- ไปค่ายตอนที่ยี่สิบ : จูบของแรก -
~ตัวกลมกับพี่ชายข้างบ้าน~ “ทำหน้าเป็นตูดอยู่ได้”
“เฮ้อ”
“พูดแล้วยังจะถอนหายใจอีก”
“.......”
“มึงเป็นอะไรของมึงเนี่ยไอ้กลม”
“กูเปล่า”
“เปล่าห่าอะไร ถอนหายใจทุกนาทีขนาดนี้” ไอ้บีจิ้มหน้าผมแรงๆ จนแทบหงายหลัง สาบานว่ามันเป็นผู้หญิงจริงๆ ผู้หญิงห่าอะไรแรงควายขนาดนี้ ผมมองมันตาเขียว
“แล้วหน้านี่งอจนจะเป็นจวักอยู่แล้วมึงน่ะ”
“แม่ง”
ผมขยี้หัวตัวเองแรงๆ “อารมณ์ไม่ดีโว้ย”
“ใครทำอะไรมึงล่ะ?”
“ก็จะใครซะอีกล่ะถ้าไม่ใช่พี่กะ..เอ่อ”
ชื่อของคนที่แอบรักมาตลอดสามปีเกือบจะหลุดออกมาจากปาก แต่ถึงอย่างนั้นผมว่าบีมันคงรู้ว่าคนที่ทำให้อารมณ์บูดสุดๆ ตอนนี้เป็นใคร นั่นแหละผมกำลังขวางหูขวางตาไอ้พี่ไกด์อยู่ตอนนี้ จริงๆ มันรู้สึกขวางหูขวางตาตั้งแต่งานแต่งงานของชาวบ้านเมื่อหลายวันก่อนแล้ว ตั้งแต่วันนั้นผมสังเกตว่าสาวๆ ชาวบ้านสองสามคนแวะเวียนมาส่งปิ่นโตให้ชาวค่ายแทบทุกวัน ซ้ำยังดูเหมือนว่าจงใจจะเอามาให้แต่พวกแก๊งสี่โจรโดยเฉพาะไอ้ไกด์กับพี่ปืน
แต่พี่ปืนมันแสดงออกชัดเจนว่าไม่ได้สนใจเป็นพิเศษออกจะเอ็นดูเหมือนน้องเหมือนนุ่ง ตรงกันข้ามกับไอ้ห่าพี่ไกด์นี่แหละที่อัธยาศัยดีเกินไปจนผู้หญิงพวกนั้นมาเฝ้าที่ค่ายได้ทุกวี่ทุกวัน เพราะเหตุนี้แหละที่ทำให้ผมนึกเซ็งเลยพาลหลบหน้าพี่มันมาได้สองสามวันแล้ว
ผมถอนหายใจมองไปรอบๆ ค่ายซึ่งหลังจากเสร็จสิ้นจุดประสงค์หลักในการมาค่ายครั้งนี้อย่างการสร้างสนามกีฬาเอนกประสงค์กับฝายชะลอน้ำแล้ว ภารกิจสุดท้ายคือการสอนวิชาการเด็กๆ ไม่น่าเชื่อว่าพวกเราจะใช้ชีวิตอยู่ในค่ายมาจนถึงสัปดาห์สุดท้ายแล้วและเหลือเวลาอีกเพียงสามวันเท่านั้นพวกเราก็จะต้องกลับไปสู่ชีวิตจริงกันแล้ว
ส่วนภารกิจสอนวิชาการวันนี้พี่ปิงปองแจกจ่ายให้แต่ละชั้นปีสอนวิชาพื้นฐานหลักๆ เอาจริงๆ ไม่ใช่การสอบแบบจริงจังนักหรอกเพียงแค่หากิจกรรมมาส่งเสริมการเรียนรู้ในแต่ละวิชาเท่านั้น โดยปีหนึ่งรับผิดชอบสอนคณิตศาสตร์เห็นว่าทำโจทย์คิดเลขกันอย่างสนุกสนาน ส่วนปีสองของผมสอนการทดลองทางวิทยาศาสตร์แบบง่ายๆ ปีสามสอนภาษาไทยแต่ดูเหมือนจะชวนเด็กๆ เรียนรู้ทักษะการออกกำลังกายมากกว่า ส่วนปีสี่พี่ใหญ่กับกลุ่มเจ่นี่เห็นว่ากำลังสอนเด็กๆ ร้องเพลงภาษาอังกฤษซ้ำยังชวนกันเต้นรำท่าทางสนุกสนานกันใหญ่
การสอนวิชาการวันนี้เหมือนกันการเล่นเกมตามฐานของแต่ละชั้นปีมากกว่า ซึ่งมีการกำหนดให้เวลาฐานละสี่สิบนาทีเมื่อครบกำหนดเวลาก็เวียนไปฐานอื่น กิจกรรมแบบนี้ทำเอาเด็กน้อยสนุกสนานกันใหญ่ก็เพราะพี่ฐานแต่ละคนช่างสรรหาขนมนมเนยมาเป็นรางวัลเพื่อเพิ่มความสนใจในการทำกิจกรรม
“ว้าว”
เสียงเด็กน้อยพากันตื่นเต้นกันใหญ่เมื่อการทดลองวิทยาศาสตร์ของฐานปีสองอย่างการทดลองเรื่องตัวหนังสือล่องหน สร้างความตื่นเต้นให้เด็กๆ จนทำตาโตกันเป็นแถว ซึ่งไอ้การทดลองที่ว่ามีขั้นตอนง่ายๆ คือการนำไม้จิ้มฟันจุ่มน้ำมะนาวที่คั้นไว้แล้วเขียนข้อความลงในกระดาษสีขาวตามต้องการ พอเสร็จทิ้งก็ไว้ให้แห้งก่อนจะนำไปลนไฟพอให้กระดาษได้รับความร้อน ไม่นานก็จะปรากฏตัวหนังสือขึ้นมา
เด็กๆ ตื่นเต้นกันใหญ่เมื่อเห็นกระดาษสีขาวปรากฏอักษรขึ้นมาทีละน้อยจนครบเป็นข้อความ เล่นเอาเด็กน้อยปรบมือกันเกรียวกราว ฐานปีสองได้รับความนิยมพอสมควรแต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องสอนให้พวกเด็กๆ ระวังเรื่องฟืนไฟเลยเตือนไปว่าหากไม่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วยก็ไม่ควรจะเล่นกับไฟที่อาจมีอันตรายได้
ความน่ารักของเด็กน้อยนี่แหละที่ทำให้ผมอารมณ์ดีขึ้นมาดีเล็กน้อย ซึ่งย่อมดีกว่าต้องมานั่งคิดเรื่องไร้สาระโดยที่เจ้าตัวเขายังไม่เดือดร้อนไปกับความคิดของผมเลย
เหอะ!
ผมเหลือบตาไปยังฐานปีสามที่กำลังสอนทักษะการเตะบอลให้เด็กอยู่โดยมีแกนนำคือแก๊งสี่โจรที่ขาดก็แต่หัวหน้าแก๊งซึ่งวันนี้ลงไปทำธุระในเมือง ยิ่งเห็นรอยยิ้มของไอ้พี่ไกด์ผมยิ่งหงุดหงิดจนนึกด่าทอตัวเองที่ปล่อยให้พี่มันมามีอิทธิพลกับหัวใจตัวเองขนาดนี้
ผมไม่ได้คุยกับพี่มันเลยตั้งแต่วันแต่งงานของชาวบ้าน เอาจริงๆ คือผมหลีกเลี่ยงจะพบเจอกับพี่มันตรงๆ มากกว่า เพราะกลัวว่าตัวเองจะแสดงอาการให้พี่อีกฝ่ายรู้สึกว่าถือไพ่เหนือกว่า ผมแค่รู้สึกว่าตัวเองเสียเปรียบพี่มัน เป็นเรื่องจริงที่ว่าคนที่รักก่อนย่อมเสียเปรียบมากกว่า เพราะเรารักเขาไปโดยที่ไม่มีวันรู้ว่าเมื่อไหร่จะได้รับความรักนั้นตอบ
ผมแค่รู้สึกว่าตัวเองกำลังหวั่นไหวเพราะขณะที่พี่ไกด์แสดงออกให้ผมคิดเข้าข้างตัวเอง ก็เป็นเวลาเดียวกับที่พี่มันคุยกับใครไปเรื่อย ผมพอจะรู้ว่าพี่มันเจ้าชู้พอตัวมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่ทำยังไงได้ล่ะในเมื่อผมรักพี่มันไปแล้ว บางทีก็รักจนเหนื่อย รักจนลืมนึกถึงหัวใจตัวเอง โดยยอมให้อีกฝ่ายใช้ความรักของผมเป็นเหมือนข้อต่อรอง เอาจริงๆ เรื่องนี้พี่มันไม่ผิดหรอกผมเองที่ผิดที่ไปคาดหวังมากเกินไป
มันเป็นธรรมดาของความรักนั่นคือรักมากยอมคาดหวังมากเป็นของธรรมดา
ฟุ้งซ่านว่ะ!
ผมสะบัดหัวตัวเองแรงๆ ก่อนจะบอกเพื่อนว่าขอไปล้างหน้าล้างตาให้ตัวเองสดชื่นสักหน่อย ผมเดินทอดน่องมาเรื่อยๆ แล้วมันก็ช่างบังเอิญที่พี่ไกด์กำลังเดินมาทางนี้พอดี พอผมเห็นพี่มันผมเลยรีบหมุนตัวหลบไปอีกด้าน แต่คนจะซวยอะไรก็ช่วยไม่ได้ว่ะ
“จะหลบหน้ากูอีกนานมั้ย?”
ผมชะงักกึก
“ได้ยินแล้วหันมาอย่าทำกวนตีน”
“......”
“ไอ้กลม”
ผมกำหมัดแน่นพยายามสะกดกลั้นอารมณ์น้อยใจที่กำลังปะทุขึ้นด้วยการเม้มปากแน่นไม่ปริปากพูดคำใดๆ ออกมาสักคำก่อนจะทำหูทวนลมเดินหนีไป
“โอ้ย”
ไอ้พี่ไกด์กระชากหัวไหล่ผมแรงมาก
“ผมเกลียดพี่”
เหี้ยเอ้ย ปากบอกเกลียดเขาแล้วมึงร้องไห้ทำห่าอะไรวะ ผมรีบปาดน้ำตาที่กำลังไหลลงอย่างว่องไวด้วยกลัวว่าจะทำให้คนที่อยู่ตรงหน้ารำคาญใจไปมากกว่านี้
“อย่าเดินหนีกู”
“ปล่อยผม”
“กลม”
“ปล่อยผมไอ้พี่ไกด์”
“โอ้ยกูเจ็บ”
“ฮึกผมเกลียดพี่”
“กลมหยุด!”
“พี่แม่ง”
ผมระดมทุบใส่อกพี่มันรัวๆ ฝ่ายนั้นทำหน้าเหยเก เมื่อไม่สามารถห้ามปรามผมได้สุดท้ายฝ่ายนั้นเลยปล่อยให้ผมรัวมือใส่อกจนพอใจแล้วรวบผมเข้าไปกอดไว้ในอ้อมแขน
“พอใจรึยัง?”
เสียงทุ้มกระซิบที่ข้างหูผมอย่างแผ่วเบาซ้ำยังรวบเอาข้อมือเอาไว้ให้แน่นขึ้น ผมผ่อนลมหายใจอย่างรุนแรง เมื่ออารมณ์เย็นขึ้นผมถึงเพิ่งรู้ตัวว่าทำสติแตกใส่พี่มันเลยได้แต่หรุบตามองพื้นไม่ปริปากเอ่ยคำพูดใดๆ
“โกรธอะไรกู”
“......”
พี่ไกด์ดันปลายคางผมขึ้นเพื่อให้สายตาของพวกเราอยู่ในระดับเดียวกัน แววตาคู่คมจ้องมองผมนิ่ง แววตาคู่นั้นทอดมาอย่างอ่อนโยนและมันทำให้ผมถึงกับบ่อน้ำตาแตกทำตัวอ่อนแอไม่แมนเอาซะเลย ปลายนิ้วเรียวยาวค่อยๆ เกลี่ยคราบน้ำตาให้ผมอย่างแผ่วเบา ความอ่อนโยนที่ได้รับมาทำให้หัวใจผมเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลย
“เป็นอะไรไหนพูดมาซิ?”
“ผม เอ่อ”
“ถ้ามึงไม่พูดกูก็ไม่รู้หรอกนะว่ามึงเป็นอะไรน่ะ”
“พี่แคร์ด้วยรึไง”
พี่ไกด์ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะยักไหล่กวนๆ
“ตราบใดที่กูยังมีหน้าที่คุมความประพฤติมึง เรื่องของมึงกูสมควรต้องรู้ทุกเรื่อง”
เหตุผลยาวเหยียดนั่นทำให้ความรู้สึกน้อยใจตีขึ้นมาอีกระลอก
“พี่แม่ง”
“โอ้ย”
คราวนี้ผมทุบพี่มันที่เดิมแต่ฝ่ายนั้นรู้ทันจึงคว้าข้อมือผมเอาไว้แล้วบิดไปข้างหลัง ความเจ็บปวดที่แล่นแปลบขึ้นมาทำให้ผมถึงกับน้ำตาซึม คราวนี้พี่ไกด์นิ่งไปทันทีก่อนจะปล่อยมือผมทันที
“พี่แม่งใจร้าย ทำไมถึงทำร้ายหัวใจผมขนาดนี้ พี่ก็รู้ว่าผมรักพี่ ทำไมถึงได้ทำเหมือนไม่รู้ไม่เห็นแบบนี้ ผมเจ็บนะเว้ย ฮึก ผมจะเลิกชอบพี่ ผมจะหยุดความรู้สึกทั้งหมดที่มีต่อพี่ พอแล้วผมไม่ไหวแล้ว”
ผมสะอื้นจนตัวโยนและยิ่งสะอื้นหนักเข้าไปอีกเมื่อฝ่ายนั้นโอบกอดผมเอาไว้ ซ้ำมือหนายังลูบไล้แผ่นหลังเหมือนว่ากำลังจะปลอบประโลม
“.....”
ระหว่างเราไม่มีคำพูดใดๆ แต่ผมสัมผัสได้ว่าอ้อมกอดของพี่ไกด์รัดผมแน่นขึ้น ซ้ำยังรู้สึกอบอุ่นไปทั่วทั้งหัวใจ พี่ไกด์ไม่หลุดคำใดๆ ออกมาแต่อ้อมแขนนั้นประคองผมไว้แนบอก กลิ่นกายของพี่ไกด์เด่นชัดในความรู้สึก
“จะเลิกรักกูจริงๆ เหรอ?”
ผมพยักหน้ากับอกอีกฝ่ายรัวๆ ให้ตายเถอะ บอกว่าจะเลิกรักพี่มันแต่มือทั้งสองข้างนี่ยังกอดพี่ไกด์แน่นเป็นลูกลิงขนาดนี้
โธ่เอ้ย กูหนอกู
“ขอโทษที่ทำให้มึงเจ็บมาตลอด”
นิ้วเรียวกรีดน้ำตาบนหน้าให้อย่างแผ่วเบา
“พี่ไม่มีทางชอบผมได้เลยใช่มั้ย?”
“......”
“งั้นพี่ชอบใครกันแน่ระหว่างสาวๆ สองสามคนนั่นอ่ะ”
“ห่ะ?”
พี่ไกด์ทำหน้างงเป็นไก่ตาแตก ก่อนจะ...
“โป๊ก”
มะเหงกนั่นตกลงกลางกระบาลผมเต็มๆ ซ้ำดวงตาคู่คมยังเรืองรองวาววับโคตรน่ากลัว
“มึงคิดว่ากูชอบสาวๆ พวกนั้นเหรอ?”
ผมพยักหน้ารัวๆ หน้าตานี่เหยเกโดยไม่ต้องมีใครบอกก็รับรู้ได้ว่าสภาพผมตอนนี้ย่ำแย่แค่ไหน
“ไอ้ห่ากลม”
ขี้หูผมเต้นระรัวเลยสัด
“ฟังดีๆ นะ” พี่ไกด์กระซิบเสียงเครียด
“กูคุยกับมึงทุกวันนี่กูชอบแม่มึงมั้ง!” พูดจบก็โยกศีรษะผมแรงๆ จนผมหัวแทบหลุดก่อนจะเดินตึงตังออกไป
เออก็สมควรที่พี่ไกด์จะชอบแม่ผมอยู่หรอกในเมื่อแม่ผมใจดีและทำอาหารอร่อยขนาดนั้น ไม่แปลกหรอกที่ไอ้ห่าพี่ไกด์จะชื่นชอบ แต่เดี๋ยวนะ...
ลองทบทวนคำพูดเมื่อกี้อีกทีซิ!
“กูคุยกับมึงทุกวัน...นี่กูชอบแม่มึงมั้ง!”
มันหมายความว่าพี่ไกด์ชอบ...ผม รึเปล่าวะ!
ไอ้สัดเหมือนตัวเองเป็นไบโพล่าร์ เมื่อกี้ยังทำเศร้าร้องห่มร้องไห้เหมือนจะขาดใจ แต่พอทบทวนคำพูดเมื่อกี้ทำไมหัวใจถึงเต้นแรงขนาดนี้วะ โอ้ยกูหนอกู
“อ้ายคับ” (พี่ครับ)
ผมกลับมาที่ฐานอีกครั้งคราวนี้มีเด็กชายคนหนึ่งยื่นกระดาษเอสี่สีขาวมาให้สองใบ ผมเองก็รับมาอย่างงงๆ แต่สังเกตว่ามันมีรอยที่กระดาษ ผมเลยนึกยังไงไม่รู้ว่าเอากระดาษที่ว่านั่นไปรนไฟจนกระทั่งตัวอักษรลายมือฉวัดเฉวียนค่อยๆ ปรากฏขึ้นมา
กระดาษแผ่นแรกเป็นคำว่า
“กูชอบ” ส่วนแผ่นที่สอง
“มง”
หา? กูชอบมงคืออะไรวะ? มงกุฎอะไรอย่างงี้เหรอ?
ผมเกาหัวแกรกๆ แต่นึกเอะใจเลยเลื่อนกระดาษแผ่นที่สองไปรนไฟให้ทั่วอีกรอบ คราวนี้ผมถึงกับอ้าปากค้าง
..มึง.. ..ไม่ใช่มงแต่เป็นคำว่ามึง..และถ้ารวมคำก่อนหน้านี้แล้วก็จะเป็นคำว่า
“กูชอบมึง” ฮืออออออ ผมเงยหน้าขึ้นมาจากกระดาษเห็นรุ่นพี่ปีสามคนต้นเรื่องกดยิ้มมุมปากมองมาทางนี้พอดีเล่นเอาในอกผมร้อนวูบวาบไปหมด
~ตัวกลมกับพี่ชายข้างบ้าน~*******************************************
ว้าวุ่นใจเป็นความรู้สึกของผมตอนนี้วะ!
ผมถอนหายใจแรงอย่างไม่รู้จะจัดการกับความรู้สึกของตัวเองได้ยังไง หลังจากได้ยินจากปากพี่นะโมกับพี่เม่นบอกว่าวันนี้พี่ปืนมันลงไปทำธุระในเมืองตั้งแต่เช้าอีกแล้ว เห็นว่าไปติดต่อรถนำเที่ยวเนื่องจากว่าพรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายที่เราจะใช้ชีวิตอยู่ในค่าย ดังนั้นก่อนกลับพี่ปิงปองเลยจะพาเราเที่ยวตามสถานที่สำคัญภายในจังหวัดก่อนกลับ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่ให้ผมว้าวุ่นใจขนาดนี้ถ้าหากว่าพี่เม่นมันจะไม่หลุดปากว่า
“ไอ้ปืนมันลงไปเจอแฟนเก่า”
พอพี่มันรู้ว่าพูดอะไรเรื่องที่ไม่สมควรก็เงียบไปทันที แต่นั่นล่ะมันทำให้ผมปั่นป่วนมวนท้องไปหมด ผมเลยได้แต่เม้มปากนิ่งเงียบ
‘ไหนบอกว่าไม่มีอะไรกันแล้วไง’
แม่งงงงงงงง
หงุดหงิดโว้ย!!
“โว้ย”
ผมขยี้หัวตัวเองแรงๆ ก่อนจะทำสมาธิกลับมาจดจ่อการเขียนสมุดค่ายตรงหน้า ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายแก่ๆ แล้วกิจกรรมฐานทุกอย่างจึงยุติกันแล้วหลังจากรอผู้ปกครองมารับเด็กๆ กลับบ้านกันหมดแล้ว ชาวค่ายที่เหลือจึงเฮโลกันมาเขียนสมุดค่ายให้แต่ละคนเพื่อบันทึกความทรงจำที่มีต่อเจ้าของสมุด
“เป็นอะไร”
ไอ้เบิร์ดสะกิดไหล่ถามผม
“เปล่า”
“แน่ใจ๊”
“เออ”
ตอบด้วยใบหน้าที่บึ้งตึงนั่นแหละ มันทำหน้าไม่เชื่อผมสักนิดแต่มันก็ยังไม่ถามความอะไรมากมายให้ผมรู้สึกแย่ไปกว่าเดิม พอคิดว่าตัวเองคงจะฟุ้งซ่านจนเกินไปเลยรวบรวมสมาธิกลับมาจดจ่อที่สมุดค่ายต่อ ขณะที่ไอ้เบิร์ดผละออกไปช่วยพี่ปิงปองถือกล่องลังอะไรสักอย่าง
“กรี๊ด”
ผมสะดุ้งโหยงทันเห็นพี่ปิงปองดิ้นเร่าๆ ก่อนจะวิ่งไปกระโดดกอดไอ้เบิร์ดที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเกิดอะไรขึ้น
เชี่ย!
ตุ๊กแกของปลอมซึ่งทำจากยางรูปร่างเหมือนจริงจนน่าตกใจนอนแอ้งแม้งอยู่กันพื้น อิหรอบนี้คงไม่พ้นใครสักคนที่โยนใส่แน่นอน แล้วไอ้เบิร์ดซึ่งบังเอิญอยู่ใกล้พี่แกมากที่สุดก็ได้รับผลกระทบนั้นเต็มๆ สภาพตอนนี้คือไอ้เบิร์ดที่กำลังอุ้มพี่ปิงปองซึ่งกอดคอมันแน่นซ้ำขาทั้งสองยังหนีบเอวไอ้เบิร์ดไม่ปล่อยเรียกว่าเกาะเป็นตุ๊กแกก็ว่าได้
“ฮ่าๆๆๆ”
พี่ต้องและรุ่นพี่ปีสามกุมท้องพากันหัวเราะก๊าก โดยเฉพาะตัวต้นเหตุอย่างพี่ต้องที่ไปสรรหาตุ๊กแกปลอมมาแกล้งโยนใส่คนขี้ตกใจอย่างพี่ปิงปอง สงสารก็แต่ประธานค่ายที่ทั้งร้องทั้งกรี๊ดน้ำหูน้ำตาไหลดูแล้วทั้งขำทั้งน่าสงสาร
“พวกมึงจะชนช้างกันอีกนานมั้ย?”
พี่ต้องเอ่ยแซวกับโพซิชั่นพี่ปิงปองกอดไอ้เบิร์ดแนบแน่นโดยการหันหน้าเข้าหากันจนไม่ช่องว่าง ไอ้เบิร์ดนี่ก็ดีอย่างไม่สะบัดหรือผลักออก พอพี่ต้องพูดจบนั่นแหละพี่ปิงปองถึงเพิ่งรู้ตัวรีบตะกายลงจากร่างไอ้เบิร์ดด้วยใบหน้าที่แดงก่ำเล่นเอาชาวค่ายคนอื่นๆ โห่ร้องแซวกันใหญ่
“ท่าแม่งได้ว่ะ”
พี่เม่นพูดไปขำไป
“ไอ้เบิร์ดนี่น่าจะอุ้มแตงเก่งนะมึง”
“โธ่พี่”
ไอ้เบิร์ดโอดครวญหน้าเริ่มแดงนิดๆ ไม่ต้องพูดถึงพี่ปิงปองที่เดินตุปัดตุเป๋หลงทิศหลงทางไปโน่น แต่ไม่วายส่งสายตาอาฆาตให้พี่ต้องตัวต้นเรื่อง
“ไอ้ห่าต้อง!”
พอพี่ปิงปองหันไปสบตากับไอ้เบิร์ดที่หันมาพอดี เท่านั้นแหละต่างฝ่ายต่างหันหน้าหนีไปคนละทางด้วยสีหน้าซับสีเลือด
เออแหนะ..ยังไงกันคู่นี้!
ผมลอบสังเกตอาการของคนทั้งคู่ก็ได้แต่สงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ยังไงก็ช่างเถอะมันเป็นเรื่องของคนสองคน ผมเองยังเอาตัวเองไม่รอด ตอนนี้เลยไม่นึกอยากเสือกเรื่องของใครหรอก ผมถอนหายใจแล้วเหลือบตาไปมองคู่หวานประจำค่ายอย่างไอ้เขมกับพี่เก้าที่กำลังหยอกล้อกันอยู่ เห็นแล้วนึกถึงคำพูดที่ไอ้พี่ปืนพูดเมื่อวาน
หงุดหงิดโว้ย!
สุดท้ายผมตัดสินใจขออนุญาตพี่ปิงปองออกไปนอกค่ายโดยขอยืมมอเตอร์ไซค์ภารโรงขับออกมาด้านนอกโดยมีจุดหมายปลายทางที่ลานดาวไม่รู้ทำไมผมถึงมาที่ อาจจะเพราะผมอยากไปในสถานที่ซึ่งทำให้จิตใจที่ร้อนรุ่มของตัวเองสงบลงได้
ผมจอดรถไว้ตรงทางขึ้นแล้วเดินเท้าผ่านต้นไม้รายรอบระหว่างทางจนมาถึงลานกว้าง แล้วยืนนิ่งมองต้นไม้ใหญ่เพียงต้นเดียวที่ตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกล ต้นไม้ใหญ่ที่ว่าเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพิธีผูกใจ ผมค่อยๆ เดินไปบริเวณริมผาที่มีขอบไม้กั้นอยู่
ผมนิ่งมองธรรมชาติอันงดงามเบื้องหน้าแล้วความรู้สึกร้อนรุ่มในใจก็พลันสงบลง ผมยืนระลึกถึงความทรงจำครั้งแรกที่ได้มาเยือนที่นี่พร้อมกับพี่ปืน และครั้งที่สองเมื่อหลายวัน ส่วนครั้งนี้ผมอาจหาญมาคนเดียวเพราะอยากบันทึกภาพจำที่สวยของที่นี่ไว้ก่อนที่จะต้องกลับไปหลังเสร็จสิ้นการทำค่าย
“พี่ปืนปากนรก”
“รก รก รก รก ”
“ไอ้แรกรักคุด”
“คุด คุด คุด คุด ผมหลับตานิ่งนึกถึงภาพวันนั้นที่เรามาตะโกนผาด้วยกัน
“แต่ถ้ากูชนะ กูขอให้มึงไปตะโกนผากับกูอีกครั้ง” ผมมาแล้ว....แล้วพี่ล่ะตอนนี้ไปอยู่ที่ไหนวะ!!
“ผมชอบพี่ปืน ได้ยินมั้ย”
“มั้ย มั้ย มั้ย”
ผมป้องปากตะโกนคำๆ นั้นออกไป ผมยอมรับแล้วจริงๆ ว่าชอบผู้ชายปากร้ายคนนั้นเข้าให้แล้วจากใจจริง
“ผมชอบพี่ปืน ได้ยินมั้ย”
“มั้ย มั้ย มั้ย”
“ผมชอบพี่ปืน ได้ยินมั้ย”
.
.
“ได้ยิน” ผมลืมตาสะดุ้งโหยงก่อนจะหันหลังกลับไปแล้วรู้สึกว่าเนื้อตัวชาวาบ หัวใจที่ร้อนรนกลับสั่นระรัวเมื่อคนที่อยู่ตรงหน้าคือคนที่ผมเพิ่งตะโกนออกไปปาวๆ ว่าชอบเขา
“พี่ปืน”
ร่างสูงของพี่ปืนค่อยๆ ก้าวมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า
“พูดจริงเหรอ?”
“ผมพูดอะไร”
ผมหรุบตามองพื้น
“พูดให้กูได้ยินอีกครั้งได้มั้ย”
“ไม่ได้ยินก็แล้วไป”
ผมเบ้ปากก่อนจะเดินหลบไปอีกทาง แต่แค่ขยับตัวอีกฝ่ายก็ตวัดเอาเข้ามาในอ้อมแขนแล้วกอดผมแนบอก เสียงหัวใจของพี่ปืนสั่นระรัวไม่ต่างจากของผมเลย
ผมพยายามขยับตัวหนีแต่อีกฝ่ายกดใบหน้าผมให้แนบไปกับแผ่นอกของอีกฝ่าย เสียงทุ้มของพี่ปืนค่อยๆ เอ่ยขึ้นมาอย่างช้าๆ
“วันนี้กูลงไปเจอติดต่อรถทัวร์นำเที่ยวของพรุ่งนี้มา”
“.....”
“แต่เพื่อนพี่บอกว่าพี่ลงไปหาแฟนเก่า”
พี่ปืนถอนหายใจแรงๆ
“แค่บังเอิญหรอกอันนาเขามาเที่ยวกับครอบครัวที่นี่พอดี แล้วพอเขารู้ว่ากูมาทำค่ายเลยแวะมาเยี่ยม”
“ผมเชื่อใจพี่ได้มั้ย?”
พี่ปืนส่ายหน้าไปมาจนผมใจกระตุก
“กูไม่อยากให้มึงเชื่อใจ แต่อยากให้มึงเข้าใจก็พอ” “ผมไม่รู้”
พี่ปืนดันปลายคางผมขึ้นมาเพื่อเราสบตากันในระยะประชิด
“งั้นตอบคำถามกูสักข้อได้มั้ย”
ผมเม้มปากแน่นแต่ก็พยักหน้ารับ
“มึงรู้สึกยังไงกับกู”
ผมหรุบตามองพื้นอีกครั้งหนึ่ง
“แรก”
“......”
“น้องแรก”
“ผมชอบพี่ปืน” “อีกทีซิ?”
“ผมชอบพี่”
“อื้ม”
ริมฝีปากพี่ปืนตรงมาประทับริมฝีปากของผมทันที
“พี่ก็ชอบแรก” “อื้อ”
ผมใจง่ายใช่มั้ย
ผมเชื่อคนง่ายไปรึเปล่า
ผมยืนนิ่งปล่อยให้อีกฝ่ายกอดจูบอย่างแนบแน่น อ้อมแขนของพี่ปืนโอบรัดร่างผมจนแน่น ริมฝีปากหนาเม้มริมฝีปากผมเบาๆ จนกระทั่งผมยอมแพ้แล้วเปิดปากให้อีกฝ่ายได้สอดปลายลิ้นเข้ามาบดคลึงตั้งแต่ขอบปากเรื่อยไปจนถึงปลายลิ้น
พี่ปืนดันให้ผมขยับถอยหลังไปเรื่อยๆ จนแผ่นหลังผมไปชนกับต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์นั่น ริมฝีปากของพี่ปืนก็ยังไม่ถอยห่างไปจากผมสักที เราจูบกันอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งแสงของพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไป
จูบแรกของผมเป็นของพี่ปืน
จูบแรกของผม ณ ลานดาวแงๆๆๆ เขาจูบกันแล้ว แล่วๆๆๆๆๆ อนุญาตให้จิกหมอนจนกว่าจะขาด ฮี่ๆๆๆ
หวีดในทวิต #ค่ายสร้างรัก และ #ทีมเมียพี่ปืน