ตอนที่ 3
เป็นคนตลกไม่ใช่ตัวตลก
นิเทศแฟร์วันที่สองเริ่มต้นขึ้น
เหมือนอะไรๆ ที่คิดว่าจะดีกว่าเดิมกลับวุ่นวายเป็นเท่าตัวเมื่อเพื่อนรักอย่างไอ้ค่ายและไอ้โบนผนึกกำลังเสนอโปรโมชั่นเรียกเงินเข้าบูท แน่นอนว่า ‘ชายฉะกัน’ ย่อมไม่ทำให้สาวๆ ผิดหวัง ซื้อครบสองร้อยเมื่อไหร่รับสิทธิพิเศษหอมแก้มฟรีหนึ่งครั้ง
แล้วคนเหี้ยอะไรจะแดกไส้กรอกตั้งสองร้อยวะ ประสาท
“พี่เติร์ดคะ ขอไส้กรอกสองร้อยค่ะ”
“หา!”
“น้องเติร์ดลูก ไอ้กรอกสองร้อยจ้า”
“ที่รักขา ไส้กรอกหกร้อย พอดีมาสามคน”
ไอ้ฉิบหาย! ลงทุนกันขนาดนี้ถือได้ว่าแผนการตลาดบ้าๆ นี่ได้ผลอย่างดีเยี่ยม เกิดมาไม่เคยซื้อไส้กรอกต้นทุนยี่สิบบาทในราคาสองร้อยสักที เป็นบุญไอ้เติร์ดแล้วที่ได้ทำเรื่องยิ่งใหญ่ แถมยังมีส่วนร่วมทุกส่วนไม่ว่าจะย่าง ขาย ทอนเงิน กูทำเองหมด ส่วนไอ้สามตัวที่เหลือก็ปล่อยให้มันเต้นเป็นโคโยตี้เรียกแขกกันไป
บันเทิงเริงใจฉิบหายเลยครับกู
“พี่ค่ายหอมแก้มทีนะคะ” น้องผู้หญิงน่ารักคนหนึ่งพูดเสียงหวาน สายตากับน้ำเสียงนั้นมันทำให้เคลิ้มเหมือนอยู่ในฝันเลยจริงๆ
นี่ไม่ใช่เหยื่อรายแรกของไอ้ค่าย แต่เป็นคนที่เท่าไหร่ไม่รู้ที่มันกำลังเซอร์วิสอยู่ ได้หมดทั้งแก้มซ้ายแก้มขวา ขอเบอร์หรือไลน์มันทำหมด เหลืออย่างเดียวคือพากันไปที่ห้องซึ่งไม่แน่ว่าคืนนี้อาจจะมี
ผมไม่เห็นว่าเราจะเสียประโยชน์ตรงไหนนอกจากได้กับได้ เงินก็มี เบอร์หญิงก็ได้มาครอบครอง บรรลุแล้วล่ะครับงานนี้
“ข้างไหนครับ”
“สองข้างได้มั้ยคะ ขอถ่ายเซลฟี่ด้วย”
“อ่ะจัดมา”
ไอ้ค่ายคือบิดาแห่งการอ่อยทุกสถาบัน มันไม่ได้อ่อยแค่ผมหรอกครับ แต่มันทำกับทุกคนไม่เลือกหน้า แค่ช่วงหลังนี้มาลงที่ผมหนักไปหน่อย แล้วเป็นไง คนอย่างไอ้เติร์ดก็เจ็บอีกตามเคย ได้แต่เก็บเกี่ยวกับความสุขในตอนนั้นมาเป็นกำลังใจในการแอบชอบ ทั้งที่ไม่รู้ว่าสิ่งไหนกันแน่ที่เป็นความจริงกับความฝัน
“ไอ้เติร์ดใกล้ยังวะ ลูกค้าต่อคิวยาวมาก” ไอ้ทูหันมาถามผม แต่สีหน้าก็ระริกระรี้กับสาวๆ ที่กำลังยกนมเบียดแขนแม่งอยู่ พอกันทั้งแก๊ง จะมีก็แต่ไอ้โบนเนี่ยแหละที่เห็นใจเดินเข้ามาช่วย
“ขอบใจมึงมากเลยว่ะ”
“อืม ชิ้นนี้สุกยัง”
“ยัง อีกนิดนึง”
“ทำยังไงให้สุกเร็วๆ วะ กูจะเอาไปให้น้องคนนั้น แม่งเอ็กซ์ฉิบหายเลยโว้ย”
“...” โอ้โห! กูก็นึกว่ามึงมีน้ำใจไอ้สัด
เอาที่มึงทั้งสามสบายใจเลยนะ ไอ้เติร์ดไม่ขัดศรัทธาเพราะงานนี้กูเป็นขี้ข้าให้แบบไม่หวังทุนคืน เนื่องจากใครมาขอถ่ายรูปขอหอมผมก็ปัดปฏิเสธหมด ไม่ได้ฟรีกับทุกเรื่องเพื่อเงินขนาดนั้น
ร้านไส้กรอก ‘ชายฉะกัน’ ของเราขายดีมาก ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงของก็หมด เป็นอันยุติสงครามการหากำไรภายในคณะเพียงเท่านี้ จะรอสรุปผลอีกทีก็พรุ่งนี้ถึงจะได้รู้ผู้ชนะ ดังนั้นผมกับเพื่อนจึงรีบเก็บของทั้งหมดให้เสร็จ ก่อนไอ้ทูจะดึงตัวผมแยกออกมาเพื่อพูดคุยอะไรบางอย่าง
“กูว่าจะคุยกับมึงหลายทีละ”
“มีไร”
“ช่วงนี้กูว่ามีบางอย่างมันแปลกๆ ว่ะ”
“ยังไง”
“เหมือนไอ้ค่ายกับไอ้โบนมีความลับอะไรสักอย่างที่ไม่ได้บอกเรา มึงลองจับตาดูแล้วกัน”
“ความลับอะไร ทำไมกูไม่เคยสังเกตเห็นอะไรแปลกๆ ของมึงสักที”
“กูก็ไม่แน่ใจ ช่วงหลังมานี้มันชอบปรึกษาห่าอะไรกันไม่รู้ บางวันก็โทรมากระซิบกระซาบทำตัวลับลมคมใน นี่กูเพิ่งรู้ตอนไปนั่งเล่นที่ห้องมันเมื่อคืนเนี่ยแหละ” ผมเริ่มขมวดคิ้ว ไม่รู้เป็นเพราะการหยอดของไอ้ค่ายที่มีมากขึ้นหรือเปล่า แต่สุดท้ายก็เลือกไม่พูดออกไป
“ยังไงมึงช่วยดูอีกแรงแล้วกัน ส่วนกูจะหลอกถามไอ้ค่ายอีกที บางทีอาจเป็นเรื่องผู้หญิงที่มันหวังฟัน”
“เอาตามนั้น”
“โอเค” พูดจบคนตรงหน้าก็ยกกล้อง DSLR ที่คล้องคออยู่ขึ้นมาจ่อที่ดวงตาอย่างรวดเร็ว
“จะถ่ายกูเหรอ”
“ใครมันจะอยากถ่ายวะ มึงบังนมน้องเขา ไปไกลๆ”
“ขอให้มึงชวดไอ้ควาย”
“เดี๋ยวมันจะเข้าตัวเอง หลบไป”
ผมได้แต่ถอนหายใจและเดินออกมาจากโฟกัสของเพื่อนรัก บางทีกูก็สงสัยนะครับว่าถ้าให้เลือกระหว่างผมกับผู้หญิงนมใหญ่พวกมันสามตัวจะเลือกอะไร แต่ในใจเกรงว่ามันจะเลือกผู้หญิงกันทั้งหมดมากกว่า
ผมยืนเคว้งมองบรรยากาศของงานนิเทศฯ ได้ไม่นาน ร่างสูงของใครคนหนึ่งก็ถลาเข้ามาเกี่ยวคอพร้อมกับเอ่ยชวนให้ไปทำอะไรสักอย่างด้วยประโยคขี้เล่นของมัน
“เติร์ดจ๋า ดูหนังกลางแปลงกันมั้ยครับ”
“เชี่ย ขนลุกว่ะ เรียกชื่อกูดีๆ ก็ได้มั้ง”
“ให้เรียกไร ไอ้สัดเหมือนเดิมมั้ย”
“ปากดีฉิบหายเลย ว่าแต่หนังเรื่องอะไรล่ะ”
“แฟนฉัน โอ้เย...โอ้เยโอ้ๆ เย” แค่ได้ฟังเสียงฮัมเพลงจากลำคอของคุณชายขุนพล ผมก็คิดถึงบรรยากาศที่ตัวเองปั่นจักรยานเล่นตามหมู่บ้านทันที และคงไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมต้องปฏิเสธ ไม่ใช่เพราะอยากรำลึกความทรงจำในวัยเด็กหรอก แต่นี่จะทำให้ผมได้ใช้เวลาอยู่กับไอ้ค่ายมากขึ้นต่างหาก
“สองตัวนั่นล่ะ”
“เหี้ยทูถ่ายรูป ส่วนไอ้โบนกำลังสนุกกับการปาบอลซุ้มสาวน้อยตกน้ำอยู่ มึงไม่ต้องไปสนใจมันหรอก มากับกูนี่ดีกว่า” มือหนาคว้าข้อมือของผมแน่น ก่อนจะพาเดินไปยังฝั่งตรงข้ามของเวทีการแสดง ซึ่งบริเวณนี้มีการขึงจอสีขาวขึ้นมา พร้อมกับปูเสื่อแบบบ้านๆ เพื่อให้ชาวนิเทศฯ และนิสิตได้มานั่งดูหนังกัน
“ต้องซื้อตั๋วมั้ยวะ” ผมถาม คนข้างๆ เลยส่ายหน้าไปมา
“ไม่ต้อง แต่ต้องเล่นเกมเพื่อรับบัตรเข้าชมฟรี” พูดแค่นั้นมันก็ลากผมให้เดินไปยังโต๊ะเล็กๆ ด้านข้างที่มีทีมงานยืนประจำอยู่ รุ่นพี่ปีสี่ส่งยิ้มมาให้ก่อนจะทักทายพวกเราอย่างสนิทสนม พร้อมกับแนะนำวิธีการเล่นเกมเพื่อแลกตั๋วเข้าชม และชิงของรางวัลไก่กาอาราเล่
“เป็นเด็กฟิล์ม คำถามยากหน่อยน้า”
“เบย์ๆ”
“บอกชื่อหนังไทยที่เข้าฉายในปี 2546 โดยห้ามบอกชื่อแฟนฉัน” เหยดแหม่มึงเอ๊ย ปีนั้นหนังดังมีไม่กี่เรื่องหรอก ยังมาลิดรอนสิทธิ์ในการตอบของคนดูอีก
“กุมภาพันธ์มะ?”
“ถูก” ไอ้ค่ายพูดจบ รุ่นพี่ก็ยื่นบัตรหนังให้กับมันในทันที
“คิดเหมือนกูไอ้สัด”
“ว้ายยยยย ก็มึงช้าเอง” ผมได้แต่ทำหน้าเอือมระอา กรอกตายืนระลึกชาติไปอีกพักหนึ่งถึงค่อยตอบ
“Sexphone”
“ขอชื่อเต็มค่ะ” ใครมันจะไปจำได้วะ ตั้งแต่เรียนรู้ที่จะดูหนัง ผมเสพหนังไทยน้อยมากซึ่งไอ้เพื่อนรักที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็คงรู้ดีเมื่อเห็นท่าทีอึกอัก จึงอาสาตอบให้อย่างภูมิใจ
“Sexphone คลื่นเหงา สาวหน้าบ้าน”
“สาวข้างบ้านค่ะน้องค่าย”
“เชี่ยเอ๊ยยยยยยยยยยยย”
หมดกันที่กูคาดหวังในตัวมึง ปล่อยให้รุ่นพี่แม่งหัวเราะจนสะใจถึงได้ยื่นบัตรหนังอีกใบให้กับผม ก่อนเราจะเริ่มกิจกรรมชิงรางวัลตามคำเชื่อเชิญของพี่ปีสี่
“รับกระดาษไปคนละใบแล้วเขียนคำตอบลงในนั้นค่ะ เนื่องจากวันนี้เราฉายหนังรักเลยอยากให้น้องเขียนชื่อหนังรักในดวงใจของตัวเองมาหนึ่งเรื่อง แล้วส่งกลับมาให้พี่ หนังฉายจบเมื่อไหร่เรามีรางวัลสำหรับคนที่ตอบชื่อหนังเหมือนกันด้วยน้า อย่าลอกกันล่ะ”
ก็ไม่ได้อยากได้เท่าไหร่หรอกไอ้รางวัลเนี่ย แถมไม่เซียนแนวนี้ซะด้วยเพราะดูน้อย ดังนั้นผมแทบไม่ต้องคิดด้วยซ้ำว่าจะเขียนชื่อหนังรักอะไรลงไป ไอ้ค่ายเองก็เหมือนกัน หลังจากเขียนเสร็จเราทั้งคู่ก็มานั่งอยู่ด้านหน้าเพื่อรอการฉายหนังในวัยเด็กของเรา
“มึงเขียนเรื่องอะไร”
“กูเหรอ ทำไมกูต้องบอกมึงด้วยวะ”
“กูเขียนเรื่อง one day แล้วมึงล่ะ” คนตัวสูงพูดความในใจออกมา แต่ผมเองก็ไม่คิดว่าคนอย่างมันจะชอบอะไรแบบนี้ เอาจริงตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมาสามปีใช่จะไม่รู้เลยว่ามันเป็นคนยังไง และ...ชอบอะไร
“มึงอย่ามาตอแหล กูรู้หรอกมึงไม่ได้เขียนเรื่องนี้”
“ฉลาดเป็นกรด ให้กูทายมึงมั้ย”
“ไม่ต้อง กูชอบ Love, Rosie”
“โรแมนติกมากครับเพื่อน เชื่อตายแหละ”
“หนังฉายแล้ว”
ผมรีบตัดปัญหาด้วยการบุ้ยปากไปยังจอขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ข้างกายเรารายล้อมไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาที่ต่างพากันมาย้อนรำลึกวันเก่าๆ ไปด้วยกัน วันที่ผมได้รู้จักเจี๊ยบกับน้อยหน่า ก่อนหน้าจะรู้จักกับไอ้ค่ายตั้งหลายสิบปี
“เจี๊ยบตัดยางเราทำไม” ผมพูดติดตลก
“ยังไม่ตัดไอ้สัด”
“แล้วมึงเสือกอะไร”
เราเป็นแบบนี้เสมอ ตีกันบ้าง เถียงกันบ้าง ทะเลาะกันบ้างแต่ไม่เคยนาน ไอ้ค่ายเป็นเพื่อนสนิทของผม เราสนิทกันจนรู้สึกกลัวว่าถ้าเผลอบอกความในใจกับอีกฝ่ายออกไป ทุกอย่างก็จะไม่เหมือนเดิม นั่นเท่ากับว่า...ผมคงเสียมันไปแล้ว
ซึ่งแม่งคงเป็นเรื่องที่ทำใจไม่ได้เลย
แฟนฉันเล่าเรื่องราวของเด็กชายและเด็กหญิงข้างบ้านที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก โดยที่บ้านของทั้งคู่ห่างกันเพียงคูหาเดียว เรานั่งดูกันอย่างเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกนอกจากจดจ่ออยู่กับหน้าจอของหนังเก่าที่สีฟิล์มเองก็ผิดเพี้ยนไปตามเวลาที่หนังถ่ายทำ
จนกระทั่งฉากไคลแม็กซ์ซึ่งอยู่เกือบตอนจบของเรื่องมาถึง ผมจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่ดูหนังเรื่องนี้คือเมื่อไหร่ แต่มันคงนานมาแล้ว เมื่อก่อนตอนเพิ่งมาเรียนฟิล์มแรกๆ ผมย้อนดูบ่อยมากนับสิบครั้งแต่ก็ไม่ชินกับฉากนี้สักที
ฉากที่เจี๊ยบวิ่งตามรถของน้อยหน่าเพื่อคืนยาง...
“ขี้แยจังวะ”
“อะไร” ผมหันไปเผชิญกับใบหน้าเจ้าเล่ห์ ก่อนจะพบว่ามันกำลังยิ้มสนุกใส่อยู่
“ร้องไห้”
“ประสาทเหรอ ฝุ่นเข้าตา”
“โอ๋ๆ เพื่อนผมฝุ่นเข้าตาเลยร้องไห้ ไหนมาให้กูดูฝุ่นหน่อยเร๊ว”
“เสือกกูจัง”
ผมดันหัวของมันออกห่างก่อนจะยกแขนเสื้อขึ้นมาปาดน้ำตาออกจากแก้ม แม่งน่าอายฉิบหาย แต่พอหันไปดูข้างหลังผมก็พบว่าคนดูส่วนใหญ่ก็มีความรู้สึกไม่ต่างกัน จะมีตายด้านก็เพื่อนกูเนี่ยแหละที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ โคตรโรคจิตฉิบหายเลยครับ
“ถ้ามึงเป็นเจี๊ยบมึงจะทำยังไง หมายถึง...ถ้าวันนึงมึงได้รับการ์ดแต่งงานจากน้อยหน่า” คำถามนี้ดูมีสาระที่สุดแล้วตั้งแต่นั่งดูกับไอ้ตัวเหี้ยนี่มา
“กูคง...ปล่อยให้เขาได้เจอคนดีๆ ส่วนตัวเองก็จะยินดีอยู่ตรงนี้”
“โคตรพระเอก”
“แล้วมึงอ่ะ”
“กูเหรอ กูจะล่มงานแต่ง”
“ประสาท”
“ฮ่าๆ กูทำจริงนะเว้ย”
“เออ รู้หรอก” อะไรที่ไอ้ค่ายอยากได้มันต้องได้ เชี่ยนี่เกิดมาเพื่อเกลียดคำว่าพ่ายแพ้ เหมือนตัวร้ายในละครภายใต้หน้ากากหล่อสัดของมัน เพราะฉะนั้นไม่ต้องสงสัยว่าทำไมมันถึงโกรธและรู้สึกเสียหน้ามากที่ผู้หญิงที่กำลังคุยอยู่เปลี่ยนใจไปชอบคนอื่น
กับเพื่อนก็คงเหมือนกัน ไอ้ค่าย...เป็นคนหวงเพื่อน
หลังจากหนังจบลงและเอนเครดิตเริ่มปรากฏขึ้นบนหน้าจอ พิธีกรก็เดินขึ้นมาบนเวทีพร้อมกับไมค์หนึ่งตัว ต่างคนต่างลุ้นเพราะรู้ดีว่านี่คือช่วงประกาศรางวัลที่ทุกคนเฝ้ารอ
“เอาล่ะค่ะคงถึงเวลาที่เราจะประกาศผู้ชนะในการเล่นเกมส์ก่อนฉายหนังแล้ว ผู้ชนะจะได้รับบัตรดูละครเวทีนิเทศฯ ปีนี้ฟรีสองใบ เย่ๆ”
“ดีใจตรงไหน” ผมหันไปมองคนตัวสูงข้างๆ ซึ่งกำลังถอนหายใจเหมือนกัน
คือมึง...ได้หรือไม่ได้รางวัลเกี่ยวอะไร ในเมื่อปีนี้เราเป็นคนทำละคร มึงจะให้กูวิ่งมาดูที่หน้าเวทีหรือไงวะสาดดดดดดด
“มีเพียงสองคนเท่านั้นที่เขียนชื่อหนังรักในดวงใจได้ตรงกัน คนแรกก็คือ แท่มแทมแท๊มมมมมม น้องเตชภณ นิเทศศาสตร์ปีสามค่า”
“วิ้ดวิ้วววววววว”
“ขึ้นมารับรางวัลได้เลยค่ะ”
“รีบขึ้นไปดิ” ไอ้ค่ายพยักเพยิดให้ผมลุกขึ้นยืน ก่อนจะขึ้นไปบนเวทีท่ามกลางเสียงปรบมือและการจับตามองของนิสิตหลายคณะ
“แนะนำตัวสั้นๆ หน่อยค่ะ” พิธีกรยื่นไมค์มาถามผม
“สวัสดีครับ ชื่อเติร์ดครับ”
“น้องเติร์ดพอจะเดาได้มั้ยว่าอีกคนที่ตอบเหมือนเราเป็นใคร”
“เอ่อ...” ผมกวาดตามองลงไปด้านล่างเวที คนเป็นร้อยขนาดนี้กูจะไปรู้ได้ยังไงว่าเป็นใคร แถมไอ้หน้ากวนบาทาที่นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างล่างยังเอาแต่ขยับปากพูดคำว่า ‘one day’ ไม่หยุด
หรือแม่งจะตอบว่าวันเดย์จริงวะ ถ้าอย่างนั้นมันก็เลือกไม่ตรงกับผมอ่ะดิ
“ไม่รู้เหมือนกันครับ” ไม่อยากคิดแล้ว ปวดหัว รีบเฉลยมาดีกว่า
“งั้นเราจะประกาศผู้โชคดีอีกคนนะคะ ผู้โชคดีคือน้องขุนพล นิเทศศาสตร์ปีสามเช่นกันค่า”
“กรี๊ดดดดดดดดด”
ไอ้เหี้ย! เขียนเหมือนกันทำไมไม่บอก ลอกกูแน่ๆ
ผมมองดูร่างสูงในชุดนิสิตที่ไม่มีส่วนถูกระเบียบเลยแม้แต่ส่วนเดียวกำลังเดินขึ้นมาบนเวที ผู้หญิงก็กรี๊ดให้มันยกใหญ่เพราะความฮอตและทรงผมน่ากระทืบของมัน ทันทีที่เจ้าตัวเดินขึ้นมายืนประชิดกับผม เขาก็ส่งไมค์อีกตัวให้ไอ้ค่ายอย่างรวดเร็ว
“ไม่ต้องแนะนำตัวก็คงรู้เนาะ น้องค่ายเขียนหนังเรื่องอะไรลงไปคะ”
“ผมเขียน Flipped ครับ” เจ้าตัวจ้องหน้าผมยิ้มๆ แต่กูเนี่ยแหละที่ไม่อยากพูดอะไรนอกจากยืนใจเต้นอยู่ตรงนี้
“ถามทั้งสองคนบ้างดีกว่า ทำไมถึงเลือกหนังเรื่องนี้”
“ผมชอบการเล่าความสัมพันธ์และความรู้สึกของคนสองคน แรกเริ่มต่างคนต่างคิดไม่เหมือนกัน”
“แต่สุดท้ายเขาก็ใจตรงกัน” ประโยคนี้ไอ้ค่ายเสริมต่อ
“ผมชอบเพลงด้วยครับ Let it be me”
“แต่ท่อนที่ร้องIf you must cling to someone, Now and forever, Let it be me ซึ่งมันแปลว่า ถ้าเธอต้องการมั่นใจในใครสักคนในตอนนี้และตลอดไป ก็ขอให้เป็นฉันเถอะ...ซึ่งผมว่ามันน้ำเน่าอยู่นิดหน่อย” เราต่างพูดสลับกันไปมาเหมือนเป็นการเติมประโยคให้สมบูรณ์ แต่มันก็ค่อนข้างเละเทะ เพราะแต่ละประโยคของไอ้ค่ายแม่งย้อนแย้งกับผมทุกอย่าง
“ผมชอบความคิดของนางเอกด้วย ตอนแรกเขาชอบพระเอกฝ่ายเดียว”
“สุดท้ายพระเอกก็ตามจีบนางเอก”
“มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้นมั้ย” ผมถามมัน ลืมไปด้วยซ้ำว่าเราไม่ได้อยู่กันสองคน ลืมไปเลยว่าเรากำลังยืนอยู่บนเวทีท่ามกลางสายตาของคนมากมายแต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังพูดต่อ
“มีอีกหลายฉากที่ชอบ อย่างซีนนางเอกเอาไข่ไก่ไปให้พระเอกที่บ้าน”
“โคตรเชยเลย”
“จริงๆ มันก็เป็นหนังรักธรรมดา แต่ไม่ธรรมดา”
“มันคือหนังธรรมดา”
“นักแสดงทำได้ดี”
“ตามมาตรฐานนักแสดงฮอลลีวูดน่ะครับ”
“ถึงแม้จะมีจุดบกพร่องบ้าง แต่ถ้าใช้ความรู้สึกวัดแทนความคิดทางวิชาการ ยังไงผมก็ชอบหนังเรื่องนี้”
“ในทางวิชาการผมว่ายังมีหลายจุดที่ไม่โอเคอยู่ แต่ถ้าในความรู้สึก”
“...”
“อืม...ชอบเหมือนกัน”
นี่เป็นครั้งแรกที่ไอ้ค่ายตอบตรงกับผม เพราะไม่ว่าเราจะคิดไม่เหมือนกันยังไง สุดท้าย...เราก็ยังตอบเรื่องเดียวกันอยู่ดี แม้ผมจะรู้อยู่เต็มอกว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดอย่างนั้น
“กูว่าความจริงมึงไม่ได้ชอบหนังเรื่องนี้”
“ก็รู้หนิ” ใช่ เพราะปกติไอ้ค่ายไม่ชอบดูหนังรักโรแมนติก แถมชีวิตมันยังโชกโชนล้ำหน้าหนังไปเยอะมาก แต่ผมก็ยังสงสัยว่าทำไมมันถึงยังตอบเรื่องนี้อยู่
“แล้วมึงตอบ flipped ทำไมวะ กลัวไม่ได้รางวัลเหรอ”
“รางวัลที่ได้คงน่าสนใจมากสินะ กูรู้หรอกว่ามึงชอบเรื่องนี้ เพราะเห็นมึงชอบ...”
“...”
“กูเลยอยากตอบเหมือนมึง” “โบน มึงรีบเปิดดิ กูรอจนรากงอกแล้วเห็นมั้ย”
“ใจเย็นสัด มึงดูวันนี้หรือพรุ่งนี้ผลมันก็ไม่เปลี่ยนหรอก”
“เปลี่ยนดิ รู้ผลวันนี้แดกเหล้าวันนี้ รู้ผลพรุ่งนี้กูไปไม่ได้”
“ทำไม”
“เลี้ยงสาวหมด”
“ไอ้นรก”
บทสนทนาระหว่างไอ้ทูกับไอ้โบนดังเข้าหูแว่วๆ ผมเลยรีบล้างจานตรงซิงก์น้ำให้หมดก่อนจะปราดมานั่งข้างพวกมันเพื่อดูรายชื่อร้านที่ทำเงินสูงสุดห้าร้านแรกหลังจบนิเทศแฟร์ไปหมาดๆ
คณะกรรมการสโมสรจะนำรายชื่อขึ้นแฟนเพจคณะในช่วงสองทุ่ม ดังนั้นเราทุกคนเลยตื่นเต้นว่าจะได้เป็นหนึ่งในห้านั้นหรือเปล่า จะมีก็แต่ไอ้ค่ายนี่แหละที่มัวแต่แต่งตัวอวดหล่อ พ่นน้ำหอมจนฉุนอย่างอารมณ์ดีอยู่คนเดียว
“มึงไม่มานั่งดูผลวะเชี่ยค่าย”
“ดูทำไม ยังไงก็ได้อยู่แล้ว นี่กูแต่งตัวรอเลยนะเนี่ย” พูดจบมันก็ยืนผิวปากอย่างมีความสุข เชี่ยนี่ความมั่นใจล้นเหลือมากครับ บางทีก็อยากให้เหลือเผื่อแผ่มาถึงเกรดที่มันควรได้ตอนสิ้นเทอมด้วย โคตรโง่
“เลิกสนใจมันเถอะ กูจะเปิดแล้วนะ ไอ้โบนสะกิดไหล่ผมยิกๆ มือข้างขวาเลื่อนเม้ากดไปยังหน้าแฟนเพจของคณะ ในวินาทีนั้นเองข้อความที่ปักหมุดเอาไว้บนสุดก็ปรากฏในม่านสายตา
ผ่าง!!
“อันดับหนึ่งซุ้มสาวน้อยตกน้ำ อันดับสองสอยดาวหาคู่”
“มึงจะอ่านทำเพื่อ นี่ไงชื่อของพวกเรา”
“ชอบบบบบบบบบ”
“ชายฉะกัน ไส้กรอกยาวใหญ่ ชื่อแม่งทุเรศฉิบหาย!”
“กูชอบนะ”
“คิดว่ามันตลกเหรอ”
“เอาน่า ชนะแล้วไง ชื่อเหี้ยไรก็ไม่มีผลกับชีวิตกู” ไอ้ทูตบบ่าผมพลางยิ้มแหย กูรู้หรอกในใจมึงคงรู้สึกไม่ต่างกัน เป็นถึงหนุ่มฮอตของนิเทศฯ ปกติเวลาใครพูดชื่อแก๊งโหดจะนึกถึงหน้าหล่อๆ ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้วครับ
นึกถึงพวกกู...นึกถึงไส้กรอกยาวใหญ่
และก็เป็นไปตามคาด รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายของร้านชายฉะกันในงานนิเทศแฟร์ตลอดสองวันอยู่ในอันดับที่สี่ ซึ่งก็ต้องกราบไอเดียการเปลืองเนื้อเปลืองตัวของไอ้ค่าย ที่ลำพังแค่ขายไส้กรอกก็คงไม่ได้เงินมากขนาดนี้ เพราะฉะนั้นเย็นนี้เราเลยนัดกันไปฉลองความสำเร็จที่ร้านบุฟเฟ่ต์อาหารญี่ปุ่นชื่อดัง แล้วต่อด้วยการกระดกแอลกอฮอล์เข้าสายเลือดตามสเต็ป
อ่านต่อด้านล่างค่ะ