ทฤษฎีจีบเธอ ∞ THE END
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ทฤษฎีจีบเธอ ∞ THE END  (อ่าน 2134365 ครั้ง)

ออฟไลน์ ป้ากิ่งkingkarn

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
จริงๆไม่อยากเชียร์เลยนะ ไม่ชอบคนโง่ ขี้เกียจสงสารคนแอบรัก
แต่เติร์ดน่ารักมากๆๆๆๆๆๆๆๆ เติร์ดสู้ๆจ้า55555555 :กอด1:

ออฟไลน์ เมียงู

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ค่ายหยอดเติร์ดบ่อยนะ คิดจริงป่ะเนี่ย

ออฟไลน์ A_Narciso

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 879
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
จริงๆค่ายอาจจะชอบเติร์ดอยู่บ้าง  แต่ไม่อยากล้ำเส้นความเป็นเพื่อนไรงี้ป่าว..

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ตกลงค่ายมันอ่อยเติร์ดจริงๆหรืออ่อยเล่นๆล่ะเนี่ย

ออฟไลน์ kosmos

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 237
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
อิค่ายนี่ยังไงงงงง ชอบเขาเหมือนกันแต่กลัวเขาไม่ชอบเหรอ

ออฟไลน์ somberness

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-0
อ่อยคอมโบขนาดนี้จะตัดใจไงเนี่ย o12 o12

ออฟไลน์ nutty

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-3
โถ อิเพื่อนปากหวาน

ออฟไลน์ Vivin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :-[ :-[ โอ๊ยยยยยยย นางค่ายยยยยยยยยยยยฉันไม่รู้จะสันหาคำไหนมาบรรยาย

    สนุกมากเลยนะคะ รีบมาต่อเร็วๆนะ จุ๊บๆ

ออฟไลน์ Jittirain12

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 353
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1238/-18
ตอนที่ 3
เป็นคนตลกไม่ใช่ตัวตลก



   นิเทศแฟร์วันที่สองเริ่มต้นขึ้น

   เหมือนอะไรๆ ที่คิดว่าจะดีกว่าเดิมกลับวุ่นวายเป็นเท่าตัวเมื่อเพื่อนรักอย่างไอ้ค่ายและไอ้โบนผนึกกำลังเสนอโปรโมชั่นเรียกเงินเข้าบูท แน่นอนว่า ‘ชายฉะกัน’ ย่อมไม่ทำให้สาวๆ ผิดหวัง ซื้อครบสองร้อยเมื่อไหร่รับสิทธิพิเศษหอมแก้มฟรีหนึ่งครั้ง

   แล้วคนเหี้ยอะไรจะแดกไส้กรอกตั้งสองร้อยวะ ประสาท

   “พี่เติร์ดคะ ขอไส้กรอกสองร้อยค่ะ”

   “หา!”

   “น้องเติร์ดลูก ไอ้กรอกสองร้อยจ้า”

   “ที่รักขา ไส้กรอกหกร้อย พอดีมาสามคน”

   ไอ้ฉิบหาย! ลงทุนกันขนาดนี้ถือได้ว่าแผนการตลาดบ้าๆ นี่ได้ผลอย่างดีเยี่ยม เกิดมาไม่เคยซื้อไส้กรอกต้นทุนยี่สิบบาทในราคาสองร้อยสักที เป็นบุญไอ้เติร์ดแล้วที่ได้ทำเรื่องยิ่งใหญ่ แถมยังมีส่วนร่วมทุกส่วนไม่ว่าจะย่าง ขาย ทอนเงิน กูทำเองหมด ส่วนไอ้สามตัวที่เหลือก็ปล่อยให้มันเต้นเป็นโคโยตี้เรียกแขกกันไป

   บันเทิงเริงใจฉิบหายเลยครับกู

   “พี่ค่ายหอมแก้มทีนะคะ” น้องผู้หญิงน่ารักคนหนึ่งพูดเสียงหวาน สายตากับน้ำเสียงนั้นมันทำให้เคลิ้มเหมือนอยู่ในฝันเลยจริงๆ

   นี่ไม่ใช่เหยื่อรายแรกของไอ้ค่าย แต่เป็นคนที่เท่าไหร่ไม่รู้ที่มันกำลังเซอร์วิสอยู่ ได้หมดทั้งแก้มซ้ายแก้มขวา ขอเบอร์หรือไลน์มันทำหมด เหลืออย่างเดียวคือพากันไปที่ห้องซึ่งไม่แน่ว่าคืนนี้อาจจะมี

   ผมไม่เห็นว่าเราจะเสียประโยชน์ตรงไหนนอกจากได้กับได้ เงินก็มี เบอร์หญิงก็ได้มาครอบครอง บรรลุแล้วล่ะครับงานนี้

   “ข้างไหนครับ”

   “สองข้างได้มั้ยคะ ขอถ่ายเซลฟี่ด้วย”

   “อ่ะจัดมา”

   ไอ้ค่ายคือบิดาแห่งการอ่อยทุกสถาบัน มันไม่ได้อ่อยแค่ผมหรอกครับ แต่มันทำกับทุกคนไม่เลือกหน้า แค่ช่วงหลังนี้มาลงที่ผมหนักไปหน่อย แล้วเป็นไง คนอย่างไอ้เติร์ดก็เจ็บอีกตามเคย ได้แต่เก็บเกี่ยวกับความสุขในตอนนั้นมาเป็นกำลังใจในการแอบชอบ ทั้งที่ไม่รู้ว่าสิ่งไหนกันแน่ที่เป็นความจริงกับความฝัน

   “ไอ้เติร์ดใกล้ยังวะ ลูกค้าต่อคิวยาวมาก” ไอ้ทูหันมาถามผม แต่สีหน้าก็ระริกระรี้กับสาวๆ ที่กำลังยกนมเบียดแขนแม่งอยู่ พอกันทั้งแก๊ง จะมีก็แต่ไอ้โบนเนี่ยแหละที่เห็นใจเดินเข้ามาช่วย

   “ขอบใจมึงมากเลยว่ะ”

   “อืม ชิ้นนี้สุกยัง”

“ยัง อีกนิดนึง”

“ทำยังไงให้สุกเร็วๆ วะ กูจะเอาไปให้น้องคนนั้น แม่งเอ็กซ์ฉิบหายเลยโว้ย”

   “...” โอ้โห! กูก็นึกว่ามึงมีน้ำใจไอ้สัด

เอาที่มึงทั้งสามสบายใจเลยนะ ไอ้เติร์ดไม่ขัดศรัทธาเพราะงานนี้กูเป็นขี้ข้าให้แบบไม่หวังทุนคืน เนื่องจากใครมาขอถ่ายรูปขอหอมผมก็ปัดปฏิเสธหมด ไม่ได้ฟรีกับทุกเรื่องเพื่อเงินขนาดนั้น

   ร้านไส้กรอก ‘ชายฉะกัน’ ของเราขายดีมาก ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงของก็หมด เป็นอันยุติสงครามการหากำไรภายในคณะเพียงเท่านี้ จะรอสรุปผลอีกทีก็พรุ่งนี้ถึงจะได้รู้ผู้ชนะ ดังนั้นผมกับเพื่อนจึงรีบเก็บของทั้งหมดให้เสร็จ ก่อนไอ้ทูจะดึงตัวผมแยกออกมาเพื่อพูดคุยอะไรบางอย่าง

   “กูว่าจะคุยกับมึงหลายทีละ”

“มีไร”

“ช่วงนี้กูว่ามีบางอย่างมันแปลกๆ ว่ะ”

   “ยังไง”

   “เหมือนไอ้ค่ายกับไอ้โบนมีความลับอะไรสักอย่างที่ไม่ได้บอกเรา มึงลองจับตาดูแล้วกัน”

   “ความลับอะไร ทำไมกูไม่เคยสังเกตเห็นอะไรแปลกๆ ของมึงสักที”

   “กูก็ไม่แน่ใจ ช่วงหลังมานี้มันชอบปรึกษาห่าอะไรกันไม่รู้ บางวันก็โทรมากระซิบกระซาบทำตัวลับลมคมใน นี่กูเพิ่งรู้ตอนไปนั่งเล่นที่ห้องมันเมื่อคืนเนี่ยแหละ” ผมเริ่มขมวดคิ้ว ไม่รู้เป็นเพราะการหยอดของไอ้ค่ายที่มีมากขึ้นหรือเปล่า แต่สุดท้ายก็เลือกไม่พูดออกไป

   “ยังไงมึงช่วยดูอีกแรงแล้วกัน ส่วนกูจะหลอกถามไอ้ค่ายอีกที บางทีอาจเป็นเรื่องผู้หญิงที่มันหวังฟัน”

   “เอาตามนั้น”

“โอเค” พูดจบคนตรงหน้าก็ยกกล้อง DSLR ที่คล้องคออยู่ขึ้นมาจ่อที่ดวงตาอย่างรวดเร็ว

“จะถ่ายกูเหรอ”

   “ใครมันจะอยากถ่ายวะ มึงบังนมน้องเขา ไปไกลๆ”

   “ขอให้มึงชวดไอ้ควาย”

   “เดี๋ยวมันจะเข้าตัวเอง หลบไป”

   ผมได้แต่ถอนหายใจและเดินออกมาจากโฟกัสของเพื่อนรัก บางทีกูก็สงสัยนะครับว่าถ้าให้เลือกระหว่างผมกับผู้หญิงนมใหญ่พวกมันสามตัวจะเลือกอะไร แต่ในใจเกรงว่ามันจะเลือกผู้หญิงกันทั้งหมดมากกว่า

   ผมยืนเคว้งมองบรรยากาศของงานนิเทศฯ ได้ไม่นาน ร่างสูงของใครคนหนึ่งก็ถลาเข้ามาเกี่ยวคอพร้อมกับเอ่ยชวนให้ไปทำอะไรสักอย่างด้วยประโยคขี้เล่นของมัน

   “เติร์ดจ๋า ดูหนังกลางแปลงกันมั้ยครับ”

   “เชี่ย ขนลุกว่ะ เรียกชื่อกูดีๆ ก็ได้มั้ง”

   “ให้เรียกไร ไอ้สัดเหมือนเดิมมั้ย”

   “ปากดีฉิบหายเลย ว่าแต่หนังเรื่องอะไรล่ะ”

   “แฟนฉัน โอ้เย...โอ้เยโอ้ๆ เย” แค่ได้ฟังเสียงฮัมเพลงจากลำคอของคุณชายขุนพล ผมก็คิดถึงบรรยากาศที่ตัวเองปั่นจักรยานเล่นตามหมู่บ้านทันที และคงไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมต้องปฏิเสธ ไม่ใช่เพราะอยากรำลึกความทรงจำในวัยเด็กหรอก แต่นี่จะทำให้ผมได้ใช้เวลาอยู่กับไอ้ค่ายมากขึ้นต่างหาก

   “สองตัวนั่นล่ะ”

   “เหี้ยทูถ่ายรูป ส่วนไอ้โบนกำลังสนุกกับการปาบอลซุ้มสาวน้อยตกน้ำอยู่ มึงไม่ต้องไปสนใจมันหรอก มากับกูนี่ดีกว่า” มือหนาคว้าข้อมือของผมแน่น ก่อนจะพาเดินไปยังฝั่งตรงข้ามของเวทีการแสดง ซึ่งบริเวณนี้มีการขึงจอสีขาวขึ้นมา พร้อมกับปูเสื่อแบบบ้านๆ เพื่อให้ชาวนิเทศฯ และนิสิตได้มานั่งดูหนังกัน

   “ต้องซื้อตั๋วมั้ยวะ” ผมถาม คนข้างๆ เลยส่ายหน้าไปมา

   “ไม่ต้อง แต่ต้องเล่นเกมเพื่อรับบัตรเข้าชมฟรี” พูดแค่นั้นมันก็ลากผมให้เดินไปยังโต๊ะเล็กๆ ด้านข้างที่มีทีมงานยืนประจำอยู่ รุ่นพี่ปีสี่ส่งยิ้มมาให้ก่อนจะทักทายพวกเราอย่างสนิทสนม พร้อมกับแนะนำวิธีการเล่นเกมเพื่อแลกตั๋วเข้าชม และชิงของรางวัลไก่กาอาราเล่

   “เป็นเด็กฟิล์ม คำถามยากหน่อยน้า”

   “เบย์ๆ”

   “บอกชื่อหนังไทยที่เข้าฉายในปี 2546 โดยห้ามบอกชื่อแฟนฉัน” เหยดแหม่มึงเอ๊ย ปีนั้นหนังดังมีไม่กี่เรื่องหรอก ยังมาลิดรอนสิทธิ์ในการตอบของคนดูอีก

   “กุมภาพันธ์มะ?”

   “ถูก” ไอ้ค่ายพูดจบ รุ่นพี่ก็ยื่นบัตรหนังให้กับมันในทันที

“คิดเหมือนกูไอ้สัด”

“ว้ายยยยย ก็มึงช้าเอง” ผมได้แต่ทำหน้าเอือมระอา กรอกตายืนระลึกชาติไปอีกพักหนึ่งถึงค่อยตอบ

“Sexphone”

“ขอชื่อเต็มค่ะ” ใครมันจะไปจำได้วะ ตั้งแต่เรียนรู้ที่จะดูหนัง ผมเสพหนังไทยน้อยมากซึ่งไอ้เพื่อนรักที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็คงรู้ดีเมื่อเห็นท่าทีอึกอัก จึงอาสาตอบให้อย่างภูมิใจ

“Sexphone คลื่นเหงา สาวหน้าบ้าน”

“สาวข้างบ้านค่ะน้องค่าย”

“เชี่ยเอ๊ยยยยยยยยยยยย”

หมดกันที่กูคาดหวังในตัวมึง ปล่อยให้รุ่นพี่แม่งหัวเราะจนสะใจถึงได้ยื่นบัตรหนังอีกใบให้กับผม ก่อนเราจะเริ่มกิจกรรมชิงรางวัลตามคำเชื่อเชิญของพี่ปีสี่

“รับกระดาษไปคนละใบแล้วเขียนคำตอบลงในนั้นค่ะ เนื่องจากวันนี้เราฉายหนังรักเลยอยากให้น้องเขียนชื่อหนังรักในดวงใจของตัวเองมาหนึ่งเรื่อง แล้วส่งกลับมาให้พี่ หนังฉายจบเมื่อไหร่เรามีรางวัลสำหรับคนที่ตอบชื่อหนังเหมือนกันด้วยน้า อย่าลอกกันล่ะ”

ก็ไม่ได้อยากได้เท่าไหร่หรอกไอ้รางวัลเนี่ย แถมไม่เซียนแนวนี้ซะด้วยเพราะดูน้อย ดังนั้นผมแทบไม่ต้องคิดด้วยซ้ำว่าจะเขียนชื่อหนังรักอะไรลงไป ไอ้ค่ายเองก็เหมือนกัน หลังจากเขียนเสร็จเราทั้งคู่ก็มานั่งอยู่ด้านหน้าเพื่อรอการฉายหนังในวัยเด็กของเรา

“มึงเขียนเรื่องอะไร”

“กูเหรอ ทำไมกูต้องบอกมึงด้วยวะ”

“กูเขียนเรื่อง one day แล้วมึงล่ะ” คนตัวสูงพูดความในใจออกมา แต่ผมเองก็ไม่คิดว่าคนอย่างมันจะชอบอะไรแบบนี้ เอาจริงตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมาสามปีใช่จะไม่รู้เลยว่ามันเป็นคนยังไง และ...ชอบอะไร

“มึงอย่ามาตอแหล กูรู้หรอกมึงไม่ได้เขียนเรื่องนี้”

“ฉลาดเป็นกรด ให้กูทายมึงมั้ย”

“ไม่ต้อง กูชอบ Love, Rosie”

“โรแมนติกมากครับเพื่อน เชื่อตายแหละ”

“หนังฉายแล้ว”

ผมรีบตัดปัญหาด้วยการบุ้ยปากไปยังจอขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ข้างกายเรารายล้อมไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาที่ต่างพากันมาย้อนรำลึกวันเก่าๆ ไปด้วยกัน วันที่ผมได้รู้จักเจี๊ยบกับน้อยหน่า ก่อนหน้าจะรู้จักกับไอ้ค่ายตั้งหลายสิบปี

“เจี๊ยบตัดยางเราทำไม” ผมพูดติดตลก

   “ยังไม่ตัดไอ้สัด”

   “แล้วมึงเสือกอะไร”

เราเป็นแบบนี้เสมอ ตีกันบ้าง เถียงกันบ้าง ทะเลาะกันบ้างแต่ไม่เคยนาน ไอ้ค่ายเป็นเพื่อนสนิทของผม เราสนิทกันจนรู้สึกกลัวว่าถ้าเผลอบอกความในใจกับอีกฝ่ายออกไป ทุกอย่างก็จะไม่เหมือนเดิม นั่นเท่ากับว่า...ผมคงเสียมันไปแล้ว

ซึ่งแม่งคงเป็นเรื่องที่ทำใจไม่ได้เลย

แฟนฉันเล่าเรื่องราวของเด็กชายและเด็กหญิงข้างบ้านที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก โดยที่บ้านของทั้งคู่ห่างกันเพียงคูหาเดียว เรานั่งดูกันอย่างเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกนอกจากจดจ่ออยู่กับหน้าจอของหนังเก่าที่สีฟิล์มเองก็ผิดเพี้ยนไปตามเวลาที่หนังถ่ายทำ

จนกระทั่งฉากไคลแม็กซ์ซึ่งอยู่เกือบตอนจบของเรื่องมาถึง ผมจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่ดูหนังเรื่องนี้คือเมื่อไหร่ แต่มันคงนานมาแล้ว เมื่อก่อนตอนเพิ่งมาเรียนฟิล์มแรกๆ ผมย้อนดูบ่อยมากนับสิบครั้งแต่ก็ไม่ชินกับฉากนี้สักที

ฉากที่เจี๊ยบวิ่งตามรถของน้อยหน่าเพื่อคืนยาง...

“ขี้แยจังวะ”

   “อะไร” ผมหันไปเผชิญกับใบหน้าเจ้าเล่ห์ ก่อนจะพบว่ามันกำลังยิ้มสนุกใส่อยู่

   “ร้องไห้”

   “ประสาทเหรอ ฝุ่นเข้าตา”

“โอ๋ๆ เพื่อนผมฝุ่นเข้าตาเลยร้องไห้ ไหนมาให้กูดูฝุ่นหน่อยเร๊ว”

“เสือกกูจัง”

   ผมดันหัวของมันออกห่างก่อนจะยกแขนเสื้อขึ้นมาปาดน้ำตาออกจากแก้ม แม่งน่าอายฉิบหาย แต่พอหันไปดูข้างหลังผมก็พบว่าคนดูส่วนใหญ่ก็มีความรู้สึกไม่ต่างกัน จะมีตายด้านก็เพื่อนกูเนี่ยแหละที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ โคตรโรคจิตฉิบหายเลยครับ

   “ถ้ามึงเป็นเจี๊ยบมึงจะทำยังไง หมายถึง...ถ้าวันนึงมึงได้รับการ์ดแต่งงานจากน้อยหน่า” คำถามนี้ดูมีสาระที่สุดแล้วตั้งแต่นั่งดูกับไอ้ตัวเหี้ยนี่มา

   “กูคง...ปล่อยให้เขาได้เจอคนดีๆ ส่วนตัวเองก็จะยินดีอยู่ตรงนี้”

   “โคตรพระเอก”

   “แล้วมึงอ่ะ”

   “กูเหรอ กูจะล่มงานแต่ง”

   “ประสาท”

   “ฮ่าๆ กูทำจริงนะเว้ย”

   “เออ รู้หรอก” อะไรที่ไอ้ค่ายอยากได้มันต้องได้ เชี่ยนี่เกิดมาเพื่อเกลียดคำว่าพ่ายแพ้ เหมือนตัวร้ายในละครภายใต้หน้ากากหล่อสัดของมัน เพราะฉะนั้นไม่ต้องสงสัยว่าทำไมมันถึงโกรธและรู้สึกเสียหน้ามากที่ผู้หญิงที่กำลังคุยอยู่เปลี่ยนใจไปชอบคนอื่น

   กับเพื่อนก็คงเหมือนกัน ไอ้ค่าย...เป็นคนหวงเพื่อน

   หลังจากหนังจบลงและเอนเครดิตเริ่มปรากฏขึ้นบนหน้าจอ พิธีกรก็เดินขึ้นมาบนเวทีพร้อมกับไมค์หนึ่งตัว ต่างคนต่างลุ้นเพราะรู้ดีว่านี่คือช่วงประกาศรางวัลที่ทุกคนเฝ้ารอ

   “เอาล่ะค่ะคงถึงเวลาที่เราจะประกาศผู้ชนะในการเล่นเกมส์ก่อนฉายหนังแล้ว ผู้ชนะจะได้รับบัตรดูละครเวทีนิเทศฯ ปีนี้ฟรีสองใบ เย่ๆ”

   “ดีใจตรงไหน” ผมหันไปมองคนตัวสูงข้างๆ ซึ่งกำลังถอนหายใจเหมือนกัน

   คือมึง...ได้หรือไม่ได้รางวัลเกี่ยวอะไร ในเมื่อปีนี้เราเป็นคนทำละคร มึงจะให้กูวิ่งมาดูที่หน้าเวทีหรือไงวะสาดดดดดดด

   “มีเพียงสองคนเท่านั้นที่เขียนชื่อหนังรักในดวงใจได้ตรงกัน คนแรกก็คือ แท่มแทมแท๊มมมมมม น้องเตชภณ นิเทศศาสตร์ปีสามค่า”

   “วิ้ดวิ้วววววววว”

   “ขึ้นมารับรางวัลได้เลยค่ะ”

   “รีบขึ้นไปดิ” ไอ้ค่ายพยักเพยิดให้ผมลุกขึ้นยืน ก่อนจะขึ้นไปบนเวทีท่ามกลางเสียงปรบมือและการจับตามองของนิสิตหลายคณะ

   “แนะนำตัวสั้นๆ หน่อยค่ะ” พิธีกรยื่นไมค์มาถามผม

   “สวัสดีครับ ชื่อเติร์ดครับ”

   “น้องเติร์ดพอจะเดาได้มั้ยว่าอีกคนที่ตอบเหมือนเราเป็นใคร”

   “เอ่อ...” ผมกวาดตามองลงไปด้านล่างเวที คนเป็นร้อยขนาดนี้กูจะไปรู้ได้ยังไงว่าเป็นใคร แถมไอ้หน้ากวนบาทาที่นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างล่างยังเอาแต่ขยับปากพูดคำว่า ‘one day’ ไม่หยุด

   หรือแม่งจะตอบว่าวันเดย์จริงวะ ถ้าอย่างนั้นมันก็เลือกไม่ตรงกับผมอ่ะดิ

   “ไม่รู้เหมือนกันครับ” ไม่อยากคิดแล้ว ปวดหัว รีบเฉลยมาดีกว่า

   “งั้นเราจะประกาศผู้โชคดีอีกคนนะคะ ผู้โชคดีคือน้องขุนพล นิเทศศาสตร์ปีสามเช่นกันค่า”

   “กรี๊ดดดดดดดดด”

   ไอ้เหี้ย! เขียนเหมือนกันทำไมไม่บอก ลอกกูแน่ๆ

   ผมมองดูร่างสูงในชุดนิสิตที่ไม่มีส่วนถูกระเบียบเลยแม้แต่ส่วนเดียวกำลังเดินขึ้นมาบนเวที ผู้หญิงก็กรี๊ดให้มันยกใหญ่เพราะความฮอตและทรงผมน่ากระทืบของมัน ทันทีที่เจ้าตัวเดินขึ้นมายืนประชิดกับผม เขาก็ส่งไมค์อีกตัวให้ไอ้ค่ายอย่างรวดเร็ว

   “ไม่ต้องแนะนำตัวก็คงรู้เนาะ น้องค่ายเขียนหนังเรื่องอะไรลงไปคะ”

   “ผมเขียน Flipped ครับ” เจ้าตัวจ้องหน้าผมยิ้มๆ แต่กูเนี่ยแหละที่ไม่อยากพูดอะไรนอกจากยืนใจเต้นอยู่ตรงนี้

   “ถามทั้งสองคนบ้างดีกว่า ทำไมถึงเลือกหนังเรื่องนี้”

   “ผมชอบการเล่าความสัมพันธ์และความรู้สึกของคนสองคน แรกเริ่มต่างคนต่างคิดไม่เหมือนกัน”

   “แต่สุดท้ายเขาก็ใจตรงกัน” ประโยคนี้ไอ้ค่ายเสริมต่อ

   “ผมชอบเพลงด้วยครับ Let it be me”

   “แต่ท่อนที่ร้องIf you must cling to someone, Now and forever, Let it be me ซึ่งมันแปลว่า ถ้าเธอต้องการมั่นใจในใครสักคนในตอนนี้และตลอดไป ก็ขอให้เป็นฉันเถอะ...ซึ่งผมว่ามันน้ำเน่าอยู่นิดหน่อย” เราต่างพูดสลับกันไปมาเหมือนเป็นการเติมประโยคให้สมบูรณ์ แต่มันก็ค่อนข้างเละเทะ เพราะแต่ละประโยคของไอ้ค่ายแม่งย้อนแย้งกับผมทุกอย่าง

   “ผมชอบความคิดของนางเอกด้วย ตอนแรกเขาชอบพระเอกฝ่ายเดียว”

   “สุดท้ายพระเอกก็ตามจีบนางเอก”

   “มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้นมั้ย” ผมถามมัน ลืมไปด้วยซ้ำว่าเราไม่ได้อยู่กันสองคน ลืมไปเลยว่าเรากำลังยืนอยู่บนเวทีท่ามกลางสายตาของคนมากมายแต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังพูดต่อ

“มีอีกหลายฉากที่ชอบ อย่างซีนนางเอกเอาไข่ไก่ไปให้พระเอกที่บ้าน”

   “โคตรเชยเลย”

   “จริงๆ มันก็เป็นหนังรักธรรมดา แต่ไม่ธรรมดา”

   “มันคือหนังธรรมดา”

   “นักแสดงทำได้ดี”

   “ตามมาตรฐานนักแสดงฮอลลีวูดน่ะครับ”

   “ถึงแม้จะมีจุดบกพร่องบ้าง แต่ถ้าใช้ความรู้สึกวัดแทนความคิดทางวิชาการ ยังไงผมก็ชอบหนังเรื่องนี้”

   “ในทางวิชาการผมว่ายังมีหลายจุดที่ไม่โอเคอยู่ แต่ถ้าในความรู้สึก”

“...”

“อืม...ชอบเหมือนกัน”

   นี่เป็นครั้งแรกที่ไอ้ค่ายตอบตรงกับผม เพราะไม่ว่าเราจะคิดไม่เหมือนกันยังไง สุดท้าย...เราก็ยังตอบเรื่องเดียวกันอยู่ดี แม้ผมจะรู้อยู่เต็มอกว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดอย่างนั้น

    “กูว่าความจริงมึงไม่ได้ชอบหนังเรื่องนี้”

   “ก็รู้หนิ” ใช่ เพราะปกติไอ้ค่ายไม่ชอบดูหนังรักโรแมนติก แถมชีวิตมันยังโชกโชนล้ำหน้าหนังไปเยอะมาก แต่ผมก็ยังสงสัยว่าทำไมมันถึงยังตอบเรื่องนี้อยู่

   “แล้วมึงตอบ flipped ทำไมวะ กลัวไม่ได้รางวัลเหรอ”

   “รางวัลที่ได้คงน่าสนใจมากสินะ กูรู้หรอกว่ามึงชอบเรื่องนี้ เพราะเห็นมึงชอบ...”

   “...”

   “กูเลยอยากตอบเหมือนมึง”











   “โบน มึงรีบเปิดดิ กูรอจนรากงอกแล้วเห็นมั้ย”

   “ใจเย็นสัด มึงดูวันนี้หรือพรุ่งนี้ผลมันก็ไม่เปลี่ยนหรอก”

   “เปลี่ยนดิ รู้ผลวันนี้แดกเหล้าวันนี้ รู้ผลพรุ่งนี้กูไปไม่ได้”

“ทำไม”

“เลี้ยงสาวหมด”

   “ไอ้นรก”

   บทสนทนาระหว่างไอ้ทูกับไอ้โบนดังเข้าหูแว่วๆ ผมเลยรีบล้างจานตรงซิงก์น้ำให้หมดก่อนจะปราดมานั่งข้างพวกมันเพื่อดูรายชื่อร้านที่ทำเงินสูงสุดห้าร้านแรกหลังจบนิเทศแฟร์ไปหมาดๆ

   คณะกรรมการสโมสรจะนำรายชื่อขึ้นแฟนเพจคณะในช่วงสองทุ่ม ดังนั้นเราทุกคนเลยตื่นเต้นว่าจะได้เป็นหนึ่งในห้านั้นหรือเปล่า จะมีก็แต่ไอ้ค่ายนี่แหละที่มัวแต่แต่งตัวอวดหล่อ พ่นน้ำหอมจนฉุนอย่างอารมณ์ดีอยู่คนเดียว

   “มึงไม่มานั่งดูผลวะเชี่ยค่าย”

   “ดูทำไม ยังไงก็ได้อยู่แล้ว นี่กูแต่งตัวรอเลยนะเนี่ย” พูดจบมันก็ยืนผิวปากอย่างมีความสุข เชี่ยนี่ความมั่นใจล้นเหลือมากครับ บางทีก็อยากให้เหลือเผื่อแผ่มาถึงเกรดที่มันควรได้ตอนสิ้นเทอมด้วย โคตรโง่

   “เลิกสนใจมันเถอะ กูจะเปิดแล้วนะ ไอ้โบนสะกิดไหล่ผมยิกๆ มือข้างขวาเลื่อนเม้ากดไปยังหน้าแฟนเพจของคณะ ในวินาทีนั้นเองข้อความที่ปักหมุดเอาไว้บนสุดก็ปรากฏในม่านสายตา

   ผ่าง!!

   “อันดับหนึ่งซุ้มสาวน้อยตกน้ำ อันดับสองสอยดาวหาคู่”

   “มึงจะอ่านทำเพื่อ นี่ไงชื่อของพวกเรา”

“ชอบบบบบบบบบ”

“ชายฉะกัน ไส้กรอกยาวใหญ่ ชื่อแม่งทุเรศฉิบหาย!”

“กูชอบนะ”

“คิดว่ามันตลกเหรอ”

   “เอาน่า ชนะแล้วไง ชื่อเหี้ยไรก็ไม่มีผลกับชีวิตกู” ไอ้ทูตบบ่าผมพลางยิ้มแหย กูรู้หรอกในใจมึงคงรู้สึกไม่ต่างกัน เป็นถึงหนุ่มฮอตของนิเทศฯ ปกติเวลาใครพูดชื่อแก๊งโหดจะนึกถึงหน้าหล่อๆ ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้วครับ

   นึกถึงพวกกู...นึกถึงไส้กรอกยาวใหญ่

   และก็เป็นไปตามคาด รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายของร้านชายฉะกันในงานนิเทศแฟร์ตลอดสองวันอยู่ในอันดับที่สี่ ซึ่งก็ต้องกราบไอเดียการเปลืองเนื้อเปลืองตัวของไอ้ค่าย ที่ลำพังแค่ขายไส้กรอกก็คงไม่ได้เงินมากขนาดนี้ เพราะฉะนั้นเย็นนี้เราเลยนัดกันไปฉลองความสำเร็จที่ร้านบุฟเฟ่ต์อาหารญี่ปุ่นชื่อดัง แล้วต่อด้วยการกระดกแอลกอฮอล์เข้าสายเลือดตามสเต็ป

   

อ่านต่อด้านล่างค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-05-2017 01:17:04 โดย Jittirain12 »

ออฟไลน์ Jittirain12

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 353
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1238/-18

ชีวิตมหา’ลัยมันจะมีอะไรมากวะ กิน ขี้ ปี้ นอน ตัดเรื่องเรียนออกไปก็มีอยู่แค่นี้แหละ หลังจากยัดห่ากันเสร็จไอ้ค่ายก็มุ่งหน้าไปที่ร้านพร้อมกับชาวีลูกรักของมันก่อนเพราะกลัวว่าการโทรไปจองโต๊ะจะไม่ชัวร์ ส่วนผม ไอ้โบน รวมถึงไอ้ทูได้ตามไปหลังจากนั้นยี่สิบนาที


Khunpol K.
แวะเข้าห้องน้ำ – ที่ On the Rock


เข้าห้องน้ำพ่อง! ย้ำอีกครั้ง นี่แค่ยี่สิบนาทีเองนะ แม่งไปพาผู้หญิงที่ไหนไม่รู้มานั่งเต็มโต๊ะ โอ้โห มองคราวแรกกูนึกว่างานมอเตอร์โชว์ สาวสวยๆ รุมกันให้เพียบ

   “อะไรกันครับเพื่อนค่าย” ไอ้โบนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พลางแทรกเข้าไปมีส่วนร่วมอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ผมกับไอ้ทูมองหน้ากันอย่างรู้ทันว่าคืนนี้งานอาจจะเข้าอีกแล้ว ผมมักบอกเสมอว่าทำใจได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ต้องมานั่งมองคนที่ตัวเองรักกำลังจีบคนอื่นอยู่

   “เชี่ยเติร์ด มึงจะมัวยืนอีกนานมั้ย นั่งดิ” เสียงทุ้มต่ำของคนที่ชอบเอ่ยขึ้น ดึงให้ผมหลุดออกจากภวังค์และเดินเข้าไปทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ ที่ซึ่งแทบไม่เหลือที่ว่างให้หมาหัวเน่าอย่างกูเลย ตอนขายไส้กรอกผมก็เป็นคนย่าง แล้วทำไมตอนฉลองความสำเร็จด้วยกันถึงมีแค่เพื่อนไม่ได้วะ

   “งานนี้กูสั่งแบล็คเพื่อมึงเลย”

   “เพื่อกูหรือเพื่อใคร” ผมย้อนกลับไป ก่อนไล่สายตามองผู้หญิงที่ส่งยิ้มหวานมาให้ผมทีละคน ให้ตาย...

   “เพื่อมึง แต่มึงก็ห้ามกินเยอะ เดี๋ยวเมาอย่างหมาไม่มีใครพากลับ”

   “ก่อนจะบอกคนอื่น มึงช่วยเอาตัวเองให้รอดก่อนเหอะ” แก้วทรงสูงถูกเลื่อนมาอยู่ด้านหน้าของผมพร้อมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่บรรจุอยู่เต็มแก้ว เป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต้นการเลี้ยงฉลองและยุติปัญหาที่อาจทำให้ผมกับไอ้ค่ายตีกันก่อนกลับ

   เราเริ่มแนะนำตัวกับแขกไม่ได้รับเชิญอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะนั่งคุยและดื่มกันเงียบๆ ท่ามกลางเสียงเพลงที่คลออยู่เบาๆ ผมพยายามไม่คิดอะไรมากเพราะเข้าใจธรรมชาติของเพื่อนสนิทตัวเองเป็นอย่างดี แต่มันก็อดไม่ได้เหมือนกันที่จะรู้สึกไม่พอใจกับการกระทำของรุ่นน้องคนหนึ่งที่ทำตัวติดไอ้ค่ายมากเกินไป

   ใช่ น้องเป็นเด็กมหา’ลัยเดียวกันผม ส่วนที่นั่งรายล้อมอยู่นี่ก็เพื่อนเขาที่ยกพลขึ้นบกกันมาเพราะไอ้ค่ายหาโต๊ะไม่ได้ตอนมาถึงร้านเลยขอมานั่งแจมด้วย ถ้ารู้อย่างนี้แต่แรกผมให้แม่งเปลี่ยนร้านไปนานละ ไม่ต้องมานั่งอึดอัดอยู่ตรงนี้หรอก

   ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียดเลยยกเหล้าขึ้นมากระดกรวดเดียวแทบหมดแก้ว แต่ไอ้สามตัวมันเฮี้ยนกว่าตรงที่ชอบดื่มเพียวๆ แบบออนเดอะร็อคเสียมากกว่า มีกูเนี่ยแหละที่แดกเยอะแบบนั้นไม่ได้ แพ้...เออแพ้แต่ก็หยุดตัวเองไม่ได้ แถมไอ้ทูกับไอ้โบนยังขยันชงเหล้าให้แบบไม่มีขาดตกบกพร่องอีก

   “ไอ้เติร์ดกูว่ามึงพอก่อน” มือหนาเอื้อมมาจับแก้วเหล้าของผมเอาไว้ ก่อนที่มันจะถูกกรอกของเหลวลงคอเหมือนทุกที

   “ยุ่งน่า”

   “เป็นไร เพลงไม่สนุกเหรอ”

   “เออ” ผมตอบส่งๆ ไป

   “งั้นให้กูร้องให้ฟังมั้ย รับรองอารมณ์ดีขึ้นมาทันที” ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวยังยกมือขึ้นมายีหัวกูเล่นอย่างมีความสุข มันก็เป็นซะอย่างนี้ไง อ่อยอยู่ได้จะเอาเวลาที่ไหนไปตัดใจวะ

   “มึงร้องกูได้ตายห่าคาโต๊ะพอดี อยู่เฉยๆ ไปเถอะว่ะ”

   “เคๆ แต่มึงก็อย่าทำหน้าบูด”

   “เกี่ยวเหี้ยไร แดกของมึงไปสิ”

   “เกี่ยวดิ ไม่แคร์มึงจะให้กูแคร์ใครล่ะครับ” ไอ้ค่ายกอดคอผมเอาไว้แน่น ขณะที่มืออีกข้างถือแก้วเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไปด้วย

   “พี่ค่าย เดี๋ยวมานะ” แล้วรุ่นน้องที่ตัวติดกับมันก็ลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้ม ไอ้ควายค่ายนี่ถึงกับรีบปล่อยคอผมแล้วหันไปสนใจเขาทันที

   “ไปไหนอ่ะครับ ให้พี่ไปส่งมั้ย”

   “จะไปขอมิกซ์บัคเก็ตนิดหน่อยค่ะ”

   “เดี๋ยวพี่จ่ายให้” เพื่อนรักเพื่อนแค้นกูนี่รีบกุลีกุจอจะควักกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาจ่ายพัลวัน ดีที่เขาปฏิเสธก่อนไม่งั้นคืนนี้มีหมดตัวกันแน่

   “ไม่เป็นไรค่ะ ไปขอหน้าบาร์ฟรี”

   “โอเคครับ งั้นรีบมาน้า”

   โคตรตอแหลเลยครับ ไม่ใช่ผู้หญิงนะ ไอ้เหี้ยค่ายเนี่ยแหละ ระริกระรี้จนกูอยากกระทืบ ร้านเหล้าบางร้านมีธรรมเนียม ถ้ามีเหล้าก็สามารถเดินไปของมิกซ์ฟรีได้ที่หน้าบาร์ จริงๆ มันไม่ได้ฟรีหรอกครับ แต่เป็นพฤติกรรมที่นักท่องราตรีบางคนมักทำด้วยการส่งสาวๆ สวยๆ ไปยั่ว ถึงจะได้ของแลกมา

   ซึ่งมันก็ได้ผลเพราะไม่นานน้องผู้หญิงคนนั้นก็เดินกลับมาพร้อมกับถังเครื่องดื่ม ด้านในมีของเหลวสีชมพูบรรจุอยู่ แถมมีหลอดปักเอาไว้เต็มไปหมด

   “พี่เติร์ด กินได้นะคะ” ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาชื่ออะไร แต่เมื่อเธอชวนผมเลยไม่ปัดปฏิเสธ แค่ดูดไปอึกหนึ่งเท่านั้นแหละ ลิ้นกูเสียรสเลย ไอ้เหี้ยยยยยยยยยย ขม!

   “บัคเก็ตนี่ใส่อะไรบ้างเนี่ย” กูแทบจะดึงลิ้นออกมาทำความสะอาดข้างนอกให้มันรู้แล้วรู้รอดไป

   “โต๊ะข้างเวทีให้แบล็คมา อีกโต๊ะนึงให้เรด นี่ผสมกระทิงแดงด้วย หน้าบาร์เลยใส่น้ำลิ้นจี่ผสม เป็นไงคะรสชาติดีมั้ย” คุณจะหลอกเติร์ดด้วยสีชมพูหวานแหววแบบนี้ไม่ได้ ดีกับผีอ่ะสิ! นี่มันส่วนผสมของเหี้ยอะไรวะ แล้วคือกูจะตายมั้ย

“...” ผมเลยไม่ตอบอะไรนอกจากนั่งดื่มเหล้าในแก้วของตัวเองต่อไป

   ยิ่งดึกคนยิ่งเยอะและวุ่นวาย เพลงที่เคยดังคลออยู่ตอนแรกยิ่งเร่งระดับขึ้นเป็นการบิลด์อารมณ์คนในร้านให้สนุกสนานตาม ยิ่งอัดแอลกอฮอล์เข้าไปเยอะๆ คราวนี้วิ่งแข่งกันเข้าห้องน้ำกันจ้าล่ะหวั่น กระทั่งไอ้ค่ายเอ่ยกับผมเป็นรอบที่สาม

   “เดี๋ยวกูมานะ”

   “ไปเข้าส้วมอ่ะดิ”

   “เออ มึงไปมั้ย” ผมส่ายหัว มันเลยหันไปหาเพื่อนในกลุ่มอย่างไอ้โบนแทน “ไอ้โบนมานี่หน่อย”

   “ไม่ไป ขี้เกียจเยี่ยว”

   “มา...นี่...หน่อย” เสียงทุ้มย้ำชัดด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนทั้งคู่จะผละออกไปเหลือเพียงผมกับไอ้ทูที่นั่งมองหน้าอย่างงุนงง พอเห็นอย่างนั้นเพื่อนทูเลยรีบย้ายตูดมาแปะตรงเก้าอี้ข้างผมทันที ส่วนน้องผู้หญิงแก๊งนี้เขาก็ดื่มกันอย่างมีความสุขไม่ได้มายุ่มย่ามอะไรกับผมมาก นอกจากนัวกับไอ้ค่ายเท่านั้น

   “กูว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆ เมื่อกี้กูเห็นมันตอบไลน์กัน”

   “ไลน์อะไร อยู่กันแค่นี้คุยกันก็ได้มั้ง”

   “นั่นสิ แต่กูเห็นไอ้โบนแม่งคุยกับไอ้ค่ายในไลน์ มึงไม่คิดบ้างเหรอว่ามันอาจมีความลับกับเรา” ตัวเสี้ยมของจริงก็ไอ้คนข้างๆ นั่นแหละ

   ผมก็สังเกตเห็นบ้างเวลาที่เพื่อนตัวสูงหยิบมือถือขึ้นมากดเล่นอะไรของมัน แต่ก็ไม่ได้สนใจว่าจะคุยกับใคร ต่างกับตอนนี้ที่เริ่มคิดหนักแล้ว

   “เรื่องผู้หญิงมั้ง แบบ...คืนนี้จะหิ้วใครกลับ” ปกติแม่งก็เป็นอย่างนี้ประจำ

   “แต่ถ้ามันจะหิ้วใครกลับก็ไม่จำเป็นต้องปรึกษาป่ะวะ ไอ้ค่ายมันเคยบอกเราด้วยเหรอว่าเออ...คืนนี้ถ้ากูจะหิ้วน้องนมใหญ่ต้องทำยังไง เห็นแต่มันยิงโชะเดียวยันเช้าตลอด”

   ยิ่งไอ้ทูพูดผมก็ยิ่งอยากรู้ เลยขอตัวเดินไปด้อมๆ มองๆ แถวห้องน้ำหน่อยว่ามันนัดแนะอะไรกันแน่ พอไปถึงผมก็เห็นเพื่อนสนิทสองคนยืนอยู่หน้ากระจกภายในห้องน้ำและกำลังล้างมือกันอยู่ ดูแล้วก็ไม่น่ามีอะไรจนกระทั่งไอ้ค่ายเป็นฝ่ายพูดขึ้น

   “เลิกคิดมากได้แล้วเชี่ยโบน ข้อสันนิษฐานมึงแม่งมั่วสัด”

   “ไอ้เหี้ยกูสังเกตมาหลายทีแล้วจริงๆ นะ ไม่งั้นจะให้มึงไปลองพิสูจน์เหรอ”

   “แล้วไง กูก็พิสูจน์แล้วไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นเลย”

   “แต่...”

   “ยัง ยังไม่หยุดอีก”

   “กูรู้สึกมานานแล้วว่าไอ้เติร์ดมันชอบมึง”

   ...!!

   คำพูดที่หลุดออกมาจากปากของไอ้โบนทำให้ผมยืนมองตาค้าง ตัวสั่นปากสั่นขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ ได้แต่ลอบมองอาการของไอ้ค่ายพร้อมกับคาดหวังว่ามันจะไม่เกลียดผมที่เผลอรู้สึกแบบนั้นกับมัน

   “มึงใช้ประสาทส่วนไหนรับความรู้สึกวะ มันไม่มีอะไรทั้งนั้น นี่กูลองอ่อยมันหลายทีแล้วก็ไม่เห็นไอ้เติร์ดจะทำท่าทีเขินอายอะไรเลย เราสี่คนยังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมเว้ย”

   “งั้นมึงถามไอ้ทูมั้ยล่ะว่าไอ้เติร์ดมันได้คิดกับมึงแค่เพื่อนหรือเปล่า”

   “มึงคิดเหรอว่าไอ้ทูจะรู้ คนอย่างไอ้เติร์ด...มีอะไรมันไม่ค่อยบอกใครหรอก”

   “นั่นไง ถ้ามันชอบมึงแม่งจะบอกให้โง่เหรอวะ”

   “เลอะเลือนแล้วครับเพื่อน ขืนมึงยังพูดเรื่องนี้อีกคืนนี้กูไม่ยกน้องมายด์ให้มึงพาไปกกนะ”

   “สัด เอาผู้หญิงมาล่อกูก็ต้องหยุดมั้ย” ผมได้ยินเสียงหัวเราะของคนทั้งคู่ดังขึ้นมาสักพัก ก่อนจะรีบพาตัวเองหลบไปอีกทางอย่างรวดเร็ว

   ตัวผมชา สมองของผมแม่งว่างเปล่าไปหมด ทุกการกระทำที่ไอ้ค่ายเคยทำดีกับผม ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการพิสูจน์ข้อสงสัยโง่ๆ เพียงเท่านั้น

   ล้มทั้งยืนน่าจะเป็นสิ่งที่อธิบายตัวตนของผมในตอนนี้ได้ดีที่สุด

   ผมกับไอ้ค่ายรู้จักกันตั้งแต่ปีหนึ่ง มันเป็นผู้ชายกวนตีนแต่ก็นิสัยเจ้าชู้ คบผู้หญิงไม่เลือกหน้า ตลอดสามปีมันไม่เคยเปลี่ยนตัวเองเพื่อใคร เหี้ยยังไงก็ยังเป็นอย่างนั้นจนกระทั่งทุกวันนี้

   ผมพูดเสมอว่าตัวเองชอบที่มันเป็นแบบนั้น ยอมรับได้ทุกอย่างขอแค่ได้ชอบ บางทีความรักแม่งก็ไม่มีเหตุผล ไม่ต้องสนใจตรรกะ ชอบก็คือชอบ รักก็คือรัก ผลสุดท้ายเป็นไง...

   เจ็บคนเดียวมาตลอดสามปีโดยที่อีกฝ่ายไม่เคยรู้เลย

   บางทีก็อยากเดินไปตะโกนใส่หน้ามันให้สาแก่ใจนะครับว่ากูเสียใจมากที่หลงชอบมัน และชอบมาตลอด แต่ก็ไม่มีความกล้าพอที่จะทำอย่างนั้น ได้แต่เจ็บใจอยู่คนเดียว ยอมเป็นตัวตลกให้มันเล่นกับความรู้สึกจนพอใจและก็เดินจากไปเท่านั้น

   เหรอวะ แค่นั้นเหรอ?

   ผมส่งข้อความบอกกับไอ้ทูว่าจะขอกลับก่อน แต่ความจริงแล้วก็ไม่ได้พาตัวเองกลับห้องหรอก ผมยังเมากว่านี้ได้อีก เลยขับรถไปนั่งทำตัวโง่ๆ อยู่อีกร้านหนึ่ง เสียงโทรเข้าจากไอ้โบนกับไอ้ค่ายกระหน่ำเข้ามาไม่ขาดสายซึ่งผมไม่รับ ความรู้สึกมันตื้อไปหมด จะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก ปล่อยมันจุกอยู่ในอกโดยไม่รู้ว่าต้องทำยังไงให้ดีขึ้น

   จนเวลาล่วงเลยเข้าสู่ตีสามถึงค่อยๆ พาสังขารตัวเองกลับไปทั้งที่เมาแทบสิ้นสติ และทันทีที่เปิดประตูเข้าไปในห้อง ผมก็ได้เห็นร่างสูงของคนที่แอบรักข้างเดียวมาตลอดนั่งหน้านิ่งอยู่ตรงโซฟา

   มันไม่ง่ายเลยนะที่เวลากลับมาเจอหน้าอีกฝ่ายแต่ต้องทำตัวให้เป็นปกติ ทั้งที่ความจริงเมาจนเดินแทบเป๋ คือเละ แต่ก็ยังพึมพำเสียงเบาๆ แม้ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะได้ยินหรือเปล่าออกมา

   “กูไม่เมา กูโอเค”

   “ไปไหนมาวะ”

   “แค่นี้ทำอะไรกูไม่ได้” โคตรเฟคเลย เหนื่อยว่ะ

   “ไอ้เติร์ด กูถามว่ามึงไปไหนมา แล้วที่ไอ้ทูบอกมึงขอกลับห้องก่อนทำไมมึงถึงมาเอาป่านนี้วะ” คนตรงหน้าเริ่มขึ้นเสียง พลางเดินเข้ามาประชิดตัวผมอย่างรวดเร็ว

   “แล้วมึงยุ่งอะไรด้วย!”

   “แล้วมึงเป็นห่าอะไรเนี่ย บอกกูสิจะได้ทำตัวถูก”

   “มึงเอาความรู้สึกของกูมาเล่นเหรอ”

   “มึงพูดเหี้ยอะไรวะ”

   “ถ้ามึงไม่รู้ว่าเพราะเหี้ยไรก็อย่ามายุ่งกับกู” ผมจะตัดใจ เป็นตายยังไงก็จะไม่ชอบมันแล้ว แต่ทำไมถึงต้องรั้งมือกูเอาไว้ด้วยวะ ผมไม่อยากให้มันเห็นว่าตอนนี้ผมกำลังแย่ขนาดไหนและร้องไห้หนักยังไง ผมยังอยากให้มันเห็นว่านี่คือเติร์ด เพื่อนที่สดใสและร่าเริงของมัน

   “ไอ้เติร์ดมึงเป็นอะไร”

   “กู...แค่เมา โทษที แต่คนของมึงคงรอแล้วล่ะ” ผมก้มหน้าปาดน้ำตาออกจากแก้มพร้อมกับสะบัดมือออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายแล้วรีบจ้ำอ้าวเดินเข้าห้องนอนตัวเองทันที

   วันนี้มันพาผู้หญิงมานอนด้วยเพราะประตูห้องนอนเปิดแง้มอยู่ ผมเห็นรุ่นน้องคนนั้นนอนอยู่บนเตียงไอ้ค่าย แค่นี้มันก็น่าจะเพียงพอแล้วที่ผมควรหยุดสักที

   เพื่อนคนนี้ไม่มีทางชอบผม เหมือนที่ผมควรหยุดหลอกตัวเองสักทีจะได้ไม่ต้องเจ็บซ้ำซากอีก

   เราเป็นเพื่อนสนิทกันมาสามปี ชอบดูหนังเหมือนกัน ไปไหนไปกันตลอด มันรู้ใจผม ขณะที่ผมก็รู้ใจมัน แต่แปลก...

   ที่เราไม่เคยใจตรงกันเลย












   นี่เป็นเช้าที่ปวดหัวหนักสุดในรอบหลายเดือน เมื่อคืนอัดเข้าไปทั้งเหล้าและบัคเก็ตเลยแฮงก์หนักจนถึงตอนนี้ ผมต้องตื่นตามเสียงนาฬิกาปลุกซึ่งบอกว่าเป็นเวลาสิบโมงแล้ว โชคดีที่วันนี้เข้าเรียนบ่ายเลยไม่ต้องฝืนสังขารไปเรียนตั้งแต่เช้า

   ค่อยๆ พาตัวเองคลานลงจากเตียง หยิบเอาผ้าขนหนูที่แขวนเอาไว้หน้าตู้เสื้อผ้าออกมา ย่างเท้าออกไปด้านนอกก่อนจะหยุดอยู่ตรงหน้าห้องนอนของใครคนหนึ่ง

   โชคร้ายฉิบหายที่ดันมีส้วมอยู่ห้องเดียวแล้วดันมาอยู่ในห้องนอนของมัน

   ก๊อกๆๆ

   ลองออกแรงเคาะประตูอยู่สักพักคนตัวสูงก็เดินมาเปิดประตู ไอ้ค่ายสวมผ้าขนหนูคาดเอวผืนเดียวขณะที่ปลายเตียงของมันยังมีรุ่นน้องผู้หญิงคนนั้นนั่งกดมือถืออยู่

   “อาบน้ำเหรอ” มันถาม ผมเลยพยักหน้าแล้วเดินเข้ามาในห้อง “เดี๋ยวกูขออาบก่อน”

“รีบๆ เลยกูต้องรีบออกไปข้างนอกก่อนเข้าเรียน”

   “ไปไหน”

   “เสือกน่า”

   “รอกูอาบน้ำก่อน”

   “งั้นกูออกไปรอข้างนอก”

   “ไม่ต้อง เดี๋ยวน้องเขาก็กลับแล้ว”

   “ให้กูไปส่งเขามั้ย”

   “ใช่หน้าที่มึงที่ไหนล่ะ เดี๋ยวเพื่อนเขามารับเอง”

   ทันทีที่ไอ้ค่ายเดินเข้าห้องน้ำ สภาวะเดดแอร์ก็เข้าแทรก ได้แต่ส่งยิ้มไปให้น้องผู้หญิงเป็นระยะ ก่อนจะพาตัวเองมานั่งตรงเก้าอี้ทำงานอย่างเงียบๆ ไม่นานน้องเขาก็ลุกขึ้นไปเคาะประตูห้องน้ำและคุยกับคนด้านใน สักพักถึงได้หันมาเผชิญหน้ากับผมอีกครั้ง

   “กลับก่อนนะคะพี่เติร์ด เพื่อนมารับแล้ว”

   “ครับๆ ให้ไปส่งหน้าห้องมั้ย”

   “ไม่เป็นไรค่า ไว้เจอกันใหม่น้า” ไม่ได้หวังจะเจอหรอก แค่นี้กูก็เจ็บฉิบหายแล้วครับ

   “เติร์ด ไอ้เชี่ยเติร์ดเข้ามาในนี้หน่อย!” เสียงของไอ้ค่ายแทรกเข้ามาในโสตประสาท มันดังอย่างนี้อยู่หลายครั้งจนความอดทนของผมหมด เลยเดินไปหยุดอยู่หน้าห้องน้ำ

   “มีไร”

   “เข้ามาอาบน้ำด้วยกันสิ กูไม่ได้ล็อก เร็วเดี๋ยวไม่ทัน”

   “ทันแหละ”

   “มึงบอกกูเองว่ารีบ อย่าลีลา” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่แต่ก็ยอมทำตามคำสั่งอีกฝ่ายแต่โดยดีด้วยการเดินเข้าไปด้านใน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกสักหน่อยที่อาบน้ำด้วยกันตอนวันเร่งรีบ

   ไอ้ค่ายมันก็หันมามองกูนะครับเหมือนจะพูดอะไรด้วย แต่โอ้โห ชะว้าว!

   “มึงทำเหี้ยอะไรเนี่ย”

   “ปลดปล่อยหน่อย มันอึดอัด”

   “เดี๋ยวกูถีบกระเจี๊ยวหลุด” เรียกกูเข้ามาดูภาพอุบาทว์แบบนี้เพื่อ? แล้วคือกูต้องทำยังไง ร้องเพลงให้ฟังเหรอ

   “มึงไปใช้ห้องอาบน้ำโน่น เดี๋ยวกูขอใช้ชักโครกแป๊บ”

   “ตามสบาย” สโตรกให้พอใจไปเลยลูกพี่ แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะพูดแซะออกไป “เอาสาวมาทำไมไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์”

   “ไม่ถึงใจ”

“อืม”

“แต่ความจริงก็นอนไม่หลับ”

   “คงได้หลับหรอกเมื่อคืนอ่า”

   “อันนี้จริงจัง มึงโกรธกู เครียดฉิบหายเลย”

   “เปล่าหรอก มึงจะถือสาอะไรกับคนเมาวะ”

   “ปกติมึงไม่ได้เป็นแบบนี้”

   “หึ!” อยากถามออกไปจริงๆ ว่าปกติผมเป็นแบบไหน สิ่งไหนที่มันมองเห็นเป็นตัวตนของผม ก็ได้แค่หัวเราะในลำคอแล้วถอดเสื้อแขวนไว้กับราวเพื่ออาบน้ำเท่านั้น และถึงแม้จะรูดม่านไปแล้วไอ้ค่ายก็ยังถามเหมือนรู้ทันทุกที

“รู้ว่าเมาหนักแล้วผื่นขึ้นก็ยังจะเมานะมึง”

   “เรื่องของกู” ผมเปิดน้ำจากฝักบัวเพื่อกลบเสียงสั่นๆ ของตัวเอง ไม่รู้ว่าจะได้ผลมั้ย แต่อย่างน้อยมันก็ปกปิดความเสียใจในส่วนลึกของผมได้บ้าง

   “โกรธอะไรกูเนี่ย ไม่สนุกเลยว่ะ”

   “โง่อย่างมึงไม่ต้องมารู้อะไรกับกูหรอก”   

“มึงก็โง่เหมือนกันแหละว้า”

   “เกรดเทอมก่อนกูเยอะกว่ามึงเห็นๆ”

   “ใช่เรื่องนั้นที่ไหนล่ะ ปากดีจังนะมึงเนี่ย”

   “ไม่เท่ามึงหรอกครับ ตอแหล”

   “กูไปตอแหลตอนไหนช่วยบอกกูที”

   “แฮงก์สัด” ผมรีบเปลี่ยนเรื่องทันที ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดด้วยแหละมั้ง จุดนี้จะตัดก็ควรต้องตัด กลับไปเป็นเพื่อนกันถึงจะเจ็บแต่ก็ต้องพยายาม ยิ่งนึกถึงตอนที่มันเอาความรู้สึกของผมมาทดสอบข้อสงสัยของมันผมก็ยิ่งรู้ดีว่าตัวเองไม่ใช่ของเล่นสำหรับใครอีกแล้ว แม้จะเป็นเพื่อนสนิทกันแค่ไหนก็ตาม

   “ช่วยมั้ยเดี๋ยวหายเลย”

   “ไม่เสือกสักเรื่องได้มั้ยวะ”

   “เมื่อคืนหนีกลับก่อนทำไมไม่บอก”

   “บอกไอ้ทูแล้ว”

   “บอกมันคงช่วยได้หรอก สุดท้ายมึงก็ลากสังขารกลับห้องมาคนเดียวทั้งที่เมาแอ๋”

   “ทำอย่างกับมึงดูแลกูดีตายแหละ”

   “อย่างน้อยก็พามึงกลับได้แล้วกัน”

   “เมื่อคืนกูก็กลับได้”

เราไม่ได้พูดอะไรกันอีกนอกจากใช้เวลากับการอาบน้ำ โดยผมเป็นฝ่ายเดินออกมาก่อนเพราะรู้สึกอึดอัดที่ต้องอยู่ในนั้น ซึ่งแม่งก็ไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้นเลยเพราะสุดท้ายไอ้ค่ายก็เดินตามออกมาอยู่ดี

“ตัวมึงแดงหมด เดี๋ยวกูทายาให้”

   “เอาเวลาไปทาให้ผู้หญิงของมึงเถอะ”

   “กูไม่เคยทิ้งรอยไว้บนตัวใคร”

   “ไม่ได้อยากรู้มั้ย”

   “ถามจริงมึงเป็นอะไร มึงไม่เคยเป็นแบบนี้นะเว้ย”

   “เลิกถามกูได้ละ ถ้าเป็นไปได้ก็เลิกสนใจกูไปเลยมันคงจะดีกว่านี้ ใช้ชีวิตของมึง มีความสุขของมึง แล้วเลิกเอากูเข้าไปยุ่งแค่นั้นพอ”

ไม่จำเป็นต้องบอกหรือพูดอะไรอีกแล้ว พูดไปก็กลัวจะเข้าตัวเอง เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่มันรู้ว่าผมคิดไม่ซื่อ ความสัมพันธ์ที่สร้างมาจะไม่เหลืออะไรเลย แค่คำว่าเพื่อนก็จะไม่เหลือ…














 ผมนัดไอ้โบนกับไอ้ทูที่ร้านกาแฟในมหา’ลัยโดยไม่ได้บอกกล่าวไอ้ค่ายเอาไว้ รวมถึงไม่ได้พูดเรื่องที่แอบไปได้ยินมาเมื่อคืนให้ใครฟังด้วย ทุกการกระทำของไอ้ค่ายที่มีให้ผมตลอดเป็นเพียงการเสแสร้งแกล้งทำ แล้วจะให้ผมไว้ใจใครได้อีก ไม่มีแล้ว

   “เติร์ด มึงไม่ชวนเพื่อนรักมึงมาด้วยวะ”

   “ชวนมาทำไม”

   “โกรธอะไรมันนักหนา มีอะไรที่กูไม่รู้หรือเปล่า นี่ก็ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนะ” มึงแหละตัวดีเลยไอ้โบน ไอ้ฉิบหาย

   “กูไม่ได้โกรธมัน”

   “มันเพิ่งโทรมาหากูว่ามึงไม่เหมือนเดิม มีอะไรก็เคลียร์กันเถอะว่ะ เป็นแบบนี้ต่อไปมันจะแย่”

   “ไม่มีใครอยากให้มันแย่หรอก แต่ถ้ามึงเป็นกูมึงจะรู้” ว่ามันเจ็บแค่ไหน...

   “เดี๋ยวไอ้ค่ายแวะเข้ามานะ กูอยากให้มึงสองคนได้เปิดอกคุยกัน” คราวนี้เป็นไอ้ทูที่เสนอตัวบ้าง มันตบบ่าเป็นการปลอบใจแม้ไม่รู้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่มันน่าจะเป็นคนเดียวที่เข้าใจความรู้สึกของคนแอบรักข้างเดียวอย่างผมมากที่สุด

   มันรู้ว่าผมรักแต่ก็ทำอะไรไม่ได้

   มันรู้ว่าผมพยายามสารภาพ แต่ก็ไม่เคยได้ผล

   สิบนาทีหลังจากนั้นร่างสูงของเด็กนิเทศฯ ปีสามก็เดินเข้ามาในร้าน เจ้าตัวสั่งเครื่องดื่มตรงเคาน์เตอร์ชั่วครู่ก่อนผินตัวเดินตรงดิ่งมาที่โต๊ะของเรา

   “ว่าไงมึง แฮงก์กันบ้างป่ะ” บทสนทนานั้นยังเอ่ยทักทายเหมือนเดิม แม้เราต่างรู้ดีว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไป

   “ไม่ว่ะ สาวแจ่มจนตากูสว่างยันเช้าเลย” ไอ้โบนพยายามพูดสร้างบรรยากาศแต่มันก็เท่านั้น

   “ถ้าแฮงก์ต้องจัดนี่ ออเร้นจิน่าใส่ราสเบอร์รี่สองปั๊ม”

   “แดกตอแหลจังนะ” ผมพูดลอยๆ จนทุกเสียงเงียบลงถนัดตา ถ้าอยากจะเคลียร์มันก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่าการถอยออกมาเพื่ออยู่ในจุดเดิมอย่างที่มันควรเป็นตั้งแต่แรกหรอก

   “กูอยากย้ายห้อง”

   “เติร์ด”

   “เป็นไปได้ก็อยากย้ายวันนี้เลย”

   “มึงไม่โอเคอะไรวะ เรื่องสาวเหรอ เฮ้ยกูโอเคถ้ามึงจะไม่ให้เค้าเข้ามาในห้อง” ไอ้ค่ายพูดด้วยน้ำเสียงลนลาน แต่เหตุผลนั้นมันไม่ใช่หรอก

   มันคือมึง...ที่ทำกับกูเหมือนเป็นตัวตลกต่างหาก

   “กูขอไปอยู่ห้องกับมึงได้มั้ยวะไอ้ทู”

   “เติร์ดมึงคุยกับกูก่อน มึงไม่พอใจอะไร”

   “เปล่า กูแค่อยากย้ายมึงจะได้มีอิสระไม่ต้องอึดอัดอีก”

   “กูไม่เคยคิดอย่างนั้นเลยนะเว้ย”

   “ตอนเย็นกูไปย้ายของนะ”

   พูดแค่นั้นผมก็รีบลุกขึ้นยืนเต็มความสูง พาตัวเองออกจากร้านแล้วเข้าไปอยู่ในห้องน้ำทันที ผมเป็นผู้ชาย และผมไม่อยากให้ใครต้องมาเห็นตัวเองที่กำลังร้องไห้ ต้องทนมาตลอดเพื่อเก็บความรู้สึกรักเอาไว้ข้างใน แต่วันหนึ่งกลับรู้ความจริงว่าเพื่อนที่เรารักนั้นกำลังเล่นกับความรู้สึกเราอยู่

   ทุกการกระทำที่ผ่านมาของไอ้ค่ายเหมือนให้ความหวังผมอยู่เสมอ มันเลยปล่อยไม่ได้สักทีเพราะอีกใจหนึ่งก็คิดว่ามันอาจจะมีใจให้เหมือนกัน พอวันที่รู้ความจริงทุกอย่างก็สายเกินไป ผมถลำลึกจนกู่ไม่กลับแล้ว

   เสียใจ คงเป็นประโยคเดียวที่ผมรู้สึกกับมัน

   Rrrrr…!

   อาการสั่นของมือถือในกระเป๋ากางเกงทำให้ผมต้องหยิบขึ้นมาดู ก่อนจะเห็นว่าปลายสายนั้นเป็นของไอ้ทู และมันเป็นคนเดียวที่รู้ความลับของผม เลยไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่กดรับ

   ยังไม่ทันได้กรอกเสียงลงไป ก็มีเสียงหนึ่งแทรกเข้ามาเสียก่อน

   [กูไม่รู้ว่ามันโกรธอะไรกูเว้ย มันไม่ยอมบอก] เสียงนั้นเป็นของไอ้ค่าย และผมจำได้ดีแม้จะไม่ดังมากก็ตาม

   [อืม...]

   [มันก็รู้ว่ากูโคตรแคร์มัน]

   [ปากมึงแคร์แต่การกระทำมึงไม่ใช่ไง] แล้วก็มีเสียงของไอ้ทูแทรกเข้ามาเป็นระยะ ผมเดาได้ว่าเจ้าตัวคงกำลังเปิดลำโพงเพื่อให้ผมได้ยินอยู่

   [แล้วมันไม่ใช่ยังไงวะ กูแม่งมืดแปดด้านไปหมดละ]

   [ไม่รู้ดิ เรื่องผู้หญิงป่ะ กูก็ไม่อะไรหรอก เราต่างเป็นแบบนี้มานานแล้วแต่ก็อย่าให้มันกระทบถึงเพื่อน]

   [กูรู้ตัวเองตลอดและก็แยกออกว่าควรให้เพื่อนเท่าไหร่ ให้ผู้หญิงเท่าไหร่ แน่นอนกูให้เพื่อนมากกว่าอยู่แล้วเพราะผู้หญิงเขาผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่ไอ้เติร์ดมันเป็นตลอดไปไง]

   [เหรอ แต่กูก็เห็นมึงเหี้ยกับมันมานานแล้วเหมือนกันว่ะไอ้ค่าย]

   [อย่างกับพวกมึงไม่เหี้ย]

   [เออกูยอม]

   [ถ้ามันบอกให้กูเลิกเหี้ยกูก็จะเลิก]

   [ใคร]

   [เติร์ด]

   [เพื่ออะไรวะ]

   [เพื่อที่กูจะได้ไม่เสียมันไป]

   […]

   [ถ้าต้องแลกหรือสลัดอะไรในชีวิตทิ้งไปบ้าง คนคนนั้นต้องไม่ใช่มัน]

   ตอนนั้นเองที่ผมได้แต่นั่งร้องไห้อยู่ในห้องน้ำพร้อมกับความรู้สึกมากมายที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ แล้วผมต้องทำยังไง จะเลิกชอบมันได้ยังไง...




กลับมาอีกครั้ง โอ๊ยขอโทษที่หายไปนานค่ะ
เรียนจบใหม่คือชีวิตเคว้งมากเข้าสู่สภาวะหดหู่ เดือนนึงนี่เพิ่งปรับตัวได้
ตอนนี้จะค่อนข้างดึงดาวน์นิดนึงแต่ไม่มาก เพราะฟีลนิยายไม่ได้ดราม่า
เราเศร้าเพื่อปูสู่ความฟินนะคะทุกคน รอพี่ค่ายก่อยยยยย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ทฤษฎีจีบเธอ ∞ ตอนที่ 3 [24/05/60] *หน้า9
« ตอบ #249 เมื่อ: 24-05-2017 23:12:25 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Le_Let

  • เป็ดบ้าหัดเขียน
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
    • twiter
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ toomild

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
อาจเป็นเพราะอิชั้นกดดันให้คุณจิตติอัพในใจทุกวัน ทำให้เกิดมาม่าขึ้นมาดั่ย *ปาดน้ำตา เหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น เติร์ดอาจจะเข้าใจผิดหรือถูก? ค่ายอาจจะจริงใจหรือซุงแหล อรุมเด้อ :hao5:

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
โอ้ยยยยอิค่ายยยยยขอกระโดดถีบแรงๆได้มั้ย นิสัยไม่ดีวะถึงจะแค่ต้องการพิสูจน์แต่มาเล่นกับความรู้สึกแบบนี้มันไม่โอเคเว้ย จะร้องแทนเติร์ด ไม่เอาแล้วเติร์ดเทอิค่ายเลยลูกไปหาผู้ใหม่ดีกว่า

ออฟไลน์ me12inzy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
โถ่อิพี่ค่ายยยยยย :katai1:

ออฟไลน์ Starry[Blue]

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ช่างหัวค่ายมัน

แต่ทู โอ้ยยยย ฮือ ทู ดีมาก นายทำดีมากๆ กู้ดๆ

/แต่พอกลับมานึกอีกทีค่ายนี่มันน่าบ้องหูจริงๆค่ะ เติร์ดรูกกกกกกกกหนูอย่าไปยอมมันง่ายๆรูก ฮือ ถึงจะยากก็เถอะ โอ้ย ค่าย!!! โกรธ!!!!!!!

ออฟไลน์ maii

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 222
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-2
งงใจอิพี่ค่ายมากค่ะ ตกลงชอบมั้ยเนี้ยยยย :katai1: :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ AppleA-

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตายไปซะอิค่าย ทำเติร์ดเสียใจใจร้องไห้  ถามจริงๆนะ ปากบอกแคร์งู้นงี้
แต่คนเราถ้าใส่ใจกันจริงๆเรื่องบางเรื่องมันมองเห็นง่ายมากนๆ
แต่นี่คือไม่รู้อะไรเลยนอกจากว่าเค้าโกรธ
เหมือนเด็กหวงตุ๊กตามากกว่า  ที่ยอมทิ้งผู้หญิงคนอื่นไปง่ายๆ
คงเพราะตัวเองก็ไม่ได้รักอะไรมากมายมั้ง  ส่วนเติร์ดที่เคยอยู่ใกล้ร่าเริงดีตลอด
พอจะไป เลยหวงขึ้นมามั้ง 

ออฟไลน์ tamji

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
โอ้ยย เสียใจ ค่ายรับรู้ทีเถอะ สงสารทั้งคู่ :sad4:

ออฟไลน์ Chise

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
อยากให้เติร์ดแยกห้องจากค่าย กลัวว่าถ้ากลับไปมันจะวนอยู่จุดเดิมๆ
หวังว่าอิค่ายจะคิดอะไรได้บ้าง ไม่งั้นก็ให้เติร์ดเจอคนใหม่ๆน่าจะดี

ออฟไลน์ namngern

  • Flowers need to bloom
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-2
เอาจริง เราโกรธทั้งโบนทั้งค่ายนะ
โคตรเสียความรู้สึก
เราเคยเจองี้อะ ตอนนั้นแบบ อิเหี้ย
แต่ก็เพื่อนอะ ทิ้งไม่ลง
เอาตัวออกมาอะดีแล้วเติร์ด รักษาใจตัวเองบ้าง
ดีขึ้นเมื่อไหร่ค่อยกลับมา
หรือจะพาตัวเองพ้นๆไปเลยได้ก็ดี

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ทฤษฎีจีบเธอ ∞ ตอนที่ 3 [24/05/60] *หน้า9
« ตอบ #259 เมื่อ: 25-05-2017 01:30:19 »





ออฟไลน์ Kaikaaa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ค่ายนี่ยังไง   :katai1: :ling1: :ling3:

ออฟไลน์ Aly-Q

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 155
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
โอ้โห อิค๊ายยยย คือตอนนี้ขออย่าให้ทูบอกเรื่องของเติร์ดกับโบนเท่านั้นเลย กลัวใจมากอ่ะ ให้เติร์ดย้ายห้องด้วยอย่าไปอยู่กับอิค่าย(สักพัก)เลย :m31: :m31: :m31:

แอบเพิ่มนิดนึงคือ จะบอกว่าเขียนดีมากเลยค่ะ เหมือนรับรู้ความรู้สึกของเติร์ดที่ประคองความรักมาเกือบ3 ปีแต่โดนเพื่อนทำให้มันพัง เหมือนเติร์ดผิดหวังมากๆ แต่ก็สุดท้ายก็ยังรักอยู่ดี :sad4: :sad4:  เป็นคนตลก แต่ไม่ได้เป็นตัวตลก เข้าใจไหมอิค๊ายยย :z6:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-05-2017 01:46:01 โดย Aly-Q »

ออฟไลน์ GOLDMIND

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
แง แง ปลอบน้าาา ค่ายแม่งเง้อ เริ่มจะอยากให้เติร์ดเลิกรักค่ายแล้วซะงั้น งื้อออ ค่าย สันดานนาย แน่ใจอ่อว่าจะทำได้ หึ นายเอกกูเจ็บอีกแน่ทรู เจ็บปานมดลูกหายก่อนฟินนิ ถ้าฟินแล้ว เติร์ดมันจะเชื่อใจค่ายไหมเนี่ยถ้ามันแค่คุยกะผญ. มันต้องมีระแวงแน่ๆ อึ๊บสาวเป็นว่าเล่นอย่างงั้น ที่นี้ค่ายงานงอกนายแล้วละ เมียไม่เชื่อใจ..เห่อๆ
 :pig4: :กอด1:

ออฟไลน์ colorofthewind21

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-1
โอ้ยย สงสารเติร์ดความรู้สึกไม่ใช่เรื่องตลกนะเว้ยย

ออฟไลน์ MSeraph

  • This too shall pass
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1751
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-3
สวสารเติร์ดอะ อิค่ายกับโบนทำงี้คือโคตรแย่
อยากรู้นี่วิธีพิสูจน์มีล้านแปดอะ
ทำไมต้องมาเลือกวิธีที่เอาความรู้สึกเพื่อนตัวเองมาล้อเล่น
ถ้าเติร์ดไม่ได้คิดอะไรแต่แรก แล้วเจอค่ายไปอ่อยใส่งี้
แล้วเกิดมาหวั่นไหวทีหลังตอนนั้นอะ จะไปโทษใคร
ยังไงเติร์ดก้พังอยู่คนเดียวอยู่ดี
ปากบอกแคร์แต่การกระทำมันไม่ใช่ มันแค่หวงเพื่อนอะ
คนที่หวงของ กับคนที่รักของชิ้นนั้นจนไม่อยากเสียไปอะ
มันคล้ายกันนะวิธีแสดงออกอะ แต่มันไม่เหมือนกันเลย
และดูไม่ออกว่าค่ายเป็นแบบแรก หรือแบบหลังที่ยังโง่อยู่
ส่วนโบนนี่ไม่มีไรจะพูด เติร์ดก้เพื่อนมั้ย เสนอวิธีอะไรมาเหมือนไม่ใช่คนที่ต้องแคร์อะ
ทูนี่คือทำดีอะ รู้งานสุด นี่อะคือคนที่แคร์คนอื่นจริงๆ
สงสารเติร์ดอยู่ดี อยากให้ถอยออกมายังตัดใจไม่ได้ก้จริงอะ
แต่ถอยออกมาให้ตัวเองแข็งแรงก่อน ให้ไม่ต้องเจ็บกับเรื่องเดิมๆ
ให้อิค่ายมันได้ดิ้นบ้าง ตอนที่เรากำลังจะเสียของสำคัญไปอะ
เดี๋ยวก้รู้ว่าจริงๆแค่หวง หรือรักจนไม่อยากเสียไป

ออฟไลน์ ceylon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 389
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
โอ้ยแบบ ไม่รู้จะพูดอะไรกับค่าย สงสารเติร์ดอ่ะ

ออฟไลน์ rikulism♡

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
บอกไม่ถูก แต่ถ้าเราเป็นเติร์ดถึงเราไม่ได้ชอบค่าย เราก็โกรธอ่ะ
วิธีอื่นก็มี แต่นี่ความรู้สึกคนทั้งคน อะไรคือแคร์พูดดด
จากที่อ่านฝั่งเติร์ด ดูไม่ออกเลยจริง นึกซะละว่าอิค่ายก็มีใจ แกนะแก
โบนก็อีกคน เสี้ยมนักนะะ เติร์ดลูกกกฮึบไว้ฮึบ ตอนนี้ชอบทูมากเลยจย้า -/-
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
ชอบจริงๆเลย เรื่องหน่วงๆแนวนี้._ . เติร์ดนี่นิสัยคล้ายเราเลย งือให้ใจเลยจ่ะ

ออฟไลน์ hoshichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 109
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
สงสารเติร์ด เรื่องนี้จะโหดร้ายเกินไปแล้ว
เป็นเราก็จะเข้าใจว่าค่ายมีใจ พอได้ยินว่าแค่ลองใจ คงช็อกอ่ะ ล้อเล่นแรงไปรึเปล่า
แล้วค่ายจะลองไปเพื่อ???
ถ้าไม่ชอบเติร์ดก็อย่าทำให้เจ็บเลยสงสาร

ออฟไลน์ ทั่วหล้า

  • ไม่ช่างพูดแต่ช่างพิมพ์
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1049
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
โคตรเข้าใจเติร์ดเลย
แต่ถ้าเป็นเรา เราคงถอยออกมาก้าวนึงนานแล้ว
ไม่ยอมเข้าไปใกล้ๆให้เจ็บขนาดนี้หรอก

แต่นี่เป็นเติร์ดไง ตัดสินใจดีๆนะ
แต่เชียร์ให้เทอีค่ายมัน เทให้หมดทุกสิ่ง
เทมัน! เทมัน! เทมัน!

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9
 :pig4: :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด