ตอนที่ 12.2
สำหรับชาวเงือกแล้ว สร้อยคอมุกคือของขวัญที่แทนคำหมั้นหมาย
และแน่นอนว่ามุกเจ็ดคาบสมุทรเป็นสิ่งที่มีมูลค่ามากพอที่จะกำนัลราชินีต่างเมือง แต่นั่นกลับไม่ใช่สิ่งที่ฝ่าบาทไคราห์นคิดจะทำในตอนนี้ ชายหนุ่มนอนอยู่บนแท่นประทับของตน และทอดมองกล่องใส่สร้อยมุกเส้นนั้นซึ่งเป็นสมบัติของราชวงศ์เซลทิค
อาโกรนาห์เอามาให้เขาเมื่อครู่นี้ พร้อมกับทิ้งท้ายวด้วยคำว่า 'เผื่อ'
ผิวน้ำกระเพื่อมไหวเล็กน้อยทำให้ราชาหนุ่มรีบปิดกล่องและซ่อนไว้ด้านหลังตนด้วยท่าทางลุกรนผิดธรรมดา เวสเทียร์เพิ่งกลับมาจากการล่า เขาขยับกายเข้ามาประจำที่ของตนโดยไม่พูดอะไร แม้จะสังเกตได้ว่าราชาหนุ่มดูมีพิรุธก็ตาม
แต่นั่นไม่ใช่ธุระขององครักษ์อย่างเขา
ฝ่าบาทรู้สึกคันคอจึงได้กระแอมเบาๆ ดูเหมือนว่าเมื่อคืนที่ผ่านมาเขาจะใช้เสียงมากไป
"ฝ่าบาท..." เวสเทียร์เรียกเป็นเชิงถาม "รู้สึกไม่ดีหรือขอรับ" หากเป็นเงือกทั่วไป เมื่อเกิดความรู้สึกไม่สบายก็มักจะไปตามเงือกอาวุโสมาดูอาการป่วย แต่สำหรับราชวงศ์เซลทิคแล้ว พวกเขามีพลังในเยียวยาตนเอง ดังนั้นหมอจึงไม่จำเป็น
"คันคอนิดหน่อย" ร่างสูงกลืนน้ำลาย "คงจะไม่ได้ร้องเพลงมานาน"
แม้จะมีน้ำเสียงที่ทรงพลัง แฝงด้วยความอ่อนโยนนุ่มนวลน่าฟังสักเพียงใด แต่ด้วยนิสัยส่วนตัวและปัจจัยหลายอย่างทำให้ฝ่าบาททะเลเหนือไม่ได้ร้องเพลงบ่อยนัก "แม้มันจะเป็นสิ่งเดียวที่ประชาชนชื่นชอบเกี่ยวกับตัวเราก็เถอะ" ราชาหนุ่มแค่นหัวเราะ และเหยียดกายนอนอยู่บนแท่นหินที่ประทับอย่างนั้นโดยไม่มีทีท่าจะออกไปหาใครอย่างที่เคยทำ
เวสเทียร์อยากถามเหตุผลเหลือเกินว่าทำไม...
ถึงแม้จะรู้สึกยินดีที่ฝ่าบาทไม่ออกไปก็ตาม
"เจ้าชอบบทเพลงของปีนี้ไหม" ราชาหนุ่มเองก็ตอบไม่ได้ว่าเหตุใดเขาจึงไม่อยากออกไปพบเรจินา ทั้งที่การทำแบบนี้อาจเรียกได้ว่าเสียมารยาท อีกทั้งยังเป็นการตัดสินใจที่ดูจะใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล อันเป็นการกระทำที่ไม่ต่างจากเด็กตัวเล็กๆ ที่แยกแยะอะไรไม่ได้
แต่เหตุการณ์เมื่อคืนนี้... ทำให้เขารู้สึกผิดต่อเวสเทียร์เหลือเกิน
รู้สึกผิดจนตำหนิตัวเองมาจนถึงตอนนี้ ว่าเขาไม่ควรหยั่งเชิงราชินีเรจินามากกว่านั้น เพราะหากพระนางคิดจริงจังขึ้นมา ไคราห์นก็ไม่แน่ใจว่าเขาควรจะจัดการกับความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเวสเทียร์ได้อย่างไร
"กระหม่อมชอบทุกบทเพลงขอรับ" นี่เป็นคำตอบที่ฝ่าบาทคาดเดาได้ อีกทั้งยังแข็งทื่อไร้อารมณ์และความรู้สึกสมกับเป็นคำพูดขององครักษ์คนสนิท แต่เวสเทียร์ก็นึกภาวนาอยู่ในใจให้ฝ่าบาทเชื่อคำพูดของเขาบ้าง
เขาชอบทุกบทเพลงของฝ่าบาท
เขาชอบทุกอย่างที่เป็นของฝ่าบาท... และนั่นคือความจริง
แต่ในสายตาของไคราห์น เวสเทียร์เพียงแค่ทำตามหน้าที่ของเขาในฐานะทาสผู้ซื่อสัตย์และภักดีที่พร้อมจะสนับสนุนทุกอย่าง และอยู่เคียงข้างทุกเวลา
ราชาหนุ่มเก็บความรู้สึกผิดเอาไว้ และสูดหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่งก่อนขยับตัว
"ฝ่าบาท..." ร่างโปร่งหลุดปากเรียก "จะไปพบราชินีเรจินาหรือขอรับ" ใจด้านหนึ่งของเวสเทียร์ถาม แต่ใจอีกด้านก็อยากตบปากตัวเองที่กล้าเอ่ยออกไป มันไม่ใช่ธุระของเขา มันไม่ใช่เรื่องของเขาเลยสักนิด ในตอนนี้ข่าวลือก็แพร่สะพัดไปทั่วอาณาจักร ไม่ว่าผู้ใดก็ยินดีกับความสัมพันธ์อันก้าวหน้าของราชาและราชินีต่างเมือง ประชาชนให้ความสนใจ และคาดหวังในตัวราชา
คงมีเพียงเขาคนเดียวในเซลทิคที่ไม่อาจยินดีไปกับมันได้ ...เขาควรจะทัดทานอะไรอย่างนั้นหรือ
เขาผิดตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือไร
"ไม่อยากให้ไปรึ" เสียงทุ้มถามกลับ นัยน์ตาสีน้ำเงินมองคนตรงหน้าอย่างพิจารณา
ไม่อยาก... ไม่เลยสักนิด... ไม่ต้องการให้ฝ่าบาทไปไหนทั้งนั้น
"ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับ" เวสเทียร์บังคับน้ำเสียงของตนไม่ให้สั่นขณะพูด "องค์ชายเร็กซ์ออกไปกับเวทอร์ส เพื่อไปดูการล่าของวาฬหลังค่อม กระหม่อมเห็นว่าราชินีเรจินาเองก็ไปกับพวกเขา" นั่นคือความจริง เมื่อเวทอร์สขอเข้าพบองค์ชายเร็กซ์ และถามว่าเขาอยากชมการล่าของวาฬหลังค่อมหรือไม่ ผู้ติดตามแห่งมารินาการ์ดไม่รีรอที่จะตกลง รวมทั้งตัวราชินีอีกเช่นกัน
"แล้วองครักษ์คนอื่นตามไปด้วยหรือเปล่า" ไคราห์นถาม ความคลางแคลงสงสัยในเจตนาของเวสเทียร์แปรเปลี่ยนเป็นความเป็นห่วงในตัวอาคันตุกะ "เหตุใดเจ้าจึงไม่รายงานเราแต่เนิ่น"
"กระหม่อมขออภัย" เวสเทียร์ก้มหัว "กระหม่อมส่งองครักษ์ติดตามไปแล้วขอรับ"
เขาไม่รายงานเพราะอะไร... เวสเทียร์ไม่กล้าตอบเพราะเกรงว่าเหตุผลของเขาจะเหลวไหลเกินทน
ทั้งที่เขาไม่ควรให้สิ่งเหล่านี้มาสั่นคลอน ทั้งที่เขารู้ดีว่าเป็นความผิดของตัวเองที่เผลอไผล ทั้งที่เขาเข้าใจทุกอย่าง แต่เหตุผลทั้งหมดทั้งมวลกลับไม่อาจเอาชนะอารมณ์เหล่านี้ได้เลย
ในบางครั้ง... ความฝันที่แสนหวานก็เนิ่นนานจนยากที่จะตื่นจากมัน
แต่เขาจะทนอยู่กับความจริงอันโหดร้ายนี้ไปได้อีกนานเท่าใดหนอ
'กระหม่อมถวายแล้วซึ่งชีวิต... ต่อฝ่าบาทไคราห์นแห่งเซลทิคเท่านั้น'นี่คือคำมั่นที่เขาเคยให้ไว้ในวันแรกที่รับตำแหน่งผู้นำเผ่าเพชฌฆาต และองครักษ์คนสนิทของราชา เวสเทียร์ตั้งใจจะยึดมั่นในคำกล่าวนั้นตลอดไป และตลอดเวลาสิบปีที่ผ่านมา ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่เวสเทียร์คิดว่าเขาจะผิดคำสาบานนั้น มาจนถึงวันนี้... ที่เขาอยากไปจากอีกฝ่ายให้ไกลเหลือเกิน
ช่วยส่งกระหม่อมไปให้ไกลจากฝ่าบาทได้ไหม...
แต่หากทำเช่นนั้นจริง กระหม่อมก็คงทนไม่ได้อยู่ดี เพราะใครจะปกป้องฝ่าบาทได้ดีไปกว่าอีก"สีหน้าเจ้าไม่สู้ดี..." เวสเทียร์หลับตาลง เมื่อฝ่ามืออุ่นของราชาสัมผัสเสี้ยวหน้าของเขา "ไม่สบายรึ" หากเป็นเช่นนั้นจริง เพียงแค่สัมผัสเท่านี้ พลังแห่งราชวงศ์เซลทิคก็สามารถทำให้หายป่วยได้แล้ว ดังนั้นนี่จึงเป็นวิธีการรักษาของฝ่าบาทไคราห์นที่น้อยคนนักจะเคยได้สัมผัสมัน
เวสเทียร์ยินดีที่ตนเป็นหนึ่งในนั้น... แต่ราชินีเรจินาก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยเช่นกัน
เหลืออีกเพียงไม่กี่ประการเท่านั้นที่เขายังมีเหนือราชินีต่างเมือง แต่ก็มีหลายสิ่งที่เขาไม่เคยได้รับจากฝ่าบาทเลย เขาเคยฝันอยากให้ฝ่าบาทร้องเพลงให้เขาฟังบ้าง อย่างเช่นที่อีกฝ่ายทำเมื่อคืนนี้ อยากพูดคุยสนุกสนานหัวร่อต่อกระซิกบ้าง อย่างเช่นที่อีกฝ่ายทำในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
และสิ่งที่สูงค่าเกินกว่าจะฝัน... เขาอยากได้รับความรักบ้าง
...แต่นี่ก็เป็นฝันที่มาไกลเกินกว่าที่ควรจะเป็นมากพอแล้ว
"กระหม่อมไม่เป็นอะไรขอรับ"
"หากเจ้ากล่าวว่า 'เป็นอะไร' ขึ้นมา เราเกรงว่าจะเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ" ไคราห์นจำได้ว่าเขาเคยพูดแบนี้กับอีกฝ่ายเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งตอกย้ำถึงความห่างเหินและช่องว่างระหว่างพวกเขา แม้จะได้ชื่อว่าเป็นราชาและองครักษ์ที่ใกล้ชิดกันมากที่สุดก็ตาม
...อย่าให้เป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาจริงๆ จะได้ไหม
ราชาหนุ่มถอนใจ ดึงมือของตนกลับมา และขยับยกหางยาวลงจากแท่น "ฟาล..." ราชาหนุ่มเปลี่ยนระดับเสียง เรียกหาเลขาอาวุโส ก่อนจะเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจเมื่อพบว่าเขาต้องเรียกอีกฝ่ายซ้ำสองอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน "ฟาล อยู่แถวนี้หรือเปล่า" ครั้นเวสเทียร์จะอ้าปากอาสาไปตามเลขาคนสนิท ฟาลก็โผล่ขึ้นมาพร้อมกับอาการหอบ บ่งบอกได้รีบบึ่งมาสุดกำลัง
"มีเรื่องอะไรหรือเปล่า ดูเจ้ารีบร้อน..."
"ขออภัยฝ่าบาท กระหม่อมมัวแต่คอยฟังข่าวของหน่วยลาดตระเวน" เลขาค้อมหัวลงแสดงความเคารพ ก่อนจะเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ที่ประทับ "องครักษ์คนสนิทของราชินีมารินาการ์ดเดินทางมายังเซลทิคขอรับ" ราชาหนุ่มเลิกคิ้วขึ้น ด้วยเพิ่งนึกออกว่าราชินีเรจินาไม่มีองครักษ์คนสนิทติดตามมาด้วย ทั้งที่เป็นเรื่องน่าแปลกสำหรับชนชั้นปกครอง อาจเป็นไปได้ว่าราชินีได้ฝากฝังให้ชายาขององค์ชายเร็กซ์และองครักษ์ของตนช่วยดูแลอาณาจักรให้ชั่วคราว ระหว่างที่พระนางพำนักอยู่ที่นี่
...ช่างชื่อมั่นในความภักดีของคนใต้ปกครองเสียเหลือเกิน
"อาณาจักรไรห์วาทางตอนใต้ต้องการส่งทูตเข้าพบราชินีเรจินาขอรับ"
"ไรห์วา..." ไคราห์นมุ่นคิ้ว "เงือกฉลามรึ"
หากเงือกวาฬเป็นเผ่าที่แข็งแรงที่สุด เงือกฉลามก็นับว่าเป็นเผ่าที่ดุดันที่สุดเช่นกัน "เหตุใดมารินาการ์ดจึงไม่ส่งข่าวมาก่อน" ฝ่าบาทเพิ่งตระหนักได้หลังจากถามออกไปแล้วว่าพวกมารินาการ์ดไม่มีการส่งสัญญาณด้วยคลื่นเสียงอย่างที่ชาวเซลทิคทำ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถส่งข่าวในระยะไกลได้ "เรียกคาดันน์กลับมา..."
คาดันน์เป็นวาฬที่สนิทสนมกับเงือก และเงือกที่มันสนิทสนมด้วยในตอนนี้ก็คือองค์ชายเร็กซ์แห่งมารินาการ์ด
"แต่เช่นนั้นก็แปลว่า... ฝ่าบาทเรจินาจะต้องเดินทางกลับไปยังมารินาการ์ด" การคาดเดาของราชาทำให้คนฟังอย่างเวสเทียร์โล่งใจขึ้นมา แต่ก็อดลำบากใจไม่ได้เช่นกัน ในขณะที่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่กำลังเป็นไปด้วยดีเช่นนี้ หากราชินีเดินทางกลับไป ประชาชนชาวเซลทิคจะคิดอย่างไร
"เกรงว่าจะเป็นเช่นนั้น..." ฟาลตอบ "กระหม่อมขอตัวลงไปพบองครักษ์จากมารินาการ์ด"
"เราจะลงไปเอง" ราชาหนุ่มขยับกายกลับลงไปในน้ำ ว่ายนำกลับไปยังพระราชวังที่ก้นทะเล และเมื่อราชาขึ้นประทับนั่งบนบัลลังก์ เหล่าองครักษ์ที่คอยดูแลก็หันมาค้อมตัวลงเคารพโดยพร้อมเพรียง เวสเทียร์ขยับกายไปอยู่เคียงข้าง และรอผู้มาเยือนจากต่างแดน
ม่านสาหร่ายพลิ้วไหวตามแรงน้ำน้อยๆ เปิดทางให้ผู้มาเยือนขยับกายผ่านเข้ามา ผมของอีกฝ่ายเป็นสีควัน รับกับดวงตาที่ดูว่างเปล่า ทว่าแฝงด้วยความลับมากมาย ร่างกายที่แข็งแรงกำยำบ่งบอกถึงชาติตระกูลและเผ่าพันธุ์ของเขา และสิ่งที่ทำให้ชาวเซลทิคประหลาดใจอย่างที่สุด นั่นก็คือหางฉลามสีอ่อนซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเผ่าฉลามขาว
...เผ่าฉลามขาวอย่างนั้นรึ
เวสเทียร์กำด้ามหอกยาวในมือแน่นขึ้นตามสัญชาติญาณ และมองดูผู้มาเยือนอย่างไม่ค่อยไว้ใจนัก แม้อีกฝ่ายจะจะค่อยๆ ค้อมหัวลงอย่างรู้มารยาทก็ตาม "กระหม่อม ฟาเบียง... องครักษ์คนสนิทของราชินีเรจินาแห่งมารินาการ์ดขอรับ" การมาถึงของเงือกฉลามที่มีขนาดตัวใหญ่พอๆ กับเงือกวาฬแห่งราชวงศ์เซลทิคอาจทำให้เผ่าเพชฌฆาตไม่รู้สึกสบายใจนัก แต่รอยยิ้มละมุนและกิริยานอบน้อมของฟาเบียงก็ทำให้เหล่าองครักษ์พอจะวางใจได้บ้าง
ไคราห์นทอดมององครักษ์หนุ่มอยู่สักพักขณะรอให้เขาพูดต่อ
"อาณาจักรไรห์วาได้ส่งทูตมาขอเข้าพบองค์ราชินี กระหม่อมจึงเดินทางมาที่นี่เพื่อแจ้งข่าวให้พระนางรับทราบ" ราชาหนุ่มรู้ในทันทีว่าฝ่าบาทเรจินาจะต้องเดินทางกลับมารินาการ์ด และอาจเป็นการเดินทางที่เร่งด่วนอีกด้วย
"ฝ่าบาทเรจินาออกไปชมวาฬกับองค์ชายเร็กซ์ อาจจะใช้เวลาสักพักหนึ่งกว่าจะเดินทางกลับมา"
ฟาเบียงเม้มปากอย่างครุ่นคิด และหักห้ามไม่ให้ตัวเองถามออกไปว่าเหตุใดราชาหนุ่มจึงไม่เดินทางไปพร้อมกันเพื่อดูแลแขกบ้านแขกเมืองด้วยตัวเอง แต่เขาควรจะเลี่ยงการสนทนาด้วยคำพูดแบบั้นจะดีกว่า "เช่นนั้น... กระหม่อมขอตัว..."
"ท่านองครักษ์เดินทางมาไกล" ไคราห์นเอ่ยขึ้นตัดบทของอีกฝ่าย "เชิญพักผ่อนที่นี่สักคืนหนึ่ง แล้วรุ่งเช้า..." ร่างสูงเว้นจังหวะพูดเพื่อไตร่ตรองคำสั่งของตนอีกครั้ง "เราจะให้วาฬเพชฌฆาตนำราชรถกลับมารินาการ์ด" ราชรถของมารินาการ์ดมักเทียมด้วยฝูงโลมา แต่ราชรถแห่งเซลทิคจะเทียมด้วยวาฬเพชฌฆาตซึ่งมีพละกำลังและความเร็วในการว่ายน้ำมากกว่า ดังนั้นการเดินทางกลับอาณาจักรมารินาการ์ดจะใช้เวลาน้อยลง แต่ก็อาจจะเพิ่มความเร็วจนน่าหวาดเสียวให้ราชินีผู้นำได้
แต่ฟาเบียงเป็นเพียงองครักษ์ จะไปกล้าขัดคำสั่งของราชาเงือกวาฬได้อย่างไร
ชายหนุ่มค้อมหัวลงอย่างนอบน้อม "ขอรับ ฝ่าบาท..."
แต่ทันใดนั้น คลื่นเสียงความถี่ต่ำที่ส่งผ่านผืนน้ำมาก็ทำให้เหล่าเงือกวาฬหันไปมองทิศเดียวกัน มันคือสัญญาณที่พวกเขาคุ้นเคย และรอคอยไม่ต่างจากการมาถึงของพวกวาฬหลังค่อม "วาฬเผือก..." ราชาเซลทิคขยับตัว ยกปลายหางใหญ่ลงจากแท่นวางเพื่อพาตัวเองว่ายออกไปจากถ้ำ และต้อนรับการมาถึงของอสูรทะเล ข้ารับใช้แห่งเทพท้องสมุทร
แม้จะได้ชื่อว่า 'วาฬเผือก' แต่อสูรทะเลก็ไม่ได้ขาวเผือดดังเช่นฝ่าบาทไคราห์น
ร่างกายที่ใหญ่โตยิ่งกว่าเรือรบลำใดของพวกมนุษย์เคลื่อนออกมาจากเงามืดของมหาสมุทร พร้อมกับคลื่นเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ และต่างจากการทักทายของฝูงวาฬหลังค่อม อสูรทะเลขยับเข้ามาเผชิญหน้ากับราชาแห่งเซลทิคที่ลอยตัวอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า และนิ่งสงบอยู่อย่างนั้นราวกับกำลังสื่อสารด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณที่ไม่มีใครเข้าใจ
ชนชั้นปกครองเท่านั้น... ที่จะพูดคุยกับอสูรทะเลได้
--------------------------------------------------
ธราฟัสการ์ หรือชุมชนของเหล่าเงือกในอดีต บัดนี้เป็นเพียงสถานที่ที่ถูกทิ้งร้างและไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปใกล้เนื่องจากความหวาดกลัวใน 'โรคระบาด' ที่เคยคร่าชีวิตผู้คนทั้งหมู่บ้าน แต่สำหรับซินเนย์วา จ่าฝูงหมาป่าแห่งนอร์เวย์ นางสัมผัสได้ว่าสถานที่แห่งนี้ยังมีคนคอยดูแลและใช้ประโยชน์จากมันอยู่
อีกทั้งยังไม่มีกลิ่นของ 'โรคระบาด' ใดๆ อีกด้วย
หมาป่าร่างยักษ์เดินมาตามถนนลูกรังที่มืดสลัวมีเพียงแสงสว่างจากดวงจันทร์ มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านร้างเพื่อจะเดินต่อไปตามทางซึ่งทอดยาวลงไปยังหาดเล็กๆ ที่เชื่อมต่อกับทะเล การเริ่มต้นจากหาดคงไม่ใช่ความคิดที่ฉลาด เนื่องจากนางไม่รู้ว่าควรจะว่ายน้ำไปทางใด เพราะไม่มีใครรู้เกี่ยวกับที่ตั้งที่แท้จริงของอาณาจักรเซลทิค
ไม่มีใครแน่ใจด้วยซ้ำว่ามันอยู่ใต้น้ำหรือบนบก
วาร์เรนสันนิฐานว่ามันอยู่บนบก เนื่องจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเผ่าเงือกวาฬที่ตัดขาดจากแผ่นดินไม่ได้ แต่ในละแวกนี้ก็ไม่มีสิ่งก่อสร้างอื่นใดอีก เช่นนั้นแล้วชาวเงือกจะไปอยู่ที่ใดได้นางเดินต่อไปยังผาใกล้ๆ กัน เพื่อจะหยุดมองท้องทะเลยามค่ำคืน
"กระผมไม่คิดว่าคนอย่างฝ่าบาทไคราห์นจะสะเพร่าปล่อยให้เราเข้าไปใกล้อาณาจักรของพวกเขาได้"
นั่นไม่ใช่เสียงพูด แต่เป็นพลังจิตที่สื่อถึงกันของหมาป่า ซินเนย์วาเหลือบมองไปยังข้างตัวเพื่อจะพบกับหมาป่าร่างยักษ์อีกตัวหนึ่งที่ติดตามนางมาด้วยในฐานะคนสนิท "หากเข้าไปใกล้มากเกินควร จะเป็นการเสี่ยงเปล่าๆ นะ นายหญิง"
จ่าฝูงคำรามในคอเบาๆ อย่างเห็นด้วย และมองออกไปนอกชายฝั่งอย่างไร้จุดหมาย
"โดยทั่วไปแล้ว... ชาวเงือกไม่ประมือกับแวมไพร์หากตนเองไม่อยู่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบ แต่จะไม่เผชิญหน้ากับหมาป่า ไม่ว่าในสถานการณ์ใดก็ตาม" ซินเนย์วาตอบ "พวกเขาไม่มีทางชนะ อีกทั้งพวกเราก็ไม่ใช่ศัตรูอีกด้วย" นางอยากรู้ที่ตั้งของอาณาจักรเซลทิค เพราะอย่างน้อยนางก็อาจจะช่วยดูแลให้ปลอดภัยได้
"นายหญิง..."
"มาเถอะ อังเดร" ซินเนย์วาเรียก นางออกเดินลัดเลาะไปตามแนวผาริมทะเล "อย่างไรเราก็ได้กลิ่นของพวกเขา คงไม่เข้าไปใกล้มากหรอก" กลิ่นกายของชาวเงือกมีเอกลักษณ์เด่นชัด และหากเปรียบเทียบในความเห็นของหมาป่าแล้ว พวกเขาก็เป็นอมนุษย์ที่หาตัวได้ไม่ยากนัก หากเดินปะปนกับผู้คนในเมือง
"นายหญิง!"
คนสนิทส่งเสียงเรียกด้วยความตระหนก เรียกให้จ่าฝูงสะดุ้งก่อนหันไปมอง และทันเห็นการเคลื่อนไหวของสัตว์ขนาดมหึมาที่โผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำพร้อมกับสะบัดร่างพลิ้วไหวและกระแทกลงบนผืนน้ำเบื้องล่าง ซึ่งนับเป็นการกระทำที่สร้างความสนุกสนานให้กับสัตว์จำพวกวาฬ
แต่แน่นอนว่าวาฬทั่วไปไม่มีขนาดใหญ่เท่านี้แน่นอน...
"อ... อสูรทะเลรึ!" หมาป่าตาโต ทั้งคู่มองหน้ากันไม่แน่ใจ แต่ก็ไม่อยากวิ่งออกไปในจุดที่ทำให้พวกเขาเห็นชัดกว่านี้ ซึ่งอาจหมายถึงอันตรายจากความไม่ระวังตัว "นั่นมันอสูรทะเลแน่ๆ ไม่มีวาฬตัวไหนใหญ่ขนาดนั้นหรอก!" สัญชาติญาณทำให้พวกเขาอยากออกวิ่งเพื่อติดตามวาฬยักษ์ มันโผกระโจนขึ้นเหนือน้ำอีกหลายครั้งในบริเวณเดียวกัน ซึ่งนั่นอาจหมายถึงที่ตั้งของอาณาจักรเซลทิค
พวกเขาอยากออกไปดูการเล่นแสงจันทร์ของอสูรทะเลใกล้ๆ
แต่อีกใจหนึ่งก็คอยเตือนว่าไม่ควรขยับไปไหน
"อังเดร..." ซินเนย์วาเริ่ม "ตามคนของเจ้ามาสมทบที่นี่ หากนั่นคือที่ตั้งของเซลทิค เราก็ควรจัดเวรยามคอยดูแลหน้าผาฝั่งนี้" ดวงตาสีเหลืองอำพันมองไปยังฝูงวาฬที่ว่ายเรี่ยผิวน้ำชมจันทร์อยู่ในทะเลที่ห่างไกล และยิ่งเบิกตาขึ้นเมื่อทันเห็นร่างของเงือกที่มีผิวขาวสว่างผุดผาดราวกับแสงจันทร์โผร่างขึ้นมาเหนือน้ำด้วย
"ฝ่าบาทไคราห์น..." มีเงือกเพียงตัวเดียวในโลกนี้ที่มีสีแบนั้น และนั่นคือราชาแห่งเซลทิค!
--------------------------------------------------
อสูรทะเล หรือ 'วาฬเผือก' เคยมีบทใน สัญญาสาปสมุทร นะ...
นางค่อนข้างสนิทกับเผ่าเงือกวาฬ (คนที่มีบทในตอนนั้นคือองค์หญิงเอสลินน์ ซึ่งเป็นน้องสาวคนเล็กของฝ่าบาทไคราห์น) อันนี้เลยขอเอานางมามีส่วนร่วมนิดนึง (ไม่นิดอะ ตัวใหญ่มาก...ตัวก่อเรื่องกลายๆ ด้วย) ถ้าใครไม่เคยอ่านก็... จะอธิบายว่า จริงๆ มันคือ Sperm Whale (วาฬหัวทุย) ขนาดยักษ์ในนิยาย Mody-Dick แหละ (ซึ่งนิยายเรื่องนั้นถูกเผยแพร่ในค.ศ. 1851) (ยุคสมัยในนิยายเรื่องนี้น่าจะค.ศ. 1860s) จะขอเล่าเกร็ดคร่าวๆ ละกัน
คือเหมือนคำว่า 'Moby' จะเป็นแสลงรึเปล่านะ... แปลว่าใหญ่-มหึมา... หรืออะไรประมาณนี้ (อันนี้ไม่รู้จริงๆ) แต่ dick เนี่ย... มันก็คือแสลง dick นี่ล่ะ ชื่อมันเลยอาจจะแปลว่า... ไอ้นั่นใหญ่ ฮา... และสาเหตุที่ชื่อเรียกทั้ง Sperm Whale ทั้ง Moby-Dick นี่ดูสัปดนมาก ก็น่าจะเพราะ...
(อันนี้ fact อ่านมาจากบทความ)
ที่มาชื่อของ Sperm Whale : มันเป็นวาฬที่มีรูปร่างดุ้นๆ (แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น) และในหัวของมันมีไขมันเยอะมาก (ถ้าข้อมูลในหนัง In the Heart of the Sea เชื่อถือได้ ก็น่าจะมีไขมันถึงตัวละประมาณ 50 บาเรล << อันนี้เราไม่เคยศึกษา เลยไม่แน่ใจตัวเลขนะ) ซึ่งไขมันอันนั้นเรียกว่า spermaceti หรือไขมันวาฬ แต่นักล่าในอดีตนู้นนนที่เป็นคนตั้งชื่อวาฬ... ไม่รู้ว่านั่นคือไขมันวาฬ หลังจากที่เห็นมันเป็นน้ำขาวๆ ขุ่นๆ ก็เลยคิดว่านั่นคืออสุจิ (sperm) มันจึงมีชื่อเหมือนเป็นวาฬโรคจิต(?)ที่มีอสุจิเต็มหัว (สงสารละเกิน) แต่ต่อมาเมื่อรู้ว่ามันเป็นน้ำมันที่ใช้งานได้ ก็เลยล่ากันใหญ่เลย...
(อันนี้เราสันนิฐานเอง)
ในเมื่อมันชื่อ Sperm Whale : ดังนั้น จึงเป็นที่มาของชื่อเรียก Moby-Dick เพราะมันตัวใหญ่ จึงกลายเป็น ไอ้xxใหญ่ (ก็ยังคงสงสารมันต่อไป) นี่จะตั้งชื่อให้มันดีๆไม่ได้เหรอ OTL
ต่อไปนี้เราจะเรียกเขาว่า พี่ทุย... (ฉันขี่ไอ้ทุยลุยทะเล~~)
พี่ทุยยาวประมาณ 18 เมตร... ตัวพอๆกับพี่ค่อมแหละ (โดยโครงสร้างแล้ว เราว่าพี่ทุยใหญ่ล่ำกว่า) แต่ว่า พี่ทุยเป็นวาฬประเภท tooth whale (ซึ่งพี่ทุยเป็นวาฬมีฟันขนาดใหญ่ที่สุดในโลก) แต่พี่ค่อมเป็นประเภท baleen whale แต่อย่าเพิ่งคิดว่าพี่ทุยจะกินพี่ค่อมไหม... คือพี่ทุยไม่กินวาฬนะ 555 ถ้าอิพวกวาฬที่กินวาฬด้วยกันก็เห็นมีพี่ก้านี่แหละ = =
พี่ทุยกินปลาหมึกเป็นอาหาร ซึ่งเป็น Giant Squid ซะด้วย... (แต่มีข้อสันนิฐานอยู่ว่านางกิน Colossal Squid ด้วย) ความสามารถพิเศษของพี่ทุยคือการดำน้ำ พี่แกสามารถกลั้นหายใจได้นานถึง 90 นาที และดิ่งลงไปถึงก้นทะเลได้ โดยไม่รู้ว่าอยู่ได้ยังไงกับความกดดันใต้ทะเลขนาดนั้น (แต่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ผิวหนังเขาต้องย่นๆ แบบนี้)

สำหรับในนิยายนี่... คิดว่าอสูรทะเลน่าจะเป็น Leviathan Melvillei ซึ่งเป็นวาฬดึกดำบรรพ์ (ใครดู Ice Age: Continental Drift มันก็คือตัวที่ชื่อ เพรเชียส นั่นแหละ << แต่มันไม่ใหญ่ขนาดอมแมมมอธได้หรอกนะ เพดานปากมันตื้น!!) ดูแล้วน่าเกรงขามกว่า ฟันใหญ่กว่า แต่ว่า... อิตัวนี้ดันเล็กกว่าพี่ทุยในยุคปัจจุบันอีก (โถ่) ก็เลย... ไหนๆ ก็นิยาย ช่างมันเถอะ ของใหญ่ๆ เว่อร์ๆ ด้วยนะ (อ้าว 555)
คือเราชอบความเรียลนะ... แต่หลายๆ ทีก็บอกตัวเองว่า... ช่างมันเถอะ ความเรียล 555
อสูรทะเลประประโยชน์ยังไง... จริงๆ เราก็ยกให้เขาเป็น Guardian ของโลกใต้ทะเลแหละนะ ซึ่งไม่ได้มีตัวเดียวแน่ๆ ฮา... จริงๆ ที่ให้พี่แกมาคือเพื่อชอตกระโดดนั่นชอตเดียวเลย (แล้วก็กลับไปนะลูกนะ ตัวใหญ่ เกะกะ---)
อ้ะ... เกือบลืม เรื่องแผนที่~~
แต่ยังไม่ได้วาด vector สวยๆให้อะ ขอเป็นแผนที่โลกบน Google Map ก่อนละกันนะ แฮะๆ

เอ้อ... ควรจะมีแผนที่บนบกด้วยสินาาา... เดี๋ยวจะงงว่าท่าบาร์ธีมอร์ หมู่บ้านธราฟัสการ์ อาณาจักรเซลทิค อะไรอยู่ตรงไหน ทำไมเจอธราฟัสการ์แล้วถึงไม่เขอเซลทิค... คืองี้ค่ะ มันอยู่คนละผากัน---
