอรับ"

ร่างเงาที่ปรากฎให้เห็น มาพร้อมกับเสียงทุ้มต่ำกดดันที่ติดไปทางหลอกหลอนค่อยๆ คืบคลานเข้ามา ขนาดของมันทำให้ผู้เฝ้ามองต้องกลั้นใจยิ่งกว่า จนองค์ชายเร็กซ์คิดว่าหากเขาขยับเข้าไปใกล้ เพียงดวงตาของมันก็มีขนาดเกือบจะเท่าหัวของเขา สัตว์ใหญ่เคลื่อนไหวเนิบช้า ทว่าสง่างามนุ่มนวล

นี่เป็นโอกาสพบปะที่หาได้ยาก อีกทั้งเป็นครั้งแรกที่องค์ชายได้เห็นวาฬสีน้ำเงิน

ดูเหมือนว่ามันแค่เดินทางผ่านมา กว่าสัตว์ยักษ์จะว่ายผ่านไปก็ใช้เวลานานพอสมควร จนเวทอร์สตัดสินใจว่ายขึ้นไปสูดอากาศในที่สุด แล้วจึงตามมาสมทบองค์ชายที่ยังคงตกตะลึงกับขนาดของสิ่งมีชีวิตที่เรียกได้ว่าใหญ่ที่สุดในท้องทะเล

"...ใหญ่" แม้จะเป็นเงือก แต่ก็ใช่ว่าจะรู้ทุกเรื่องในท้องทะเล ดังนั้นสีหน้าขององค์ชายเร็กซ์ในตอนนี้จึงไม่สามารถเก็บซ่อนความตื่นตะลึงเอาไว้ได้ "ใหญ่ขนาดนี้จะต้องกินอาหารเท่าไหร่กัน"

องครักษ์กะพริบตาถี่ แล้วจึงตอบตามที่เขารู้ "กุ้งฝอยตัวเล็กๆ ขอรับ ที่ลอยเต็มผิวน้ำในฤดูร้อน"

แต่องค์ชายดูไม่เชื่อ "ปากเท่านั้นจะกลืนคาดันน์ได้ทั้งตัวอยู่แล้ว!"

"ปากเท่านั้น แต่มันติดคอนี่ขอรับ" เวทอร์สหัวเราะเบา และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่เร็กซ์คิดว่าเขาได้เห็นอีกฝ่ายหัวเราะ "ขออภัย องค์ชาย กระหม่อมไม่ได้มีเจตนาเยาะเย้ย" ชายหนุ่มกลับไปตีหน้าขรึมดังเดิม พร้อมกับค้อมหัวลงแสดงความเคารพ "กลับกันเถอะขอรับ"

อ้าว...

องค์ชายโคลงหัว "เราคิดว่าเจ้าออกมาลาดตระเวน"

"กระหม่อมได้ยินเสียงวาฬสีน้ำเงิน จึงชวนฝ่า... องค์ชายมาชมขอรับ" เวทอร์สตอบเรียบ "มันเป็นสัตว์หายาก จึงคิดว่าองค์ชายอาจจะสนใจ" เมื่อพูดถึงเสียง เร็กซ์ก็คิดว่าเขายังได้ยินเสียงร้องที่ติดไปทางหลอนของสัตว์ใหญ่ เขามองตามร่างเงาที่เริ่มห่างไกลออกไปแล้วหันกลับมา

"แค่นี้น่ะหรือ..."

"กระหม่อมขออภัยที่ทำให้องค์ชายไม่พอใจขอรับ"

เร็กซ์ลอบกลอกตากับตัวเอง ก่อนจะยิ้มขบขัน "เราไม่เคยเห็นมันหรอก นี่เป็นครั้งแรกเช่นกัน" ร่างโปร่งเอียงตัวไปหาคาดันน์เล็กน้อยเพื่อปลอบใจมันว่าเขาไม่ได้สนใจวาฬยักษ์มากไปกว่ามัน "ขอบใจที่อุตส่าห์พามา" เวทอร์สก้มหน้านิ่ง อันที่จริงเขาลอบเม้มปากน้อยๆ แก้อาการเขินของตัวเอง

--------------------------------------------------

เวสเทียร์แปลกใจที่ฝ่าบาทไคราห์นไม่ออกไปสนทนากับราชินีเรจินาอย่างเช่นทุกวัน และดูเหมือนว่าฝ่าบาทจะส่งองค์หญิงอาโกรนาห์กับองค์หญิงเอสลินน์ไปแทน หลังจากการออกล่ายามเช้า เวสเทียร์ก็กลับมาที่ถ้ำ และพบราชาหนุ่มนอนทอดกายอยู่บนแท่นหินที่ประทับ

เขาอยากถามฝ่าบาทว่าเกิดอะไรขึ้นหรือไม่ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องขององครักษ์

"เหมือนเราจะได้ยินเสียงวาฬ" ไคราห์นเอ่ยทั้งที่หลับตา "แต่ฟาลก็ไม่ได้มารายงานอะไร"

"วาฬสีน้ำเงินขอรับ" เวสเทียร์ตอบ "เขาผ่านมาพอดี พวกสาวๆ จึงแห่กันไปชื่นชมและขอพร" คนฟังพ่นลมหายใจสั้นๆ ด้วยความขบขัน วาฬสีน้ำเงินนับว่าเป็นสัตว์หายาก พวกผู้หญิงจึงถือโอกาสให้คุณค่าในทางแปลกๆ เช่นการขอพรกับวาฬ

"แล้วเจ้าขอพรอะไรหรือเปล่า" ฝ่าบาทถาม

"กระหม่อมไม่ใช่สาวๆ ขอรับ"

"ใครว่าเจ้าเป็นกันเล่า"

ราชาทะเลเหนือลืมตาขึ้น เขายันตัวลุกขึ้นนั่งและขยับยกหางลงจากแท่นวาง ดวงตาสีน้ำเงินทอดมององครักษ์คนสนิทอยู่สักพักขณะครุ่นคิด มันเป็นความเงียบงันที่พวกเขาทั้งคู่คุ้นเคย แต่ฝ่าบาทก็ยอมรับว่าหลังจากอยู่ใกล้ราชินีเรจินาบ่อยครั้งขึ้น เขาก็เริ่มรู้สึกถึงความอึดอัดอันยากจะอธิบาย ความสัมพันธ์ของเขากับองครักษ์หนุ่มช่างอึมครึม และกำกวม ทางออกเพียงทางเดียวที่ทั้งคู่ยอมรับมันนั่นคือการใช้ความสัมพันธ์ทางกาย ยุติความรู้สึกเหินห่างและลดช่องว่างระหว่างกัน

ทว่ามันยิ่งทำให้พวกเขาห่างเหินกันหรือเปล่าหนอ...

เขาคงต้องพูดกับเวสเทียร์

แต่หากพูดไปแล้ว เวสเทียร์จะตอบกลับมาด้วยคำพูดแบบเดิมที่อีกฝ่ายชอบใช้หรือเปล่า

แม้จะเป็นถึงราชา แต่ไคราห์นก็กลัวการถูกปฏิเสธเช่นกัน องครักษ์ของเขาไม่เคยต่อต้าน แต่ก็ยอมรับทุกสิ่งด้วยคำว่า 'หน้าที่' ซึ่งทำให้เคนฟังเจ็บปวดยิ่งกว่า แต่สิ่งที่ไคราห์นอยากรู้มากกว่าความรู้สึกของเวสเทียร์ที่มีต่อเขา นั่นคือเรื่องของข่าวลือระหว่างเขาและราชินีเรจินา

องครักษ์ของเขาจะรู้สึกอะไรกับข่าวลือพวกนั้นบ้างไหมหนอ

แต่ฝ่าบาทไม่รู้จะเริ่มอย่างไร...

"เจ้าคิดว่า..." ร่างสูงเริ่ม "เจ้าคิดอย่างไรกับราชินีเรจินา" นั่นอาจไม่ใช่คำถามที่ตรงประเด็นที่สุด อีกทั้งไม่ใช่คำถามที่จะทำให้เวสเทียร์พูดอะไรออกมาตรงกับที่ใจคิดอีกด้วย

เวสเทียร์ย่อมได้ยินข่าวลือพวกนั้น และเขาเข้าใจคำถามของฝ่าบาทดีว่ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร องครักษ์หนุ่มค้อมหัวลงเล็กน้อยเป็นเชิงขออนุญาตในการออกความเห็น แม้ว่ามันจะเป็นความเห็นที่ไม่ใช่ของเขาก็ตาม "พระนางเป็นราชินีที่มากด้วยความสามารถ อีกทั้งเป็นถึงทายาทของจอมราชัน หากผูกมิตรใกล้ชิดก็เป็นเรื่องดีต่ออาณาจักรของเรา อีกทั้งผู้คนก็หันมาสนใจเรื่องนี้มากขึ้น และดูเหมือนว่าจะรอคอยข่าวดีของฝ่าบาท"

นั่นเป็นความคิดของฟาลอย่างแน่แท้... ไคราห์นรู้

เวสเทียร์เองก็รู้ว่าตนตอบคำถามของอีกฝ่ายไม่แนบเนียน เขาใช้ความเห็นของฟาล เนื่องจากความคิดเห็นและอารมณ์ของเขาไม่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่

ถามว่าเขารู้สึกเช่นใดน่ะหรือ หากพูดไปจะมีใครเข้าใจบ้างว่ามันเจ็บแค่ไหน

ชายหนุ่มเป็นถึงองครักษ์คนสนิทที่จะต้องคอยดูแล และใกล้ชิดราชาตลอดเวลา เป็นตัวแทนความภาคภูมิใจของเผ่าเพชฌฆาต ดังนั้นเวสเทียร์จึงต้องทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุดและกดความรู้สึกของตนเองฝังลึกลงไปในก้นบึ้งของจิตใจ เพราะเขาทำอะไรไม่ได้ เขาทำไม่ได้กระทั่งจะกำหมัดเพื่อระบายความรู้สึกในตอนนี้

มันเจ็บแค่ไหน... ที่ต้องพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดที่อยากให้ฝ่าบาทไคราห์นสมรสกับราชินีเรจินา

แต่นั่นคือหน้าที่ขององครักษ์ที่ดี ฝ่าบาทอาจจะได้รับการยอมรับมากขึ้นในหมู่ประชาชนเซลทิคและมารินาการ์ด ทว่าในขณะเดียวกัน หากฝ่าบาทสมรสกับพระนางแล้ว เวสเทียร์เชื่อว่าพวกเขาทั้งคู่จะต้องฝังเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างกันลงไป และทำเสมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน

คิดถึงแค่นี้ ใจของเวสเทียร์ก็เจ็บแปลบ

...แต่ฝ่าบาทไม่ใช่ของเขา เขารู้ฐานะของตัวเองมาตั้งแต่ต้น

"เราอยากรู้ความคิดเห็นของเจ้า ไม่ใช่ของฟาล..." ไคราห์นตอบกลับมาในที่สุด "เจ้าไม่มีความรู้สึกของตัวเองเหรอ เวสเทียร์" แม้จะเป็นถึงราชาทะเลเหนือ ผู้มีพลังในการเยียวยาและรักษา แต่ฝ่าบาทไคราห์นก็กลัวการผิดหวังเช่นกัน เวสเทียร์ไม่เคยแสดงออกถึงความรู้สึกที่แท้จริง มีแต่จะจะก้มหน้ารับคำสั่ง ไม่ว่าคำสั่งนั้นจะเป็นการย่ำยีศักด์ศรีความเป็นชายของอีกฝ่ายมากแค่ไหนก็ตาม

...องครักษ์แบบไหนกันที่ยอมหลับนอนกับราชาตาม 'คำสั่ง'

"ความเห็นของกระหม่อม..." ร่างโปร่งลอบกำหมัด หักห้ามไม่ให้ตัวเองพูดอะไรออกไปมากเกินควร และบังคับน้ำเสียงไม่ให้สั่นเครือจนผิดสังเกต "เหมือนท่านฟาลขอรับ เพราะนั่นคือเรื่องที่น่ายินดีของฝ่าบาท"

อาจจะมีองครักษ์เช่นเวสเทียร์จริงๆ ก็ได้...

ไคราห์นเอื้อมมือออกไป แต่แล้วก็ดึงตัวเองกลับมา ราชาหนุ่มสูดหายใจลึก พยายามปรับอารมณ์และความรู้สึกหวั่นไหวที่อยู่ในใจของตนให้กลับมาเป็นปกติ เขาที่เป็นถึงราชาจะอ่อนแอกว่าองครักษ์ไม่ได้ และหากเวสเทียร์กล่าวทุกอย่างออกมาได้ด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นนั้น เขาเองก็ควรจะทำได้เช่นกัน

"เช่นนั้นแล้ว..." ไคราห์นทอดเสียง มันสั่นไหวจนสังเกตได้

"ฝ่าบาท..."

"ช่างมันเถอะ" ราชาทอดถอนใจ "หากราชินีเห็นตรงกัน เราก็คิดว่ามันคงน่ายินดี"

แต่คำนั้นบาดจิตใจของเวสเทียร์ไหร่ ไคราห์นไม่รู้เลย... องครักษ์หนุ่มต้องใจแข็งเพียงใดเพื่อจะเอ่ยตอบรับด้วยน้ำเสียงเข้มแข็งและมั่นคง ทั้งที่ความรู้สึกของเขาแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เสียงในหัวของร่างโปร่งกำลังข่มใจที่เจ็บร้าวไม่ให้กล่าวอะไรออกไปเพื่อเหนี่ยวรั้งอีกฝ่าย เพียงเพื่อความรู้สึกของตนเอง

เขาเป็นองครักษ์และหน้าที่ขององครักษ์คือการคุ้มครองความปลอดภัยเท่านั้น

การที่เขา... หลงรักราชาของตัวเอง มันไม่ใช่เรื่องถูกต้องมาตั้งแต่แรก

ฝ่าบาทไคราห์นมีพื้นฐานจิตใจอ่อนโยนมีเมตตา ไม่ว่าใครได้อยู่ใกล้ชิดก็คงคิดเช่นเดียวกับเขา เพียงแต่ไม่มีชาวเซลทิคผู้ใดเคยสัมผัสเท่านั้น แต่ก็ด้วยเหตุผลนั้นที่ทำให้เวสเทียร์ลำพองใจ เขาอาจเป็นคนเดียวที่มีโอกาสได้อยู่ใกล้กับฝ่าบาท และคิดเข้าข้างตนเองแบบเด็กๆ ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป โดยไม่คิดเลยว่าสักวันหนึ่ง ฝ่าบาทจะได้พบคนที่เหมาะสมกับตนเอง คนที่คู่ควรกับราชาทะเลเหนือมากกว่าองครักษ์อย่างเขา

เขาทนได้ อย่างน้อยเขาก็ยังเป็นองครักษ์คนสนิทต่อไป

ไม่ว่าฝ่าบาทจะเดินทางไปที่ใด เขาก็ยังต้องติดตามไปด้วย ...เท่านี้อาจจะเพียงพอแล้ว

"ฝ่าบาท..." เสียงที่ดังขึ้นทำลายความเงียบภายในถ้ำที่ประทับ ไคราห์นมุ่นคิ้วเล็กน้อย ขณะที่เวสเทียร์สะดุ้งสุดตัวและขยับอาวุธในมือตามสัญาชาติญาณ แต่ก็พบว่าผู้มาเยือนเป็นเพียงองครักษ์หน่วยลาดตระเวนฝ่ายเหนือ "ขออภัยขอรับ ท่านเวสเทียร์" เมื่อเห็นผู้นำเผ่าตอบโต้ ผู้มาเยือนจึงค้อมหัวลงต่ำ

"พวกวาฬมาถึงแล้ว"

เสียงของวาฬหลังค่อมแตกต่างจากวาฬสีน้ำเงิน ถึงแม้จะฟังดูหลอกหลอนในแบบฉบับของวาฬ แต่พวกมันก็ชื่นชอบการร้องเพลงที่เป็นที่สุด ฝ่าบาทไคราห์นขยับตัวด้วยความตื่นเต้น เขาทิ้งตัวลงในน้ำเพื่อจะกลับลงไปยังอาณาจักรด้านล่าง และพบว่าเสียงใต้ทะเลดังเสียจนผืนน้ำสั่นไหว พวกวาฬกำลังใกล้เข้ามาพร้อมกับบทเพลงอันเป็นเอกลักษณ์ของพวกมัน

ไคราห์นหันไปหาคนสนิทข้างตัว "อยู่ข้างๆ เรา..."

เวสเทียร์ไม่เข้าใจคำสั่ง แต่เพียงเท่านั้น องครักษ์หนุ่มก็โล่งใจขึ้นมาชั่วขณะอย่างหาเหตุผลไม่ได้

--------------------------------------------------


เราควรเรียกคอลัมป์นี้ว่า... เกร็ดอะไรในนิยาย ในตอนนี้แอบใส่ความรู้ไปนิดหน่อย มาสรุปกันเป็นช่วงๆ เลยเน้อ...

1) เผ่าเพชฌฆาตกับเผ่าโลมา = คือเผ่าเดียวกัน แต่แยกขั้ว

...ใช่!? จริงๆวาฬเพชฌฆาตคือโลมา!! (เคยอ่านในสารคดีตัวนึงของ BBC มันพูดว่า why do they called 'killer whale' if it's not a whale? Well, you should know it's a whale killer.  ประโยคนี้ค่อดเท่ 555) ต่อไปนี้จะเรียก 'พี่ก้า' (orca) คือพี่ก้าเป็นโลมาที่ใหญ่ที่สุด และมีพฤติกรรมการล่าบางอย่างที่โลมาอื่นเขาไม่ทำกัน เช่น... การล่าลูกวาฬตัวอื่น  หรือกระทั่งล่าวาฬตัวอื่นเลยเลยแหละ วาฬฟิน วาฬมิงค์ พี่แกเอาหมด ...ในมหาสมุทร พี่ก้าเปรียบได้กับพวกอ้วนอันธพาล เวลาใครเจอจะต้องรีบหนีเอาเป็นเอาตาย แมวน้ำ สิงโตทะเล กระทั่งฉลามมันก็กิน (กินทุกอย่างจริงๆนะ)

2) วาฬสีน้ำเงิน

...โรแมนติกมาก เวทอร์ส พาองค์ชายไปดูปลา วาฬสีน้ำเงินเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ฝรั่งชอบบอกว่าพี่ค่อม (humpback whale) ที่ยาวประมาณ 15 เมตรนี่ตัวประมาณ school bus (เปรียบแบบไทยๆ อาจจะตัวเท่ารถเชิดชัยทัวร์) แต่พี่บลู (blue whale) นี่ขนาดประมาณพี่ค่อม 2 ตัว เพราะนางยาวประมาณ 30 เมตร (อาจจะเป็นเชิดชัยแอร์ไลน์แทน--- //ไม่มี!!) (ตัวไม่เท่าเครื่องบินหรอก เครื่องบินลำนึงยาวเกือบ 100 เมตร) ปากของพี่บลูใหญ่มาก ถ้าไม่เห็นภาพให้ดูคลิป แต่ความตลกร้ายของพี่บลูคือคอหอยพี่แกตีบมาก เห็นว่าของที่ใหญ่ที่สุดที่กลืนได้คือ เกรพฟรุต (grapefruit) เล็กกว่าส้มโออีก อาหารของพี่บลูคือ Krill หรือที่บ้านเราเรียกว่า กุ้งเคย (ที่เอามาทำกะปิ) แต่เราขอใช้คำว่ากุ้งฝอยในเรื่องนี้แทน - -" ไม่งั้นมันจะดูตำกะปิ---

คลิปพี่บลูงาบ >> https://www.youtube.com/watch?v=cbxSBDopVyw

3) วิธีการกินของวาฬบาลีน

พี่บลูนี่เป็น Baleen Whale ค่ะ (โอย รายละเอียดมันเยอะ จะบอกไงดี 555) คือ whale มี 2 พวก คือ tooth whale กับ baleen whale พวกทูธก็คือพวกมีฟัน ชัดๆเลยก็คือพวกพี่ก้านี่ล่ะ (อ้าว ไหนบอกไม่ใช่ whale ไง) (เอางี้ เหมารวมเลยคือเขาเรียกทั้ง whale - dolphin - porpoises ว่า cetacean อ่านว่า ซี-ตา-เซียน) (เหมือนจะเขียนหนังสือความรู้เรื่องวาฬได้อีกเล่ม 555)

กลับมาาา...

1 - tooth whale = วาฬมีฟัน ก็คือฟัน เช่น พี่ก้า (killer whale)

2 - baleen whale = วาฬมีบาลีน ก็คือแผงซี่กรองคล้ายๆ หวีคอยดักจับอาหาร เช่น พี่บลู (blue whale) และพี่ค่อม (humpback whale)

การกินของพวกทูธเข้าใจง่าย เพราะก็ใช้ฟันกัด (...) แต่วิธีกินของบาลีนมี 2 แบบล่ะ คือแบบ วิธีการกินแบบสกิมเมอร์ (skimmer) ซึ่งเหมือนว่ายน้ำยิงฟันไปเรื่อยๆ รอให้อาหารมาติดซี่ฟัน แล้วก็กลืน ตัวอย่างพันธุ์ที่ใช้วิธีการกินแบบนี้ คือ พี่เกรย์ (gray whale) และวิธีการกินแบบกัลปเปอร์ (gulper) ซึ่งก็คือการงาบทุกอย่างทั้งน้ำทั้งอาหารไปตุนอยู่ในกรูฟ (grooves) หรือเรียกง่ายๆ ว่าเหนียง 555 ที่เห็นแบบซี่ๆ พองได้นั่น แล้วจึงค่อยๆ พ่นน้ำออกมาผ่านซี่บาลีน ให้บาลีนดักจับอาหารเอาไว้ (กินยากกินเย็นแท้...)



กลับมาที่นิยาย... คู่รองตอนนี้ไม่มีอะไร แค่พาไปดูปลา... และนอกนั้นก็เป็นเรื่องของตัวประกอบคุยกัน---

แต่คู่หลักเนี่ยสิยย์... เอานะ อย่างน้อยเวสเทียร์ก็ยอมรับนะว่าชอบฝ่าบาท (ทุกคน: รู้นานแล้ว 555) แต่เขาทำอะไรไม่ได้ แล้วตัวเองเป็นแค่องครักษ์ เทียบกับราชินีเรจินาคือคนละระดับ เทียบกันไม่ได้อยู่แล้ว ในมุมมองของคนอื่น เรื่องของไคราห์นกับเรจินานี่ดูน่าเชียร์ แต่เราก็มองในมุมไคราห์นด้วยเหมือนกัน... แล้วก็ชอบคำนี้ของเขานะ... ถ้าเสียสละเท่าจอมราชันไม่ได้ จะต้องเกาะผู้หญิงเท่านั้นเลยเหรอ

คือในมุมของราชา... มันก็เจ็บนะ ทำดีเท่าไหร่ไม่มีใครเห็น (จริงๆ คือมีปมว่าแพ้สงคราม+เสียน้องชายไปด้วย) แต่พอตั้งท่าจีบหญิงปุ้บ ทุกคนพร้อมจะเลื่อมใสขึ้นมาทันที... เฮิร์ทน่าดูเหมือนกัน แต่อะไรจะเฮิร์ทกว่าเวสเทียร์ ที่ต้องทนพูดส่งเสริมให้เขาไปได้ดี ทั้งๆ ที่ตัวเองรักเขาจะตาย (ทีมอวยเคะ 555) แต่จุดบอดของความสัมพันธ์ทั้งคู่ก็คืออันนี้แหละ ไม่เคยพูดกันไง... ได้ก็ได้... (ก็ง่ายๆ งงๆ ทั้งคู่) แบบไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งจะทำให้สิ่งที่เป็นอยู่เปลี่ยนไป แล้วมาจนถึงตอนนี้ก็ไม่กล้าถามกันแล้วเพราะมาลึกเกิน

ออฟไลน์ nutiez

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
สู้เค้านะเวสเทียร์  :m15:

ออฟไลน์ YADA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 201
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :hao5: ฝ่าบาทอ่าาา

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนที่ 11.1

เสียงที่กังวานที่สุดในน่านน้ำเป็นของวาฬตัวหน้าในฐานะผู้นำ

ต่อให้ชาวมารินาการ์ดไม่เข้าใจภาษาวาฬ แต่เสียงอันกึกก้องประกาศการมาถึงของเหล่าสัตว์ใหญ่ก็ทำให้ทั้งองค์ชายเร็กซ์ และราชินีเรจินาออกมาจากห้องพักรับรองที่ก้นทะเล ทั้งคู่แหงนมองเงาดำที่พาดผ่านพื้นมหาสมุทร และพบฝูงสัตว์ใหญ่นับร้อยตัวค่อยๆ เคลื่อนเข้ามา

"เล็กว่าตัวที่เราเห็นเมื่อเช้านี้ แต่ก็ใหญ่อยู่ดี" องค์ชายกระซิบบอกพี่สาว "นี่เป็นเหตุผลที่ฝ่าบาทไคราห์นส่งน้องสาวมาคุยกับท่านพี่แทนกระมัง เพราะเขาต้องต้อนรับฝูงวาฬเหล่านี้ ดูเหมือนว่าพวกเงือกวาฬจะได้ยินเสียงที่เราไม่ได้ยิน จึงน่าไม่น่าแปลกใจ"

"เจ้าก็เป็นไปกับเขาด้วยหรือ เร็กซ์!" เรจินามุ่นคิ้ว "ไคราห์นปรึกษาเราเรื่องบ้านเมือง เหตุใดพวกเจ้า..."

"ชายหนุ่ม หญิงสาว จะให้คิดเป็นอื่นได้อย่างไร" ผู้เป็นน้องไหวไหล่

"เราแก่แล้วนะ" ราชินีเอ็ด แม้พระนางจะมีอายุถึงหกสิบปี แต่ชาวเงือกผู้มีอายุขัยถึงร้อยยี่สิบปี ด้วยวัยเพียงเท่านี้จึงเป็นแค่ 'วัยกลางคน' เท่านั้น "อีกอย่าง..."

"เราจะไปว่าอะไรท่านพี่ได้" องค์ชายตัดบท ขยับหางว่ายขึ้นไปยังเบื้องบนเพื่อดูท่าทีของเหล่าเงือกวาฬ เขาได้ยินมาว่ากลุ่มเงือกเผ่านี้มีความสุขที่สุดในช่วงเทศกาลเล่นแสงจันทร์ ซึ่งนั่นก็คือช่วงที่ฝูงวาฬมาเยี่ยมเยียนอาณาจักร เขาว่ายเลาะขึ้นมาตามหินผาใต้ทะเล และหาที่ประจวบเหมาะในการดูเฝ้ามองสัตว์ใหญ่ที่แสนอ่อนโยนเหล่านั้น

'ดวงจันทร์' แห่งเซลทิคออกมาจากถ้ำที่ประทับของเขาในที่สุด มุ่งหน้าไปยังวาฬผู้นำ และแทนคำเคารพ ฝ่าบาทไคราห์นขยับร่างว่ายลอดใต้ร่างสัตวใหญ่ พลิ้วตัวบิดกายแตะสัมผัสคลอเคลียกับผิวหนังสีเข้ม ก่อนจะเคลื่อนไปหยุดข้างดวงตาข้างหนึ่งเพื่อให้ผู้นำฝูงได้มองราชาหนุ่มชัดๆ อีกครั้ง

สัตว์ยักษ์ขยับหาง เคลื่อนร่างพลิ้วบิดหมุนรอบตัวเองช้าๆ เลียนแบบกิริยาราชาเงือกแทนคำทักทาย ว่ายวนอยู่ในห้วงน้ำสีเข้มแห่งเซลทิค พวกมันหยุดส่งเสียงดัง องค์ชายเร็กซ์ไม่แน่ใจว่ามันหยุดเรียกหากัน หรือหยุดการร้องเพลง แต่กลับครางเสียงต่ำในลำคอประหนึ่งพูดคุยแทน ไคราห์นเคลื่อนกายไปสัมผัสครีบอกอันใหญ่โต ลูบมือไปบนผิวหนังนุ่มหยุ่นเนิบช้าและอ่อนโยน โดยไม่เคลื่อนหายไปจากสายตาของสัตว์ใหญ่ที่จ้องมองอยู่

เมื่อผู้นำทักทายซึ่งกันและกัน ประชาชนก็สามารถเข้าใกล้ฝูงสัตว์ได้ ดังนั้นเหล่าเงือกวาฬแห่งอาณาจักรเซลทิคจึงค่อยๆ เคลื่อนกายออกมา ตรงเข้าไปหาแขกบ้านแขกเมืองที่มีโอกาสได้พบกันเพียงปีละครั้ง

"ในบางครั้งพวกเซลทิคก็ดูเนิบช้าเหมือนหยุดเวลาทั้งโลกเอาไว้" เรจินาตามมาสมทบกับน้องชาย พระนางทอดกายลงนั่งบนหินข้างๆ กัน ขณะเฝ้ามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น "เพลินดีเสียจนคิดว่าชีวิตนี้ยังต้องการอะไรอีก" วาฬฝูงนี้มีสีเทาเข้มค่อนไปทางดำ มีหน้าท้องสีขาวสว่าง ปลายครีบ และใต้หางก็เป็นสีขาวเช่นเดียวกัน

เหตุผลของการเคลื่อนไหวช้ามาจากขนาดตัวมหึมาซึ่งอาจจะใหญ่พอๆ กับเรือรบของพวกมนุษย์

"ท่านพี่อยากเป็นวาฬหรืออย่างไร" เร็กซ์คิดว่าเขาควรจะเลิกแซวพี่สาว เพราะอย่างไรนางก็มีสิทธิ์ตัดสินใจ และเขาค่อนข้างมั่นใจกับการตัดสินใจของราชินีแห่งมารินาการ์ด "ว่ายไปเรื่อยๆ ไม่มีที่อยู่หลักแหล่ง อพยพลงใต้ทุกครั้งที่ความหนาวคืบคลานเข้ามา และกลับขึ้นมาทางเหนือเพราะอาหารไม่พอ"

"เจ้าก็ปากคอเราะร้าย" พี่สาวว่า "ว่าแต่เจ้าเถอะ องครักษ์ของเราติดตามมาด้วยตั้งมาก เหตุใดจึงไปรบกวนองครักษ์ฝ่ายเซลทิคเขาแบบนั้น" เรจินารู้เรื่องเวทอร์สดี เพราะนางอยู่กับฝ่าบาทไคราห์นเมื่อครั้งที่เขาออกคำสั่งกับองครักษ์หน่วยลาดตระเวนคนนั้นว่าให้ช่วยดูแลน้องชายของนางระหว่างพำนักอยู่ที่นี่ "หากเบื่อหน่ายนัก ไม่รู้จักกลับไปดูแลบ้านเมือง"

คำพูดที่ติดไปในทางตำหนิทำให้เร็กซพึมพำเถียง "หลังจบเทศกาล เราก็จะเดินทางกลับกันอยู่แล้ว"

พวกเขามาถึงอาณาจักรเซลทิคก่อนหน้าเทศกาลประมาณหนึ่งสัปดาห์ แต่จากการพูดคุยกันทุกวันจนรู้สึกสนิทสนมถูกคอทำให้เรจินาคิดว่าตนรู้จักไคราห์นมานับปี และเมื่อตระหนักได้ว่าอีกไม่นานคงต้องเดินทางกลับ ราชินีก็อดชะงักไปไม่ได้เช่นกัน

การจากลามักมาถึงเร็วกว่าที่คิดเสมอ...

พระนางรู้จักการวางตัวให้เหมาะสม แต่ในบางครั้ง การทำเช่นนั้นก็ช่างยากเย็น

"ท่านพี่ติดใจเซลทิคเสียแล้วรึ" ครั้งนี้เร็กซ์ไม่ได้หยอกล้อ เพราะเมื่อเห็นสีหน้าของพี่สาว เขาก็เริ่มคิดว่านางติดใจที่นี่จริงๆ เรจินายิ้มหน่ายใจแทนคำตอบ ก่อนจะปัดมือเบาๆ ให้น้องชายเลิกเซ้าซี้

"ไคราห์นเป็นราชาที่ดี เราเห็นใจความพยายามของเขา"

ชาวเซลทิคไม่มีผู้ใดที่มีท่อนหางสีขาว และต่อให้มีผิวพรรณที่ขาวเพียงใดก็ไม่อาจเทียบเท่าฝ่าบาททะเลเหนือได้ การว่ายน้ำท่ามกลางฝูงสัตว์ของเขาในตอนนี้จึงโดดเด่นเป็นพิเศษ ราวกับดวงจันทร์ที่ผุดผาดขึ้นมากลางทะเลอันมืดสลัว

เร็กซ์เองก็กำลังมองการเคลื่อนไหวเนิบช้าอันสง่างามน่าจดจำของราชาหนุ่มเช่นกัน

"แล้วเราจะช่วยเขาได้อย่างไรบ้าง..."

--------------------------------------------------

ร้านท่อนไม้อาจเป็นร้านค้าที่ไม่ใคร่จะประสบความสำเร็จนักหากเทียบกับร้านอื่นๆ ในท่าเรือบาร์ธีมอร์แห่งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ไม่ใช่ฤดูค้าขาย ทำให้ร้านที่ขายสินค้าฟุ่มเฟือยอย่างน้ำหอม และเครื่องประดับประสบปัญหาขาดทุนเป็นอันดับแรกๆ และแน่นอนว่างานไม้แกะสลักก็นับเป็นเครื่องประดับด้วยเช่นกัน

แต่ชายหนุ่มผมแดงก็ยังนั่งอยู่โต๊ะทำงานของเขา มองผ่านแว่นตากรอบทองไปยังชิ้นงานตรงหน้า มันคือหัวไม้เท้ารูปสิงโต ชายหนุ่มไม่ได้รับการว่าจ้างจากใครมาเป็นเวลาเกือบสองเดือนแล้ว และงานชิ้นนี้ก็เช่นกัน มันเป็นเพียงการฆ่าเวลาของเขาระหว่างรออะไรบางอย่าง และอะไรบางอย่างที่ว่านั่นก็ส่งเสียงหอนขึ้นเป็นสัญญาณเรียกหา ทำให้เขาสะดุ้งจนปลายแหลมของอุปกรณ์แฉลบเข้าไปในเนื้อที่ปลายนิ้ว

"ให้มันได้แบบนี้สิ..."

ชายหนุ่มวางอุปกรณ์ ยกนิ้วแตะริมฝีปากด้วยความเคยชิน และเลียไล้หยดเลือดของตนเองด้วยปลายลิ้นช้าๆ และมันก็น่ามหัศจรรย์ที่บาดแผลนั้นหายไปเอง เขาคว้าเสื้อชายยาวสีแดงตัวหนาที่พาดอยู่บนเสาขึ้นคลุมไหล่ และเปิดประตูร้านออกไปพบกับลมต้นฤดูหนาวของบาร์ธีมอร์

วาร์เรนคิดว่าเขามือแข็ง จึงได้หันกลับไปหยิบถุงมือหนังมาสวมอีกขั้นหนึ่ง และหยิบนาฬิกาพกสีทองวาววับออกมาดูเวลา ขณะนี้เวลาห้าโมงเย็น แต่แสงแดดแห่งบาร์ธีมอร์กำลังจะหายไปอย่างรวดเร็ว และทุกบ้านก็จะปิดประตูเงียบ ทำอาหารอุ่นๆ เช่นซุปกินกับขนมปัง อาจตามด้วยกาแฟร้อนๆ สักแก้ว และผิงไฟแก้หนาวหลังจากนั้น

...แต่นั่นไม่ใช่กิจกรรมของอมนุษย์

อมนุษย์ดูจะเป็นพวกหนึ่งที่มีชีวิตยืนยาวแสนสบาย ไม่ต้องดิ้นรน แต่ในความเป็นจริงนั้นพวกเขากลับมีอะไรให้ทำตั้งมากมายก่ายกองจนนึกอยากจะนอนหลับไปแล้วไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลยให้รู้แล้วรู้รอด ร่างสูงล้วงมือลงไปในกระเป๋าเสื้อโค้ท และเดินฝ่าลมทะเลที่ทำให้รู้สึกหนาววาบๆ ไปตามถนนที่เริ่มร้างผู้คน มุ่งหน้าไปยังป่าเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกล เสียงหอนยังคงดังขึ้นต่อเนื่องแทนการเรียกซ้ำๆ จนชายหนุ่มอยากจะหอนตอบให้รู้แล้วรู้รอด แต่หากทำเช่นนั้น พวกมนุษย์ที่อยู่รอบตัวเขาก็คงจะหันมามองด้วยความประหลาดใจ

เมื่อออกมาห่างไกลผู้คน วาร์เรนเริ่มออกวิ่ง... ด้วยแรงที่มากกว่ามนุษย์ธรรมดาทำให้เขาเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วจนไม่อาจมองเห็นด้วยตาเปล่า ก่อนจะพุ่งเข้าไปหยุดเบื้องหน้าหมาป่าสีดำร่างสูง ผู้เป็นเจ้าของดวงตาสีเหลืองวาวโรจน์ "อา... ข้านึกว่านายหญิงจะใช้เวลาร่วมเดือนในการเดินทางเสียอีก" หมาป่ายักษ์คำรามในลำคอ สะบัดพวงหางด้วยความหงุดหงิดใจที่ไม่อาจตอบโต้ได้ด้วยภาษาของมนุษย์

วาร์เรนรู้ใจคู่สนทนาดีพอ เขาจึงถอดเสื้อคลุมของตนเองออกแขวนกับกิ่งไม้ใกล้ๆ แล้วหมุนตัวเดินเลี่ยงออกมาเพื่อให้หมาป่าสาวคืนร่างกลับเป็นมนุษย์ นางคงจะเปลือยเปล่าไม่น่ามอง นั่นคือเหตุผลที่นางไม่เข้าไปพบเขาที่ร้าน "ข้าอยู่ในไอร์แลนด์" เสียงของซินเนย์วาดูเหนื่อยอ่อน นางกระชับชายชุดแดงให้ปกปิดเรือนร่างเบื้องใต้ ก่อนจะเดินนำวาร์เรนกลับเข้าไปในตัวเมือง "แต่ถ้าเจ้าไม่ส่งข่าวมา ข้าก็กำลังจะขึ้นเรือกลับไปยังอังกฤษ"

"และการว่ายน้ำกลับมาในฤดูนี้ก็คงไม่ใช่วิสัยของนายหญิงอีกด้วย"

"ข้าไม่ว่ายน้ำทะเล" ซินเนย์วามองคู่สนทนาด้วยหางตา พวกเขากลับมายังถนนในตัวเมือง เร่งฝีเท้าเพื่อจะกลับไปยังร้านบนถนนที่ตอนนี้เงียบเหงาไม่มีผู้คน วาร์เรนเปลี่ยนป้ายหน้าร้านเป็นคำว่า 'ปิด' ในขณะที่ซินเนย์วาเดินขึ้นบันไดไปยังห้องของนางที่อยู่ชั้นบนอย่างคุ้นเคย ก่อนจะกลับลงมาสูดกลิ่นชาหอมๆ ที่อวลอยู่ในห้องด้านล่าง

"ยังคงความเป็นคนอังกฤษเสมอต้นเสมอปลายเชียวนะ" หญิงสาวหัวเราะร่วน รับถ้วยชามาจากอีกฝ่ายแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ที่เป็นผลงานแกะสลักฆ่าเวลาของวาร์เรนเช่นกัน

"แล้วยังไงกัน... มีเรื่องอะไรจึงได้เรียกข้ามา"

คนถูกถามสูดหายใจลึก แล้วค่อยๆ ผ่อนออกมา "ราชาเซลทิคต้องการทำสงครามกับแวมไพร์"

"คิดหาวิธีล่อพวกมันออกมาให้ได้ก่อนเถอะ" ซินเนย์วาตอบกลับแทบจะในทันที "กระทั่งพวกนางพรายที่อยู่กับสายลมยังบอกไม่ได้เลยว่าแหล่งกบดานของมันพวกอยู่ที่ใด แล้วเหยื่อล่อแบบไหนกันที่จะทำให้แวมไพร์กบฎพวกนั้นออกมาพร้อมๆ กันได้ทั้งฝูง" แวมไพร์มีหลายพรรคหลายพวก และพวกที่ก่อเรื่องอยู่ในตอนนี้ก็ไม่ได้รวมกลุ่มที่ใดเป็นหลักแหล่ง ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะติดตามตัวพวกเขา ต่อให้ชาวเงือกตัดสินใจต่อสู้ และหมาป่ายื่นมือเข้าช่วยเหลือ แต่การประกาศศึกกับธาตุอากาศก็เป็นเรื่องเปล่าประโยชน์

"พวกมันกำลังค้นหา... ที่ตั้งของอาณาจักรเซลทิคที่อยู่บนแผ่นดิน" วาร์เรนพึมพำตอบ "สงครามครั้งที่แล้วเกิดขึ้นที่หมู่บ้านธราฟัสการ์ พวกเงือกพ่ายแพ้และล่าถอยกลับไปในทะเล ไม่เหยียบขึ้นแผ่นดินสักพักใหญ่เพราะความกลัว ทำให้ธราฟัสการ์กลายเป็นหมู่บ้านร้างที่มีข่าวลือว่าชาวบ้านตายพร้อมๆ กันด้วยโรคระบาด แต่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีแวมไพร์เข้ามาในตัวเมืองบาร์ธีมอร์ และกลับไปที่หมู่บ้านแห่งนั้น"

ซินเนย์วามุ่นคิ้วเล็กน้อย นางมองหน้าคู่สนทนาด้วยความลางสังหรณ์ที่ไม่ใคร่จะดีนัก

"พวกเงือกที่ขึ้นมาเดินในบาร์ธีมอร์ล้วนเริ่มต้นที่ธราฟัสการ์ เสื้อผ้า และข้าวของเครื่องใช้ของพวกเขาถูกเก็บอยู่ที่นั่น แต่มันอาจเป็นช่องทางนำไปสู่การค้นพบที่ตั้งอาณาจักรที่แท้จริงซึ่งอาจจะอยู่บนแผ่นดินเช่นกัน" วาร์เรนพอจะรู้ว่าชาวเงือกเซลทิคไม่ได้อาศัยในทะเลเพียงอย่างเดียว แต่สิ่งที่เขาสงสัยนั่นก็คืออาณาจักรบนแผ่นดินของเซลทิคนั้นอยู่ที่ใดกันแน่

แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ชาวเงือกจะบอกใครง่ายๆ เช่นกัน

"หากพวกมันพบที่ตั้งของเซลทิค... อาจจะนำมาซึ่งการเช่นฆ่าแบบครั้งที่แล้ว" ซินเนย์วาไม่ได้มีส่วนร่วมในสงครามที่ธราฟัสการ์ กระทั่งตัววาร์เรนเองก็เพิ่งมารับรู้เรื่องในภายหลัง แต่วีรกรรมอันโด่งดังจากปากคำของเหล่านางพรายนั่นคือการที่กลุ่มผีดูดเลือดเข้าโจมตีหมู่บ้านโดยไม่ให้สัญญาณใดๆ

"และครั้งนี้คงจะเป็นการตามล่า... เลือดของราชวงศ์เซลทิคอย่างแท้จริง"

"เราจะไม่ใช้เงือกเป็นเหยื่อล่อ" วาร์เรนเสียงแข็ง ก่อนที่คู่สนทนาจะพูดขึ้นมา "ต่อให้มันจะเป็นเหยื่อชั้นดีแค่ไหนก็ตาม แต่ข้าไม่ต้องการให้สงครามเกิดขึ้นที่บาร์ธีมอร์แห่งนี้ มันเสี่ยงต่อการเปิดโปงการมีตัวตนของพวกเรามากเกินไป" สงครามเมื่อห้าปีก่อนยังสามารถอ้างโรคระบาดได้ แต่หากสงครามเกิดขึ้นอีกครั้งในพื้นที่ใกล้เคียงกัน พวกเขาคงไม่อาจใช้ข้ออ้างเดิมได้อีกต่อไป "ข้าคิดว่าเราควรจะหลอกล่อให้พวกมันกลับไปที่อังกฤษ ไปที่มารินาการ์ด... พื้นที่ในแถบนั้นเหมาะกับการต่อสู้มากกว่า"

"พวกมันต้องการเลือดของราชวงศ์เซลทิค อย่างไรก็คงไม่เปลี่ยนใจไปมารินาการ์ดง่ายๆหรอก" ซินเนย์วามองคู่สนทนา "และเจ้าก็รู้ว่าพวกมันไม่ไปอังกฤษเพราะที่นั่นเป็น 'บ้าน' ของราชาแวมไพร์ที่พวกมันเป็นปรปักษ์" นางหมาป่าถอนใจเบา และวางถ้วยชาลงบนโต๊ะเล็กข้างกาย "เราควรจะหารือกับเขา ไม่ใช่มานั่งคิดเองเออเองเช่นนี้"

"แต่ข้าบอกฝ่าบาทว่ากว่าเจ้าจะมาถึงก็ใช้เวลาร่วมเดือน"

"เจ้าไม่มีวิธีการอื่นในการติดต่อกับชาวเงือกรึ"

วาร์เรนถอนใจ "ข้าเคยตามพวกเขาไปที่ธราฟัสการ์ เพื่อจะลองค้นหาอาณาจักรเซลทิค แต่ก็ไม่มีสิ่งก่อนสร้างใดที่น่าจะเป็นที่อยู่อาศัยแถวนั้นเลย และพวกเขาทุกคนก็เดินหายไปในหาดธราฟัสการ์" ซินเนย์วามุ่นคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัยและตั้งข้อสังเกตกับสิ่งนั้น

"เจ้าเคยดำน้ำตามพวกเขาไปหรือเปล่า"

"ใครจะกล้าตามเงือกลงน้ำกัน ยิ่งพวกเงือกวาฬที่กระโจนขึ้นมาจากน้ำได้!"

--------------------------------------------------

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนที่ 11.2

เมื่อแสงอาทิตย์หายไปจากท้องทะเล แสงจากอำพันวิเศษก็ทำให้อาณาจักรก้นทะเลสว่างไสวขึ้นมา กระแสน้ำเบื้องบนกระเพื่อมไหวรุนแรงจากลมยามค่ำคืน ทว่าใต้ท้องทะเลกลับสงบนิ่งราวกับไม่รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น

ในค่ำคืนนี้... น่านน้ำแห่งเซลทิคครึกครื้นไปด้วยเสียงเพลง

แม้จะเรียกว่าเทศกาลเล่นแสงจันทร์ แต่วาฬยักษ์จะวนเวียนอยู่ที่นี่ไม่กี่วัน พวกเขาต้องเดินทางต่อไปยังมหาสมุทรตอนใต้ เพื่อจับคู่และให้กำเนิด ดังนั้นค่ำคืนแรกจึงสำคัญที่สุด

อาณาจักรเซลทิคมีเหล่านางเงือกประสานเสียง และสัญญาณเริ่มต้นค่ำคืนแรกของเทศกาลเล่นแสงจันทร์ก็คือบทเพลงสนุกสนานของพวกนาง ดังนั้นเมื่อเครื่องดนตรีพื้นเมืองเริ่มต้นบรรเลงเพลง เหล่าครึ่งมัจฉาก็เริ่มออกว่ายเป็นแนวแถว เพื่อเต้นรำในผืนน้ำที่สว่างไสวด้วยแสงจันทร์และอำพันวิเศษ

พวกวาฬจะยังรีรออยู่โดยรอบ และลอยตัวนิ่งๆ ชื่นชมการต้อนรับ เช่นเดียวกับฝ่าบาทไคราห์นที่ทอดกายอยู่บนบัลลังก์ของเขา เฝ้ามองการเต้นรำและประสานเสียงของเหล่านักดนตรี เสียงแหลมสูงของพวกนางหวานหูและผ่อนคลายอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งแน่นอนว่าสร้างความประทับใจให้กับอาคันตุกะทั้งสองจากมารินาการ์ด

องค์ชายเร็กซ์ไม่เคยคิดว่าก่อนว่านางเงือกแห่งเซลทิคที่มักจะมีร่างกายใหญ่โตกว่าเขาจะสามารถเคลื่อนไหวได้รวดเร็วและสวยงาม อีกทั้งเสียงร้องหวานใส สบายหูทำให้เขานึกอาจจะขอให้ชายาของตนร้องเพลงให้ฟังบ้างสักครั้ง องค์ชายหนุ่มอ้าปากค้างน้อยๆ ด้วยความทึ่ง เมื่อเห็นร่างโปร่งบางเหล่านั้นกระโจนขึ้นไปเหนือน้ำ ก่อนจะดำลงมายังเบื้องล่างพร้อมกับขับขานบทเพลง

นอกจากจะว่ายน้ำถอยหลังได้แล้ว... พวกวาฬยังกระโจนขึ้นเหนือน้ำได้สูงมากอีกด้วย!

ชายหนุ่มหันไปมองคาดันน์ที่ลอยตัวนิ่งๆ อยู่ข้างๆ ราวกับต้องการขอให้มันกระโดดให้ดูบ้าง แต่ก็นึกขึ้นได้ว่านี่คงไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม คาดันน์เหลือบตามองคนข้างกายเล็กน้อย และค่อยๆ เคลื่อนครีบอกใหญ่โตของมันไปแตะร่างขององค์ชายเสมือนปลอบไม่ให้เขาตกใจมากกว่าเดิมหลังจากบทเพลงแรกสิ้นสุด

"ถึงคราวของพวกวาฬบ้างแล้ว... ฝ่าบาทอย่าตกใจล่ะ" ฝ่าบาททะเลเหนืออธิบายกับราชินี

เหล่านางเงือกประสานเสียงเคลื่อนตัวออกจากบริเวณที่เปรียบเสมือนเวทีเต้นรำเมื่อครู่ เพื่อไปหยุดล้อมวงอยู่โดยรอบแทนฝูงวาฬที่ว่ายเข้ามาแทนที่ และสร้างรูปแบบการเคลื่อนไหวที่เหมือนเกลียวขนาดใหญ่ มุ่งหน้าขึ้นไปรับแสงจันทร์เบื้องบน ครีบอกที่ยาวกว่าเงือกทั้งตัวขยับไหวเพื่อพยุงร่างให้ว่ายวน เวียนตามวาฬตัวอื่นในฝูงเพื่อขึ้นไปสัมผัสอากาศ พลิกร่างหมุนพลิ้วอยู่ในผืนน้ำ และเริ่มเปล่งเสียงร้องประสานกันขึ้นเป็นบทเพลง

หางขนาดมหึมาโบกไหวเนิบช้า แต่ครึ่งมัจฉาก็สัมผัสได้ถึงพละกำลังที่ส่งผ่านมาถึงตัว

หากเทียบเสียงร้องกับขนาดตัวแล้ว วาฬหลังค่อมอาจเรียกได้ว่ามีเสียงที่แหลมสูงกว่าพวกอื่น และมีเพียงวาฬตัวผู้เท่านั้นที่ขับร้อง ฝูงวาฬประสานเสียงสรรค์สร้างท่วงทำนองขึ้นใหม่ทุกปี และเมื่อสิ้นสุดบทเพลงของพวกเขา ชาวเงือกก็จะใช้จังหวะเดียวกันในการขับร้องด้วยเนื้อเพลงที่ประพันธ์ขึ้นมาในชั่วอึดใจ และหากเป็นที่พอใจของเหล่าวาฬ พวกเขาก็จะขับร้องบทเพลงในทำนองเดิมอีกครั้ง ทว่าในครั้งนี้เป็นการขับร้องร่วมกันของราชาทะเลเหนือและฝูงสัตว์

ทำนองของวาฬเนิบช้า แต่โทนเสียงสูงต่ำสลับกันไปก็สามารถบ่งบอกได้ถึงความพยายามในการ 'ขับร้อง' เยี่ยงอย่างชาวเงือก ครึ่งมัจฉาหยุดเคลื่อนไหว หลับตาลงเพื่อรับฟังบทเพลงที่สรรค์สร้างขึ้นเพื่อพวกเขาโดยเฉพาะ

ความหมายอันลึกซึ้งถูกถ่ายทอดให้รับรู้ และกลั่นกรองออกมาเป็นเนื้อร้องที่มีความหมายตราตรึง

"จากกันไกลเพียงใด ใจเรารวมเป็นหนึ่งเดียวเสมอ..."

คำพูดแรกของครึ่งมัจฉาออกมาจากปากของราชาแห่งเซลทิค และนั่นเป็นสัญญาณของวงประสานเสียง เหล่านางเงือกเคลื่อนกลับไปเคียงข้างสัตว์ใหญ่ เปล่งเสียงร้องในทำนองเดียวกัน โดยสร้างสรรค์เนื้อร้องจากใจความแรกของราชา

"จากกันไกลเพียงใด... ก็จะหวนกลับมาพบพาแม้เพียงอึดใจ..."

"จากกันไกลเพียงใด... ก็จะมั่นคงไม่แปรเปลี่ยนไปไหน..."

...

"จากกันไกลเพียงใด... ใจเรารวมเป็นหนึ่งเดียวเสมอ..."

ไคราห์นเหลือบมองคนข้างกาย ราชินีจากมารินาการ์ดยกมือสองข้างขึ้นปิดปากด้วยความทึ่ง ตกตะลึงกับเสียงร้องที่ไม่เคยรับฟังจากที่ใด การเต้นรำที่เรียบง่ายทว่าหาชมไม่ได้จากที่อื่น และหัวใจที่พองโตขึ้นด้วยความตื้นตันเติมเต็มอย่างที่ไม่เคยรู้สึกกับบทเพลงใดมาก่อน

นี่คือหัวใจของเทศกาลเล่นแสงจันทร์ที่ชาวเซลทิครอคอย...

"ฝ่าบาท..." ไคราห์นเอ่ยเรียก "โปรดบรรเลงเพลงพิณไหม" นั่นเป็นคำถามกึ่งเชื้อเชิญ แต่คนฟังกลับไม่มีกะจิตกะใจจะรับรู้ กว่าพระนางจะรู้สึกตัว ฝ่าบาททะเลเหนือก็เอ่ยเรียกเป็นครั้งที่สอง "ฝ่าบาทเรจินา"

"ร... เราไม่รู้ทำนอง..."

"ดีดเส้นเดียวกับเราก็พอ" ราชาหนุ่มทอดยิ้ม ขยับเคลื่อนกายไปยังพิณใหญ่ของอาณาจักร และทอดตัวลงนั่งบนแท่นที่ถูกจัดวางเอาไว้ ให้แสงจันทร์ส่องผ่านผิวน้ำลงมากระทบผิวกายขาวสว่างราวกับดวงจันทร์แห่งท้องทะเล เขามองกลับมายังราชินีเรจินาที่ยังไม่เคลื่อนกายออกมา ในขณะที่สายตาหลายคู่เริ่มจับจ้อง

เร็กซ์ดันหลังพี่สาวของตนเบาๆ เพื่อไม่ให้นางเสียมารยาท จนร่างโปร่งต้องขยับว่ายไปยังแท่นนั่งข้างพิณที่สูงทัดเทียมกับราชาทะเลเหนือ

ทว่าขนาดตัว และส่วนสูงของฝ่าบาทไคราห์นก็ทำให้เรจินารู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กนิดเดียว

"บทเพลงของวาฬเนิบช้า เราจะแตะบนสายก่อน ฝ่าบาทเพียงแค่ดีดเส้นเดียวกัน"

พิณของเซลทิคเป็นพิณชนิดคานไขว้สายคู่ โดยทั่วไปแล้วจะต้องใช้คนเล่นถึงสองคน แต่เนื่องจากฝ่าบาทไคราห์นไม่เลือกชายา ดังนั้นเขาจึงเล่นพิณตัวนี้คนเดียวมาตลอดสิบเจ็ดปีที่ครองบัลลังก์ "เสียงเราอาจจะดังไปบ้าง แต่พวกวาฬชอบแบบนั้น" ราชาหนุ่มจรดยิ้มที่มุมปาก แล้วจึงไล้ปลายนิ้วไปบนสายเส้นหนึ่ง แทนสัญญาณให้คนตรงหน้าทำตาม

วาฬเอ่ยนำ ให้ราชาหนุ่มกลั่นกรองและตัดสินใจเกี่ยวสายเส้นหนึ่งขึ้นดีด

เสียงของพิณใหญ่ดังกังวานอย่างไม่น่าเชื่อ และหลังจากนั้น ไคราห์นก็เคลื่อนมือไปตามพิณอย่างเนิบช้า เช่นเดียวกับราชินีเรจินาที่เคลื่อนมือไปดีดตามในสายพิณเสียงเดียวกัน และเกี่ยวขึ้นในจังหวะเดียวกัน

"จากกันไกลเพียงใด..."

แม้จะเป็นเนื้อร้องเดียวกัน แต่น้ำเสียงของไคราห์นกลับตราตรึงยิ่งกว่า มันแสนทรงพลัง กังวาน เปี่ยมไปด้วยอำนาจเยี่ยงราชา และอ่อนโยนตราตรึงยิ่งกว่านักดนตรีคนใดของมารินาการ์ด

"ก็จะหวนกลับมาพบพาแม้เพียงอึดใจ..."

สิ่งที่น่าทึ่งยิ่งกว่าในบทเพลงของราชา นั่นคือประชาชนของเขาเอ่ยร้องขึ้นรับโดยพร้อมกัน เกิดเป็นพลังเสียงประสานที่อาจสื่อได้ถึงความรักและเคารพในตัวผู้นำ

เรจินาหยุดมือเมื่อได้ยินเช่นนั้น และเผลอเงยขึ้นมองราชาตรงหน้า พระนางทอดมองใบหน้าหล่อเหลาคมคายอาบไล้ด้วยแสงจันทร์ อีกฝ่ายหลับตาลงดื่มด่ำกับบทเพลงราวกับรับฟังมันด้วยหัวใจ ผมยาวสีขาวสว่างพลิ้วไหวในกระแสน้ำ และริมฝีปากบางก็เปล่งเสียงร้องทรงพลังออกมา

"จากกันไกลเพียงใด..."

เปลือกตาของอีกฝ่ายเปิดขึ้น เผยดวงตาสีน้ำเงินลุ่มลึกดั่งหาสมุทร พวกเขามองประสานกันผ่านสายพิณ และจ้องมองอยู่อย่างนั้น จนเรจินาคิดว่าใจของนางหยุดเต้นไปชั่วขณะ และด้วยน้ำเสียงมั่นคงของราชา ไคราห์นก็เปล่งเสียงร้องเพลงบทต่อโดยปราศจากความหวั่นไหวใดๆ

"ก็จะมั่นคงไม่แปรเปลี่ยนไปไหน..."

เรจินาตระหนักได้ว่านางควรบรรเลงเพลงไปด้วย นางจึงก้มลงสนใจสายพิณตรงหน้า และหลบตาด้วยความเคอะเขินอันอธิบายไม่ได้ แต่เสียงอันตราตรึงของฝ่ายก็ยังก้องอยู่ในหัวราวกับตอกย้ำความไพเราะและความหมายให้ประทับอยู่ในใจของพระนางตลอดไป

"จากกันไกลเพียงใด... ใจเรารวมเป็นหนึ่งเดียวเสมอ..."

เสียงของวาฬดังก้องประสาน ชาวเมืองขับร้องคลอไปกับราชา "จากกันไกลเพียงใด..."

"ใจเรารวมเป็นหนึ่งเดียวเสมอ..."

ราชาหนุ่มเคลื่อนไหวช้าลง เป็นสัญญาณสิ้นสุดบทเพลง "จากกันไกลเพียงใด..." เรจินาละมือออกจากพิณ เฝ้ามองอีกฝ่ายด้วยความชื่นชม และรับฟังคำสุดท้ายจากราชา "เราจะกลับมาพบกันตลอดไป..." ประชาชนเฝ้ามองราชาของพวกเขาจากเบื้องล่าง หัวใจที่พองโตด้วยความตื้นตันยินดีมอบความสุขที่พวกเขารับวันรอคอย สร้างรอยยิ้มให้กับชาวเงือกผู้เคร่งขรึม ไม่เว้นแม้แต่เผ่าเพชฌฆาตที่ว่ากันว่าไม่เคยยิ้มเลย

ต่อให้รู้สึกเจ็บปวด แต่เวสเทียร์ก็ยิ้มให้กับราชาของเขาเสมอ...

--------------------------------------------------


อืมมม... ทอล์คของตอนนี้จะมีแต่การชวนดูคลิป 555

เป็นฉากที่เขียนยากสุดๆ เลย ฉากเล่นแสงจันทร์เนี่ย... เราควรมาฟังเพลงที่ชาวเซลทิคร้องกันก่อน (จริงๆ เนื้อนี่แต่งเอง แต่เราคิดว่าคงเป็นเพลงประมาณนี้ๆ << จะไปแปลเพลงเขามาใส่นิยายเรานี่ติดลิขสิทธิ์นะ 555) แต่แนวคิดของเหล่าสาวน้อย (ร่างใหญ่) วงประสานเสียงของอาณาจักรนี่ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากวง Celtic Woman เต็มๆ

ตอนแรกพวกนางจะร้องเพลงเปิด จะครึกครื้นสนุกสนานนิดนึง ก่อนที่จะให้วาฬร้องบ้าง เป็นการไกด์ทำนองให้ (แน่นอนว่าเสียงวาฬมันจะออกมาเป็นเพลงช้า) แล้วพี่เงือกก็จะคิดเนื้อร้องกันตอนนั้น ตอนที่ได้ยินเสียงเพลงครั้งแรกเลย (เป็นพรสวรรค์คล้ายๆ การร้องลิเกบ้านเรา //เดี๋ยวนะ---)

แล้วทำนองเพลงที่คิดไว้ก็ประมาณนี้... เพลง You raise me up

ต้องฟังถึงตอนท้ายๆ เพลงที่เป็นประสานเสียงหวานๆ แบบ... จะเขียนบรรยายยังไงดี มันหวานจนรู้สึกดี 555
https://www.youtube.com/watch?v=Yfwlj0gba_k

พอพวกสาวๆ ร้องจบ... ทีนี้ก็จะเป็นคราวของราชาบ้าง แต่เขาจะดีดพิณ และวาฬจะร้องด้วย ทำนองเดิม เนื้อเดิม (มันจำได้ไง เพิ่งร้องครั้งแรก) ถ้าใครนึกไม่ออกว่าเพลงเดิมแต่ผู้ชายร้องแล้วเป็นไง ...ให้ลองเวอร์ชั่นของ Josh Groban ดู
https://www.youtube.com/watch?v=aJxrX42WcjQ

คือ... เทศกาลเล่นแสงจันทร์นี่กะให้เป็นฉากประทับใจ (?) ฉากนึงของฝ่าบาทเรจินา แต่เขียนไปเขียนมา คือเหมือนเรจินาจะเห็นไคราห์นสวย... คือเหมือนนางจะมองพิจารณาผ่านแสงจันทร์ที่อาบไล้บนผิวหน้า ตอนแรกก็คิดว่าหล่อมาก แต่แล้วก็สรุปความได้ว่า ไคราห์นสวยกว่านาง!? (เดี๋ยววว...)

แต่ชอบที่มองตากับผ่านเส้นพิณ (อุบส์)

ส่วนเวสเทียร์นั้น... คือนางปลื้มฝ่าบาทมานานแล้ว จะให้ดราม่ากลางเทศกาลงี้ก็ทำไม่ลงหรอก (แต่ดราม่าแน่นอน---) เนื้อเพลงก็อบอุ่นดีนะ จริงๆมันคือความผูกพันธ์ระหว่างกันของพวกเขาที่ต้องกลับมาเจอกันปีละครั้ง... แต่ถ้าคิดดีๆ ก็จีบนิดนึง---

เวสเวส... เจ็บนะ แต่นี่ไม่ใช่เวลาเฮิร์ทอะ (สงสาร โถ่...)


เทศกาลเล่นแสงจันทร์ของเซลทิคจะเกิดขึ้นในช่วงต้นฤดูหนาวที่ฝูงวาฬจะอพยพลงใต้ (เซลทิคอยู่ไอร์แลนด์อะนะ) ซึ่งเป็นการพบปะกันสั้นๆ ของเงือกวาฬกับวาฬจริงๆ ซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มวาฬที่ลงมาจากทะเลอาร์คติก ซึ่งฤดูกาลในหัวของวาฬหลังค่อมอาจจะมี 2 ฤดู

นั่นคือฤดูร้อน-ฤดูหนาว

ฤดูร้อน >> เป็นฤดูหากิน... จงกิน และกิน...พวกมันจะไปหากินในเขตน้ำเย็น (ซึ่งจะเป็นขั้วโลกเหนือ or ใต้ก็ได้) ซึ่งเขตน้ำเย็นมีอาหารมากกว่า (เนื่องจากอุณหภูมิของน้ำ และแสงแดด ทำให้แพลงก์ตอนเกินเยอะกว่า) และจะสะสมไขมันอยู่เป็นเวลาประมาณ 7 เดือน (ฟังมาจาก Planet Earth) ก่อนที่จะเข้าสู่ฤดูหนาว

ฤดูหนาว >> เป็นฤดูจับคู่... พฤติกรรมการรวมฝูงของวาฬจะแตกต่างจากโลมา โลมาจะอยู่ด้วยกันเป็นฝูงใหญ่ เดินทางด้วยกัน หาอาหารด้วยกัน แต่วาฬนี่ไม่ใช่... พวกมันไม่ค่อยรวมตัวกันบ่อยๆ แต่อาจจะไปไหนมาไหนด้วยกันถ้าต้องทำงานเป็นทีม (ไว้จะพูดถึงเทคนิคการล่าแบบ Bubble net feeding เป็นการต่อไป) การรวมกลุ่มของวาฬคือมักจะมาผสมพันธุ์ และตัวเมียจะเป็นฝ่ายเลี้ยงลูก

วาฬจะอพยพลงมาในเขตน้ำอุ่นซึ่งใกล้เส้นอิเควเตอร์ เพราะเป็นเขตที่ปลอดภัยกว่า น้ำตื้นกว่า และไม่ค่อยมีนักล่า (นักล่าที่พี่ค่อมกลัวก็น่าจะเป็นออร์ก้านี่ล่ะ) แต่ปัญหาของเขตน้ำอุ่นนี้ก็คือ... มักจะไม่มีอาหารให้กิน พวกมันจะเลี้ยงลูกอ่อนอยู่เป็นเวลาประมาณ 5 เดือน (ก็ฟังมาจาก Planet Earth เหมือนเดิม) ก่อนจะอพยพขึ้นเหนือ(หรือลงใต้)กลับไปในเขตน้ำเย็นเพื่อหาอาหาร

ปล. จริงๆที่ได้ชื่อว่า humpback ไม่ใช่เพราะมันหลังค่อม แต่มันเป็นวาฬที่มุดดำน้ำแล้วก้นโด่งกว่าประเภทอื่น 555
https://www.youtube.com/watch?v=o767PuYbEXg

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนที่ 12.1

ฝ่าบาทไคราห์นขึ้นครองบัลลังก์เมื่อมีอายุได้สิบแปดปี การปรากฎตัวต่อสาธารณชนครั้งแรกของเขาสร้างความตกตะลึงให้กับประชาชน พวกเขาเคยได้ยินเพียงเรื่องราวผ่านเรื่องเล่าข่าวลือด้วยลมปาก เกี่ยวกับองค์ชายรัชทายาทแห่งเซลทิคผู้แตกต่างไม่เหมือนใครในราชวงศ์ แต่ก็เพิ่งได้ประจักษ์ด้วยตาตนเองในวันนี้

เงือกราชวงศ์เซลทิคมีท่อนหางสีดำเช่นเดียวกับเรือนผม แม้ผิวพรรณจะไม่ได้เข้มอย่างพวกเผ่าเพชฌฆาตแต่ก็ไม่ได้ขาวเผือดราวแสงจันทร์ อีกทั้งดวงตาก็มักเป็นสีควันหรือสีดำ หาใช่สีฟ้าลุ่มลึกที่เปี่ยมด้วยพลังดึงดูด แม้จะมีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ แข็งแกร่งสมกับเป็นนักรบ อีกทั้งรูปหน้าคมเข้มที่ละม้ายคล้ายราชาองค์ปัจจุบันของพวกเขา รวมทั้งพลังแห่งราชวงศ์ที่ไม่ได้บกพร่องแต่อย่างใด แต่อึดใจแรกที่ได้เห็นราชาองค์ใหม่ ประชาชนกลับรู้สึกหวั่นเกรง

นี่ไม่ใช่ราชวงศ์เซลทิคที่พวกเขารู้จักนับถือ แม้จะแตกต่างกันเพียงแค่สีผิว แต่เท่านั้นก็มากพอที่จะให้เกิดความคลางแคลงสงสัย โดยส่วนมากแล้ว ทายาทของเงือกที่สมรสข้ามเผ่ามักจะได้ลักษณะตามบิดา แต่นั่นก็เป็นเพียง 'ส่วนมาก' เท่านั้น ยังมีส่วนน้อยอยู่บ้าง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเสียทีเดียว

พระชายาเอกผู้เป็นพระมารดาขององค์ชายไคราห์นเองก็เป็นญาติห่างๆ ของราชาองค์ปัจจุบัน จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าสายเลือดราชวงศ์เซลทิคอันเข้มข้นพระชายาเอกจะทำให้องค์ชายเกิดมาเป็นเงือกวาฬ ทั้งที่บิดาอาจจะไม่ใช่เผ่าวาฬ

...ไม่ใช่ราชาแห่งเซลทิค

เพราะราชวงศ์เซลทิคไม่เคยมีผู้ใดมีผิวพรรณเช่นนี้!

แต่ครั้งแรกที่เวสเทียร์ได้เห็นราชาองค์ใหม่ เขาก็เกือบจะลืมหายใจ ราชาผู้อยู่บนบัลลังก์อาจจะแตกต่างจากเชื้อพระวงศ์คนอื่น แต่นั่นก็ไม่ใช่ความแตกต่างที่เสียหาย ผิวพรรณที่ผุดผาดจนมองเห็นเส้นเลือดเบื้องใต้กลับดูสวยสง่า ทั้งท่อนหางสีขาวเผือดที่แข็งแรงทรงพลัง ใบหน้าคมคายล้อมกรอบด้วยเส้นผมสีเดียวกันพลิ้วไหวตามกระแสน้ำ แพขนตาสีอ่อนช่วยขับดวงตาซึ่งเปี่ยมไปด้วยพลังดึงดูด จมูกโด่งเป็นสันสวยงามรับกับริมฝีปากบางที่เปล่งน้ำเสียงอันทรงพลังและตราตรึง

เท่านี้ยังสง่างามไม่พออีกหรือ... เช่นนั้นแล้วจะยังมีผู้ใดเหมาะสมกับคำนี้อีกเล่า

"เจ้าไม่ควรมองฝ่าบาท เวสเทียร์" มารดาของเขากระซิบบอกที่ข้างหู พวกเขาอาจมีสิทธิ์เงยหน้าขึ้นมองราชาได้ในยามนี้ แต่ก็เพียงแค่ชั่วครู่ชั่วคราวเท่านั้น อึดใจต่อมา เวสเทียร์ในวัยสิบเอ็ดขวบก็ต้องก้มหน้าลงทำความเคารพราชา แต่ก่อนที่จะถอนสายตาจากผู้นำคนใหม่ได้ เขาก็เหลือบไปเห็นองครักษ์คนสนิทผู้อยู่เคียงบัลลังก์ ซึ่งมีตำแหน่งเป็นถึงผู้นำเผ่าเพชฌฆาตด้วย

"ท่านแม่ ท่านซินเธียร์อายุมากไปหรือเปล่า"

เวสเทียร์หมายถึงองครักษ์คนสนิทของราชาองค์ก่อน ผู้ทำหน้าที่นักรบข้างกายได้อย่างดีไม่มีขาดตกบกพร่อง และเมื่อราชาสละบัลลังก์ นางเงือกเผ่าเพชฌฆาตผู้สาบานต่อราชวงศ์ก็ต้องดูแลราชาองค์ใหม่ต่อไปแม้ว่านางจะมีอายุถึงแปดสิบสามปีแล้วก็ตาม

ชาวเงือกสามารถมีชีวิตได้ยืนยาวถึงหนึ่งร้อยยี่สิบปี ดังนั้นในวัยแปดสิบปีจึงยังไม่แก่เสียทีเดียว

แต่ซินเธียร์ก็มีอายุมากที่สุดในบรรดาองครักษ์ด้วยกัน

"นางจะอยู่ในหน้าที่จนถึงอายุเก้าสิบปี หากไม่ตายเสียก่อน และหลังจากนั้นจึงจะมีการประลองหาผู้นำคนต่อไป ซึ่งนั่นหมายถึงองครักษ์คนใหม่ของฝ่าบาทไคราห์นด้วย" มารดาของเขาตอบ "พ่อของเจ้าก็เล็งตำแหน่งนี้อยู่ เหลือเวลาให้เตรียมตัวอีกเจ็ดปีเท่านั้น"

"ท่านแม่..." เด็กชายหันไปหามารดา "หากข้าอยากจะ... ร่วมประลองด้วย"

สายตาของคนพูดแน่วแน่ และดูจะเป็นความฝันลมๆ แล้งๆ ของเด็กตัวเท่านี้ แต่มารดาก็ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน "ไปถามพ่อของเจ้าสิ... ส่วนข้า... แน่นอนว่าอนุญาตอยู่แล้ว"

...อีกเจ็ดปีต่อมา เผ่าเพชฌฆาตก็ได้เวสเทียร์มาแทนผู้นำคนเก่าซึ่งเกษียณอายุ


--------------------------------------------------

"หนึ่งร้อยปีพอดี..."

อดีตผู้นำเผ่าเพชฌฆาตอยากจะสูดหายใจลึกๆ สักครั้งหนึ่ง แต่ด้วยความขี้เกียจขี้คร้านจะว่ายขึ้นไปสูดอากาศจึงทำได้เพียงกุมขมับ "อายุป่านนี้แล้วเจ้าคิดว่าลูกสาวข้าจะอายุสักเท่าไหร่กัน สิบห้าปีอย่างนั้นรึ เลสซีย์" นางเงือกอาวุโสมุ่นคิ้ว ก่อนจะหันไปทางนางเงือกอีกคนข้างกายที่มีอายุเท่าๆ กับเลสซีย์

...สี่สิบสามปี

"นี่หลานสะใภ้ข้า และหากเจ้าหมายถึงแม่หนูธีราล่ะก็..." ซินเธียร์ยกนิ้วขึ้นนับ เพื่อลำดับญาติให้ถูกต้อง "เหลนข้า" เลสซีย์ลองมาทาบทามเงือกสาวที่ชื่อธีรา ซึ่งมีอายุเพียงสิบหกปี ด้วยได้ยินว่านางเกี่ยวดองกับตระกูลของซินเธียร์ อดีตผู้นำเผ่าเพชฌฆาต อีกทั้งยังเป็นเด็กสาวที่มีความสามารถโดดเด่น

นางเงือกผู้นำหน่วยลาดตระเวนแลบลิ้นกับตัวเองเล็กน้อย "ขออภัยท่านซินเธียร์"

"พวกผู้หญิงที่ไม่เคยแต่งงานนี่นะ ไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยจริงๆ!" ซินเธียร์สบถ "จริงอยู่ว่าเวสเทียร์โตพอที่จะแต่งงานมีคู่ครองได้แล้ว แต่ธีราก็ดูจะเด็กไปหน่อยสำหรับเขาไม่ใช่รึ" นางเงือกเหลือบมองหลานสะใภ้ของตนเป็นเชิงถาม "เจ้าเป็นแม่ของนาง เจ้าน่าจะตัดสินใจได้ดีกว่าข้า"

"ท่านซินเธียร์ก็ว่าไป... พวกเขายังไม่เคยพบกันเลยสักครั้ง" คนเป็นแม่หัวเราะ "หากให้ลองพบกันบ้างอาจจะทำให้เราตัดสินใจอะไรได้ง่ายขึ้น เวสเทียร์เองก็เป็นคนเก่ง อีกทั้งยังเป็นบุรุษรูปงามที่สุภาพอ่อนโยน ข้ามิได้ขัดข้องหากเขาจะถูกตาต้องใจธีรา แต่ก็หวังว่าธีราจะชอบพอเขาด้วยเช่นกัน"

"เช่นนั้นคงต้องพาให้มาดูตัวสักครั้งกระมัง" เลสซีย์เสนอ

"จะมีเวลาใดเหมาะสมอย่างนั้นหรือ" ซินเธียร์มุ่นคิ้ว "เขาเป็นถึงองครักษ์คนสนิทของฝ่าบาท และข้ารู้ดีว่าเขาไม่มีเวลาปลีกตัวออกมาจากหน้าที่นั่นหรอก ยกเว้นตอนล่าอาหารเช้า" เมื่อนึกย้อนไปถึงอดีตของตนเอง ซินเธียร์ก็ทอดยิ้มออกมา "หรือจะมีอีกทางเลือกก็คือให้แม่หนูธีราเอาปลาไปฝากเขาทุกวัน"

...นั่นเป็นวิธีที่สามีของนางเคยใช้มาก่อน และได้ผลดีเสียด้วย

ซินเธียร์ยิ้มกริ่มกับตัวเองเมื่อนึกถึงความมีเมตตาของราชาองค์ก่อนที่อนุญาตให้นางแต่งงานกับชายที่นางรักได้ อีกทั้งยังสามารถมีบุตรได้อีกด้วย และราชาองค์ก่อนก็โปรดบุตรสาวของนางมากเช่นกัน

"แต่ว่า... ฝ่าบาทไคราห์นดูจะไม่ใจดีสักเท่าไหร่ การทำแบบนั้นจะไม่ถูดเอ็ดเอาหรือ"

"ฝ่าบาทไม่ก้าวก่ายชีวิตของเวสเทียร์หรอก" ซินเธียร์ว่าไปตามที่รู้สึก ก่อนที่อีกฝ่ายจะขึ้นครองบัลลังก์ นางก็พอจะได้พบปะ พูดคุยและรู้นิสัยของราชาคนนี้อยู่บ้าง และต่อให้เขาจะดูเคร่งขรึม ไม่ยิ้มแย้ม หรือพูดจาให้มากความ แต่ไคราห์นก็มีเมตตา และเข้าอกเข้าใจผู้อื่นเสมอ

"อีกอย่าง... ฝ่าบาทก็ดูจะมีความรักอยู่ด้วย ทุกอย่างในโลกนี้คงจะสวยงามไปเสียหมด"

เหล่านางเงือกหัวเราะคิกคักร่วมกัน "เช่นนั้นพรุ่งนี้ก็ลองดูแล้วกัน"

--------------------------------------------------

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนที่ 12.2

สำหรับชาวเงือกแล้ว สร้อยคอมุกคือของขวัญที่แทนคำหมั้นหมาย

และแน่นอนว่ามุกเจ็ดคาบสมุทรเป็นสิ่งที่มีมูลค่ามากพอที่จะกำนัลราชินีต่างเมือง แต่นั่นกลับไม่ใช่สิ่งที่ฝ่าบาทไคราห์นคิดจะทำในตอนนี้ ชายหนุ่มนอนอยู่บนแท่นประทับของตน และทอดมองกล่องใส่สร้อยมุกเส้นนั้นซึ่งเป็นสมบัติของราชวงศ์เซลทิค

อาโกรนาห์เอามาให้เขาเมื่อครู่นี้ พร้อมกับทิ้งท้ายวด้วยคำว่า 'เผื่อ'

ผิวน้ำกระเพื่อมไหวเล็กน้อยทำให้ราชาหนุ่มรีบปิดกล่องและซ่อนไว้ด้านหลังตนด้วยท่าทางลุกรนผิดธรรมดา เวสเทียร์เพิ่งกลับมาจากการล่า เขาขยับกายเข้ามาประจำที่ของตนโดยไม่พูดอะไร แม้จะสังเกตได้ว่าราชาหนุ่มดูมีพิรุธก็ตาม

แต่นั่นไม่ใช่ธุระขององครักษ์อย่างเขา

ฝ่าบาทรู้สึกคันคอจึงได้กระแอมเบาๆ ดูเหมือนว่าเมื่อคืนที่ผ่านมาเขาจะใช้เสียงมากไป

"ฝ่าบาท..." เวสเทียร์เรียกเป็นเชิงถาม "รู้สึกไม่ดีหรือขอรับ" หากเป็นเงือกทั่วไป เมื่อเกิดความรู้สึกไม่สบายก็มักจะไปตามเงือกอาวุโสมาดูอาการป่วย แต่สำหรับราชวงศ์เซลทิคแล้ว พวกเขามีพลังในเยียวยาตนเอง ดังนั้นหมอจึงไม่จำเป็น

"คันคอนิดหน่อย" ร่างสูงกลืนน้ำลาย "คงจะไม่ได้ร้องเพลงมานาน"

แม้จะมีน้ำเสียงที่ทรงพลัง แฝงด้วยความอ่อนโยนนุ่มนวลน่าฟังสักเพียงใด แต่ด้วยนิสัยส่วนตัวและปัจจัยหลายอย่างทำให้ฝ่าบาททะเลเหนือไม่ได้ร้องเพลงบ่อยนัก "แม้มันจะเป็นสิ่งเดียวที่ประชาชนชื่นชอบเกี่ยวกับตัวเราก็เถอะ" ราชาหนุ่มแค่นหัวเราะ และเหยียดกายนอนอยู่บนแท่นหินที่ประทับอย่างนั้นโดยไม่มีทีท่าจะออกไปหาใครอย่างที่เคยทำ

เวสเทียร์อยากถามเหตุผลเหลือเกินว่าทำไม...

ถึงแม้จะรู้สึกยินดีที่ฝ่าบาทไม่ออกไปก็ตาม

"เจ้าชอบบทเพลงของปีนี้ไหม" ราชาหนุ่มเองก็ตอบไม่ได้ว่าเหตุใดเขาจึงไม่อยากออกไปพบเรจินา ทั้งที่การทำแบบนี้อาจเรียกได้ว่าเสียมารยาท อีกทั้งยังเป็นการตัดสินใจที่ดูจะใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล อันเป็นการกระทำที่ไม่ต่างจากเด็กตัวเล็กๆ ที่แยกแยะอะไรไม่ได้

แต่เหตุการณ์เมื่อคืนนี้... ทำให้เขารู้สึกผิดต่อเวสเทียร์เหลือเกิน

รู้สึกผิดจนตำหนิตัวเองมาจนถึงตอนนี้ ว่าเขาไม่ควรหยั่งเชิงราชินีเรจินามากกว่านั้น เพราะหากพระนางคิดจริงจังขึ้นมา ไคราห์นก็ไม่แน่ใจว่าเขาควรจะจัดการกับความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเวสเทียร์ได้อย่างไร

"กระหม่อมชอบทุกบทเพลงขอรับ" นี่เป็นคำตอบที่ฝ่าบาทคาดเดาได้ อีกทั้งยังแข็งทื่อไร้อารมณ์และความรู้สึกสมกับเป็นคำพูดขององครักษ์คนสนิท แต่เวสเทียร์ก็นึกภาวนาอยู่ในใจให้ฝ่าบาทเชื่อคำพูดของเขาบ้าง

เขาชอบทุกบทเพลงของฝ่าบาท

เขาชอบทุกอย่างที่เป็นของฝ่าบาท... และนั่นคือความจริง

แต่ในสายตาของไคราห์น เวสเทียร์เพียงแค่ทำตามหน้าที่ของเขาในฐานะทาสผู้ซื่อสัตย์และภักดีที่พร้อมจะสนับสนุนทุกอย่าง และอยู่เคียงข้างทุกเวลา

ราชาหนุ่มเก็บความรู้สึกผิดเอาไว้ และสูดหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่งก่อนขยับตัว

"ฝ่าบาท..." ร่างโปร่งหลุดปากเรียก "จะไปพบราชินีเรจินาหรือขอรับ" ใจด้านหนึ่งของเวสเทียร์ถาม แต่ใจอีกด้านก็อยากตบปากตัวเองที่กล้าเอ่ยออกไป มันไม่ใช่ธุระของเขา มันไม่ใช่เรื่องของเขาเลยสักนิด ในตอนนี้ข่าวลือก็แพร่สะพัดไปทั่วอาณาจักร ไม่ว่าผู้ใดก็ยินดีกับความสัมพันธ์อันก้าวหน้าของราชาและราชินีต่างเมือง ประชาชนให้ความสนใจ และคาดหวังในตัวราชา

คงมีเพียงเขาคนเดียวในเซลทิคที่ไม่อาจยินดีไปกับมันได้ ...เขาควรจะทัดทานอะไรอย่างนั้นหรือ

เขาผิดตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือไร

"ไม่อยากให้ไปรึ" เสียงทุ้มถามกลับ นัยน์ตาสีน้ำเงินมองคนตรงหน้าอย่างพิจารณา

ไม่อยาก... ไม่เลยสักนิด... ไม่ต้องการให้ฝ่าบาทไปไหนทั้งนั้น

"ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับ" เวสเทียร์บังคับน้ำเสียงของตนไม่ให้สั่นขณะพูด "องค์ชายเร็กซ์ออกไปกับเวทอร์ส เพื่อไปดูการล่าของวาฬหลังค่อม กระหม่อมเห็นว่าราชินีเรจินาเองก็ไปกับพวกเขา" นั่นคือความจริง เมื่อเวทอร์สขอเข้าพบองค์ชายเร็กซ์ และถามว่าเขาอยากชมการล่าของวาฬหลังค่อมหรือไม่ ผู้ติดตามแห่งมารินาการ์ดไม่รีรอที่จะตกลง รวมทั้งตัวราชินีอีกเช่นกัน

"แล้วองครักษ์คนอื่นตามไปด้วยหรือเปล่า" ไคราห์นถาม ความคลางแคลงสงสัยในเจตนาของเวสเทียร์แปรเปลี่ยนเป็นความเป็นห่วงในตัวอาคันตุกะ "เหตุใดเจ้าจึงไม่รายงานเราแต่เนิ่น"

"กระหม่อมขออภัย" เวสเทียร์ก้มหัว "กระหม่อมส่งองครักษ์ติดตามไปแล้วขอรับ"

เขาไม่รายงานเพราะอะไร... เวสเทียร์ไม่กล้าตอบเพราะเกรงว่าเหตุผลของเขาจะเหลวไหลเกินทน

ทั้งที่เขาไม่ควรให้สิ่งเหล่านี้มาสั่นคลอน ทั้งที่เขารู้ดีว่าเป็นความผิดของตัวเองที่เผลอไผล ทั้งที่เขาเข้าใจทุกอย่าง แต่เหตุผลทั้งหมดทั้งมวลกลับไม่อาจเอาชนะอารมณ์เหล่านี้ได้เลย

ในบางครั้ง... ความฝันที่แสนหวานก็เนิ่นนานจนยากที่จะตื่นจากมัน

แต่เขาจะทนอยู่กับความจริงอันโหดร้ายนี้ไปได้อีกนานเท่าใดหนอ

'กระหม่อมถวายแล้วซึ่งชีวิต... ต่อฝ่าบาทไคราห์นแห่งเซลทิคเท่านั้น'

นี่คือคำมั่นที่เขาเคยให้ไว้ในวันแรกที่รับตำแหน่งผู้นำเผ่าเพชฌฆาต และองครักษ์คนสนิทของราชา เวสเทียร์ตั้งใจจะยึดมั่นในคำกล่าวนั้นตลอดไป และตลอดเวลาสิบปีที่ผ่านมา ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่เวสเทียร์คิดว่าเขาจะผิดคำสาบานนั้น มาจนถึงวันนี้... ที่เขาอยากไปจากอีกฝ่ายให้ไกลเหลือเกิน

ช่วยส่งกระหม่อมไปให้ไกลจากฝ่าบาทได้ไหม...

แต่หากทำเช่นนั้นจริง กระหม่อมก็คงทนไม่ได้อยู่ดี เพราะใครจะปกป้องฝ่าบาทได้ดีไปกว่าอีก


"สีหน้าเจ้าไม่สู้ดี..." เวสเทียร์หลับตาลง เมื่อฝ่ามืออุ่นของราชาสัมผัสเสี้ยวหน้าของเขา "ไม่สบายรึ" หากเป็นเช่นนั้นจริง เพียงแค่สัมผัสเท่านี้ พลังแห่งราชวงศ์เซลทิคก็สามารถทำให้หายป่วยได้แล้ว ดังนั้นนี่จึงเป็นวิธีการรักษาของฝ่าบาทไคราห์นที่น้อยคนนักจะเคยได้สัมผัสมัน

เวสเทียร์ยินดีที่ตนเป็นหนึ่งในนั้น... แต่ราชินีเรจินาก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยเช่นกัน

เหลืออีกเพียงไม่กี่ประการเท่านั้นที่เขายังมีเหนือราชินีต่างเมือง แต่ก็มีหลายสิ่งที่เขาไม่เคยได้รับจากฝ่าบาทเลย เขาเคยฝันอยากให้ฝ่าบาทร้องเพลงให้เขาฟังบ้าง อย่างเช่นที่อีกฝ่ายทำเมื่อคืนนี้ อยากพูดคุยสนุกสนานหัวร่อต่อกระซิกบ้าง อย่างเช่นที่อีกฝ่ายทำในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

และสิ่งที่สูงค่าเกินกว่าจะฝัน... เขาอยากได้รับความรักบ้าง

...แต่นี่ก็เป็นฝันที่มาไกลเกินกว่าที่ควรจะเป็นมากพอแล้ว

"กระหม่อมไม่เป็นอะไรขอรับ"

"หากเจ้ากล่าวว่า 'เป็นอะไร' ขึ้นมา เราเกรงว่าจะเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ" ไคราห์นจำได้ว่าเขาเคยพูดแบนี้กับอีกฝ่ายเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งตอกย้ำถึงความห่างเหินและช่องว่างระหว่างพวกเขา แม้จะได้ชื่อว่าเป็นราชาและองครักษ์ที่ใกล้ชิดกันมากที่สุดก็ตาม

...อย่าให้เป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาจริงๆ จะได้ไหม

ราชาหนุ่มถอนใจ ดึงมือของตนกลับมา และขยับยกหางยาวลงจากแท่น "ฟาล..." ราชาหนุ่มเปลี่ยนระดับเสียง เรียกหาเลขาอาวุโส ก่อนจะเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจเมื่อพบว่าเขาต้องเรียกอีกฝ่ายซ้ำสองอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน "ฟาล อยู่แถวนี้หรือเปล่า" ครั้นเวสเทียร์จะอ้าปากอาสาไปตามเลขาคนสนิท ฟาลก็โผล่ขึ้นมาพร้อมกับอาการหอบ บ่งบอกได้รีบบึ่งมาสุดกำลัง

"มีเรื่องอะไรหรือเปล่า ดูเจ้ารีบร้อน..."

"ขออภัยฝ่าบาท กระหม่อมมัวแต่คอยฟังข่าวของหน่วยลาดตระเวน" เลขาค้อมหัวลงแสดงความเคารพ ก่อนจะเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ที่ประทับ "องครักษ์คนสนิทของราชินีมารินาการ์ดเดินทางมายังเซลทิคขอรับ" ราชาหนุ่มเลิกคิ้วขึ้น ด้วยเพิ่งนึกออกว่าราชินีเรจินาไม่มีองครักษ์คนสนิทติดตามมาด้วย ทั้งที่เป็นเรื่องน่าแปลกสำหรับชนชั้นปกครอง อาจเป็นไปได้ว่าราชินีได้ฝากฝังให้ชายาขององค์ชายเร็กซ์และองครักษ์ของตนช่วยดูแลอาณาจักรให้ชั่วคราว ระหว่างที่พระนางพำนักอยู่ที่นี่

...ช่างชื่อมั่นในความภักดีของคนใต้ปกครองเสียเหลือเกิน

"อาณาจักรไรห์วาทางตอนใต้ต้องการส่งทูตเข้าพบราชินีเรจินาขอรับ"

"ไรห์วา..." ไคราห์นมุ่นคิ้ว "เงือกฉลามรึ"

หากเงือกวาฬเป็นเผ่าที่แข็งแรงที่สุด เงือกฉลามก็นับว่าเป็นเผ่าที่ดุดันที่สุดเช่นกัน "เหตุใดมารินาการ์ดจึงไม่ส่งข่าวมาก่อน" ฝ่าบาทเพิ่งตระหนักได้หลังจากถามออกไปแล้วว่าพวกมารินาการ์ดไม่มีการส่งสัญญาณด้วยคลื่นเสียงอย่างที่ชาวเซลทิคทำ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถส่งข่าวในระยะไกลได้ "เรียกคาดันน์กลับมา..."

คาดันน์เป็นวาฬที่สนิทสนมกับเงือก และเงือกที่มันสนิทสนมด้วยในตอนนี้ก็คือองค์ชายเร็กซ์แห่งมารินาการ์ด

"แต่เช่นนั้นก็แปลว่า... ฝ่าบาทเรจินาจะต้องเดินทางกลับไปยังมารินาการ์ด" การคาดเดาของราชาทำให้คนฟังอย่างเวสเทียร์โล่งใจขึ้นมา แต่ก็อดลำบากใจไม่ได้เช่นกัน ในขณะที่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่กำลังเป็นไปด้วยดีเช่นนี้ หากราชินีเดินทางกลับไป ประชาชนชาวเซลทิคจะคิดอย่างไร

"เกรงว่าจะเป็นเช่นนั้น..." ฟาลตอบ "กระหม่อมขอตัวลงไปพบองครักษ์จากมารินาการ์ด"

"เราจะลงไปเอง" ราชาหนุ่มขยับกายกลับลงไปในน้ำ ว่ายนำกลับไปยังพระราชวังที่ก้นทะเล และเมื่อราชาขึ้นประทับนั่งบนบัลลังก์ เหล่าองครักษ์ที่คอยดูแลก็หันมาค้อมตัวลงเคารพโดยพร้อมเพรียง เวสเทียร์ขยับกายไปอยู่เคียงข้าง และรอผู้มาเยือนจากต่างแดน

ม่านสาหร่ายพลิ้วไหวตามแรงน้ำน้อยๆ เปิดทางให้ผู้มาเยือนขยับกายผ่านเข้ามา ผมของอีกฝ่ายเป็นสีควัน รับกับดวงตาที่ดูว่างเปล่า ทว่าแฝงด้วยความลับมากมาย ร่างกายที่แข็งแรงกำยำบ่งบอกถึงชาติตระกูลและเผ่าพันธุ์ของเขา และสิ่งที่ทำให้ชาวเซลทิคประหลาดใจอย่างที่สุด นั่นก็คือหางฉลามสีอ่อนซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเผ่าฉลามขาว

...เผ่าฉลามขาวอย่างนั้นรึ

เวสเทียร์กำด้ามหอกยาวในมือแน่นขึ้นตามสัญชาติญาณ และมองดูผู้มาเยือนอย่างไม่ค่อยไว้ใจนัก แม้อีกฝ่ายจะจะค่อยๆ ค้อมหัวลงอย่างรู้มารยาทก็ตาม "กระหม่อม ฟาเบียง... องครักษ์คนสนิทของราชินีเรจินาแห่งมารินาการ์ดขอรับ" การมาถึงของเงือกฉลามที่มีขนาดตัวใหญ่พอๆ กับเงือกวาฬแห่งราชวงศ์เซลทิคอาจทำให้เผ่าเพชฌฆาตไม่รู้สึกสบายใจนัก แต่รอยยิ้มละมุนและกิริยานอบน้อมของฟาเบียงก็ทำให้เหล่าองครักษ์พอจะวางใจได้บ้าง

ไคราห์นทอดมององครักษ์หนุ่มอยู่สักพักขณะรอให้เขาพูดต่อ

"อาณาจักรไรห์วาได้ส่งทูตมาขอเข้าพบองค์ราชินี กระหม่อมจึงเดินทางมาที่นี่เพื่อแจ้งข่าวให้พระนางรับทราบ" ราชาหนุ่มรู้ในทันทีว่าฝ่าบาทเรจินาจะต้องเดินทางกลับมารินาการ์ด และอาจเป็นการเดินทางที่เร่งด่วนอีกด้วย

"ฝ่าบาทเรจินาออกไปชมวาฬกับองค์ชายเร็กซ์ อาจจะใช้เวลาสักพักหนึ่งกว่าจะเดินทางกลับมา"

ฟาเบียงเม้มปากอย่างครุ่นคิด และหักห้ามไม่ให้ตัวเองถามออกไปว่าเหตุใดราชาหนุ่มจึงไม่เดินทางไปพร้อมกันเพื่อดูแลแขกบ้านแขกเมืองด้วยตัวเอง แต่เขาควรจะเลี่ยงการสนทนาด้วยคำพูดแบบั้นจะดีกว่า "เช่นนั้น... กระหม่อมขอตัว..."

"ท่านองครักษ์เดินทางมาไกล" ไคราห์นเอ่ยขึ้นตัดบทของอีกฝ่าย "เชิญพักผ่อนที่นี่สักคืนหนึ่ง แล้วรุ่งเช้า..." ร่างสูงเว้นจังหวะพูดเพื่อไตร่ตรองคำสั่งของตนอีกครั้ง "เราจะให้วาฬเพชฌฆาตนำราชรถกลับมารินาการ์ด" ราชรถของมารินาการ์ดมักเทียมด้วยฝูงโลมา แต่ราชรถแห่งเซลทิคจะเทียมด้วยวาฬเพชฌฆาตซึ่งมีพละกำลังและความเร็วในการว่ายน้ำมากกว่า ดังนั้นการเดินทางกลับอาณาจักรมารินาการ์ดจะใช้เวลาน้อยลง แต่ก็อาจจะเพิ่มความเร็วจนน่าหวาดเสียวให้ราชินีผู้นำได้

แต่ฟาเบียงเป็นเพียงองครักษ์ จะไปกล้าขัดคำสั่งของราชาเงือกวาฬได้อย่างไร

ชายหนุ่มค้อมหัวลงอย่างนอบน้อม "ขอรับ ฝ่าบาท..."

แต่ทันใดนั้น คลื่นเสียงความถี่ต่ำที่ส่งผ่านผืนน้ำมาก็ทำให้เหล่าเงือกวาฬหันไปมองทิศเดียวกัน มันคือสัญญาณที่พวกเขาคุ้นเคย และรอคอยไม่ต่างจากการมาถึงของพวกวาฬหลังค่อม "วาฬเผือก..." ราชาเซลทิคขยับตัว ยกปลายหางใหญ่ลงจากแท่นวางเพื่อพาตัวเองว่ายออกไปจากถ้ำ และต้อนรับการมาถึงของอสูรทะเล ข้ารับใช้แห่งเทพท้องสมุทร

แม้จะได้ชื่อว่า 'วาฬเผือก' แต่อสูรทะเลก็ไม่ได้ขาวเผือดดังเช่นฝ่าบาทไคราห์น

ร่างกายที่ใหญ่โตยิ่งกว่าเรือรบลำใดของพวกมนุษย์เคลื่อนออกมาจากเงามืดของมหาสมุทร พร้อมกับคลื่นเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ และต่างจากการทักทายของฝูงวาฬหลังค่อม อสูรทะเลขยับเข้ามาเผชิญหน้ากับราชาแห่งเซลทิคที่ลอยตัวอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า และนิ่งสงบอยู่อย่างนั้นราวกับกำลังสื่อสารด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณที่ไม่มีใครเข้าใจ

ชนชั้นปกครองเท่านั้น... ที่จะพูดคุยกับอสูรทะเลได้

--------------------------------------------------

ธราฟัสการ์ หรือชุมชนของเหล่าเงือกในอดีต บัดนี้เป็นเพียงสถานที่ที่ถูกทิ้งร้างและไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปใกล้เนื่องจากความหวาดกลัวใน 'โรคระบาด' ที่เคยคร่าชีวิตผู้คนทั้งหมู่บ้าน แต่สำหรับซินเนย์วา จ่าฝูงหมาป่าแห่งนอร์เวย์ นางสัมผัสได้ว่าสถานที่แห่งนี้ยังมีคนคอยดูแลและใช้ประโยชน์จากมันอยู่

อีกทั้งยังไม่มีกลิ่นของ 'โรคระบาด' ใดๆ อีกด้วย

หมาป่าร่างยักษ์เดินมาตามถนนลูกรังที่มืดสลัวมีเพียงแสงสว่างจากดวงจันทร์ มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านร้างเพื่อจะเดินต่อไปตามทางซึ่งทอดยาวลงไปยังหาดเล็กๆ ที่เชื่อมต่อกับทะเล การเริ่มต้นจากหาดคงไม่ใช่ความคิดที่ฉลาด เนื่องจากนางไม่รู้ว่าควรจะว่ายน้ำไปทางใด เพราะไม่มีใครรู้เกี่ยวกับที่ตั้งที่แท้จริงของอาณาจักรเซลทิค

ไม่มีใครแน่ใจด้วยซ้ำว่ามันอยู่ใต้น้ำหรือบนบก

วาร์เรนสันนิฐานว่ามันอยู่บนบก เนื่องจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเผ่าเงือกวาฬที่ตัดขาดจากแผ่นดินไม่ได้ แต่ในละแวกนี้ก็ไม่มีสิ่งก่อสร้างอื่นใดอีก เช่นนั้นแล้วชาวเงือกจะไปอยู่ที่ใดได้นางเดินต่อไปยังผาใกล้ๆ กัน เพื่อจะหยุดมองท้องทะเลยามค่ำคืน

"กระผมไม่คิดว่าคนอย่างฝ่าบาทไคราห์นจะสะเพร่าปล่อยให้เราเข้าไปใกล้อาณาจักรของพวกเขาได้"

นั่นไม่ใช่เสียงพูด แต่เป็นพลังจิตที่สื่อถึงกันของหมาป่า ซินเนย์วาเหลือบมองไปยังข้างตัวเพื่อจะพบกับหมาป่าร่างยักษ์อีกตัวหนึ่งที่ติดตามนางมาด้วยในฐานะคนสนิท "หากเข้าไปใกล้มากเกินควร จะเป็นการเสี่ยงเปล่าๆ นะ นายหญิง"

จ่าฝูงคำรามในคอเบาๆ อย่างเห็นด้วย และมองออกไปนอกชายฝั่งอย่างไร้จุดหมาย

"โดยทั่วไปแล้ว... ชาวเงือกไม่ประมือกับแวมไพร์หากตนเองไม่อยู่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบ แต่จะไม่เผชิญหน้ากับหมาป่า ไม่ว่าในสถานการณ์ใดก็ตาม" ซินเนย์วาตอบ "พวกเขาไม่มีทางชนะ อีกทั้งพวกเราก็ไม่ใช่ศัตรูอีกด้วย" นางอยากรู้ที่ตั้งของอาณาจักรเซลทิค เพราะอย่างน้อยนางก็อาจจะช่วยดูแลให้ปลอดภัยได้

"นายหญิง..."

"มาเถอะ อังเดร" ซินเนย์วาเรียก นางออกเดินลัดเลาะไปตามแนวผาริมทะเล "อย่างไรเราก็ได้กลิ่นของพวกเขา คงไม่เข้าไปใกล้มากหรอก" กลิ่นกายของชาวเงือกมีเอกลักษณ์เด่นชัด และหากเปรียบเทียบในความเห็นของหมาป่าแล้ว พวกเขาก็เป็นอมนุษย์ที่หาตัวได้ไม่ยากนัก หากเดินปะปนกับผู้คนในเมือง

"นายหญิง!"

คนสนิทส่งเสียงเรียกด้วยความตระหนก เรียกให้จ่าฝูงสะดุ้งก่อนหันไปมอง และทันเห็นการเคลื่อนไหวของสัตว์ขนาดมหึมาที่โผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำพร้อมกับสะบัดร่างพลิ้วไหวและกระแทกลงบนผืนน้ำเบื้องล่าง ซึ่งนับเป็นการกระทำที่สร้างความสนุกสนานให้กับสัตว์จำพวกวาฬ

แต่แน่นอนว่าวาฬทั่วไปไม่มีขนาดใหญ่เท่านี้แน่นอน...

"อ... อสูรทะเลรึ!" หมาป่าตาโต ทั้งคู่มองหน้ากันไม่แน่ใจ แต่ก็ไม่อยากวิ่งออกไปในจุดที่ทำให้พวกเขาเห็นชัดกว่านี้ ซึ่งอาจหมายถึงอันตรายจากความไม่ระวังตัว "นั่นมันอสูรทะเลแน่ๆ ไม่มีวาฬตัวไหนใหญ่ขนาดนั้นหรอก!" สัญชาติญาณทำให้พวกเขาอยากออกวิ่งเพื่อติดตามวาฬยักษ์ มันโผกระโจนขึ้นเหนือน้ำอีกหลายครั้งในบริเวณเดียวกัน ซึ่งนั่นอาจหมายถึงที่ตั้งของอาณาจักรเซลทิค

พวกเขาอยากออกไปดูการเล่นแสงจันทร์ของอสูรทะเลใกล้ๆ

แต่อีกใจหนึ่งก็คอยเตือนว่าไม่ควรขยับไปไหน

"อังเดร..." ซินเนย์วาเริ่ม "ตามคนของเจ้ามาสมทบที่นี่ หากนั่นคือที่ตั้งของเซลทิค เราก็ควรจัดเวรยามคอยดูแลหน้าผาฝั่งนี้" ดวงตาสีเหลืองอำพันมองไปยังฝูงวาฬที่ว่ายเรี่ยผิวน้ำชมจันทร์อยู่ในทะเลที่ห่างไกล และยิ่งเบิกตาขึ้นเมื่อทันเห็นร่างของเงือกที่มีผิวขาวสว่างผุดผาดราวกับแสงจันทร์โผร่างขึ้นมาเหนือน้ำด้วย

"ฝ่าบาทไคราห์น..." มีเงือกเพียงตัวเดียวในโลกนี้ที่มีสีแบนั้น และนั่นคือราชาแห่งเซลทิค!

--------------------------------------------------


อสูรทะเล หรือ 'วาฬเผือก' เคยมีบทใน สัญญาสาปสมุทร นะ...

นางค่อนข้างสนิทกับเผ่าเงือกวาฬ (คนที่มีบทในตอนนั้นคือองค์หญิงเอสลินน์ ซึ่งเป็นน้องสาวคนเล็กของฝ่าบาทไคราห์น) อันนี้เลยขอเอานางมามีส่วนร่วมนิดนึง (ไม่นิดอะ ตัวใหญ่มาก...ตัวก่อเรื่องกลายๆ ด้วย) ถ้าใครไม่เคยอ่านก็... จะอธิบายว่า จริงๆ มันคือ Sperm Whale (วาฬหัวทุย) ขนาดยักษ์ในนิยาย Mody-Dick แหละ (ซึ่งนิยายเรื่องนั้นถูกเผยแพร่ในค.ศ. 1851) (ยุคสมัยในนิยายเรื่องนี้น่าจะค.ศ. 1860s) จะขอเล่าเกร็ดคร่าวๆ ละกัน

คือเหมือนคำว่า 'Moby' จะเป็นแสลงรึเปล่านะ... แปลว่าใหญ่-มหึมา... หรืออะไรประมาณนี้ (อันนี้ไม่รู้จริงๆ) แต่ dick เนี่ย... มันก็คือแสลง dick นี่ล่ะ ชื่อมันเลยอาจจะแปลว่า... ไอ้นั่นใหญ่ ฮา... และสาเหตุที่ชื่อเรียกทั้ง Sperm Whale ทั้ง Moby-Dick นี่ดูสัปดนมาก ก็น่าจะเพราะ...

(อันนี้ fact อ่านมาจากบทความ)

ที่มาชื่อของ Sperm Whale : มันเป็นวาฬที่มีรูปร่างดุ้นๆ (แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น) และในหัวของมันมีไขมันเยอะมาก (ถ้าข้อมูลในหนัง In the Heart of the Sea เชื่อถือได้ ก็น่าจะมีไขมันถึงตัวละประมาณ 50 บาเรล << อันนี้เราไม่เคยศึกษา เลยไม่แน่ใจตัวเลขนะ) ซึ่งไขมันอันนั้นเรียกว่า spermaceti หรือไขมันวาฬ แต่นักล่าในอดีตนู้นนนที่เป็นคนตั้งชื่อวาฬ... ไม่รู้ว่านั่นคือไขมันวาฬ หลังจากที่เห็นมันเป็นน้ำขาวๆ ขุ่นๆ ก็เลยคิดว่านั่นคืออสุจิ (sperm) มันจึงมีชื่อเหมือนเป็นวาฬโรคจิต(?)ที่มีอสุจิเต็มหัว (สงสารละเกิน) แต่ต่อมาเมื่อรู้ว่ามันเป็นน้ำมันที่ใช้งานได้ ก็เลยล่ากันใหญ่เลย...

(อันนี้เราสันนิฐานเอง)

ในเมื่อมันชื่อ Sperm Whale : ดังนั้น จึงเป็นที่มาของชื่อเรียก Moby-Dick เพราะมันตัวใหญ่ จึงกลายเป็น ไอ้xxใหญ่ (ก็ยังคงสงสารมันต่อไป) นี่จะตั้งชื่อให้มันดีๆไม่ได้เหรอ OTL

ต่อไปนี้เราจะเรียกเขาว่า พี่ทุย... (ฉันขี่ไอ้ทุยลุยทะเล~~)

พี่ทุยยาวประมาณ 18 เมตร... ตัวพอๆกับพี่ค่อมแหละ (โดยโครงสร้างแล้ว เราว่าพี่ทุยใหญ่ล่ำกว่า) แต่ว่า พี่ทุยเป็นวาฬประเภท tooth whale (ซึ่งพี่ทุยเป็นวาฬมีฟันขนาดใหญ่ที่สุดในโลก) แต่พี่ค่อมเป็นประเภท baleen whale แต่อย่าเพิ่งคิดว่าพี่ทุยจะกินพี่ค่อมไหม... คือพี่ทุยไม่กินวาฬนะ 555 ถ้าอิพวกวาฬที่กินวาฬด้วยกันก็เห็นมีพี่ก้านี่แหละ = =

พี่ทุยกินปลาหมึกเป็นอาหาร ซึ่งเป็น Giant Squid ซะด้วย... (แต่มีข้อสันนิฐานอยู่ว่านางกิน Colossal Squid ด้วย) ความสามารถพิเศษของพี่ทุยคือการดำน้ำ พี่แกสามารถกลั้นหายใจได้นานถึง 90 นาที และดิ่งลงไปถึงก้นทะเลได้ โดยไม่รู้ว่าอยู่ได้ยังไงกับความกดดันใต้ทะเลขนาดนั้น (แต่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ผิวหนังเขาต้องย่นๆ แบบนี้)



สำหรับในนิยายนี่... คิดว่าอสูรทะเลน่าจะเป็น Leviathan Melvillei ซึ่งเป็นวาฬดึกดำบรรพ์ (ใครดู Ice Age: Continental Drift มันก็คือตัวที่ชื่อ เพรเชียส นั่นแหละ << แต่มันไม่ใหญ่ขนาดอมแมมมอธได้หรอกนะ เพดานปากมันตื้น!!) ดูแล้วน่าเกรงขามกว่า ฟันใหญ่กว่า แต่ว่า... อิตัวนี้ดันเล็กกว่าพี่ทุยในยุคปัจจุบันอีก (โถ่) ก็เลย... ไหนๆ ก็นิยาย ช่างมันเถอะ ของใหญ่ๆ เว่อร์ๆ ด้วยนะ (อ้าว 555)

คือเราชอบความเรียลนะ... แต่หลายๆ ทีก็บอกตัวเองว่า... ช่างมันเถอะ ความเรียล 555

อสูรทะเลประประโยชน์ยังไง... จริงๆ เราก็ยกให้เขาเป็น Guardian ของโลกใต้ทะเลแหละนะ ซึ่งไม่ได้มีตัวเดียวแน่ๆ ฮา... จริงๆ ที่ให้พี่แกมาคือเพื่อชอตกระโดดนั่นชอตเดียวเลย (แล้วก็กลับไปนะลูกนะ ตัวใหญ่ เกะกะ---)



อ้ะ... เกือบลืม เรื่องแผนที่~~

แต่ยังไม่ได้วาด vector สวยๆให้อะ ขอเป็นแผนที่โลกบน Google Map ก่อนละกันนะ แฮะๆ



เอ้อ... ควรจะมีแผนที่บนบกด้วยสินาาา... เดี๋ยวจะงงว่าท่าบาร์ธีมอร์ หมู่บ้านธราฟัสการ์ อาณาจักรเซลทิค อะไรอยู่ตรงไหน ทำไมเจอธราฟัสการ์แล้วถึงไม่เขอเซลทิค... คืองี้ค่ะ มันอยู่คนละผากัน---



ออฟไลน์ goldentime

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
สนุกมาก ทรมานใจจัง

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
สนุกมาก

รักเกร็ดท้ายเรื่องด้วย

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนที่ 13.1

อสูรทะเลรักการเต้นรำมากกว่าร้องเพลงร่วมกันเพื่อสร้างความประทับใจ ดังนั้นค่ำคืนที่สองของเทศกาลเล่นแสงจันทร์จึงเป็นเรื่องของพละกำลังและเสียงดนตรี ซึ่งแน่นอนว่าการกระโดดโลดโผนโจนทะยานขึ้นจากน้ำบ่อยมากจนเกินไป ย่อมทำให้เหล่าเงือกวาฬหมดเรี่ยวหมดแรงกันไปตามๆ กัน รวมทั้งราชาแห่งเซลทิคด้วย

แต่ผู้นำเผ่าเพชฌฆาตไม่ได้ร่วมเต้นรำด้วย เวสเทียร์จึงไม่ต้องพักผ่อน

เวลานี่เป็นเวลาที่เขาควรออกไปล่า แต่หากฝ่าบาทไคราห์นยังไม่ตื่น เวสเทียร์ก็จะไม่ทิ้งหน้าที่ อีกทั้งมีเพียงแค่ช่วงเวลานี้เท่านั้นที่เขาสามารถมองใบหน้าของราชาผู้นำได้นานเท่าที่ต้องการ โดยไม่รู้สึกเบื่อหน่ายแม้แต่น้อย

ร่างโปร่งจรดยิ้มที่มุมปาก เมื่อนึกถึงอากัปกิริยาต่างๆ ของฝ่าบาทระหว่างหลับใหล อีกฝ่ายเคยละเมออยู่บ้างเป็นเสียงครางเครือในลำคอ และกรนเป็นบางครั้ง ในกรณีที่เหนื่อยมาก แต่วันนี้ฝ่าบาทคงจะไม่เหนื่อยสักเท่าไหร่ สังเกตได้จากลมหายใจสม่ำเสมอไม่ติดขัดอึกอักอย่างที่เคยเป็น

แล้วราชินีเรจินาจะเดินทางกลับมารินาการ์ดตอนไหนหนอ

เมื่อคืนที่ผ่านมา อีกฝ่ายก็ร่วมเต้นรำไปกับพวกวาฬด้วย อีกทั้งดูจะสนิทสนิมกับองค์หญิงเอสลินน์ตัวน้อยขึ้นมาเสียอย่างนั้น อีกทั้งองค์หญิงอาโกรนาห์ดูจะตั้งความหวังเอาไว้กับพี่ชายอย่างมากเลยทีเดียว เวสเทียร์มองไม่เห็นข้อเสียหากฝ่าบาทไคราห์นคิดจะจริงจังกับราชินีเรจินาขึ้นมา และอาจเรียกได้ว่ามีแต่ผลดีกับทั้งสองอาณาจักร

จะเหลือก็แต่ใจของเขาที่ไม่อาจยอมรับได้

หากฝ่าบาทเรจินาเดินทางกลับไปเสีย เวสเทียร์คิดว่ามันอาจจะยังพอยืดเวลาออกไปได้บ้าง องครักษ์หนุ่มไม่เคยคิดว่าตนเองอ่อนแอ แต่เขากลับต้องการเวลาในการทำใจยอมรับมัน ทั้งที่ตนไม่ใช่บุคคลสำคัญหรือมีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเรื่องนี้ก็ตาม

...ขอเวลาให้เขาได้บอกลาความทรงจำดีๆ เหล่านั้นได้ไหม

นัยน์ตาสีเข้มเหลือบไปเห็นกล่องไม้ใบหนึ่งที่วางอยู่ข้างแท่นประทับ มันถูกตกแต่งให้สวยงามด้วยเปลือกหอยและปะการัง เวสเทียร์จำได้ว่าเขาไม่เคยเห็นกล่องใบนี้มาก่อน จริงอยู่ว่าฝ่าบาทไคราห์นสวมเครื่องประดับอยู่บ้าง แต่ก็เป็นชิ้นเดิมที่เขาสวมใส่ประจำที่อยู่ในกล่องอีกใบ

หรือว่านั่นจะเป็นเครื่องประดับชิ้นใหม่ที่ได้รับบรรณาการมา

เวสเทียร์มุ่นคิ้วใส่ตัวเองเมื่อเขารู้สึกอยากเปิดกล่องดูเพื่อให้แน่ใจ และก่นด่าตัวเองที่คิดยุ่งเรื่องของผู้เป็นนาย ทว่าใจที่ไม่ค่อยรักดีสักเท่าไหร่ก็สั่งให้มือเรียวเอื้อมไปเปิดแง้มฝากล่องขึ้นอย่างเงียบเชียบ

สร้อยมุกเส้นหนึ่งปรากฎให้เห็นในสายตา และองครักษ์หนุ่มก็รู้ในอึดใจแรกว่ามันคือไข่มุกเจ็ดคาบสมุทรที่โด่งดัง เครื่องประดับที่สร้อยมุกเม็ดเล็กๆจำนวนมากเข้าด้วยกัน แต่จะมีเพียงเจ็ดเม็ดเท่านั้นที่ใหญ่กว่าเม็ดอื่น ซึ่งแต่ละเม็ดจะมีสีที่แตกต่างกันออกไป แต่สิ่งที่น่าตื่นตกใจกว่าความงามของไข่มุก นั่นคือความหมายของสร้อยคอ

ชาวเงือกจะมอบสร้อยคอให้แก่กันก็ต่อเมื่อพวกเขาตกลงปลงใจจะหมั้นหมายเท่านั้น

เวสเทียร์ถอยมือจากกล่องไม้ใบนั้น และหลับตาลง เบือนหน้าหนีเพื่อสงบสติอารมณ์ของตนเอง เงือกหนุ่มกลับไปประจำที่ของตน เก็บงำความรู้สึกเอาไว้ภายใต้สีหน้าเรียบเฉยที่เขาปั้นแต่งมันขึ้นมา เขาไม่อาจรู้สึกยินดีกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ แต่เวสเทียร์ก็คิดว่าอย่างน้อย... เขาก็ไม่คิดร้ายต่อฝ่าบาท

เขาเคารพ เทิดทูนอีกฝ่ายมาตลอด และจะรักต่อไปโดยไม่มีข้อแม้

...เวสเทียร์คิดว่ามันเป็นความสุขของเขา

ต่อให้คิดได้เช่นนั้น มือเรียวก็ค่อยๆ กำหมัด และขบฟันเข้าหากันแน่นอย่างสุดจะห้าม ทำไมมันจึงเจ็บปวดนัก ทั้งที่เตรียมใจยอมรับมาตลอด เขาไม่คิดว่าตนได้ครอบครองฝ่าบาท ไม่คิดว่าจะผูกมัดราชาแห่งเซลทิคเอาไว้ได้ และคิดว่าตนเป็นเพียงข้ารับใช้เท่านั้น

แต่วันนี้ เวสเทียร์พบว่าเขาหลอกตัวเองมาตลอด...

หลอกตัวเองต่อไปเถอะนะ... มันคงไม่ทรมานสักเท่าไหร่หรอก

ประสาทหูที่ว่องไวได้ยินเสียงบางอย่างที่ปากถ้ำที่ประทับ ดึงชายหนุ่มออกมาจากความเงียบที่กัดกินจิตใจ เวสเทียร์ลดตัวลงในน้ำ และเคลื่อนกายออกไปยังต้นเสียง จนพบว่ามันคือเสียงของการพูดคุยระหว่างนางเงือกตนหนึ่งกับองครักษ์ยามที่เฝ้าอยู่ด้านนอกสุดของถ้ำ

"ข้าเองก็ตอบไม่ได้ว่าท่านเวสเทียร์จะออกมาตอนไหน โดยทั่วไปแล้วก็จะคอยติดตามฝ่าบาทนั่นแหละ"องครักษ์ยามเอ่ยอย่างจนปัญหา และส่ายหัวให้กับเด็กสาวเผ่าเพชฌฆาตตนหนึ่งที่น่าจะมีอายุไม่ถึงยี่สิบปี "แล้วก็ห้ามตะโกนเข้าไปในถ้ำของฝ่าบาทด้วย คนที่เข้านอกออกในได้สะดวกก็คงจะมีแต่ท่านฟาลนั่นแหละ"

"มีเรื่องอะไรกัน"

เวสเทียร์เคลื่อนกายออกมา เหล่าองครักษ์ที่คุ้นเคยกับเสียงหัวหน้าเผ่าดีก็หันไปทำความเคารพด้วยการค้อมหัวลงช้าๆ "ท่านเวสเทียร์..." องครักษ์คนสนิทปรายตามองเด็กสาวที่เขาไม่ใคร่จะคุ้นหน้านัก และมองห่อของในมือของนางด้วยความสงสัยอยู่ครู่หนึ่ง

"เจ้ามาพบข้ารึ..."

นางเงือกเผ่าเพชฌฆาตช้อนตาขึ้นมองผู้นำของตน และนี่อาจเป็นครั้งแรกที่นางได้อยู่ใกล้อีกฝ่ายมากขนาดนี้ ทำให้เด็กสาวเบิกตาขึ้นด้วยความตื่นเต้น "ท่านเวสเทียร์..." นางเงือกคลี่ยิ้ม อันเป็นรอยยิ้มที่สดใสของเด็กสาว ก่อนที่แขนเรียวบางอันเต็มไปด้วยลวดลายประจำเผ่าจะยื่นออกมาพร้อมกับห่อของในมือ

...ซึ่งมันเป็นห่อที่ทำจากสาหร่าย

"ท่านทวดของข้าสั่งให้นำมาให้ค่ะ!"

เวสเทียร์มุ่นคิ้ว "ทวดเจ้าเป็นใครกัน" ผู้นำองครักษ์งุนงง ในขณะที่เด็กสาวก็ซื่อตรงเสียจนองครักษ์ยามทั้งสองถึงกับหลุดหัวเราะพรืดออกมาจนฟองอากาศหลุดลอยออกจากปาก "แล้วข้างในนั้นคือสิ่งใด" นัยน์ตาสีเข้มตวัดมองคนใต้บัญชาเป็นเชิงเอ็ด และไล่ให้พวกเขาขึ้นไปหายใจหรือไปให้พ้นตาเสีย

"ปลาค่ะ... เห็นว่าวันนี้ท่านเวสเทียร์ไม่ได้ออกไปล่ากับเผ่า"

เด็กสาวไม่ได้ตอบคำถามแรก นางยื่นห่อให้จนสุดแขน ขยับหางว่ายน้ำพยุงตัวเล็กน้อยเพื่อให้ตัวเองอยู่ในระดับสายตาของผู้นำเผ่า เวสเทียร์ยังคงเลิกคิ้วอยู่อย่างนั้นแต่ก็ตัดสินใจรับห่อสาหร่ายนั่นมา เขาพอจะเดาได้ลางๆ ว่าเหตุใดนางเงือกที่เขาไม่คุ้นหน้าคุ้นตามาก่อนจึงได้นำของมาให้เขาเช่นนี้

ท่านฟาลเองก็เคยพูดกลายๆ ว่าเขาควรจะแต่งงานมีภรรยาบ้างเหมือนกัน

แต่จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร ในเมื่อความสัมพันธ์ของเขากับฝ่าบาทไคราห์นเป็นเช่นนี้... แต่นั่นก็เป็นเพียงคำตอบในอดีต องครักษ์หนุ่มว่าในตอนนี้เขาก็คงใกล้จะหมดพันธะกับฝ่าบาทแล้ว และมันคงจะไม่ผิดอะไร หากเขาคิดจะมีภรรยาและทำหน้าที่ผู้นำเผ่าที่ดีบ้าง

มันอาจจะช่วยเยียวยาความรู้สึกเจ็บยอกในตอนนี้ก็เป็นได้

ฝ่าบาทยังไม่ถือสา... ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาเองก็ควรจะฝังความลับนั้นเอาไว้ไม่ให้ใครล่วงรู้ด้วยเช่นกัน และมันก็จะกลายเป็นเพียงความฝันที่ยาวนานถึงห้าปี

"เจ้าชื่ออะไรหรือ" น้ำเสียงของเวสเทียร์อาจไม่ทรงพลังหรือดึงดูดให้เคลิบเคลิ้มเท่ากับราชาแห่งเซลทิค แต่สำหรับนางเงือกวัยสิบหกปีผู้นี้ ผู้นำเผ่าของนางก็สง่างามน่าเกรงขามที่สุด เด็กหญิงยิ้มกริ่มกับตนเองเล็กน้อยด้วยความยินดีที่อีกฝ่ายไม่ได้ใจจืดใจดำ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มน่ารักสมวัยของนาง

"ธีรา... ค่ะ!"

เสเทียร์ส่งเสียง 'อ้อ' ในลำคอเบาๆ และเริ่มทบทวนความทรงจำ "หลานสาวของท่านซินเธียร์"

"เหลนค่ะ!" ธีรายิ้มขัน ก่อนจะพูดต่อด้วยความยินดีที่คนตรงหน้าไม่ปฏิเสธนาง "ข้าแล่ให้แล้วนะคะ" เวสเทียร์พิจารณาคนตรงหน้า ทั้งรอยยิ้มบนใบหน้าและน้ำเสียงอันสดใส ทำให้เขาคิดว่าแม่หนูน้อยผู้นี้ช่างน่ารักเสียเหลือเกิน องครักษ์หนุ่มยกมุมปากขึ้นยิ้มตอบ  และนั่นก็ทำให้ใบหน้าหวานโศกที่เรียบเฉยไร้อารมณ์ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง

"ขอบใจนะ..."

ธีรามองคนตรงหน้าตาไม่กะพริบ ก่อนจะเก็บมือของตนที่ยกค้างไว้ และพยายามอยู่ในท่าสงบสำรวม กระแสน้ำทำให้ผมของนางปลิวไหวจนเกือบจะเผยหน้าอกหน้าใจให้อีกฝ่ายเห็น เด็กหญิงรีบโกยผมยาวสีเข้มของตนมาไว้ด้านหน้าดังเดิม ก่อนจะค้อมหัวลงด้วยความประหม่า "ข... ข้าขอตัวก่อนนะคะ"

แต่เวสเทียร์กลับรั้ง "พรุ่งนี้จะมาอีกหรือเปล่า"

ใบหน้ามนแดงวาบ เด็กสาวก้มหน้างุดหมายจะแอบซ่อนความเคอะเขิน แต่ก็พึมพำตอบ "ถ้าท่านเวสเทียร์อยากให้มา..."

"อยากสิ"

การตอบโต้ที่ปราศจากความลังเลของผู้นำเผ่าเพชฌฆาตทำให้เด็กสาวยิ่งห่อตัวจนดูเล็กลงไปอีก ธีราช้อนตากลมโตของนางขึ้นมองอย่างไม่แน่ใจ และเมื่อเห็นรอยยิ้มที่ไม่ใคร่จะได้เห็นบ่อยนัก นางก็ยิ้มตอบด้วยความยินดี "เช่นนั้น... ข้าจะรีบมาหา..." นางเงือกชะงักก่อนจะเปลี่ยนรูปแบบการพูด "ข้าจะมารอ..." นางตะกุกตะกัก ด้วยเลือกไม่ได้ว่าควรจะพูดอย่างไรให้ดูเหมาะสมที่สุด นางไม่ควรมาพบผู้ชาย เป็นการไม่เหมาะสมนักหากนางจะเป็นฝ่ายเข้าหาอย่างโจ่งแจ้ง

"ข้าจะ..."

เวสเทียร์ยิ้มขันกับอาการเหล่านั้น ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียเอง "เช่นนั้น ข้าจะไปพบเจ้าเอง ดีไหม"

"ค่ะ!"

ผู้นำเผ่าทอดยิ้ม และมองนางเงือกว่ายจากไปจนลับสายตา เขาขึ้นไปหายใจบ้าง ก่อนจะกลับไปยังถ้ำที่ประทับด้านใน กลับไปสู่บรรยากาศที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่เมื่อคิดถึงใบหน้ายิ้มแย้มของนางเงือกเมื่อครู่นี้ เวสเทียร์ก็จรดยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยด้วยหัวใจที่อิ่มเอมขึ้น

มันอาจถึงเวลาแล้วจริงๆ ที่เขาจะต้องตื่นจากความฝัน...

"ไม่ไปคุยกันตรงทะเลเปิดเสียเลยล่ะ" น้ำเสียงทรงพลังที่คุ้นเคยทำให้องครักษ์หนุ่มสะดุ้งด้วยความตกใจ ทันทีที่โผล่หัวกลับขึ้นมา ราชาแห่งเซลทิคก็ทักทายด้วยน้ำเสียงที่ครุกรุ่นไม่พอใจ

"กระหม่อมละเลยหน้าที่ อีกทั้งรบกวนการพักผ่อน ขออภัยฝ่าบาท" เวสเทียร์ซ่อนห่อสาหร่ายไว้ด้านหลัง และค้อมหัวลงด้วยความรู้สึกผิด "เชิญฝ่าบาทลงทัณฑ์" ในฐานะองค์รักษ์คนสนิท เวสเทียร์ไม่ควรอยู่ห่างจากราชาของเขา ทั้งยังเป็นยามที่ฝ่าบาทพักผ่อนอีกด้วย ซึ่งนับว่าเป็นช่วงเวลาที่อันตรายที่สุด

ราชาเซลทิคค่อนขอดอยู่ในใจว่าเขาเคยลงมือกับเวสเทียร์สักกี่ครั้ง

ไคราห์นผ่อนลมหายใจช้าๆ ระบายความขุ่นเคืองออกไป เขารู้ดีว่าในฐานะผู้นำเผ่า ย่อมมีสตรีมากมายหมายปององครักษ์คนสนิท แต่ก็ไม่เคยเลยสักครั้งที่สตรีผู้นั้นจะกล้าเรียกองครักษ์ของเขาออกไปพบแบบนี้ ...หรือว่าแท้จริงแล้ว เวสเทียร์ยินดีที่จะออกไปพบนางกันหนอ

ราชาหนุ่มหลับตาลงช้าๆ...

หรือมันถึงเวลาที่พวกเขาจะต้องตื่นจากความฝันแล้วจริงๆ

--------------------------------------------------

คาดันน์กลายเป็นองครักษ์คนสนิทขององค์ชายเร็กซ์ระหว่างที่พักอยู่ในอาณาจักรเซลทิค และหน้าที่ขององครักษ์คนสนิทอย่างคาดันน์ก็คือการอยู่เคียงกายผู้เป็นนายโดยไม่แยกจาก คอยปกป้อง คุ้มครอง และดูแลไม่ให้เกล็ดน้ำแข็งลอยเข้ามาบาดผิวองค์ชายได้

แลกกับสัมผัสอันอ่อนโยนบนหน้าท้องและลิ้นสีชมพูนุ่มหยุ่น...

ฟาเบียงขยับร่างให้พ้นการสะบัดหางของวาฬยักษ์ ขณะสนทนากับราชินีที่ประทับอยู่บนโขดหิน และองค์ชายเร็กซ์ที่อยู่ใกล้ๆกันซึ่งกำลังลูบท้องสัตว์ใหญ่อยู่ "จริงอยู่ว่าเจ้าวาฬตัวนี้เชื่องมากนัก แต่กระหม่อมก็ไม่คิดว่าองค์ชายจะสนิทสนมกับมันถึงเพียงนี้" องครักษ์หนุ่มว่า "หากมันขอติดตามกลับมารินาการ์ดด้วยจะเป็นอย่างไรเล่า"

"เอากลับไปด้วยได้เสียที่ไหน ฟาเบียง" เร็กซ์พึมพำ "คาดันน์เป็นหน่วยสื่อสารของเซลทิค"

"อย่าว่าแต่เรื่องคนอื่นเลย" เรจินาเอ่ยขึ้นแทรก "ไรห์วาส่งทูตมาพบเรา..." องครักษ์ของนางหันมาค้อมหัวลงน้อยๆ แทนคำยอมรับ "มีเรื่องอะไรกัน" ไรห์วาเป็นอาณาจักนเงือกที่อยู่ในทะเลทางตอนใต้ เมืองนี้เป็นเมืองของเงือกเผ่าฉลาม ซึ่งแต่เดิมก็เคยอาศัยอยู่ทางฝั่งเหนือ ทว่าสงครามทางทะเลของพวกมนุษ์ก็ส่งผลกระทบต่อพวกเขาโดยตรงจนต้องอพยพย้ายถิ่นฐานไปยังน่านน้ำที่ปลอดภัย

น่านน้ำที่เต็มไปด้วยฉลามแห่งเกาะไดอาร์

ฟาเบียงหลบมองต่ำด้วยความไม่แน่ใจ "ไม่ใช่เรื่องที่มีผลกระทบต่อมารินาการ์ดหรอกขอรับ" องครักษ์ของราชินีเป็นเงือกเผ่าฉลาม ดังนั้นต่อให้ปัญหานี้จะไม่มีผลกระทบต่ออาณาจักร แต่ราชินีเรจินามั่นใจว่ามันกระทบต่อ 'คน' ของพระนางอย่างแน่นอน

"ราชารอยส่งมาสินะ..."

ปัญหาคาราคาซังของไรห์วาทางใต้ จะแผ่ขยายมาถึงมารินาการ์ดทางเหนือ และกระทบคนที่อยู่ใกล้ตัวพระนางมากที่สุด นั่นก็คือองครักษ์จากเผ่าฉลามขาวผู้นี้ "เหตุใดจึงไม่จบไม่สิ้นเสียที" ราชินีถอนใจ "จริงอยู่ว่าเทศกาลเล่นแสงจันทร์จบไปแล้ว พวกวาใหลังค่อมออกเดินทางต่อ อีกทั้งอสูรทะเลก็ลากลับสู่ก้นบึ้งมหาสมุทร แต่อาณาจักรเซลทิคก็ยังมีปัญหาที่เราจะต้องหารือร่วมกันเพื่อแก้ไข..."

"หากกระหม่อมกลับไปยังไรห์วา" ฟาเบียงเหลือบตาขึ้นมองราชินีของตน "เกรงว่าจะไม่ได้กลับมายังมารินาการ์ดในฐานะเดิมอีก" องครักษ์หนุ่มเป็นคนของเผ่าฉลามขาว และหากเขากลับไปยังอาณาจักรแห่งนั้น... ในฐานะเผ่าฉลามขาวคนสุดท้าย ชายหนุ่มไม่คิดว่าตนจะยอมรับสถานะของตัวเองได้

สถานะของผู้แพ้... ในสงครามแก่งแย่งบัลลังก์แห่งไรห์วา

"หากกระหม่อมกลับไป... กระหม่อมจะไม่ใช่องครักษ์ของฝ่าบาทอีก" ฟาเบียงไม่มีวันยอมแพ้ ด้วยเลือดของเผ่าฉลามที่สอนให้พวกเขาเป็นนักสู้ และนักล่า นักรบแห่งไรห์วาจะสู้จนตัวตาย แต่เหตุผลที่เขาไม่ทำเช่นนั้น ไม่สละชีวิตตัวเองเพราะรักษาเกียรติยศของเผ่าที่กำลังจะดับสูญ

ก็เพียงเพราะ... ราชินีแห่งมารินาการ์ดผู้นี้

"หยุดขู่เราได้แล้ว" ราชินีว่า "คิดว่าเราจะปล่อยให้เจ้ากลับไปหรือไร" แต่พระนางก็เหลือบมองน้องชายของตนด้วยแววตาลังเล "แต่ปัญหาทางเซลทิคเอง..." พระนางรู้ว่าชาวเซลทิคต้องการอะไร และสัมผัสได้ว่าฝ่าบาทไคราห์นเองก็สองจิตสองใจเช่นกัน "หากเลือดแห่งจอมราชันแก้ไขปัญหาได้ทุกอย่างก็คงจะดีไม่น้อย"

"อย่าได้กล่าวเช่นนั้น..." องครักษ์ว่า "มันไม่ใช่ภาระที่ฝ่าบาทจะต้องแบกเอาไว้คนเดียว"

"เจ้าเพิ่งจะขู่เราเมื่อครู่นี้!"

ฟาเบียงหัวเราะเบาในลำคอ "กระหม่อมเปล่า" องครักษ์ทอดยิ้มจาง "แต่ก็ยอมรับว่าไม่ใคร่จะพอใจนักเมื่อครั้งที่เห็นฝ่าบาทใกล้ชิดสนิทสนมกับราชาเซลทิคมากเหลือเกิน"

"เราพยายามจะไม่ใกล้แล้วนะ" เรจินาอุบอิบ "ฝ่าบาทไคราห์นเองก็โลเลเช่นกัน เจ้าไม่รู้สึกหรือ"

"กระหม่อมเพิ่งจะมาถึง จะไปเข้าใจอะไรราชาทะเลเหนือเล่า"

"เร็กซ์!" ผู้เป็นพี่หันไปหาคนที่เล่นกับวาฬอย่างถูกลืม "เจ้ารู้สึกใช่ไหม... ว่าฝ่าบาทไคราห์น..." พระนางพึมพำเสียงเบาลงราวกับกลัวว่าใครจะมาได้ยินเข้า "อาจมีใครสักคนอยู่ในใจอยู่แล้ว"

"ไม่รู้เลย..."

องค์ชายเร็กซ์เอนกายพิงวาฬตัวเขื่องข้างๆ พร้อมกับโบกหางยาวสีทองสะท้อนแสงแดด "ฝ่าบาทมีสีผิวแบบนั้นจึงปฏิเสธการเสกสมรสด้วยไม่ต้องการมีทายาทที่อาจมีอาการป่วยเช่นเดียวกับตน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่มีใครในใจ" องค์ชายวิเคราะห์ "แต่ก็ไม่อาจสมรสเพื่อให้ความหวังอีกฝ่ายได้อยู่ดี"

"หากมีใครในใจแล้วยังเกี้ยวสาวด้วยน้ำเสียงชวนหลงเช่นนั้นได้ กระหม่อมคิดว่าช่างใจร้ายกับคนรัก"

ฟาเบียงเอ่ยเรียบ และนั่นก็ทำให้ราชินีของเขาถลึงตาใส่ "เราไม่ใช่ 'สาว' ฟาเบียง! และเจ้าก็อายุมากกว่าฝ่าบาทไคราห์น อย่าทำตัวเป็นเด็ก!" องครักษ์ค้อมหัวลงยอมรับผิด และเก็บวาจาเชือดเฉือนของตนเอาไว้ด้วยตระหนักได้ว่ามันช่างเหมือนเด็กไม่รู้จักโต

เรจินาสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะถอนออกมาด้วยความกลัดกลุ้ม

"ทายาทจอมราชันจะต้องแก้ปัญหาทุกเรื่องเช่นนั้นหรือ"

"กระหม่อมต้องการเพียงลมปากของฝ่าบาท" ฟาเบียงว่า "มิเช่นนั้น... เลือดนักสู้ของกระหม่อมคงผลักดันให้เดินทางกลับไปเพื่อเอาชนะจนกว่าจะได้ครอบครองสิ่งที่ควรจะเป็นของกระหม่อมคืนมา" นัยน์ตาสีควันสบมองราชินีมารินาการ์ด "...กระหม่อมไม่อยากไปจากฝ่าบาท แต่ก็ไม่อาจทัดทานความต้องการเอาชนะของตัวเองได้"

เรจินาเอื้อมมือทั้งสองไปประคองเสี้ยวหน้าขององครักษ์คนสนิทเอาไว้ก่อนจะโน้มกายลงไปหาและแนบหน้าผากใกล้ชิด "หากเจ้ากลับไป ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ เจ้าจะไม่มีวันกลับมาหาเราในสถานะเดิมได้..." องค์ชายเร็กซ์รู้สึกว่าตนเป็นส่วนเกินในบทสนทนาอยู่บ้าง แต่เขาก็อยากอยู่เคียงข้างพี่สาว เผื่อจะช่วยอะไรพระนางได้ และองค์ชายก็ไม่คิดว่าตนเป็นส่วนเกินเสียทีเดียว

...เพราะอย่างน้อยเขาก็ยังมีคาดันน์!!

เจ้าวาฬเด็กฟังการสนทนาอะไรไมรู้เรื่องทั้งนั้น แต่อย่างน้อยองค์ชายใจดีก็ยังเอ็นดูมัน ดังนั้นมันจึงเป็นเหตุผลที่ดีพอที่จะทำให้มันลอยตัวอยู่เช่นนี้ต่อไป สัตว์ใหญ่พ่นลมหายใจออกมาและเอียงตัวยกครีบขึ้นเล็กน้อยเมื่อองค์ชายเร็กซ์เริ่มเอนพิง "แล้วท่านพี่จะจัดการเรื่องของเซลทิคอย่างไร"

บางครั้ง เรจินาเก็เบื่อหน่ายน้องชายที่ชอบทำตัวสบายใจทว่าถามคำถามตรงประเด็นเสมอ

"เราไม่ได้ตอบรับอะไรเขา... อีกทั้งฝ่าบาทเองก็ยังสองจิตสองใจ จึงคิดว่าปล่อยให้เป็นความสัมพันธ์อันดีแบบนี้จะดีกว่า" พระนางก็ไม่ได้รังเกียจราชาทะเลเหนือ แต่ก็ยอมรับว่าเอ็นดูเขาเหมือนน้องชายเสียมากกว่าจะคิดเป็นอื่น แม้อีกฝ่ายจะเป็นชายหนุ่มรูปงาม อาจจะงามที่สุดที่พระนางเคยพบ มีรอยยิ้มอ่อนโยน อีกทั้งน้ำเสียงที่นุ่มนวลทว่าทรงพลังก็ตาม

...แต่พระนางมีองครักษ์ผู้นี้อยู่ข้างกายแล้ว

"ถึงไม่มีเรา... เราก็เชื่อว่าชาวเซลทิครักราชาของพวกเขา"

"ฝ่าบาท" ฟาเบียงพูดบ้าง "เพียงแค่คำว่าสายเลือดจอมราชันก็มีอำนาจเหนือราชวงศ์อื่นใดทั้งปวงแล้ว... คงต้องยอมรับว่าหากฝ่าบาทยื่นมือเข้าช่วยจริงๆ ปัญหาที่ว่าใหญ่โตก็อาจจะเล็กลงไปทันตาก็เป็นได้" ไม่ว่าใครก็รู้เรื่องนี้ดี หากได้ชื่อว่าเป็นสายเลือดจอมราชันแล้ว ก็จะได้รับความเชื่อถืออย่างล้นหลามโดยที่ไม่ต้องลงมือทำอะไรเลยด้วยซ้ำ และแน่นอนว่ามันอาจเป็นวิธีแก้ปัญหาที่จะทำให้เงือกวาฬตัดขาดจากแผ่นดินเพื่อหลบหนีปัญหาบาดหมางได้อีกด้วย

"เจ้าอย่ามาเสแสร้งหวังดีกว่าเซลทิคหน่อยเลย เมื่อครู่เจ้ายังกล้าขู่เราแบบนั้น!"

"กระหม่อมหวังดีต่อฝ่าบาท" องครักษ์หนุ่มยิ้มขัน "อยากให้ฝ่าบาทสบายใจ อีกทั้ง..." เขาเอื้อมมือไปสัมผัสพวงแก้มนวลอย่างอ่อนโยนเป็นเชิงง้อ "ไม่อยากให้ฝ่าบาทของกระหม่อมถูกนินทาว่าร้ายในทางไม่ดีด้วย" โดยปกติแล้ว ฟาเบียงจะเรียกอีกฝ่ายว่า 'ฝ่าบาท' เท่านั้น แต่ในครั้งนี้เมื่อมีคำว่า 'ของกระหม่อม' พ่วงมาด้วย ต่อให้เป็นราชินีเรจินาผู้ได้ชื่อว่าใจแข็งที่สุดในบรรดาผู้นำหญิงทั้งหมด ก็คงมีอาการหน้าแดงบ้าง

"แล้วจะให้เราทำเช่นไร"

"กระหม่อมหรือจะกล้าชี้นำราชินีแห่งมารินาการ์ด" เงือกฉลามค้อมหัวลงต่ำ

ผู้อยู่ในตำแหน่งสูงกว่าทำหน้างอ แต่แล้วก็รีบเปลี่ยนสีหน้าให้เรียบเฉยดังเดิมเมื่อเห็นการเคลื่อนไหวที่เส้นขอบฟ้า คลื่นเสียงใต้น้ำที่ดังเอ็ดตะโรขึ้นมาทำให้องครักษ์คนสนิทขยับมือจับอาวุธให้แน่นขึ้น และดำน้ำลงไปเพื่อสำรวจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เช่นเดียวกับคาดันน์ที่ยังปล่อยตัวตามสบายเมื่อครู่กลับดูขึงขังจริงจังขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ

ฟาเบียงไม่ได้มีสายตาดีนักเมื่อเทียบกับเงือกเผ่าปลาด้วยกัน แต่แน่นอนว่าเขาไม่ได้หูหนวกถึงขั้นไม่ได้ยินเสียงของฝูงวาฬเพชฌฆาต คาดันน์ที่ดำลงมาในน้ำส่งเสียงตอบโต้พูดคุยกับสัญญาณเหล่านั้น ก่อนจะหันไปหาองค์ชายเร็กซ์ที่อยู่ข้างกาย

ฟู่...!

สัตว์ยักษ์เหลือบข้างหนึ่งขึ้นมองประสานกับเงือกต่างเมือง และในครั้งนี้ องค์ชายเร็กซ์กลับเข้าใจสิ่งที่มันต้องการจะสื่อ "ท่านพี่..." เขาหันไปหาพี่สาว "ราชรถแห่งเซลทิคจะพาเราเดินทางกลับมารินาการ์ด" แม้จะเป็นการเดินทางกลับบ้านเกิด แต่เรจินากลับมีเรื่องกังวลใจจนกำหมัดทั้งสองข้างอย่างตัดสินใจไม่ได้

"เร็กซ์" พระนางเอ่ยออกมาในที่สุด "เจ้าอยู่ที่นี่ไปก่อน เราจะกลับมาเมื่อธุระของเราเสร็จสิ้น"

"ท่านพี่..." องค์ชายไม่เคยเกี่ยงงอนฐานะทางการทูต แต่เขาก็ไม่เข้าใจพี่สาวของตนสักเท่าไหร่

"ให้ชาวเซลทิคเชื่อว่าเรายังมีเยื่อใยกับพวกเขา อย่าให้ฝ่าบาทไคราห์นตกที่นั่งลำบาก" ราชินีเม้มปากจนเป็นเส้นบางเฉียบ "เพราะการกระทำของเราต่อไปนี้อาจสั่นคลอนใจของชาวเซลทิคได้" ว่าแล้วพระนางก็เคลื่อนกายกลับลงไปในน้ำ

เร็กซ์มองตามแผ่นหลังของพี่สาวก่อนจะเอ่ย

"เช่นนั้น... ฝากบอกสาวน้อยของเราด้วย... ว่าพ่อคิดถึง..."

--------------------------------------------------

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนที่ 13.2

ฝูงวาฬถูกเรียกมาจากทะเลทางเหนือ เพื่อเทียมราชรถแห่งเซลทิคเดินทางไปยังมารินาการ์ด พวกมันส่งเสียงแหลมสูงพูดคุยกันขณะที่องครักษ์เผ่าเพชฌฆาตกำลังตรวจตราความเรียบร้อยของเส้นเชือกที่ถักทอขึ้นมาจากพื้นน้ำที่นุ่มแหละเหนียว ทำให้ไม่บาดผิวอันบอบบางของสัตว์ใหญ่

เวสเทียร์คอยอารักขาฝ่าบาทให้อยู่ในสายตาของเขา และจะเว้นระยะห่างให้อีกฝ่ายได้สนทนากับราชินีเรจินาอีกครั้งก่อนจากลา ราชาแห่งเซลทิคส่งยิ้มให้กับอาคันตุกะของตน ส่งพระนางขึ้นนั่งบนราชรถ ช้อนฝ่ามือเล็กๆ ของนางขึ้นมา และโน้มจูบลงบนหลังมืออย่างอ่อนโยน

ไม่ว่าจะมองจากมุมใด สำหรับเวสเทียร์แล้ว ฝ่าบาทไคราห์นก็สง่างามที่สุด

"พวกองครักษ์ยามคุยกันว่ามีสาวมาหาเจ้าเมื่อเช้านี้" เสียงของฟาลดังขึ้นข้างตัว ทำให้เวสเทียร์หันไปค้อมหัวทักทายเบาๆ "แล้วเจ้าก็สัพยอกหยอกเย้ากับนางเสียด้วย"

"ข้าไม่ได้รังเกียจสตรี" เวสเทียร์เอ่ยตอบ "และข้ารู้ว่าเป็นฝีมือท่าน"

ฟาลรู้ดีว่าผู้นำเผ่าเพชฌฆาตไม่ได้โง่เขลา และเขาเองก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องปิดบังอีกฝ่าย "ฝ่าบาทไคราห์นดูจะโปรดราชินีเรจินามาก" เลขาคนสนิทหันไปมองการพูดคุยของสองผู้นำอาณาจักร "และดูเหมือนว่าจะมีข่าวดีในอนาคต..."

เวสเทียร์หลับตาลงด้วยรู้ดีว่าญาติผู้ใหญ่ของตนต้อการจะพูดอะไร

...มันอาจถึงเวลาที่เขาควรจะทำอะไรเพื่อเผ่าเพชฌฆาตแล้วจริงๆ

"ถูกใจธีราหรือเปล่า" ถึงจะอยากเร่งเร้า แต่ฟาลก็ต้องถามความสมัครใจของเวสเทียร์บ้าง "หรือว่าเด็กไปสำหรับเจ้า... ผู้หญิงครึ่งค่อนเผ่าแทบจะยินดีเป็นตัวเลือกให้เจ้า เวสเทียร์" เวสเทียร์เป็นผู้นำที่แข็งแกร่ง อีกทั้งยังโสด จึงไม่แปลกใจที่เหล่านางเงือกเผ่าเพชฌฆาตจะเมียงมองและใฝ่ฝันถึง

แต่ก็ด้วยรู้ว่าหน้าที่ขององครักษ์คนสนิทนั้นหนักหนาจนแทบจะไม่มีเวลาหาครอบครัว

"หากท่านฟาลเลือกธีราให้ข้า ก็เกรงว่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด" องครักษ์หนุ่มตอบ ทั้งที่คำตอบนั้นไม่ใช่คำตอบที่แท้จริงของตนเอง จนเวสเทียร์เริ่มสงสัยว่าเขาเคยพูดอะไรที่ตรงกับใจบ้างแล้วหรือยัง "หากนางชอบข้าด้วยเช่นกันก็คงจะดี"

ใจของเขาน่ะหรือที่มีสิทธิ์พูด... หากพูดไปแล้วจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้อย่างนั้นหรือ

"ฝ่าบาทเคยพูดเรื่องนี้กับเจ้าหรือเปล่า" ฟาลถาม

องครักษ์คนสนิทกำอาวุธในมือแน่นขึ้น ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "ฝ่าบาทไม่ได้กล่าวอะไร" ความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นเพียงความไม่แน่นอน ราวกับหมอกควันที่จับต้องไม่ได้ทว่าสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ มันเป็นเพียงตัณหาชั่วครั้งคราวที่หาคำจำกัดความไม่ได้ อีกทั้งยังไม่มีผู้ใดพูดถึงหรือคิดจะหาคำตอบจากมัน

เพราะหากเอ่ยออกไป... หมอกควันที่เบาบางอยู่แล้วอาจมลายหายไปในพริบตา

"คิดเสียว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นจะดีกว่า" องครักษ์หนุ่มเอ่ย แม้ว่ามันจะเป็นคำที่เปรียบเสมือนมีดกรีดลงบนหัวใจของตนเองก็ตาม "คิดเสียว่า..." ร่างโปร่งหลับตาลง รับรู้ถึงหยาดน้ำอุ่นที่ไหลปะปนไปกับน้ำทะเล "เป็นเพียงความฝันที่จะต้องตื่นจากมันเสียที"

--------------------------------------------------


โอย... OTL

ตอนแรกว่าจะยิง (?) ดราม่าตอนนี้เลย... แต่... แค่ 2 ฉากแรกก็กินพื้นที่ซ้าาา... เราแอบเห็นว่าหลายคนกรี้ดคาดันน์มากกกกกกกกกกกกกกกกกกก โอเค ประสบความสำเร็จในการขายสรรพสัตว์ 555

จริงๆ อยากได้ดราม่าบาดๆ (?) แต่พอเขียนแล้วดันออกมาหน่วงๆ แทน ซึ่งก็... โอเค 555

ใกล้พีคแล้วๆ (หมายถึงพีคดราม่านะ แต่โครงเรื่องยังต้องไปต่อนะ) (จริงๆวางโครงไว้ 22 ตอนจบ แต่เนี่ย... ตอนที่ 13 ควรจะพีคดราม่าแล้ว แต่ก็ยาวปายยย ตามอารมณ์ความหน่วงของตัวละคร เดี๋ยวก็เป็น 25 ตอน รึ 30 ตอนจบเอง---)

ตอนนี้แทบไม่มีเกร็ดความรู้อะไรเลยยย ไม่รู้จะทอล์คอะไร ฮาาา...

ธีรา... คือถ้าเรจินาเป็นความสวยมีอายุ ดูหรู ดูแพง แม่หนูธีราคือความสดใสจริงใจ ปิ๊งๆ เลยแหละ ซึ่งเหมือนจะเยียวยาเวสเทียร์ได้นิดนึง คือธีราดูไม่มีเรื่องอะไรในใจ และพูดทุกอย่างตามที่คิด (ตั้งกะบอกว่าทวดให้เอามา << คือหล่อนไม่ต้องบอกเขาก็ได้มั้ง ฮาาา) ในขณะที่เวสเทียร์เก็บทุกเรื่องไว้ในใจหมด การเห็นธีราคือเหมือนทำให้เขาสบายใจขึ้นนิดนึง... สักพัก... แต่พอกลับไปเจอฝ่าบาทก็... นั่นแหละ (แล้วฝ่าบาทก็เจือกได้ยินอีก)

ลักษณะถ้ำที่ประมับของฝ่าบาท เป็นเหมือนมีทางเข้าใหญ่ๆ แล้วแยกออกไปเป็นหลายห้อง ทั้งที่พักขององค์หญิงอาโกรนาห์ องค์หญิงเอสลินน์ เชื้อพระวงศ์คนอื่นๆ คือเหมือนมันจะเป็นถ้ำโพรงๆ ทั้งแถบเลยอะนะ หน้าผาแถวนั้น (ไว้จะวาด Top View ให้ดู) (วาดแผนที่อีกละ นี่ทำเป็นทุกอย่างใช่มะ 555)

เวสเทียร์เหมือนจะ.. โอเคกับธีรานะ ในขณะที่ฝ่าบาทไคราห์นก็โอเคกับราชินีเรจินา

แต่การเปิดตัวละครฟาเบียงขึ้นมาในตอนนี้... คือ... ฮ่าาา (คนอ่าน สัญญาสาปสมุทร คงรู้อยู่แล้ว) นั่นคือแฟนตัวจริงของควีนฮ่ะ (อ้าว พวกเล่นองครักษ์ตัวเองทั้งคู่นี่หน่า) แต่จริงๆ ฟาเบียงไม่ใช่องครักษ์ธรรมดา เผื่อจะงงคำพูดปริศนาของเขาระหว่างพูดคุย... คือเขาเป็นลูกของราชาเอลเซียร์แห่งไรห์วา ซึ่งราชาเอลเซียร์มีพระชายา 3 คน พระชายาที่ 1 มีลูกชายคือราชาแอนโธ่เน่ (ซึ่งก็คือราชาองค์ก่อน) พระชายาที่ 2 มีลูกชายคือราชารอย (ราชาคนปัจจุบัน) และพระชายาที่ 3 มีลูกชายเช่นกัน คือ ฟาเบียง ซึ่งฟาเบียงมีอายุมากกว่ารอย แต่มีศักดิ์เป็นน้อง

วิธีการจัดลำดับรัชทายาทตามปกติแล้วคือเรียงตามอายุ แต่พระชายาที่ 2 ดันอยากเรียงตามศักดิ์ อีกทั้งรอยยังเกิดมาได้ลักษณะของฉลามมาโก ซึ่งเป็นลักษณะของแม่ แทนที่จะเป็นฉลามขาวตามพ่อ (ฟาเบียงกับแอนโธ่เน่ก็เป็นฉลามขาวตามพ่อของเขา ราชาเอลเซียร์) อีกทั้งรอยยังเกิดหลังจากที่ราชาเอลเซียร์สละบัลลังก์แล้วอีกด้วย (สละนะ ไม่ได้ตาย) ทำให้พระชายาที่ 2 ค่อนข้างจะถูกโจมตี แล้วราชาแอนโธ่เน่ก็ไม่มีลูก หลังจากราชาแอนโธ่เน่ตาย ก็เกิดเป็นเรื่องแย่งบัลลังก์ขึ้นมา...

ฟาเบียงเป็นเผ่าฉลามขาวคนสุดท้ายแล้ว ในขณะที่รอยเป็นเผ่าฉลามมาโกซึ่งมี back up ที่ดีกว่า พอต่อสู้กัน... ฝ่ายแพ้ก็เลยกลายเป็นฟาเบียง เขาจึงถอยกลับไปมารินาการ์ด และตั้งใจว่าจะไม่กลับไปไรห์วาอีก แต่ไรห์วาเองก็วอแวส่งคนมาตามเขาอีก ซึ่งถ้าหาเบียงกลับไปไรห์วาอีกครั้ง.. ถ้าเขาไม่สู้จนตาย ก็คงจะชนะแล้วขึ้นเป็นราชาแห่งไรห์วา ซึ่งยิ่งจะทำให้... คบกับเรจินาไม่ได้ไปกันใหญ่ (คือถ้าราชาเมืองนั้นกับราชินีเมืองนี้คบกัน... แต่งงานกันก็ได้ แต่ถ้ามีลูกเมื่อไหร่คือต้องยุบอาณาจักรรวม) (ไคราห์นถึงสนใจเรจินา)

เราจะไม่พูดถึงดราม่าของไรห์วามากนัก ก็เลยสปอยเลย 555

เพราะเรจินาไม่ปล่อยฟาเบียงกลับไปสู้หรอก (อา ผู้หญิงเรื่องนี้เหนื่อยเน้อะ ต้องปกป้องผู้ชาย) แต่นางจะทำอะไรในการกันไรห์วาออกไป... ก็ต้องคอยดู...



ปล. ชอบความกวนประสาทขององค์ชายเร็กซ์จัง 555

ปล.2 ถึงฟาเบียงจะเป็นตัวจริง... แต่ต้องยอมรับว่าไคราห์นหล่อกว่า... มาก...

ออฟไลน์ nutiez

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
"ต่างคนต่างพูด ไม่ออก ได้แต่มองตา เท่านั้น รักที่ให้กันเหมือนโดนกั้นขวาง ทางไป
อย่าเลยอย่ารู้ ว่าฉัน ขาดเธอจะเป็น อย่างไร แค่รู้ไว้ ว่าโลกทั้งใบ จะให้เธอคนเดียว

เหตุการณ์วันนั้น ต่างจากวันนี้ และเรารู้ดี ว่าต้องทำใจ"

ขอมอบบทเพลงนี้ให้กับฝ่าบาทและท่านเวสเทียร์นะคะ

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
หน่วงไปอีก

ฟาเบียงมาขอให้แฟนไม่ปล่อยตัวเองกลับไป น่ารักอ้ะ

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนที่ 14.1

"ธราฟัสการ์อีกแล้วรึ"

ยามเช้าของวันนี้ต่างออกไปจากทุกวัน เลขาอาวุโสของฝ่าบาทไคราห์นไม่ได้ออกไปล่ากับเผ่าตามปกติ แต่กลับเข้ามารายงานเรื่องของหมู่บ้านร้างบนแผ่นดิน พวกเขาพบรอยเท้าของหมาป่าบริเวณนั้น และสันนิฐานได้ว่ามีหมาป่าขนาดยักษ์สองตัวเข้ามาสำรวจสถานที่ "แต่หน่วยจู่โจมที่คอยดูแลชายป่าทางฝั่งเรายืนยันว่าพวกหมาป่าไม่ได้เข้ามาป้วนเปี้ยนขอรับ" ฟาลรายงานต่อ "พวกมันหยุดอยู่แค่ชายป่าของธราฟัสการ์ และลงไปสำรวจอ่าวแห่งนั้นก่อนจะล่าถอยกลับไป"

ฝ่าบาทถอนใจกับสิ่งที่ได้ยิน

ในบริเวณทางตอนใต้ของบาร์ธีมอร์นี้มีผาสูงอยู่สองแห่ง ซึ่งแห่งหนึ่งอยู่ใกล้หมู่บ้านธราฟัสการ์ และเป็นจุดที่องค์หญิงอาโกรนาห์เคยกระโดดลงมาเพื่อหลบหนีการไล่ล่าของแวมไพร์ ทว่าตัวอาณาจักรเซลทิคตั้งอยู่ใต้ผาอีกแห่งซึ่งอยู่ไม่ห่างจากกันมาก "เท่านี้ก็เสี่ยงมากพอแล้ว" ราชาหนุ่มมุ่นคิ้ว "ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ใดก็ให้ล่วงรู้ที่ตั้งของเราไม่ได้ทั้งนั้น"

"ฝ่าบาทจะทำอย่างไรขอรับ" ฟาลถาม "หมู่บ้านแห่งนั้นอาจถูกทิ้งร้างไปแล้ว แต่มันก็ยังเป็นหลักฐานที่จะทำให้เข้าใกล้พวกเราได้อยู่ดี" หากจะตัดขาดกับแผ่นดิน ฝ่าบาทไคราห์นคิดว่าเขาอาจจะต้องทำลายที่แห่งนั้นทิ้งไปจริงๆ เพื่อความปลอดภัยของประชาชนแห่งเซลทิค และตัวเขาเองก็จะต้องตัดขาดจากแผ่นดินเช่นกัน

"เราจะหารือกับหมาป่าก่อน" ราชาตอบ "เราอยากต่อสู้ ฟาล... ชาวเงือกไม่ได้ทำผิดอะไร เหตุใดจึงต้องมีชีวิตอย่างหลบๆ ซ่อนๆ เช่นนี้ เรามีสิทธิ์ที่จะขึ้นไปเบื้องบน มีชีวิตอยู่ร่วมกับพวกมนุษย์ ตราบใดที่มันไม่ได้เปิดโปงความลับของเผ่าพันธุ์ ไม่ว่าเลือดของชาวเราจะยั่วยวนสำหรับแวมไพร์สักเท่าใด พวกมันก็ไม่มีสิทธิ์จะเข่นฆ่าเราแบบนี้"

ฟาลค้อมหัวลงอย่างเห็นด้วย ...แต่เขาก็ยังมีความหวาดกลัว

"ครั้งที่แล้วพวกมันโจมตีหมู่บ้านแห่งนั้นทำให้เราเพลี่ยงพล้ำและสูญเสีย ทว่าครั้งนี้คงไม่ซ้ำรอยเดิมเป็นแน่" เลขาว่า "แต่จะประกาศศึกกับใคร ในเมื่อเราไม่เคยรู้เลยว่าพวกมันรวมตัวกันอยู่ที่ใด หรืออาศัยอยู่ที่ไหน"

"เราจะขึ้นไปพบพวกหมาป่า..." ไคราห์นตอบเรียบ "เวสเทียร์ยังไม่กลับมาอีกหรือ"

เมื่อพูดถึงองครักษ์คนสนิท ฟาลก็อึกอักขึ้นมาเล็กน้อยก่อนพึมพำตอบอย่างไม่แน่ใจนัก "เวสเทียร์ไปพบท่านซินเธียร์ที่ผาอีกฝั่งตะวันออกขอรับ" ไคราห์นคิดว่าอีกฝ่ายออกไปล่าตามปกติจึงไม่ได้ไถ่ถามอะไรมากนัก แต่เมื่อได้ยินเช่นนี้ ราชาหนุ่มก็มุ่นคิ้วและมองเลขาของตนด้วยสายตาเรียบเฉย เปลี่ยนบรรยายให้กดดัน คะยั้นคะยอให้เลขาพูดต่อ "เห็นว่า... ไปพบแม่หนูธีรา เหลนของท่านซินเธียร์"

"ไปตามกลับมา..." ไคราห์นออกคำสั่ง "เราจะพูดกับท่านซินเธียร์เอง"

"ฝ่าบาท" ฟาลไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองผู้นำอาณาจักร แต่เขาสัมผัสโทสะได้จากน้ำเสียงทรงพลังนั่น ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงเอ่ยเรียก แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกไปอีก ด้วยเกรงว่านั่นจะทำให้ราชาหนุ่มโมโหขึ้นมาจริงๆ และฟาลจำได้ว่าเขาไม่เคยเห็นฝ่าบาทไคราห์นโกรธเลยสักครั้ง

"ไปตามกลับมา..." ราชาหนุ่มเอ่ยซ้ำ เอนกายพิงหมอนอิงบนแท่นประทับเพื่อระงับอารมณ์ของตัวเอง

เขาไม่นึกเสียใจ หากเวสเทียร์จะมีความสัมพันธ์ด้วยเพียงเพราะหน้าที่ และคิดว่าไม่เป็นไร หากจะต้องปล่อยมือจากอีกฝ่ายไปจริงๆ เพื่อให้เขาทำหน้าที่หัวหน้าเผ่าโดยสมบูรณ์ แต่เพียงแค่ได้ยินว่าอีกฝ่ายอาจถูกตาต้องใจกับหญิงคนอื่นจริงๆ โทสะในแบบที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนกลับก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว

ฝ่าบาทเข้าใจในตอนนั้นเอง... ว่าเวสเทียร์เป็นของเขา

และเขาจะไม่ยอมยกให้ใครเป็นอันขาด

--------------------------------------------------

"พวกหมาป่าเข้ามาป้วนเปี้ยนแถวหมู่บ้านร้างนั่น แปลว่ามันมีหลักฐานของพวกเงือกหลงเหลืออยู่จริงๆ" คนพูดเป็นชายหนุ่มร่างสูง เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนสั้นรองทรง เขาเดินทางมาพบกลุ่มคนที่อยู่ใต้บัญชาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด "พวกเงือกเซลทิคจะต้องอาศัยอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านร้าง พวกเขาต้องการอากาศในการดำรงชีวิต ไม่มีทางหลบซ่อนอยู่ใต้ทะเลได้เป็นนิรันดร์เช่นมารินาการ์ด"

"เกรงว่าจะเป็นจริง นายท่าน..." ลิ่วล้อเอ่ยตอบ "ในวันเดียวกันที่พวกเราพบเจอหมาป่า เราก็ได้เห็นอสูรทะเลกระโจนขึ้นมาจากน้ำ พวกเงือกนี้ได้ชื่อว่าสนิทสนมกับอสูรทะเล กระผมคิดว่านี่อาจเป็นหลักฐานสำคัญที่จะทำให้เรารู้ว่าอาณาจักรเซลทิคอยู่ที่ใด"

"เราต้องเจออาณาจักรนั้นก่อนพวกหมาป่า" ผู้นำออกคำสั่ง "เลือดของราชาแห่งเซลทิคเยียวยาบาดแผลได้ และมันคือกุญแจสำคัญที่จะทำให้เราปลุกชีพนายหญิงขึ้นมาได้" พวกเขาเป็นแวมไพร์ที่ต้องหลบซ่อนในเงามืด กล้ำกลืนอาหารชั้นต่ำเช่นเลือดจากสัตว์สกปรกที่อาศัยในเมือง มีชีวิตอมตะที่ทรมานสาหัส

...เพราะความกลัวต่ออำนาจแห่งราชาแวมไพร์

เมื่อผู้มีอำนาจแข็งแกร่งและเด็ดขาดที่สุดในหมู่ผีดูดเลือดคือราชาแวมไพร์ แต่ราชาผู้ไม่เข้าใจผู้ติดตามกลับออกคำสั่งโหดร้ายราวกับสั่งให้พวกเขาไปตายทั้งเป็น นั่นคือการห้ามล่ามนุษย์โดยเด็ดขาดเพื่อปกป้องความลับของเผ่าพันธุ์ แต่ความคิดนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นของราชาเสียทีเดียว

ราชาแวมไพร์รับคำสั่งจากพวกมนุษย์... ช่างเป็นการกระทำที่น่าสมเพช

พวกเขาไม่ต้องการติดตามราชาผู้นี้อีกต่อไป แต่หากต้องการจะเอาชนะราชาแวมไพร์ ผีดูดเลือดที่สามารถมีชีวิตอยู่ใต้แสงตะวันได้ พวกเขาต้องการอำนาจของผู้ที่มีฐานะเสมอกัน และผู้ที่มีฐานะเสมอนั้นก็คือราชินีแวมไพร์ผู้ถูกฆ่าไปเมื่อสี่สิบกว่าปีที่แล้ว พวกเขาจะต้องปลุกชีพนางขึ้นมาให้เร็วที่สุด

และวิธีการที่เร็วที่สุดที่ว่า... นั่นคือการใช้เลือดของชาวเงือกชนชั้นปกครอง

อย่างเลือดที่มีอำนาจในการเยียวยาของฝ่าบาทไคราห์น

"เมื่อห้าปีที่แล้ว... เราได้เลือดขององค์ชายเดียร์ราฮานมาก็จริง เนื่องจากเขาตายก่อนที่จะมาถึงที่นี่ ดังนั้นครั้งนี้และครั้งต่อๆ ไปเราต้องการเงือกที่มีชีวิต เพื่อให้พลังในสายเลือดยังคงอยู่" ชายหนุ่มผู้นำว่า "และระวังอย่าให้เรื่องนี้ไปถึงหูราชาแวมไพร์ ไม่เช่นนั้นเขาจะเข้ามายุ่งย่ามแน่ๆ และต่อให้ไอร์แลนด์ในปัจจุบันจะเป็นฤดูหนาว แต่อำนาจของราชา... สามารถสั่งฟ้าฝนได้ดังใจ"

แวมไพร์ผู้ต่อต้านเคยสูญเสียความหวังหลังจากราชินีของตนถูกฆ่าโดยราชา แต่ผู้ที่ทำให้พวกเขากลับมาฮึกเหิมที่จะต่อสู้อีกครั้ง ก็คือนายท่านผู้นี้ ผู้ที่รู้ทุกเรื่องทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอย่างดี

ชื่อของเขา... คือเวเรเซียโน

--------------------------------------------------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-05-2017 17:29:37 โดย khaosap »

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนที่ 14.2

ฟาลกลับไปตามองครักษ์คนสนิทมาจากผาฝั่งตะวันออกซึ่งเป็น 'บ้าน' ของเหล่าเงือกวาฬเผ่าเพชฌฆาต แม่หนูธีราออกไปล่าตามลำพังตั้งแต่เช้ามืด เพื่อจะมานั่งรอผู้นำเผ่าที่สัญญาว่าจะมาพบนาง แต่พวกเขาก็ได้สนทนากันเพียงไม่นาน เลขาอาวุโสก็เข้ามายังที่พักเพื่อตามองครักษ์หนุ่มกลับไปทำหน้าที่

เวสเทียร์เห็นอีกฝ่ายสีหน้าไม่ค่อยดีนัก จึงพอจะเดาได้ว่าราชาทะเลเหนือรู้เรื่องนี้แล้ว

มันคงเป็นความผิดของเขาที่ไม่ได้ขออนุญาตอีกฝ่ายก่อน ชีวิตขององครักษ์คนสนิทเป็นของราชา และต่อให้อีกฝ่ายจะมีเมตตาอย่างไร การแต่งงานก็เป็นเรื่องที่เขาจะต้องบอกกล่าว แต่เวสเทียร์เพียงแค่คิด เขายังไม่ตกลงปลงใจกับแม่หนูธีรา การพบหน้ากันเพียงสองครั้งไม่ได้ยืนยันถึงความสัมพันธ์อันดีในอนาคต

แต่ฝ่าบาทก็คงจะโกรธที่เขาไม่พูดเรื่องนี้

เมื่อกลับไปยังถ้ำที่ประทับซึ่งอยู่ด้านในสุดของถ้ำใหญ่ เวสเทียร์ก็รู้สึกเกร็งจากสายตาที่ทิ่มแทงและคาดคั้น "ฝ่าบาทเรียกหากระหม่อม" เขาใจแข็งพูดออกไป และค้อมหัวลงต่ำอย่างนอบน้อม

"พอตามใจมากเข้าก็ทำตัวเหลวไหลได้หรือไร"

คำถามที่สาดกลับมาไม่ได้รุนแรงมาก แต่น้ำเสียงและบรรยายกาศที่ยิ่งเพิ่มความอึดอัดทำให้เวสเทียร์จนปัญญาจะเลี่ยง 'ประเด็น' ที่ทำให้ราชาทะเลเหนือโกรธเคือง "ขออภัยฝ่าบาท กระหม่อม..."

"การบอกให้เราลงโทษเจ้า... มันช่วยให้เจ้าพ้นโทษจนเคยตัวด้วยหรือเปล่า"

ฝ่าบาทไคราห์นกำลังโกรธจริงๆ เวสเทียร์รู้สึกได้ว่ามันเป็นโทสะที่อีกฝ่ายไม่เคยแสดงออกมาก่อน องครักษ์หนุ่มก้มหน้านิ่ง ด้วยคิดว่าการตอบโต้ไปจะยิ่งทำให้อีกฝ่ายโมโหเสียเปล่า เขาคงจะเคืองที่ถูกข้ามหน้าข้ามตา และการอธิบายว่าตน 'เพิ่งจะคิด' มีเมียก็คงไม่ช่วยอะไร

"เหตุใดจึงไม่พูดเรื่องนี้สักคำ"

เวสเทียร์เม้มปากครุ่นคิด คำตอบของเขาอาจทำให้อีกฝ่ายยิ่งโมโหมากกว่าเดิม

ฝ่าบาทไม่คอยคำตอบเขาแบบทุกครั้ง และยิ่งคะยั้นคะยอถาม "ท่านซินเธียร์เป็นคนจัดแจงรึ" เมื่อลามไปถึงองครักษ์คนสนิทคนก่อน เวสเทียร์ก็เป็นห่วงนางเงือกอาวุโสขึ้นมา เพราะหากราชาแห่งเซลทิคออกปาก แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดกล้าขัดคำสั่งอย่างแน่นอน แต่ว่าอีกฝ่ายจะออกปากเรื่องใดกันเล่า

"เปล่าขอรับ" ด้วยสัญชาติญาณ เวสเทียร์ตอบออกไปเช่นนั้น "กระหม่อมคิดเอง"

แม้จะได้ชื่อวาเป็นองครักษ์คนสนิท แต่เวสเทียร์ไม่เคยรู้เลยว่าคำตอบนั้นทำให้ราชาหนุ่มสั่นคลอนมากแค่ไหน ผู้นำอาณาจักรนิ่งไปครู่หนึ่งขณะมองพิจารณาคนตรงหน้าที่ยังคงใช้น้ำเสียงเรียบเฉยไร้อารมณ์เสมอต้นเสมอปลาย "เจ้าอยากแต่งงานรึ" นานสักพักกว่าราชาจะหาเสียงของตัวเองเจอ และตระหนักได้ว่าในความเป็นราชา เขาไม่ควรหวั่นไหวกับคำพูดขององครักษ์

ราชาอาจจะกลัวได้ แต่แสดงความกลัวออกมาไม่ได้...

"กระหม่อมเป็นผู้นำเผ่าเพชฌฆาต..." เวสเทียร์ตอบเรียบ แต่ใจของเขากลับสั่นจนเกือบจะควบคุมน้ำเสียงไม่ได้ "ควรจะแต่งงานมีครอบครัว เพื่อนสืบทอดสายเลือดที่แข็งแกร่งต่อไป" นั่นคือความจริงในอุดมคติที่ไม่ใช่ความรู้สึกแท้จริงขององครักษ์ ฝ่าบาทไคราห์นรู้ดี และเขาก็รู้ว่าผู้ที่ปลูกฝังความคิดนี้คือฟาล เลขาคนสนิทซึ่งเป็นญาติอาวุโสของอีกฝ่าย เวสเทียร์สูญเสียบิดาและมารดาไปในสงครามที่ธราฟัสการ์เมื่อห้าปีที่แล้ว ฟาลจึงเป็นญาติเพียงคนเดียวของเขาที่เหลืออยู่

"ทำไมเพิ่งมาคิด" ราชาหนุ่มบังคับให้ตนเองถามต่อ มือใหญ่กำแน่นและคลายออกสลับกันเพื่อบรรเทาความโกรธ "ทำไมไม่มีเมียตั้งแต่แรกที่ขึ้นมาเป็นผู้นำเผ่า..." แต่เจตนาของราชาหนุ่มกลับไขว้เขวเพราะคำถามเชิงตัดพ้อของเขาเอง เขากำลังจะพ่ายแพ้ความรู้สึกของตนเองที่กำลังจะอยู่เหนือเหตุผล "มีเวลาตั้งห้าปีในตอนนั้น"

ห้าปีที่เวสเทียร์รับใช้ฝ่าบาท และพวกเขาไม่เคยมีความสัมพันธ์อะไรต่อกันเลย

ทำไมจึงไม่คิดแต่งงานเสียตั้งแต่ตอนนั้น...

ราชาหนุ่มกำลังบีบคั้น ไม่ใช่แค่ต้องการคำตอบที่แท้จริงขององครักษ์ แต่เพื่อหักหาญใจตัวเอง หากเวสเทียร์ไม่ต้องการ เขาควรจะปล่อยอีกฝ่ายไป แม้จะหวงและอยากครอบครองเป็นของตนเองสักเท่าไหร่ แต่หากใจของเวสเทียร์ไม่ใช่ของเขา... ไคราห์นก็ไม่แน่ใจว่าจะเหนี่ยวรั้งเอาไว้ทำไมให้น่าสมเพช

ร่างโปร่งขบริมฝีปากตัวเองก่อนเอ่ยตอบ "เพราะกระหม่อมเพิ่งพบธีรา..."

แทงใจของตัวเองเถอะ... ก่อนที่มันจะเลยเถิดมากไปกว่านี้

"แล้วทำไมถึงยอม" คำถามที่เวสเทียร์ไม่คาดคิดและไม่นึกว่าจะได้ยินจากปากราชาทำให้เขาเผลอเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างลืมตัว และก็ต้องกลั้นใจเมื่อได้มองสบดวงตาสีน้ำเงินอีกครั้ง แววตาของอีกฝ่ายเปี่ยมด้วยโทสะที่คุกรุ่น ทว่าการแสดงออกกลับนิ่งสงบสมมาดราชาทะเลเหนือ "ทำไม... ที่ผ่านมาถึงยอม และไม่ทักท้วงอะไรเลย"

เวสเทียร์คงไม่อาจเฉไฉไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูดได้ มันมีแต่จะทำให้เขาโกรธมากขึ้นเท่านั้น

แต่คำตอบที่แท้จริงของเขา... มันเปลี่ยนแปลงอะไรได้อย่างนั้นหรือ

หากเขาพูดออกไปว่ารักฝ่าบาทมาตั้งแต่ต้น... มันจะทำให้อีกฝ่ายละทิ้งทุกอย่างมาให้เขาได้หรือไร

"เพราะเป็นคำสั่งของฝ่าบาท" องครักษ์สูดหายใจลึก มองผู้เป็นนายขณะให้คำตอบอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน "กระหม่อมมีหน้าที่รับใช้ฝ่าบาท และในตอนนี้ ฝ่าบาทก็มีราชินีเรจินาแล้ว กระหม่อมจึงเห็นว่าสมควรที่ตัวเองจะต้องทำหน้าที่ผู้นำที่ดีบ้าง" เวสเทียร์แทงใจคนตรงหน้า และแทบจะคว้านอกดึงหัวใจออกมาด้วยคำพูดเหล่านั้น แต่แทนที่ราชาจะใช้มันหักหาญความต้องการของตนเองอย่างที่ตั้งใจ เขากลับยิ่งไม่อยากให้อีกฝ่ายไปจากตน

...เขาปล่อยเวสเทียร์ไปไม่ได้จริงๆ

"เช่นนั้น ถ้าเราสั่งให้เจ้าอยู่แบบนี้ ห้ามมีความสัมพันธ์ใดๆ กับใครทั้งนั้น... เจ้าจะทำตามไหม"

องครักษ์ขบกรามจนเป็นสัน เขากำลังจะทนไม่ไหวอีกต่อไป "ฝ่าบาทจะเอาชนะไปเพื่ออะไร" เป็นครั้งแรกที่เขาพูดแบบนี้ เวสเทียร์หลับตาลงด้วยไม่อาจทนมองสบตาผู้เป็นนายได้อีก "ปล่อยให้กระหม่อมทำหน้าที่ของตนเองบ้าง... จะเอาชนะ จะเห็นแก่ตัวไปเพื่ออะไร!"

เจ้าโง่เวสเทียร์...

"องครักษ์เช่นเจ้ามีสิทธิ์ตั้งคำถามกับเราอย่างนั้นรึ!" น้ำเสียงทรงพลังตวาดกลับ และราชาก็ไม่คิดว่ามันจะดังไปถึงไหนบ้าง "ไม่ละอายแก่ใจบ้างหรือไร ถ้าเด็กคนนั้นรู้เรื่องนี้ขึ้นมา นางจะรู้สึกอย่างไร!" ตามธรรมเนียมแล้ว เงือกมีคู่ครองได้เพียงคนเดียว และหลับนอนได้กับคนเพียงคนเดียวเท่านั้น เป็นการให้เกียรติซึ่งกันและกัน

"เช่นนั้นฝ่าบาทก็ไม่ละอายบ้างหรือ! ที่ทำแบบนั้น..." เวสเทียร์ตอกกลับอย่างที่ไม่เคยทำ แม้จะรู้ว่าเถียงอย่างไรก็ไม่ชนะราชา แต่เขาไม่อาจทนให้อีกฝ่ายต่อว่าได้อีกต่อไป "ปล่อยกระหม่อมไป... ในเมื่อเราต่างพบคนที่เหมาะสมแล้ว... ช่วยทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ไหมขอรับ" ร่างโปร่งกัดฟัน "ปล่อยกระหม่อมไปได้ไหม"

จะให้เขา... ทนมองฝ่าบาทมีความสุขกับหญิงอื่นอยู่ฝ่ายเดียว... มันไม่ใจร้ายไปหน่อยหรือ

"เวสเทียร์!"

ราชาหนุ่มไม่เคยแสดงออกถึงโทสะ ดังนั้นการที่เขาขยับร่างและคว้ามือเข้าที่ลำคอของคู่สนทนาจึงเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย องครักษ์หนุ่มไม่ได้ระวังตัว จนกระทั่งได้ยินเสียงหวีดหวิวข้างหู และอึดใจต่อมาเขาก็ถูกเหวี่ยงลงกระแทกกับแท่นประทับที่ทำจากหินจนน้ำทะเลที่รองรับใต้ร่างสาดกระจาย และตามสัญชาติญาณ เวสเทียร์คว้าแขนแกร่งของคนตรงหน้าเพื่อป้องกันตนเองจากแรงที่กดบีบบนลำคอด้วยความโกรธ

"อั่ก!"

ฝ่าบาทตัวใหญ่กว่าเขา แต่เขาก็ไม่เคยคิดว่าอีกฝ่ายจะเรี่ยวแรงมหาศาลถึงเพียงนี้ เล็บของอีกฝ่ายจิกเนื้อของเขาจนได้แผล แต่ด้วยพลังแห่งราชวงศ์ รอยเหล่านั้นก็ค่อยๆ สมานหายไป เวสเทียร์อ้าปากหายใจ แต่ฝ่าบาทก็ยิ่งเพิ่มแรงกดจนเขาสำลัก "ใครกันแน่ที่ไม่ละอาย..." ไคราห์นกดเสียงต่ำ "เจ้าเป็นคนเริ่มตั้งแต่แรกไม่ใช่หรือไร!"

คนเริ่มความสัมพันธ์แบบนี้... คือตัวเวสเทียร์เองไม่ใช่หรือ...

พละกำลังของราชาอาจทำให้เขาขาดอากาศตายได้ และหากจะดิ้นรนก็คงต้องใช้ร่างมนุษย์ที่พอจะมีขาให้ถีบบ้าง แต่เพียงแค่คิดว่าจะต้องทำร้ายอีกฝ่าย... เวสเทียร์ก็คิดว่าเขายอมตายเสียจะดีกว่า เขาหาญกล้าต่อปากกับราชา นี่ก็อาจเป็นการลงโทษที่เหมาะสมแล้ว...

แต่หากเขาตายไปในตอนนี้ ใครอื่นจะปกป้องฝ่าบาทของเขา...

ร่างโปร่งสำลักอากาศ กลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก แต่ก็ยอมคลายมือจากคนตรงหน้า ภาวนาอยู่ในใจให้อีกฝ่ายลดโทสะลงก่อนที่เขาจะขาดอากาศตาย แต่มืออีกข้างที่ขยับมาวางบนสะโพกมนกลับทำให้เวสเทียร์มุ่นคิ้ว

"ยกขาขึ้นมา..."

น้ำเสียงของฝ่าบาทเยียบเย็น และจุดประสงค์ของคำสั่งก็ไม่ชัดเจน แต่เวสเทียร์ก็พอจะรู้ว่า... อีกฝ่ายจะทำอะไร

แรงมือที่กดบนคอคลายออก ขณะที่ปลายหางของร่างเบื้องใต้ขยับเบาๆ ก่อนจะกลายเป็นขา เวสเทียร์หายใจรัวเร็วขณะมองร่างเบื้องบนคร่อมทับลงมา ท่อนขาขาวที่ตัดกับสีผิวกดลงแทรกให้ขยับแยกเปิดทาง ดวงตาคมกริบจ้องมองแน่นิ่ง ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใดๆ ปรากฎให้เห็น แต่สัมผัสของราชาก็บ่งบอกถึงโทสะที่มากพอ

"คาดหวังว่าจะเป็นสามีที่ดีได้อย่างนั้นหรือ..."

น้ำเสียงของไคราห์นทุ้มต่ำ มือใหญ่หยาบหนากดลูบบนหน้าท้องและเคลื่อนไปยังบั้นเอวที่ได้รูปอย่างหยาบโลน "สามัญชนอย่างเจ้ามีสิทธิ์นอนกับใครไปทั่วหรือยังไง!" ปลายนิ้วสากบดขยี้ตุ่มแน่นตึงบนแผ่นอกสีเข้ม ทำให้ร่างรองรับผวาเฮือก และสะบัดหน้าหนีแทนคำปฏิเสธ

...ตัวเองเป็นคนเริ่มเองแท้ๆ แล้วจะมาทิ้งกันไปเฉยๆ แบบนี้น่ะหรือ

คนอย่างฝ่าบาทไคราห์น... ถูกทิ้งได้เหมือนกันหรือไร

เวสเทียร์กัดริมฝีปากอย่างอดกลั้น แม้ว่าสัมผัสต่อมาจะปลุกปั่นคลื่นอารมณ์เบื้องลึกให้โหมขึ้นจนแทบควบคุมไม่ได้ เรียกเสียงครางเครือในลำคอที่เขาไม่เคยหลุดออกมา องครักษ์หนุ่มพยายามบิดกายถอยหนี ทว่ามันกลับยิ่งทำให้ผู้รุกรานลงโทษด้วยความรุนแรงยิ่งขึ้น

ฝ่าบาทไม่จูบไปตามผิวกายอย่างที่เขาเคยทำ แต่เคลื่อนมือไปสัมผัสกลางกายที่แข็งขืนขึ้นมา

ร่างเบื้องล่างสั่นระริก แต่ก็ไม่ปัดป้องหรือต่อต้าน เวสเทียร์พยายามอดทน หวังว่ามันจะเป็นเพียงอีกครั้งหนึ่งที่จะผ่านไป และมันอาจ... เป็นครั้งสุดท้ายก็เป็นได้ "อะ...!" สองมือของร่างโปร่งกำแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในอุ้งมือเพื่อระบายความอัดอั้นที่มี ขาเรียวขยับแยกออกกว้างอย่างหักห้ามไม่ได้ ในยามที่กลางกายถูกรูดรั้งหนักหน่วง ความเสี่ยวซ่านไต่ระดับขึ้นสูง และแทนสัมผัสปลอบโยนที่เคยได้รับ ร่างเบื้องบนเพียงมองเขาด้วยสายตาเย็นชา

"สภาพแบบนี้น่ะหรือ เวสเทียร์" คำถามนั้นทิ่มแทงใจร่างรองรับ พร้อมกับกดนิ้วลงบนส่วนปลาย

"อื้อ!" ใบหน้าเรียวสะบัดหนี เสียงครางกระเส่าในลำคออย่างคนที่ใกล้จะถึงฝั่งกลับกลายเป็นอาการสะดุ้งจุกจนแทบพูดไม่ออก "ฝ่าบาท..." เปลือกตาบางเผยอมองคนตรงหน้าผ่านฝ้าหยาดน้ำตาที่เอ่อขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด เวสเทียร์อ้อนวอนอยู่ในใจ ทว่าริมฝีปากไม่อาจกล่าวสิ่งใดออกมา

เขาขออภัยจนเคยตัวหรือเปล่านะ...

"ฝ่าบาท..." อุ้งมือของอีกฝ่ายยังคงกอบกุมเขา แม้ไม่ได้เพิ่มแรงแต่ก็ไม่ได้ผ่อนคลาย คล้ายกับหยุดเวลาเอาไว้เนิ่นนาน ไคราห์นระงับความโกรธของเขาเอาไว้ พยายามจะไม่ออกแรงกับส่วนอ่อนไหวในกำมือ ปล่อยให้ความเจ็บปวดปนเสียวซ่านกระตุ้นคนตรงหน้าจนต้องบิดกายเร่า ปลายนิ้วค่อยๆ เคลื่อนต่ำลงไปโดยไม่เปิดจังหวะให้ปลดปล่อย และกดแทรกเข้าไปในกายอุ่นร้อนจนร่างรองรับสะดุ้งเฮือก

"อา...!"

เวสเทียร์ขบริมฝีปากกลั้นเสียง ทว่าการรุกรานในครั้งนี้หนักหน่วงกว่าที่ผ่านมาจนยากจะหักห้าม การระบายลมหายใจหอบถี่ไม่อาจช่วยได้อีก ดังนั้นเมื่ออีกฝ่ายแทรกนิ้วเพิ่ม แตะสัมผัสกับจุดอ่อนไหวภายใน ร่างรองรับก็แอ่นกายไปด้านหลังอย่างสั่นสะท้าน และได้ยินเสียงตัวเองหวีดครางน่าอดสู

ฝ่าบาททำแบบนี้เพื่ออะไร... เพื่อให้เขาอับอายอย่างนั้นหรือ

เวสเทียร์ไม่คิดว่าตนอยากรู้คำตอบ

"อ๊า...!" ร่างสูงกดกายที่แข็งแกร่งแทรกเข้ามาในร่างรุนแรงอย่างที่ไม่เคยทำ แม้จะลากผ่านตำแหน่งที่ทำให้เสียวกระสัน แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บแสบอันอาจหมายถึงบาดแผล เวสเทียร์กระถดตัวหนี แต่ก็ติดที่ฝ่าบาทจับยึดขาของเขาเอาไว้

แม้ใจของเวสเทียร์จะไม่ใช่ของเขา... แต่อย่างน้อยเขาก็รู้จักร่างกายนี้

อีกฝ่ายขยับกายบดเบียดในช่องทางคับแน่น สอดแทรกเสียดสีรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็วจนร่างรองรับเจ็บแสบราวกับร่างกายจะฉีกแยกจากกัน องครักษ์พยายามสูดหายใจลึก นัยน์ตาสีเข้มพยายามช้อนมองเพื่ออ้อนวอนเจ้าชีวิตอีกสักครั้ง แต่ราชาทะเลเหนือไม่ได้มองมายังเขา อีกฝ่ายทอดสายตาไปยังเรือนร่างที่บิดเร่าด้วยความสุขสมที่แสนทรมาน และสั่นคลอนตามจังหวะการรุกรานรุนแรง

ทำได้แค่นี้หรือ... ช่างน่าสมเพชนัก ราชาแห่งเซลทิค

ฝ่าบาทกัดฟันกรอด ขยับยกรั้งขาเรียวขึ้นสูง และโถมตัวใส่อีกฝ่ายโดยไม่ออมแรง กดกระแทกตนเองเข้าไป ล่าถอยออกมาจนแทบจะแยกจากกัน และกระทั้นฝังร่างเข้าไปจนสุดกายครั้งแล้วครั้งเล่า ให้เสียงร้องที่ไม่เคยดังกว่าลมหายใจเปล่งออกมาอย่างสุดจะทน

...ฝ่าบาท อภัยให้กระหม่อมด้วย

องครักษ์ก็ไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา เวสเทียร์วางมือลงบนแขนแกร่งราวอ้อนวอน แต่ก็เผลอจิกข่วนบนผิวขาวเป็นแนวยาวด้วยแรงปรารถนาที่ใกล้จะมาถึงจุดสิ้นสุด ความเสียวซ่านพุ่งขึ้นเป็นระลอก ผลักดันให้เขาต้องบิดกายยั่วเย้าอย่างลืมอาย กระทั่งคลื่นอารมณ์ลูกสุดท้ายบดขยี้ความต้องการจนปลดปล่อยออกมาอย่างรุนแรง

แต่ก็ใช่ว่าเพียงเท่านั้นจะสาแก่ใจราชา อีกฝ่ายโถมกายเข้ามา และดันเข่าคนตรงหน้าจนติดอก ยกสะโพกลอยขึ้นสูงเพื่อรองรับความต้องการอันรุ่มร้อนที่ยังไม่ได้ถอดถอน เวสเทียร์ไม่อาจยับยั้งการกระทำนั้นได้ หลากหลายอารมณ์ผสมปนเปกันจนยากจะรับไหว

มีแต่จะต้องอดทนต่อไปจนกว่าทุกอย่างจะจบสิ้นเท่านั้น

เปลือกตาบางปิดลงอย่างอ่อนแรง เช่นเดียวกับฝ่ามือคลายจากท่อนแขนแกร่ง เมื่อสุดจะทานทนต่อไปได้ แม้แต่องครักษ์ที่ได้ชื่อว่าเป็นนักรบ ก็หมดแรงจนสิ้นสติได้เหมือนกัน "เราเลือก... คู่ครองของเรานับตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว... แค่นี้คิดไม่ได้หรือไง"

ทว่าคำนั้นไม่เคยไปถึงเวสเทียร์

.

.

บุคคลที่ได้ยินทุกสิ่ง... กลับเป็นองค์ชายเร็กซ์แห่งมารินาการ์ด

--------------------------------------------------


โอย OTL

แทบจะเขียนไปร้องไห้ไป ;___; (คือเราเป็นสายบูชาเคะ) จริงๆ เขียนบทนี้คือเจ็บทั้งคู่ ทั้งฝ่าบาท ทั้งเวสเวส (จุก ทอล์คไม่ออก แงง) แต่ถามว่าน่าตีใครมากกว่ากัน... อยากตีเวสเวสนะ... คือฝ่าบาทถามเมิงขนาดนี้แล้ววว บอกไปเห้อออ เอาความกล้าในการเถียงนั่นมาตอบอะไรที่ตรงกะใจเถอะะ ะ << ก็แกเป็นคนเขียนป่าววะ << แต่ฝ่าบาทเองก็ปากหนักพอกันอะ =___= แต่ก็ถือว่าพูดเป็นนัยๆ แล้วนะ...

คืออย่างเรื่องที่เงือกสามัญชนต้องมีคู่ครองคนเดียวนี่คือกฎสากลของชาวเงือก (คือถ้าจะหย่าร้างจริงๆ ก็มีใหม่ไม่ได้อะ) แต่กลุ่มเงือกที่ได้อภิสิทธิ์ในการมีภรรยาหลายคน (หรือสามีหลายคนก็ได้ 555) คือพวกชนชั้นปกครอง (อย่างชายเร็กซ์ก็ซัดไป 4 คนแล้ว) ฉะนั้น... การที่ไคราห์นจะจิ๊จ๊ะกับเรจินาคือไม่ผิด แต่ถ้าเวสเทียร์จะแต่งงานนี่คือต้องพร้อมใจกันเหยียบเรื่องนี้ให้มิดอะ (ซึ่งฝ่าบาทคงไม่เหยียบแน่ เล่นซะดังเลยทีนี้---)

กฎอีกอย่างที่หลายๆคนอาจจะงง คือกฎเรื่องหวีผม ถ้าฝั่งมารินาการ์ดกับไรห์วาจะไม่ปล่อยผมต่อหน้าคนอื่น (แต่ในวงสาวๆ ก็อาจจะปล่อยแล้วผลัดกันหวี) แต่เซลทิคนี่เหมือนเป็นความผสมผสานของคนกับเงือก บางอย่างพี่แกก็เงือกซ้าาา (เรื่องคู่ครองเนี่ย) บางอย่างก็คนสุดๆ คือจะหวีผมตอนไหนก็ได้ ทำต่อหน้าใครก็ได้ ชิลๆ

แต่ถ้าเรื่องอย่างว่าเนี่ย... เงือกโคตรถือเลยข่า... มีอะไรกับใครแล้วล็อคเลยนะ (ยกเว้นพวกชนชั้นปกครอง)

เหตุผลที่ยื้อ... เพราะ... เดี๋ยวชายเร็กซ์จะองค์ลงเองแล้วข่ะ << จริงๆแล้วนี่อาจเป็นพระเอก

จริงๆ ชายเร็กซ์รับไม่ค่อยได้นะ (แต่นางไม่ได้รู้สึกว่าเวทอร์สเหมือนจะชอบๆ ตัวเอง) และเพราะเหตุการณ์นี้ อาจจะทำให้เข้าใจว่า ทำไมในอนาคต ชายเร็กซ์ถึงดูรับได้ (แม้จะไม่ค่อยโอ) กับหลานชาย ...จริงๆ นางค่อนข้างหัวโบราณ เป็นผู้ชายใจดี ยาซาชี่ แฟมิลี่แมนมากๆ (ดูฉากคิดถึงลูกนั่นสิ อร้าาา)

เกี่ยวกับเวทอร์สด้วย คือฟาลอาจจะรู้ว่าไคราห์นกับเวสเทียร์มีอะไรกัน แต่เวทอร์สเป็นคนที่รู้ว่าเวสเทียร์ชอบฝ่าบาทนะ แต่ในความเป็นผู้น้อย (น้อยมากๆ ด้วย) เลยไม่กล้าพูด ไม่กล้ายุ่งเรื่องพี่ชายมาก แต่ถ้าชายเร็กซ์ออกมาซัดฝ่าบาท... เวทอร์สก็ไม่อยู่เฉยหรอก... ราชาของเขาหน่า~~

ถ้าอยากตบฝ่าบาทไคราห์น... ตอนหน้าชายเร็กซ์จะตบให้เองข่ะ---

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ตบฝ่าบาทที่ข่มขืนเวสเวส

อันนี้ไม่น่ารัก ไม่ชอบ การฝืนใจก็คือข่มขืนจ้ะ

โกรธเอย ปากหนักเอย อ่อยหญิงอื่นเอย ทำเขาหน้าชื่นอกตรมเอย พอทำเนา
แต่บทนี้กระโดดตบอย่างเดียวเลย

ออฟไลน์ Sorso

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 795
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-3
โชคดีที่เข้ามาอ่านเรื่องนี้
เคยอ่านเรื่องของเลอาฟร์ แล้วก็รูนไปแล้ว ติดใจมากจ้าาาาาาาาา

ออฟไลน์ nutiez

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
อยากกระโดดตบฝ่าบาท ทำกับเวสเวสแบบนี้ได้ยังไง ทีตัวเองยังไปจิ๊จ๊ะคุยกันกระหนุงกระหนิงกับเรจิน่าต่อหน้าต่อตาเวสเวสได้ แต่เวสเทียร์ก็ปากหนักจริงๆ เถียงได้ฉอดๆๆแต่ไม่ยอมรับว่ารักเค้า อันนี้ก็สงสารฝ่าบาทอยู่เหมือนกัน

จะเชียร์ใครดี? เชียร์องค์ชายเร็กซ์แล้วกันค่ะ ฝากตบฝ่าบาทซักที

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนที่ 15.1

ฟาลรู้สึกชาไปทั้งร่าง และลอยตัวอยู่นิ่งๆ อยู่ระหว่างทางที่จะพาเขาไปยังถ้ำที่ประทับของราชาแห่งเซลทิค เลขาอาวุโสกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ในหัวของเขาขาวโพลนคิดอะไรไม่ออก ทำอะไรไม่ถูกนับตั้งแต่ได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้น

กว่าเสียงของเวสเทียร์จะเงียบไปก็เป็นเวลาย่ำค่ำแล้ว และฟาลก็เพิ่งรู้สึกตัวเมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนกายลงมาในน้ำของฝ่าบาทไคราห์น ในเวลากลางดึก เลขาขยับตัวไปหลบด้านหลังซอกหิน เพื่อให้อีกฝ่ายผ่านออกไปเสียก่อนด้วยไม่แน่ใจว่าตนจะพบหน้าราชาทะเลได้เหนืออย่างไร หรือควรจะพูดอะไรกับสิ่งที่อีกฝ่ายกระทำ เขารู้ เขาได้ยิน แม้จะไม่เห็นมันด้วยตาตัวเองแต่ก็รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่รุนแรงที่สุดที่อีกฝ่ายเคยทำ...

...กับ 'ศักดิ์ศรี' ของผู้นำเผ่าเพชฌฆาต

หางของฝ่าบาทมีขนาดใหญ่ ทำให้เกิดเสียงยามที่แหวกว่ายในน้ำ และเมื่ออีกฝ่ายผ่านไปแล้ว ฟาลก็รีบออกจากที่ซ่อน เพื่อไปพบองครักษ์ที่คงจะพักอยู่บนแท่นประทับของฝ่าบาท แต่ทันทีที่เขาโผร่างออกมา ฝ่ามือใหญ่ก็คว้าเข้าที่ลำคอ เรี่ยวแรงมหาศาลกระชากยกร่างของเขาขึ้นเหนือน้ำ และกระแทกกับผนังถ้ำซึ่งเป็นหิน

โครม...!

"อึ่ก!" ฟาลมุ่นคิ้วด้วยความเจ็บ หลังของเขาถูกหินแหลมบาดจนเกิดแผล แต่สัมผัสจากฝ่ามือบนลำคอกลับสมานรักษาอย่างเนิบช้า เลขาคนสนิทมองคนตรงหน้าพร้อมกับกลืนน้ำลาย ด้วยรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายคือฝ่าบาทไคราห์น ราชาหนุ่มมองนิ่งด้วยอารมณ์ของเขาสงบลงมากแล้ว... แต่ก็ไม่อาจอภัยให้ได้

"เจ้าใช่ไหม... ที่ยุ่งย่ามเรื่องนี้" ราชาเค้นเสียงถาม "ตอบเรามา ฟาล..."

ไคราห์นไม่ได้บีบคออีกฝ่ายจนขาดอากาศ แต่ยกร่างขึ้นเหนือน้ำอยู่อย่างนั้น "หากฝ่าบาทจะสั่งประหารเพื่อให้สาสมกับโทสะก็ย่อมได้" ฟาลกลืนน้ำลาย "แต่ได้โปรด... อย่าลงมือกับเวสเทียร์" คนสนิทกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก และเขาก็ไม่แน่ใจว่าพูดไปตอนนี้จะมีประโยชน์อะไรหรือไม่

ราชาของเขาแทบจะขยี้เวสเทียร์จนแตกสลายอยู่แล้ว...

"เขาเป็นผู้นำเผ่าเพชฌฆาต... กระหม่อมต้องการให้เขาทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์"

ไคราห์นกดแรงลงบนลำคอของอีกฝ่าย ก่อนจะหลับตาลง และปล่อยให้ร่างคนตรงหน้าร่วงหล่นลงในน้ำตามเดิม เขาถอยร่างออกห่าง และมองเลขาคนสนิทของตนที่ไอจนตัวโยน "เราจะขึ้นไปที่ธราฟัสการ์ตอนกลางวัน..." ไคราห์นออกคำสั่งในเรื่องอื่น "ส่งเวทอร์สขึ้นไปพบเราที่นั่น"

ฟาลก้มหน้ารับ แม้จะอยากถามย้ำอีกครั้งเพื่อให้ราชาของตนให้คำตอบ

แต่ฝ่าบาทขยับกายว่ายออกไปจากถ้ำโดยไม่พูดอะไรอีก

เลขาคนสนิทชั่งใจ แต่แล้วก็เลือกที่จะกลับเข้าไปด้านใน และเมื่อเขาโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ ฟาลก็ชะงักงัน จริงอยู่ว่าเขาเคยเห็นเวสเทียร์ในร่างมนุษย์ และเคยเห็นเวสเทียร์นอนหลับอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่มีครั้งใดเลยที่อีกฝ่ายจะดูเหนื่อยอ่อนไม่ได้สติเช่นนี้ กระทั่งจะคืนร่างกลับเป็นครึ่งมัจฉาก็ทำไม่ได้

ฝ่าบาทไคราห์นอนุญาตให้อีกฝ่ายพักในที่ของเขาได้เป็นกรณีพิเศษ ทว่าครั้งนี้... ฟาลกลับไม่นึกดีใจเลยสักนิดที่ญาติของตนได้รับสิทธิ์นั้น "เวสเทียร์..." ฟาลเอื้อมมือไปลูบบนผมเปียกชื้น ร่างกายของอีกฝ่ายไม่มีรอยแผล ซึ่งคงมาจากพลังเยียวยาของฝ่าบาท แต่การไม่ตอบสนองใดๆ ก็บอกได้ว่าองครักษ์เหนื่อยล้าแค่ไหน

นี่มันคุ้มแล้วหรือไร... กับความภักดีที่มีให้ตลอดมา

ราชาทะเลเหนือออกจากถ้ำที่ประทับ ทว่าไม่ได้กลับไปยังบัลลังก์ใต้สมุทร ไม่ได้ไปพบน้องสาว หรือตามหาองค์ชายจากต่างเมือง แต่กลับเลี่ยงออกไปให้พ้นผู้คน เขาเป็นราชาแห่งเซลทิค ดังนั้นจึงรู้ดีว่าที่แห่งใดที่ไม่ใคร่จะมีประชาชนผ่านไปมากนัก และที่นั่นคือผาฝั่งตะวันตกอันเต็มไปด้วยกองหินโสโครก

ราชาหนุ่มยกตัวขึ้นนั่งบนหินก้อนหนึ่ง เอนตัวพิงหินอีกก้อนข้างๆ กันพร้อมกับถอนใจออกมา

มันมาถึงขนาดนี้ได้อย่างไรกัน...

ฟู่...!

แต่สิ่งที่ทำให้ราชาทะเลเหนือประหลาดใจและดึงตัวเองกลับมาจากภวังค์ คือการปรากฎตัวของคาดันน์ เจ้าวาฬเพชฌฆาตที่มักจะอยู่กับองครักษ์สองพี่น้อง ก่อนที่มันจะพบคู่หูคนใหม่ซึ่งนั่นก็คือองค์ชายเร็กซ์แห่งมารินาการ์ด

ทว่าองค์ชายกลับไม่อยู่กับมันในตอนนี้ เพราะนี่เป็นเวลาดึกมากแล้ว

คาดันน์ว่ายเข้ามาใกล้ และเอียงมองฝ่าบาทด้วยดวงตาข้างหนึ่ง มันก้มลงดันปลายปากนุ่มๆ กับหางของเขา ก่อนจะเปล่งเสียงถามเบาๆ ว่าเหตุใดเขาจึงปลีกตัวออกมาเช่นนี้ ราชาแห่งเซลทิคมีเมตตา เขาเอื้อมมือไปวางบนผิวหนังสีดำขลับ และวักน้ำลูบเบาๆ

"เผ่าเพชฌฆาตสาบานความภักดีต่อราชวงศ์แห่งเซลทิค..." ราชาหนุ่มพึมพำ "ด้วยการส่งผู้นำเผ่าที่แข็งแกร่งที่สุดมารับใช้ราชา แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังต้องการ... ให้ผู้นำสืบทอดความแข็งแกร่งต่อไปยังลูกหลาน" คาดันน์อาจไม่ได้ใกล้ชิดราชาเซลทิคมากนัก ด้วยมันไม่เคยมีเวลาอยู่กับเขาตามลำพังเช่นนี้ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ฝ่าบาทไคราห์นเอนกายไปหาสัตว์ใหญ่ และยกแขนขึ้นกอดมันเอาไว้ราวกับเป็นสิ่งเดียวที่เขาทำได้ในตอนนี้

"...มันถึงเวลาที่เราจะต้องคืนเวสเทียร์ให้พวกเขาแล้วหรือ"

แม้ว่านั่น... จะเป็นหัวใจของเขาน่ะหรือ...

วาฬใหญ่ขยับหาง ดันร่างให้อิงแอบราชาตรงหน้ายิ่งขึ้น มันเข้าใจคำพูดของเงือกวาฬ มันเข้าใจกลไลของอาณาจักรเซลทิค และมันเข้าใจว่าเหตุใด... ราชาทะเลเหนือจึงโศกเศร้าเหลือเกิน มือที่วางอยู่บนผิวสีดำกำหมัดแน่น ดวงตาที่เคยแข็งกร้าวเปี่ยมไปด้วยพลังปิดลง ริมฝีปากบางที่เคยออกคำสั่งได้อย่างเด็ดขาดขบเม้มเข้าหากันแน่น

เพื่อสะกดกลั้นความรู้สึกเพียงอย่างเดียวเอาไว้ไม่ให้แสดงออกมา...

คาดันน์เหลือบมองราชา และค่อยๆ ขยับร่างเพื่อให้ลำตัวตั้งตรงขึ้น มันเงยหัวขึ้นสูง ก่อนจะยกครีบอกมหึมาขึ้นสัมผัสสีข้างคนตรงหน้าแทนคำปลอบโยน ซึ่งสิ่งนั้นพอจะทำให้ไคราห์นยิ้มออกบ้าง "เป็นวาฬเช่นเจ้าก็สบายดี..." ชายหนุ่มอิงหน้าผากกับปลายปากสีดำ "ที่รักใครก็คงจะแสดงออกไปได้ง่ายๆ"

วาฬยักษ์ถอยตัวลงน้ำเล็กน้อย เพื่ออ้าปากของตน และดันลิ้นขึ้นมาแตะข้างแก้มราชาแห่งเซลทิค

นั่นก็เป็นการแสดงความรักด้วยเช่นกัน

"ขอบใจ..."

--------------------------------------------------

เวสเทียร์คิดว่านี่คงเป็นเวลาเช้ามืดของวันต่อมา สังเกตได้จากเสียงนกที่อาศัยอยู่ในป่าเบื้องบน ในทันทีที่รู้สึกตัว องครักษ์หนุ่มก็นึกได้ว่าเขายังอยู่ในร่างมนุษย์ ขาเรียวจึงค่อยๆ ขยับแนบชิดเข้าหากัน และมันก็กลับคืนเป็นท่อนหางสีเข้มดังเดิม

เขายังคงอยู่ในถ้ำที่ประทับของฝ่าบาท ทว่ากลับไม่มีวี่แววของราชาเซลทิค

องครักษ์ถอนใจอย่างโล่งอก แม้จะรู้สึกหน่วงอยู่ลึกๆ ก็ตาม แต่มันคงเป็นการดีกว่าที่เขาจะมีเวลาอยู่กับตัวเองตามลำพังบ้าง ก่อนที่จะพบหน้ากันอีกครั้ง เวสเทียร์เดาไม่ออกว่าหากฝ่าบาทยังอยู่ที่นี่ พวกเขาทั้งคู่จะพูดอะไรเป็นคำแรกหลังจากผ่านเหตุการณ์นั้นมา

ฝ่าบาทไม่เคยโกรธจนถึงขั้นลงไม้ลงมือขนาดนี้มาก่อน

ร่างโปร่งยกมือขึ้นจับคอตัวเอง ก่อนจะกลืนน้ำลายเหนียวลงไป ฝ่าบาทโกรธที่เขา 'คิดจะแต่งงาน' อย่างนั้นหรือ แล้วเขาสามารถโกรธที่อีกฝ่าย 'คิดจะแต่งงาน' บ้างหรือไม่ เพียงแค่ถามตัวเองแค่นี้ เวสเทียร์ก็ตอบได้ทันทีว่า 'ไม่มีสิทธิ์'

ราชาสามารถมีชายาหลายองค์ได้... นั่นคืออภิสิทธิ์ของเขา

แต่เวสเทียร์เป็นองครักษ์ ที่เป็นได้แค่องครักษ์เท่านั้น

เขาควรละอายแก่ใจที่ไม่ซื่อตรงต่อ 'คู่ครอง' ของตนเอง ทั้งชีวิตของชาวเงือกจะมีคู่ครองเพียงคนเดียวเท่านั้น เพื่อเป็นการให้เกียรติซึ่งกันและกัน แต่เวสเทียร์ก็จำได้ว่าไม่เคยเห็นคู่รักที่เป็นเพศเดียวกันมาก่อน แต่เขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าความสัมพันธ์ของเขากับฝ่าบาทคืออะไร

เมื่อนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์แรกที่ทำให้พวกเขาต้องมาผูกพันกันเช่นนี้ เวสเทียร์ก็ยังไม่เข้าใจ

ในเวลานั้น ไม่ว่าจะเป็น ชายหรือหญิง... หากฝ่าบาทปรารถนา... มีหรือจะปฏิเสธได้ แต่อย่างน้อยก็ไม่เคยรู้สึกเสียใจที่ทำเรื่องแบบนั้นลงไป และในครั้งนี้ก็เช่นกัน ถึงแม้จะมีคำถามหนึ่งจุกอยู่ในอกของเขาตลอดเวลา

...เขาอยู่ในสถานะใดสำหรับฝ่าบาท

เวสเทียร์ลองถามย้อนตัวเองบ้าง ว่าฝ่าบาทอยู่ในฐานะใดสำหรับเขา ซึ่งแน่นอนว่าได้คำตอบอย่างไม่ยากเย็น อีกฝ่ายเป็นราชาของ เป็นเจ้าชีวิต และแน่นอนว่า... เป็นคนที่เขาหลงรักอยู่ฝ่ายเดียวมาตลอด แต่หลังจากเหตุการณ์นี้ เวสเทียร์พยายามหาคำตอบว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงใช้วิธีนั้นในการลงทัณฑ์ หากอีกฝ่ายเห็นเขาเป็นเพียงองครักษ์คนสนิทก็คงใช้วิธีอื่น เช่น การเฆี่ยนด้วยแส้หางกระเบนแบบครั้งที่แล้ว

ผู้น้อยพยายามไม่คิดเข้าข้างตนเองว่าฝ่าบาท 'หึงหวง'

คนอย่างฝ่าบาทไคราห์นเพียงแค่เคยชินกับการออกคำสั่ง การที่เขาทำอะไรนอกเหนือคำสั่งจึงสร้างความไม่พอใจอย่างมากก็เท่านั้น ในฐานะที่เขาเป็น 'คู่นอน' ของฝ่าบาท นี่อาจเป็นการหยามกันกลายๆ ด้วยซ้ำไป

เขามีสถานะเป็นคู่นอนของราชาจริงๆ หรือ

เหตุใดจึงไม่เคยนึกอยากถามมาตลอดห้าปีกันหนอ

"เวสเทียร์" เสียงที่เอ่ยเรียกทำให้องครักษ์หนุ่มสะดุ้งสุดตัว มันเป็นเสียงของฟาล และเมื่อเขายันกายขึ้นจากแท่นประทับ มือของเลขาอาวุโสก็เอื้อมมากดบ่าของเขาเอาไว้ ฟาลนั่งอยู่ข้างแท่นประทับ ดูเหมือนว่าจะนั่งเฝ้ามาสักพักใหญ่แล้ว และเผลองีบหลับไปบ้าง

"อย่าเพิ่งลุก... เจ้าอาจจะบาดเจ็บ"

คนพูดเป็นห่วง แต่หลังจากจบประโยค ฟาลก็คิดได้ว่าคู่กรณีของเวสเทียร์เป็นใคร... และมีพลังอะไรอยู่ในสายเลือด

"ข้าไม่เป็นไร" องครักษ์หนุ่มตอบ เขาฝืนลุกขึ้นนั่ง "ฝ่าบาท..."

"ฝ่าบาทออกไปตั้งแต่ค่ำ" เลขาตอบอย่างเสียมิได้ "เหตุใดเจ้าจึงคิดถึงเขาอีก"

"ข้าเป็นองครักษ์คนสนิท มีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของราชา"

"ทั้งที่เขาทำแบบนั้นกับเจ้าน่ะรึ!" ผู้ถูกกระทำชะงักนิ่งไป ในขณะที่คู่สนทนาดูจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาแทน "เจ้าไม่มีความรู้สึกหรือยังไง เวสเทียร์ เขาทำกับเจ้าถึงขนาดนั้น เหตุใดจึงยังเรียกหาอีก!" ฟาลรู้ว่าตัวเองไม่ควรคิดโกรธราชา แต่ในเมื่อราชาเองก็ไม่เห็นค่าความภักดีของเผ่าเพชฌฆาต เขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องก้มหัวให้อีกฝ่าย "หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป..."

"ท่านไม่จำเป็นต้องโกรธแทนข้า" เวสเทียร์เอ่ยเรียบ "ข้ายอมฝ่าบาทมาตั้งแต่แรก"

"เวสเทียร์!"

องครักษ์แข็งตาใส่ญาติอาวุโส "ฝ่าบาทพูดถูก... ใครกันแน่ที่ควรละอายแก่ใจ ราชาอย่างเขา หรือสามัญชนอย่างข้า" ร่างโปร่งกำหมัด "และข้าเป็นคนเริ่มความสัมพันธ์นี้ ท่านฟาล... ข้าควรละอายแก่ใจมากที่สุด" เลขาคนสนิทถอนใจพร้อมกับหลับตาลงด้วยไม่รู้ว่าเขาควรจะทำเช่นไรต่อไป

เขาไม่เข้าใจเวสเทียร์ และไม่เคยคิดว่าอีกฝ่ายจะด้านชา ไร้ความรู้สึกถึงขนาดนี้

"เจ้าคือความภาคภูมิใจของเผ่าเพชฌฆาต..."

"ท่านจะภูมิใจในตัวข้าน้อยลงหรือเปล่า หากข้าไม่แต่งงาน" เวสเทียร์เสียงอ่อนลง "สิ่งนั้นทำให้ฝ่าบาทกริ้วเพียงนี้" พวกเขาไม่เคยเห็นราชาแห่งเซลทิคโกรธขนาดนั้นมาก่อน หากไม่นับความรุนแรงทางกายที่เขากระทำต่อเวสเทียร์ แต่ฟาลก็ยอมรับว่าเขาไม่เคยคิด... ว่าจะถูกราชากระชากคอจนตัวลอยแบบนั้น

"นี่คือสิ่งที่ข้าคิด" เวสเทียร์ย้ำคำเดิม "ถ้าข้าไม่แต่งงาน เผ่าเพชฌฆาตจะทอดทิ้งข้าไหม"

"ไม่หรอก" เลขาอ่อนโอนลงบ้าง "แต่ฝ่าบาทก็ไม่มีสิทธิ์... เขาไม่มีสิทธิ์ทำกับเจ้าแบบนี้"

เวสเทียร์ถอนใจยาว "ข้ายินยอม... หากนั่นจะทำให้เขาหายโกรธ" ภาพความทรงจำที่ไม่ได้ดีนักผุดขึ้นมาในหัว และองครักษ์หนุ่มก็หลับตาเพื่อจะเลิกคิดถึงมัน "ข้าเป็นฝ่ายยอมคืนร่างเป็นมนุษย์เพื่อให้เขาทำแบบนั้น" นัยน์ตาสีเข้มลืมขึ้นจ้องประสานกับคู่สนทนา "หากท่านฟาลจะกล่าวว่าเขาผิด ข้าเองก็ผิดด้วยเช่นกัน"

เขาผิด... ที่ทำให้อีกฝ่ายโกรธ

...ฟาลไม่เข้าใจเลย

"เวสเทียร์..."

"ข้าไม่เป็นไร" แต่เมื่อพูดจบ องครักษ์ก็ขบริมฝีปากของตนราวกับนึกได้ 'หากเจ้าเป็นอะไรขึ้นมา เราเกรงว่ามันคงเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ' นั่นคือคำพูดของราชาทะเลเหนือ องครักษ์สูดหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่งก่อนจะอธิบายเพิ่มเติม "ข้าไม่ได้อยากแต่งงานกับหญิงใด ท่านฟาล..." เขากล่าวความจริงที่ฟาลไม่เคยได้ยินมาก่อน

"แม้ว่าต่อไป... ข้าจะเป็นอิสระจากฝ่าบาทก็ตาม"

ทำไมผู้นำเผ่าเพชฌฆาตรุ่นนี้จึงได้ใจเด็ดนัก...

"เช่นนั้นเจ้าทะเยอทะยานขึ้นมาถึงตำแหน่งองครักษ์คนสนิท หากไม่ได้ต้องการเกียรติยศของผู้นำเผ่า" ฟาลถอนใจ ตลอดชีวิตที่ผ่านมา เวสเทียร์ไม่เคยดื้อรั้นหรือแข็งข้อกับเขาสักเพียงครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายขัดคำสั่ง และต่อให้มันเป็นคำพูดที่นุ่มนวลโอนอ่อน แต่ฟาลรู้ดีว่านั่นคือความรู้สึกที่แท้จริงของคนตรงหน้า

"ข้าต้องการปกป้องฝ่าบาท" ชายหนุ่มตอบ "ชีวิตของข้า... เป็นของเขา"

'ความรัก' เป็นสิ่งที่ไม่เคยอยู่ในหัวฟาลมาก่อน แต่เมื่อได้ยินเช่นนั้น ในใจของเงือกอาวุโสก็คิดเรื่องนี้ขึ้นมา "เจ้ารักฝ่าบาท..." ไม่น่าเป็นไปได้เลย ความรู้สึกแบบนี้ไม่ใช่แค่ความเคารพเทิดทูนในฐานะราชาหรือยังไง แต่ถึงชื่นชมบูชาสักแค่ไหนก็ไม่มีทาง... ยอมเสียศักดิ์ศรีของตนถึงเพียงนี้แน่นอน

"มันไม่มีจริง... เวสเทียร์"

คนฟังหลับตาลง และจรดยิ้มที่มุมปากด้วยนึกสมเพชตัวเองที่ไม่อาจทำให้คนตรงหน้าเชื่อคำพูดได้ "เช่นนั้นจะเป็นความหลงก็ได้... หากท่านจะจำกัดความแบบนั้น... ตลอดสิบเจ็ดปีที่ผ่านมา" สิบเจ็ดปีที่ฝ่าบาทไคราห์นครองบัลลังก์ นับตั้วแต่วันแรกที่ได้เห็น เขาก็หลงใหลมาตลอด ยิ่งได้ใกล้ชิด... ก็ยิ่งหลงมากขึ้น และองครักษ์หนุ่มรู้ดีว่าก้นบึ้งในจิตใจของฝ่าบาทไคราห์นไม่เคยดูแคลนความหลงใหลของเขาเลย ...เวสเทียร์กำหมัดแน่นและพูดต่ออย่างแน่วแน่

"...และข้าก็ยินดีที่จะหลงต่อไป"

--------------------------------------------------

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนที่ 15.2

ราชาทะเลเหนือกลับมายังอาณาจักรของเขาอีกครั้งในตอนเช้า ตั้งใจจะไปยังถ้ำที่ประทับของตน โดยหวังว่าเวสเทียร์จะยังคงรอคอยอยู่ที่เดิม แม้ฝ่าบาทจะไม่แน่ใจเลยว่าเขาจะสามารถพูดคุยกับอีกฝ่ายได้อย่างไร เขาควรจะเริ่มต้นที่อะไร หรือจบลงที่สิ่งใด ไคราห์นเพียงแค่... อยากพบหน้าอีกฝ่ายอีกครั้ง

แต่ระหว่างทางที่จะกลับไปยังถ้ำที่ประทับนั้นเอง องค์ชายเร็กซ์ก็พุ่งขึ้นมาขวางจากท้องทะเลเบื้องล่าง

"องค์ชายเร็กซ์..." ราชาหนุ่มเลิกคิ้ว "มีเรื่องใดหรือ"

"มีแน่นอน..." แต่เดิม องค์ชายแห่งมารินาการ์ดไม่ใช่คนยียวนนัก แต่นอกจากรูปประโยคจะแตกต่างจากเดิมแล้ว น้ำเสียงของคนตรงหน้าก็แข็งกร้าวอย่างเห็นได้ชัด "ไม่เช่นนั้นคงไม่รอฝ่าบาทอยู่ทั้งคืน" จู่ๆ คำพูดขององค์ชายก็ทำให้ราชาหนุ่มเสียววูบอยู่ในใจ เร็กซ์มีอายุมากกว่าเขาห้าปี แม้จะตัวเล็กกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่อีกฝ่ายก็เป็นผู้ใหญ่กว่า

"จะสนทนาตรงนี้เลยหรือ"

สายเลือดจอมราชันมองเขานิ่งโดยไม่ให้คำตอบ และนี่คงเป็นครั้งแรกที่ราชาทะเลเหนือรู้สึกหวั่นกับสิ่งที่จะออกจากปากคู่สนทนา "เขาเป็นองครักษ์... ฝ่าบาททำเช่นนั้นได้ยังไง" หากเป็นชาวเซลทิค คำถามนี้ย่อมไม่มีวันถึงหูราชา เพราะมันคือความกระด้างกระเดื่อง ก้าวร้าว และเหิมเกริมอย่างที่สุด แต่คนตรงหน้าของฝ่าบาทไคราห์นในตอนนี้คือองค์ชายเร็กซ์แห่งมารินาการ์ด ผู้เป็นถึงทายาทของจอมราชัน เงือกผู้ได้รับเกียรติให้เป็นตำนานของชาวบาดาล

ไคราห์นมองกลับไปในดวงตาของคนถาม และแน่นอนว่าเร็กซ์ไม่หลบลงต่ำ

"องค์ชายรู้อะไรมาบ้าง"

"ทั้งหมด..." เร็กซ์กำหมัดแน่น "ให้เหตุผลมา ก่อนที่เราจะด่าทอว่ามันต่ำช้าเพียงใด" ฝ่าบาททะเลเหนือไม่มีเหตุผล เขารู้ว่าตนทำไปด้วยอารมณ์ ทั้งความโกรธ ความแค้น ความหึงหวง และความรู้สึกด้านมืดทั้งหมดที่ประดังประเดเข้ามาพร้อมกัน "อย่าได้เอ่ย... ว่าฝ่าบาทไม่รู้ว่านั่นเป็นการหยามกันแค่ไหน"

ไคราห์นหาเสียงตัวเองไม่เจอ ทั้งที่มันเคยดังกังวานและทรงพลัง

"เหตุใดราชาแห่งเซลทิคจึงกระทำการน่าสมเพชได้ถึงเพียงนี้!"  องค์ชายตวาดอย่างทนไม่ได้ "เพราะไม่มีชายา ไม่สามารถหลับนอนกับหญิงใดได้ จึงต้องใช้คนใกล้ชิดเป็นตัวแทนอย่างนั้นรึ!" ไคราห์นปล่อยให้อีกฝ่ายพูดต่อไป เขาหน้าชา ทว่ากลับยินดีที่ถูกด่าทอเสียบ้าง "ฝ่าบาทมีสิทธิ์ที่จะคับแค้นหากตัวเองไม่สามารถมีทายาทได้ แต่อย่าใช้ความวิปริตส่วนตัวดึงอนาคตของผู้อื่นลงมาด้วย... โดยเฉพาะกับองครักษ์ที่ภักดีอย่างเขา!"

ราชาหนุ่มกำหมัด... หากเวสเทียร์คว้านอกเพื่อแทงใจเขา

องค์ชายเร็กซ์ผู้นี้ก็กำลังฉีกทำลายความรู้สึกทุกอย่างที่เขามี... ที่เขาคิดว่ามี...

"สามัญชนมีคู่ครองได้เพียงคนเดียว... ฝ่าบาททำเช่นนี้แล้วจะหาศักดิ์ศรีใดไปคืนให้เวสเทียร์ได้!"

"ก็เพราะสามัญชนที่คนนั้นไม่ใช่หรือไร ที่ทำให้มันเป็นแบบนี้!" เสียงของราชากลับมาดังอีกครั้ง และเมื่อไคราห์นตวาดกลับ มันก็แทบจะดังไปทั่วพื้นน้ำ ถึงแม้องค์ชายเร็กซ์จะโกรธ แต่เขาก็มีสติพอที่จะรู้ว่าเรื่องแบบนี้ควรเป็นความลับต่อไป "สามัญชนก็มีวันทอดทิ้งราชาได้อย่างนั้นหรือ"

เร็กซ์ไม่กล่าวตอบ เขารอให้อีกฝ่ายสงบ...

"กระทั่งความรักก็ยังกลายเป็นเรื่องวิปริตอย่างนั้นหรือ" ไคราห์นลดเสียงลง และมันเริ่มสั่นจนสัมผัสได้ "ราชาทะเลเหนือไม่มีสิทธิ์ที่จะครอบครองอะไรเลยกระทั่งคนที่ตัวเองรักอย่างนั้นหรือ"

องค์ชายต่างเมืองส่ายหัวช้า และขยับร่างออกห่างจากคู่สนทนาอย่างไม่อาจยอมรับ

"มันไม่มีประโยชน์ในความสัมพันธ์ระหว่างชายกับชาย ฝ่าบาท... มันสูญเปล่า"

สำหรับราชาที่ไม่อาจมีทายาทได้ด้วยเหตุผลของความแข็งแกร่งทางสายเลือด ฝ่าบาทไคราห์นอาจเป็นบุคคลที่น่าสงสาร แต่หากอีกฝ่ายโกรธเคืองคับแค้นใจในเรื่องนี้จนต้องดึงบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าเพชฌฆาตลงมาตกต่ำด้วย องค์ชายเร็กซ์คิดว่าเขาไม่จำเป็นจะต้องสงสารคนตรงหน้าอีกต่อไป

"ต่อให้มันสูญเปล่า มันก็มีค่า..."

"แต่มันไม่ใช่สำหรับเวสเทียร์!"

"องค์ชายจะไปรู้ดีกว่าเราได้อย่างไร!" เขาทนถูกถากถางความรู้สึกไม่ได้ ราชาหนุ่มเอื้อมมือไปคว้าคอของคู่สนทนา แต่องค์ชายเร็กซ์ผู้เหิมเกริมก็ว่องไวพอที่จะเอี้ยวตัวหลบ เขาตวัดมือดึงปิ่นเล่มยาวออกมาช่อผมด้านหลัง และจ่อเข้ากับลำคอของคนตรงหน้าพร้อมกับยันอกกว้างด้วยแขนของตนในชั่วอึดใจ

เร็กซ์แตะปลายแหลมของสิ่งที่อยู่ในมือกับลำคอแกร่ง

"หากมันเป็นความรักที่ฝ่าบาทอ้างจริง เหตุใดจึงทำเช่นนั้นได้ลงคอ!"

"องค์ชาย..." เสียงของเวทอร์สดังขึ้น และสิ่งที่เร็กซ์สัมผัสได้ต่อมาคือพละกำลังที่มากกว่าดึงมือของตนออก พร้อมกับดึงร่างของเขาออกห่างราชา ก่อนจะใช้ตัวเองขวางเอาไว้ "ได้โปรด ฝ่าบาท..." คาดันน์มาพร้อมกับเวทอร์ส และมันเองก็เคลื่อนกายไปเคียงข้างองค์ชายด้วยเช่นกัน

ฝ่าบาทไคราห์นลดมือลง และหลับตายอมรับคำถามที่แทงใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า

"ไปเสีย..."

--------------------------------------------------

เวทอร์สกันเงือกต่างถิ่นออกมาจากราชาทะเลเหนือโดยไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น คาดันน์ที่รู้งานรู้หน้าที่กางครีบอกใหญ่ๆ ของมันออกและผลักร่างองค์ชายเร็กซ์ว่ายห่างออกไปก่อนจะขึ้นไปหายใจสักครั้งหนึ่ง

"เหตุใดเจ้าจึงเฉยอยู่ได้!"

เวทอร์สเพิ่งรู้จักองค์ชายเร็กซ์ไม่นานมานี้ แต่เขาก็เห็นอีกฝ่ายยิ้มแย้มตลอดเวลา ดังนั้นคำถามที่เต็มไปด้วยอารมณืหงุดหงิดจึงทำให้องครักษ์หนุ่มรับมือไม่ถูก "กระหม่อมยังไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น" เขาตอบตามจริง คาดันน์เป็นตัวการเผ่นไปหาและพาเขามายังที่นี่อย่างเร่งด่วน เวทอร์สจึงไม่มีเวลาถาม

"ก็ฝ่าบาท..." เร็กซ์ตั้งท่าจะอธิบาย แต่เขาก็ฉุกคิดได้ว่านี่เป็นเรื่องที่ไม่ควรประกาศออกไปให้มาก อย่างไรฝ่าบาทไคราห์นก็เป็นราชา และเป็นสายเลือดแห่งราชวงศ์เซลทิค ต่อให้กระทำการใดที่เป็นเรื่องน่าละอาย ก็ไม่ควรแพร่งพรายให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา

แม้ว่าเรื่องน่าละอายนั่นจะเกี่ยวข้องกับพี่ชายของเวทอร์สก็ตาม

"เหตุใดองค์ชายจึงโกรธฝ่าบาทนักขอรับ" เวทอร์สไม่เคยถามเช่นนี้กับราชาของตน แต่เขากลับเอ่ยมันออกมาอย่างง่ายดายกับองค์ชายต่างเมือง สิ่งนี้เรียกว่าเป็นความใกล้ชิดสนิทสนมหรือลามปามจนเคยตัวกันหนอ องครักษ์ลาดตระเวนมองดูปิ่นเล่มยาวในมือของคนตรงหน้า "ชาวมารินาการ์ดไม่ถอดเครื่องประดับผมต่อหน้าคนอื่นไม่ใช่หรือ"

เจ้าองครักษ์วาฬนี่ชักจะเหิมเกริมขึ้นทุกวัน....

เร็กซ์หลับตาลง และพยายามควบคุมตนเองให้กลับมาสุขุมดังเดิม "เจ้าควรไปถามราชาของเจ้า"

"กระหม่อมไม่มีสิทธิ์ถามอะไรฝ่าบาทขอรับ" เวทอร์สตอบทันที พร้อมกับค้อมหัวลงด้วยความเคารพ "องค์ชาย... เก็บปิ่นนั่นเถอะขอรับ" ชาวมารินาการ์ดมีเครื่องประดับผมคู่ใจเป็นของตนเอง และพวกเขาจะไม่สยายผมต่อหน้าใครอื่นที่ไม่ใช่คู่ครองเด็ดขาด ในตอนนี้ถึงแม้ว่าผมเผ้าขององค์ชายเร็กซ์จะไม่ยุ่งเหยิง แต่มันก็ใกล้จะหลุดอยู่รอมร่อ

"เรามีปิ่นสองเล่ม!" เร็กซ์ตอบอย่างหงุดหงิด "แล้วทำไมถึงไม่กล้าถามราชาตัวเองแต่มาเค้นจากเรา"

"เพราะองค์ชายใจดีกว่านี่ขอรับ" คนที่หลับตาอยู่ลืมตามองคนพูดในทันที และยิ่งได้เห็นสีหน้าเฉยชาของเวทอร์ส เร็กซ์ก็ตัดใจตั้งสมญาให้อีกฝ่ายอยู่ในใจว่า 'เจ้าคนทื่อ' และในความอยากรู้ใต้ใบหน้าทื่อๆ นั้น ก็มีคาดันน์แอบอยู่ด้านหลัง และชะโงกหน้ามาฟังความด้วย

"เจ้าไม่ควรได้ยินเรื่องนี้จากปากเรา"

ถึงจะเป็น 'เจ้าคนทื่อ' แต่เวทอร์สก็ไม่ได้หัวทึบ "เกี่ยวกับท่านพี่เวสเทียร์หรือเปล่าขอรับ"

เร็กซ์เหลือบตามองคนตรงหน้า และเมื่อเจ้าคนทื่อเงยขึ้นมองเขาเช่นกัน องค์ชายก็พยักหน้าเบา "เป็นเช่นนี้มานานแล้วหรือไง" คำถามขององค์ชายทำให้เวทอร์สต้องหยุดคิดใคร่ครวญอยู่นาน เร็กซ์ไม่สมควรรับรู้เรื่องนี้ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายรู้เข้าแล้ว เขาก็ไม่มีอำนาจใดจะไปลบความทรงจำได้ แต่คำถามต่อมาของเวทอร์สนั่นก็คือ... องค์ชายรู้เรื่องมากแค่ไหน

"สักพักแล้วขอรับ" คนเป็นน้องชายเล่ยงตอบ เพื่อปกป้องราชาของตนด้วย

"เจ้ายอมให้มันเกิดขึ้นได้ยังไง" เร็กซ์มุ่นคิ้ว "นั่นพี่ชายของเจ้าไม่ใช่หรือ นักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าเพชฌฆาต พวกเจ้ายอมให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง!" เมื่ออีกฝ่ายเริ่มมีโทสะ เวทอร์สก็คิดว่าเขาคงต้องใจเย็นยิ่งกว่าในการตอบคำถามนั่น ซึ่งออกจะเป็นเรื่องยากสักหน่อยที่เด็กอายุสิบแปดจะใจเย็นไปกว่าผู้ชายอายุสี่สิบ

"หากพูดไปแล้ว องค์ชายจะรับฟังหรือไม่ขอรับ"

แทนที่จะตอบถาม เจ้าคนทื่อตัวโตรงหน้ากลับถามกลับ และก้มหัวลงจนผมตกลงมาปรกใบหน้า เร็กซ์คิดว่าเขาคงต้องสงบสติอารมณ์ของตัวเองด้วยตนเอง และคงจะหาเหตุใดอะไรไม่ได้จากเผ่าเพชฌฆาตที่ดูจะเป็น 'เจ้าคนทื่อ' ไปเสียทุกคน

"เราต้องการเหตุผล"

"เหตุผลที่เป็นความจริงหรือเหตุผลที่ถูกใจองค์ชายล่ะขอรับ"

"เวทอร์ส!" องครักษ์เซลทิคขยับหางว่ายถอยหลังเล็กน้อยเพื่อให้ตัวเองไปอยู่ในจุดที่ต่ำกว่าองค์ชายแห่งมารินาการ์ด แม้ว่านั่นจะเป็นการยอกย้อนที่เจ็บแสบเกินวัยเด็กอายุสิบแปดไปสักหน่อย และก็พอจะทำให้ผู้ใหญ่อย่างเร็กซ์หยุดคิดได้บ้างเหมือนกัน "ทั้งคู่ก็แล้วกัน"

เวทอร์สเม้มปากเล็กน้อยก่อนตอบ "ถ้าเหตุผลที่ถูกใจก็คงไม่มีขอรับ"

...แล้วจะให้เขาเลือกทำไม!

"เอาความจริงมาก็ได้" องค์ชายถอนใจอย่างเหนื่อยอ่อน และท่าทางนั้นเองที่ทำให้คาดันน์ปรี่ว่ายตรงไปหาเพื่อให้คนตรงหน้าเอนกายพิงตัวมัน "เราได้ยินเรื่องช่องว่างระหว่างชนชั้นของชาวเซลทิคมามาก แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะมากจนถึงขั้นทำให้ราชาสามารถทำอะไรที่วิปริตเพียงนั้นได้..." เร็กซ์เอ่ยตรง แม้ว่านั่นจะเป็นการด่าทอราชาของอีกฝ่ายก็ตาม "พวกเจ้าไม่โกรธเคืองอะไรเลยหรือไง"

"ท่านพี่ชอบฝ่าบาทขอรับ"

เร็กซ์อ้าปากค้างอย่างลืมตัวด้วยความตะลึงในคำตอบ "แต่ว่ามัน..."

"ความชอบของคนเรา... นับเป็นความวิปริตหรือขอรับ" เวทอร์สมุ่นคิ้ว ก่อนจะเอ่ยออกไปในอึดใจ "หากกระหม่อมชอบองค์ชาย เพราะองค์ชายใจดี... มันก็กลายเป็นความวิปริตแล้วหรือขอรับ" เร็กซ์อยากคาดคั้นคำตอบจากเวทอร์ส แต่ในอึดใจ เวทอร์สก็เป็นฝ่ายตั้งคำถามกลับ และมองเขาด้วยสายตาตัดพ้อแทน

"ทั้งที่... ต่อให้เป็นองค์หญิง กระหม่อมก็ยังชอบคนแบบนี้อยู่ดี"

--------------------------------------------------


คนที่น่ารักที่สุดในบทนี้น่าจะเป็นคาดันน์ (นี่แย่งซีนเก่งกว่าไชร์ใน REVERSED อีกนะเนี่ย)

อา... อาจจะดับฝันเบาๆ แต่อย่าคาดหวังอะไรมากจากคู่รองนะ เขาเป็น KING ZONE น่ะ 555 ให้ความรู้สึก BROMANCE อบอุ่นมากกว่าจะคู่กันไปเลยยย แบบคู่หลัก แต่ว่า... มันเป็นช่วงเหตุการณ์ที่ทำให้เร็กซ์ซึ่งค่อนข้างจะเป็นผู้ชายโบราณ... เปลี่ยนทัศนคติเดิมๆ คือเร็กซ์เป็นผู้ชายที่มีเมีย 4 คน และตั้งปณิธานว่าจะต้องมีลูก 8 คน เพื่อให้เมียทุกคนรู้สึกเท่าเทียม (แต่สุดท้ายแล้วก็มีปัญญามีได้แค่ 6 อ่ะนะ 555) และมีความคิดฝังว่าผู้ชายต้องคู่กับผู้หญิงเพื่อจะได้มีลูกสืบไป

ความรู้สึกเดิมของเร็กซ์ต่อไคราห์นคือความสงสารที่ฝ่าบาทแต่งงานมีลูกไม่ได้ (คือฝ่าบาทเลือกตั้งแต่ครองบัลลังก์เองว่าจะไม่แต่งงาน เพราะตัวเองผิวเผือกแบบนี้ << ไม่ใช่เพราะเป็นหมันหรืออะไรแบบนั้นนะ!?) แต่พอมารู้เรื่องนี้ เร็กซ์ก็เลยโยงว่า... เพราะมีเมียไม่ได้ใช่ไหม เลยต้องมาทำกับองครักษ์แบบนี้ แล้วก็เลยกลายเป็นความแอนตี้

...แต่เวทอร์สจะเป็นคนดึงความแอนตี้นั่นกลับมา~

เวทอร์สไม่ได้คิดแบบเวสเทียร์ในเรื่องของ... เออ เพราะรักเลยยอมทุกอย่าง จะทำอะไรก็ได้ เวทอร์สค่อนข้างจะทื่อกว่าพี่ชาย แล้วด้วยความที่อีกฝ่ายเป็นเร็กซ์ ซึ่งเคยอุ้มลูก (องค์หญิงอาร์นิเอส) มาคุยด้วยแล้ว... ความสัมพันธ์ของคู่นี้จึง... KING ZONE บริสุทธิ์มากๆ คือเวทอร์สเด็กกว่าเยอะ แล้วนางก็ออกแนวชื่นชม โดฆิ โดฆิ มากกว่าจะ... เออ... แบบเวสเทียร์น่ะ

ฝ่าบาท... สู้ๆ นะ งานการอย่าเพิ่งไปทำเลย กลับไปง้อเขาก่อน 555

เวสเทียร์... ดูไม่โกรธ แต่ว่า... นางอาจจะ strike ฝ่าบาทกลับแบบนิ่มๆ นิ่งๆ ไม่รู้ตัว... คือพื้นเพจิตใจเวสเทียร์ก็ค่อนข้างจะนิ่งอยู่แล้ว มีหลุดบ้างก็ตอนที่แล้วที่เถียงฝ่าบาทฉอดๆ แต่พอโดนแบบนี้... นางน่าจะนิ่งขึ้นอีกเยอะแล้วปล่อยให้ฝ่าบาทรู้สึกผิดต่อไป (อ้าว 555)



จริงๆแอบชอบฉากที่ฝ่าบาทกอดคาดันน์ OTL

รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้แม่ง... คือก็อยากกอดใครสักคนแล้วซบเหมือนกัน แต่ทำไม่ได้เลยต้องมาคบกับปลาเนี่ยยย



ปล. คาดันน์พระเอกมากลูก... แสนรู้ 555

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
โดยส่วนตัว หลังๆผมว่ามันค่อนข้างเริ่มจะน่าเบื่อหน่อยๆแล้วน่ะนะครับ อาจจะเพราะว่าเรื่องมันเริ่มวน แล้วประเด็นเดิมๆก็ถูกย้ำจนเริ่มรู้สึกว่ามันเป็นปัญหาคาราคาซังที่ไม่น่าสนใจเท่าไหร่น่ะครับ

ถ้าให้ขยายความ จะเห็นว่าพล็อตหลักของเรื่องที่เปิดมาตอนต้นคือปัญหาของแวมไพร์กับเงือก แวมไพร์ต้องการเลือดที่มีคุณสมบัติฟื้นฟูไปคืนราชินีแวมไพร์มาสู้กับราชา พล็อตสนับสนุนก็คือเรื่องรักๆของราชาทะเลเหนือที่ต้องผจญขี้ปากคนและความซึนของคนทั้งคู่ กับความสัมพันธ์ของมารินาการ์ดที่จะโยงเป็น Easter eggs ไปสู่เรื่องของเลอาฟร์

พอมาเจาะ จะเห็นว่าสิบห้าบทผ่านไปแล้ว พล็อตหลักขยับไปแค่นิดเดียวครับ แค่มีการประชุมร่วมกัน หมาป่าหาทำเลของเซลทิค แค่นี้ ส่วนที่ขยับไปไกลหน่อยก็จะเป็นพล็อตสนับสนุนเบอร์สอง คือความสัมพันธ์ระหว่างมารินาการ์ดกับเซลทิค ส่วนพล็อตสนับสนุนอันแรกถ้าสังเกต จะเห็นว่ามันยังวนอยู่ และจะวนต่อไป ตอนแรกดีขึ้นมาหน่อยแล้วตรงที่เหมือนจะให้เวสเทียร์มีการพัฒนาเชิงความคิดใหม่ๆที่ไม่ย้ำอยู่เหมือนตอนต้นเรื่อง แต่พอมาตอนที่สิบห้าจบ อ้าว? ความคิดมันก็กลับเป็นเหมือนเดิมนี่นา.... แล้วอย่างนี้มันจะแก้ปัญหากันยังไงเนี่ย 5555

เอาจริงๆถ้าให้ผมวิเคราะห์พล็อตสนับสนุนเบอร์หนึ่ง ผมว่ามันเป็นไปได้ยากมากเลยนะครับในฐานะราชาแห่งเซลทิคที่จะฟื้นฟูความเชื่อมั่นและแก้ปัญหาที่จะเชื่อมไปพล็อตหลักได้ ด้วยองค์ประกอบสามอย่างครับ ไคราห์นมีลักษณะทางกายภาพที่เป็นขี้ปากชาวบ้าน มีตำแหน่งปกครองสูงสุด และประเพณีของเซลทิคค่อนข้างเคร่งครัดและยึดตามจารีตอย่างสูงครับ นอกจากองค์ประกอบสามอย่างนี้ ยังมีประเด็นที่ผมมองว่าไคราห์ค่อนข้าง weak ในฐานะราชาและสอบไม่ผ่านเท่าไหร่

1. ไคราห์นรบไม่เก่งครับ โอเค อาจจะเก่งในระดับนึง แต่ไม่เก่งพอที่จะปกป้องคนอื่นได้ เพราะคุณทำเดียร์ราฮาน (ซึ่งเป็นองค์ชายรัชทายาท) ตาย และถึงแม้ว่าเงือกวาฬจะเสียเปรียบแวมไพร์ด้วยลักษณะของเผ่าพันธุ์ที่ต้องขึ้นไปหายใจตลอด แต่นี่ก็ไม่ใช่ข้อแก้ตัวสำหรับราชา ถูกไหมครับ? ข้อนี้ทำให้ไคราห์นเสียคะแนนนิยมไปสูงมากแล้วในฐานะผู้มีตำแหน่งปกครองสูงสุด

2. ไคราห์นบริหารบ้านเมืองไม่เก่ง ข้อนี้อาจจะเพราะว่าสืบเนื่องมาจากองค์ประกอบตัวที่สาม ประเพณีของเซลทิคค่อนข้างแยกตัวราชาออกจากประชาชน ทำให้เขาไม่คลุกคลีเท่าที่ควร อีกทั้งองค์ประกอบข้อแรก ลักษณะทางกายภาพของไคราห์นก็เป็นขี้ปากคนอยู่แล้ว ทำให้ประชาชนไม่ศรัทธา ไคราห์นจึงซื้อใจประชาชนไม่ได้เท่าที่ควร และการออกคำสั่งบริหารแบบ order เด็ดขาด ก็ทำให้ประชาชนเหมือนถูกบีบรัดจากคนที่เขาไม่เชื่อใจครับ

จะเห็นว่าข้อสอง และรวมกับข้อหนึ่ง มันทำให้ถ้าผมเป็นประชาชนเซลทิค ผมก็ไม่ศรัทธาตัวราชานะครับ เพราะรบก็ไม่เก่ง ทางออกบ้านเมืองก็ไม่ได้ชาญฉลาด เป็นมิตรกับประชาชนหรือก็ไม่เห็น(อันนี้อาจจะเพราะด้วยจารีต และลักษณะกายภาพของไคราห์นเองด้วยที่ทำให้ประชาชนหวาดระแวง) รัชทายาทก็ไม่มีแถมยังทำน้องตาย แล้วยังจะไปรักกับองครักษ์เผ่าวาฬเพชฌฆาตที่แข็งแกร่งที่สุด ไม่ให้เขามีทายาทสร้างนักรบแห่งเซลทิคอีกเรอะ!? โอมายก็อด

เอาจริงๆสำหรับผม ถ้าให้ผมพูดเรื่องรักๆใคร่ๆของไคราห์น ถ้าจะให้แฮปปี้ ไคราห์นต้องสละบัลลังก์ครับ แล้วถ้าคุณจะรักกับเวสเทียร์ก็อาจจะต้องหลบหนีไปที่อื่น (แต่จุดนี้ก็มีปัญหาอีก จะสละให้ใคร รัชทายาทก็ตายหองไปแล้ว โอยชีวิต 5555) เพราะการยังอยู่ที่เดิม ก็รังจะสร้างความคลอนแคลนให้กับบัลลังก์ของราชาองค์ใหม่และสร้างความไม่เชื่อใจให้ประชาชนอีก เนื่องจากเวสเทียร์ก็เป็นผู้นำเผ่านักรบที่แข็งแกร่งที่สุด ความจริงถ้าให้เวทอร์สสืบทอดตำแหน่งต่อ เรื่องความคลอนแคลนของบัลลังก์อาจจะไม่มีปัญหา แต่ประเด็นคือเวทอร์สก็จะต้องไปอยู่มารินาการ์ดตามไลน์เรื่องของเลอาฟร์ ดังนั้นมันจึงปฏิเสธไม่ได้ว่าคู่รักราชานี้จะตกเป็นหัวข้อประเด็นที่ผู้คนนินทาแน่นอนครับ (ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆด้วย เพราะเวสเทียร์ทำให้ประชาชนผิดหวังจริงๆในฐานะผู้นำเผ่าวาฬเพชฌฆาต) และต่อให้เรามองว่าเวสเทียร์ยังจะทำหน้าที่ปกป้องประชาชนต่อแม้จะมีราชาองค์ใหม่(ถ้ามี) มันก็จะสร้างความแตกแยกในหมู่ความคิดของประชาชน เกี่ยวกับความแข็งแกร่งขององครักษ์ประจำตัวราชาคนใหม่และคนเก่า แล้วจะพาลไปถึงการเปรียบเทียบระหว่างสกิลบริหารของไคราห์นกับราชาองค์ใหม่(ถ้ามี) ครับ

ดังนั้น สำหรับผม ตัวชูความตื่นเต้นของเรื่องจริงๆคงเป็นตัวละครฝั่งมารินาการ์ดนะครับ ความมีเหตุผลและความมีมิติของตัวละครในมารินาการ์ดมันค่อนข้างจับต้องได้มากกว่าเซลทิค อาจจะเพราะว่าเรารู้สึกว่าตัวละครของมารินาการ์ดมีความคิดที่ Logical มากกว่า และราชินีเรจินาถ้าสมรสกับไคราห์น ก็จะช่วยขจัดปัญหาในประเด็นข้อสองไปได้ (แต่ยังไงก็จะเจอตอเรื่องไคราห์นมีสัมพันธ์กับเวสเทียร์อยู่ดีครับ เพราะราชินีและราชาทำดีแค่ไหน แค่เจอส่วนไม่ดีที่ผิดจารีตร้ายแรงๆก็พังครืนได้เหมือนกันครับ ประชาชนจะไม่เชื่อใจและไม่ไว้ใจ เคารพแต่ไม่เคยนับถือ เพราะถือว่าไม่ละเอียดรอบคอบ สอบตกในฐานะผู้นำที่ต้องใคร่ครวญทุกประเด็นเพื่อประชาชน)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-06-2017 11:31:03 โดย Grey Twilight »

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
คาดันน์คือพระเอกใช่ไหม ตอบ!

ออฟไลน์ nutiez

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
คาดันน์น่ารักน่ากอด  :กอด1:

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนที่ 16.1

แมงกระพรุนกล่อง...!

แม้จะรู้สึกผิดในการนำชื่อสัตว์ชนิดอื่นมาเป็นคำอุทานที่อธิบายถึงความรู้สึกที่ใกล้เคียงกับคำว่า 'หายนะ' แต่องค์ชายเร็กซ์กลับคิดคำใดไม่ออกหลังจากได้ยินคำถามขององครักษ์ลาดตระเวนฝ่ายใต้แห่งเซลทิค "นี่เจ้ารู้จักประชดเราแล้วรึ..." องค์ชายมีอายุถึงสี่สิบปี แน่นอนว่าผ่านร้อนผ่านหนาวมามากกว่าคนตรงหน้า แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่มี 'ผู้ชาย' พูดกับเขาแบบนี้

จะว่ารังเกียจก็ไม่เชิง... แต่จะเรียกเอ็นดูก็คงไม่ใช่อยู่ดี

"กระหม่อมเปล่า" เวทอร์สมุ่นคิ้ว "องค์ชายกล่าวว่า ความชอบผู้ชายที่มีต่อผู้ชายเป็นความวิปริต เช่นนั้นความชอบของกระหม่อมที่มีต่อองค์ชายก็นับเป็นความวิปริตด้วยหรืออย่างไร"

จะพูดซ้ำทำไมกันหนอ...

เร็กซ์ลอบกลอกตากับตัวเอง "ชอบก็ส่วนชอบ แต่เจ้าคงไม่ได้คิดกับเรา 'แบบนั้น' กระมัง"

ถึงคราวคนหนุ่มกว่าต้องเบิกตาขึ้นบ้าง และพยายามบังคับไม่ให้ใบหน้าขึ้นตัวเองขึ้นสีด้วยความเคอะเขิน เมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ไม่ค่อยดีนัก เจ้าวาฬยักษ์ก็เริ่มใช้ปลายปากดุนดันบั้นเอวแกร่งของเวทอร์สแทนการลูบหลังปลอบโยนให้ใจเย็น

"คาดันน์เองก็เป็นตัวผู้ มันชอบองค์ชายมาก นั่นก็นับเป็นความวิปริตด้วยหรือขอรับ"

สัตว์ที่ถูกดึงไปเป็นประเด็นด้วยถึงกับพ่นฟองอากาศออกมาเป็นสาย แล้วว่ายหายขึ้นไปหายใจอีกสักรอบ "เวทอร์ส... ฟังนะ" เร็กซ์ถอนใจอีกครั้ง และมันอาจเป็นครั้งที่สิบแล้วในเช้าวันนี้ "ความชอบไม่ใช่สิ่งวิปริต เจ้าจะชอบเราก็ได้... แต่ความสัมพันธ์ระหว่างชายกับชายไม่ใช่เรื่องปกติ มันจึง..."

"หากเราจะชอบใครก็ได้... แล้วเหตุใดจะชอบผู้ชายไม่ได้เล่าขอรับ"

เร็กซ์เพิ่งเห็นมุมเด็กๆ ของเวทอร์สในวันนี้ แต่นั่นก็คงเรียกมุมเด็กๆ ไม่เชิงกระมัง แต่เป็นเพียงมุมของคนที่แยกแยะอะไรไม่ออก

"เพราะต่อให้องค์ชายกลายเป็นหญิง กระหม่อมก็ยังชอบอยู่ดี ไม่ได้เกี่ยวกับเพศสักหน่อย"

องค์ชายแห่งมารินาการ์ดหยุดคิดบ้าง ว่าแท้จริงแล้วเป็นตัวเขาหรือเปล่าที่แยกแยะอะไรไม่ออก

เวทอร์สอาจจะตัวโตกว่าเขามาก และในบางครั้งก็มีความเป็นผู้ใหญ่จนเกินวัย แต่สิ่งที่เร็กซ์เห็นในตอนนี้ คือเด็กหนุ่มวัยสิบแปดปีที่เหมือนโลกทั้งใบกำลังจะล่มสลายลงมาต่อหน้า เพียงเพราะว่าความเชื่อที่เขายึดถือมาตลอดถูกทำลายโดยบุคคลที่เขานับถือ

"มันคือ... การเคารพความรู้สึกของผู้อื่นไม่ใช่หรือขอรับ"

เร็กซ์เอื้อมมือไปวางบนผมหยักศกสีดำขลับ เกี่ยวร้อยมันด้วยปลายนิ้วอย่างอ่อนโยนให้คนตรงหน้าหลับตาลง ก่อนจะลูบหัวอีกฝ่ายช้าๆ โดยไม่กล่าวอะไรออกมาอีก

เขา... เพิ่งจะดูถูกความรู้สึกของใครไปเมื่อครู่นี้เอง

--------------------------------------------------

ราชาทะเลเหนือกลับไปยังที่ประทับของตนด้วยใจหนักอึ้ง เขารู้ว่าฟาลรู้เรื่องนี้ แต่เขาไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะพูดกับเวสเทียร์ว่าอะไรบ้าง หรือเสี้ยมสอนให้องครักษ์คนสนิททำอะไรอีก ราชาหนุ่มได้แต่หวังว่า 'คนของเขา' จะมีความเป็นตัวของตัวเองมากพอ... ซึ่งนั่นดูจะเป็นเรื่องยากเหลือเกิน

เวสเทียร์นั่งอยู่ข้างแท่นประทับที่ว่างเปล่า อีกฝ่ายหลับตาอยู่ และด้วยประสาทการได้ยินที่เหนือชั้นกว่าคนอื่น ผู้นำเผ่าเพชฌฆาตจึงรับรู้การมาถึงของฝ่าบาท หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นผิดจังหวะ แต่ถึงอย่างนั้น องครักษ์ก็ยังคงรักษามาดของตนเอาไว้

ฝ่าบาทไคราห์นเสยผมสีอ่อนของตนขึ้น และขยับไปนั่งบนแท่นประทับช้าๆ

ความเงียบเกิดขึ้นเนิ่นนานหลังจากนั้น...

เวสเทียร์ไม่เงยหน้าขึ้นมองเหนือหัว เขารู้สึกได้ถึงสายตาของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่รู้เลยว่าราชาแหงเซลทิคอ้าปากขึ้นและหุบลงเป็นครั้งที่เท่าไหร่ ด้วยไม่แน่ใจว่าควรพูดอะไรออกมาเป็นคำแรก "จะทำเหมือน... ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยอย่างนั้นหรือ" น้ำเสียงอ่อนโยนที่คุ้นเคยทำให้เวสเทียร์กลั้นใจเฮือก แต่แล้วขบริมฝีปากตัวเองเอาไว้เพื่อไม่แสดงอาการอะไรออกมามากจนเกินควร

"หากมันจะทำให้ทุกอย่างเหมือนเดิม กระหม่อมก็ยินดี"

จะมีอะไรเหมือนเดิมได้อีก ใจเจ้าด้านชาถึงขนาดนั้นเลยหรือไร...

"เวสเทียร์..." ไคราห์นเอ่ยเรียก และเอื้อมมือไปสัมผัสเสี้ยวหน้าเรียวของอีกฝ่าย องครักษ์ของเขาไม่เงยขึ้นมองหน้า ร่างโปร่งหลับตาลง ยอมให้ราชาก้มลงมาแตะหน้าผากแนบด้วยช้าๆ สัมผัสคุ้นเคยทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ฝ่าบาทคงรู้สึกผิด และกำลังคิดหาวิธีขอโทษ

...ไม่จำเป็นเลยแท้ๆ

องครักษ์หนุ่มเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบเสมอต้นเสมอปลาย "กระหม่อมไม่เป็นไรขอรับ"

"ไม่มีทาง" ไคราห์นเสียงแข็ง "ไม่มีทางที่เจ้าจะไม่เป็นอะไร" ร่างสูงขยับตัวลงจากแท่นประทับ นั่งลงบนผืนทรายในระดับเดียวกันกับองครักษ์ก่อนจะดึงคนตรงหน้าเข้ามากอดเอาไว้แนบอก เวสเทียร์ขืนร่างด้วยความตกใจ แต่ก็ทำได้เพียงตัวเกร็งอยู่อย่างนั้น

"เราขอโทษ... เวสเทียร์"

คำที่เขาไม่คิดว่าจะออกจากปากราชาทำให้องครักษ์รู้สึกแปลก บุคคลที่สูงส่งอย่างฝ่าบาทน่ะหรือจะออกปากขอโทษเขา ลงมานั่งในระดับเดียวกับเขา และดึงเขาไปกอดเอาไว้ เวสเทียร์เม้มปากเล็กน้อยเมื่อรู้สึกว่าสิ่งที่เขาไม่เคยคิดว่าอีกฝ่ายจะทำ ฝ่าบาทไคราห์นกลับทำทั้งหมด ใจที่เคยนิ่งสงบเริ่มหวั่นไหว และเต้นแรงขึ้นอย่างหาสาเหตุไม่ได้

"กระหม่อมเป็นฝ่ายยอมเอง..."

"เช่นนั้นราชาก็ไม่ต้องขอโทษเมื่อทำผิดหรือยังไง"

"กระหม่อมไม่ได้บอบบาง" เวสเทียร์หลบมองต่ำ "และกระหม่อมไม่เคยถือโทษโกรธฝ่าบาทเลย" ร่างโปร่งรู้สึกเสียใจที่น้ำเสียงของเขาช่างเรียบนิ่ง ดูไม่จริงใจเอาเสียเลย ดังนั้นคำพูดของเขาจึงไร้ซึ่งความรู้สึกและเป็นเพียงคำประชดประชันที่ด้านชา ทั้งที่มันคือความจริงในใจของเขา "กระหม่อมเสียอีกที่ต้องขออภัยครั้งแล้วครั้งเล่าที่ทำให้ฝ่าบาทโกรธ"

'การบอกให้เราลงโทษเจ้า... มันช่วยให้เจ้าพ้นโทษจนเคยตัวด้วยหรือเปล่า'

"กระหม่อมเป็นเพียงสามัญชน ควรจะให้เกียรติคู่ครองของตนเอง"

'สามัญชนอย่างเจ้ามีสิทธิ์นอนกับใครไปทั่วหรือยังไง'

เขาเคยพูดกับเวสเทียร์แบบนั้น และในตอนนี้อีกฝ่ายก็กำลังแทงเขาด้วยคำพูดของตัวเอง ร่างโปร่งไม่ได้ขืนตัวออกจากวงแขนแกร่ง ทว่าไม่ได้ตอบรับหรือยินดีกับมัน ไคราห์นรู้ว่าสิ่งที่ตนทำลงไปไม่อาจเยียวยาได้ด้วยคำพูดเพียงคำเดียว แต่หากเวสเทียร์ไม่พูดอะไรออกมาบ้าง เขาก็ไม่แน่ใจว่าตนควรจะทำอย่างไร

แต่เขาจะไม่เสแสร้งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างที่อีกฝ่ายกำลังทำเด็ดขาด

"หากเจ้าขออะไรจากเราได้ข้อหนึ่ง... เจ้าจะขออะไร เวสเทียร์"

คนฟังขบริมฝีปากตนเองระหว่างครุ่นคิด เขาอยากถามคำถามนั้นกับฝ่าบาท เขาอยากรู้สถานะตนเองสำหรับอีกฝ่าย แต่อีกใจหนึ่งก็เกิดความกลัวว่าหากมันแตกต่างไปจากสิ่งที่เขาคาดหวัง เขาจะทำอย่างไร จะยอมอยู่ในสถานะนั้นต่อไปหรือเปล่า

เขาต้องการจะเป็นมากกว่าคู่นอนของฝ่าบาทไคราห์นหรือเปล่า...

เขาอยากขออะไรสักสิ่งจากราชา ในโอกาสที่อีกฝ่ายหยิบยื่นให้ จากที่ไม่เคยขออะไรเลย

องครักษ์ใต้บัญชาเงยหน้าขึ้นมองราชาของเขา นัยน์ตาของเวสเทียร์เป็นสีน้ำตาเข้มที่ให้ความรู้สึกดุดัน ขึงขัง และหนักแน่น ในขณะที่ดวงตาของฝ่าบาททะเลเหนือเป็นสีน้ำเงินท้องทะเลที่ยากจะอ่านความรู้สึก พวกเขามองสบตาอยู่เนิ่นนานกว่าร่างโปร่งจะเอ่ยออกมา

"กระหม่อม..." เวสเทียร์สูดหายใจลึก "ขอรักฝ่าบาท"

องครักษ์คนสนิทไม่ได้ 'ร้องขอ' อย่างที่ราชาตั้งใจจะให้ทำ แต่นั่นกลายเป็นคำปฏิญาณของเขา คำปฏิญาณที่ทำให้เขานึกกลัวทุกครั้งในความแน่วแน่ของคนตรงหน้า

'กระหม่อมถวายแล้วซึ่งชีวิต ต่อฝ่าบาทไคราห์นแห่งเซลทิคเท่านั้น'

ร่างโปร่งก้มหน้าหลบลงตามเดิมขณะพยายามคิดหาคำอธิบาย "ขอแค่ให้ฝ่าบาทเชื่อ..." เขาไม่ใช่คนพูดเก่ง ดังนั้นการจะหาคำมาอธิบายความรู้สึกในตอนนี้จึงเป็นเรื่องยาก เวสเทียร์กำหมัดเข้าและคลายออกด้วยความประหม่าอยู่หลายครั้ง "กระหม่อมรักฝ่าบาท และไม่เคยคิดจะเอาใจออกห่างเลยสักครั้ง"

เวสเทียร์... เวสเทียร์หนอ...

"ตกลง" โดยไม่ถามสิ่งใดต่อ ฝ่าบาทก็ให้คำตอบ "เราเชื่อเจ้า..." น้ำเสียงที่ทุ้มต่ำทว่านุ่มละมุนอ่อนโยนในลำคอทำให้คนฟังหลับตาพร้อมกับผ่อนลมหายใจ "เราเองก็... จะไม่หันไปหาใครนอกจากเจ้าเช่นกัน" แต่คำพูดต่อมาของฝ่าบาทก็ทำให้องครักษ์เบิกตาขึ้นและถอยออกจากวงแขนนั้นอย่างลืมตัว

"ฝ่าบาทไม่จำเป็นจะต้องรู้สึกผิด หรือรับผิดชอบเลยขอรับ"

ราชาหนุ่มกดให้อีกฝ่ายซบหน้ากับอกของตน พร้อมกับหลับตาลงช้าๆ

จะให้ไม่ให้เขารู้สึกผิดได้ยังไงกัน... เขา... ที่ทำกับเวสเทียร์ถึงขนาดนั้น ทั้งอีกฝ่ายรักเขาน่ะหรือ "ในเมื่อเจ้า..." ราชารู้ว่าเสียงของเขาสั่นคลอน จึงสูดหายใจลึกก่อนพูดต่อ "มีคู่ครองได้เพียงคนเดียว... เราก็ควรให้เกียรติเจ้าด้วยไม่ใช่หรือ" องครักษ์อ้าปากจะพูด แต่ครั้งนี้กลับถูกห้ามด้วยริมฝีปากของคู่สนทนาที่ก้มลงแนบจูบเป็นครั้งแรก

...หยุดพูดเสียที หยุดปฏิเสธเขาได้แล้ว

เวสเทียร์ไม่ตอบรับ แต่ก็ไม่ถอยหนี พวกเขาไม่เคยจูบกันมาก่อน ราชาไม่ได้บังคับให้เขาตอบรับ อีกฝ่ายเพียงแค่แนบริมฝีปาก กดจูบด้วยสัมผัสแผ่วเบาเนิบช้า อ้อยอิ่ง จนร่างโปร่งขยับตอบอย่างไม่แน่ใจ พวกเขาอาจไม่ประสากับมัน เนื่องด้วยไม่มีใครเคยจูบทั้งนั้น ดังนั้นเมื่อเวสเทียร์ตอบสนอง ไคราห์นก็รุกกดสัมผัสอุ่นร้อนให้แนบชิด

ความรู้สึกที่ส่งผ่านมาคือความหนักแน่นที่เวสเทียร์ไม่เข้าใจ

ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดขนาดนี้เลย... ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเขาเลย

หากสิ่งที่เขาพูดไปเป็นการผูกมัดราชาทะเลเหนือเอาไว้ เวสเทียร์ก็คิดว่าเขาไม่น่าพูดออกไปเสียจะดีกว่า ถึงแม้จะต้องทรมานกับความจริง แต่อย่างน้อยความจริงเหล่านั้นก็มีประโยชน์ต่ออาณาจักรเซลทิค อย่างน้อยการแต่งงานของฝ่าบาทไคราห์นและราชินีเรจินาก็จะทำให้ประชาชนศรัทธาในตัวฝ่าบาทมากขึ้น

แต่ในเมื่อเขาผูกมัดฝ่าบาทเอาไว้แบบนี้ เซลทิคจะเป็นอย่างไรต่อไปหนอ

ไคราห์นยอมละจากคนตรงหน้า... เขาสัมผัสได้ว่าเวสเทียร์ไม่ได้ยินดี

"กระหม่อม..." องครักษ์เม้มริมฝีปาก "ไม่ต้องการอะไรจากฝ่าบาท" แม้จะยังอยู่ในอ้อมแขน แต่มือเรียวก็กำหมัดแน่น "การแต่งงานเป็นประโยชน์ของอาณาจักร เป็นประโยชน์ของฝ่าบาท ในฐานะองครักษ์... คงไม่สามารถเห็นแก่ตัว และผูกมัดเอาไว้ฝ่าบาทเอาไว้ได้"

"เจ้าคิดว่าเราไม่ละอายหรือ... ที่มีเจ้าอยู่แล้ว แต่กลับคิดหันไปหาหญิงอื่น"

เวสเทียร์ย้ำคำเดิม "ฝ่าบาทไม่ควรรู้สึกผิดต่อกระหม่อม... จนทำลายตัวเอง"

ฝ่าบาทไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก แต่ดึงอีกฝ่ายกลับมากอดด้วยไม่คิดจะปล่อยให้ไปไหน นี่คือบทลงโทษของเขาหรือเปล่า... ที่อีกฝ่ายไม่เชื่อว่าเขาเองก็มีใจ ชาวเงือกไม่หลับนอนกับใครพร่ำเพรื่อ และไม่จูบกับใครหากไม่คิดจริงจัง แต่องครักษ์คนสนิทที่กล้าพูดออกมาว่า 'รัก' กลับปฏิเสธมัน และย้ำว่านั่นเป็นเพียงความรู้สึกผิด

เพราะหากมันเป็นความรักจริง เหตุใดจึงทำเช่นนั้นได้ลงคอ

คำถามขององค์ชายเร็กซ์ยังคงก้องอยู่หัวใของฝ่าบาทตลอดเวลา

--------------------------------------------------

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนที่ 16.2

ทูตจากไรห์วามารอพบราชินีแห่งมารินาการ์ดเพื่อเจรจาขอตัว 'นักโทษกบฎ' กลับไป ซึ่งนักโทษที่ว่านี้ก็หาใช่ใครอื่น แต่คือ ฟาเบียง... องครักษ์คนสนิทของราชินีเอง "นี่เป็นเรื่องภายในของอาณาจักรไรห์วา เพื่อความสัมพันธ์อันดีระหว่างเรา ทางเราจึงอยากขอความร่วมมือจากฝ่าบาท" ผู้นำสารเหลือบมองเงือกฉลามที่อยู่ข้างกายราชินี ฟาเบียงยังคงมีท่าทีสุขุม และควบคุมอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ได้แม้ว่าจะโกรธจนอยากโต้คำกล่าวหาบ้างก็ตาม

"องค์ชายฟาเบียงคิดร้ายต่อพระชายาที่สอง อีกทั้งขัดขวางการขึ้นครองบัลลังก์ของราชารอย..."

"เรายังไม่อนุญาตให้เจ้าพูด" เสียงของราชินีดังก้องไปทั่วบริเวณ ทำให้ทุกคนเงียบลงด้วยสัมผัสได้ถึงโทสะของพระนาง "คิดว่าเราไม่รู้อย่างนั้นหรือ... มารินาการ์ดเก่าแก่กว่าไรห์ว่าตั้งเท่าไหร่ อีกทั้งกฎแห่งบรรพกษัตริย์ของทุกอาณาจักรก็เหมือนกัน นั่นคือการสืบทอดบัลลังก์ต่อไปยังผู้ที่มีสิทธิ์ 'ตามอายุ' แม้ว่าจะไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาทก็ตาม"

ปัญหาที่ซับซ้อนของไรห์วาไม่ใช่ธุระของมารินาการ์ด แต่ราชินีก็ไม่อาจยอมให้อาณาจักรฉลามแห่งนั้นเข้ามาวุ่นวายกับการปกครองของนางได้ โดยเฉพาะกับฟาเบียงซึ่งพระนางนับว่าเป็น 'องครักษ์ของราชินี'

"ราชาแอนโธเน่ไม่มีบุตรหรือธิดา แต่ผู้ที่เป็นน้องชายของราชาที่แท้จริงคือฟาเบียงผู้นี้! ราชารอยมีอายุน้อยกว่าเขาตั้งเท่าไหร่ แต่อดีตราชาเอลเซียร์กลับโปรดพระชายาที่สองมากจนแต่งตั้งรอยขึ้นเป็นราชาและข้ามหน้าฟาเบียงไป อีกทั้งยังยัดเยียดข้อหากบฎให้เขาอีก!" พระนางเอนกายอยู่บนบัลลังก์ทอง แต่สองมือก็กำแน่นด้วยพยายามระงับอารมณ์ "ไม่ต้องเอาความสัมพันธ์ระหว่างเมืองมาอ้าง ในเมื่อราชาเอลเซียร์ละเมิดกฎแห่งบรรพกษัตริย์ เราในฐานะผู้ปฏิบัติตามกฎอย่างถูกต้องจนไม่มีความจำเป็นจะต้องให้ความร่วมมือ!"

ฟาเบียงรู้ดีว่าเขากำลังใช้ผู้หญิงเป็นเกราะกำบัง...

แต่เขาต้องเดินทางกลับไปยังไรห์วาอันเป็นบ้านเกิดของตัวเองจริงๆ ชายหนุ่มก็ไม่แน่ใจว่าจะสามารถระงับความโกรธแค้นเอาไว้ได้ ฟาเบียงไม่คิดว่าเขาต้องการอำนาจถึงเพียงนั้น แต่ก็ไม่อาจนิ่งนอนใจได้มื่อเห็นสิ่งที่ควรจะเป็นของตนถูกพรากไปต่อหน้าต่อตา

อดีตราชาแอนโธเน่เป็นพี่ชายต่างมารดาของเขา ซึ่งเกิดจากอดีตพระชายาที่หนึ่งผู้มาจากเผ่าฉลามขาว และเป็นรัชทายาทตั้งแต่กำเนิด แต่น่าเสียดายที่อีกฝ่ายอายุสั้นเสียเหลือเกิน จึงได้จากไปก่อนวัยอันควร แต่แทนที่บัลลังก์แห่งไรห์วาจะตกเป็นขององค์ชายฟาเบียง ผู้เกิดจากอดีตพระชายาที่สาม สิทธิ์การปกครองบัลลังก์กลับตกเป็นของรอย น้องชายผู้เกิดจากอดีตพระชายาที่สอง ...ผู้ได้รับความโปรดปรานมากกว่าอดีตพระชายาที่สาม

ฟาเบียงโกรธ... แต่ไม่เคียดแค้น เขาจะไม่อาฆาตเลยหากไม่ถูกกล่าวหาว่าคิดร้ายต่อพระชายาที่สอง และขัดขวางการขึ้นครองบัลลังก์ของรอย อีกทั้ง... กำลังจะถูกกล่าวหาว่าลอบทำร้ายท่านพี่แอนโธเน่อีกด้วย ดังนั้นหากเขาเดินทางกลับไปไรห์วา ฟาเบียงไม่แน่ใจว่าเขาจะระงับความพยาบาทเอาไว้ได้

หากไม่สู้จนตาย... เขาก็จะสู้จนกว่าจะได้สิ่งที่เป็นของตัวเองคืนมา

ดังนั้น เขาจึงขอร้องให้เรจินาช่วยปกป้อง เพราะเขาตั้งใจจะอยู่ที่มารินาการ์ดแห่งนี้ไปจนตาย ในฐานะองครักษ์คนสนิทของพระนาง "ฟาเบียงเป็นคนของเรา และเราจะปกป้องเขา" คนนำสารก้มหน้าลงหลังจากถูกตวาด เขามีหน้าที่นำความมาแจ้ง และเจรจาเพื่อนำตัวองค์ชายฟาเบียงกลับไป ดังนั้นคำตอบที่แน่วแน่ของเรจินาจึงทำให้เขาต้องใคร่ครวญประโยคต่อไปให้ดี

"ฝ่าบาท นี่เป็นเรื่องการปกครองของไรห์วา"

"หากไม่เคารพกฎแห่งบรรพกษัตริย์ เช่นนั้นไรห์วาก็ไม่ควรมีชนชั้นปกครอง!" เรจินาเสียงสั่น "ในเมื่อไม่ใยดีในพลังแห่งสายเลือดของชนชั้นปกครอง ก็เชิญต่อสู้กันเพื่อเลือกผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดขึ้นมาเป็นผู้นำ ในวิถีของเผ่านักรบ หาใช่วิถีของราชา!" ชนชั้นปกครองล้วนมีเลือดที่มีพลังพิเศษ และเลือดแห่งกษัตริย์ไรห์วาก็มีพิษร้ายในตนเอง เพื่อปกป้องพวกเขาจากการถูกล่าทั้งปวง ทำให้ราชวงศ์แห่งไรห์วากลายเป็นผู้ล่าที่แท้จริง

"เช่นนั้นมารินาการ์ดจะให้การสนับสนุน 'กบฎ' ของไรห์วาหรือขอรับ"

"เราไม่เคารพ 'อดีต' กษัตริย์ที่คิดจะฆ่าลูกของตัวเอง เพียงเพราะรักลูกอีกคนมากกว่า นับตั้งแต่สละบัลลังก์ เขาก็ไม่มีสิทธิ์ในการปกครองอีกแล้ว!" เรจินาลุกจากบัลลังก์ และตรงไปเผชิญหน้ากับเงือกฉลามผู้นำสาร "พวกเจ้าปิดบังเรื่องการผลัดบัลลังก์มาตลอด แต่กลับเปิดโปงในภายหลังว่าองค์ชายฟาเบียงผู้นี้เป็นกบฎ แล้วจะให้เราเชื่อได้อย่างไร"

"ได้โปรด ฝ่าบาท..." คนนำสารค้อมหัว "ไม่เช่นนั้นราชารอยจะส่งฉลามมายังน่านน้ำมารินาการ์ด"

"บังอาจ!" เรจินาตวาด มารินาการ์ดไม่ถนัดการต่อสู้ อีกทั้งไม่มีสัตว์ทะเลชนิดใดสวามิภักดิ์ด้วยอย่างไรห์วาผู้ได้รับคำสัญญาจากพวกฉลาม หรือเซลทิคผู้ได้รับปฏิญาณจากวาฬเพชฌฆาต ดังนั้นนี่จึงเป็นการข่มขู่อย่างไม่ต้องสงสัย "เช่นนั้นก็จะได้เห็นดีกัน เราจะประกาศไปให้ทั่วมหาสมุทร ให้ชาวบาดาลได้ตัดสินเอง ฟาเบียงเป็นสวามีของเรา... เขาสละแล้วซึ่งฐานันดรแห่งไรห์วา แล้วไรห์วายังคิดจะเอาตัวเขาไปจากมารินาการ์ดอีกหรือไม่!"

"ฝ่าบาท..." ฟาเบียงเอ่ยขึ้นเพื่อสงบอารมณ์ของพระนาง "ฝ่าบาทจะเดือดร้อนจากการทำเช่นนั้น"

"เงียบเสีย" พระนางคำรามลอดไรฟัน "เพราะเราจะไม่ยอมให้ราชาที่ไร้เกียรติมาข่มขู่เรา... เด็ดขาด!"

--------------------------------------------------

ชาวเงือกจะขึ้นมาเบื้องบนก็ต่อเมื่อมีแสงอาทิตย์เท่านั้น ดังนั้นความคาดหวังของซินเนย์วาจึงมีมากขึ้นเมื่อเห็นแสงแดดส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาในร้าน 'ท่อนไม้' ของวาร์เรน "เราทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งรอจริงๆ รึ!" นางหมาป่าใจร้อนคำรามใส่ชายหนุ่มในชุดสีแดงที่นั่งทำงานแกะสลักของตนอย่างใจเย็น

"เจ้าใจเย็นขนาดนั้นได้ยังไง!"

"เรามีเวลาเป็นร้อยปี นายหญิง..." วาร์เรนขยับแว่นลงมาเล็กน้อยเพื่อมองผ่านเลนส์ขยายไปยังส่วนที่ละเอียดอ่อนของไม้เท้าหัวสิงโต "ฝั่งที่รีบร้อนน่าจะเป็นราชาเซลทิคเสียมากกว่า และจากเทศกาลเล่นแสงจันทร์เมื่อวันก่อน พ่ออสูรทะเลก็สนุกสนานอย่างเอิกเกริกประเจิดประเจ้อเสียเหลือเกิน" ปลายมีดแหลมสะกิดเนื้อไม้เพื่อให้เกิดเป็นลวดลาย

"คิดหรือว่ามีเพียงพวกเราที่เห็น..."

ซินเนย์วาขบริมฝีปากตนเองเมื่อได้ยินเช่นนั้น "ข้าขอกำลังเสริมจากฝูงมาแล้ว คงจะรีบเดินทางมา"

"ช่วงนี้เองที่เซลทิคเปราะบางเพราะไม่มีใครยืนหยัดปกป้อง" วาร์เรนพึมพำ "ความเคลื่อนไหวของฝูงหมาป่าจะทำให้พวกแวมไพร์ตื่นตัว และตระหนักได้ว่าช่วงนี้เองที่เป็นเวลาเหมาะสมที่สุดที่จะโจมตี" เมื่อครั้งที่แล้วพวกแวมไพร์ได้ตัวองค์ชายเดียร์ราฮานไป แต่พลังแสนวิเศษที่อยู่ในโลหิตกลับจากไปพร้อมกับชีวิต ดังนั้นสิ่งที่ได้ไปจึงไร้ค่า ครั้งนี้แวมไพร์จึงอาจต้องการเพียงราชาเซลทิคที่ยังมีลมหายใจอยู่

"ถ้าปล่อยข่าว... ว่าราชาจะขึ้นฝั่งเล่า" ชายชุดแดงพึมพำ แต่แล้วก็ล้มเลิกความคิด "ไร้เหตุผลเกินไป"

"เราต้องเสี่ยงบางอย่าง เพื่อให้ได้บางสิ่ง วาร์เรน" ซินเนย์วาตอบ "เราปกป้องทุกคนเอาไว้ไม่ได้" นางหมาป่าเดินไปยังหน้าต่าง เพื่อจะมองออกไปด้านนอกด้วยความหวังว่าราชาทะเลเหนือจะเดินทางมาสักที "ชาวเงือกน่าสงสาร แต่พวกเขาจำเป็นต้องเสี่ยงเพื่อให้เรื่องมันจบ"

"เจ้าคิดว่าข้าไม่เข้าใจสถานะของฝ่าบาทไคราห์นหรือ" วาร์เรนขัด "สถานะของราชาที่ไม่ได้รับความเคารพจากคนของตัวเองเพราะทำอะไรที่ดูไม่เข้าท่าน่ะ" นัยน์ตาสีแดงช้อนขึ้นมองจ่าฝูงหมาป่า "การต่อสู้ที่ธราฟัสการ์เมื่อห้าปีก่อน พวกเงือกมั่นใจในตัวเองมากเกินไป จริงอยู่ว่าพวกเขาตัวใหญ่ และมีพลังกำลังมหาศาล แต่หากเทียบเรื่องความเร็วแล้วก็แพ้อย่างไม่ต้องสงสัย แม้ว่าจะรู้จุดอ่อนของแวมไพร์นั่นก็คือไฟและแสงอาทิตย์ก็ตาม"

ซินเนย์วาเองก็เห็นใจ แต่นางมองไม่เห็นทางอื่นที่จะหลอกล่อกลุ่ม 'เงา' เหล่านั้นออกมา

'ก๊อก ก๊อก'

ใครบางคนจับตุ้มทองเหลืองหน้าประตูเคาะสองครั้งแทนคำเรียก ซินเนย์วาสะดุ้งสะดุดและรีบเปิดต้อนรับผู้มาเยือน "ฝ่าบาทไคราห์น!" ราชาเงือกในชุดสูทถอดหมวกทรงสูงออกขณะเดินทางเข้ามา และแขวนเอาไว้บนเสา ทว่าในครั้งนี้ผู้ติดตามราชากลับไม่ใช่องครักษ์คนสนิท แต่กลับเป็นเงือกหนุ่มอีกตนที่มีหน้าตาคล้ายคลึงกัน

เวทอร์สเพิ่งเคยติดตามฝ่าบาทขึ้นมายังเบื้องบน ดังนั้นเขาจึงก้าวตามมาทั้งที่ตัวแข็งทื่อด้วยความเกร็ง และไม่คุ้นเคยกับบรรยากาศรอบตัว แต่ก็คอยสังเกตสิ่งต่างๆ ระวังระไว

"คุณหญิงซินเนย์วา..."

เมื่อฝ่าบาทพยักหน้าให้พร้อมกับกล่าวทักทาย นางหมาป่าก็กลั้นใจและหน้าแดงขึ้นมากะทันหัน ซินเนย์วาเคยพูดคุยกับชาวเงือกเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น ซึ่งนั่นก็คือราชาทะเลเหนือผู้นี้ ดังนั้นนางจึงไม่แน่ใจว่าเงือกชายส่วนใหญ่มีน้ำเสียงที่นุ่มนวลชวนหลงแบบนี้ทุกคนหรือเปล่า

เพราะเงือกหญิงเองก็มักจะมีน้ำเสียงไพเราะทำให้กะลาสีหลงใหลจนเรือล่มตั้งมากมาย

วาร์เรนยกมือของตนขึ้นในระดับสายตา "ทักคุณชายวาร์เรนด้วยไม่ได้หรือ"

ซินเนย์วาหันไปมองคนพูดพร้อมกับถลึงตาใส่ ในขณะที่ราชาเงือกปรายตามองอย่างไม่ให้ความสนใจนัก "ขออภัยที่เป็นฝ่ายผิดนัดเสียเอง" เขาได้ยินเสียงเรียกของหมาป่าหลายคืนมาแล้ว แต่เนื่องจากเป็นช่วงเวลาของเทศกาลเล่นแสงจันทร์ที่สำคัญของชาวเซลทิค ราชาอย่างเขาจึงไม่อาจปลีกตัวออกมาได้ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด

"หน่วยลาดตระเวนพบหมาป่าสองตัวแถวหมู่บ้านร้าง เราหวังว่านั่นจะเป็นคุณหญิง"

นางหมาป่าไม่ค่อยคุ้นเคยกับวิธีการพูดของราชานัก แต่ก็พบจะเข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายชอบเรียก 'ยศ' มากกว่าชื่อ และนางก็ไม่ใช่ท่านหญิง หรือนายหญิงเสียด้วย แต่เป็น 'คุณหญิง' ซึ่งก็เป็นวิธีการเรียกที่นางลืมเลือนไปแล้ว แม้ว่าในอดีตจะคุ้นเคยกับมันก็ตามที "แล้วหากไม่ใช่ข้าเล่า..."

"จะมีหมาป่าตัวใดในแถบนี้สง่างามเท่าคุณหญิงอีก"

ซินเนย์วาพยายามเก็บสีหน้า แต่นางก็รู้สึกได้ว่าพวงแก้มของตนเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ หญิงสาวเปลี่ยนเป้าหมายไปนั่งที่เก้าอี้หน้าเตาผิงก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน "วาร์เรนแจ้งข่าวว่าฝ่าบาทต้องการพบข้าเพื่อหารือเรื่องของแวมไพร์ ...ในฐานะผู้ดูแลความเรียบร้อย หมาป่ายินดีจะให้ความช่วยเหลือ แต่การประกาศศึกกับธาตุอากาศเป็นเรื่องสูญเปล่า พวกมันจะไม่เคลื่อนไหวหากไม่มีความมั่นใจว่าตนเองจะได้รับชัยชนะ"

"พวกมันต้องการเลือดของเรา" ไคราห์นเริ่ม "เราจึงเป็น 'เหยื่อล่อ' ที่ดีที่สุด"

"ฝ่าบาท!" เวทอร์สเงยหน้าขึ้นอย่างลืมตัว แต่ราชาของเขาก็ยกมือปราม

"พวกมันเคยพยายามมาแล้ว เมื่อครั้งที่โจมตีหมู่บ้านธราฟัสการ์ พวกมันได้รับคำสั่งให้จับ 'ราชาแห่งเซลทิค' กลับไป เพราะเลือดแห่งราชวงศ์สามารถเยียวยาบาดแผลได้..." ราชาหนุ่มสูดหายใจเรียกความมั่นใจให้ตัวเอง "เดียร์ราฮานเป็นห่วงความปลอดภัยของเรา... เขาจึงประกาศขึ้นมาว่าตัวเองเป็นราชาแทนเรา"

คนเป็นพี่กำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในอุ้งมือ "เป้าหมายของพวกมันคือเลือดของราชาเซลทิค"

เช่นนั้นก็น่าแปลกที่พวกมันไม่ออกตามล่าฝ่าบาทต่อ...

ซินเนย์วาเหลือบมองวาร์เรนเล็กน้อย ด้วยนางพอจะคิดอะไรออก แต่เมื่อไตร่ตรองอีกครั้งหนึ่ง นางก็คิดว่าเงียบเอาไว้เสียจะดีกว่า วาร์เรนสูดหายใจลึกๆ แล้วจึงออกความเห็น "และฝ่าบาทก็อยู่ที่อาณาจักรเซลทิค จริงอยู่ว่าชาวเงือกละทิ้งหมู่บ้านนั้นไปแล้ว แต่มันมีร่องรอยที่จะสืบสาวไปถึงที่ตั้งที่แท้จริงของอาณาจักร ซึ่งจะกลายเป็นเป้าหมายต่อไปของพวกแวมไพร์"

"เราได้ยินว่าแวมไพร์กลุ่มนี้เป็นปรปักษ์กับราชาแวมไพร์" ไคราห์นกล่าวต่อ "เช่นนั้นหากบอกพวกนางพรายสายลมไปว่า เราจะขึ้นฝั่งเพื่อไปหารือกับราชาแวมไพร์เสียเอง คงทำให้พวกมันดิ้นพล่านได้กระมัง"

วาร์เรนเบิกตาขึ้น ...นี่คงเป็นเงือกที่ใจกล้ามากพอตัวที่นัดพบแวมไพร์

แต่ต่อให้กล้าแค่ไหนก็ไม่ควรพบแวมไพร์สักตัวอยู่ดี... โดยเฉพาะราชาแวมไพร์

"ข้าแนะนำให้ฝ่าบาทเดินทางไปที่อังกฤษ" วาร์เรนพูดแทรกขึ้นมาเสนอความเห็น "ที่นั่นมีเผ่านักล่าแวมไพร์ สิ่งนี้คงทำให้พวกมันเต้นเร่าจนต้องรีบชิงลงมือก่อนที่ฝ่าบาทจะได้พบพวกเขา" ซินเนย์วาไม่เข้าใจวาร์เรนมากนัก แต่นางก็ไม่มีเวลาทักท้วง ด้วยกำลังใช้ความคิดอยู่กับมุมมองของตัวเอง

เหตุใดแวมไพร์จึงไม่รุกคืบ หลังจากทำลายหมู่บ้านธราฟัสการ์ได้เมื่อห้าปีที่แล้ว

ทั้งๆ ที่เซลทิคอยู่ใกล้เอื้อมเพียงนั้น...


"อังกฤษไม่ใช่ที่ทางของเรา การหลงทิศทางไม่รู้อิโหน่อิเหน่ มีแต่จะทำให้เราเสียเปรียบ แม้เราพร้อมจะเสียสละ แต่ก็ใช่ว่าจะอยากสูญชีวิตไปอย่างเปล่าประโยชน์" ฝ่าบาทต้องการให้เกิดการต่อสู้ที่นี่ และต้องการชัยชนะ เพื่อสร้างความหวาดกลัวให้กับศัตรู อีกทั้งประกาศว่าชาวเงือกแห่งเซลทิคมีสิทธิ์ที่จะขึ้นมายังแผ่นดินแห่งนี้อย่างถูกต้อง

ไม่ใช่ชัยชนะที่อังกฤษ หรือที่อื่นใด... แต่เป็นที่บาร์ธีมอร์แห่งนี้

ในฐานะจ่าฝูง ซินเนย์วาคิดว่าตนเองควรพูดอะไรบ้าง "จริงอยู่ว่าฝ่าบาทไม่รู้ที่ทางในอังกฤษเลย เขาจะขึ้นไปถูกได้อย่างไรแล้วพวกเผ่านักล่าก็อยู่ตั้งลอนดอน หาใช่ริมทะเล แผนนี้ทำให้ฝ่าบาทดูโง่เง่าไม่เข้าท่า พวกมันจะตระหนักได้ว่านั่นเป็นกับดัก" นางหันไปสบตาวาร์เรน "แต่หากเป็นการนัดพบปะที่บาร์ธีมอร์ก็ดูจะได้เรื่องมากกว่า"

 "แต่อังกฤษมีผู้ที่พร้อมจะให้ความช่วยเหลือฝ่าบาทมากกว่า"

เวทอร์สรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง และเขาก็ไม่ได้มีประสบการณ์มากพอที่จะบอกได้ว่าสิ่งที่กำลังรู้สึกนั้นคืออะไร ชายหนุ่มเพิ่งเคยพบพวกหมาป่า บรรยากาศการสนทนาจึงอาจแตกต่างจากมนุษย์ทั่วไปเป็นเรื่องปกติ แต่สิ่งที่กดดันอยู่ในใจของชายหนุ่มก็ทำให้เขาขยับไปใกล้ม่านหน้าต่างที่ปิดสนิท และแง้มมองออกไปด้านนอกเล็กน้อย

แสงอาทิตย์สว่างจ้าเมื่อครู่ถูกบดบังด้วยกลุ่มเมฆหนาทึบ

เมื่อไม่มีแสง... ความหวั่นกลัวเกี่ยวกับแวมไพร์ก็ก่อตัวขึ้นมา

"เราจะไม่ส่งศัตรูไปยังน่านน้ำของมารินาการ์ด!" ราชาทะเลเหนือกดเสียงต่ำ "ปัญหาเกิดขึ้นที่เซลทิค ดังนั้นชาวเซลทิคจะต้องรับมือกับปัญหานี้เอง" เขาจะไม่หยิบยื่นอันตรายไปให้เมืองอื่น แม้ว่าเมืองอื่นที่ว่านี้ดูจะเอาตัวรอดได้ดีกว่าเมืองของเขาก็ตามเขาจะไม่แต่งงานเพื่อใช้ชื่อเสียงของเรจินาในการครองใจประชาชน และไม่จะแก้ปัญหาของตัวเองด้วยการผลักปัญหาให้เมืองอื่น นั่นเป็นการกระทำของคนขี้ขลาด และไม่ใช่วิถีของราชาทะเลเหนือ

"เลือดแห่งราชวงศ์มารินาการ์ดมีอำนาจมากกว่าเรา... พวกเขาจะเสี่ยงไม่ได้"

"ฝ่าบาท!"

เสียงตะโกนของเวทอร์สทำลายการสนทนา และด้วยประสาทการรับรู้ที่ว่องไวของหมาป่า ซินเนย์วาสัมผัสได้ว่ามีใครอีกคนรับฟังการสนทนานี้อยู่ องครักษ์เงือกกระชากประตูร้านเปิดออก เอื้อมมือไปเบื้องหน้าเพื่อจะคว้านเอาหัวใจของผู้ไม่ได้รับเชิญ มันเป็นร่างเงาของคนสองคน และว่องไวเสียจนมองตามไม่ทัน

แวมไพร์!

โครม!

ซินเนย์วาผุดลุกจากเก้าอี้และก้าวถึงประตูในชั่วอึดใจ แต่ก็ไม่สามารถคืนร่างเป็นสัตว์ป่าได้เนื่องจากพวกเขาอยู่ที่ใจกลางเมืองบาร์ธีมอร์ "วาร์เรน!" หญิงสาวหันไปหาเจ้าของชื่อแต่ไม่พบตัว แต่แล้วแสงแดดเจิดจ้าก็สาดกลับเข้ามาในร้านเมื่อเมฆหนาทึบมลายหายไปในชั่วพริบตาจนพวกเขาต้องยกมือขึ้นบัง

"มันหนีไปได้คนหนึ่ง!"

วาร์เรนยืนอยู่หน้าร้านของเขา ในมือของชายหนุ่มถือมีดเล่มยาวที่พยายามจะแอบเอาไว้ใต้เสื้อคลุม เปลวฝุ่นที่ค่อยๆ สลายไปตรงหน้าบ่งบอกได้ว่าชีวิตหนึ่งของแวมไพร์เพิ่งดับสูญไปเพราะแสงอาทิตย์ "ฝ่าบาท" ร่างของวาร์เรนสั่นเทาด้วยความโกรธเคือง ชายหนุ่มหันกลับมาหาราชาเงือก "เลือดของราชวงศ์มารินาการ์ดมีอำนาจใด มันมากพอที่จะทำให้แวมไพร์เปลี่ยนเป้าหมายจากเซลทิคไปยังมารินาการ์ดหรือเปล่า!"

ไคราห์นมุ่นคิ้วกับคำถาม แต่ก็พอจะคาดการณ์ได้ "...มารินาการ์ดจะมีอันตราย"

"ข้าจะไปอังกฤษ!" วาร์เรนสาวเท้ากลับเข้ามา และเสียบมีดของตนเข้าไปในฝักข้างเอว "นายหญิงอยู่ดูแลที่นี่" เขาอาจเรียกซินเนย์วาด้วยความเคารพ แต่ประโยคของชายหนุ่มก็ไม่ต่างอะไรกับคำสั่ง นัยน์ตาสีแดงหันไปสบมองจ่าฝูงอีกครั้ง "ไม่มีใครปกป้องมารินาการ์ด พวกเขาจะมีอันตราย"

"ไปเถอะ ข้าจะดูแลทางนี้เอง" ซินเนย์วากลั้นใจ "ไปบอกราชาแวมไพร์..."

--------------------------------------------------


ตอนนี้ไม่(ค่อย)มีคาดันน์!!! (ขอโทษ หาช่องให้โผล่ไม่ได้จริงๆ ลูกเอ๊ย...)

จริงๆ คาดันน์เป็นตัวบอสตัวนึงเลยก็ว่าได้ คือพี่แกด้านหน้ามาก (นี่ชม) สามารถเข้าได้กับทุกคน ทุกคู่ ทุกสถานการณ์ มีความยุ่งเรื่องชาวบ้านขั้นสุด และจะเป็นกำลังใจให้ทุกคน ตราบใดที่ทุกคนยังลูบหัวและเล่นลิ้นมัน (...)


จุดที่ยากกกกกกกกกกกกกกกกกกที่สุดในบทนี้คือฉากคำขอของเวสเทียร์นี่ล่ะะ ะ

คือไม่รู้ว่าจะให้ขออะไร ที่ดูไม่มากไปและไม่น้อยไปจนโกหกตัวเอง ปกติเวสเทียร์ไม่ใช่คนที่พูดอะไรตรงกับใจสักเท่าไหร่ เหตุผลคือ 1) รู้สถานะของตัวเอง และ 2) บางอย่างดูจะหวังสูงเกินไป ซึ่งคราวนี้ฝ่าบาทให้โอกาส นางเลยคิดว่าต้องคว้าเอาไว้สักครั้ง หลังจากไม่เคยคว้าเลยจนตัวเองเป็นแบบนี้

ตอนแรกจะให้ขอแรงๆ เช่นคำว่า 'ขอศักดิ์ศรีคืนมาได้ไหม' อะไรแบบนั้น เพราะสิ่งที่ฝ่าบาททำคือเหมือนเหยียบศักดิ์ศรีของเวสเทียร์ (อ้ะ ไม่มีเท้า เหยียบไม่ได้---) แต่ถ้าพูดประโยคนั้นจริงๆ แล้วตามบริบทคือฝ่าบาทจะตกลง-อนุญาตโดยไม่ลังเลอะไรเลย มันจะกลายเป็นคำอนุญาตให้ริบะรึเปล่า 555 (reverse น่ะ พลิกน่ะ... คือ... คือ...) ทั้งที่ใจจริงของเวสเทียร์ก็แค่... ถ้าฝ่าบาทจะห้ามไม่ให้เขาแต่งงาน เขาก็อยากห้ามฝ่าบาทบ้าง

...แต่ในความรู้สถานะตัวเองดี๊ดีของเวสเทียร์ ทำให้คำตอบออกมาเป็นคำปฏิญาณน่าจะเข้าท่ากว่า

ไม่ขออะไรที่เป็นรูปธรรมจากฝ่าบาท แต่ขอให้ฝ่าบาทเชื่อในนามธรรมก็พอ และด้อนแคร์ด้วยว่าฝ่าบาทจะคิดอะไร รู้สึกยังไง (เพราะเขาฝังใจว่าเขาไม่มีสิทธิ์ถาม) ซึ่งเราว่ามันเป็นการลงโทษทางใจที่เจ็บกว่า (และอาจจะแมนกว่า) การมาสะบัดหน้างอนๆ ใส่กัน (เวสเทียร์ก็ 189 cm นะ ฝ่าบาทก็ 200 cm+ นะ เฮ้ยอย่ามาทำเหมือนผู้หญิงตัวเล็กๆ 555)



คำเรียกของซินซิน... ไม่ใช่ นายหญิง (mistress) หรือ ท่านหญิง (milady) แต่เป็นคุณหญิง (countess)

ซึ่งยศของซินเนย์วาอดีตก็เป็นคุณหญิงของท่านเคาน์แห่งโฟล์คสโตนจริงๆ (countess of folkstone) แต่ในปัจจุบันนางเป็น mistress นะ (แต่ชีไม่ใช่นายของฝ่าบาท ฝ่าบาทเลยเรียก countess) (ถ้าใครจะเป็น milady ก็น่าจะเป็น... ชาร์ดอนเน่... แหละมั้ง)

จริงๆ ตอนคิดแผนนี่ก็แอบเกร็งอยู่ว่าคนอ่านจะคาดหวังการตลบหลังอย่างดุเดือดแบบในแอสทารอธรึเปล่าน้า (อันนั้นเราเหนื่อยมาก และมันตลบกันดุจริงๆ 555) แต่พอคิดว่า... เออ... เหยยย นี่เขียนนิยายรักนะ เอาแค่กลางๆ ก็พอน่าาา ก็เลยได้เป็นอันนี้ออกมา (ดูไม่ใช่แผนอะไรด้วยซ้ำ ระดับตัวละครมันไม่ทันกันแบบแอสทารอธ... คือฝั่งเงือกดูจะรู้อะไรน้อยกว่าพวกหมาป่า-แวมไพร์)

จะขยับเส้นเรื่องแล้วนะ... ฮึ้บ!

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด