Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา [08-11-2017] แจ้งข่าวรวมเล่ม
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา [08-11-2017] แจ้งข่าวรวมเล่ม  (อ่าน 47449 ครั้ง)

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนที่ 17.1

จริงอยู่ว่าวิถีชีวิตของชาวเงือกแห่งมารินาการ์ดดูจะเสี่ยงอันตรายน้อยกว่า แต่ฝ่าบาทไคราห์นก็ไม่อาจนิ่งนอนใจปล่อยให้พวกผีดูดเลือดไปเล่นงานที่แห่งนั้นได้โดยที่เขาไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย อย่างน้อยเขาควรจะเรื่องนี้กับราชินีเรจินาเพื่อให้พระนางเตรียมรับมือ ไม่ว่าจะเป็นการสั่งห้ามชาวบาดาลขึ้นมาเหนือน้ำในเวลากลางคืน การเฝ้าระวังเป็นพิเศษในฤดูหนาวซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ท้องฟ้ามืืดหม่นแทบจะไร้ซึ่งแสงอาทิตย์

"เจ้าไปบอกฟาลให้เตรียมราชรถ เราจะไปมารินาการ์ด!"

ราชาทะเลเหนือออกคำสั่งกับองครักษ์ลาดตระเวนข้างกาย ราชรถแห่งเซลทิคคือฝูงวาฬเพชฌฆาตแห่งทะเลเหนือ แม้พวกมันจะเหนื่อยอ่อนจากการเดินทางกลับมายังมารินาการ์ด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้สร้างความกระวนกระวายใจให้ราชาจนเขาไม่สามารถอดทนรอได้ "เราจะไปพบองค์ชายเร็กซ์ เขาควรจะกลับมารินาการ์ดพร้อมกับเรา" หางวาฬสีขาวขยับโบกพาราชาเซลทิคดำลงไปเบื้องล่าง แต่แล้วเวทอร์สก็เอ่ยท้วงขึ้นมาอย่างที่ไม่มีองครักษ์คนใดของอาณาจักรกล้าทำ

"กระหม่อมอาสาไปพบองค์ชายเร็กซ์เองขอรับ"

ไคราห์นชะงักหยุด เขาหันไปมองคนพูดด้วยความประหลาดใจ น้องชายของเวสเทียร์ผู้นี้ดูจะมีความกล้าขัดคำสั่งของราชาในแบบที่ชาวเซลทิคทั่วไปไม่มี อาจเป็นเพราะอีกฝ่ายอยู่ใกล้ชิดองค์ชายเร็กซ์แห่งมารินาการ์ดมากในระยะหลังๆ มานี้ก็เป็นได้

แต่ก็ใช่ว่าฝ่าบาทไคราห์นจะไม่รับฟัง "เขาเป็นแขกของเรา จะให้เจ้าไปพบได้อย่างไร"

"องค์ชายเร็กซ์อาจต้องการเวลาในการทำความเข้าใจฝ่าบาทขอรับ" เวทอร์สก้มหน้าตอบอย่างนอบน้อม "กระหม่อมเกรงว่าจะมีการปะทะคารมกันอีก จึงไม่อยากให้ฝ่าบาทไปพบองค์ชาย กระหม่อมอาสาจัดการเรื่องนี้เอง ขอเพียงฝ่าบาทออกคำสั่ง"

...เจ้าก็เพิ่งขัดคำสั่งเรานี่ เวทอร์ส

"เช่นนั้นก็ไปบอกองค์ชายเร็กซ์ เราจะไปมารินาการ์ด มีเรื่องที่เราจะต้องหารือกับราชินีเรจินาเป็นการด่วน ซึ่งมันเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยราชวงศ์มารินาการ์ด" เมื่อเอ่ยจุดประสงค์หลักออกไปแล้ว ไคราห์นก็คิดว่าเขาควรจะออกปากในจุดประสงค์รองที่เขาลังเลด้วย "ต่อให้เราไม่มีโอกาสได้เกี่ยวดองกัน... แต่เรากับเรจินาก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน"

"กระหม่อม... ถามได้ไหมขอรับว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับท่านพี่และฝ่าบาท"

นับตั้งแต่ไปรับใช้ใกล้ชิดองค์ชายเร็กซ์ ไคราห์นคิดว่าเวทอร์สเปลี่ยนไปจริงๆ ซึ่งมันอาจเป็นการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกก็เป็นได้ เพราะมันทำให้เขารู้สึกใกล้ชิดกับคนของตนมากขึ้นกว่าเดิม "องค์ชายรู้เรื่องของเรากับเวสเทียร์" ฝ่าบาทตอบ และนิ่งเงียบไปสักพักด้วยไม่แน่ใจว่าควรจะยืดอกรับผิดอย่างลูกผู้ชายหรือว่าเก็บมันไว้เป็นความลับของราชา

"เราเป็นฝ่ายผิดที่วู่วาม..." ไคราห์นยังไม่มีความกล้าพอที่จะบอกว่าเขาทำอะไรลงไป "เจ้าโทษเราเถอะ"

"กระหม่อมไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของฝ่าบาท" คนเป็นน้องอดพูดไม่ได้ "แต่อย่างน้อยกระหม่อมก็รู้ว่าท่านพี่เวสเทียร์คิดอย่างไร และรู้ว่าองค์ชายเร็กซ์รู้สึกอย่างไร" เวทอร์สยังคงไม่มองหน้าราชาของเขาตามกฎของอาณาจักร "ดังนั้น กระหม่อมจึงอาสาช่วยเท่าที่กระหม่อมจะทำได้ เพราะอย่างไรฝ่าบาทก็เป็นราชาของกระหม่อม"

"ต่อไปนี้... ให้เจ้าเงยหน้าขึ้นมองเราเวลาพูด เจ้าทำได้หรือไม่ เวทอร์ส"

องครักษ์ลาดตระเวนค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองราชาของตน และเป็นครั้งที่เขาได้เห็นอีกฝ่ายยิ้มด้วยความเอ็นดู

--------------------------------------------------

ฟาลกลับมายังหน้าผาฝั่งตะวันออกอันเป็นที่พักอาศัยของเผ่าเพชฌฆาต เพื่อจะพูดกับท่านซินเธียร์ อดีตผู้นำเผ่าเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น เลขาคนสนิทไม่เคยพูดเรื่องนี้กลับใครมาก่อนด้วยคิดว่ามันคงไม่ใช่เรื่องใหญ่ เขาคิดมาตลอดว่าฝ่าบาทเห็นเวสเทียร์เป็นเพียงเครื่องระบายอารมณ์ และตอนนี้คงถึงเวลาที่พวกเขาควรจะได้หัวหน้าเผ่าคืนมา

แต่ไม่ใช่เลย... ฝ่าบาทไคราห์นไม่มีวันปล่อยเวสเทียร์กลับมาอย่างแน่นอน

"ข้าควรไปพูดกับฝ่าบาทด้วยตนเอง" ซินเธียร์ถอนใจ นางเอนร่างอยู่บนโขดหินเหนือน้ำและกำลังสางผมอยู่ก่อนที่ฟาลจะเข้ามาพบ "ฝ่าบาทไคราห์นไม่ใช่คนใจคอโหดร้าย และเขาพอจะเคารพข้าอยู่บ้างในฐานะอดีตองครักษ์คนสนิททั้งของเขาและของบิดาเขา เราอาจหารือร่วมกันได้" นางเงือกหันไปมองท้องฟ้าเบื้องบน แสงที่ส่องผ่านเข้ามาตามรอยแยกของหินค่อยๆ น้อยลง บ่งบอกได้ถึงยามพลบค่ำ "เจ้าก็อย่าเพิ่งวู่วามไป ฟาล เรื่องนี้ละเอียดอ่อนนัก"

"เขาเป็นหลานของข้า... ท่านซินเธียร์ จะให้ข้าอยู่เฉยได้อย่างไร"

"เวสเทียร์เป็นองครักษ์มาสิบปี ฟาล... แต่เรื่องทั้งหมดนี่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อห้าปีที่แล้วเท่านั้น ข้าจึงคิดว่ามันมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้มันเกิดขึ้น และจากปากของเวสเทียร์เอง เขาก็ย้ำกับเจ้าว่าสิบเจ็ดปี" ซินเธียร์มุ่นคิ้ว "ฝ่าบาทครองบัลลังก์เซลทิคมาได้สิบเจ็ดปีพอดี" ซินเธียร์เกษียณอายุมาได้สิบปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่นางไม่รู้ความเคลื่อนไหวหรือความเปลี่ยนแปลงของราชาทะเลเหนือเลย แต่ก็ใช่ว่ายี่สิบห้าปีก่อนหน้านั้นจะไม่รู้จักฝ่าบาทไคราห์น

นางอยู่มาก่อนที่จะมี 'องค์ชายไคราห์น' ด้วยซ้ำ

"เด็กคนนั้น... มีความแข็งแกร่งของราชาเป็นเปลือกนอก แต่ในใจของเขาบอบช้ำจากปัจจัยหลายอย่าง" ซินเธียร์ขบริมฝีปากตนเอง "เจ้าจะไม่สนใจเรื่องส่วนตัวของราชาไม่ได้ ฟาล... นั่นไม่ใช่สิ่งที่เลขาที่ดีเขาทำกัน" นางเงือกอาวุโสว่า "หน้าที่ของเรา เผ่าองครักษ์ คือการปกป้องราชา และคอยอยู่เคียงข้างเขา ตามคำสัตย์ที่ให้ไว้ หากเจ้ามองว่าสิ่งที่ฝ่าบาททำคือการเหยียบย่ำคำสัตย์ของเผ่าเรา ข้าก็อยากทบทวนอีกสักรอบว่าเราได้ปฏิบัติตามคำสัตย์นั้นแล้วจริงหรือ"

"ถึงเราจะส่งผู้นำเผ่าไปรับใช้ฝ่าบาท ก็ใช่ว่าเราจะต้องเสียสละเขาไป" ฟาลตอบ

"เวสเทียร์ยังไม่ตายเสียหน่อย" ซินเธียร์ว่า "และห้าปีก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องนี้ เหตุใดเวสเทียร์จึงไม่คิดมีคู่ แต่งงานมีครอบครัวกับเขาทั้งที่มันเป็น 'ส่วนหนึ่ง' ของหน้าที่ผู้นำเผ่า ไม่ใช่เพราะเวสเทียร์ปฏิเสธเองหรอกหรือ เขาปฏิเสธมาตลอดเพราะอ้างว่าไม่มีผู้ใดถูกใจต้องตา ชาวเงือกเราสามารถมีคู่ครองได้เพียงคนเดียว ข้าจึงคิดว่าควรให้เวลาเขาได้เลือก แต่ในเมื่อ... มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น อีกทั้งเกิดมาตั้งนานแล้วโดยที่เวสเทียร์ไม่เคยพูดอะไรสักคำ นั่นไม่ได้แปลว่าเขาตกลงปลงใจแล้วหรอกหรือ เจ้ากลับคิดจะให้เขาหันหลังให้กับคู่ของตนเอง เพียงเพราะคู่ของเวสเทียร์ไม่สามารถให้กำเนิดทายาทได้อย่างนั้นหรือ"

ฟาลมุ่นคิ้วพร้อมกับส่ายหัวในสิ่งที่อดีตผู้นำเผ่ากล่าว "ฝ่าบาทไม่ใช่คู่ของเวสเทียร์"

"เราคัดเลือกผู้นำจากความแข็งแกร่ง..." ซินเธียร์กล่าวต่ออย่างใจเย็น "ต่อให้เวสเทียร์มีลูก ลูกของเขาก็ต้องมาลงประลองในการคัดเลือกผู้นำเผ่าอยู่ดี และต้องชนะเท่านั้นจึงจะได้เป็นผู้นำเผ่าต่อไป ซึ่งเมื่อสิบปีก่อนแม้แต่ลูกของข้า หรือหลานของข้าเองก็ยังพ่ายเวสเทียร์ ทั้งที่พวกเขามีสายเลือดของข้า... ข้าซึ่งเป็นถึงอดีตผู้นำเผ่าเพชฌฆาต"

"แล้วเจ้าที่รู้เรื่องนี้แก่ใจกลับจะให้ข้าส่งแม่หนูธีราไปแต่งงานกับเขา... ไม่คิดถึงจิตใจของฝ่ายหญิงบ้าง!"

'หากข้าไม่แต่งงาน เผ่าเพชฌฆาตจะทอดทิ้งข้าหรือเปล่า'

ไม่เลย... เพราะวิถีของเผ่าเพชฌฆาตคือการเคารพผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ซึ่งตอนนี้ก็คือเวสเทียร์

"อีกไม่นาน ฝ่าบาทจะเสกสมรมกับราชินีเรจินา... มันจะมีสิ่งใดเหลือให้เวสเทียร์เล่า!"

ฟาลไม่ยอมรับ เขาเพียงแค่ 'ไม่อยาก' ยอมรับในความสัมพันธ์ที่สัญญากันด้วยลมปาก พวกเขาอาจถูกตาต้องใจกัน แต่มันก็ทำได้เพียงแค่นั้น ความสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกันไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ และไม่เหลือสิ่งใดทิ้งไว้เบื้องหลัง แม้จะเป็นความรู้สึกที่ดี แต่เวสเทียร์จะเสียโอกาสในการสืบทอดสายเลือดไปตลอดกาล

ซินเธียร์กำลังจะอ้าปากตอบ แต่เมื่อนางเห็นร่างเงาสีขาวเคลื่อนกายขึ้นมาใกล้ นางเงือกก็ถอยตัวลงน้ำอย่างรวดเร็ว "ฝ่าบาทไคราห์น" ราชาทะเลเหนือผุดขึ้นเหนือผิวน้ำพร้อมกับเสยผมสีขาวไปด้านหลัง เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่ง ก่อนจะเคลื่อนสายตาไปมองเลขาคนสนิท เงือกใต้บัญชาทั้งสองค้อมหัวลงเพื่อแสดงความเคารพต่อราชา

ฟาลไม่กลัวว่าฝ่าบาทจะโกรธเพียงใด เพราะเขารู้ดีว่าอีกฝ่ายได้ยินสิ่งที่เขาพูด

"นับแต่นี้... เวลาจะพูด ให้เงยขึ้นมองเรา ตกลงไหม" ราชาหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบปราศจากอารมณ์ "ถ้าเจ้ามองหน้าเรา เจ้าอาจจะเข้าใจมากขึ้นว่าเรารู้สึกอย่างไรกับคำพูดของเจ้า ฟาล" เงือกทั้งสองยังไม่อาจทำได้ เนื่องด้วยพวกเขาอยู่กับกฎเกณฑ์เดิมมาตลอดชีวิต ฝ่าบาทจึงถอนใจเบาและเคลื่อนกายไปยังโขดหินใกล้ๆ เพื่อจะยกตัวเองขึ้นนั่ง

"เพราะพวกเราไม่เคยพูดกัน มันจึงเป็นแบบนี้..."

ซินเธียร์ไม่แปลกใจที่ฝ่าบาทของนางดูจะเยือกเย็นเสียเหลือเกิน ฝ่าบาทไคราห์นมีนิสัยเช่นนี้ เพราะตัวเขาเองบอบช้ำจากคำครหานินทาของคนอื่นมามาก ทั้งที่ยังไม่มีโอกาสพิสูจน์ตัวเอง ฝ่าบาทจึงพยายามประนีประนอมทุกสิ่ง แต่หลายสิ่งนั้นก็ต้องปิดบังเอาไว้ด้วยหน้ากากความแข็งแกร่งของราชา

...แต่ชายหนุ่มรู้มาเนิ่นนานแล้วว่า 'คำสั่ง' ไม่อาจเอาชนะใจคนได้

"เจ้าเคยถามเราสักครั้งไหม ฟาล... ว่าเราต้องการอะไร" คำพูดของราชาดูตัดพ้อ และอ่อนแอไม่สมเป็นเขา ซึ่งฝ่าบาทก็ดูจะรู้ดี "กฎของราชวงศ์กีดกันเราออกจากคนของเราเอง แม้แต่คนที่ใกล้ชิดที่สุดอย่างเจ้าก็ไม่กล้าแม้แต่จะออกปาก"

นี่ไม่ใช่เวลามาปรับความเข้าใจกันแบบเด็กๆ ราชาทะเลเหนือคิดเช่นนั้น

"เราจะยกเลิกธรรมเนียมปฏิบัติต่อราชวงศ์เซลทิค สิ่งเดียวที่พวกเจ้าไม่อาจทำกับเราได้จะมีเพียงข้อเดียว... นั่นคือการห้ามแตะต้อง" เงือกอาวุโสทั้งสองมุ่นคิ้ว และลอบสบตากันอย่างไม่เข้าใจ อีกฝ่ายไม่ได้มาเพื่อจะพูดเรื่องของเวสเทียร์อย่างนั้นหรือ "จงเงยหน้าขึ้นมองเรา พูดคุย และสนทนากับเราอย่างที่คนทั่วไปเขาทำกัน"

ซินเธียร์เงยหน้าขึ้นมองราชาของนาง แม้จะไม่คุ้นชิน แต่การได้สบมองดวงตาสีน้ำเงินลุ่มลึกตรงหน้า นางเงือกก็รู้สึกประหนึ่งว่าได้อยู่ใกล้ชนชั้นปกครองมากขึ้น

"เราไม่คิดจะสมรสกับราชินีเรจินา..."

หากเป็นการพูดธรรมดา ซินเธียร์ก็คิดว่านี่อาจเป็นประโยคที่ไม่ได้มีความหมายอะไร แต่เมื่อฝ่าบาทเอ่ยออกมาพร้อมกับมองสบตานางไปด้วย นางเงือกกลับรู้สึกได้ถึงความแน่วแน่อย่างหนึ่งในคำพูดนั้น "เหตุผลที่หนึ่ง เพราะเรามีเวสเทียร์อยู่แล้ว และเหตุผลที่สอง... เราจะไม่ยืมมือของผู้หญิงในการทำให้ประชาชนเลื่อมใสในตัวเรามากขึ้น แม้ว่านั่นจะเป็นหนทางที่ง่ายดายที่สุดก็ตาม"

ฟาลค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองราชา เมื่อเห็นว่านางเงือกอาวุโสเงยขึ้นก่อนหน้าแล้ว

"เราเองก็ละอายแก่ใจเป็นเหมือนกัน" ซินเธียร์พยายามหาคำพูดมาตอบโต้ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าควรจะกล่าวอะไร "ราชามีหน้าที่ปกป้องผู้คนของเขา และหากเราในตอนนี้ไม่แข็งแกร่งพอที่จะคู่ควรกับผู้นำเผ่าเพชฌฆาต... เราก็จะทำให้ได้สักวันหนึ่ง" น้ำเสียงของฝ่าบาทขึงขัง และมั่นคง ราวกับว่ามันเป็นคำสัตย์ของเขา "เพื่อให้พวกเจ้ายอมรับในหนทางที่เราเลือก"

"เราไม่ได้ดูแคลนคำสัตย์ของพวกเจ้า... เราแค่รักเวสเทียร์"

เลขาคนสนิทหลับตาลงและถอนใจออกมา "กระหม่อมจะกล้าขัดใจราชาได้อย่างไร ในเมื่อคำสัตย์ของเราคือการช่วยเหลือและอยู่เคียงข้างฝ่าบาท" เขากำหมัดเอาไว้หลวมๆ ขณะพูดต่อ "ต่อให้กระหม่อมจะไม่เข้าใจคำสัตย์ของฝ่าบาทเลยก็ตาม"

"สิ่งที่ผิดแปลกไปจากเดิมต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจ ฟาล" ไคราห์นตอบเรียบ

เลขาคนสนิทพยายามปล่อยวาง และบอกตัวเองว่าเขาควรจะเปิดกว้างต่อราชา "เช่นนั้นฝ่าบาทมีหนทางใดที่จะพิสูจน์... ไม่ใช่เพียงแค่พิสูจน์ต่อกระหม่อมหรือท่านซินเธียร์ แต่พิสูจน์ต่อเผ่าเพชฌฆาตและประชาชนทั้งหมด ว่าฝ่าบาทแข็งแกร่งพอ"

"ตอนนี้มีเรื่องสำคัญที่เราจะต้องขอความช่วยเหลือจากเผ่าเพชฌฆาต" ไคราห์นว่า "เราหารือกับพวกหมาป่า ดูเหมือนว่าพวกแวมไพร์จะหันไปสนใจมารินาการ์ด พวกเขามีอันตราย เราต้องเดินทางไปยังมารินาการ์ดให้เร็วที่สุดเพื่อเตือนราชินี"

"หากฝ่าบาทช่วยมารินาการ์ดได้..." ฟาลพูดเสียงต่ำ "ประชาชนอาจเลื่อมใสฝ่าบาทมากขึ้นก็เป็นได้"

"ไม่ง่ายเช่นนั้นหรอก" ฝ่าบาทพูดเสียเอง "เรามีหน้าที่ปกป้องคนของตัวเอง หาใช่เมืองอื่น แต่ในตอนนี้... เราต้องปกป้องสายเลือดจอมราชัน นั่นคือหน้าที่... ในฐานะหนึ่งในบรรพกษัตริย์"

ซินเธียร์พยักหน้ารับคำสั่ง "ข้าจะระดมหน่วยสนับสนุน เราจะพร้อมไปยังมารินาการ์ดในคืนนี้"

"ฝ่าบาท..." ฟาลขัดขึ้นมา "เวสเทียร์อาการดีขึ้นแล้วหรือขอรับ"

"เราจะจัดการเอง"

--------------------------------------------------

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนที่ 17.2

ภาษาของหมาป่ามีเพียงหมาป่าเท่านั้นที่จะเข้าใจ และในคืนนี้ซินเนย์วาก็ยืนฟังข่าวจากพวกพ้องของนางอย่างตั้งใจ นางยังคงอยู่ที่ร้านของวาร์เรน และออกมาด้านนอกระเบียงชั้นสองเพื่อจะเงี่ยหูฟัง แม้ว่าอากาศในค่ำคืนนี้จะหนาวเย็นลงมากก็ตาม พวกแวมไพร์มีการเคลื่อนไหวรวดเร็ว ดังนั้นนางจึงกังวลเหลือเกินว่าความลับที่ออกจากปากฝ่าบาทไคราห์นจะรู้ไปถึงไหนต่อไหนแล้ว แม้มันจะเป็นความลับที่ไม่ได้ลึกล้ำอะไรเลยก็ตาม

"ซินเนย์วา!"

เสียงแหลมสูงของใครบางคนดังขึ้น และสิ่งต่อมาก็คือเสียงหวีดหวิวข้างหู เมื่อสายลมพัดเข้ามาปะทะร่างบางในชุดกระโปรงยาวสีเข้ม "เธโธเรียร์!" จ่าฝูงหมาป่าสะดุ้งโหยง เมื่อข้างกายนางปรากฎหญิงสาวในชุดโปร่งที่บางเสียจนเกือบเห็นสัดส่วนทั้งหมดของร่างกาย เธโธเรียร์ผู้นี้คงเป็นหญิงงาม หากไม่ใช่นางพรายผู้ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนมนุษย์

ใบหน้าของนางพรายบูดบึ้ง นางดูไม่พอใจกับบางสิ่ง แต่ซินเนย์วาก็ตอบไม่ได้ว่าทำไม

"ฝูงเจ้าส่งเสียงหนวกหูไปหมด!" นางพรายแหว "ข่าวกระจายไปทั่วแล้วว่าฝูงหมาป่ากำลังจะมาที่ไอร์แลนด์" หากเทียบในหมู่อมนุษย์แล้ว เหล่านางพรายสายลมพวกนี้ถือเป็นผู้นำข่าวที่รวดเร็วที่สุด อีกทั้งยังเป็นตัวกระจายข่าวลือที่ดีที่สุดอีกด้วย แม้จะไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าข่าวของพวกนางจริงเท็จแค่ไหนก็ตาม

แต่มีเพียงเรื่องเดียวที่เหล่าพรายสายลมไม่รู้ นั่นก็คือเรื่องของชาวเงือกผู้ได้ชื่อว่าเป็น 'พรายสมุทร'

"ถ้าพวกแวมไพร์นั่นหัวหดขึ้นมา สิ่งที่เราทุ่มจะสูญเปล่า"

"เชื่อข้าเถอะ" ซินเนย์วากอดอก นัยน์ตาสีเหลืองอำพันเหลือบมองนางพรายที่ยืนอยู่ข้างกัน "พวกมันโจมตีธราฟัสการ์เมื่อห้าปีก่อน และรู้แล้วว่าฝ่าบาทไคราห์นคือราชาเงือกผู้มีผิวสีขาวเผือด แต่หลังจากนั้นก็เงียบหายไปเลย ซึ่งนั่นเป็นเรื่องผิดปกติมากสำหรับกลุ่มคนที่... เห็นชัยชนะอยู่แค่เอื้อม"

เธโธเรียร์เงียบไปครู่หนึ่งขณะคิดตาม "หรือเพราะเจ้าเดินทางมาที่นี่"

"ไม่ใช่ข้าหรอก" ซินเนย์วาตอบ "วาร์เรนต่างหาก"

เธโธเรียร์เม้มริมฝีปากบางครุ่นคิด ก่อนจะเหลือบตาขึ้นมอง "พวกมันรู้แล้วว่าวาร์เรนเดินทางกลับไปอังกฤษ พวกมันจะใช้โอกาสนี้ในการลงมือที่นี่ ระหว่างที่ฝูงของเจ้ายังมาไม่ถึง" เสียงเห่าหอนที่ดูใกล้กว่าที่คิดไว้ทำให้นางพรายมุ่นคิ้ว นางหันไปมองที่มาของเสียงทางทิศใต้อีกครั้งก่อนจะหันกลับมา

"ฝูงของเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว..."

"ข้าหลอกนางพรายได้จริงหรือนี่" ซินเนย์วายกมุมปากขึ้นยิ้ม "ฝูงของข้าอยู่ที่นี่นานแล้ว... แม่สายลม"

เธโธเรียร์ยิ้มตอบเมื่อเข้าใจความคิดคนตรงหน้า "เจ้ายุยงส่งวาร์เรนกลับไปอังกฤษเพื่อให้พวกแวมไพร์ตายใจ..."

"คนของเจ้าเองก็เล่นเป็นแวมไพร์ได้สมบทบาทดี" ซินเนย์วาออกปากชม "วาร์เรนเองก็กำลังโกรธจึงไม่ทันสังเกตว่าแดดออกจ้าเท่านั้น แวมไพร์จริงๆ จะหนีไปไหนได้พ้น" นางหมาป่าเงี่ยหูฟังเสียงหอนรายงานจากคนของนางอีกครั้ง "จังหวะดีที่ฝ่าบาทเอ่ยถึงมารินาการ์ด ข้าคิดว่าเรื่องนี้จะทำให้เขาเดินทางไปยังมารินาการ์ด ออกห่างจากสนามรบ"

"ชาวเงือกเป็นหนึ่งในดินแดนใต้ทะเลเสมอ... ให้พวกเขาอยู่กลางมหาสมุทรจึงปลอดภัยที่สุด"

ถึงจะว่าอย่างนั้น แต่ซินเนย์วาก็ถอนใจออกมา "แต่ความจริงจากปากฝ่าบาทไคราห์นก็ทำให้ข้าอดเป็นห่วงขึ้นมาไม่ได้ หากเลือดของราชวงศ์มารินาการ์ดแข็งแกร่งกว่า พวกเขาจะไม่ถูกไล่ล่าจริงหรือ ต่อให้พวกเขาจะสามารถกลบซ่อนอยู่ใต้ทะเลได้ตลอดกาลก็ตามทีเถอะ"

"อำนาจใดที่อยู่ในเลือดของราชวงศ์มารินาการ์ด" เธโธเรียร์ถาม

ซินเนย์วาไหว่ไหล่ตอบ "ถึงข้ารู้ ข้าก็ไม่บอกเจ้าหรอก เจ้ามันเผ่าพันธุ์ที่ยุ่งเรื่องชาวบ้านได้สมบูรณ์แบบขนาดนี้"

นางพรายรู้ว่านั่นไม่ใช่คำชม แต่นางก็เหนื่อยจะต่อปากต่อคำ "ถึงอย่างนั้นเราก็มีศัตรูคนเดียวกัน ข้าเบื่อหน่ายกับการหลบหนีพวกแวมไพร์ที่ไม่เคารพกฎเต็มทนแล้ว" นางพรายกำหมัดครั้งหนึ่ง และคลายออกช้าๆ พร้อมกับการคืนร่างมลายหายไปในสายลม "ถอนคนของเจ้าออกมาเถอะ ก่อนที่จะถูกพวกทหารเงือกสอยเอาที่ริมผานั่น..."

เธโธเรียร์ยิ้มขำ "เรื่องยุ่งเรื่องชาวบ้านนี่ยกให้สายลมอย่างพวกข้าเถอะ"

--------------------------------------------------

เวสเทียร์ยังนอนพักผ่อนอยู่บนแท่นประทับตามคำสั่งของฝ่าบาท ระหว่างที่อีกฝ่ายออกไปจากถ้ำ องครักษ์ไม่ได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นสิ่งเดียวที่ทำให้เขาต้องอยู่ที่นี่ต่อคงเป็นความอ่อนเพลียสะสม แต่ร่างโปร่งกลับไม่ได้พักผ่อนอย่างเป็นสุขนักเมื่อนึกขึ้นได้ว่า วันนี้เลขาอาวุโสแห่งเซลทิคไม่มารายงานความเป็นไปของอาณาจักร

ท่านฟาลจะทำอะไรหรือเปล่านะ...

จริงอยู่ว่าอีกฝ่ายหวังดีเสมอ แต่เวสเทียร์ก็รู้ว่าญาติของเขามักจะคิดทำอะไรที่ดูไม่เข้าท่า ซึ่งจะทำให้ฝ่าบาทโกรธอยู่ร่ำไป และเมื่อคิดถึงเรื่องที่อีกฝ่ายจัดแจงให้ธีรามาพบเขา เวสเทียร์ก็อดเป็นห่วงเด็กสาวคนนั้นไม่ได้ เขาได้แต่ภาวนาว่าการที่ฝ่าบาทหายไป อีกฝ่ายไม่ได้ไปพบท่านซินเธียร์หรือแม่หนูธีรา

ฝ่าบาทคงไม่วู่วามขนาดนั้นหรอกกระมัง

เมื่อคิดถึงฝ่าบาท เงาสีสว่างที่ค่อยๆปรากฎให้เห็นก็ทำให้เวสเทียร์หยัดกายขึ้นนั่ง ด้วยรู้ว่าราชาแห่งเซลทิคกลับเข้ามาในถ้ำแล้ว อีกฝ่ายโผล่ขึ้นจากน้ำพร้อมกับเสยผมขึ้นด้วยมือทั้งสองข้าง และสูดหายใจเข้าลึกจนแผงอกกว้างขยายขึ้นสง่างามผึ่งผาย นัยน์ตาสีน้ำเงินลุ่มลึกเหลือบขึ้นมององครักษ์ของตน และดูเหมือนว่าเขาจะพอใจที่ยังเห็นเวสเทียร์อยู่ที่เดิม

ถึงจะมีเรื่องใหญ่รออยู่ตรงหน้า แต่เมื่อได้เห็นเวสเทียร์ หัวใจของฝ่าบาทก็หนักขึ้นมา

ราชาทะเลเหนือขยับร่างขึ้นนั่งบนผืนทรายเบื้องหน้าแท่นประทับ เอื้อมมือขึ้นมาแตะที่ลำคอขององครักษ์คนสนิทเพื่อรับฟังชีพจรของอีกฝ่าย พวกเขานิ่งเงียบกันไปสักพัก ด้วยไม่รู้ว่าจะสนทนาสิ่งใด ราชาหนุ่มเคลื่อนมือขึ้นไปสัมผัสปอยผมสีเข้มหยักศกที่ล้อมกรอบใบหน้าเรียว เขาลูบมันช้าๆ อย่างทะนุถนอม ในใจนึกอยากจะขอโทษอีกสักพันครั้ง ถึงแม้ว่ามันจะไม่พอ แต่เวสเทียร์ไม่พูดซ้ำ อีกฝ่ายไม่ย้ำคิดย้ำทำหรือคิดวกวนอยู่กับเรื่องเดิมๆ เขาจึงไม่ควรกล่าวถึงมันอีก

"ให้กระหม่อม... ลงจากแท่นประทับเถอะขอรับ มันเป็นที่ของฝ่าบาท"

เวสเทียร์เกร็ง เขาไม่เคยชอบใจที่ฝ่าบาทสั่งให้ตนนอนบนแท่นประทับ ด้วยรู้ดีว่าเขาไม่ได้คู่ควรกับมัน แต่คำพูดที่ออกจากปากองครักษ์กลับทำให้ราชาคิดว่าอีกฝ่ายไม่เคยให้อภัยเลย ซึ่งน่าแปลกสำหรับคนที่กล้าพูดคำว่ารักออกมา "เราสบายดี ยังไม่ได้อยากนอน" ไคราห์นปฏิเสธ "เจ้าต่างหากที่ต้องพักผ่อน"

เวสเทียร์มุ่นคิ้วต่อต้าน "กระหม่อมไม่เป็นอะไร"

"จะต้องให้เราทำยังไง เวสเทียร์" ราชาหนุ่มถามออกมา "ภายใต้คำว่า 'ไม่เป็นอะไร' ของเจ้า มันเป็นอะไรเสียยิ่งกว่า... ทุกครั้งที่เราถาม เจ้าจะตอบเหมือนเดิม มันใช่คำตอบในใจของเจ้าแน่หรือ" องครักษ์ไม่กล้าเงยขึ้นสบตาราชา เขาขบริมฝีปากตัวเองด้วยรู้ว่ากำลังทำให้ฝ่าบาทโกรธ แต่ก็สองจิตสองใจที่จะพูดอะไรออกไป

"เจ้าขอแค่รัก... แต่ไม่ต้องการเป็นคนรักของเราหรือยังไง"

จะให้เขาหวังจะเป็นคนรักของราชาได้อย่างไร... มันอาจเอื้อมเกินไป

เขาแค่ไม่อยากให้ฝ่าบาทคิดว่าเขาเอาใจออกห่าง... เขาแค่ไม่ต้องการให้ราชาหนุ่มคิดว่าเขาต้องการจะละทิ้งราชา... เวสเทียร์หลับตาลงพร้อมกับเม้มปากจนเป็นเส้นตรงด้วยความรู้สึกอึดอัด "ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด..." องครักษ์ตอบเสียงเบา "ไม่จำเป็นจะต้องรับผิดชอบกระหม่อมเลย"

เจ้าบ้า เวสเทียร์...

ฝ่าบาทขยับตัวขึ้นไปนั่งบนแท่นประทับเคียงข้างอีกฝ่าย ยกมือขึ้นประคองเสี้ยวหน้าที่เบือนหนีเขาด้วยท่าทางต่อต้านและเจ็บปวด "เจ้าคิดว่าเราแค่รู้สึกผิดจริงๆ น่ะหรือ" เวสเทียร์ขบริมฝีปากตัวเองจนได้รสเลือด แต่แผลนั้นก็ค่อยๆ หายไปเองด้วยพลังจากสัมผัสของอีกฝ่าย "พูดออกมาว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ ...หยุดโกหกเราเสียที"

"กระหม่อมไม่ได้โกหก" องครักษ์ตอบเสียงแผ่ว "ฝ่าบาทจะทำเป็นไม่ได้ยินก็ได้ ว่ากระหม่อมเคยพูดอะไรออกไป... หรือเคยขออะไรออกไป" เวสเทียร์ไม่ต้องการให้อีกฝ่ายรับผิดชอบ ไม่ได้ต้องการความใส่ใจหรือสนใจเป็นพิเศษจากราชา เขารู้ดีว่ายังมีเรื่องอื่นที่สำคัญยิ่งกว่าความรู้สึกของเขารอฝ่าบาทอยู่ เหตุผลเดียวที่เวสเทียร์กล้าพูดคำว่ารักออกไป... ก็เพื่อไม่ให้ฝ่าบาทกล่าวหาว่าเขาคิดจะตีจากไปเป็นอื่น "กระหม่อมไม่เป็นอะไรจริงๆ"

"เช่นนั้นจะพูดว่ารักทำไม หากไม่คิดจะจริงจังกับมัน!"

เวสเทียร์เอียงหน้าไปจูบฝ่ามือใหญ่ ยกมือของตนขึ้นสัมผัสมัน และบรรจงจูบลงไปบนอุ้งมือของราชาราวกับอ้อนวอนอย่าได้วู่วาม "กระหม่อมแค่อยากให้ทุกอย่างเหมือนเดิม... เป็นเหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็นมา" ไคราห์นถอนใจยาวและหลับตาลง แล้วจึงประคองใบหน้าของคู่สนทนาเอาไว้ด้วยสองมือ เขาก้มลงแนบจูบบนริมฝีปากอุ่นที่ไม่คุ้นเคย ถ่ายทอดความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ไปให้อีกฝ่ายรับรู้

...เวสเทียร์คิดว่าเขาแค่รู้สึกผิดอย่างนั้นหรือ คิดว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยหรือ

จะให้ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิม... อึดอัดเหมือนเดิมน่ะหรือ

องครักษ์ยกมือขึ้นวางบนอกกว้างอย่างไม่แน่ใจว่าควรจะตอบโต้อย่างไร ฝ่าบาทของเขาไม่เคยจูบ และจูบที่ริมฝีปากก็ดูจะมากเกินไปสำหรับคำว่า 'รู้สึกผิด'

ชาวเงือกไม่จูบใครหากไม่คิดจริงจัง

"หากเราขออะไรจากเจ้าสักสิ่ง เจ้าจะให้เราได้ไหม" ร่างสูงกระซิบถามกับริมฝีปากบาง เขาเคลื่อนมือไปโอบกอดเอวได้รูปกระชับเข้ามาใกล้ และลากลมหายใจคลอเคลียอยู่บนพวงแก้มอุ่น "เชื่อคำพูดของเราได้ไหม... ว่าเราไม่ได้ทำไปเพราะรู้สึกผิด"

เวสเทียร์ชอบน้ำเสียงของฝ่าบาทยามที่เรียกชื่อเขา ร่างโปร่งหลับตาลงเมื่ออีกฝ่ายบรรจงจูบลงบนแก้ม ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดติ่งหูนิ่ม และก้มจูบบนสันกรามอีกครั้งหนึ่ง หากนี่เป็นการออดอ้อนของราชา เวสเทียร์ก็คิดว่าคงไม่มีใครโกรธเคืองได้ลงคอ "กระหม่อมเพียงแค่ต้องการให้ทุกอย่างเหมือนเดิม"

"มันไม่มีวันเหมือนเดิม เวสเทียร์" ฝ่าบาทกระซิบ "เพราะต่อไปนี้เจ้าคือคนรักของราชา..."

เมื่อริมฝีปากถูกแตะต้องอีกครั้ง องครักษ์หนุ่มก็ตอบรับอย่างไม่รู้ประสา ปลายลิ้นของพวกเขาสัมผัสกัน ค่อยๆ ทำความคุ้นเคยทีละน้อย ก่อนที่ผู้รุกรานจะกดแทรกบดเบียดลึกล้ำ เรียกเสียงครางต่ำในลำคอร่างโปร่ง อีกฝ่ายดึงเขาเข้ามาโอบกอดในวงแขน จูบซ้ำๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า

เวสเทียร์อยากให้สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้เป็นเพียงความฝัน

อย่างน้อยมันคงน่าจดจำกว่าความจริงที่พวกเขากำลังจะเผชิญต่อไป...

--------------------------------------------------


หลากหลายอารมณ์ละเกิน... นี่เป็นการเขียนมาราธอนสุดๆ ตั้งแต่เขียนมา เพราะตอนนี้เสร็จใน 6 ชั่วโมง แฮะๆๆ

จริงๆ เรื่องนี้พยายามให้พลอตง่ายกว่าแอสทารอธนะ ให้มานั่งตลบหลังกันแบบนั้นคือ... ชาวเงือกไม่ค่อยทันคนอื่นค่ะ โดยคาแรคเตอร์ของเขา เขาจะมีสังคมของเขา ความสัมพันธุ์ระหว่างอาณาจักร ระหว่างเผ่า แต่ว่า... จะไม่ค่อยยุ่งกับพวกข้างบนสักเท่าไหร่ ดังนั้นเวลาเขียนการเจรจาของชาวเงือกกับพวกอื่นๆ จึงค่อนข้างขัดอกขัดใจคนเขียนอยู่ ถ้าเทียบการเจรจาของท่านหญิงลีอาห์กับ.... เอเดรียน(?) มั้ง.... ในพันธนาการดวงดาวน่ะ คู่นั้นฟัดกันสูสีพอสมควร มันเลยให้ความรู้สึกว่าไม่มีใครโง่กว่าใคร

แต่การเจรจาของไคราห์นกับวาร์เรน (หรือซินซิน) เราต้องวางระดับแต่ละคนให้ดี อย่างวาร์เรนกับซินซินนี่เป็นพวกข้างบนอยู่แล้ว เขาอาจจะเลเวลเท่ากัน สมมติว่าระดับ 10 ในขณะที่ไคราห์นต่อให้เป็นราชา แต่ก็ไม่ได้ประสาโลกข้างบนมาก จึงยอมให้สูงสุดแค่ ระดับ 7 เท่านั้น ดังนั้นสกิลเจรจาระดับสุดของไคราห์นอาจจะได้แค่ 7 ในขณะที่ซินซินเป็น 10 แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าไคราห์นโง่นะ... แต่คือต้องฉลาดในแบบที่ชาว 7 ยอมรับว่าฉลาดน่ะ

แต่ถ้าชาว 7 ไปฟังชาว 10 ก็อาจคิดว่าไคราห์นโง่ได้เหมือนกัน

ในมุมเดียวกัน... ถ้าลงทะเลปุ้บ ไคราห์นจะพลิกขึ้นมาเป็น 10 เลย ในขณะที่ซินซินอาจดิ่งลงไปเหลือแค่ 3-4 แต่พอดีเรื่องนี้มันทะเลาะกันบนบก เราอาจต้องยอมให้ตัวละครจากในน้ำ... ลดเลเวลความฉลาดลงมาบ้างเพื่อความสมจริง (คือเราก็รักไคราห์นนะ แต่เราไม่อยากให้ใครเป็นแมรี่ซู-แกรี่สตู) (ยอมให้คาดันน์ตัวเดียว---)

เออใช่... คาดันน์ไปไหนแล้ว!?

ตอนนี้ฝ่าบาทค่อนข้างลุยพอสมควร ในมุมเรา... เหมือนเขาจะ... วีนๆ นิดนึง(?)

ประมาณว่าจะไม่ทนอีกแล้ว จะไม่หนีอีกต่อไปแล้ว (ตั้งแต่เวสเทียร์บอกรัก (?) นี่ฝ่าบาทค่อนข้างสะเทือนใจมากที่ตัวเองปล่อยให้เป็นแบบนี้มาตลอด โดยที่ไม่คิดจะแก้ไขอะไรเลย) แต่ในความเป็นราชา และเข้าใจว่าตัวเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้มารินาการ์ดเดือดร้อน เขาจึงต้องลุยปัญหาทั้งหมดทีเดียวพร้อมๆ กัน ซึ่งเริ่มด้วยการเอาฟาลกลับมา (...)

จริงๆ เป็นฉากที่เหมือนไปขอผู้ใหญ่ แต่คือเขาไม่มีเวลามานั่งปรับความเข้าใจ และอธิบายว่าความรักคืออะไร บลาๆๆ เขาทำได้แค่เคลียร์ว่าเขาจะทำยังไงและรู้สึกยังไงกับเวสเทียร์ ส่วนฟาลจะยอมรับได้ไหม เมื่อไหร่อะไรยังไงยังไม่ใช่เรื่องสำคัญ พอพูดเรื่องเสร็จต้องลามไปเรื่องมารินาการ์ดต่อ

สู้เขานะ ฝ่าบาท---

ออฟไลน์ nutiez

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ฝ่าบาทสู้ๆ *โบกพู่เชียร์*

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
นับถือไคราห์นตรงที่จะไม่พึ่งพาบารมีใคร ข้าทำ ข้ารับผิดชอบ

ขอให้เวสเทียร์รู้จริง ๆ สักทีว่าไคราห์นรัก


ชูป้ายไฟเชียร์คุณข้าว สู้!

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนที่ 18.1

ข่าวของพวกนางพรายอาจเชื่อถือไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็มีมูลความจริงอยู่บ้าง เวเรเซียโนจึงรอข่าวสารจากสายลับคนอื่นๆ "มันอาจเป็นการปล่อยข่าวลวงเพื่อล่อให้เราไปติดกับ นังหมาป่าซินเนย์วาเองก็สนิทกับพวกพรายสายลมด้วย" ชายหนุ่มบอกลูกน้องของตน "มีเหตุผลอะไรที่วาร์เรนจะต้องเดินทางกลับอังกฤษ ทั้งที่ปักหลักอยู่ตรงนั้นมาตั้งนานนับจากสงครามที่ธราฟัสการ์"

เวเรเซียโนยกแขนขึ้นกอดอกขณะที่รอการมาถึงของสายลับจากคฤหาสน์ราชาแวมไพร์

และร่างเงาที่รอคอยก็ขยับมาปรากฎตัวตรงหน้าด้วยความเร็วเฉพาะตัว "ท่านเวเรเซียโน"

"รีบรายงานมาเถอะ อย่ามากพิธีเลย" เวเรเซียโนตัดบท

"มันมาที่คฤหาสน์แล้วจริงๆ แต่ไม่บอกเหตุผลว่าทำไม แต่ทิ้งให้นังหมาป่าอยู่ดูแลที่บาร์ธีมอร์นั่นสักพัก ฝูงของหล่อนกำลังตามไปสมทบ" สายลับรายงาน "แต่ถ้าให้กระผมเดา น่าจะเกี่ยวข้องกับมารินาการ์ด อาณาจักรเงือกที่อยู่ด้านหน้าคฤหาสน์"

"เราไม่สนใจมารินาการ์ด" เวเรเซียโนตัดบท "มันเสี่ยงอันตรายเกินไป และพวกเงือกมารินาการ์ดก็หาตัวจับยากกว่าเซลทิค เราสู้พวกมันในน้ำไม่ได้ อีกทั้ง... เลือดของพวกมันก็ไม่ได้มีประโยชน์เท่ากับเลือดของราชาเซลทิค"

"เช่นนั้นแล้ว ท่านเวเรเซียโนจะทำอย่างไร"

"เราจะต้องไปเซลทิคก่อนที่ฝูงหมาป่าจะไปถึง เราเคลื่อนไหวได้รวดเร็วกว่ามัน" ผู้เป็นนายออกคำสั่ง "ราชาเซลทิคมีชื่อว่า ไคราห์น เป็นเงือกที่มีผิวหนังขาวสนิท เชื่อว่าเป็นอาการป่วยประเภท 'ผิวเผือก' ทำให้เขาดูโดดเด่นกว่าเงือกวาฬตัวอื่นที่มันจะมีหางสีเทาหรือดำ" เวเรเซียโนเริ่มออกเดิน และเพิ่มความเร็วขึ้นจนกลายเป็นวิ่ง ติดตามด้วยเหล่าแวมไพร์ที่อยู่รอบกายเข้าเพื่อมุ่งหน้าไปยังแผ่นดินตะวันตก "แต่อย่าลืมว่าไคราห์นไม่ใช่เงือกตนเดียวที่มีเลือดแห่งการเยียวยา เชื้อพระวงศ์ทุกคนก็มีเช่นกัน ดังนั้น... เงือกตนใดที่ไม่ใช่ทหารก็จงจับเป็น"

"พวกทหารของเซลทิคมีผิวสีเข้มและลวดลายเหมือนรอยสักอยู่บนตัว... แยกไม่ยากหรอก"

--------------------------------------------------

เวทอร์สสูดหายใจลึกๆ สักครั้งหนึ่งก่อนจะดำลงไปยังที่พักรับรองขององค์ชายเร็กซ์แห่งมารินาการ์ด ผู้อยู่กับวาฬเพชฌฆาตวัยห้าปีนั่นก็คือ คาดันน์ หลังจากเหตุการณ์เมื่อเช้านี้ องค์ชายเร็กซ์ก็นั่งทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่เงียบๆกับตัวเอง แต่ก็ไม่ลืมที่จะลูบหัวคาดันน์ไปด้วย วาฬยักษ์ยังคงคลอเคลียอยู่กับเขา ปล่อยตัวสบายใจไม่รู้เรื่องรู้ราวตามแบบฉบับของวาฬผู้ไม่มีอะไรทำในท้องทะเลนอกจากกิน และเล่น

"เจ้าควรจะขึ้นไปหายใจบ้างแล้ว นี่มันนานแล้วนะ"

เร็กซ์กระซิบกับวาฬ ถึงมันจะฟังไม่ออกก็ตาม เจ้าสัตว์ใหญ่เกยคางบนตักคนตรงหน้าและหลับตาระหว่างที่อีกฝ่ายลูบหัวมันช้าๆ อย่างทะนุถนอม องค์ชายเร็กซ์คิดว่าเขาคงรู้สึกหนาวกับกระแสน้ำเย็นในเขตนี้อยู่บ้าง แต่เมื่อมีคาดันน์อยู่ใกล้ๆ ขนาดร่างกายที่ใหญ่โตของมันก็ช่วยป้องกันความหนาวเย็นเอาไว้ รวมทั้งอุณหภูมิร่างกายที่ดูจะสูงกว่าชาวเงือกอยู่มากอีกด้วย

"องค์ชายเร็กซ์ขอรับ..."

เขาอยู่ที่เซลทิคมาร่วมสามสัปดาห์ มีหรือองค์ชายจะจำเสียงเวทอร์สไม่ได้ เร็กซ์สะดุ้งเกร็งเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายเคลื่อนกายเข้ามาในเขตรับรอง ถึงแม้ห้องแห่งนี้จะกว้างขวาง ไม่ใช้ห้องส่วนตัวเสียทีเดียว แต่มันช่วยไม่ได้ที่องค์ชายจะนึกถึงเหตุการณ์เมื่อเช้ามืดที่ผ่านมา ...ที่อีกฝ่ายบอกว่าชอบเขา

ห่างหน้ากันไปสักวันหนึ่งไม่ได้หรือยังไง!

"มีเรื่องด่วนขอรับ" เวทอร์สค้อมหัวลง "พวกแวมไพร์อาจเปลี่ยนเป้าหมายไปสนใจมารินาการ์ด ฝ่าบาทจึงให้กระหม่อมมาเรียนองค์ชายว่าเราจะเดินทางไปยังมารินาการ์ดในคืนนี้ เพื่อหารือกับราชินีเรจินาให้เร็วที่สุด" ข่าวที่อีกฝ่ายนำมาทำให้เร็กซ์เบิกตาขึ้น เขาขยับตัวออกห่างคาดันน์เพื่อจะว่ายอ้อมร่างของมันไปหยุดตรงหน้าเวทอร์ส

"เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น..."

"พวกหมาป่าบอกว่า กลุ่มแวมไพร์ที่มีปัญหาในตอนนี้คือกลุ่มของพวกราชินีที่ต้องการจะโค่นล้มราชา แต่ราชินีแวมไพร์ถูกฆ่าเมื่อสี่สิบปีที่แล้ว พวกมันที่หลงเหลือจึงต้องการปลุกชีพนางขึ้นมาโดยใช้เลือดของชาวเงือกที่มีพลังพิเศษ" เวทอร์สเล่าเหตุการณ์ซ้ำโดยสรุป เพื่อให้คนตรงหน้าเข้าใจสถานการณ์ "พวกมันคิดจะใช้เลือดของราชวงศ์เซลทิคที่มีพลังในการเยียวยา แต่ว่า..."

องค์ชายเร็กซ์กลั้นใจ "เลือดของราชวงศ์มารินาการ์ดสามารถสร้างพันธะสัญญาได้"

นั่นเป็นความลับของสายเลือดจอมราชัน... ความลับที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ ...ผู้ใดที่มีเลือดแห่งจอมราชันไหลเวียนอยู่ในร่าง จะตกเป็นทาสแห่งจอมราชันตลอดไป โดยจะแลกกับสิ่งก็ได้แม้กระทั่งการคืนชีพจากความตาย

"ต่อให้พวกมันใช้เลือดของราชวงศ์เราในการคืนชีพ ก็จะเป็นคนจากราชวงศ์เราเสียอีกที่ฆ่ามันได้"

เวทอร์สส่ายหัว "จะต้องไม่มีการคืนชีพใดๆ ให้กับพวกมัน"

"แล้วทำไมฝ่าบาทถึงไม่มาบอกเองเล่า" องค์ชายเร็กซ์มุ่นคิ้ว "เรื่องสำคัญขนาดนี้..."

"กระหม่อมอาสามาเองขอรับ" เวทอร์สตัดบทคนพูดอย่างที่ไม่มีองครักษ์เมืองไหนทำกัน "กระหม่อมไม่ต้องการให้ฝ่าบาทกับองค์ชายมีปากเสียงกันอีก จึงได้อาสา" องครักษ์ลาดตระเวนฝ่ายใต้พูดตรงไปตรงมา "ฝ่าบาทเป็นราชาของกระหม่อม อีกทั้งองค์ชายก็เป็นคนที่กระหม่อมนับถือ นี่ไม่ใช่เวลามาทะเลาะกันขอรับ"

เจ้าเด็กนี่...

เร็กซ์ถอนใจกับตัวเองเมื่อคนตรงหน้าดูจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมแล้ว ทั้งที่เมื่อเช้าที่ผ่านมายังดูเป็นเด็กสิบแปดอยู่เลยแท้ๆ อีกทั้งไม่พูดเรื่อง 'ชอบ' หรือ 'ไม่ชอบ' ด้วย "แล้วไม่กลัวเราเอ็ดบ้างหรือไร เรื่องใหญ่เพียงนี้..."

"ต่อให้องค์ชายเอ็ด ...อย่างน้อยกระหม่อมก็ไม่เถียงแบบฝ่าบาทขอรับ"

เจ้ามันตัวเถียงเลย เวทอร์ส!

แต่นี่คงไม่ใช่เวลามาทะเลาะกันอย่างที่อีกฝ่ายว่า องค์ชายถอนใจด้วยความกลัดกลุ้ม จังหวะเดียวกับที่ได้ยินเสียงของฝูงวาฬเพชฌฆาตที่ถูกเรียกให้เข้ามารับใช้ราชาแห่งเซลทิค คาดันน์เงยหน้าขึ้นตามเสียง และเอียงมององค์ชายเล็กน้อยก่อนจะเอาปากดันร่างโปร่งเพื่อผลักให้เขาขึ้นไปยังเบื้องบน

"คาดันน์..." เวทอร์สว่ายตามวาฬใหญ่ขณะพูดกับมัน "เจ้าต้องอยู่ที่นี่กับข้า คอยส่งข่าว หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา เราไม่มีวาฬที่จะใช้ส่งสัญญาณเลย" คาดันน์เหลือบมองคนพูดด้วยดวงตาเล็กๆ ของมัน แต่คำสั่งของเวทอร์สแทบจะทำให้โลกของมันแตกสลาย นี่เขาสั่งมันแยกจากองค์ชายเร็กซ์อย่างนั้นหรือ!

สัตวใหญ่เปล่งเสียงประท้วง แต่องครักษ์ลาดตระเวนก็มุ่นคิ้ว

"ข้าจะให้เจ้าเลือกอยู่กับองค์ชายก็ได้ แต่ตอนนี้ต้องอยู่ที่เซลทิคก่อน เข้าใจไหม!"

เร็กซ์เลิกคิ้วขึ้น "อะไรนะ... เจ้าจะให้คาดันน์ตามเราไปอย่างนั้นรึ"

เวทอร์สยิ้มให้คนพูด "องค์ชายดูมีความสุขเวลาอยู่กับมัน มันเองก็ชอบเล่นกับองค์ชาย แล้วเหตุใดกระหม่อมจะปล่อยมันไปไม่ได้ล่ะขอรับ" องครักษ์หนุ่มตบหลังวาฬเบาๆ "คาดันน์ไม่ใช่สมบัติของใคร หากมันพอใจจะอยู่กับองค์ชาย... ก็ให้มันเลือกเถอะ" ถึงเขาจะเป็นเพื่อนกับคาดันน์ และมันก็เป็นสัตว์ที่มักจะทำให้ทุกคนสบายใจ แต่หากเพื่อความสบายใจของตัวมันเองแล้ว เวทอร์สคิดว่าเขาไม่ควรเหนี่ยวรั้งมันเอาไว้

"แต่ขอแค่... ช่วยข้าในตอนนี้ก่อนเถอะ"

วาฬใหญ่พ่นฟองอากาศออกมา เพราะมันเองก็ตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะเลือกอะไร

--------------------------------------------------

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนที่ 18.2

วิถีชีวิตของชาวมารินาการ์ดดำเนินไปอย่างเรียบง่าย เหล่านางเงือกมักขึ้นมาเล่นแสงอาทิตย์ในยามกลางวัน ขึ้นนั่งบนโขดหิน และผลัดกันสางผม บ้างก็ร้องเพลงต่อกันอย่างสนุกสนาน ไร้ซึ่งความหวาดระแวงต่อคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ตั้งอยู่บนผาไม่ไกลจากตัวอาณาจักร มันคือคฤหาสน์ฮาสติง บ้านพักเก่าแก่ของขุนนางเก่าที่มีอายุร่วมร้อยปี

ชาวเงือกแห่งมารินาการ์ดเป็นเจ้าของท้องทะเลมาก่อนสิ่งปลูกสร้างนี้ พวกเขาไม่เคยมีปัญหากับมัน แม้จะรู้ว่าขุนนางเก่าผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์แห่งนี้จะเป็นถึง 'ราชาแวมไพร์' ก็ตาม แต่ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่สร้างปัญหาให้ชาวเงือก พวกเขาก็ไม่คิดต่อสู้ หรือลุกฮือขึ้นต่อต้าน

แต่ดูเหมือนว่าปัญหากำลังจะลามมาถึงพวกเขาในไม่ช้านี้...

เสียงของสัตว์ที่ไม่ใคร่จะปรากฎตัวในเขตทะเลนี้ดังขึ้น ทำให้เหล่านางเงือกบนโขดหินเริ่มตื่นตระหนก  และตัดสินใจกระโจนกลับลงไปในทะเลเพื่อความปลอดภัย เซลทิคไม่ได้ส่งข่าวมาล่วงหน้าว่าพวกเขาจะเดินทางมายังมารินาการ์ด แต่เสียงสัญญาณของพวกวาฬราชรถทำให้ราชินีมั่นใจว่านี่ไม่ใช่ใครอื่น การเดินทางจากเซลทิคมายังมารินาการ์ดใช้เวลาเพียงวันเดียวเท่านั้น และถึงแม้ว่าเรจินาจะไม่แน่ใจในจุดประสงค์ของไคราห์น แต่การมาถึงของเขาก็ข่มขวัญพวกไรห์วาได้พอสมควร

ต่อให้เผ่าฉลามเป็น 'นักล่า' แต่หากเทียบกับพวกวาฬแล้ว ไรห์วาก็เป็นรองอย่างไ่ม่ต้องสงสัย

"ฝ่าบาทไคราห์น..."

ราชินีเรจินาออกไปต้อนรับการมาเยือนของอีกฝ่าย ซึ่งมาพร้อมกับองครักษ์เผ่าเพชฌฆาตจำนวนหนึ่ง "เกิดอะไรขึ้น เหตุใดจึงเดินทางมาที่นี่โดยไม่แจ้งเราล่วงหน้า" ใจของพระนางสั่นด้วยความระแวง ด้วยตั้งใจจะประกาศไปให้ทั่วมหาสมุทรเรื่องความสัมพันธ์ของพระนางกับองครักษ์ฟาเบียงเพื่อตัดรังควานจากอาณาจักรไรห์วา ทั้งที่ความสัมพันธ์ของพระนางกับฝ่าบาทไคราห์นยังเป็นเพียงความกำกวม

ฝ่าบาทไคราห์นทราบเรื่องแล้วกริ้วอย่างนั้นหรือ...

แต่พระนางยังไม่ได้ประกาศอะไรเป็นทางการเลยไม่ใช่หรือ!

ราชาเซลทิคค้อมหัวลงน้อยๆ "เรามีเรื่องสำคัญจะต้องหารือกับฝ่าบาท เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของฝ่าบาทและราชวงศ์มารินาการ์ด" การมาถึงของชาวเซลทิคผู้มีร่างกายใหญ่โตกว่า แข็งแรงและบึกบึนกว่า ทำให้ชาวมารินาการ์ดรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงกระจายตัวแอบซ่อนตามที่พักของตนซึ่งเป็นถ้ำเล็กๆ ใต้กองหินก้นทะเล

ฝ่าบาทเรจินาถอนใจ "ขอให้องครักษ์ติดตามของฝ่าบาทลดอาวุธลงก่อนเถอะ"

เวสเทียร์ในฐานะองครักษ์คนสนิทและผู้นำเผ่าหันไปมองคนใต้บัญชาของเขา และพยักหน้าเบาๆ ครั้งหนึ่งแทนสัญญาณให้ลดอาวุธ องค์ชายเร็กซ์ผู้เดินทางกลับมาพร้อมกันค่อยๆ เคลื่อนกายมาหาพี่สาว "นี่เป็นประเด็นละเอียดอ่อน เราต้องการความเป็นส่วนตัว" เมื่อสบตาพี่สาว เร็กซ์ก็พอจะเข้าใจว่าเรจินากังวลเรื่องใด คนเป็นน้องจึงส่ายหัวช้าๆ เพื่อให้ความมั่นใจ

...ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกท่านพี่

"ฟาเบียง..." พระนางหันไปหาคนข้างกาย "นำฝ่าบาทไคราห์นไปยังที่พักรับรอง เราจะหารือกับองค์ชายเร็กซ์สักครู่หนึ่ง" องครักษ์ค้อมหัวรับคำสั่ง แล้วจึงหันไปสบตาราชาทะเลเหนือเพื่อเป็นสัญญาณในการนำเขาออกไปจากบริเวณลานพระโรงเบื้องหน้าพระราชวังซีเบิร์ธแห่งมารินาการ์ด

เวสเทียร์มองกลับองครักษ์คนสนิทแห่งมารินาการ์ด ด้วยไม่พอใจให้ใครมองฝ่าบาทของตน

"เวสเทียร์..." ราชาหนุ่มเรียกเสียงต่ำ "ไม่เอาน่ะ" ราชารู้สึกได้ว่าคนข้างกายไม่พอใจ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลของความเหมาะสมหรือไม่ก็ตาม แต่ฟาเบียงเป็นองครักษ์แห่งมารินาการ์ด และราชวงศ์มารินาการ์ดมีกฎที่แตกต่างไปจากราชวงศ์เซลทิค เขาจึงมีสิทธิ์เงยหน้าขึ้นมอง "กฎนั่นไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง เจ้าไม่คิดเช่นนั้นหรือ"

ไคราห์นตั้งใจจะยกเลิกธรรมเนียมปฏิบัตินั้น ชาวเซลทิคมีสิทธิ์ที่จะมองราชาของตนได้เช่นเดียวกับเงือกจากอาณาจักรอื่น เพราะมันไม่ใช่การดูหมิ่นหรือไม่เคารพ การถูกสั่งให้ก้มหน้าตลอดเวลาต่างหาก คือการบังคับให้แสดงความเคารพ ทั้งที่ในใจของคนผู้นั้นอาจไม่ได้เคารพเขาเลย

"สำหรับกระหม่อม... ฝ่าบาทไคราห์นคือราชาผู้อยู่สูงที่สุด"

"เหตุใดคนที่ดื้อที่สุดจึงเป็นเจ้าที่เป็นถึงคนรักของราชา"

"ฝ่าบาท" น้ำเสียงของเวสเทียร์ต่ำลง เขานึกอยากจะเอ็ดคนตรงหน้าเหลือกิน หากเขาไม่ใช่ฝ่าบาทไคราห์น เวสเทียร์คิดว่าเขาคงจะมุ่นคิ้วถลึงตาใส่สักครั้ง แต่หากคนผู้นั้นไม่ใช่ฝ่าบาทไคราห์น เวสเทียร์ก็คิดว่าเขาคงไม่ได้มีใจให้แบบนี้ "กระหม่อมเกรงว่าองครักษ์ฟาเบียงจะได้ยิน"

ราชาทะเลเหนือหันกลับไปมององครักษ์ฉลาม และพบว่าอีกฝ่ายอยู่ไกลสักสองถึงสามช่วงตัวเห็นจะได้

...พวกฉลามหูทึบจะตายไป มีดีแค่จมูกไวเท่านั้นเอง

ที่พักรับรองของมารินาการ์ดตั้งอยู่ส่วนหลังพระราชวังซีเบิร์ธ ซึ่งมีความสงบเงียบมากกว่าเนื่องจากห่างไกลตัวเมือง แต่สำหรับอาคันตุกะต่างเผ่าอย่างชาวเซลทิค ความสงบไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ความห่างไกลจากผิวน้ำนั้นเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วง "กระหม่อมกังวลว่าฝ่าบาทจะไม่ได้พักผ่อน" เวสเทียร์พึมพำ "พวกวาฬส่งสัญญาณมาบอกว่ามีกองหินเล็กๆ สูงพ้นน้ำอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ กระหม่อมจึงส่งคนออกไปสำรวจแล้ว หากมันปลอดภัย ฝ่าบาท..."

"เรื่องนอนไม่ต้องห่วงหรอก เวสเทียร์" ราชาหนุ่มตัดบท "เรื่องที่เราจะหารือต่างหากที่สำคัญ"

"มารินาการ์ดตั้งอยู่ในทะเล อีกทั้งผู้คนที่นี่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ได้ตามใจชอบอีกด้วย ในมุมมองของกระหม่อม พวกเขาดูจะปลอดภัยจากแวมไพร์มากกว่าเรา" เวสเทียร์วิเคราะห์ตามความเห็นของตน ซึ่งเรื่องงานนี้อาจเป็นไม่กี่เรื่องอีกฝ่ายพูดตรงตามความรู้สึกของตัวเอง "และฝ่าบาทเองก็ไม่ได้พูดด้วยว่าชาวมารินาการ์ดมีอำนาจอะไร"

"เราไม่อาจสบายใจได้หรอกนะ หากแวมไพร์จะเปลี่ยนเป้าหมาย เพราะเราหลุดปากออกไปแบบนั้น"

เวสเทียร์คิดว่าเขาเข้าใจความรู้สึกผิดของราชา ดังนั้นการหารือ และเตือนภัยจึงเป็นสิ่งที่สมควรทำโดยเร็วที่สุด "ความลับนั่น.... เรจินาเป็นคนบอกเราด้วยความไว้ใจแท้ๆ" ไคราห์นหลับตาลง "นางเป็นเพื่อนที่ดี เวสเทียร์... ไม่มีใครอยากให้เพื่อนเดือดร้อนหรอก"

...ถึงอย่างนั้น แต่กระหม่อมจะหึงบ้างได้ไหม

ผู้นำองครักษ์หันไปสนใจสถานที่รับรองของมารินาการ์ดแทนความรู้สึกของตัวเอง

การเป็นคนรักของราชานี่ไม่ง่ายเอาเสียเลย...

--------------------------------------------------

คาดันน์ทำหน้าที่ผู้สื่อสารเต็มที่ด้วยการลอยตัวอยู่นิ่งๆ ใกล้ผิวน้ำ งีบหลับบ้างเมื่อรู้สึกเพลีย และรอฟังข่าวที่อาจส่งมาในรูปแบบของสัญญาณเสียง แม้ว่าจะไม่มีข่าวสารใดส่งมาเลยก็ตาม นี่คงเป็นเวลากลางดึกแล้ว ท้องทะเลจึงได้เงียบสงบถึงเพียงนี้ สัตว์ใหญ่พ่นลมหายใจอีกครั้ง ขณะคิดว่ามันควรจะขยับร่างยืดเส้นยืดสายเสียบ้างก่อนจะลืมวิธีว่ายน้ำไปเสียก่อน

เวทอร์สรู้ดีว่าอาการ 'ซึม' ของมันมาสาเหตุมาจากอะไร...

ไม่ใช่เพียงเรื่องที่มันต้องแยกจากองค์ชายเร็กซ์ แต่วาฬเด็กตัวนี้เลือกไม่ได้ว่ามันต้องการจะอยู่ที่ใดกันแน่ "คาดันน์..." องครักษ์เงือกขยับร่างว่ายไปหาวาฬ "พวกราชรถไปถึงที่หมายตั้งแต่เช้าแล้ว พวกเขาคงกำลังหารือกันอยู่ เจ้าไม่ต้องห่วงไปหรอก" เวทอร์สเคลื่อนมือลูบไปบนหลังที่แน่นด้วยกล้ามเนื้อ ลากย้อนขึ้นมาถึงปลายปากที่ปิดสนิท

"หวังว่ามารินาการ์ดจะปลอดภัย"

คาดันน์เหลือบตามองคนพูด พลางขยับร่างให้สัมผัสฝ่ามือใหญ่มากขึ้น มันเป็นห่วงองค์ชายเร็กซ์ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่อาจทิ้งกลุ่มเงือกแห่งเซลทิคไปได้ ต่อให้ผู้ชุบเลี้ยงมาจะออกปากอนุญาตแล้วก็ตาม "ข้าก็เพิ่งรู้ว่าเลือดของพวกทายาทจอมราชันจะมีพลังมากมายเพียงนั้น... พลังที่สามารถเอาชนะกระทั่งความตายได้"

เวทอร์สไม่เคยรู้เรื่องนี้จนกระทั่งองค์ชายเร็กซ์ออกปากด้วยตนเอง

เลือดแห่งมารินาการ์ดสามารถชุบชีวิตคนตายได้ แม้ว่าผู้ที่ฟื้นขึ้นมาจะต้องตกเป็นทาสแห่งสายเลือดจอมราชันก็ตาม "ถ้าเจ้าตาย... แล้วองค์ชายชุบเจ้าขึ้นมา เจ้าก็ต้องทำตามความปรารถนาของเขากระมัง เพราะหากขัดคำสั่ง เขาก็สามารถทำให้เจ้าตายอีกครั้งได้เช่นกัน ไม่ว่าเจ้าจะเป็นอมตะมาจากไหนก็ตาม" คาดันน์ไม่ได้สนใจเรื่องพลังเหล่านั้น มันไม่เข้าใจความซับซ้อนของอมนุษย์ เพียงแต่ใจของมันตอนนี้ห่วงเพียงความปลอดภัยขององค์ชายเท่านั้น

ในเมื่อเลือดมีพลังมาก... ก็เป็นที่ต้องการของพวกมนุษย์บ้าอำนาจไม่รู้จักพอไม่ใช่หรือไร

"ขอแค่เรื่องนี้ผ่านพ้นไป ข้ายินดีจะให้เจ้าไปอยู่มารินาการ์ด" เวทอร์สกระซิบกับมัน "เพียงแต่ตอนนี้คือช่วงเวลาที่เปราะบางที่สุดของเซลทิค ฝ่าบาทไม่เคยเดินทางไปจากอาณาจักร อีกทั้งพวกหมาป่าก็ยังมาไม่ถึง หากพวกเราถูกเล่นงาน... เราจะไม่มีวาฬที่ใช้ส่งข่าวเลย"

คาดันน์ส่งเสียงเบาเป็นเชิงถาม

"บางที... เหตุผลที่แวมไพร์ไม่เล่นงานเราตั้งแต่เมื่อห้าปีที่แล้ว ก็เพราะมีคนที่ชื่อวาร์เรนนั่งเฝ้าบาร์ธีมอร์อยู่"

เวทอร์สไม่เคยขึ้นไปเบื้องบนกับฝ่าบาทของเขามาก่อน แต่ครั้งแรกที่ได้พบหน้าหมาป่าที่อยู่ในร้านไม้แกะสลักนั่น เขาก็รู้ได้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่หมาป่าธรรมดา ทั้งดวงตาสีแดงวาวที่อาจมองลึกเข้าไปในจิตใจของคนได้ รอยยิ้มไว้เชิงที่แฝงด้วยความเจ้าเล่ห์ ช่างเข้ากันดีกับเขี้ยวสัตว์ที่ดูจะยาวเกะกะไปมากจนโผล่พ้นริมฝีปากออกมาเล็กน้อย

"ตอนนี้วาร์เรนเดินทางไปพบราชาแวมไพร์... ข้าสงสัย..." องครักษ์หนุ่มพึมพำสิ่งที่เขาไม่เคยบอกเล่าให้ใครฟังมาก่อน "ว่าตัวเขาเองหรือเปล่าที่เป็นแวมไพร์" แต่เงือกหนุ่มก็รู้ดีว่าผีดูดเลือดเหล่านั้นไม่สามารถใช้ชีวิตท่ามกลางแสงแดดได้ ดังนั้นวาร์เรนจึงไม่ใช่แวมไพร์ แต่ความเร็วในการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายก็อยู่เหนือซินเนย์วามากอย่างน่าสงสัย ทั้งที่นางเป็นถึงจ่าฝูงหมาป่าผู้แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดินทางเหนือ

"เผ่าสายลมไม่มีผู้ชาย... ดังนั้นใครกันที่จะเคลื่อนไหวได้รวดเร็วกว่าหมาป่า และกล้าสู้กับแสงแดด"

...หากไม่ใช่ตัวราชาแวมไพร์เสียเอง

"ท่านเลสซีย์!" เสียงของเงือกหลายตนทิ้งตัวลงในผืนน้ำด้วยการกระโดดจากผา ทำให้เวทอร์สสะดุ้งและหันไปมองต้นเสียงซึ่งเรียกหาผู้นำสูงสุดของหน่วยลาดตระเวน "พวกหมาป่ากระจายกำลังทั่วแนวป่าเขตตะวันออกเลย!" เวทอร์สหันไปมองคาดันน์ เขาขยับร่างขึ้นไปเหนือน้ำเพื่อสูดอากาศหายใจลึกๆ เขม้นมองกลับไปยังชายฝั่งที่จู่ๆ ก็สว่างไสวขึ้นไปด้วยคบเพลิงจำนวนมาก และร่างกายใหญ่โตของสัตว์สี่ขาเดินวนเวียน ป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้แนวหน้าผา

องครักษ์หนุ่มดำลงใต้น้ำอีกครั้ง เพื่อฟังข่าวที่จากหน่วยลาดตระเวน นางเงือกเลสซีย์ออกมาปฏิบัติหน้าที่ของตน และพยายามไล่ต้อนผู้คนให้เข้าไปหลบในที่ปลอดภัย ซึ่งที่ปลอดภัยสำหรับพวกเขาในตอนนี้ก็คงจะเป็นถ้ำใหญ่ที่ไม่มีทางเชื่อมต่อกับเบื้องบน "ก่อนหน้าที่บรรยากาศไม่ดีเท่าไหร่ ราวกับว่า... พวกแวมไพร์มาถึงที่นี่แล้วอย่างนั้น ข้าจึงถอนคนออกจากฝั่ง แล้วพวกหมาป่าก็ปรากฎตัวขึ้นมา"

เลสซีย์พยักหน้าให้กับการรายงานของหน่วยลาดตระเวน

ซินเนย์วาในร่างหมาป่าเดินตรวจตราหน้าผาฝั่งตะวันออก ตลอดจนแผ่นดินที่ค่อยๆ ลาดลงไปใกล้กับผิวทะเล สิ่งที่เผ่าสายลมค้นพบนั้นยิ่งกว่ากลุ่มองครักษ์ของเงือกเซลทิค แต่มันคือถ้ำจำนวนมากที่ถูกซ่อนเอาไว้หลังแมกไม้ห่างไกลตัวเมือง ถ้ำเหล่านี้เกิดจากการกัดเซาะของน้ำทะเล และดูเหมือนว่ามันจะเป็นมากกว่าถ้ำทะเลทั่วไป

หากการคาดเดาของซินเนย์วาไม่ผิดพลาด

...นางกำลังยืนมองถ้ำที่ประทับของราชาแห่งเซลทิค

"แวมไพร์..." จ่าฝูงคำรามในลำคอ นัยน์ตาสีทองเขม้นมองไปยังร่างเงามนุษย์ที่ยืนอยู่ในถ้ำแห่งนั้น บนแท่นหินที่เคยเป็นที่ประทับแห่งราชาทะเลเหนือ แสงสว่างจากอัญมณีชาวเงือกที่ตกแต่งที่ประทับทำให้เห็นเสี้ยวหน้าของผู้บุกรุก และซินเนย์วาก็บอกได้ทันทีว่านั่นคือผู้ใด

"หมาป่าไม่ใช่พวกเดียวที่เห็นอสูรทะเลตัวนั้นหรอกใช่ไหม แม่นางซินเนย์วา"

"เวเรเซียโน" นางหมาป่าคำราม

"แต่แม่นางก็ฉลาดเหลือเกินที่ส่งราชาเซลทิคออกไปจากอาณาจักร ทำให้การมาถึงของกระผมสูญเสียเปล่า ทั้งที่โอกาสอยู่แค่เอื้อม" เวเรเซียโนมีท่าทางอ่อนน้อม เขาหันไปพูดกับศัตรูตัวฉกาจพร้อมกับรอยยิ้มเยียบเย็น "แต่แน่นอนว่า 'ราชวงศ์' เซลทิคไม่ได้มีเพียงฝ่าบาทไคราห์นหรอก จริงไหม..."

--------------------------------------------------


เดินเรื่องเร็วไปรึเปล่านะ ...ปกติจะต่อนยอนๆ ฮาาา แต่มันก็ต้องตื่นเต้นบ้างแล้ว เอาไว้จีบกันต่อในตอนพิเศษนะฝ่าบาท (ตอนพิเศษเยอะ ไม่ต้องห่วง... แล้วจะไปเขียนเล่มแยกอีกเล่มด้วย เป็นภารกิจของรูห์ย... เมื่อต้องพาฝ่าบาทเวลคีนขึ้นมาพบฝ่าบาทไคราห์น... โดยที่รู้ว่าฝ่าบาทไคราห์น 'ไม่ชอบ' ฉลาม) ...ไทม์ไลน์จริงๆ ช่วงนี้ก็คือ... เริ่มจากวันที่ฝ่าบาททะเลาะกับเวสเทียร์เลยนะ...

วันที่ 1 )

- กลางวัน = ฝ่าบาททะเลาะกับเวสเทียร์

- หัวค่ำ = ฝ่าบาทออกมาจากถ้ำที่ประทับแล้วเจอฟาล

- กลางดึก = ฝ่าบาทไปปรับทุกข์กับคาดันน์(?)

วันที่ 2 )

- เช้ามืด = ฝ่าบาทกลับมาที่เซลทิคแล้วเจอองค์ชาย

- กลางวัน = ฝ่าบาทขึ้นไปที่บาร์ธีมอร์กับเวทอร์ส

- หัวค่ำ = ฝ่าบาทไปพูดกับซินเธียร์+ฟาล

- กลางดึก = ฝ่าบาทกลับไปหาเวสเทียร์ ก่อนจะออกเดินทางไปมารินาการ์ด

วันที่ 3 )

- กลางวัน = ฝ่าบาทมาถึงมารินาการ์ด

- กลางดึก = เวทอร์สคุยกับคาดันน์

เวสเทียร์แอบรู้สึกอะไรนิดหน่อย แต่ไม่มาก อันนี้เขารู้ดีว่ามันงี่เง่าจริง ควรจะเลิกคิดเล็กคิดน้อย ...แต่ฝ่าบาทมีแดกดันฟาเบียงนิดหน่อยเหมือนกัน ถึงจะยังไม่รู้เรื่องก็เถอะ 555 พอดีมันเป็นช่วงเดินเรื่องเลยไม่มีอะไรให้กิ๊วก๊าว มีแต่ความหงอยเหงาของคาดันน์ในตอนท้าย

หารูปอ้างอิงมาให้สำหรับคนที่งงว่าจู่ๆจะเดินไปเจอถ้ำที่ประทับของฝ่าบาทได้ยังไง... คือรูปแบบถ้ำของฝ่าบาทเวลามองจากข้างบนมันคล้ายๆ อันนี้ (แต่นี่คือ Hidden Beach ที่ Mexico นะ) แต่คงไม่กว้างขนาดนี้ (ซึ่งเราใช้คำว่าถ้ำลอดนี่คงไม่เห็นภาพกันสินะ โฮวววว ใช้คำไหนดี) ...ประมาณนี้แหละ มันเลยเดินหาได้จากแผ่นดิน แค่มันอยู่ในส่วนที่คนไม่ได้เดินไปถึง


ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนที่ 19.1

ทะเลอัลบิออนมีความลึกที่ 'ตื้น' กว่าทะเลเคลติกมาก อีกทั้งอุณหภูมิของน้ำทะเลก็ดูจะร้อนกว่าบ้างไม่มากก็น้อย ผู้ที่อยู่ในเขตน้ำเย็นแทบจะตลอดเวลาอย่างฝ่าบาทไคราห์นจึงรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวนัก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะ 'ป่วย' แต่อย่างใด สุดท้ายแล้วราชาเซลทิคก็ต้องพักผ่อนอยู่บริเวณกลุ่มกองหินที่ห่างไกลออกมาจากตัวอาณาจักรมารินาการ์ด เพื่อความสะดวกในการหายใจ ซึ่งเป็นวิถีชีวิตของเผ่าวาฬ

"ในอดีต... มารินาการ์ดและแวมไพร์ก็เคยมีเรื่องบาดหมางต่อกัน แต่ผลการต่อสู้จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของแวมไพร์ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เคยมายุ่งกับเราอีกเลย" เรจินายังคงพูดคุยอยู่กับราชาทะเลเหนือ แม้ว่านี่จะเป็นเวลาดึกมากแล้วก็ตาม พระนางรู้สึกง่วงงุน แต่ดูเหมือนคนตรงหน้าจะไม่หลับไม่หลับยามกลางคืน อีกทั้งยังมีท่าทีร้อนอกร้อนใจไม่เปลี่ยน แม้จะพูดสิ่งที่ต้องการพูดออกมาแล้วก็ตาม

"แม้ว่าจะเป็นความพ่ายแพ้ที่น่าจะนำมาซึ่งความเคียดแค้น แต่ราชาแวมไพร์คนปัจจุบันกลับ... ปล่อยวาง"

ไคราห์นเลิกคิ้ว "เกิดอะไรขึ้นในอดีต ฝ่าบาทพอจะบอกเราได้หรือไม่"

ราชาหนุ่มต้องการรู้เรื่องราวทั้งหมดเพื่อปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมด แต่เมื่อเอ่ยปากออกไป ไคราห์นก็ต้องกลืนน้ำลายตัวเองด้วยรู้สึกผิด เพราะสิ่งสำคัญที่สุดที่ราชินีเรจินาบอกเขา เขากลับไม่สามารถเก็บมันเป็นความลับเอาไว้ได้ "เราขออภัย... ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องเล่าหรอก"

เรจินาโคลงหัวมองคนตรงหน้า ก่อนจะเอื้อมมือไปจับมือใหญ่แทนคำปลอบ "วิถีชีวิตของชาวเราไม่ทำให้เราเสี่ยงหรอก อีกทั้งฝ่าบาทก็ไม่ได้พูดออกไปด้วยว่ามันสามารถทำอะไรได้บ้าง เราจะไปโกรธฝ่าบาทได้อย่างไร" พระนางทอดยิ้มจาง "แวมไพร์พวกนั้น... หากไม่มั่นใจก็ไม่ลงมือทำอะไรไม่ใช่หรือ แล้วยิ่งเป็นมารินาการ์ดที่มีชีวิตอยู่ใต้ทะเลเช่นนี้ ฝ่าบาทไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก"

องครักษ์ฟาเบียงที่อยู่ข้างกายราชินีเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่ค่อยเห็นด้วยกับจิตใจที่แสนดีของพระนาง

...แต่อย่างน้อยราชาทะเลเหนือก็มีความรู้สึกผิด

"แต่เพื่อแสดงความรับผิดชอบ เราจะส่งองครักษ์มาประจำอยู่ที่มารินาการ์ดสักระยะ จนกว่าเราจะจัดการปัญหาคาราคาซังนี้ได้" ถึงแม้จะไม่มีความมั่นใจเลยว่าเขาจะจัดการปัญหาของ 'เบื้องบน' ได้อย่างไร แต่ราชาเงือกรู้ดีว่าเขาควรทำอะไรเพื่ออาณาจักรที่เป็นพันธมิตรกัน

เรจินาถอนใจเบา... ดูเหมือนว่าไคราห์นจะหวังดี และบริสุทธิ์ใจกับนางเสียจนนางรู้สึกผิดกับสิ่งที่กำลังจะทำ พระนางกำลังจะเสกสมรสกับฟาเบียง องครักษ์ที่อยู่ข้างกาย และหากฝ่าบาทไคราห์นรู้เรื่องนี้เขา เขาจะยังหวังดีกับนางอยู่ดีไหมหนอ เพราะในจุดประสงค์ที่อีกฝ่ายทำเช่นนี้ เขากำลังหวังจะเสกสมรสกับพระนางหรือเปล่า

แต่การสมรสจะต้องเกิดขึ้น... เพื่อไม่ให้อาณาจักรไรห์วามายุ่งย่ามอีก

"ฝ่าบาท..." เรจินาเริ่ม พระนางเหลือบหางตามององครักษ์ของตนเล็กน้อยเพื่อเรียกความมั่นใจให้ตัวเอง โดยที่ฟาเบียงทอดยิ้มตอบแทนกำลังใจ "ในฐานะมิตรสหาย เราซาบซึ้งในน้ำใจของฝ่าบาท..." ราชินีหยุดคิด แม้จะเอ่ยคำที่ยืนยันความสัมพันธ์ของพวกเขาออกไปแล้ว แต่นางก็หวั่นเกรงว่านี่จะเป็นการหักหาญเกินไปหรือไม่ "เราคงจะพบกันช้าไป..."

ราชินีดูประหม่า แม้จะอยู่ในวัยกลางคนแล้ว แต่นั่นก็เป็นมุมที่น่ารักของพระนาง

ไคราห์นขยับมือของตนเพื่อกอบกุมมือบอบบางนั้นไว้ "ฝ่าบาทเป็นสหายของเรา..." น้ำเสียงของราชาทะเลเหนือนุ่มนวลทว่าทรงพลังเสมอ และคำว่า 'สหาย' ที่อีกฝ่ายกล่าวออกมาก็หนักแน่นพอที่จะทำให้คนฟังเชื่อว่าเขาคิดตามที่พูดจริงๆ "เราพบกันในช่วงเวลาที่เหมาะสมแล้ว ฝ่าบาทเรจินา"

...นี่ตกลงใครบอกเลิกใครกันแน่หนอ

องครักษ์ฟาเบียงเหลือบสายตาไปสังเกตปฏิกิริยาขององครักษ์คนสนิทของราชาวาฬบ้าง และก็ต้องแปลกใจที่เห็นเวสเทียร์มีท่าทีนิ่งเฉยมากเสียจนเรียกได้ว่า 'ไร้อารมณ์' อีกฝ่ายอาจเป็นองครักษ์ที่สมบูรณ์แบบนั้นคือการไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของราชา แต่ก็น่าแปลกอยู่ดีที่ชายหนุ่มสวมเครื่องประดับชิ้นหนึ่งที่หู และเป็นเครื่องประดับมุก

ผู้ชายที่ไหนเขาใส่มุกกัน... ถ้าไม่ใช่ราชา

องครักษ์ฉลามรู้สึกแปลกขึ้นมา แต่ก็ไม่มีเวลาให้สนใจมากนัก เนื่องจากบรรยากาศรอบตัวที่แปลกไป จู่ๆ เสียงที่เคยเซ็งแซ่ใต้ทะเลก็เกลายเป็นเงียบสงัดจนวังเวงขึ้นมา "ฝ่าบาท..." เสียงขององครักษ์เวสเทียร์เอ่ยเรียกราชาของเขา หลังจากราชาเซลทิคและราชินีเมรินาการ์ดปล่อยมือจากกัน ไคราห์นเองก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างแปลกไปจากที่เคย

"อสูรทะเลขอรับ..."

เงือกฉลามหูทึบ... ฟาเบียงก่นด่าตนเองอยู่ในใจที่เกิดมาในเผ่าพันธุ์ที่ถูกตราหน้าว่า 'หูทึบ' ทำให้เขาไม่ได้ยินเสียงอะไรเท่าที่ควร แน่นอนว่าชาวเงือกทุกตนล้วนคุ้นเคยกับคำว่า 'อสูรทะเล' แต่ทั่วทั้งเจ็ดคาบสมุทรนี้ก็มีอสูรทะเลอยู่มากมาย ทั้งหมึกยักษ์ วาฬยักษ์ หลายสิ่งอย่างที่มีขนาดยักษ์และเป็นอมตะไม่มีวันตาย แต่หากจะพูดถึงอสูรทะเลที่สนิทสนมกับราชาเซลทิคแล้วก็คงหนีไม่พ้น 'วาฬเผือก' อสูรทะเลเอาแต่ใจที่เคยมีเรื่องบาดหมางกับมนุษย์เมื่อสักร้อยปีที่แล้วอย่างแน่นอน

"ฝ่าบาทอยู่ที่นี่" ไคราห์นขยับร่าง หางวาฬสีขาวโพลนขยับโบกพาเจ้าของร่างขึ้นไปสูดอากาศเบื้องบนพร้อมกับองครักษ์ของเขา "เหตุใดอสูรทะเลจึงตามเรามา..." เจ้าวาฬเผือกไม่ใคร่จะปรากฎตัวนัก และชาวเซลทิคก็มีโอกาสได้พบปะกับมันเฉพาะช่วงเทศกาลเล่นแสงจันทร์ประจำปีเท่านั้น นี่จึงเป็นการปรากฎตัวที่ไม่ชอบมาพากล

เสียง 'คลิก' ระรัวเป็นภาษาวาฬทำให้เหล่าเงือกวาฬตื่นตัว มันร้องเรียกหาราชา และเมื่อฝ่าบาทไคราห์นออกไปยังทะเลเปิด ร่างเงาอันใหญ่โตก็ขยับออกมาจากความมืดของท้องทะเล ฝ่าบาทเอื้อมมือไปสัมผัสกายของอสูรยักษ์ และเคลื่อนไปตามร่างที่ลอยตัวนิ่ง เพื่อมองสบตาขนาดใหญ่

"เซลทิค..." ราชาหนุ่มเบิกตา "เซลทิคมีอันตราย"

สัตว์ใหญ่ขยับร่างถอยจากราชา และหันกลับไปในความมืดเมื่อแจ้งข่าวแก่อีกฝ่ายตามที่ตั้งใจ "ฝ่าบาท... เกิดอะไรขึ้น" เวสเทียร์ว่ายไปหาราชาของเขา ฝ่าบาทอ้าปากค้างอยู่เช่นนั้นด้วยไม่อาจตัดสินใจได้ว่าควรจะทำอะไรต่อไป "เกิดอะไรขึ้นกับเซลทิคหรือขอรับ"

"เราจะต้องกลับไปเซลทิคให้เร็วที่สุด"

"ฝ่าบาทไคราห์น!" เรจินาว่ายตามออกมาพร้อมกับองครักษ์ของนาง "เราจะส่งเผ่าองครักษ์ไปช่วย" พระนางคาดเดาได้จากสีหน้าของอีกฝ่าย คงเกิดอะไรขึ้นกับเซลทิคอย่างแน่นอน แต่พระนางรู้ว่าอีกฝ่ายห่วงใยเขา และไม่ต้องการจะละทิ้งที่นี่ไปด้วยเกรงว่าว่ามารินาการ์ดจะถูกเล่นงาน "และเราจะเดินทางไปกับฝ่าบาทด้วย"

--------------------------------------------------

"ท่านฟาล! พวกแวมไพร์ขอรับ"

องครักษ์ลาดตระเวนกลับมารายงานขณะที่เผ่าองครักษ์พยายามทำหน้าที่ 'มือขวาของราชา' ด้วยการดูแลชาวเมือง และนำพวกเขากลับมาในที่ปลอดภัยให้มากที่สุด "พวกมันมากันเยอะมาก ถ้ำทุกแห่งที่เชื่อมต่อกับแผ่นดินถูกบุกรุก พวกมันเฝ้าอยู่ที่ปากถ้ำ รอเวลาให้พวกเราขึ้นไปหายใจ"

ฟาลหันไปมองเลสซีย์ในฐานะผู้นำสูงสุดหน่วยลาดตระเวน "เจ้าต้องนำ... รองจากเวสเทียร์ก็คือเจ้า"

"ข้ารู้แล้วว่าต้องนำ!" เลสซีย์หงุดหงิด "มันรุกรานบ้านเรา ใครจะไปทนได้!"

เวทอร์สกลับมาพร้อมคาดันน์พอดี "ท่านฟาล เราต้องแจ้งฝ่าบาท..."

"ไม่" ฟาลส่ายหัว "ฝ่าบาทออกไปก็ดีแล้ว อย่างน้อยเขาก็ปลอดภัย แวมไพร์พวกนั้นต้องการตัวเขา พวกเราเผ่าองครักษ์มีหน้าที่ปกป้องราชา" ถึงแม้ว่าเมื่อฝ่าบาทกลับมา อีกฝ่ายอาจจะโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง แต่ฟาลก็คิดว่ามันเป็นการดีกว่า... ที่อีกฝ่ายจะปลอดภัย

การปกป้องราชาคือคำสัตย์ของเผ่าเพชฌฆาต

"แต่องค์หญิงอาโกรนาห์กับองค์หญิงเอสลินน์ยังอยู่!" เวทอร์สมุ่นคิ้ว "ท่านคิดว่าฝ่าบาทจะดีใจหรือ ในฐานะพี่ชายแท้ๆ แต่น้องสาวของตัวเองกลับเสี่ยงอันตรายอยู่ที่นี่ การต่อสู้ครั้งนี้อาจไม่ได้จบแบบที่ธราฟัสการ์ เราล่าถอยออกมาอย่างผู้แพ้ได้ แต่ตอนนี้มันบุกมาถึง 'บ้าน' เราแล้ว... มันจะฆ่าพวกเราทั้งหมด!"

คาดันน์ส่งเสียงดังอย่างเห็นด้วย

เลสซีย์หันไปปรึกษาเลขาอาวุโส "ฝ่าบาทนำหน่วยจู่โจมไปมารินาการ์ดด้วย เราต้องการคนพวกนั้น ...เราจะปิดเรื่องนี้ไว้ไม่ได้" ฟาลชั่งใจอยู่พักใหญ่ เขาเหลือบตาไปมองคาดันน์ที่พร้อมจะเบนหัวว่ายออกไปถึงมารินาการ์ด "ตอนนี้เรามีแค่หน่วยลาดตระเวนสี่ทิศ กับหน่วยจู่โจมที่เหลือแค่หยิบมือ เราสู้ไม่ไหว"

"คาดันน์..." ฟาลเรียก "เจ้าไปให้ใกล้มารินาการ์ดที่สุด ส่งสัญญาณบอกฝ่าบาทว่าที่นี่เกิดเรื่อง"

วาฬไม่รอฟังคำสั่งซ้ำ มันขยับหางใหญ่โตดันร่างว่ายออกไปในทะเลเปิด พร้อมกับคลื่นเสียงที่ใช้ค้นหาทิศทางในทะเล ในขณะที่เวทอร์สมองตามไปด้วยความเป็นห่วง "ให้ข้าตามมันไป... คาดันน์เพิ่งเคยออกทะเลเปิดครั้งเดียว เกรงว่ามันอาจจะหลงทาง"

"วาฬไม่หลงทางในทะเลหรอก เวทอร์ส" ฟาลว่า "เจ้าอยู่ช่วยเลสซีย์"

"ท่านฟาล!"

เสียงของผู้หญิงเอ่ยเรียกเลขาอาวุโส และเมื่อหันไปตามเสียง กลุ่มองครักษ์ก็พบว่าองค์หญิงอาโกรนาห์เคลื่อนกายเข้ามาใกล้ "พวกหมาป่ากำลังต่อสู้อยู่ด้านบน เราควรไปสมทบ" ดวงตาสีดำขลับของนางมองดูคนใต้บัญชาที่พร้อมใจกันก้มหน้าลงตามธรรมเนียมปฏิบัติ "เงยหน้าขึ้นมองเราด้วย!"

ฟาลขบริมฝีปากอย่างไม่แน่ใจนัก แล้วจึงค่อยๆ เงยขึ้นมององค์หญิงแห่งเซลทิค

"ท่านเลสซีย์ ให้หน่วยจู่โจมที่เหลืออยู่มาสมทบกับเรา" องค์หญิงออกคำสั่งรวบรัด "ส่วนหน่วยลาดตระเวน ให้ช่วยดูแลประชาชนอยู่ในที่ปลอดภัย มีถ้ำใหญ่อีกแห่งหนึ่งที่ไม่มีทางเชื่อมกับแผ่นดิน" นางหันกลับไปหาฟาลอีกครั้ง "ท่านฟาล ช่วยดูแลเอสลินน์ด้วย พานางออกไปยังทะเลเปิดให้ห่างไกลแผ่นดิน"

"มันเสี่ยงเกินไป" เลสซีย์ค้าน "องค์หญิงจะได้ได้รับอันตราย"

อาโกรนาห์เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยก่อนจะยกหอกเล่มยาวในมือขึ้นมาถือไว้อย่างมาดมั่น "ท่านพี่ไคราห์นสอนเสมอว่า... เราจะเป็นกษัตริย์ที่ประชาชนรักได้อย่างไรหากไม่ร่วมเป็นร่วมตายไปกับพวกเขา" นัยน์ตาสีดำของนางแฝงความดุดันขณะพูด "และเราไม่เป็นอะไรหรอก... มันต้องการตัวเราตอนที่มีชีวิตอยู่"

--------------------------------------------------

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนที่ 19.2

เสียงเห่าหอนของพวกหมาป่าจากเบื้องบนแทนสัญญาณเตือนให้เหล่าเงือกเผ่นหนีกลับลงไปในน้ำ ประชากรของอาณาจักรเซลทิคส่วนมากไม่สามารถว่ายน้ำได้เร็วมนักเนื่องจากขนาดและน้ำหนักตัว ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาทำได้เมื่อมีภัยมาเยือนคือการหลบหนี

อังเดรกับพวกพ้องเร่งฝีเท้าวิ่งไปตามรอยโหว่ของแผ่นดินซึ่งเชื่อมต่อกับถ้ำมากมายที่พวกเงือกอาศัยอยู่ หมายจะบอกเตือนให้พวกเขาหลบหนี ขณะที่ซินเนย์วาก้าวลงไปในถ้ำที่ใหญ่ที่สุดของอาณาจักรเซลทิคพร้อมกับแยกเขี้ยว

เสียงร้องโหยหวนของเหยื่อที่ไม่รอดเงื้อมมือนักล่าดังระงมต่อเนื่อง

หมาป่าเมื่อคืนร่างเป็นสัตว์แล้วไม่อาจสื่อสารด้วยภาษาของมนุษย์ได้ แต่เพียงแค่มองสบตาสีอำพันวาวของจ่าฝูง เวเรเซียโนก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังจะฉีกร่างของเขาออกเป็นชิ้นๆ "นายหญิง" แวมไพร์หนุ่มยกมุมปากขึ้นยิ้ม "กระผมจำเป็นจะต้องทำ เพื่ออนาคตที่ดียิ่งกว่า..."

'หุบปาก!'

สัตว์ใหญ่คำราม และกระโจนเข้าหาเป้าหมายโดยไม่ลังเล แวมไพร์ไหวตัวหลบ โดยปราศจากอาวุธ เวเรเซียโนกระชากหลังคอของหมาป่า และทึ้งขนสีดำขลับเพื่อดึงให้เสียการทรงตัว แต่ซินเนย์วารู้จังหวะนี้ นางโถมร่างหงายใส่คู่ต่อสู้ กระแทกกับผืนน้ำที่เบื้องล่างเป็นกลุ่มกองหิน

"อั่ก!"

นางหมาป่าคำรามเจ็บ แต่แรงกระแทกทำให้แวมไพร์ยอมปล่อยมือ ผละขึ้นจากน้ำเพื่อหลบหนีการต่อสู้ ไปรวมกลุ่มกับร่างเงาที่เคลื่อนไหวรวดเร็วในความมืด โรมรันกับฝูงสัตว์ที่เข้ามาปกป้องอาณาจักรเงือกริมผา ซินเนย์วาวิ่งตามขึ้นมายังเบื้องบน "พวกเงือกกลับลงไปหมดแล้วหรือยัง!" นางตะโกนถามอังเดร

"พวกเขาต้องขึ้นมาหายใจ เราต้องคอยต้านเอาไว้ไม่ให้มันฉวยจังหวะนั้น!"

"ฆ่าพวกมันให้หมด!"

พลั่ก!

"นายหญิง ระวัง!" เงาหนึ่งพุ่งเข้าหานาง กระแทกเข้าที่บริเวณชายโครงจนร่างลอย และตามมาเพื่อจะใช้มือคว้านลงไปถึงหัวใจ แต่จังหวะเดียวกันนั้น อีกร่างเงาหนึ่งก็กระโจนขึ้นมาจากน้ำพร้อมกับหอกเล่มยาวในมือ และเสียบปลายแหลมแทงเข้ากลางอกของแวมไพร์

ฉั๊วะ!

น้ำทะเลกระเซ็นจากร่างของผู้ต่อสู้ เช่นเดียวกับเลือดสีแดงสาดกระจายบนผืนหญ้า

พลั่ก!

อาโกรนาห์หลับตาและยกแขนขึ้นกำบังด้วยรู้ว่าร่างของนางกำลังจะกระแทกพื้น แต่แล้วจ่าฝูงหมาป่าก็ใช้ตัวเองรับเอาไว้ "โอ๊ย!" สัตว์ใหญ่ครางเจ็บ แต่ลำตัวที่อ่อนนุ่มกว่าพื้นหญ้าก็ทำให้นางเงือกผู้เปลี่ยนร่างจากหางเป็นท่อนขาสามารถหยัดกายขึ้นยืนได้โดยไม่ได้รับอันตราย องค์หญิงแห่งเซลทิคเซด้วยความมึนงง และหันไปมองคนของนางกระโจนขึ้นมาจากทะเล

พวกเงือกคงมีเสื้อผ้าชุดหนังเก็บเอาไว้ในถ้ำบ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ 'เปลือย' เสียทีเดียวด้วยรู้มารยาทของมนุษย์

"เป็นอะไรรึเปล่า!" องค์หญิงหันไปถามซินเนย์วา รอให้หมาป่ายักษ์ยืนขึ้น ดวงตาสีอำพันถลึงมองไปยังหน้าผาด้านหลังด้วยความตะลึง

...สิบห้าฟุต! พวกเงือกกลุ่มนี้กระโจนได้ถึงสิบห้าฟุต!!

"เจ้า..."

"เราอาโกรนาห์ เราได้ยินเรื่องของเจ้ามาจากท่านพี่บ้างแล้ว ซินเนย์วา!" นางเงือกคลี่ยิ้ม ด้วยใบหน้าเยาวว์วัยของนางทำให้บรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไปราวกับไม่ได้อยู่ท่ามกลางการต่อสู้ องค์หญิงจัดชุดผ้าหนังที่เปียกแนบลู่ไปกับร่างให้เข้าที่ "เซลทิคเป็นบ้านของเรา..." นางเงือกก้มลงเก็บหอกที่ตกอยู่บนพื้น ก้าวออกไปเบื้องหน้ากลุ่มองครักษ์ที่ทยอยขึ้นมา "เราทนหลบอยู่ข้างล่างอย่างเดียวไม่ได้หรอก"

"องค์หญิง! " ซินเนย์วาตะโกนเรียก แต่มันก็ออกมาเป็นเสียงเห่า

...ทำไมเงือกพวกนี้สื่อสารทางจิตไม่ได้หนอ!

นางหมาป่ากลอกตา ยอมคืนร่างเป็นมนุษย์สักครู่หนึ่งเพื่อจะวิ่งไปเตือนนางเงือกผู้นำ "เจ้าสู้แวมไพร์ตอนกลางคืนไม่ได้! ห้าปีที่แล้วไม่ได้ให้บทเรียนอะไรแก่เจ้าเลยรึไง!" ซินเนย์วาตะโกนใส่ และเพิ่งสังเกตว่าตัวนางเองสูงได้เพียงระดับสายตาของนางเงือกที่มีอายุเพียงสิบหกปี

พวกเงือกวาฬนี่ตัวใหญ่มากจริงๆ

อาโกรนาห์เหลือบตามองหมาป่าก่อนยิ้ม "เจ้าพูดแบบนี้ไม่ถูกนะ" นางหันมองศัตรู แม้ความมืดจะทำให้พวกเขาเสียเปรียบ แต่สิ่งหนึ่งที่เงือกวาฬมีเหนือกว่า นั่นคือความสามารถในการค้นหาทิศทางจาก 'เสียง'

"เพราะครั้งนี้... เรามีหมาป่ามาร่วมด้วย"

อาโกรนาห์ก้าวเท้าไปข้างหน้า ย่อตัวลงในระดับที่เหมาะสม ก่อนจะขว้างหอกเล่มยาวในมือออกไป แทนเป็นสัญญาณการจู่โจมของฝั่งเงือก และในอึดใจเดียว หอกจำนวนมากก็ถูกขว้างออกไปยังสนามต่อสู้ ตามด้วยเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของผีดูดเลือด โดยไม่มีอาวุธใดพลาดไปถูกหมาป่าเลยสักอันเดียว

องครักษ์เงือกอีกตนส่งอาวุธให้กับองค์หญิง มันไม่ใช่หอกปลายแหลม แต่มันคือกระบองด้ามยาวที่ปลายทั้งสองข้างติดไฟลุกโชน แสงสว่างทำให้มองเห็นเสี้ยวหน้าหนึ่งของอาโกรนาห์ แววตาขององค์หญิงแห่งเซลทิคบัดนี้ฉายแววเหี้ยมเกรียม

"ใครว่าชาวเงือกไม่รู้จักไฟก็ให้มันรู้ไป..."

จุดอ่อนของแวมไพร์คือแสงสว่าง แต่ในเมื่อไม่มีแสงสว่าง พวกเขาก็คงต้องใช้ไฟเป็นตัวแทน องค์หญิงยกกระบองขึ้นหมุนกลางอากาศแทนเกราะป้องกันจากเบื้องบนขณะมองหาเป้าหมาย นางวิ่งเข้าไปโรมรันในการต่อสู้ ใช้พละกำลังมหาศาลเหวี่ยงอาวุธเข้าใส่ศัตรู

อ้าก...!!!

เสียงโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังระงม เมื่อร่างกายถูกแผดเผาด้วยเปลวเพลิง ผู้รุกรานล่าถอยจากความร้อนออกไปตั้งหลัก "พวกมันใช้ไฟ!"

เวเรเซียโนกวาดสายตาไปทั่วบริเวณเพื่อมองหาสิ่งที่ต้องการ "องค์หญิง..." เขาต้องการเลือดของนาง และจะต้อง 'จับเป็น' เท่านั้น หาไม่แล้วพลังการรักษาก็จะสูญสิ้นไปพร้อมกับชีวิต ชายหนุ่มเขม้นมองผู้นำเงือกผู้มีผิวพรรณขาวผ่องและเรือนผมสีดำสนิท ตรงตามลักษณะอันสมบูรณ์แบบของราชวงศ์เซลทิค

"จับองค์หญิงมาให้ได้!"

ซินเนย์วาวิ่งกลับมาในร่างของสัตว์สี่เท้า ขย้ำร่างที่เข้ามาขวางทาง และเหวี่ยงทิ้งอย่างไม่ใยดี ดูเหมือนว่าเวเรเซียโนจะระดมพวกพ้องมามาก แต่นี่อาจจะเป็นเพียงส่วนหนึ่ง นางรู้ดีว่ากลุ่มแวมไพร์ 'กบฎ' มีจำนวนมากกว่านั้น "ราชาแวมไพร์นี่ช่างก่อเรื่องแล้วไม่แก้ปัญหา จนมีผู้ต่อต้านมากขนาดนี้เลยรึไง"

อังเดรวิ่งกลับมาหาจ่าฝูงของตน "แสงอาทิตย์ตอนเช้าคงไม่ช่วยเรา ฤดูนี้แทบจะไม่มีแดดด้วยซ้ำ"

"เราไม่หวังพึ่งแดด" นางหมาป่ายิ้มกับตัวเอง "เจ้าคิดว่าข้ายังคบพวกนางพรายลมขี้นินทาเอาไว้ทำไม"

--------------------------------------------------

คาดันน์ส่งสัญญาณไปในความว่างเปล่าของท้องทะเล คลื่นเสียงที่จะทำให้มองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า และบอกทิศทางได้ว่าควรจะมุ่งไปที่ใด แต่ตัวมันเองก็เพิ่งจะเคยเดินทางออกจากอาณาจักรเป็นครั้งที่สองเท่านั้น อีกทั้งรอบตัวก็มีแต่ความว่างเปล่า จนแทบไม่มีเสียงใดสะท้อนกลับมา

มารินาการ์ดอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเซลทิค

ดังนั้นเมื่อหันหน้าให้ถูกทิศแล้วมันก็มีหน้าที่แค่ว่ายต่อไป และจะต้องไปให้ถึงระยะการส่งสัญญาณให้เร็วที่สุดอีกด้วย อาณาจักรเงือกกำลังเดือดร้อน และองครักษ์หน่วยจู่โจมก็อยู่ที่มารินาการ์ด ขอเพียงแค่ว่ายไปถึงระยะสื่อสารเท่านั้น พวกวาฬราชรถก็จะได้ยินเสียงและตอบโต้กลับมา

แต่ระยะเวลาในการเดินทางจากเซลทิคไปถึงมารินาการ์ดใช้เวลาวันหนึ่ง

หากมันกลับไปไม่ทันการต่อสู้จะเกิดอะไรขึ้นหนอ...

วาฬยักษ์หยุดว่ายและหันหัวกลับด้วยความลังเล มันรู้ว่าชาวเงือกจะต้องล้มตายระหว่างที่มันเสียเวลาในการเดินทาง และมันก็เป็นสัตว์ที่ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่าการสื่อสาร ดังนั้นมันจึงควรทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด เมื่อคิดได้ดังนั้น คาดันน์จึงออกว่ายต่อไป

แต่แล้วมันก็หยุดครางในลำคอ... มันเป็นห่วงเวทอร์ส

เวทอร์สเป็นองครักษ์ลาดตระเวน และเป็นถึงน้องชายของผู้นำเผ่าเพชฌฆาต อีกฝ่ายจะต้องร่วมการต่อสู้อย่างแน่นอน มันรู้ดีว่าเวทอร์สมีความสามารถ แต่คู่ต่อสู้นั้นเหนือกว่าเกินจะคาดเดาได้ และหากมันกลับไปเพื่อจะพบว่าอีกฝ่ายบาดเจ็บหรือเป็นอะไรไปเล่า

สัตว์ยักษ์ส่งเสียงออกไปในความมืด ด้วยหวังว่าจุดที่มันอยู่จะใกล้กับมารินาการ์ดมากพอที่ฝูงวาฬราชรถจะได้ยิน แต่ก็ไม่มีสิ่งใดตอบกลับมา คาดันน์ลังเล มันควรจะไปต่อ หรือกลับไปหาเวทอร์ส อย่างน้อยมันก็อาจจะมีประโยชน์กับอีกฝ่ายบ้าง ดีกว่าไปต่อ... แล้วกลับไปพบว่าอีกฝ่ายบาดเจ็บโดยที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้

เสียงสะท้อนในห้วงน้ำโอดครวญ... เท่านี้ยังไม่ใกล้พออีกหรือ

อีกไกลแค่ไหนกว่าจะถึงมารินาการ์ดหนอ

หางใหญ่ขยับว่าย วาฬเพชฌฆาตว่ายน้ำได้เร็วมาก แต่ก็ยังเร็วไม่พอสำหรับคาดันน์ มันส่งเสียงร้องตลอดเวลา แม้ว่าจะไม่มีสิ่งใดสะท้อนกลับมาเลย ท่ามกลางมหาสมุทรกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ความหวังที่พอจะหลงเหลืออยู่นั้นช่างริบหรี่เหลือเกิน

อีกไกลแค่ไหน... มันจะทำได้หรือเปล่า...

คาดันน์เสียงสั่น มันไม่แน่ใจกระทั่งว่าตัวเองมาถูกทางหรือไม่ และไม่แน่ใจด้วยว่าหากหันหลังกลับไปแล้วจะช่วยใครได้ทันการหรือเปล่า หากมันทำไม่ได้สักอย่างที่ผู้คนคาดหวังให้มันทำ จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

เสียงครางทุ้มต่ำดังขึ้น บางสิ่งที่มีขนาดมหึมาว่ายขึ้นมาจากก้นสมุทร คาดันน์ขยับขึ้นไปหายใจพร้อมกับส่งสัญญาณตอบ วาฬเผือกปรากฎให้เห็นในเสียงสะท้อน และเพียงอึดใจ สัตว์ใหญ่ก็เคลื่อนร่างผ่านวาฬเพชฌฆาต อสูรทะเลพลิกร่างบนผิวน้ำเพื่อชมแสงจันทร์ ก่อนจะดำกลับลงไปสู่ความมืดเบื้องล่าง

ทันใดนั้น วาฬราชรถก็ส่งเสียงตอบกลับมา...

ได้ยินแล้ว!

คาดันน์หันไปทางตะวันออก เปล่งร้องออกไปสุดเสียงด้วยความยินดี

ได้ยินแล้ว! กำลังกลับไปแล้ว!

ฝูงวาฬขึ้นไปหายใจ เร่งความเร็วผ่านร่างของคาดันน์ไปพร้อมกับเสียงขอบคุณ "คาดันน์!" เวสเทียร์ตะโกนเรียก เขาปลีกออกมาจากขบวน และตรงเข้าไปหาเจ้าวาฬเด็กที่เดินทางมาไกลเกินครึ่ง "ไป... กลับไปเซลทิค..." ร่างโปร่งเคลื่อนไปบนร่างของมันและยึดมือกับกระโดงหลังสูงใหญ่ "ทำดีมาก กลับบ้านได้แล้ว..."

--------------------------------------------------


รู้สึกว่าคนที่ชิลยิ่งกว่าองค์ชายเร็กซ์น่าจะเป็นอสูรทะเล... อะไรคือการขึ้นมาน้วยแสงจันทร์แล้วก็กลับลงไปแบบชิคๆ

แต่บทดราม่า (?) กับตัวเองของคาดันน์คือเขียนยาก ถ่ายทอดยาก ปกติมันจะแสดงออกถึงความสุขมากกว่า พอเป็นทุกข์แล้วมันจะลอยตัวเฉยๆ นิ่งๆ และเถียงกับตัวเองด้วยการหันหัวไปๆ มาๆ ซึ่ง... เป็นอะไรที่ถ่ายทอดยากมาก รู้สึกว่าอินยาก 555



องค์หญิงอาโกรนาห์... น่าจะสูงสัก 185 cm นะ ในวัยปัจจุบัน (ส่วนซินซินร่างมนุษย์ 170 cm ร่างหมาป่า 2 เมตร) คือในบรรดาเงือก ราชวงศ์เซลทิคนี่ยักษ์ทุกคน เพราะเป็นพันธุ์ใหญ่ที่สุด

เราว่าการเป็นผู้หญิงในเรื่องนี้นี่แลจะเหนื่อย ตอนแรกก็เรจินา สักพักก็ซินซิน แล้วตอนนี้ก็อาโกรนาห์...

เราคิดว่าการกระโจนขึ้นมาบนผาสูง 15 ฟุต (4.5 เมตร) เป็นอะไรที่เท่มาก และเงือกเผ่าอื่นทำไม่ได้ (เผ่าฉลามกระโดดได้ แต่ว่าไม่สูงมาก) แต่ยอมหยวนให้อาโกรนาห์นิดนึง เพราะจริงๆ เผ่าที่กระโดดสูงขนาดนั้นน่าจะเป็นเฉพาะเผ่าวาฬเพชฌฆาต อาโกรนาห์... เป็นเผ่าวาฬหลังค่อม ซึ่งเป็นวาฬขนาดใหญ่มาก และไม่กระโดด เขาจะใช้วิธี breach ซึ่งหมายถึงการโผขึ้นจากน้ำแล้วสะบัดตัวสวยๆ ทีนึงก่อนจะฟาดตัวลงไปด้วยความสนุก (?) (กระแทกน้ำนี่เจ็บจะตาย มันสนุกตรงไหน)

แนวคิดการกระโดดสูงมาจากข่าวนึงของวาฬเพชฌฆาตที่ไล่จับโลมา (กิน) และในสเตจที่เรียกว่า final attack คือนางจะกระโดดฟัดนี่ล่ะ (ซึ่งนี่ก็สูงเกินไปหน่อย ตกลงจับได้ไหมลูก...) วาฬตัวนี้น่าจะหนักถึง 8 ตัน (และน่าจะตัวเมีย)



ส่วนแนวคิดกระบองไฟคือแบบ... อยู่ๆ ก็แว้บเข้ามา (นอกจากท่าพุ่งหลาวขององค์หญิงแล้วชีก็ยังท้อปฟอร์มได้อีก) (ทั้งหมดนี่คือไคราห์นเป็นคนสอนนะ) เพราะคิดว่า... เงือกเซลทิคเขาใกล้ชิดมนุษย์มากกว่าเงือกพวกอื่น เขาต้องคิดอะไรได้มากกว่าการใช้หอกสามง่ามจิ้มพุง (?) สิ... แล้วโดนบุกกลางคืนด้วย บทเรียนเมื่อ 5 ปีที่แล้วมันต้องช่วยอะไรบ้างแหละ ก็เลยได้แนวคิดของการใช้ไฟมา...

ไม่รู้จะเม้าท์อะไรละ... รอตอนหน้า (อ้าว 555)

ช่วงนี้จะหยอดอะไรให้คู่หลักบ้างคือไม่มีเวลาเบย รู้สึกสถานการณ์เรื่องมันเครียด แฮ่ะๆ

ออฟไลน์ nutiez

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ชวนให้เอาใจช่วยฝั่งพี่เงือกและหมาป่ามากๆ รู้สึกว่าช่วงนี้เรื่องจะกระชับฉับไว ตื่นเต้น เร้าใจมากๆค่ะ

ปล. เอ็นดูคาดันน์ทุกตอนเลย ช่วงสับสนกับตัวเองนี่โง้ยมาก ไม่งอแงนะลูก ไม่คิดว่าคาดันน์ที่อารมณ์ดีตลอดเวลาจะมีมุมนี้ด้วย

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
วาฬน้อยสับสน

น่าร้ากกกกกกก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนที่ 20.1

หากเปรียบเทียบความเร็วแล้ว ชาวเงือกก็ดูจะพ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันได้แข่งขัน พวกเขาอาจหูดี และจับทิศทางในความมืดได้จากเสียง แต่การตอบสนองที่ค่อนข้างช้าทำให้กระบองไฟช่วยอะไรไม่ได้มาก เมื่อแวมไพร์เปลี่ยนวิธีการต่อสู้เป็นการจู่โจมด้วยความเร็วยิ่งกว่าเดิม องค์หญิงอาโกรนาห์ก็พบว่าคนของนางกำลังเพลี่ยงพล้ำ

อ้าก...!!!

ผีดูดเลือดไม่เคยปล่อยให้เหยื่อสูญเปล่า พวกเขาตักตวงอาหารตรงหน้าด้วยความกระหาย ดังนั้นนอกจากความสูญเสียที่ตอกย้ำครึ่งมัจฉาแล้ว ความแข็งแกร่งของศัตรูที่เพิ่มมากขึ้นยิ่งทำให้พวกเขามองไม่เห็นทางเอาชนะ

"องค์หญิง! พวกมันมีมากเกินไป!"

เลสซีย์เหวี่ยงหอกในมือใส่คู่ต่อสู้ และจบลงด้วยการแทงปลายแหลมทะลุหัวใจให้ร่างตรงหน้ากลายเป็นผงฝุ่น "ต่อให้ฆ่าหัวหน้าของพวกมัน พวกมันก็ยังไม่เลิกรา และเราฆ่าพวกมันทั้งหมดไม่ได้! เราต้องทำอะไรสักอย่าง!"

"คนของเรามีเท่าไหร่"

องค์หญิงเซลทิคถามเวทอร์ส หลังจากอีกฝ่ายสะบัดร่างไร้ชีวิตออกให้พ้นทาง และเฝ้ามองร่างเนื้อนั้นกลายเป็นผงฝุ่น "หน่วยลาดตระเวนสี่ทิศมีเพียงสี่สิบคน แต่หน่วยจู่โจมที่ติดตามฝ่าบาทไปเกือบห้าสิบขอรับ"

พวกเขาขาดแม่ทัพ แม้องค์หญิงอาโกรนาห์จะลงมาร่วมรบด้วยตนเอง แต่นางก็ไม่มีแผนการต่อสู้ การต้านเอาไว้เช่นนี้มีแต่ทำให้พวกเขาอ่อนแรงลงเท่านั้น พวกเขาต้องการผู้นำนำ... แม้ชีวิตของผู้นำอาณาจักรจะสำคัญ แต่หากต่อสู้โดยไร้ซึ่งทิศทาง ขวัญกำลังใจก็จะค่อยๆ ฝ่อลงไปจนกลายเป็นสิ้นหวัง

"องค์หญิง ระวัง!"

เลสซีย์เห็นคู่ต่อสู้ นางเงือกย่อขาลง ก่อนจะดีดตัวกระโจนขึ้นจากพื้นเพื่อจะใช้คมหอกฟาดฟันศัตรูก่อนที่มันเข้าถึงตัวองค์หญิง "ย้าก...!" ทว่าพลาดเป้าหมาย นางกลับมาที่พื้นอีกครั้ง ทว่าความเร็วของมันก็คว้าเข้าที่อาวุธ และหักเป็นสองท่อนในอึดใจ พร้อมกับมือข้างหนึ่งบีบเข้าที่คอของผู้นำหน่วยลาดตระเวน

"โอ๊ย!"

แวมไพร์แสยะเขี้ยว แต่เพียงเท่านั้น เวทอร์สก็พุ่งปลายหอกเข้าแทงที่กลางลำคอคู่ต่อสู้ "อั่ก!"

เลสซีย์เข่าอ่อน เวทอร์สรับร่างของนางเอาไว้ทัน "ท่านเลสซีย์!" คอของนางถูกจิกเป็นแผลเหวอะ นางเงือกอ้าปากหายใจ ความเจ็บปวดจากบาดแผลผสมปนเปไปกับความร้อนจากพิษของแวมไพร์ทำให้ภาพตรงหน้าเริ่มพร่าเลือน "ท่านเลสซีย์!" เวทอร์สเรียกซ้ำ และหันไปหาพรรคพวกที่เหลือ "พานางกลับไปที่อาณาจักร!"

เผ่าโลมาไม่อาจต่อสู้ได้ดุเดือดเท่า ดังนั้นพวกเขาจึงคอยช่วยเหลือคนเจ็บ

อาโกรนาห์อ้าปากค้างในยามที่เห็นบาดแผล แต่นางไม่มีเวลามากพอจะไตร่ตรอง...

หางตาของเวทอร์สเห็นร่างเงาของคู่ต่อสู้ ชายหนุ่มเปลี่ยนอาวุธจากมือซ้ายเป็นมือขวา ก่อนหันไปเผชิญหน้าต่อสู้ แต่หมาป่าร่างยักษ์กระโดดเข้ามายืนเคียงข้างพร้อมกับคำรามและใช้ตัวเองขวางเอาไว้ "ท่านซินเนย์วา..." องครักษ์เหลือบมองดวงตาของสัตว์ใหญ่ที่เขาจดจำได้ นางกำลังแยกเขี้ยวใส่แวมไพร์ที่ก้าวตรงมา

"ข้าขอเพียงชีวิตเดียว ชาวเงือก..." เวเรเซียโนสูดหายใจ มือของเขาเปื้อนเลือด ขณะที่ดวงตาคมจับจ้องร่างโปร่งด้านหลังหมาป่า "พลังแห่งการเยียวยานั่น แล้วเราจะไปจากที่นี่" ไม่ต้องมีใครบอก ชาวเงือกก็รู้ดีว่าแวมไพร์ไม่เคยมีสัจจะ ดังนั้นการเกลี้ยกล่อมพวกเขาจึงเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์

"องค์หญิง..." เวเรเซียโน้คลื่อนไปมองสบตาอาโกรนาห์ "เพื่อประชาชนของพระองค์"

"เผ่าเพชฌฆาตสาบานต่อราชวงศ์แล้ว" องครักษ์จับหอกในมือให้มั่น "ต่อให้ต้องตาย เราก็จะปกป้องราชวงศ์เซลทิค!" หมาป่ากระโจนออกไปก่อนที่เงือกหนุ่มจะไหวตัว ซินเนย์วาแสยะเขี้ยว ไล่ขย้ำเวเรเซียโนที่กระโดดหลบอย่างรู้เท่าทัน นางเหลือบมององค์หญิงเงือกครู่หนึ่งก่อนจะส่งเสียงเตือน

'องค์หญิงอาโกรนาห์ กลับทะเลไป!!'

ไม่มีใครฟังภาษาหมาป่าออก แต่เวทอร์สอ่านความคิดนางได้จากสายตานั้น ชายหนุ่มหันกลับไปหาผู้เป็นนายในทันที "องค์หญิง! กลับไปที่อาณาจักรก่อน เราควรถอยไปตั้งหลัก!"เงือกหนุ่มกวาดตามองไปรอบกาย ชาวเงือกอาจเรียนรู้ที่จะใช้ไฟ แต่สะเก็ดไฟจากอาวุธของพวกเขาก็เริ่มลุกไหม้ไปตามพื้นหญ้า จนลามไปติดต้นไม้ที่แนวป่าใกล้ผาแล้ว

ในตอนนี้ ไฟไม่ใช่ศัตรูของแวมไพร์ แต่เป็นศัตรูของชาวเงือกและหมาป่าอีกด้วย

อาโกรนาห์ถอยเท้า นางหมุนตัวกลับเพื่อจะวิ่งตรงไปยังหน้าผา แต่เมื่อนางก้าวกระโดด เชือกเส้นหนึ่งก็คล้องเข้าที่ข้อเท้า และดึงร่างที่โผขึ้นในอากาศให้ตกลงมาสู่พื้นดิน

"อั่ก..!!"

องค์หญิงเจ็บจนจุก นางเผยอมองสิ่งที่พันธนาการ พยายามรวบรวมสติในการตัดมันให้ขาด "จับนางได้แล้ว!" พวกแวมไพร์ร้องบอกกัน ขณะที่เชือกที่รั้งข้อเท้ากระชากร่างไปตามพื้นดิน "เอานางกลับไป!" หญิงสาวจิกเล็บกับพื้น แต่พละกำลังมหาศาลก็ทำให้นางพ่ายแพ้ จนมือข้างหนึ่งกอบกุมลำคอระหง และยกตัวอาโกรนาห์ขึ้นจากพื้น

"อย่าตายเหมือนพี่ชายเจ้าล่ะ เสียของแย่!"

องค์หญิงขบริมฝีปาก นางรู้ว่าเหตุใดเดียร์ราฮานจึงเลือกความตาย ดีกว่าจะมอบพลังในสายเลือดให้กับผีดิบชั้นต่ำพวกนี้ "องค์หญิง!" นางได้ยินเสียงองครักษ์  แต่ไม่อาจรวบรวมสติเพื่อจะหันไปหาใครได้ หูของนางอื้ออึง เช่นเดียวกับสายตาที่เริ่มพร่ามัว

ฉั๊วะ...!!

แขนของผีดิบถูกตัดขาดสะบัดด้วยคมอาวุธ เลือดสีแดงคล้ำสาดไปทั่ว และเปรอะเปื้อนใบหน้าของนาง แต่อึดใจต่อมา อาโกรนาห์ก็รู้สึกได้ว่าใครบางคนช้อนอุ้มร่างเอาไว้แนบกาย "เธรมาร์! พาองค์หญิงกลับไปที่เซลทิค!!"

"รู้แล้ว!"

เจ้าของวงแขนตะโกนตอบ สองขาออกวิ่งเต็มกำลัง แต่เมื่อใกล้จะถึงหน้าผา เขาก็ถูกพันธนาการเอาไว้ด้วยเชือก

"องค์หญิง ระวัง!"

ร่างโปร่งหลุดลอยจากวงแขนแกร่ง นางรู้สึกเสมือนถูกโยน หลุดลอยไกลจากแผ่นดิน แสงสลัวในยามเช้าทำให้ภาพมัวหม่นไม่ชัด แต่ก็พอจับความได้ว่าเงือกหนุ่มองครักษ์ถูกลากกลับไป ร่างเงาสูงใหญ่ของแวมไพร์อีกตนกระโจนตามออกมา อย่างหมายมั่นว่าพวกเขาจะต้องได้ตัวองค์หญิงแห่งเซลทิค

ฟู่!

อาโกรนาห์จำเสียงหายใจของวาฬได้ นางกลอกตามองผืนน้ำ ด้วยความหวังว่าพี่ชายจะกลับมา และสิ่งที่เห็นได้จากหางตา คือกายมหึมาของวาฬยักษ์ซึ่งกระโจนขึ้นมาสุดแรง ไคราห์นจับครีบหลังของคาดันน์เอาไว้ก่อนจะออกแรงดันตัวเองให้พุ่งออกไปในอากาศพร้อมกับอาวุธในมือ

ฉั๊วะ...!!

หอกเล่มยาวเสียบทะลุร่างแวมไพร์ ตัดความหวังของผีร้ายและทำลายศัตรูให้สิ้นซาก ฝ่ามือใหญ่เอื้อมไปโอบร่างน้องสาวกลับมาก่อนที่นางจะตกลงกระแทกท้องทะเลเบื้องล่าง

ตูม...!

เสียงวาฬร้องระงมในท้องน้ำ และเช่นเดียวกับความวุ่นวายขององครักษ์หน่วยจู่โจมที่เดินทางกลับมาถึง "ไล่พวกที่อยู่ในถ้ำออกไป แล้วตามไปสมทบเบื้องบน!" เวสเทียร์เสียงดัง "เผาแนวต้นสน ใช้ไฟไล่ต้อนพวกมันมาที่หน้าผา เราจะฆ่ามันให้หมด!" แผนของไคราห์นต่างจากอาโกรนาห์ แทนที่จะต่อต้านไม่ให้แวมไพร์มาถึงผา แต่เขาต้องการให้มันมารวมตัวกันที่นั่น

เพราะพวกเขารู้ดีว่าเผ่าองครักษ์จะได้เปรียบในผืนน้ำ

ไคราห์นประคองน้องสาวเอาไว้ และมองดูบาดแผลบนร่างของนางที่ค่อยๆ ฟื้นฟูตัวเอง "อาโกรนาห์!" ราชาหนุ่มพาอีกฝ่ายกลับไปยังถ้ำที่ประทับ ด้วยคลื่นลมในถ้ำแห่งนั้นสงบกว่าด้านนอก อย่างน้อยนางก็หายใจสะดวกขึ้น "ไหวหรือเปล่า" เขายังกอดนางไว้อย่างนั้น หวังว่าพลังของตนจะช่วยให้น้องสาวหายเร็วขึ้น

องค์หญิงระบายลมหายใจรวยริน ก่อนจะยิ้มออกมา "น้องไม่เป็นไร"

"ไปช่วยเอสลินน์" ไคราห์นออกคำสั่ง "นางกำลังช่วยคนเจ็บ เจ้าไปช่วยนางอีกแรง" องค์หญิงเอสลินน์ยังเยาว์วัยเกินกว่าจะต่อสู้ อาโกรนาห์จึงสั่งให้ฟาลพานางออกไปเพื่อความปลอดภัย แต่ฝ่าบาทไคราห์นเรียกอีกฝ่ายกลับมาเพื่อให้น้องสาวใช้พลังในการรักษาผู้บาดเจ็บ "แค่แตะพวกเขาเท่านั้น..."

"ท่านพี่" อาโกรนาห์อ้าปากน้อยๆ "แต่ว่า..."

"พวกเขากำลังจะตาย ถ้าเราช่วยพวกเขาได้ นั่นคือสิ่งที่ราชาที่ดีควรทำ" ร่างสูงค่อยๆ คลายอ้อมแขน "เราไม่มีเวลา เจ้าต้องรีบไป" ราชาหนุ่ม สะบัดหาง พาร่างตนออกไปจากถ้ำใหญ่ เพื่อสมทบกับเหล่าองครักษ์ที่รออยู่เบื้องล่าง

--------------------------------------------------

พวกเงือกเปลี่ยนแผนการต่อสู้...

เวเรเซียโนเหลือบมองรอบกาย พวกองครักษ์เปลี่ยนหายนะจากเพลิงไหม้เป็นแนวกำแพงไฟที่ทำให้แวมไพร์ไม่มีทางหนีพ้น ขณะที่หมาป่าก็ตีวงเข้ามาเพื่อต้อนให้พวกเขาถอยไปยังผาทะเล ไม่มีใครบอกก็รู้ว่าใต้เกลียวคลื่นนี้มีเงือกอีกมากมายรออยู่

"ท่านเวเรเซียโน..."

ผู้นำแวมไพร์ยกมือปรามคนของตนขณะขบคิด แต่เสียงโหยหวนจากถ้ำที่เชื่อมต่อกับแผ่นดินก็บอกเล่าสถานการณ์ว่าองครักษ์แนวหน้าของเซลทิครุกกลับบ้างแล้ว

"ฝ่าบาทไคราห์นกลับมาแล้ว" เวเรเซียโนหรี่ตาลง "ถ้าเราหนีหมาป่าลงทะเล พวกเงือกก็จะรอเราอยู่"

เขาต้องการเพียงเลือดแห่งราชวงศ์เซลทิค... แต่จะทำอย่างไรให้ได้มาซึ่งสิ่งนั้น

"ท่านเวเรเซียโน ...เจ้านี่แปลกดี!" ผู้นำแวมไพร์เหลือบมองตามเสียง ลูกน้องคนหนึ่งลากคอเงือกหนุ่มตนหนึ่งมาโยนเบื้องหน้าเขา อีกฝ่ายมีผมยาวสีดำแซมขาว ผิวพรรณขาวเกินกว่าจะเป็นสมาชิกของเผ่าเพชฌฆาต และที่น่าประหลาดใจนั่นคือเขาเดี่ยวสีดำเหนือหน้าผาก

...มนุษย์ยูนิคอร์นหรือไร!!

แต่ลักษณะเปลือยเปล่าของอีกฝ่ายบอกได้ว่านี่เป็นชาวเงือกที่ไม่ได้ประสาเรื่องราวบนแผ่นดิน "มันเป็นคนช่วยยัยองค์หญิงนั่นกลับไป" อีกฝ่ายถูกบีบคอและจับยกขึ้นในอากาศเบื้องหน้าเซเรเซียโน ชายหนุ่มหรี่ตาลงอย่างพิจารณา ด้วยรู้ว่าคนตรงหน้าไม่ใช่ประชาชนธรรมดาของเซลทิค

เนื้อตัวอีกฝ่ายเปรอะเปื้อน ทว่าไม่มีบาดแผลใดๆ

"เจ้าเป็นใคร" แรงบีบมหาศาลทำให้เงือกหนุ่มตาพร่าเนื่องจากขาดอากาศ "เป็นพันธุ์อะไร!"

"บอกก็โง่สิ"

เวเรเซียโนอ้าปากค้างเมื่อถูกครึ่งมัจฉาตอกหน้า เขาเงื้อมือขึ้นหมายจะสั่งสอน แต่แล้วร่างเล็กอีกร่างก็พุ่งเข้าใส่ลูกน้องแวมไพร์ "เธรมาร์ กระโดด!!" การเคลื่อนไหวของชาวเงือกไม่ได้รวดเร็ว แต่วิธีการเอาชนะของเงือกกลุ่มนี้แปลกประหลาด เจ้าของเสียงก้มหัวลง ใช้พละกำลังทั้งหมดพุ่งเข้ากระแทกศัตรูด้วยปลายเขาบนหน้าผาก

พลั่ก...!!

ผู้นำแวมไพร์ไหวตัวทัน เขากระชากร่างเธรมาร์กลับมา และปล่อยให้ลูกน้องของตนถูกผลักออกจากแผ่นดินไปพร้อมกับเงือกตนนั้น เขาผละออกจากร่างแวมไพร์ ขณะเปลี่ยนท่อนขาให้กลายเป็นหางสีด่างดำ

ฉึก...!!

องครักษ์เพชฌฆาตกระโจนขึ้นมาจากน้ำด้วยรู้งาน อาวุธแหลมเสียบทะลุร่างคู่ต่อสู้อย่างแม่นยำ แต่ก็ไม่วายประสาชนกับเงือกต่างถิ่นกลางอากาศ "โอ๊ย!!"

ตูม...!!

เวเรเซียโนหันกลับมาที่เธรมาร์ หลังจากกระชากอีกฝ่ายกลับมาและกระแทกกดเอาไว้บนพื้นหญ้า เขาจับแขนเงือกหนุ่ม และเฉือนเล็บไปบนผิวเนื้อขาวแทนการทดสอบ และในไม่กี่อึดใจ บาดแผลนั่นก็ค่อยๆ สมานเข้าหากันอย่างรวดเร็ว "เจ้า...!!" แวมไพร์หนุ่มอ้าปากค้าง แต่แล้วคนตรงหน้าก็ผงกขึ้นโขกหัวเขาอย่างแรง

"โอ๊ย!!"

องศาการโขกไม่มากพอที่จะทำให้เขาเดี่ยวนั่นเสียบแทงคู่ต่อสู้ แต่ความแรงนั่นก็มากพอที่จะทำให้เธรมาร์ขยับตัวได้ ฝ่ายนั้นดิ้นถีบเวเรเซียโนออกไป ก่อนจะลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว "กลับลงทะเล!!" ชายหนุ่มตะโกนบอกพรรคพวก และถีบตัวเองออกไปจากแผ่นผาสุดแรง

เวเรเซียโนลุกขึ้น เขาคว้าเชือกที่บั้นเอวของตน แล้วโยนห่วงขนาดใหญ่ตามอีกฝ่ายไป ข้อเท้าของชาวเงือกถูกรัด และกระชากกลับมายังแผ่นดิน แต่ระยะกระโดดของเธรมาร์ก็มากเกินกว่าจะดึงเขากลับมาได้ ชายหนุ่มร่วงลงจากท้องฟ้า ก่อนที่ร่างจะกระแทกกับหินผาแห่งเซลทิค

ตาย... เขาต้องตาย... เหตุใดการเดินทางมาอาณาจักรเซลทิคครั้งแรกจึงได้เลวร้ายปานนี้...

โครม...!!

"เธรมาร์!!" เงือกที่เดินทางมาด้วยกันตะโกนเรียกจากเบื้องล่าง แต่เขาก็ไม่มีกำลังมากพอที่จะกระโดดขึ้นไป มีเพียงพวกเผ่าเพชฌฆาตที่กระโจนได้สูงขนาดนั้น เขาได้แต่มองร่างปวกเปียกหมดสติของสหายถูกดึงกลับขึ้นไปยังแผ่นดิน

"เผ่านาร์วาล!"

เสียงของฝ่าบาทไคราห์นทรงพลังเสมอ และเมื่อเงือกแปลกหน้าถึงเรียก เขาก็เม้มปากด้วยความหวาดกลัว ราชาทะเลเหนือปราดมายังเงือกตนนั้น และจ้องมองคาดคั้นให้อีกฝ่ายพูดธุระของตนออกมา "พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่ ในยามนี้!"

"แล้วเกิดอะไรขึ้นกับที่นี่! ในยามนี้ล่ะ ฝ่าบาท!" อีกฝ่ายถามกลับร้อนรน "เธรมาร์ถูกพวกมันจับไป!" เขาชี้ขึ้นไปยังแผ่นดิน ซึ่งนั่นทำให้ฝ่าบาทคำรามออกมาอย่างเดือดดาล "ก...กระหม่อมมากันเพียงสองคน..."

ไคราห์นหันไปหาองครักษ์ที่ใกล้ที่สุด

"เอามันไปรวมกับเอสลินน์! ทักษะการต่อสู้พอๆ กับเด็กสิบสองขวบ!"

องครักษ์หนุ่มเบิกตาขึ้น ขณะที่ผู้มาเยือนเคลื่อนกายไปหลบหลังองครักษ์เพชฌฆาตทันที "เอาข้าไปขัง ไปเก็บที่ใดก็ได้ให้พ้นเจ้าพวกผีดูดเลือดนั่น" ราชาหนุ่มแยกเขี้ยว เขากระชับอาวุธในมือและเริ่มมองหาวิธีช่วยเหลือเงือกอีกตัวที่อยู่เบื้องบน

"ฝ่าบาท... มันอันตรายไป..." เวสเทียร์พุ่งเข้ามาปราม

"คาดันน์!" ไคราห์นร้องเรียก หางตาเหลือบเห็นร่างเงาขนาดใหญ่พุ่งขึ้นมาจากก้นสมุทรเบื้องล่าง เจ้าวาฬว่ายผ่านร่างของเขาไป ราชาหนุ่มคว้าครีบหลังของมันเอาไว้และมุ่งหน้าไปยังผิวน้ำ หางใหญ่สะบัดโบกรุนแรง พาร่างทั้งคนทั้งเงือกกระโจนขึ้นในอากาศจนตัวลอย ฝ่าบาทใช้กำลังแขนดันร่างตัวเองออก แล้วหันกลับไปยังแผ่นดิน

พลั่ก...!

ร่างสูงกลิ้งลงกับพื้นหญ้า ดูเหมือนว่าเขาจะยังจับจังหวะกการกระโจนของคาดันน์ไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็นับว่าลงมาค่อนข้างสวยงามกว่าทุกครั้ง พวกแวมไพร์หยุดการต่อสู้แล้ว พวกเขากำลังประจันหน้ากับหมาป่าที่ตีวงล้อมต้อนพวกผีดูดเลือด แต่ก็ไม่มีตัวใดขยับเขยื้อน เนื่องด้วยร่างปวกเปียกไร้สติในมือของเวเรเซียโน

"ฝ่าบาทไคราห์น..."

ไม่ว่าใครก็รู้จักราชาผิวเผือกแห่งทะเลเหนือทั้งนั้น และยังเป็นที่ต้องการของแวมไพร์มากที่สุด

เจ้าหนุ่มเผ่านาร์วาลยังไม่ได้สติ รอยเลือดบนหน้าบอกได้ว่าอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บ ทว่าพลังเยียวยาในตัวก็ช่วยรักษาให้ เผ่านาร์วาลเป็นโลมาพวกหนึ่ง แต่พวกเขาค่อนข้างรักสันโดด และอาศัยอยู่เป็นกลุ่มเล็กๆ ในทะเลขั้วโลกที่หนาวเย็น นานสักครั้งที่พวกนาร์วาลจะเดินทางมา และไคราห์นเชื่อว่าการมาถึงของพวกเขาจะหมายถึงข่าวคราวเกี่ยวกับมารดาของตน

พระชายาเอกแห่งเซลทิคปลีกตัวไปอยู่กับพวกนาร์วาล ผู้ได้ชื่อว่านักประดิษฐ์แห่งเผ่าวาฬ

พวกเขาเป็นต้นตำรับสูตรยาที่จะแปลงเงือกมัจฉาให้สามารถเป็นมนุษย์ได้ เป็นผู้สร้างสรรค์อาวุธที่จะใช้ต่อกรกับอมนุษย์เผ่าพันธุ์อื่น และแน่นอนว่าเขาเดี่ยวที่อยู่เหนือหน้าผากของพวกเขาก็เป็นสมบัติสำคัญอย่างหนึ่งที่ชาวเงือกหวงแหน ไม่ต่างจากพลังสายเลือดบรรพกษัตริย์

"ฝ่าบาท...!"

ซินเนย์วาร้องเตือน พวกแวมไพร์ไม่รอคำสั่ง พวกเขาพุ่งเข้าใส่ราชาที่ไม่มีใครคุ้มครอง จังหวะเดียวกันกับที่ไคราห์นพุ่งกระโจนเข้าใส่ศัตรู เขาดึงหอกของตนออกจากกัน เผยให้เห็นใบมีดที่แอบซ่อนอยู่ภายใน กลายเป็นดาบคู่สองคมในมือราชา อาวุธของชาวเงือกส่วนใหญ่ทำจากกระดูกสัตว์ ทว่าหอกเล่มนี้ของฝ่าบาทเป็นใบมีดเหล็กกล้าที่สามารถฟาดฟันศัตรูให้ขาดสะบั้นในครั้งเดียว

"ฝ่าบาท... ชีวิตเจ้านี่..."

เวเรเซียโนยังคงจับร่างของเธรมาร์เป็นตัวประกัน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ราชาเงือกฟังเสียง เวสเทียร์ตามอีกฝ่ายขึ้นมาในเวลาไล่เลี่ยกัน พร้อมกับองครักษ์ระดับสูงของอาณาจักร และเมื่อเขาจู่โจม ฝูงหมาป่าที่หยุดชะงักก็กลับมาคึกคะนองอีกครั้ง พวกมันกระโจนใส่คู่ต่อสู้ บีบให้ผีดูดเลือดถอยร่นไปยังแผ่นผา ขณะที่ราชาเงือกไม่ได้สู้เพียงลำพังอีกต่อไป

"ก็ให้มันตาย... แต่เรายอมให้พวกเจ้าเอาร่างมันไปเหมือนกับเดียร์ราฮานไม่ได้!"

--------------------------------------------------

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนที่ 20.2

เรจินารู้ดีว่านางไม่อาจช่วยอะไรเผ่าวาฬ ในเมื่อองครักษ์ของนางไม่อาจแปลงกายเป็นมนุษย์ได้อย่างพวกเขา แต่อย่างน้อยนางก็สามารถช่วยเหลือคนเจ็บและพาพวกเขากลับไปยังที่ปลอดภัยได้ พวกเงือกปลาไ่ม่ต้องหายใจ ดังนั้นพวกเขาจึงช่วยอะไรเงือกวาฬได้มาก แม้ว่ามันจะไม่ใช่งานถนัดของเหล่าองครักษ์แห่งมารินาการ์ดเลย ต่อให้พวกเงือกวาฬจะตัวใหญ่กว่ามาก แต่ด้วยความที่พวกเขาอยู่ใต้น้ำ น้ำหนักของพวกเขาจึงไม่มากเท่าที่คิด

"น่าจะพาหน่วยพาพยาบาลมายังจะมีประโยชน์กว่า"

องค์ชายเร็กซ์บ่นกับพี่สาว เขามององครักษ์วาฬสูดหายใจเข้าลึกเพื่อระบายความเจ็บปวดจากบาดแผล เพราะเพียงแค่คมเล็บของแวมไพร์ก็มีพิษทำให้พวกเขาเจ็บปวดได้มาก "พวกพยาบาลเซลทิคงานล้นมือเกินไป" บาดแผลของเงือกหนุ่มไม่หนักหนาพอที่จะรบกวนพลังแห่งราชวงศ์ ฝ่าบาทเรจินาเหลือบมององค์หญิงเอสลินน์ที่กำลังพยายามช่วยองครักษ์หญิงอย่างสุดกำลัง

แต่บาดแผลบนลำคอของนางใช้เวลาในการรักษามากเหลือเกิน

"องค์หญิง... ไปดูแลผู้อื่นเถอะเจ้าค่ะ" เลสซีย์เสียงแผ่ว "บาดแผลนี้ไม่อาจเยียวยาได้แล้ว" องค์หญิงเอสลินน์มีอายุสิบสองปี แม้จะมีพลังแห่งราชวงศ์ แต่มันก็ไม่แข็งแกร่งพอที่จะยื้อชีวิตผู้คนโดนที่ต้องต่อสู้กับพิษของแวมไพร์ องค์หญิงน้อยใช้สองมือแตะแผลเหวอะตรงหน้าโดยไม่รังเกียจเลือดขององครักษ์ และพยายามรวบรวมสมาธิเพื่อให้พลังของนางทำหน้าที่

"นานสักที ท่านพี่จะประทานงานที่เราทำได้ แล้วเราจะทำไม่ได้หรือ"

"เอสลินน์... เจ้าไปดูทางนู้น" องค์หญิงอาโกรนาห์มาถึงถ้ำพยาบาล นางวางมือของตนลงแทนที่มือของน้องสาว "เราจะดูแลเลสซีย์เอง" องค์หญิงสามแห่งเซลทิคหลับตาพร้อมกับสูดใจลึก พลังของนางทำให้ร่องรอยบนคอขององครักษ์หายไปอย่างรวดเร็ว แต่มันก็ไม่อาจเยียวยาได้อย่างสมบูรณ์

"ท่านพี่ไคราห์นยังรักษาเวสเทียร์ที่ถูกกัดได้... แล้วทำไมเราจึงจะทำไม่ได้เล่า"

"องค์หญิง!" นางพยาบาลหวีดร้อง ชี้ไปที่ปากถ้ำซึ่งเชื่อมต่อกับแผ่นดิน แวมไพร์กลุ่มหนึ่งตามมาถึงถ้ำแห่งนี้ พวกมันจ้องไปยังเหยื่อมากมายที่ไร้ทางสู้พร้อมกับรอยยิ้มพึงใจ อาโกรนาห์หันไปมองน้องสาวของนาง เลื่อนต่อไปยังราชินีเรจินาและองค์ชายเร็กซ์ และโดยไม่ออกคำสั่ง นางหันไปคว้าร่างน้องสาว และราชินีต่างเมืองเพื่อพาพวกเขากลับไปยังที่ปลอดภัย

"เกลเลส!!"

เร็กซ์ตะโกน ในจังหวะเดียวกับที่แวมไพร์พุ่งเข้าใส่เหยื่อ องครักษ์มารินาการ์ดก็โผร่างขึ้น

ฉั๊วะ!!"

เงือกปลาไม่มีแรงกระโจนขึ้นจากน้ำ แต่กำลังแขนของพวกเขาก็ไม่ได้ด้อยกว่า อึดใจต่อมา หางสีเทาที่มีหนามก็ตวัดฟาดศัตรูหลังจากแทงเขาด้วยหอกปลายแหลม "มานี่!" แวมไพร์อีกตนคว้าเข้าที่ข้อหางใหญ่ กระชากร่างเงือกขึ้นจากน้ำและเหวี่ยงเขาขึ้นฟาดกับผนังถ้ำ

โครม!

--------------------------------------------------

ไคราห์นฝ่าเข้าไปถึงตัวเวเรเซียโน เขาเหวี่ยงอาวุธเข้าใส่ศัตรูที่เอี้ยวหลบอย่างรวดเร็ว แต่ความชำนาญทำให้เงือกหนุ่มหมุนตัวและโจมตีด้านหลังของตนแม้จะไม่มองไม่ทันคู่ต่อสู้ ดาบเล่มยาวกดแทงเข้าไปในร่างแวมไพร์จนมิดด้าม

"อั่ก!!" อีกฝ่ายปล่อยร่างของเธรมาร์ แล้วก็คว้าดาบที่กลางท้องตัวเองไว้แทน

"การจะฆ่าแวมไพร์... จะต้องตอกที่หัวใจเท่านั้น"

"อึก!"

มือของอีกฝ่ายคว้าเข้าที่ลำคอราชา และกดเล็บยาวให้จมหายพร้อมกับเลือดสดๆ พรั่งพรูจากบาดแผล "ดูเหมือนว่าครั้งนี้... กระผมก็คงจะไม่ได้ฝ่าบาทกลับไปทั้งที่มีชีวิตอยู่ดี..." มืออีกข้างละจากดาบที่เสียบท้องตัวเอง วางทาบลงบนอกขาวที่บัดนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยสีแดงสด เล็บของแวมไพร์จิกลงบนเนื้อ กดพิษร้ายให้แทรกผ่านไปถึงหัวใจ

"แต่กระผมคงไม่ต้องการแล้ว..."

"ฝ่าบาท!!"

เวสเทียร์ร้องเรียก พร้อมสะบัดอาวุธในมือ เวเรเซียโนถอยจากราชาเงือก เขากระชากดาบยาวออกจากตัวและคว้าร่างของเธรมาร์ขึ้นมา เขาหลบการโจมตีของเวสเทียร์ และเหวี่ยงร่างของเงือกที่หมดสติฟาดใส่องครักษ์หนุ่มให้ตกจากผาสูงโดยที่ไม่ปล่อยมือจากเธรมาร์

ไคราห์นเซถลา ทรุดลงกับพื้น พยายามสูดหายใจลึกเพื่อให้พลังของตนต่อสู้กับพิษของแวมไพร์ แต่เวเรเซียโนก็กลับมาอีกครั้ง เขาช้อนข้อมือที่ไร้เรียวแรงของฝ่าบาทขึ้นมาก่อนจะตัดเลือดใหญ่ด้วยเล็บของตน ให้เลือดสดไหลรินใส่ขวดแก้วที่เตรียมไว้ "ฝ่าบาทจะไม่ตายทันทีหรอก แต่ก็แค่มีชีวิตอยู่อีกไม่นาน... ทันเวลาที่กระผมจะกลับไปหานายหญิงพร้อมกับเลือดของฝ่าบาทในวันนี้" แวมไพร์กระซิบบอกราชาเงือกที่ขบฟันกับความเจ็บปวดในร่างกาย"

"ยังมีเวลาให้สั่งเสีย... ราชาทะเลเหนือ ก่อนที่จะสิ้นพระชนม์"

"เวเรเซียโน...!"

ยามเช้าในฤดูหนาวไม่มีความหมายสำหรับแวมไพร์ เพราะแสงแดดไม่เคยส่งลงมาถึงตัวพวกเขา แต่แล้วมวลเมฆหนาทึบที่ปกคลุมฟ้าก็มลายหายไปกับตา เผยแสงสีนวลยามเช้าทว่ารุนแรงพอจะเอาชีวิตผีดูดเลือด เวเรเซียโนชะงักนิ่ง ท่ามกลางเสียงโหยหวนของผีร้ายเมื่อต้องแสงแดด ผู้รุกรานแหลกสลายกลางเป็นฝุ่นผงในชั่วพริบตา และหยุดเวลาแห่งการต่อสู้ไว้ชั่วนิรันดร์

มีหรือเวเรเซียโนจะจำเสียงนั้นไม่ได้...

ชายหนุ่มเหลือบมองพื้นหญ้า ร่างเงาหนึ่งบดบังแสงแดดเอาไว้ไม่ให้แตะต้องตัวเขา ร่างเงาของมนุษย์ผู้มีปีกของค้างคาวขนาดใหญ่ ในอึดใจนั้นแวมไพร์หนุ่มค่อยๆ เหลียวหลัง และมองดูปลายเท้าของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นราชาแห่งแวมไพร์ทั้งปวง

"ท่านวาร์เรน..."

--------------------------------------------------


(แอบอัพเร็ว พรุ่งนี้มะว่าง...) อุ่ววว ว... มีใครยังไม่รู้จักวาร์เรนไหมน้า~~

เปิดตัวอย่างเทพ... คือคนที่รู้จักแล้วก็... อย่าลืมสิว่านางเป็นบอสลับ นางเก่ง นางเมพ แต่นางทำตัวปัญญาอ่อนอ่ะ 555



ฉากหลังๆ คือแอบสั้น... แต่ช่วงต้นๆ คือยาวมาก แต่ละฉาก ฮา ไม่ว่าจะกี่เรื่อง ฉากสงครามก็เป็นอะไรที่เหนื่อยเสมอ คือเราก็ยังคิดว่าฉากสงครามที่ไม่ต้องสู้ประชิดตัว (แบบฉากเรือรบในแอสทารอธ) นี่บรรยายง่ายกว่าฉากสู้แบบเรื่องนี้อ่ะนะ แต่ก็พบว่าการตะโกนกันไปมาของตัวละครนี่ทำให้เรื่องตื่นเต้นกว่า

ก่อนที่จะเป็นห่วงฝ่าบาท... เรามาเม้าท์พ่อหนุ่มใหม่กันก่อน

นางคือ... เธรมาร์ (แท้จริงแล้วควรจะเป็น เธรเมน เพราะมาจาก Tremaine ที่เป็นภาษาเคลติก แปลว่า หิน) พ่อหนุ่มปริศนาที่วิ่งมาอุ้มอาโกรนาห์ไปโยนหน้าผา (โธ่) แล้วยังปากดี พูดตรง โดนเล่นจบสลบกลายเป็นวุ้นเละๆ ตลอดการต่อสู้อีกต่างหาก (แม่มมีประโยชน์ไหม...) พ่อหนุ่มนี้มาจากเผ่านาร์วาลค่ะ เป็นโลมาขั้วโลก

จากที่เคยบอกไปว่า... แม่ของไคราห์นยังมีชีวิตอยู่ แต่ขอออกจากอาณาจักรไปด้วยละอายที่ให้กำเนิดลูกชายที่ป่วยเป็นอัลบิโน... แม่นางหนีไปอยู่กับพวกนาร์วาลนี่ล่ะ พวกนาร์วาลนี่เป็นกลุ่มเงือกวาฬที่ค่อนข้างสันโดษ และว่ากันตรงๆ ก็ไม่ได้เคารพราชาเซลทิคสักเท่าไหร่ เพราะ...

ใช่.. เงือกนาร์วาลก็มีพลังรักษาเหมือนราชวงศ์เซลทิค แต่... ไม่สามารถเผื่อแผ่ไปยังคนรอบข้างได้

ดังนั้นเนื่องจากความหมั่น(ไส้)... อีกทั้งพวกตัวเองก็พลังด้อยกว่าเงือกวาฬหลังค่อม ทำให้เงือกนาร์วาลถอยไปอยู่เป็นชนเผ่า เฉพาะพวกตัวเอง ปลีกตัวออกมาจากเซลทิค แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ถูกกันเสียทีเดียว

เอกลักษณ์ของเงือกนาร์วาลคือการมีเขาอยู่บนหัวเหมือนมนุษย์ยูนิคอร์น (?)

(เพื่อนของเธรมาร์ก็ก้มขวิดแวมไพร์---) ...อันนี้คือวาฬนาร์วาล



เออ... ลืมตัวนี้ไม่ได้... คาดันน์ค่อดเท่เบย (อวยเอง)

เราอ่านคอมเม้นท์... เรื่องอายุของคาดันน์ อืมมม เราสารภาพก่อนว่าเราคำนวนผิดพลาดด้วย อายุ 5 ปีดูจะเด็กไปสำหรับในเรื่องนี้ เราคิดว่าจริงๆแล้ว คาดันน์ควรจะอายุ 10 ปี ไว้ไปแก้ในรีไรท์นะ แงง (ฉากกระโจน 2-3 ทีนั่นคือคาดันน์โดดสูงมากนะ 4-5 เมตร) (เหตุผลที่ไคราห์นต้องใช้คาดันน์ในการกระโดด เพราะเขากระโดดเองไม่ค่อยขึ้น ตัวเขาใหญ่+น้ำหนักเยอะ และโดยกล้ามเนื้อทางสายพันธุ์แล้วไม่ได้เอื้อเท่าพวกเพชฌฆาต) (ส่วนอาโกรนาห์คือยอมให้นางหน่อย นางยังเด็กๆ อยู่ และพลังเยอะ)

ช่วงชีวิตของวาฬเพชฌฆาตก็ยังระบุไม่ได้เป็นที่แน่นอน... แต่... ตัวเมียจะพร้อมผสมพันธุ์เมื่ออายุประมาณ 10 ปี ในขณะที่ตัวผู้จะพร้อมผสมพันธุ์เมื่ออายุประมาณ 15 ปี (แปลว่าคาดันน์ก็ยังเด็กๆนะ ยังไม่โตพร้อมผสม อิ อิ)

ในส่วนของคาดันน์นั้น... คือเราอยากจะให้มันมีขนาดตัวพอๆ กับ Trua ซึ่งอายุ 9 ปี (ตัวแค่นี้ก่อนล่ะกันนะ อย่าเพิ่งใหญ่ ดูฉากเอาคางเกยตักไคราห์นสิ ฝ่าบาทจะหักเอา)



แล้ววาฬอายุ 5 ปี จะตัวขนาดไหน...? นี่คือไซส์เทียบของ (บน) Trua กับ (ล่าง) Makaio



แล้วถ้า Trua (9 ปี) ไปเทียบขนาดกับ Tilikum (36 ปี) ล่ะ... Tilikum ก็ใหญ่กว่ามาก



แล้วถ้า Tilikum เทียบขนาดกับมนุษย์ล่ะ...




คนในภาพนี้คือ Dawn Brancheau ครูฝึกของ SeaWorld ซึ่งเสียชีวิตเพราะถูก Tilikum (อิตัวข้างๆนี่ล่ะ) ลากลงน้ำไปด้วยความหงุดหงิด (?) ความเครียด ความคลั่ง... อะไรประมาณนั้น

แต่ก็คิดว่าคาดันน์ตอนโตไปน่าจะตัวประมาณนั้นแหละ... ใหญ่ดี 555



เอาล่ะ ฝ่าบาท... สู้ๆ นะ ใกล้แล้ว...

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ลุ้นเอาใจช่วยเงือกกับหมาป่าจนตัวโก่ง

ไอ้พวกแวมไพร์ไปตายซะ!

ออฟไลน์ nutiez

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
บอสลับโผล่มาแย่งซีนทุกคนที่ผ่านมา เปิดตัวพร้อมแสงจ้า อลังการมาก แต่ก็ดีแล้วค่ะ ฝ่าบาทใกล้เดี้ยงแล้ว

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนที่ 21.1

แวมไพร์เป็นอมนุษย์ที่มีรูปแบบสังคมพิลึกพิลั่นที่สุด

พวกเขาเป็นสิ่งไร้ชีวิตที่ถูกสาป สามารถอยู่ได้ชั่วนิรันดร์ตราบจนวันสิ้นโลก ทว่าไม่อาจใช้ชีวิตได้เป็นปกติอีกต่อไป พวกเขาอาจตกหลุมรัก ครองคู่และอยู่ร่วมกันตลอดไป แต่ก็ไม่อาจให้กำเนิดทายาทได้ มีชีวิตด้วยการเข่นฆ่าเอาชีวิตจากผู้อื่นมาเพื่อต่ออายุให้ตนเอง

อาหารของมนุษย์ทั่วไปไม่ได้ให้ความรู้สึก 'อร่อย' สำหรับพวกเขา แต่สิ่งอร่อยที่แท้จริงคือรสเลือดของสิ่งมีชีวิต แต่เดิมแวมไพร์เข่นฆ่ามนุษย์ เนื่องด้วยพวกเขาไร้ทางสู้ ทว่าในช่วงสองร้อยปีให้หลังมานี้ พวกมนุษย์แข็งแกร่งขึ้น และเริ่มต่อสู้กับผีดูดเลือด พวกเขาเริ่มสงสัยเกี่ยวกับความตายอันเป็นปริศนา และกล้าที่จะหาคำตอบว่าสิ่งใดเป็นต้นเหตุ

นั่นทำให้เหล่าแวมไพร์เสี่ยงต่อการถูกเปิดโปง

ซึ่งขัดกับกฎที่สำคัญที่สุดของอมนุษย์ ...พวกเขาห้ามเปิดเผยตัวเอง

แต่จำนวนแวมไพร์ที่เพิ่มมากขึ้น อันเกิดจากการ 'สร้าง' พรรคพวกอย่างไร้สติทำให้ผีดิบเหล่านี้ต้องการอาหารในปริมาณมากขึ้น สร้างปัญหาไม่จบไม่สิ้นให้กับพวกเขาเปรียบได้ดั่งบ่วงเชือกที่เริ่มรัดคอตัวเอง หากพวกเขาไม่มีผู้นำ ไม่มีราชาหรือราชินีที่จะชี้ว่าสิ่งใดถูกหรือผิด ปัญหาเหล่านี้ก็จะยิ่งบานปลาย อันนำไปสู่หายนะในที่สุด

ดังนั้นผู้ที่สามารถปกครองกลุ่มอมนุษย์เหล่านี้ได้ จะต้องมีพลังที่เหนือกว่าใคร

นั่นคือคุณสมบัติของ 'ผู้นำ' หรือ 'ราชา' แวมไพร์

หากแวมไพร์รวดเร็ว ราชาจะเร็วยิ่งกว่า หากแวมไพร์มีเขี้ยวยาว ราชาจะมีเขี้ยวยาวยิ่งกว่า หากแวมไพร์มองเห็นเส้นเลือดใต้ผิวหนัง ราชาจะเห็นทุกสิ่งยิ่งกว่า และหากแวมไพร์หวาดกลัวต่อแสงอาทิตย์ ...ราชาจะมิกลัวสิ่งใด

เวเรเซียโนได้ยินเสียงพรรคพวกกรีดร้อง แสงสว่างแผดเผาผิวหนังให้มอดไหม้ และลุกลามกัดกินไปจนกว่าจะสิ้นร่างเนื้อ คู่ต่อสู้ใช้โอกาสนี้ในการฟาดฟันร่างเปราะบางแข็งทื่อให้แตกหักเป็นเศษฝุ่น ฟุ้งกระจายในอากาศ

เมื่อเผชิญหน้ากับราชา... ไม่ว่าแวมไพร์ตนใดก็แพ้พ่าย

ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการปลุกชีพราชินีขึ้นมาต่อกร...

หากแต่หัวใจที่หยุดเต้นของชายหนุ่มกลับหดเกร็งด้วยความกลัว เมื่อได้ยินเสียงเรียกที่เขาคุ้นเคย กรอบเงาของฝ่ายนั้นเปรียบเสมือนกรงขัง ที่กั้นระหว่างเขาและความตาย แสงแดดอ่อนฉาบลงบนพื้นหญ้า ทว่าไอแสบร้อนทำให้ผิวหนังของเขาเริ่มผุพัง

ปีกใหญ่หุบลง พร้อมกับเมฆหมอกหม่นมัวที่กลับคืนมา ทว่าโดยที่ยังไม่มีใครขยับตัว เวเรเซียโนก็ถูกแรงกระแทกเข้ากลางร่าง ลอยขึ้นในอากาศ และไถลครูดกับพื้นดินไปจนกระแทกกับโค่นต้นไม้ที่ห่างออกไป

โครม...!!

หมาป่าขยับหลบ เมื่อการต่อสู้ที่รุนแรงเกิดขึ้น เวเรเซียโนดีดร่างขึ้นยืน เอี้ยวหลบกรงเล็บที่พุ่งเข้าใส่หมายจะควักหัวใจออกมาให้รู้แล้วรู้รอด มันพลาดไปโดนต้นไม้ เสียงแตกหักบ่งบอกได้ถึงความเสียหาย และสนสูงก็โค่นหักลงมาอย่างรวดเร็ว เขาเผยอปล่อยมือจากขวดแก้วบรรจุเลือด มันตกลงบนพื้นหญ้า และรองเท้าสีดำมันปลาบก็เหยียบมันจนแตกกระจาย

"หลบไป!!"

ซินเนย์วาคำราม นางกระโจนใส่หมาป่าตัวอื่นที่เอาแต่ยืนตะลึง "ถอยกลับไปที่หน้าผา ไฟมันลามมาแล้ว!" พวกเงือกเผาแนวต้นสนโอบล้อมพวกเขาไว้ เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีใครฝ่าวงล้อมออกไปได้ หมาป่าผู้เป็นพันธมิตรสามารถหนีลงทะเลได้ แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาถนัด

"ฝ่าบาท!"

ซินเนย์วาหันมาที่ราชาเงือก พิษของแวมไพร์ทำให้พลังการฟื้นฟูเยียวยาถดถอยลง ทำให้ไคราห์นไม่สามารถรักษากระทั่งรอยบาดบนข้อมือ นางหมาป่าหันรีหันขวาง ขณะที่ลูกน้องของนางตามมาสมทบ ทางที่เร็วที่สุดที่จะกลับไปคือการกระโดดจากผาสูง แต่พวกเขาไม่ใช่เงือกที่จะลงไปได้สวยงามนัก

นางหมาป่าคืนร่างกลับเป็นมนุษย์ เข้ามาช่วยประคองอีกฝ่ายเอาไว้

"ฝ่าบาท... ข้าต้องทำยังไง"

ราชาเงือกสูดหายใจลึก เขาพยายามจะยันร่างเอาไว้ไม่ให้ล้มพับ แต่ความรู้สึกอ่อนล้า สิ้นเรี่ยวแรงในแบบที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนทำมห้เขาคิดอะไรไม่ออก ไคราห์นเคยบาดเจ็บจากการต่อสู้ แต่เขาก็สามารถฟื้นฟูร่างกายได้ในเวลารวดเร็ว ทว่าไม่ใช่ครั้งนี้ พิษร้ายกำลังแล่นเข้าสู่หัวใจ และพลังของเขาเองก็ไม่แข็งแกร่งพอที่จะเอาชนะได้

ชาวเซลทิคไม่ทอดทิ้งราชาของเขา ครู่เดียว เหล่าองครักษ์ก็กระโจนขึ้นมา

"ฝ่าบาท!!"

เวสเทียร์ตรงมาหาราชาของเขา ภาพที่ได้เห็นทำให้ใจองครักษ์แทบหยุดเต้น ฝ่าบาทอาจมีผิวขาว ทว่าเขาเคยไม่เคยซีดเซียวถึงเพียงนี้มาก่อน ไคราห์นเอนกายไปพิงขาข้างหนึ่งของหมาป่าอย่างอับจน สองมือกำหมัดเข้าเพื่อระงับความเจ็บปวดที่แล่นอยู่ในร่าง

...กระหม่อมจะต้องทำยังไง

เวสเทียร์กระวนกระวาย ราชาของเขาไม่เคยบาดเจ็บถึงเพียงนี้ และต่อให้มีบาดแผล อีกฝ่ายก็รักษาตัวเองได้เสมอ "พาฝ่าบาทไปหาองค์หญิงอาโกรนาห์!" ผู้นำองครักษ์ออกคำสั่ง เขายกแขนข้างหนึ่งของราชาขึ้นพาดตัวเอง แต่อีกฝ่ายตัวใหญ่กว่า ทั้งน้ำหนักบนแผ่นดินก็มากเกินที่เขาจะพยุงไหว หมาป่าอังเดรเห็นดังนั้นจึงขยับมาช่วยด้วยการช้อนอีกฝ่ายขึ้นหลัง

"มีทางเชื่อมกับผากถ้ำอีกแห่งทางโน้น!"

ซินเนย์วาหันไปทางที่นางเห็นวาร์เรนเป็นครั้งสุดท้าย แต่นางก็พบว่าเขาหายไปแล้ว "นายหญิง พวกกระผมจะตามพวกมันไป" ฝูงของนางว่า "เราจะแบ่งคนเอาไว้ที่นี่ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งเราจะติดตามจนกว่าจะได้หัวมันมา!"

ซินเนย์วาพยักหน้าอนุญาตคนของตน และเฝ้ามองพวกเขาวิ่งฝ่าออกไป

นางหันทิศกลับไปยังถ้ำใหญ่แห่งเซลทิค... ถ้ำที่ประทับของราชาทะเลเหนือ

ทั้งองค์หญิงอาโกรนาห์และองค์หญิงรีบมาหาพี่ชายทันทีที่ และรีบกดมือลงบนบาดแผลที่หน้าอกหมายจะช่วยเหลือ ทว่าพลังของพวกนางก็ไม่มากพอที่จะเยียวยาพิษของแวมไพร์ได้ "ท่านฟาล!" องค์หญิงเอสลินน์ตะโกนหาเลขาคนสนิท

"เราเด็กเกินไป! ยังมีวิธีไหนอีกที่จะช่วยท่านพี่ได้!"

พลังของพวกเขาแข็งแกร่งขึ้นตามอายุ ยิ่งอายุมากขึ้น พลังการรักษาก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ดังที่ฝ่าบาทสามารถเยียวยาบาดแผลได้ด้วยเพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส ทว่าองค์หยิงอาโกรนาห์มีอายุเพียงสิบหก ในขณะที่องค์หญิงเอสลินน์ก็อยู่ในวัยสิบสอง พวกเขาจึงไม่มีพลังที่เหนือว่าหรือช่วยเหลือฝ่าบาทได้

ฟาลขบริมฝีปากแน่นอย่างอับจน ทว่าหางตาก็เหลือบไปเงือกเจ้าเงือกนาร์วาลต่างถิ่นเข้า

"กระหม่อม... คิดว่าเราคงต้องพึ่งอดีตพระชายาเอก"

มารดาของฝ่าบาทไคราห์น นางเองก็มีสายเลือดแห่งราชวงศ์เซลติค ผู้อาศัยพักพิงอยู่กับพวกเงือกนาร์วาล "นาร์วาล! เราต้องพาฝ่าบาทไปพบพระนาง" เจ้าเงือกต่างถิ่นเบิกตาขึ้น ขณะที่ดวงตาของทุกคนหันมามองเขาพร้อมเพรียง "เจ้าต้องนำทาง!"

"ข้าชื่อ เอลลาร์..." เงือกนาร์วาลขมุบขมิบตอบ "แต่พวกเจ้าไปถึงอาร์กติกไม่ทันหรอก"

เวสเทียร์เป็นคนแรกที่ไปถึงตัวคนพูดก่อนที่เขาจะจบประโยค องครักษ์หนุ่มจ้องอีกฝ่ายด้วยดวงตาที่ครุกรุ่น ข่มขู่ และเต็มไปด้วยอำนาจในแบบที่เวสเทียร์ไม่เคยใช้มองใครมาก่อน "เจ้านำทางไป..."

ผู้นำองครักษ์กำหมัด "หรือจะให้ข้าเชือดเพื่อนของเจ้าแล้วเอาเลือดมันมารักษาฝ่าบาทแทน"

เอลลาร์กลืนน้ำลาย จริงอยู่ว่าทั้งเผ่านาร์วาลและเผ่าเพชฌฆาตเป็นพวก 'โลมา' เหมือนกัน แต่แน่นอนว่าความดุดัน และดุร้ายป่าเถื่อนของพวกเพชฌฆาตมีมากกว่าอย่างไม่น่าเชื่อ อีกทั้งขนาดตัวที่โตกว่า พละกำลังที่มากกว่า ชายหนุ่มคิดว่าเขาไม่ควรขัดคอ

"เวสเทียร์..." เสียงของฝ่าบาททะเลเหนือยังทรงพลังเหมือนเดิม แม้มันจะแหบพร่าสิ้นเรี่ยวแรง

องครักษ์หันตามเสียง เขารีบกลับไปยังแท่นประทับ "ฝ่าบาท... อดทนไว้ เราจะต้องขึ้นไปอาร์กติก"

"ไม่เป็นไร" ไคราห์นหลับตาพูด เขาปรับการเต้นของหัวใจให้ช้าลง เพื่อระงับพิษร้ายที่แทรกอยู่ในร่าง แม้จะไม่มีทางหยุดยั้งมันได้แล้ว แต่อย่างน้อยเขาก็ยังพอมีเวลา "เราไปไม่ทันหรอก" องค์หญิงเอสลินน์สะอื้นฮักออกมาเมื่อพี่ชายพูดเช่นนั้น นางยังคงวางมือบนร่างของเขา ต่อให้มันจะไม่ช่วยอะไรเลยก็ตาม

เวสเทียร์ส่ายหัวอย่างไม่ยอมรับ "กระหม่อม..."

"อย่างไรเซลทิคก็ยังมีอาโกรนาห์..." ไคราห์นยิ้มจาง "ไม่เป็นไรหรอก"

ผู้ถูกกล่าวถึงใจหาย นางยึดมือพี่ชายเอาไว้แน่น และเฝ้ามองบาดแผลบนกายของเขาที่ไม่มีทีท่าจะดีขึ้น น้ำทะเลโดยรอบถูกย้อมเป็นสีแดงจากแผลที่ข้อมือ ราชาหนุ่มเสียเลือดมาก มากเสียจนริมฝีปากซีดขาว แต่นั่นก็ยังไม่ใช่เฮือกสุดท้ายของชายหนุ่ม

"ขอเวลาเราสักครู่ได้ไหม"

อาโกรนาห์รู้ว่าพี่ชายของนางโปรดเวสเทียร์ พวกเขาสนิทสนมกัน และใกล้ชิดกันเสียยิ่งกว่าราชาและองครักษ์คนใดในประวัติศาสตร์ ดังนั้นนางจึงยอมถอยห่างไปพร้อมกับน้องเล็ก และหลบไปหลังฉากที่กางขึ้นมากั้นไม่ให้ใครเห็นสภาพของราชาทะเลเหนือในยามนี้

"ฝ่าบาท... ราชรถวาฬของเราเร็วที่สุดในเจ็บคาบสมุทร"

ราชาหนุ่มกระแอมในคอขัดจังหวะ "เราอยากพูดกับเจ้า" มือใหญ่เคลื่อนขึ้นมาช้าๆ รอให้องครักษ์กอบกุมมันเอาไว้ "...มากกว่าไปสิ้นใจเอากลางทะเลที่เหน็บหนาว"

อย่างไรก็ต้องตาย... เช่นนั้นก็ขอนอนสบายๆ น่าจะดีกว่า

"ฝ่าบาท..."

องครักษ์ของเขาเสียงสั่น ไคราห์นสัมผัสได้ว่ามือของเวสเทียร์มีแผล เขาลูบปลายนิ้วไปบนรอยบาดนั่น แต่ก็พบว่าพลังของตนไม่มีผลอะไร "เรามีเรื่องต้องคุยกับเจ้าวาร์เรนนั่น" ราชากดเสียงต่ำ "แต่หากมีเวลาเท่านี้ก็คงไม่ทันการ" ฝ่าบาทลืมตาขึ้นอีกครั้ง เพื่อจะมองภาพพร่าเลือนตรงหน้า เขายิ้มให้เวสเทียร์

"เราขอโทษ..."

องครักษ์กัดฟันกับคำนั้น อดกลั้นความรู้สึกไม่ให้น้ำตาไหล เขาเคลื่อนมืออีกฝ่ายขึ้นมาที่ข้างแก้ม และอิงแอบแนบริมฝีปากจูบอย่างทะนุถนอม "หากเสียสละตัวเองแทนฝ่าบาทได้ กระหม่อมก็จะทำ..."

ไคราห์นวางมือบนเสี้ยวหน้านั้นอย่างอ่อนโยน "ไม่เอาน่ะ"

แม้จะมีเรื่องมากมายที่อยากพูด แต่เมื่อได้ใกล้ชิด ราชาหนุ่มก็ไม่คิดว่าเขาต้องการอะไรมากไปกว่านี้

"ฝากดูแลอาโกรนาห์ด้วย"

"ไม่พูดเช่นนั้นได้ไหมขอรับ" เวสเทียร์ตอบ เขาบีบฝ่ามือใหญ่แน่น "กระหม่อมสาบานต่อฝ่าบาท กระหม่อมจะรับใช้เพียงฝ่าบาทเท่านั้น... หากฝ่าบาทไป กระหม่อมก็จะไปด้วย" น้ำเสียงองครักษ์สั่นเครือใกล้สะอื้น แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็บังคับไม่ให้แสดงมันออกมา

ไคราห์นถอนใจ "เราน่าจะบอกเจ้าให้เร็วกว่านี้..." ร่างสูงจับปอยผมยาวทัดหูที่ยังคงสวมเครื่องประดับที่เขาเคยมอบให้ "ห้าปีที่ผ่านมาเราทำอะไรกันอยู่" อายุของเครื่องประดับชิ้นนี้คือห้าปี หลังจากที่พวกเขามีความสัมพันธ์ต่อกันไม่นาน

 "...น่าจะมีความสุขตั้งแต่ตอนนั้นแล้วแท้ๆ"

ฝ่าบาทกลัวผิดหวัง เช่นเดียวกับที่องครักษ์ไม่เคยต้องการสถานะอื่นใด พวกเขาไม่เคยเปิดปากพูดกันเลย ไม่เคยถามด้วยซ้ำว่าสิ่งที่ผ่านมาคืออะไร หรือสิ่งที่จะเป็นไปในอนาคตคืออะไร

ไคราห์นแตะปลายนิ้วกับไข่มุกเม็ดสวยบนเครื่องประดับนั้น "หากพูดตอนนี้จะสายไปหรือเปล่า"

เวสเทียร์ขบริมฝีปากตัวเองแน่น เขายึดมือข้างนั้นไหว้ราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะสิ้นใจทั้งที่สัมผัสเขาอยู่แบบนี้ ทำไมการกลั้นน้ำตาช่างยากเหลือเกิน "ฝ่าบาทเป็นราชาของกระหม่อม ไม่ว่าอย่างไร..."

"เรารักเจ้า... เวสเทียร์" เสียงของราชาแผ่วเบา แต่องครักษ์ได้ยินมันชัดเจน "รักมานานเสียจนกลัวความผิดหวัง หากพูดออกมา"

"..."

"เราขอโทษที่ทำกับเจ้าแบบนั้น..."

เวสเทียร์... ที่รัก...

องครักษ์หนุ่มรู้สึกได้ว่าใจของอีกฝ่ายเต้นช้าลง และลมหายใจก็แผ่วเบาจนแทบไม่มีเสียง ไคราห์นเผยอปาก แต่เขาไม่มีแรงพูด หัวใจของเขาบีบรัดจนเจ็บยอก และประสาทสัมผัสทั้งหมดค่อยๆ จางหาย เขาไม่รู้สึกถึงความร้อนจากพวงแก้มคนตรงหน้า ไม่แม้แต่จะรู้สึกถึงความเย็นของผืนน้ำสีแดงฉานรอบตัว เวสเทียร์พูดอะไรบางอย่าง แต่เขากลับไม่ได้ยิน

...มันเป็นเพียงความว่างเปล่า

"ฝ่าบาท!"

เวสเทียร์ร้องเรียก องค์หญิงร้อนใจเสียจนทนอยู่ด้านนอกไม่ไหว เอสลินน์ว่ายกลับมาหาพี่ชายของนาง และโผตัวขึ้นนั่งบนแท่นประทับหิน "ท่านพี่!" นางร้องเรียก แต่ใบหน้าสงบนิ่งไม่ตอบสนอง เปลือกตาบางปิดสนิท ราวกับนิ่งสงบอยู่ในนิทราอันเป็นนิรันดร์

เวสเทียร์ฟังเสียงชีพจร... มันจางหายไปตลอดกาล

--------------------------------------------------


ไม่... ไม่ตายหรอก...
 :z13:

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ฮือออออออ

อย่านะ อยู่รักกันก่อน

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนที่ 21.2

ความอบอุ่นค่อยๆ หายไปจากฝ่ามือใหญ่ และเวสเทียร์ก็คิดว่าใจของเขาก็หายไปเช่นกัน ราชาเบื้องหน้าเหมือนหลับใหล เพียงแต่ไร้ซึ่งลมหายใจผ่อนออกมา เขายังดูสง่างาม และสูงศักดิ์ แม้ร่างจะเต็มไปด้วยบาดแผล แต่มันก็เป็นการจากไปอย่างงดงาม

เซลทิคเคยสูญเสียราชามาแล้ว... นี่ไม่ใช่ครั้งแรก

แต่มันเป็นครั้งแรกที่เวสเทียร์ถามตัวเองว่าเขามีชีวิตเพื่ออะไร

องครักษ์ยังคงกอบกุมมือข้างนั้น ปลายนิ้วอีกฝ่ายยังสัมผัสเครื่องประดับที่หู เพียงแค่อึดใจเดียว คนตรงหน้าก็จากไป ผู้นำเผ่าควรแข็งแกร่งและมั่นคง ทว่าตอนนี้เวสเทียร์กลับไม่สามารถอดกลั้น กระบอกตาของเขาร้อนผ่าว และภาพเบื้องหน้าก็พร่ามัว มันอาจไม่มีเสียงสะอื้น แต่น้ำตากลับพรูลงอาบแก้มทั้งสองข้างอย่างควบคุมไม่ได้

เสียงสะอื้นขององค์หญิงทั้งสองไปไม่ถึงเวสเทียร์ เขาชะงักงันอยู่ตรงนั้น เคว้างคว้างว่างเปล่าราวกับโลกทั้งใบของตนเพิ่งจะดับแสง และเหลือเพียงความมืดมิดไร้ทางออก

เวสเทียร์คนโง่... เขาปฏิเสธราชามาตลอด เพราะคิดว่าตัวเองไม่คู่ควร

'รักมานานเสียจนกลัวความผิดหวัง'

ราชาก็มีวันกลัวว่าจะไม่ได้รับความรักเหมือนกัน และเขาเคยยืนยันหนักแน่นเองว่ามันเป็นเพียงหน้าที่ เขาปฏิเสธที่จะรับรู้ความจริง ไม่เคยแม้แต่จะถามว่าเหตุใดราชาจึงมอบไข่มุกให้ตนทั้งที่มันเป็นสิ่งแทนคำสัตย์สาบานต่อคู่ชีวิต

หากย้อนเวลากลับไปได้... มันจะไม่มีวันลงเอยแบบนี้

เขาจะไม่ยอม... เสียฝ่าบาทไปแบบนี้

แต่ตอนนี้... เขาเสียอีกฝ่ายไปแล้ว และคงไม่อาจแก้ไขสิ่งใดได้

"ฝ่าบาท...!" เสียงหนักแน่นเอ่ยเรียก มันไม่ใช่ขององค์หญิงอาโกรนาห์ หรือองค์หญิงเอสลินน์ หรือข้ารับใช้คนใดของอาณาจักรเซลทิค แต่มันเป็นเสียงของราชินีเรจินา "ฝ่าบาทไคราห์น!"

เวสเทียร์ผละออกจากราชา หันมาเผชิญหน้ากับราชินีต่างเมือง เรจินาปราดมองราชาทะเลเหนือครู่หนึ่งแล้วจึงขยับว่ายตรงเข้ามาหา "หลีกทาง" พระนางสั่ง และยกตัวขึ้นนั่งข้างบนแท่นหินเคียงข้าง "ฝ่าบาท..." นางกระซิบเรียก วางมือลงบนแผ่นอกเหนือหัวใจที่หยุดนิ่ง

"ฝ่าบาทสิ้นพระชนม์แล้ว..." เวสเทียร์เอ่ยแผ่วเบา ทั้งที่เขายังยากจะยอมรับ

"หากเรายอมให้เป็นเช่นนั้นก็คงเสียชื่อจอมราชัน..." ราชินีตอบ นางเหลือบมองหอกเล่มยาวในมือขององครักษ์คนสนิท "ส่งมันมา" เวสเทียร์ไม่เข้าใจ แต่เขาก็ไม่มีสติพอจะไตร่ตรองสิ่งใดทั้งนั้น เรจินารับหอกมาจากอีกฝ่าย และกรีดลงมือข้อมือของตัวเอง

เลือดสีเดียวกันไหลหลั่งออกจากบาดแผล และหยดลงบนผืนน้ำสีแดงที่โอบล้อมแท่นประทับ พระนางเคลื่อนมือไปวางบนแผ่นอกกว้าง ให้หยดเลือดของตนแทรกผ่านกายเนื้อไปยังหัวใจที่หยุดนิ่ง

อำนาจแห่งสายเลือดจอมราชัน... ทำได้กระทั่งให้ชีวิตผู้สิ้นลม

แต่ใช่ว่าทุกคนจะคู่ควรกับการฟื้นคืน

พิษของแวมไพร์ทำให้พลังเยียวยาดับสูญ แต่เลือดของจอมราชันเป็นพรจากเทพเจ้า มันไม่อาจรักษาบาดแผล หรือทำให้ผู้ใดเป็นอมตะ แต่หากแข็งแกร่งเหนือราชวงศ์ใดในเจ็ดคาบสมุทร "เราขอคืนชีวิตให้..." นางเงือกเอ่ยเบา "แม้มันจะทำให้ฝ่าบาทเป็นทาสแห่งสายเลือดจอมราชันก็ตาม"

ทาสแห่งสายเลือดจอมราชัน... หมายถึงการมีชีวิตอยู่ในกำมือของพวกเขา

ชีวิตที่ไม่มีอิสระอีกต่อไป

...แต่มันคงจะดีกว่าให้อีกฝ่ายจากไปทั้งอย่างนี้

ราชินีเป็นนางเงือกร่างเล็กในสายตาเวสเทียร์ และการถ่ายเลือดจำนวนมากก็บั่นทอนพละกำลังของนาง เรจินายันกายอยู่เหนือร่างอีกฝ่าย ภาพที่พร่าเลือนทำให้ร่างโปร่งโงนเงน บางทีนี่อาจเป็นการต่อชีวิต ที่ต้องแลกด้วยชีวิตของนาง

...แต่คนอย่างเรจินา ไม่สิ้นลมง่ายดายปานนั้น

"ฝ่าบาท..."

เสียงแผ่วเอ่ยเรียก พร้อมกับสัมผัสเบาจากปลายนิ้ว แตะลูบบนบาดแผลที่ข้อมือบาง และมันก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว เรจินาเหลือบตาขึ้นมองอีกฝ่าย นัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยส่งยิ้มกลับมา ทั่วร่างที่เคยปรากฎรอยแผลบัดนี้จางหายไปจนหมดสิ้น

ราชินียิ้มตอบแล้วจึงหลับตาลงพร้อมกับถอนใจ

"ท่านพี่!" เอสลินน์โผเข้าใส่พี่ชายของนางแม้ว่าจะมีร่างของเรจินาขวางทางอยู่

เด็กหญิงรวบกอด แม้จะเด็กกว่าแต่นางก็ตัวโตพอที่จะโอบผ่านเรจินา และกอดบั้นเอวของราชาหนุ่มเอาไว้ได้ "โอย..." ราชาทะเลเหนือยันกายขึ้นจากน้ำ ลูบหัวน้องสาวที่รัดเขาแน่น "เอสลินน์ ฝ่าบาทเรจินาจะหายใจไม่ออก"

ถึงจะว่าอย่างนั้น แต่ราชินีมารินาการ์ดก็สลบไปเสียแล้ว

ทว่า ไคราห์นได้ยินเสียงหัวใจของนางผ่านหน้าอกที่แนบชิดสนิทกัน "พระนางเหนื่อย..."

เวสเทียร์แทบจะลืมหายใจ เมื่อราชายันกายขึ้นนั่ง เขาเงยหน้าขึ้นมองฝ่าบาท เบื้องหน้าของเขาสว่างไสวราวกับไม่เคยรู้สึกว่าแสงอาทิตย์ส่องผ่านมาถึงที่แห่งนี้ ไคราห์นหันกลับมาหาองครักษ์ของเขา ก่อนจะทอดยิ้มจาง "เวสเทียร์..."

เขาส่งมือให้องครักษ์ อีกฝ่ายมีแผลมากมายไม่น่าดูเอาเสียเลย "มานี่สิ"

ไม่... เขาจะไม่ปฏิเสธอะไรอีกแล้ว...

เวสเทียร์ไม่จับมือราชา เขาวางมือลงบนแท่นประทับ หางสีดำขยับโบกยกตัวเองขึ้นจากน้ำแล้วโผเข้ากอดคนตรงหน้าอย่างที่ไม่มีใครคาดว่าองครักษ์ระดับสูงจะทำ "เวสเทียร์...!" ราชาหนุ่มทึ่ง เขาเหลือบมองน้องสาวของตนที่ดูจะทึ่งยิ่งกว่า ทว่าอย่างน้อยก็ยังดีที่ราชินีมารินาการ์ดสลบไป

ไม่ควร... ไม่ควรเอาเสียเลย

แต่เวสเทียร์กลัวว่าหากเขาไม่ฉกฉวยโอกาสนี้ เขาจะมีสิทธิ์ได้กอดฝ่าบาทอีกไหม "กระหม่อมขออภัย"

องครักษ์กระซิบกับไหล่กว้าง ทว่าความรู้สึกแรกที่เขาได้ซบหน้ากับร่างเนื้อที่มีชิวิตนั้นมีค่าพอที่จะถูกลงโทษในภายหลัง "ฝ่าบาท..." องครักษ์ไม่ควรร้องไห้ เวสเทียร์จำได้ว่าเขาไม่ได้ร้องไห้มาเนิ่นนานแล้ว แต่ตอนนี้... ร่างโปร่งกลับสะอื้น และยิ่งกอดคนตรงหน้าแน่นกว่าเดิมเพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะไม่หายไปไหนอีก

ไคราห์นอ้าปากค้างน้อยๆ เขาวางมือบนเอวสอบได้รูป และกอดเอาไว้อย่างนั้น

"อืม เราอยู่นี่..." ราชาหนุ่มยิ้ม "ไม่เป็นไรแล้ว"

ยังดี... ที่มีฉากกั้นบังเอาไว้

--------------------------------------------------


ทนไม่ได้ อัพเลยละกัน...
 :katai4:

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
แอร๊ยยยยยย

ร้องไห้ไปยิ้มไป


ออฟไลน์ oilzaza001

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนที่ 22.1

พวกหมาป่ายังคงวนเวียนอยู่ในบริเวณนั้นเพื่อความปลอดภัย  ไฟป่าในแนวต้นสนค่อยๆ มอดลงเมื่อสิ้นเชื้อเพลิง องค์หญิงอาโกรนาห์ออกมาประกาศยุติการต่อสู้ พวกเขาได้รับชัยชนะ ทว่าฝ่าบาทไคราห์นได้รับบาดเจ็บหนักจึงต้องพักผ่อนอีกสักระยะหนึ่ง เผ่าเพชฌฆาตออกตรวจตราตามถ้ำต่างๆ อีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีศัตรูหน้าไหนหลบอยู่ในความมืดของถ้ำเซลติค

ประชาชนเป็นห่วงราชาของพวกเขา และต่างพากันมาเฝ้าฟังข่าวอาการบาดเจ็บในบริเวณด้านหน้าถ้ำที่ประทับ ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนาของเผ่าเพชฌฆาตผู้ไม่เคยละเลยหน้าที่

ซินเนย์วาลงมาพบราชาทะเลเหนือในถ้ำ ด้วยรู้ถึงความผิดที่นางหลอกลวงชายหนุ่มมาตั้งแต่ต้น

"วาร์เรน... คือราชาแวมไพร์"

องค์หญิงเอสลินน์ตัวน้อยไม่ยอมผละจากพี่ชายไปไหน นางกอดเอวอีกฝ่ายเอาไว้แน่นด้วยความหวาดกลัว และยอมอยู่ฟังการสนทนาอันแสนน่าเบื่อ ในขณะที่เวสเทียร์กลับไปประจำที่ของตนตามเดิม หลังจากใช้เวลาสักพักในการปล่อยมือจากคนตรงหน้า

ซินเนย์วาพยักหน้ารับ "ทริซาเรียร์ คือศัตรูที่แท้จริง... นางคือราชินี"

"เรายังเชื่ออะไรจากปากเจ้าได้อีกไหม หมาป่า" ราชาทะเลเหนือถามกลับ "ชาวเราโง่เง่าในสายตาเจ้ามากหรือไร" นางหมาป่ากลั้นใจเมื่อถูกตำหนิ นางไม่คิดอธิบาย เพราะพูดอย่างไรมันก็คงเป็นการแก้ตัว "เหตุใดจึงไม่บอกความจริงแต่แรก"

"เพราะฝ่าบาทเกลียดชังแวมไพร์ หากพูดไป จะร่วมมือกันได้อย่างไร"

"เจ้าใช้ประโยชน์จากเรา" ไคราห์นมองคู่สนทนา "ใช้ความไม่ประสาต่อเรื่องราวบนแผ่นดิน และเห็นความเดือดร้อนของชาวเราเป็นเรื่องเล็กน้อย สิ่งนี้หรือที่เรียกว่าร่วมมือ" เมื่อถูกตำหนิหนักข้อ ซินเนย์วาก็ได้แต่ยอมรับ จริงอยู่ว่านางเจตนาดี แต่การทำเช่นนี้ก็ช่างโหดร้ายต่อเพื่อนร่วมโลก

"เพราะวาร์เรนอยู่ที่นี่ เซลทิคจึงปลอดภัย แต่มันก็ไม่ถาวร" นางหมาป่าว่า "เขาไม่สามารถเฝ้าอยู่ที่นี่ได้ตลอดกาล ดังนั้นนี่จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในตอนนี้ อย่างน้อยความพ่ายแพ้ก็จะทำให้พวกมันหยุดเคลื่อนไหวไปสักพัก ระหว่างที่เราหาวิธีกำจัดพวกมันให้สิ้นซาก"

"หากบอกเราสักคำ... ประชาชนก็จะไม่ล้มตายมากมายเพียงนี้"

ราชาหนุ่มไม่ได้หมายถึงประชาชนทั่วไป แต่รวมถึงเผ่าเพชฌฆาตซึ่งเป็นกลุ่มนักรบแนวหน้าของอาณาจักร "หากบอกเราบ้าง เราจะไม่โกรธถึงเพียงนี้"

"เพราะพวกมันต้องการฝ่าบาท ข้าจึงปล่อยให้ฝ่าบาทออกไปกลางทะเลเสียจะดีกว่า"

"แต่น้องสาวของเราอยู่ในอันตรายเพราะความคิดของเจ้า!" ราชาตวาดอย่างอดกลั้น "ยังจะเรียกร้องให้เราอภัยหรือ ซินเนย์วา หากไม่ใช่เพราะอสูรทะเล หรือคาดันน์ หากเรายังไม่รู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เรามิต้องกลับมาพบกับความสูญเสียอย่างนั้นหรือ!"

"ข้าผิดเอง ฝ่าบาท..."

เสียงหนึ่งดังขึ้นที่ปากถ้ำเบื้องบน และปรากฎร่างของชายหนุ่มในชุดคลุมสีแดง แสงแดดส่องกระทบใบหน้าของเขา เขี้ยวที่โผล่พ้นริมฝีปากทำให้เวสเทียร์ยกหอกขึ้นเตรียมพร้อม วาร์เรนกระโดดลงมาในถ้ำ และยืนเบื้องหน้าราชาทะเลเหนือ "ข้าออกอุบายให้ซินเนย์วาโกหกเอง"

ราชาหนุ่มเหลือบมองคนพูด แม้ว่าการยืนค้ำหัวแบบนี้ตะทำให้เขาไม่พอใจ แต่คนตรงหน้าคือราชาแวมไพร์ หากปรารถนาจะเข่นฆ่าขึ้นมาจริงๆ ไคราห์นก็ไม่คิดว่าเขาจะรอดพ้นเงื้อมมืออีกฝ่าย "เอสลินน์ ปล่อยพี่สักพักสิ" เขากระซิบบอกน้องสาว องค์หญิงเล็กขยับร่างหนี ไปแอบอยู่ด้านหลังองครักษ์คนสนิท

วาร์เรนรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ทางรอดชีวิตจากพิษของแวมไพร์ ดังนั้นการมีชีวิตอยู่ของราชาทะเลเหนือหมายถึงปาฏิหาริย์จากพลังที่แข็งแกร่ง... นั่นอาจหมายถึงพลังจาก 'สายเลือดจอมราชัน' ที่ไคราห์นเคยเอ่ยถึง

"พวกมันจะไม่กลับมาที่เซลทิคอีก..."

ราชาหนุ่มหยัดกายขึ้น หันไปหยิบไม้เท้ายาวที่มีหัวเป็นรูปสลักปลาวาฬที่อีกฝ่ายเคยให้

ก่อนจะดึงรูปสลักออกมา เผยให้เห็นใบดาบเหล็กกล้าที่แอบซ่อนอยู่ด้านใน แต่ต่อให้แทงถึงหัวใจของราชาแวมไพร์ วาร์เรนก็ไม่อาจตายด้วยสิ่งนี้ เพราะเขาแข็งแกร่งเกินแวมไพร์ตนใดในโลก

...ฉั๊วะ!

ราชาเงือกสะบัดปลายดาบ และปาดเข้าที่ลำคอของคนตรงหน้าพอดิบพอดี "สัญญาด้วยเลือดของเจ้าสิ วาร์เรน" ราชาแวมไพร์หลับตา ปล่อยให้เลือดไหล่ออกมาเปรอะเปื้อนเสื้อผ้าเนื้อดี แต่ก่อนที่พลังของเขาจะรักษาตัวเอง ชายหนุ่มก็พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

"ต่อหน้าเลือดของข้า ข้าสัญญาว่าจะไม่มีภัยจากแวมไพร์มาถึงเซลทิค..."

"ด้วยเกิยรติ ศักดิ์ศรี และชีวิตของราชาแวมไพร์"

โลหิตสีแดงจารึกคำมั่น และไหลกลับไปยังบาดแผลที่ลำคอ ก่อนที่จะเยียวยาอย่างรวดเร็ว สัญญาเลือดเป็นคำสัตย์ที่ทรงพลังที่สุดของแวมไพร์ หากผิดคำพูด เลือดแห่งสัญญาจะทำร้ายเจ้าตัวจนตายอย่างทรมาน

ราชาทะเลเหนือเก็บดาบ "แต่ต่อให้เจ้าตาย มันก็คงจะไม่พอต่อชีวิตของชาวเรา"

--------------------------------------------------

องค์ชายเร็กซ์ปลีกตัวเลี่ยงจากผู้คน เขาไม่ได้รับบาดเจ็บ ทั้งท่านพี่เรจินาของเขาก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากนอกจากอ่อนเพลียจากการเสียเลือดเพื่อช่วยเหลือฝ่าบาทไคราห์น แต่หนึ่งชีวิตที่มีความหมายซึ่งจากไปในชั่วอึดใจต่อหน้าต่อตาทำให้องค์ชายมารินาการ์ดพูดไม่ออก

เกลเลส... องครักษ์คนสนิทของเขา

อีกฝ่ายมาจากเผ่าองครักษ์แห่งมารินาการ์ดหรือเป็นที่รู้จักดีในนามของเผ่า 'สเตอร์เจียน' นักรบที่แข็งแกร่งแห่งทะเลอัลบิออน แต่เพียงแค่พละกำลังของผีดูดเลือด ร่างของเกลเลสก็ฟาดกระแทกกับผนังถ้ำ และสิ้นใจแทบจะในทันที

มันยังคงติดตาเขา

ใช่ว่าเร็กซ์จะไม่เคยเห็นการเข่นฆ่า เพียงแต่เขาไม่อยากจินตนาการว่าหากมารินาการ์ดต้องรับมือกับแวมไพร์ดั่งเช่นชาวเซลทิค พวกเขาจะมีชีวิตรอดได้อย่างไร เงือกปลากระโจนขึ้นจากน้ำไม่ได้ อีกทั้งไม่สามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ตามที่ใจต้องการ ทั้งพละกำลังก็อ่อนด้อยกว่ากันมาก และทักษะการต่อสู้ที่แทบจะเทียบไม่ได้

เร็กซ์เกิดความกลัว... เขากลัวภัยเหล่านั้นมาถึงตัวเอง

"องค์ชาย..." เสียงของเวทอร์สเอ่ยเรียก ร่างโปร่งทอดกายอยู่เคียงข้างคนของเขา และมองดูใบหน้าสงบนิ่งประหนึ่งหลับใหลของเกลเลสด้วยไม่อยากเชื่อว่าอีกฝ่ายจะไม่มีวันตื่นขึ้นมาอีก "ปลีกตัวออกมาลำพังมันอันตรายนะขอรับ"

เสียงของคาดันน์ที่อยู่ไม่ไกลเอ่ยประท้วง มันอยู่กับองค์ชายเสมอ แม้จะไม่ปรากฎตัวให้เห็นก็ตาม

"มารินาการ์ดไม่มีวันสู้ได้อย่างพวกเจ้า" เร็กซ์เอ่ยขึ้น "หากต้องเผชิญหน้ากับพวกมัน..."

"พวกมันตายหมดแล้วขอรับ" เวทอร์สตัดบท เขาขยับเข้าไปใกล้องค์ชายมารินาการ์ด "และฝ่าบาทไคราห์นจะไม่มีวันทอดทิ้งมารินาการ์ด องค์ชายอย่าได้กลัวไปเลย" เวทอร์สไม่รู้ว่าราชาของตนจะทำอะไรต่อไป แต่การที่อีกฝ่ายฟื้นขึ้นมาได้จากพลังของราชินีเรจินา นั่นหมายถึงสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของสองอาณาจักร

"พวกเราทำไม่ได้อย่างเจ้าหรอก"

องครักษ์หนุ่มเอื้อมมือไปสัมผัสปลายหางสีทอง เรียกความสนใจจากเจ้าของที่ยังไม่อาจสลัดความรู้สึกหวาดหวั่นในใจออกไปได้ "องค์ชาย..." คนพูดค้อมหัว เขาดำลงใต้น้ำ และบรรจงจูบลงบนข้อปลายหางที่ปกคลุมด้วยเกล็ดแข็ง

"กระหม่อมคนหนึ่ง... ที่จะไม่ยอมให้ใครทำอันตรายมารินาการ์ด"

--------------------------------------------------

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนที่ 22.2

อาโกรนาห์เคยได้ยินเรื่องของเผ่านาร์วาล พวกเงือกที่อาศัยอยู่ในทะเลน้ำแข็งขั้วโลกเหนือ แต่นางก็ไม่เคยจินตนาการมาก่อนว่าชาวเผ่านาร์วาลจะมี 'เขา' แบบนี้ องค์หญิงนั่งมองเขาเดี่ยวสีดำที่โผล่พ้นเรือนผมขึ้นมาด้วยความทึ่ง มันไม่ได้รับกับใบหน้าของชาวเงือก ติดจะดูประหลาดด้วยซ้ำ

เขานี่มีไว้เพื่ออะไรกันหนอ

...แล้วชาวนาร์วาล 'ขวิด' ได้หรือเปล่าเล่า

นางชะโงกไปมองส่วนโคนของมัน เพื่อจะคำตอบว่ามันงอกออกมาจากหน้าผากหรือเหนือหน้าผาก แต่ยังไม่ทันจะแหวกเรือนผมสีดำขลับออกดู บุคคลที่ชื่อ 'เธรมาร์' ก็ครางในลำคอ "อืม..." ดูเหมือนว่าร่างของอีกฝ่ายจะกระแทกกับหินผาอย่างรุนแรงจนกระดูกหัก แต่โชคดีที่พวกเขามีพลังการรักษาเช่นเดียวกับราชวงศ์เซลทิค ดังนั้นเธรมาร์จึงเยียวยาตนเองได้

และไม่ลำบากนาง...

ดวงตาของเขามีสีดำขลับ และดูจะโตกว่าปกติจนเหมือนดวงตาของฉลาม รอยตกกระบนใบหน้าอันเป็นเอกลักษณ์ของเผ่านาร์วาลทำหน้าชายหนุ่มดูเยาว์วัยอย่างน่าประหลาด สายตาเลื่อนลอยนั้นกำลังประมวลความเป็นไปได้ของสถานที่ และสถานการณ์ปัจจุบัน

...นางฟ้า อย่างน้อยตายแล้วก็ยังได้เจอนางฟ้าก็เป็นที่น่าพอใจกระมัง

เธรมาร์ส่งยิ้ม เขามองสบกับดวงตาคู่หวานสีเข้ม และใบหน้าละมุนของเด็กสาวตรงหน้า แต่เมื่อเคลื่อนสายตาไปพิจารณาเรือนผมสีดำ ก็ทันเห็นรัดเกล้าที่แสดงฐานะของเจ้าตัว

ไม่ใช่นางฟ้า... นี่องค์หญิงอาโกรนาห์ต่างหาก!

"องค์หญิง!"

เงือกหนุ่มผุดลุกนั่ง รวดเร็วเสียจนปลายเขาอันตรายปัดผ่านแก้มนวลไปเพียงนิดเดียวโดยไม่ตั้งใจ ซ้ำแล้วยังทิ้งรอยบาดให้เลือดไหลออกมาอีกต่างหาก

"โอ้ย!"

อาโกรนาห์กุมแก้ม นางถอยจากอีกฝ่ายก่อนมองด้วยแววตาตัดพ้อ แล้วจึงเปลี่ยนเป็นความไม่พอใจระดับหงุดหงิด "น่าจะจับโยนทะเลให้จมน้ำตายไปแบบนั้น!" บาดแผลของนางหายอย่างรวดเร็ว ทว่าหยดน้ำตาอันเกิดจากความเจ็บยังเอ่อคลออยู่ องค์หญิงอาโกรนาห์แห่งเซลทิคตัวใหญ่มากในสายตาของเธรมาร์ ดังนั้นคำพูดของนางจึงเป็นมากกว่าการตัดพ้อ

หากทำให้ไม่พอใจจริงๆ นางคนเดียวสามารถทำเช่นนั้นได้

"ข้า... กระหม่อม... ขออภัยองค์หญิง" เผ่านาร์วาลไม่มีราชา ดังนั้นพวกเขาจึงวางไม่ถูกเมื่อพบกับราชวงศ์เซลทิคที่ตนไม่ได้นับถือสักเท่าไหร่ "และขอบคุณที่ช่วยกระหม่อมเอาไว้" เธรมาร์จำได้ว่าความทรงจำสุดท้ายของเขาก็คือการร่วงจากท้องฟ้าและกระแทกอัดกับหินผาจนสลบไป

"เจ้าก็ช่วยเรา..." อาโกรนาห์พึมพำตอบ นางลดมือลงจากแก้มของตนหลังแผลหาย "ขอบคุณ"

"แล้วเอลลาร์..." เธรมาร์มองหาสหายของตนเมื่อนึกได้ว่าไม่เห็นเขาในสายตา

"เขาไม่ได้รับบาดเจ็บ ท่านพี่จึงเรียกไปพบเพื่อถามธุระ" อาโกรนาห์ตอบ "เผ่านาร์วาลไม่เดินทางออกจากขั้วโลกบ่อยนัก จึงเป็นเรื่องแปลกที่ได้พบเห็น" องค์หญิงหันไปหากองปลาแฮร์ริงที่แล่เอาก้างออกเรียบร้อย นางยกห่อสาหร่ายขึ้นแล้วส่งให้คนตรงหน้า "พวกโลมาชอบกินปลานี่ เราจึงสั่งให้คนหามาให้เจ้า"

เธรมาร์นึกซาบซึ้งในน้ำใจจึงรับมาถือไว้โดยไม่บอกว่าเผานาร์วาลชอบปลาหมึก

"แล้วองค์หญิง..."

"เราไม่ใช่สัตว์กินเนื้อ" อาโกรนาห์ขยับกายขึ้นนั่งบนโขดหินใกล้ๆ กันทำให้เธรมาร์เริ่มมองสำรวจรอบตัวเพื่อจะพบว่าพวกเขาอยู่ในถ้ำที่แสงจันทร์ส่องถึงจากเบื้องบน "ที่นี่เป็นถ้ำของเรา วางใจเถอะ" นางยิ้มไร้เดียงสา แต่นั่นก็ทำให้เธรมาร์เบิกตาขึ้นอย่างไม่แน่ใจว่าองค์หญิงแบบไหนจึงยอมให้ใครก็ไม่รู้มานอนอยู่ในที่พักของตนเองตามลำพังสองต่อสอง และหากเอลลาร์กลับมาก็จะกลับเป็นสามเข้าไปอีก

ฟู่...!

"เหวอ!"

เงือกหนุ่มเบิกตา พร้อมกับยกหางขึ้นให้พ้นน้ำตามสัญชาติญาณ เมื่อเห็นว่าวาฬเพชฌฆาตตัวใหญ่โผล่ขึ้นมาหายใจเบื้องบน เพราะสำหรับชาวนาร์วาลแล้ว พวกเขากลัววาฬเพชฌฆาตยิ่งกว่าพวกแวมไพร์เสียอีก ห่อปลาแฮร์ริงในมือลื่นหลุด ปล่อยปลาสองสามตัวตกลงไปในน้ำ แต่อึดใจต่อมา เจ้าสัตว์จอมตะกละก็ตามมากินสิ่งนั้นอย่างรวดเร็ว

"ไม่เอาน่า คาดันน์" อาโกรนาห์เอ็ดเบา

'สัตว์เลี้ยง' เบนหัวกลับแล้วจึงดำลงไปเบื้องใต้อันเป็นที่ประทับของผู้มาเยือนจากมารินาการ์ด สังเกตได้จากหางสีทองของราชินีเรจินาและองค์ชายเร็กซ์สะท้อนแสงขึ้นมายังเบื้องบน

อ้าว... พวกเขาไม่ได้อยู่ตามลำพังหรอกหรือ

"เจ้ากลัววาฬเพชฌฆาตเหรอ..." องค์หญิงถาม "ไม่เป็นไรนะ พวกมันกินวาฬ มันไม่ได้กินเงือก"

นั่นเป็นคำปลอบที่ให้กำลังใจกันมากเหลือเกิน

--------------------------------------------------

ฝ่าบาทปลอบขวัญประชาชนของเขา และลงไปเฝ้าอาการอ่อนเพลียของเรจินาถึงสามครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าพระนางเพียงแค่เหนื่อยล้า องค์หญิงอาโกรนาห์อาสาดูแลเจ้าเงือกนาร์วาลสองตัวที่บัดนี้ยังสลบไสล กว่าราชาทะเลเหนือจะได้พักผ่อนก็เป็นเวลาค่ำแล้ว แม้พลังการเยียวยาของเขาจะฟื้นคืนกลับมา แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าราชาเซลทิคจะไม่ต้องนอน

"เลสซีย์ตาย แม้แต่พลังของอาโกรนาห์ก็เยียวยาแผลจากพิษแวมไพร์ไม่ได้"

เวสเทียร์กลับไปประจำที่ของตนอย่างที่เคยเป็น และนิ่งฟังคำราชาอย่างที่เคยทำ ด้วยรู้ว่าสิ่งสำคัญในตอนนี้คือเรื่องของอาณาจักร "องครักษ์ขององค์ชายเร็กซ์เองก็ไม่รอดเช่นกัน" เมื่อถึงเรื่องราวที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ราชาเซลทิคก็ถอนใจยาว และรู้สึกยินดีที่ตัวเองมีชีวิตกลับมา

ไม่อย่างนั้นภาระทั้งหมดนี้คงถูกผลักให้อาโกรนาห์ น้องสาววัยเพียงสิบหกปีของเขา

แต่หากไม่ได้เรจินา เขาก็คงจะไม่รอดเช่นกัน... อำนาจแห่งจอมราชันช่างน่ากลัว

"เราเป็นหนี้มารินาการ์ดจริงๆ"

"ฝ่าบาท" องครักษ์คนสนิทเอ่ยเรียก เขาขยับกายมาใกล้ที่ประทับของราชาอย่างที่ไม่เคยทำ "ยังเจ็บตรงไหนหรือไม่ขอรับ" ราชาทะเลเหนือมองอีกฝ่าย ดูเหมือนว่าเวสเทียร์จะใช้ความกล้า และความพยายามอย่างมากในการเปิดบทสนทนา แม้มันจะเป็นคำถามที่ฟังดูโง่เง่ามากสำหรับาชวงศ์เซลทิคผู้มีพลังในการเยียวยา

ราชาหนุ่มยิ้มตอบใบหน้าที่ก้มหลบสายตาด้วยความเคยชิน "ยังจะทำตัวเหมือนเดิมอีกหรือ"

เขาตำหนิ แต่ก็นึกตำหนิตนเองด้วยที่ยังปฏิบัติกับอีกฝ่ายไม่ต่างจากเดิม ทั้งที่ตั้งใจว่าจะแก้ไขทุกสิ่ง "ฝ่าบาท..." เวสเทียร์หลับตา เขามีหลายสิ่งหลายอย่างที่อยากพูดกับอีกฝ่าย แต่พูดไม่ออก ราวกับทุกอย่างจุกอยู่ที่คอของเขาและแย่งยื้ออย่างดุเดือดว่าควรจะพูดอะไรออกมาก่อน

ราชาวางมือลงบนเรือนผมสีเข้ม เคลื่อนลงไปเชยคางขึ้นสบตา "จะทำแค่กอดจริงๆ น่ะหรือ"

อยากทำอย่างอื่นแล้วเหตุใดจึงไม่ทำเองเล่า...!

องครักษ์ขบริมฝีปาก ก่อนจะยกตัวขึ้นจากน้ำเพื่อแนบริมฝีปากตนเองกับอีกฝ่าย ราชากดริมฝีปากจูบตอบ และโอบกอดร่างตรงหน้าเอาไว้แนบชิด เวสเทียร์จูบอีกฝ่ายซ้ำๆ ความรู้สึกตื้นตันยินดีแผ่ซ่านขึ้นมาในอก เขากอดราชาแน่นก่อนจะสะอึกฮักออกมาอย่างควบคุมไม่ได้

"ไม่เอา ไม่ร้องไห้แล้ว" ร่างสูงกระซิบปลอบ "เราฟื้นแล้ว"

"ช่วยไม่ได้นี่ขอรับ" เวสเทียร์หลับตา "...มาบอกรักแล้วหยุดหายใจไปดื้อๆ แบบนั้น"

นี่เขาจะต้องตายยังไงเล่าหนอ...

"ใจร้าย" แทนที่จะหยุดสะอื้น องครักษ์ระดับสูงกลับซบหน้ากับไหล่กว้างแล้วร้องออกมาอีกรอบเสียอย่างนั้น "กระหม่อมจะคว้านอกตัวเองตายตามฝ่าบาทอยู่แล้ว" ไคราห์นลูบผมปลอบ เอียงหน้าไปจูบบนเส้นไหมสีเข้มเบาๆ และโอบกอดเวสเทียร์ไว้เช่นนั้น

"เราขอโทษ... เวสเทียร์"

ทว่ายิ่งขอโทษ เจ้าคนที่ไม่เคยน้ำตาตกหรือฟูมฟายให้เห็นสักครั้งก็ยิ่งอาการแย่ แต่ไม่คิดไม่ฝันว่าองครักษ์ระดับผู้นำเผ่าเพชฌฆาตก็สามารถร้องไห้ได้เหมือนกัน เวสเทียร์กอดคนตรงหน้าแน่นเสียจนราชาคิดว่าเขาอาจซี่โครงหัก แต่ก็ทำได้เพียงลูบหลังเปลือยเป็นเชิงปลอบ เขาไม่มีคำแก้ตัวความใจร้ายใจดำทั้งหมดทั้งปวงที่เขาเคยทำกับเวสเทียร์

บอกรักแล้วก็ตาย... ฟังดูใจร้ายจริงๆ เสียด้วย

เช่นนั้นเขาควรจะตายไปโดยที่ไม่พูดอะไรน่ะหรือ

"อภัยให้เราได้ไหม" หากเขาไม่เริ่ม เวสเทียร์ก็คงไม่พูดเช่นเดิม แม้ว่าความรู้สึกของทั้งคู่จะชัดเจนขึ้นมากกว่าที่ผ่านมาแล้วก็ตาม "เราผิดไป..." เขาลูบพวงแก้มอุ่นที่บัดนี้เปียกชื้นด้วยน้ำตา หากน้ำตานางเงือกกลายเป็นอัญมณีอย่างที่พวกมนุษย์ร่ำลือ ฝ่าบาทไคราห์นคิดว่าเขาอาจจะ 'รวย' จากมันในวันเดียว

"กระหม่อมรักฝ่าบาท..." ร่างโปร่งเอ่ยออกมาในที่สุด "จะมีสิ่งใดบ้างที่ไม่สามารถให้ฝ่าบาทได้"

"อา..."

ราชาทะเลเหนือชะงัก ประโยคที่ไม่คาดว่าจะได้ยินทำให้เขามองคนตรงหน้าด้วยความทึ่ง และด้วยสีผิวของเวสเทียร์ทำให้เขามองไม่ออกว่าอีกฝ่ายหน้าแดงด้วยความขัดเขินมากแค่ไหน "เราช่างโง่เขลาเสมอกัน..." ราชาหนุ่มหัวเราะ ประคองคนตรงหน้าขึ้นมาจูบอีกครั้งอย่างนุ่มนวล

"ที่ผ่านมาเราทำอะไรกันอยู่หนอ..."

--------------------------------------------------


ตอนนี้ค่อนข้างหลากอารมณ์มาก สลับฉากเร็วพอสมควร ส่วนของซินซินกับวาร์เรนนี่คือฝ่าบาทก็โกรธนะ แต่ทำอะไรไม่ได้ ลุกขึ้นไปฆ่าเขาก็รู้ว่าฆ่าไม่ตายหรอก

ไม้เท้าของฝ่าบาทตอนขึ้นบกนั่น... วาร์เรนเป็นคนมอบให้เป็นของขวัญ ฝ่าบาทก็เลยเชื่อว่าหวังดี เพราะในไม้เท้านั่นมันเป็นดาบ (เขาไม่ได้เก็บไว้ใต้ทะเลนะ ถ้ำประทับของฝ่าบาทนี่เหมือนห้องเก็บของอ่ะ อุปกรณ์เยอะแยะ 555) ความรู้สึกของไคราห์นต่อวาร์เรนในตอนนี้คือ... เสียความรู้สึกอ่ะ โดนหลอก แต่ก็รู้ว่าเขาหวังดีนะ แต่... ไม่มองหน้าก็แล้วกัน



ตอนคิดฉากฝ่าบาทฟื้นนี่ก็ไม่คิดว่าเวสเทียร์จะร้องไห้หรอก... แต่พอเขียนจริงๆ คือนางก็มีมุมนี้เหมือนกันแหละนะ (นี่ยังไม่ได้เคลียร์กับอาโกรนาห์เลยว่าตกลงยังไงกัน เพราะอาโกรนาห์เห็นแล้วว่ามันต้องมีซัมติง ไม่งั้นองครักษ์ที่ไหนเขาจะโผกอดแบบนั้น << ตอนแรกจะจูบด้วยซ้ำ แต่ยั้งไว้)

...ฉากจูบปลายหางของเวทอร์สค่า!!!

วันก่อนเพิ่งเม้าท์ลงทวิตไปว่า เคะควีนคืออะไร... เราว่าฉากจูบปลายเท้านี่เป็นอะไรที่ควีนมาก แต่เงือกนี่ไม่มีเท้าเน้าะ ควรจะจูบอะไรดี พอพูดว่าครีมมันก็ตลกๆ นิดนึง แต่พอเป็นเวทอร์สทำ... เออ เราว่ามันก็ทรงพลังไปอีกแบบ (คู่นี้โบรแมนซ์บริสุทธิ์จริมๆ)

ส่วนอาโกรนาห์กับเธรมาร์... อืมๆ ก็นั่นแหละ มีเคมีต่อกันนะ (ถ้าให้สปอยเลยก็คือ นี่ก็ว่าที่สวามีนางแหละค่าาา) ตอนแรกที่คิดคาร์แรคเตอร์เธรมาร์นี่ลังเลอยู่ 2 เผ่า... นั่นคือจะเป็นเผ่านาร์วาล หรือเผ่าเบลูก้า... คิดไปคิดมาคือ เบลูก้านี่เป็นสัตว์กวนตีx เราเกรงว่าเธรมาร์จะกลายเป็นเงือกกวนประสาท อันนำมาสู่ดราม่าพี่เมียและน้องเขย (หืม)



ส่วนฉากสุดท้าย... อืมมม... ก็คิดว่าหวานขึ้นมาบ้างแล้วนเน้อะ

แต่ฝ่าบาทก็ขี้เก็กเหมือนเดิม คืออยากจูบเขานะ แต่ไม่ทำเอง มีการไปแซะเขาว่าจะทำแค่กอด (แบบตอนแรกที่ฟื้น) จริงๆเหรอ (ทำไมไม่จูบเอง ถ้าอยากจูบล่ะวะ) แล้วเวสเทียร์ก็ดันยุขึ้นด้วยอ่ะนะ 555

ก็เดียวจะเริ่มเคลียร์ๆ ปมเยอะแยะที่ค้างไว้ รอให้เรจินาฟื้นก่อนนะ (ผู้หญิงเรื่องนี้ลำบากจริงๆ ข่าาา)



แล้วก็ฉากหวานเยอะๆ เลยย ย
 :hao7: :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ PharS

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
สนุกมากเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ xaomammx

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เรื่องนี้มันดีมากเลย ดีมากกกกกกก
เพิ่งจะตามมาคอมเมนต์ทันในตอนนี้
รักฝ่าบาทรักเวสเทียร์ รักเวทอร์ส รักเจ้าวาฬอ้วน
ดำเนินเนื้อเรื่องดีมากไม่น่าเบื่อ นักเขียนใส่ใจรายละเอียดมาก
เหมือนได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ๆอยู่ตลอด ตอนแรกแปลกใจในความคอนทราสต์กันของตัวละคร
เช่นเงือกและแวมไพร์ดูแปลกประหลาดดีแต่พอเอาเนื้อเรื่องมาใส่ น่าอัศจรรย์มาก
เป็นเหมือนอะไรที่แปลกใหม่ ทำให้เชื่อสุดใจในเนื้อเรื่องที่ปูมา
ตอนแรกอึดอัดใจกับความรักของฝ่าบาตและองครักษ์อึดอัดจนเครียด
พอหลังๆเริ่มคลี่คลายแบบบ หวายจ๋อยยยย ชอบบบบ
ชอบเวทอร์สพ่อหนุ่มน้อย(และจชเร็กซ์ที่หวังให้ได้กัน/บาป)และเจ้าวาฬอ้วนกลมมากน่าร้ากกก

อ่านช่วงทอล์คเห็นว่ามีอีกสองเรื่องในซีรีย์นี้ แต่งงไม่รู้ว่าจะต้องอ่านเรื่องไหนก่อน
ขอคำชี้แนะด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ
จะติดตามผลงานต่อไป

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
เรื่องนี้มันดีมากเลย ดีมากกกกกกก
เพิ่งจะตามมาคอมเมนต์ทันในตอนนี้
รักฝ่าบาทรักเวสเทียร์ รักเวทอร์ส รักเจ้าวาฬอ้วน
ดำเนินเนื้อเรื่องดีมากไม่น่าเบื่อ นักเขียนใส่ใจรายละเอียดมาก
เหมือนได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ๆอยู่ตลอด ตอนแรกแปลกใจในความคอนทราสต์กันของตัวละคร
เช่นเงือกและแวมไพร์ดูแปลกประหลาดดีแต่พอเอาเนื้อเรื่องมาใส่ น่าอัศจรรย์มาก
เป็นเหมือนอะไรที่แปลกใหม่ ทำให้เชื่อสุดใจในเนื้อเรื่องที่ปูมา
ตอนแรกอึดอัดใจกับความรักของฝ่าบาตและองครักษ์อึดอัดจนเครียด
พอหลังๆเริ่มคลี่คลายแบบบ หวายจ๋อยยยย ชอบบบบ
ชอบเวทอร์สพ่อหนุ่มน้อย(และจชเร็กซ์ที่หวังให้ได้กัน/บาป)และเจ้าวาฬอ้วนกลมมากน่าร้ากกก

อ่านช่วงทอล์คเห็นว่ามีอีกสองเรื่องในซีรีย์นี้ แต่งงไม่รู้ว่าจะต้องอ่านเรื่องไหนก่อน
ขอคำชี้แนะด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ
จะติดตามผลงานต่อไป

กรี้ด ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์ค่า
(จริงๆขอบคุณทุกคนเลย แต่เรามะได้โคว้ทตอบ เราเขิน(...) แฮะๆ กดเป็ดให้นะ :hao5: )

จริงๆเรื่องนี้เขียนมาเพื่อเติมปริศนา... เพราะคำถามที่หนักที่สุดของซีรี่ย์เงือกแวมไพร์คือมันมาเจอกันได้ไง
(//ปิดตาชี้เผ่าวาฬที่ขึ้นมาเดินสวนสนามกันเป็นว่าเล่น)

เรื่องอื่นๆอ่านเรียงตามนี้ค่ะ (ตามไทม์ไลน์)

บัลลังก์จ้าวนารา >> สัญญาสาปสมุทร >> สุดขอบทะเลคราม
ชื่อมันคล้องกันนะ อิอิ  :hao6: :hao6: :hao6:

ลงไว้ใน Dek-D อ่ะค่ะ ไม่ได้ตามมาลงที่นี่  :katai5:

แต่ว่า... อ่า... เตือนนิดนึงว่าอีก 2 เรื่องนั่นเขียนนานแล้วค่ะ สำนวนเก่าของเราสมัยเรียน ฮาา
(ซึ่งบางทีก็ไม่ได้โอเค แต่เราเกลาแค่นิดหน่อยพอ คิดว่าเหมาะกับเรื่องแล้ว ฮาาา)

สัญญาสาปสมุทรเป็นเรื่องของเลอาฟร์... ลูกชายของเรจินา กับวาร์เรนค่ะ (อิตัวแสบชุดแดงนั่น 555)
ส่วนสุดขอบทะเลครามเป็นเรื่องของรูห์ย (เป็นคู่กัดเลอาฟร์) กับเวลคีน เงือกทะเลลึกฝั่งแคริเบียนโน่น

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ว้าย ๆ

บอกรักแบบไม่ตายจาก (?) สักที รอมานานแล้ววว

อะไรคือเรจินากับวาห์เรน????? นางท้องได้ง้ายยยยยยยยย

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ว้าย ๆ

บอกรักแบบไม่ตายจาก (?) สักที รอมานานแล้ววว

อะไรคือเรจินากับวาห์เรน????? นางท้องได้ง้ายยยยยยยยย

เรจินากับฟาเบียง(องครักษ์ของนาง) ค่า ^^' ลูกชื่อเลอาฟร์ ไปเป็นนายเอกอีกภาคนึงคู่กับวาร์เรน ฮาา

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนที่ 23.1

ฝ่าบาทไคราห์นจำไม่ได้ว่ามันนานแค่ไหนแล้วที่เขาตื่นขึ้นมาพร้อมกับแสงอาทิตย์สีนวลแบบนี้ เมื่อวานที่ผ่านมา พวกเขาก็ต่อสู้จนถึงเช้า อีกทั้งแสงสว่างก็ปรากฎขึ้นพร้อมกับราชาแวมไพร์ ผู้ขับไล่และทำลายศัตรูของเซลทิคจนหมดสิ้น

ประเดี๋ยวก่อน...

แสงอาทิตย์ในฤดูหนาวนั้นหายาก แต่เหตุใดมันจึงสาดส่องเข้ามาในถ้ำที่ประทับได้

ราชาทะเลเหนือขยับกาย หมายจะลุกขึ้นจากแท่นประทับออกไปตรวจตราให้มั่นใจว่าไม่มีภัยใดมาถึงเซลทิค ทว่าความรู้สึกที่แปลกออกไปก็ทำให้ร่างสูงหยุดเคลื่อนไหวครู่หนึ่ง เวสเทียร์นอนอยู่ข้างเขาอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน และหลับสนิทอย่างที่ราชาหนุ่มไม่เคยพบเห็น ยิ่งไปกว่านั้น นั่นคืออีกฝ่ายหนุนแขนเขาอย่างสบายใจเสียด้วย!

สบายใจหรือ... ไคราห์นจำได้ว่าเขาไม่เคยเห็นเวสเทียร์อยู่ในภาวะ 'สบายใจ'

อีกฝ่ายมีเพียงสองอารมณ์ นั่นคือ 'คิดอะไรอยู่' และ 'ไม่ได้คิดอะไรอยู่'

ในประวัติการทำงานตลอดสิบปีของเวสเทียร์ ไคราห์นจำได้ว่าอีกฝ่ายแทบจะไม่เคย 'ทอดตัวลงนอน' เวสเทียร์ชอบนั่งงีบ ทั้งยังหูไว และระวังตัวเพื่อรักษาความปลอดภัยให้ฝ่าบาทเสมอ ดังนั้นการหลับตานอนในครั้งนี้จึงเข้าข่าย 'ละเลยหน้าที่' อย่างไม่ต้องสงสัย

ราชาหนุ่มยิ้มขัน ลืมเรื่องแสงอาทิตย์ประหลาดไปหมดสิ้น และยอมนอนทอดนิ่งเป็นหมอนให้คนตรงหน้าต่อไป

หลับสนิทขนาดนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน...

ทว่าองครักษ์ก็เป็นปุถุชนคนหนึ่ง จะคาดหวังให้เขาแข็งแกร่งสักเพียงใดเชียว

ราชาปัดปอยผมสีเข้มให้พ้นหน้า ขณะพิจารณาคนหลับใหลใกล้ๆ อีกสักครั้ง ทอดมองตั้งแต่แพขนตายาว ไปยังปลายจมูกโด่งสวย รับกับริมฝีปากที่บางกว่าคนทั่วไป เวสเทียร์หลับไม่รู้เรื่องจริงๆ เสียด้วย มิเช่นนั้นในยามปกติ สัมผัสแผ่วเบาเพียงนี้ก็ทำให้เขาสะดุ้งตื่นได้แล้ว

ไคราห์นไม่นึกอยากปลุก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะขยับไปจูบหน้าผากมนช้าๆ และสัมผัสนั้นเองที่ทำให้องครักษ์ลืมตาขึ้นอย่างงุนงง

...นี่เป็นครั้งแรกหรือเปล่าที่เขาเห็นใบหน้างุนงงหลังตื่นนอนของอีกฝ่าย!

รู้สึกไม่ค่อยชินเอาเสียเลย

"ฝ... ฝ่าบาท!" องครักษ์ตอบสนองเร็ว เวสเทียร์ขยับกายขึ้น แต่แล้วราชาหนุ่มก็ตวัดแขนกอดรอบเอวสอบเอาไว้ และพลิกให้ร่างโปร่งขึ้นมาอยู่ด้านบน เวสเทียร์ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะขบริมฝีปากอย่างยากจะตัดสินใจ ซึ่งทำให้ฝ่าบาทนึกขำ

"นี่เจ้าคิดอะไรอยู่น่ะ... แต่เช้าเลยรึ"

นี่เขาดูมักมากขนาดมีรสนิยมลักหลับใครหรืออย่างไร เจ้าคนตรงหน้าจึงได้ดูลังเลประหนึ่งว่าเขากำลังชวน 'ทำอะไร' เสียอย่างนั้น ราชาเซลทิคเอนกายลงบนหมอนซึ่งอยู่สูงพ้นน้ำ พวกเขาทอดร่างช่วงเอวลงไปในทะเลตื้น เวสเทียร์กำลังจะเปลี่ยนร่าง ราชาหนุ่มอ่านได้จากสีหน้าของเขา ดังนั้นเพื่อความบริสุทธิ์ใจ ไคราห์นคิดว่าเขาควรจะหยุดอีกฝ่ายไว้คงเป็นการดีกว่า

"ยังคิดว่าเราสนใจแค่ร่างกายของเจ้าอย่างนั้นรึ"

"เรื่องนั้น..." ร่างโปร่งเม้มปาก ยอมเอนกายลงตามแรงกอด แม้ว่าในตอนนี้ เวสเทียร์ดูคล้ายจะนอนทับฝ่าบาทอยู่ก็ตาม "ก็ฝ่าบาท..." เขาอุบอิบ องครักษ์คนสนิทเป็นคนดื้อ ราชาหนุ่มรู้ซึ้งถึงข้อนั้น แต่นานสักครั้งที่คนตรงหน้าจะออกปาก 'เถียง' ดังนั้นเขาจึงเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงรับฟัง "ฝ่าบาททำแบบนั้นมาตั้งแต่ต้น ใครจะไม่คิด..."

ไคราห์นเลิกคิ้วสูง "เจ้าเริ่มต่างหาก"

เขาเองเสียอีกที่สงสัยว่าเหตุใดเวสเทียร์จึงคิดว่าเขามักมาก ปรารถนากระทั่งองครักษ์ข้างกาย

"กระหม่อมเปล่า..." อาการเถียงของเวสเทียร์ทำให้เขาทึ่งไม่บ้างก็น้อย แต่นี่ก็ดูจะเป็นการตอบโต้ที่ดูหัวชนฝาไปสักหน่อยกระมัง "ฝ่าบาท..." องครักษ์เม้มปาก ราวกับต่อสู้ในจิตใจว่าควรจะพูดสิ่งที่ค้างคาออกมาหรือไม่

"พูดออกมาเร็ว อย่าทำให้อยากรู้แล้วอมพะนำแบบนั้น..."

องครักษ์มองราชาของเขาอีกครั้ง ก่อนจะหลบตาลง "ฝ่าบาทจูบคอ... กระหม่อม"

ไคราห์นนึกย้อนกลับไปเมื่อห้าปีที่แล้ว ซึ่งแม้จะเป็นอดีตที่ยาวนาน ทว่าเขากลับไม่เคยลืมครั้งแรกที่มีสัมพันธ์กับองครักษ์คนสนิท อีกฝ่ายกำลังจะตาย เสียงหัวใจขาดหายบอกราชาได้ว่าคนตรงหน้ากำลังจะจากไปในไม่กี่อึดใจ เขาดึงเวสเทียร์เข้ามาหา และมันเป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสร่างเนื้อของผู้อื่น ความอบอุ่นของมันทำให้เขารั้งร่างนั้นมากอดเอาไว้ และกดแนบริมฝีปากลงไปบนแผลเพื่อช่วยยื้อชีวิตที่กำลังจะดับสูญ

บนลำคอระหงที่ยังคงปรากฎรอยเขี้ยวจางมาจนถึงตอนนี้

"ใช่ เราจูบ..."

"แล้วก็กัดซ้ำด้วยขอรับ" เวสเทียร์มุ่นคิ้ว เขายังจำสัมผัสของราชาได้ อีกฝ่ายกอดเขา จูบลงบนบาดแผล ก่อนจะขย้ำซ้ำราวกับโกรธเคืองที่ไม่อาจลบรอยตำหนิออกไปได้ ฝ่าบาทรั้งร่างเขาเข้าไปหา และเคลื่อนมือลงไปยังสะโพกสอบ ก่อนจะลากริมฝีปากลงไปจูบรอยแผลบนอก

"เราแค่จูบ แล้วก็กัด..."

"คนทั่วไปเขาไม่จูบคอกันนี่ขอรับ!"

เมื่อนึกต่อไปว่า เวสเทียร์แปลงเป็นมนุษย์ และขยับขึ้นไปคร่อมร่างอีกฝ่าย ราชาก็เคลื่อนมือลงมาถึงบั้นท้ายมน ตลอดจนท่อนขาแข็งแรง เขาแปลงเป็นมนุษย์บ้างหลังจากนั้น พวกเขาโอบกอด และทำความรู้จักกันเป็นครั้งแรก โดยที่ไม่มีผู้ใดเอ่ยอะไรออกมา

"ได้... ตกลง... เราเป็นฝ่ายเริ่ม"

ไคราห์นชิงพูดขึ้นมาด้วยเกรงว่าเวสเทียร์จะรู้สึกผิดหากตระหนักได้ว่าตัวเขาเองต่างหากที่เป็นฝ่ายเริ่ม แต่ไม่ว่าจะเป็นความเข้าใจผิดของผู้ใด ไคราห์นคิดว่าพวกเขาผิดร่วมกันที่ไม่เคยเอ่ยถึงมันจนถึงตอนนี้ "แต่ตอนนี้ยังหรอกนะ" ร่างสูงยิ้มอ่อนโยน "ถึงจะคิดอะไรออกแล้วก็เถอะ"

"ฝ่าบาท..." เวสเทียร์มุ่นคิ้ว "พูดให้กระหม่อมอยากรู้"

ราชายกมุมปากขึ้นยิ้ม แล้วดึงอีกฝ่ายเข้ามาเพื่อกระซิบบอก "ทำเหมือนครั้งแรกอีกได้ไหม"

...จากนี้ไป องครักษ์คิดว่าเขาคงต้องระวังคำถามของตัวเองให้มากขึ้น เพื่อไม่เป็นการขุดหลุมฝังตัวเองในภายหลังแบบนี้

"หน้าบางขึ้นนะ"

เวสเทียร์หลบตาอีกฝ่าย พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ เขารู้ว่าต่อให้เขาผิวเข้มก็คงไม่อาจปิดบังอีกฝ่ายได้ว่าตอนนี้เขาเขินอายมากแค่ไหน ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยเป็นเลยสักครั้ง อาจจะเป็นเพราะที่ผ่านมา ฝ่าบาทไคราห์นไม่เคยพูดอะไรแบบนี้ก็เป็นได้ "ฝ่าบาทจะกล่าวว่าเมื่อก่อนกระหม่อมหน้าหนาหรือขอรับ"

"ไม่ผิดหรอก"

"ฝ่าบาท...!"

ราชายิ้มขัน เขายังกอดร่างโปร่งเอาไว้โดยให้อีกฝ่ายนั่งบนตัก ต่อให้เวสเทียร์จะเกร็งเสียจนแทบลืมหายใจก็ตาม ก็ใครจะปรับตัวได้เร็วบ้าง เมื่อวันก่อนเขายังเป็นองครักษ์ที่ทำไม่ได้แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองฝ่าบาทด้วยซ้ำ จู่ๆ จะให้คุ้นเคยกับการสัมผัสแนบชิดแบบคนรักได้อย่างไร

แม้พวกเขาจะ 'แนบชิด' ยิ่งกว่านี้มาแล้วก็เถอะ

ไคราห์นดึงให้คนตรงหน้าซบเอนกับอกของตน เวสเทียร์เหลือบเห็นแผลเป็นบนอกซ้าย เขาค่อยๆ หันไปแนบริมฝีปากจูบบนรอยจางตรงหน้า นึกภาวนาว่าหากมันหายไปก็คงดี ร่างสูงยกมุมปากขึ้นยิ้ม และเชยคางเรียวขึ้นมาเป็นเชิงปราม "เจ้านี่มัน..." เขาแตะริมฝีปากนุ่ม ลากไล้สัมผัสด้วยปลายนิ้ว และทอดมองคนตรงหน้าจูบมือของเขาช้าๆ ทะนุถนอม

คนอะไรช่างยั่วนัก... แล้วก็มาโทษว่าเราเป็นฝ่ายเริ่มอย่างนั้นรึ

ผิวน้ำกระเพื่อมไหวน้อยๆ ประสาทการได้ยินของเวสเทียร์ไวพอที่จะทำให้องครักษ์ไหวตัวทัน เขาผละจากราชาเพื่อกลับไปประจำที่ของตน ก่อนที่องค์หญิงอาโกรนาห์จะโผล่ขึ้นมาพร้อมกับเสยผมสีดำเปียกชื้นให้พ้น "อรุณสวัสดิ์ ท่านพี่..." นางเงือกเคลื่อนกลายเข้ามาหา และยกร่างขึ้นนั่งบนแท่นประทับใกล้กัน ในทุกวันองค์หญิงอาโกรนาห์จะมาพูดคุยกับพี่ชายของนางเรื่องการงานและบ้านเมือง

"กระหม่อมขอตัว..."

เวสเทียร์ค้อมหัวลงอย่างรู้หน้าที่ เขาควรจะออกไปล่ากับเผ่าเพชฌฆาต เพื่อให้เวลาพี่น้องสนทนา

"เจ้าอยู่ก็ดีแล้ว เวสเทียร์" องค์หญิงทอดเสียง นางเหลือบมองพี่ชายด้วยหางตาอย่างมีเลศนัย และสูดหายใจลึกๆ ก่อนเปิดประเด็น "เราควรจะถามท่านพี่หรือถามเจ้าดีล่ะ" ราชาหนุ่มรู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงเรื่องใด ในขณะที่เวสเทียร์กระพริบตาอย่างคนจับต้นชนปลายไม่ถูก

"องค์หญิง..."

ราชาหนุ่มยกมือปรามเวสเทียร์ "ถามเราสิ เราเป็นฝ่ายเริ่ม"

อาโกรนาห์อาปากค้างด้วยความทึ่ง อันที่จริงนางเพียงแค่มาเพื่อถามถึงความจริง ทว่าความจริงจากปากพี่ชายก็ดูจะทำให้สาวน้อยพูดอะไรต่อไม่ถูกอยู่สักหน่อย "ตกลงว่าท่านพี่..." นางไม่สามารถหาคำจำกัดความได้ว่าท่านพี่ของนาง 'เป็นอะไร' พวกเขาไม่ค่อยพบเจอคนที่มีรสนิยมแตกต่าง แต่ก็ด้วยปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ไคราห์นกลายเป็นแบบนี้อย่างช่วยไม่ได้

"เรารักเวสเทียร์..." องครักษ์หนุ่มเคยยินดีที่ได้ยินเช่นนั้น แต่เมื่อได้ยินอีกครั้งต่อหน้าองค์หญิงอาโกรนาห์ เวสเทียร์ก็ก้มลงต่ำด้วยความรู้สึกจุกในอก "รักมานานแล้วด้วย" คำพูดหนักแน่นของฝ่าบาทช่างมีค่ามากเสียจนเวสเทียร์ไม่อยากยอมรับ

องค์หญิงสูดหายใจเข้าเพื่อหยุดเสียงระเบิดระรัวในหัวเป็นพลุไฟของพวกมนุษย์

"น้องเคารพความรักของท่านพี่" ในที่สุดอาโกรนาห์ก็เอ่ยออกมา "แต่ท่านพี่จะอธิบายเรื่องนี้กับราชินีเรจินาอย่างไร" นางเหลือบมององครักษ์คนสนิทที่บัดนี้ดูตัวหดลีบลงด้วยความอึดอัดไม่สบายใจ "น้องไม่คิดว่าพระนางจะ 'ไม่คิดอะไร' หรอกนะ"

"ฝ่าบาทไม่ได้คิดอะไรนี่" ไคราห์นเลิกคิ้ว "ฝ่าบาทบอกเราเอง"

"แต่คำว่า 'ไม่มีอะไร' ของผู้หญิง มันมีอะไรแน่นอน!" เด็กสาวหน้างอ

"ฝ่าบาทไม่ใช่หญิงธรรมดา" ราชาหนุ่มยิ้ม ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้น้องสาวขยับมานั่งใกล้ๆ เพื่อจะพิจารณารอยแผลเป็นใต้ดวงตาของนางอย่างถี่ถ้วน เขาลูบมือไปบนรอยนูนนั้นเบาๆ ทว่ากลับไม่สามารถรักษามันให้หายไปได้ "ฝ่าบาทเรจินาเป็นสตรีที่ปากตรงกับใจยิ่งกว่าใครบางคนแถวนี้เสียอีก"

นี่ฝ่าบาทว่าตัวเองหรือว่ากระหม่อมกันหนอ...

เวสเทียร์ได้แต่หลบตาลงต่ำอยู่อย่างนั้น เขายังกลัวว่าองค์หญิงจะหันมาตำหนิที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเมืองไม่ราบรื่น แต่หากเวสเทียร์จะต้องเลือก เขามั่นใจว่าเขาจะไม่ 'เสียสละเพื่อบ้านเมือง' ในกรณีนี้แน่ เขาจะไม่มีวันปล่อยฝ่าบาทไป เพื่อให้สมกับเวลาห้าปีที่ปฏิเสธตัวเองอย่างโง่เง่ามาตลอด

"ท่านพี่ยังไม่ได้หวีผมหรือ..." องค์หญิงมองเส้นไหมสีเงินที่ติดไปในทางยุ่งน้อยๆ

"เราเพิ่งตื่น" ไคราห์นตอบตามจริง ขณะที่น้องหญิงหยิบหวีขึ้นมาหมายจะสางเส้นผมให้อย่างที่เคยทำ "ปล่อยไว้เช่นนั้นเถอะ หรือเจ้าอยากจะเปียผม" เวสเทียร์แทบจะไม่เคยมีส่วนร่วมในช่วงเวลานี้มาก่อน ดังนั้นเขาจึงลอบมองทั้งคู่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ชายหนุ่มเพิ่งรู้ว่าฝ่าบาทสนิทสนมกับองค์หญิงมากเพียงนี้

อาโกรนาห์ลอบเบ้ปาก "จะเก็บเอาไว้ให้เวสเทียร์ทำให้ก็บอกน้องมาเถอะ"

คนตกเป็นประเด็นเงยหน้าขึ้นด้วยอารามตกใจ "ก... กระหม่อมไม่เคยหวีผมให้ฝ่าบาทขอรับ"

"เดี๋ยวก็คงได้ทำ" ไคราห์นตอบสบาย "เรามีเวลาทั้งชีวิต ดังนั้นวันนี้จะให้เจ้าเปียผมก็ได้ อาโกรนาห์"

--------------------------------------------------


ไม่ได้เขียนอะไรหวานๆนานมาก (ตั้งแต่แอสทารอธนั่นก็ไม่เรียกหวาน!!!) รู้สึกตื่นเต้น  :hao6: :hao6: :hao6:

ออฟไลน์ PharS

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ทำไฝ่าบาทขี้อ่อยยยยยย นิดหน่อยก็อ้อย ทีก่อนหน้านี้ล่ะ ฮือออ

ชอบนิยายเซตนี้จังเลยค่าา ตามไปอ่านprassian blueแล้วด้วยยยย

ชอบการใช้ตัวละครเป็นอมนุษย์ 555555
 วางผังตัวละครได้สุดยอดมากกกก
ขอบคุณสำหรับนิยายนะคะ  :pig4:

ออฟไลน์ YADA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 201
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อยากดูเปียผมค่ะ  :hao6: :hao6: :hao6:

ออฟไลน์ KARMI

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-2
สนุกมากเลยค่ะ ชอบที่คนเขียนใส่ใจรายละเอียดมากๆ ตามอ่านค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด