ทฤษฎีจีบเธอ ∞ THE END
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ทฤษฎีจีบเธอ ∞ THE END  (อ่าน 2134374 ครั้ง)

ออฟไลน์ why yyy

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +309/-8
ขอบคุณ :)

ออฟไลน์ pui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-3
คนอย่างค่ายนี้มัน :m16:

ออฟไลน์ Cardiac

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 355
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
สงสารเติร์ด :o12:

ออฟไลน์ ZomZaa^^

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 783
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-0
แอบเสียน้ำตาเล็กๆ สงสารรรรรรร :sad4:

ออฟไลน์ myd3ar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-4
มันหน่วงจัง น้องเติร์ดน่าสงสารมาก

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
สงสารใจเติร์ดมาก อยากปลอบ อยากกอดแน่นๆ คือเข้าใจเติร์ดเลยอ่ะว่ามันเจ็บมากๆ ไม่ว่าอิค่ายจะชอบเติร์ดเหมือนกันหรือไม่ชอบแกก็ไม่ควรเล่นกับความรู้สึกเพื่อนแบบนี้ป่ะวะ วิธีพิสูจน์มีตั้งเยอะตั้งแยะอ่ะ ทำไมไม่เลือกวิธีอื่น

ออฟไลน์ Pakbung

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 อิเหี้ยยยพี่ค่ายยย อุ้ยโทษๆมือลั่นว่ะ
 สงสารเติร์ดคงนอยด์หนักมาก ที่คนที่ตัวเองชอบมาเล่นกับความรู้สึกแบบนี้
 อยากให้ย้ายไปอยู่กับทู จะได้สมน้ำหน้าอิพี่ค่าย>> โทษๆนั้นพระเอกเนาะ  :katai5:

ออฟไลน์ bpyt

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1319
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
คืออะไรว่ะค่าย เพื่อนกันเค้าแคร์กันขนาดนี่จริงหรอ
อยากให้เติร์ดตัดใจไปชอบคนอื่น อิค่ายมันจะได้สำนึกซะบ้างงง

มาต่อไวๆ ได้ไหมค้าาาา หรือนี่เป็นนิยายรายเดือน

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
โหย ถ้าเป็นเติร์ดนะก็ไม่รู้ทำไงเหมือนกัน ตัดใจไม่ง่ายจริงๆ...

ออฟไลน์ Guy_BLove

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
งือออออออ แงงงงงง อยากอ่านต่อแล้วนะค้า :ling1: :ling1: :ling1: :ling1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ทฤษฎีจีบเธอ ∞ ตอนที่ 3 [24/05/60] *หน้า9
« ตอบ #309 เมื่อ: 26-05-2017 10:31:22 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ammchun

  • Don't Worry,Be Happy
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1389
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-4
ขอถามค่ะ เรื่องนี้จะมาแนวเดิมๆเหมือนปลาบนฟ้ากับคั่นกูมั้ยคะ? เราอยากอ่านเรื่องที่ฉีกออกไปปกติคุณจะเขียนหลายแนวอยู่ เราตามนิยายคุณทุกเรื่องตั้งแต่เรื่องแรก จนคุณมาพีคกับปลาบนฟ้าซึ่งเราก็ชอบมากกกก. แต่พอมาคั่นกูเราเฉยมากๆเพราะมันเหมือนปลาบนฟ้าในความรู้สึกของเรา เรืีองนี้พอเห็นชืีอเรื่องเราเลยอยากรู้ว่ามันจะเหมือนอีก2เรื่องที่ผ่านมามั้ยคะ อ้อเราตามที่คุณเขียนอีกเรื่องอยู่เราชอบมากๆค่ะ

ออฟไลน์ Jittirain12

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 353
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1238/-18
ขอถามค่ะ เรื่องนี้จะมาแนวเดิมๆเหมือนปลาบนฟ้ากับคั่นกูมั้ยคะ? เราอยากอ่านเรื่องที่ฉีกออกไปปกติคุณจะเขียนหลายแนวอยู่ เราตามนิยายคุณทุกเรื่องตั้งแต่เรื่องแรก จนคุณมาพีคกับปลาบนฟ้าซึ่งเราก็ชอบมากกกก. แต่พอมาคั่นกูเราเฉยมากๆเพราะมันเหมือนปลาบนฟ้าในความรู้สึกของเรา เรืีองนี้พอเห็นชืีอเรื่องเราเลยอยากรู้ว่ามันจะเหมือนอีก2เรื่องที่ผ่านมามั้ยคะ อ้อเราตามที่คุณเขียนอีกเรื่องอยู่เราชอบมากๆค่ะ

ที่คนอ่านถามมาจิตติไม่แน่ใจว่าความเหมือนที่คนอ่านพูดหมายถึงด้านไหน คือจิตติเป็นคนเขียนได้แค่สองแนวที่มันค่อนข้างสุดโต่ง ดราม่าก็ดราม่าไปเลย ฟีลกู๊ดก็จะเป็นแบบนั้นทั้งเรื่อง เลยคิดว่าถ้าเป็นแนวนี้ฟีลมันจะคล้ายๆ กันทุกเรื่องค่ะ ในเรื่องภาษา รวมถึงไดอาล็อกต่างๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคิดว่าความแตกต่างของแต่ละเรื่องอยู่ที่พล็อตซึ่งได้วางเอาไว้ จิตติเลยไม่แน่ใจว่าที่ตัวเองเขียนอยู่นี้มันจะเหมือนเรื่องที่ผ่านมาอีกหรือเปล่า แต่รายละเอียดหรือพล็อตเราว่าแตกต่างกันแน่นอน อาจจะรบกวนให้คนอ่านอ่านต่อไปอีกสักพัก ถ้าไม่โอเคหรือเหมือนกับที่ผ่านๆ มาก็ขอโทษด้วยค่ะ แต่จะพยายามพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆนะคะ กอดๆ

ออฟไลน์ Veesi3

  • coHon3 {ต้นฝ้าย}
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 715
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
อิค่ายยยยยยยยยยย ชั้นโกรธแกรรร แกทำน้องเติร์ดอย่างนี้ได้ยังไงงงงงง  :m31:

ออฟไลน์ ammchun

  • Don't Worry,Be Happy
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1389
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-4
ขอถามค่ะ เรื่องนี้จะมาแนวเดิมๆเหมือนปลาบนฟ้ากับคั่นกูมั้ยคะ? เราอยากอ่านเรื่องที่ฉีกออกไปปกติคุณจะเขียนหลายแนวอยู่ เราตามนิยายคุณทุกเรื่องตั้งแต่เรื่องแรก จนคุณมาพีคกับปลาบนฟ้าซึ่งเราก็ชอบมากกกก. แต่พอมาคั่นกูเราเฉยมากๆเพราะมันเหมือนปลาบนฟ้าในความรู้สึกของเรา เรืีองนี้พอเห็นชืีอเรื่องเราเลยอยากรู้ว่ามันจะเหมือนอีก2เรื่องที่ผ่านมามั้ยคะ อ้อเราตามที่คุณเขียนอีกเรื่องอยู่เราชอบมากๆค่ะ

ที่คนอ่านถามมาจิตติไม่แน่ใจว่าความเหมือนที่คนอ่านพูดหมายถึงด้านไหน คือจิตติเป็นคนเขียนได้แค่สองแนวที่มันค่อนข้างสุดโต่ง ดราม่าก็ดราม่าไปเลย ฟีลกู๊ดก็จะเป็นแบบนั้นทั้งเรื่อง เลยคิดว่าถ้าเป็นแนวนี้ฟีลมันจะคล้ายๆ กันทุกเรื่องค่ะ ในเรื่องภาษา รวมถึงไดอาล็อกต่างๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคิดว่าความแตกต่างของแต่ละเรื่องอยู่ที่พล็อตซึ่งได้วางเอาไว้ จิตติเลยไม่แน่ใจว่าที่ตัวเองเขียนอยู่นี้มันจะเหมือนเรื่องที่ผ่านมาอีกหรือเปล่า แต่รายละเอียดหรือพล็อตเราว่าแตกต่างกันแน่นอน อาจจะรบกวนให้คนอ่านอ่านต่อไปอีกสักพัก ถ้าไม่โอเคหรือเหมือนกับที่ผ่านๆ มาก็ขอโทษด้วยค่ะ แต่จะพยายามพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆนะคะ กอดๆ


รับทราบค่าาาา  :katai2-1: เราอาจโหยหาความดราม่า? 5555 จะลองอ่านค่ะ :pig4:

ออฟไลน์ klaew

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1237
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-2
เล่นแรง
คือต้องทำอะไรแบบนี้เลยเหรอ
สงสารเติร์ดนะ แต่ก็ต้องยอมรับอย่างนึงว่า..
ตัวเองก็ทำตัวเองอ่ะ
ค่ายบอกถ้าจะสลัดอะไรสักอย่าง แต่ต้องไม่ใช่เติร์ด นี่หมายถึง เพื่อน ถูกมั้ย
ลองถ้าเป็นอีกสองคน ค่ายก็คงคิดเหมือนกัน
ถึงตอนนี้ มันอยู่ที่เติร์ดอะ ว่าจะเอายังไง
เลือกเพื่อน ก็ปากแข็งต่ออย่าพูดออกมา
เลือกใจตัวเอง ลองรวบรวมความกล้าเปิดปากสารภาพไปเลย
คนเรามีขีดจำกัด ถามดูสิว่าพอหรือยัง สู้ๆ

ออฟไลน์ เมียงู

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อย่านะเติร์ด อย่าใจอ่อนนน

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
ค่ายคนโง่ อยู่ใกล้มากไป หรือสนใจเรื่องอื่นด้วย เลยไม่เคยรู้ตัว

เติร์ดก็ชัดเจนเกิน ตอนชอบก็ทำปกติใจหาย พอตอนแอบรู้ว่าถูกหลอก ดันสวิงมากมาย
เติร์ดน่าสงสารนะ มากด้วย เรื่องแอบรักนี่ไม่หายเลย ยิ่งกับเพื่อนสนิท แบบสนิทมากเวอร์ด้วย

ทูรู้เรื่องนะ ค่ายคนบื้อ ขนาดโบนยังสงสัยเลย

รอดูว่าค่ายจะทำไง ในเมื่อเติร์ดออกอาการว่า จะตัดใจ

ออฟไลน์ ป่ามป๊ามป่ามปาม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
อ่านไปพร้อมกับเปิดเพลงช่างไม่รู้เลย สงสารเติร์ด อินมาก น้ำตาไหล  :hao5:
เริ่มสงสัยว่าทฤษฎีจีบเธอนี่ใครจีบใคร ต่อจากตอนนี้อิค่ายอาจจะ...

ออฟไลน์ Jittirain12

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 353
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1238/-18

ตอนที่ 4
โง่เซ่อบ้าเพราะว่าความรัก



   หลังวางสายจากไอ้ทู ผมใช้เวลาในห้องน้ำอยู่นานเพื่อคิดถึงเรื่องสับสนในหัว ทั้งความรู้สึกของผมเอง หรือแม้แต่ความรู้สึกของไอ้ค่ายก็ตาม ผมอยากรู้...ว่ามันแคร์ผมแบบไหนกันแน่ แบบที่คนรักกัน

หรือแค่เพื่อนสนิทคนหนึ่งเท่านั้น

   ผมรู้สึกสมเพชตัวเองอยู่นิดหน่อยที่อ่อนแอได้ขนาดนี้ ทันทีที่เดินออกมายืนอยู่หน้ากระจก สิ่งแรกที่ปรากฎในม่านสายตาก็คืออาการบวมแดงที่ดูยังไงก็รู้ว่าผ่านการร้องไห้มาหนักแค่ไหน แล้วอย่างนี้จะมีหน้าออกไปเจอเพื่อนได้ยังไงกันวะ

   ดังนั้นแทนที่จะเข้าคลาสพร้อมกับเพื่อนในกลุ่ม ผมกลับปลีกตัวออกมาเพื่อหลีกหนีการเผชิญหน้ากับไอ้ค่าย ขับรถมุ่งหน้าไปยังคอนโดเพื่อเก็บข้าวของและเตรียมพร้อมสำหรับการขนย้าย ผมไม่อยากอยู่กับมันอีกแล้ว การแอบชอบมาตลอดสองปีนั้นว่างเปล่า และมันก็สร้างบาดแผลในใจเอาไว้มากมาย

   ตลอดเวลาที่เก็บเสื้อผ้าและของใช้ เสียงจากมือถือที่ถูกโยนทิ้งไว้บนเตียงก็ดังระงมไม่ขาดสาย สามถึงสี่สายแรกเป็นของไอ้ค่ายกับไอ้โบนที่โทรสลับกันมาและไม่นานก็ดับไป สายที่ห้าแผดเสียงขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับชื่อของคนโทรเข้า เมื่อเห็นว่าเป็นของไอ้ทูผมเลยตัดใจรับสายอย่างจำใจ

   [ไอ้เติร์ดมึงอยู่ไหน ทำไมไม่เข้าเรียน] น้ำเสียงที่ส่งผ่านมาดูร้อนรนมาก

ผมไม่อยากเป็นเพื่อนงี่เง่าในสายตาพวกมันที่เอะอะก็หนีปัญหา แต่ครั้งนี้มันโคตรหนักหนาสำหรับผม การเผชิญหน้ากับคนที่เล่นกับความรู้สึกของเราโดยพยายามไม่แสดงท่าทีใดๆ เป็นเรื่องยากเย็นมาก ซึ่งผมก็ควบคุมไม่ได้

   “กูอยู่ห้องไอ้ค่าย”

   [ไปทำอะไรที่นั่นวะ]

   “เก็บของ ส่วนมึง ถ้าเลิกคลาสแล้วเก็บชีทเรียนไว้ให้ด้วยนะ”

   [เดี๋ยวๆ มึงจะย้ายจริงดิ ใจเย็นก่อนไอ้เหี้ย]

   “กูจะกลับไปอยู่คอนโดเดิม ถึงห้องเก่ากูจะปล่อยเช่าใหม่ไปแล้วแต่ก็ยังพอมีห้องว่างของชั้นอื่นอยู่”

   [เติร์ดกูถามจริง มึงไปได้ยินหรือเจออะไรมากันแน่]

   “กูต้องเก็บของแล้ว ยังไงเลิกเรียนเสร็จมึงก็มาเจอกันที่ล็อบบี้แล้วกัน”

   ผมจบประเด็นทุกอย่างลงก่อนจะกดวางสาย อาจเพราะตอนนี้ยังไม่พร้อม และก็ไม่แน่ใจว่าไอ้ทูมันยังนั่งอยู่กับสองคนนั้นหรือเปล่าผมถึงไม่โพล่งออกไป

   สำหรับไอ้ค่าย ไม่มีเหตุผลที่ผมต้องบอกกับมันว่าบังเอิญได้ยินอะไรไม่เข้าหูมาบ้าง เพราะกลัว...กลัวว่าถ้ารู้แล้วจะกลายเป็นมันต่างหากที่รับผมไม่ได้ คนที่ชอบผู้หญิงและมีกำแพงสูงกับเพื่อนเรื่องความรักมาตลอด มันจะรับได้เหรอว่าเพื่อนสนิทที่พร่ำบอกว่ารักนักหนากำลังคิดไม่ซื่ออยู่

   จะรับได้เหรอที่ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนแปรเปลี่ยนเพราะคนอย่างผม ไอ้ค่ายรับไม่ได้หรอกถ้ารู้ว่าสิ่งที่มันแสร้งทำลงไปนั้นได้ผลเกินคาด คนเหี้ยๆ อย่างมันรักใครไม่เป็นหรอก และคนโง่ๆ อย่างผมก็คงไม่คู่ควรกับเพื่อนคนนี้เช่นกัน

   ผมใช้เวลาเก็บของจุกจิกใส่กล่องกระดาษอย่างลวกๆ รวบเอาเสื้อผ้าบนราวแขวนยัดใส่กระเป๋า คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะก็จัดการแพ็คใส่กล่อง ข้าวของแม้ไม่มากก็จริงแต่ก็กินเวลาค่อนข้างนาน วันนี้มีหลายวิชาที่ต้องเรียน กว่าเจ้าของจะกลับมาถึงห้องผมก็คงย้ายทุกอย่างไปหมดแล้ว

แต่ผิดคาดที่ครึ่งชั่วโมงให้หลัง เสียงขลุกขลักจากประตูหน้าห้องกลับดังขึ้นมาพร้อมกับร่างของคนที่ผมไม่อยากเจอมาตลอด

ไอ้ค่ายยืนกระหืดกระหอบอยู่ตรงประตูห้องนอน สีหน้าเต็มไปด้วยความตึงเครียด เหงื่อเม็ดโตผุดซึมเต็มหน้าผากแถมเสียงลมหายใจที่พรูออกมาถี่ขนาดนั้นก็ทำให้เดารางๆ ได้ว่าเจ้าตัวคงรีบรุดมาที่นี่อย่างสุดกำลัง

ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงใจอ่อน ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมอาจใช้เวลาทบทวนและปรับความเข้าใจกับมันอีกครั้ง แต่มันสายไปแล้ว ไอ้ค่ายพังทุกอย่างด้วยมือของมันเอง

ที่เคยบอกว่ารักกัน ที่เคยบอกว่าผมเป็นเพื่อนสนิทของมัน บอกตลอดว่ายังไงมันก็เลือกผม แม่งเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ กับคนเห็นแก่ตัวแบบนี้กูอยู่ไม่ได้หรอก

“เก็บของทำไม” ร่างสูงถามเสียงเรียบ พลางยกมือขึ้นมาเสยผมที่ปรกหน้าแรงๆ

“กูจะย้าย”

“มึงจะไปอยู่ไหน ตอนนี้ที่บ้านมึงมีปัญหาก็อยู่ด้วยกันที่นี่ก่อนดิ”

“ไปอยู่กับกูก็ได้ เดี๋ยวกูช่วย” ไอ้ทูที่ยืนอยู่ด้านหลังรีบแทรกขึ้นพัลวัน สงสัยมันยังจำได้ว่าก่อนหน้าผมกับมันกุแผนโกหกอะไรขึ้นมาบ้าง แต่มันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว ขอแค่ไม่ต้องอยู่ในห้องนี้ผมยอมทำทุกทาง

“เงียบไปเลยไอ้ทู กูขอเคลียร์กับไอ้เติร์ดสองคน”

“เชิญๆ” เจ้าของชื่อรีบปิดประตูห้องนอนอย่างมีมารยาท ทิ้งให้ผมกับไอ้ค่ายยืนจ้องหน้ากันอยู่เท่านั้น

   “เติร์ดกูแค่อยากรู้ว่ากูผิดอะไร”

   “มึงจะมาอยากรู้ทำไมตอนนี้”

   “ก็ถ้ากูทำผิดต่อไปก็จะได้แก้ไขไง มึงไม่อยากให้กูพาผู้หญิงเข้ามาในห้องใช่มั้ย ได้! ต่อไปกูไม่พามาเลย มึงโอเคมั้ย”

   “มันไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้นหรอกว่ะ เรื่องนี้มันแก้ไขไม่ได้แล้วกู...ผิดเอง” ใช่! ผมผิดเองที่รักเพื่อนสนิท ผิดตั้งแต่คิดไม่ซื่อกับมันแล้ว พอมารู้ความจริงว่าการกระทำทุกอย่างที่อีกฝ่ายทำดีด้วยเป็นเพียงแผนทดสอบ ผมก็ผิดหวังไปเอง ดิ้นไปเองอยู่คนเดียว

   “กูขอถามหน่อยว่าเรารู้จักกันมากี่ปี”

   “สองปีกว่าๆ”

   สองปี สี่เดือน เป็นช่วงเวลาที่กูรักมึงข้างเดียวมาตลอด

   “มึงบอกว่ากูเป็นเพื่อนสนิท”

   “ใช่ เรามีกันอยู่สี่คน มึงคือเพื่อนรักของกู”

   แต่มึงไม่เคยรู้เลยว่ากูไม่ได้คิดกับมึงแบบนั้น กูมีเพื่อนสนิทสองคน ส่วนมึงคือคนที่กูรัก

   “มึงรู้ว่ากูชอบอะไรและเกลียดอะไร”

   “ใช่ กูรู้ทุกอย่าง”

   สิ่งหนึ่งที่มึงไม่เคยรู้ คือมึงได้กลายเป็นสิ่งที่กูรักและเกลียดในเวลาเดียวกันไปแล้ว

   “มึงบอกว่ามึงแคร์กูมาก แต่การกระทำมันไม่ใช่ เรายังรักกันอยู่ใช่มั้ยวะ”

   “กูรักมึง” แต่สิ่งที่ไอ้ค่ายกับไอ้โบนทำมันไม่เรียกว่าความรัก ไม่รู้ว่าพวกมันเคยคิดมั้ยว่าถ้าวันหนึ่งผมรู้ความจริงขึ้นมาจะเกิดอะไรขึ้น และถึงแม้ว่าผมไม่ได้รักไอ้ค่ายจริงความรู้สึกที่เหมือนถูกตบหน้าก็ยังฝังอยู่ในหัวไม่มีวันจาง

   “เพื่อนไม่ทำกันแบบนี้หรอก”

   “กูทำอะไรลงไป ถ้าไม่พอใจกูขอโทษ กูไม่รู้จริงๆ”

   “ให้กูย้ายจากที่นี่”

   “เติร์ด...” ไอ้ค่ายทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แต่ผมเจ็บยิ่งกว่าตรงที่เผลอร้องไห้ออกมาแล้ว เป็นเพื่อนกันมาก็ตั้งหลายปี ไม่เคยมายืนทำอะไรงี่เง่าแบบนี้เลยสักครั้ง ผมเกลียดตัวเองที่ทำตัวน่ารำคาญ

   “กูต้องย้ายกระเป๋าก่อน เดี๋ยวขึ้นมาเอาพวกของใช้นะ” ผมคว้ากระเป๋าเดินทางใบใหญ่เตรียมเดินออกจากห้อง แต่ไอ้ค่ายเร็วกว่านั้นเมื่อมันคว้ามือผม และยึดเอาไว้อย่างแรงจนข้อมือแทบหัก

   “กูไม่ให้มึงไป”

   “คีย์การ์ดกูจะคืนไว้ให้ที่เคาน์เตอร์ ของทุกอย่างที่เคยใช้กูจะคืนให้หมดนะไม่ต้องห่วง”

   “...”

   “ส่วนใจของมึงก็คงไม่ต้องคืนให้ เพราะมึงไม่ได้ให้กูตั้งแต่แรกแล้ว”

   “เติร์ด มึงเป็นเพื่อนกู กูไม่ให้มึงไป!”

   “เลิกยุ่งกับกูสักที! กูไม่เคยเห็นว่ามึงเป็นเพื่อนเข้าใจมั้ย” ไม่เคยมองเป็นเพื่อนเลยสักครั้ง

   “มึงพูดอะไรออกมา ความเป็นเพื่อนของกูกับมึงมันต้องจบลงแค่นี้เหรอวะ แค่กูทำเหี้ยอะไรไม่รู้ผิดไปมึงถึงกับต้องตัดเพื่อนเลยเหรอ”

   “...” ผมพูดไม่ออก นอกจากยืนกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้สุดความสามารถ

   ปล่อยให้อีกฝ่ายเข้าใจแบบนี้ต่อไป

   “เออ มึงไม่ใช่เพื่อนกู เพราะกูไม่เคยมีเพื่อนงี่เง่าแบบนี้”

   “...”

   “จะไปไหนก็ไป”

   ถ้าเลือกตัดใจตั้งแต่วันนี้ ต่อไปก็คงไม่ต้องเจ็บอีก มันดีที่สุดแล้ว...












   การย้ายที่อยู่แบบฉุกละหุกในรอบที่สองของเดือนทำเอาเพื่อนรักอีกคนอย่างไอ้ทูนอนปาดเหงื่ออย่างหมดอาลัยตายอยาก หลังไอ้ค่ายปล่อยให้ผมออกมามันก็ไม่ได้ช่วยเหลือเรื่องการขนย้ายแม้แต่น้อย จะมีก็แต่ผม ไอ้ทู กับไอ้เหี้ยโบนเท่านั้นที่หัวหมุนช่วยกันอยู่สามคน

   ด้วยความที่ไอ้ทูกลัวแผนการที่วางเอาไว้ก่อนหน้าจะแตกซะก่อน ดังนั้นผมเลยต้องมาอาศัยห้องของมันอยู่อีกสักพักใหญ่ๆ เมื่อต่างคนต่างแยกย้าย ผมกับเจ้าของห้องรายใหม่ก็เริ่มต้นบทสนทนาที่ค้างคาใจมาตลอดสองวัน

   “สรุปแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่วะ เอาจริงๆ เรื่องที่มึงผิดใจกับไอ้ค่ายไม่มีใครรู้ต้นสายปลายเหตุเลยนะ” เจ้าของเสียงถามอย่างสงสัย ขณะเราทั้งคู่กำลังนั่งพิงหลังโง่ๆ อยู่ตรงโซฟา ด้านหน้าฉายภาพหนังเก่าของเคเบิ้ลช่องหนึ่งวนซ้ำอยู่อย่างนั้น

   “จะให้เริ่มตรงไหนก่อนดี”

   “เอาที่มึงสะดวกจะเล่า จะตั้งแต่ต้นหรือกลางเรื่องก็ได้ แค่ขอให้กูหายโง่ที”

   “เมื่อคืนตอนเราไปกินเหล้า กูแอบไปได้ยินไอ้ค่ายกับไอ้โบนคุยกันในห้องน้ำเรื่องของกู”

   “ทำไม มันชอบมึงเหรอ” ร่างหนาผงกหัวขึ้นมาจ้องหน้าผมอย่างตื่นเต้น โธ่ไอ้ควาย ถ้ามันชอบจริงกูจะเกรี้ยวกราดขนาดนี้มั้ย

   “คิดว่ากูกำลังพูดเรื่องตลกอยู่เหรอ”

   “ใครแม่งจะไปรู้วะ แล้วสรุปมึงโกรธมันเรื่องอะไรกันแน่”

   “เรื่องที่บังเอิญได้ยินมันสองตัวพูดถึงกูในห้องน้ำ ไอ้โบนจับสังเกตกูได้ มันสงสัยว่ากูจะชอบไอ้ค่ายเลยไปบอกให้มันคิดแผนลองใจกู ซึ่งการกระทำทุกอย่างที่กูรู้สึกสุดท้ายแม่งก็เป็นแค่เรื่องล้อเล่นของพวกมัน”

   “ไอ้ระยำตำบอน”

   “เป็นมึงมึงจะให้อภัยมันมั้ยวะ เป็นมึงมึงจะยังชอบมันอยู่หรือเปล่า”

   “…”

   “ส่วนใจกูอ่ะ มันพังไปตั้งแต่วันที่รู้ความจริงแล้วว่ะ”

   ผมได้ยินเสียงถอนหายใจของคนที่นั่งเคียงข้าง ไอ้ทูไม่ได้พูดหรือแสดงความคิดเห็นอะไรออกมาอีกนอกจากจ้องมองจอโทรทัศน์ที่มีภาพเคลื่อนไหวไปมา เกือบสิบนาทีที่เราเป็นแบบนั้นกระทั่งเจ้าตัวพูดทำลายบรรยากาศตึงเครียดลง

“หนังไม่สนุกเลยเนอะ”

   “นั่นหนังโปรดมึงหนิ” The perk of being a wallflower เป็นหนังที่มันบอกเสมอว่าอยากได้นางเอกมาเป็นเมีย และมันก็นั่งดูวนซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น

   “ตอนนี้ไม่ชอบแล้ว มึงล่ะ จะทำยังไงต่อไป”

   “กูจะถอยออกมา และก็...จะตัดใจแล้วนะ”

   “แล้วความเป็นเพื่อนของพวกเราสี่คนล่ะ”

   “มันก็ยังเป็นเหมือนเดิม แค่กูขอเวลาอีกหน่อย” แม้ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ก็ตาม แต่มันจะกลับมาเป็นเหมือนวันนั้น...ที่เรากอดคอและไปไหนไปกันตลอด ยินดีและมีความสุขที่เพื่อนได้เจอความรักดีๆ และไม่ต้องมานั่งเสียใจเพียงลำพัง

   คงจะมีวันนั้น

   “จะทำได้เหรอวะ ชอบมาตั้งนาน”

   “ชอบได้ก็ต้องเลิกชอบได้เหมือนกัน”

   “เออ ยังไงกูก็อยู่ข้างมึง ช่วยมึงจีบไปแล้วตอนนี้กูก็คงต้องช่วยมึงให้ตัดใจจากมัน จะได้ไม่ต้องเจ็บอีก”

   “กูอาจต้องการเวลา”

   “เวลาอย่างเดียวไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้นหรอก นี่กูจะบอกให้นะ พยายามหาข้อเสียของมันดิ ถ้ามึงค้นพบข้อเสียของมันไปเรื่อยๆ แล้วสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่มึงรับไม่ได้ เดี๋ยวก็คงเลิกชอบไปเอง สู้มึง”

   “ขอบใจ”

   เที่ยงคืนแล้วไอ้ทูหนีไปคอลวิดีโอกับสาวในห้องนอน มันบอกกับผมว่าระหว่างที่อยู่ด้วยกันมันจะไม่พาผู้หญิงมาที่ห้องเพื่อละเมิดความเป็นส่วนตัวของผม ซึ่งตอนที่ได้ยินกูก็แทบก้มลงไปกราบที่หน้าตัก

ไอ้ทูบอกให้ผมพยายามงัดเอาข้อเสียของอีกฝ่ายออกมา ที่พอจะนึกออกก็มีอยู่หลายข้อ

ข้อหนึ่ง ขับรถเร็ว

ผมคิดว่านี่คือข้อเสียของไอ้ค่ายนะ แม้ชีวิตนี้จะไม่มีโอกาสซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ของมันเลยก็ตาม อาภัพสัดๆ

ข้อสอง ไม่รู้จักความพยายาม นิดหน่อยไม่ได้ดั่งใจก็ถอดใจไปซะก่อน

   เมื่อก่อนอาจจะยอมรับได้ ตอนนี้ผมยอมรับข้อเสียนี้ไม่ได้แล้ว ดูหลอกตัวเองมั้ย เออนั่นแหละยอมรับว่ามันคงไม่ง่ายที่เราจะเปลี่ยนจากรักใครสักคนเป็นเกลียด ได้แต่หวังว่ากาลเวลาจะช่วยเยียวยาทุกอย่างเอง

ผมนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ห้องนั่งเล่นด้านนอก สักพักจึงถือโอกาสหยิบกล้องวิดีโอที่อยู่ในกระเป๋าขึ้นมาเช็ดและทำความสะอาดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะวางลงบนขาตั้งกล้องพร้อมกับกดถ่าย

   ถ้ายังจำได้ดีผมมีชาแนลในยูทูบเป็นของตัวเอง คนติดตามหลักหมื่นหากแต่คนดูมีแค่หลักร้อย วันนี้จะเป็นอีกวันที่ผมต้องทำหน้าที่รีวิวหนัง แม้จะรู้สึกหดหู่มากมายแค่ไหนก็ตาม

   “สวัสดีครับสัปดาห์นี้เรากลับมาเจอกันอีกครั้งในช่องมูฟวี่ซี้เว่อร์ แต่นี่อาจจะเป็นวิดีโอสุดท้ายของปีนี้แล้วนะครับที่ผมจะทำ ใจหายเลย ครั้งนี้ผมจะมารีวิวหนังเรื่องหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว ชื่อเรื่องว่า Crazy, Stupid, Love ครับ”

   ผมใช้เวลาประมาณสิบห้านาทีเพื่อพูดทุกอย่างที่อยู่ในหัวออกมา บันทึกมันเอาไว้และอัพโหลดลงคอมพิวเตอร์โดยไม่มีการตัดต่อ ยูทูบช่องมูฟวี่ซี้เว่อร์จะยังอยู่ต่อไปแค่ไม่ได้อัพเดตการรีวิวหนังอีกแล้ว และวิดีโอสุดท้ายนี้ก็ไม่ได้เปิดสาธารณะให้คนทั่วไปได้ดู

   ผมตั้งใจเก็บเอาไว้...เป็นความทรงจำของตัวเอง และมันจะไม่หายไปตราบใดที่ช่องนี้ยังอยู่













ชีวิตของแก๊งโหดอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลม เรามักบอกว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิมแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีอะไรเหมือนเดิมแล้ว เราเคยมีกันสี่คนตอนนี้ก็ยังอยู่ครบ แต่ที่ไม่ครบคือเศษซากความรู้สึกที่เก็บมาไม่หมดในวันที่มันแตกลง และกระจัดกระจายไม่เป็นทิศทาง

   ผมกับไอ้ค่ายคุยกันบ้าง ยังคงออกไปเที่ยวสังสรรค์และเรียนด้วยกัน แต่ทุกครั้งนั้นล้วนมีไอ้ทูกับไอ้โบนเกาะเกี่ยวไปด้วย เราไม่ค่อยได้อยู่กันตามลำพังเท่าไหร่เพราะมันค่อนข้างอึดอัด หลังๆ เลยพยายามเลี่ยงสถานการณ์แบบนั้นด้วยการไปทำตัวเกาะหนึบไอ้ทูเป็นปลิงแทน

   ยังดีที่กิจกรรมของเด็กนิเทศฯ สุมหัวจนไม่ปล่อยให้มีเวลาคิดอะไร สัปดาห์หน้าเราต้องนัดประชุมใหญ่กันทั้งคณะด้วยเรื่องของละครเวทีนิเทศฯ แถมสิ้นเดือนก็ยังมีงานครบรอบ 42 ปีคณะอีก คาดว่างานคงหนักหนาเกินกว่าจะมีเวลามานั่งคิดเรื่องส่วนตัวกันแล้ว

   แต่ก่อนจะถึงตอนนั้นนี่สิที่เต็มไปด้วยความยากลำบาก เกือบสองสัปดาห์แล้วที่ผมกับไอ้ค่ายต่างมึนตึงต่อกัน ถ้าเป็นเมื่อก่อนเวลาผมโกรธหรือไม่พอใจ อีกฝ่ายจะตามตื๊อขอโทษขอโพยจนกว่าผมจะให้อภัย แตกต่างจากตอนนี้ที่ไม่ได้เป็นอย่างนั้นแล้ว

   คล้ายกับว่าเราตัดขาดจากความเป็นเพื่อนกันจริงๆ

   “เดี๋ยวเลิกเรียนไปไหน” ผมถามไอ้ทูที่กำลังเก็บของใส่กระเป๋าอย่างขะมักเขม้น จะว่าไปช่วงหลังมานี้ผมก็เริ่มสนิทกับไอ้ทูมากขึ้น ขณะที่ไอ้ค่ายเองก็เริ่มไปไหนมาไหนกับไอ้โบนสองคน

   “ถ่ายรูป”

   “นัดสาวไว้ว่างั้น”

   “พยาบาล โคตรน่ารักไอ้เหี้ย คนนี้กูพลาดไม่ได้เลย” ไอ้ทูยืดตัวตรง จัดการรวบผมมัดตึงใหม่ด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง

   “กูไม่เคยเห็นมึงพลาดสักคน แบ่งให้กูคนนึงสิ”

“ไม่แบ่ง กระดูกมันคนละเบอร์ครับไอ้น้อง”

“เออจะไปไหนก็ไปเหอะ”

   “ไปด้วยกันมั้ย”

   “ไปเป็นก้างขวางคอมึงอ่ะนะ ตามสบายเลยครับเพื่อน”

   “งั้นดึกๆ เจอกันที่ห้องนะครับคุณเติร์ด”

   “จะกลับหรือเปล่ากูยังไม่แน่ใจมึงเลยสัด” พรุ่งนี้วันเสาร์ซะด้วย คงได้กลับห้องหรอก

   นับตั้งแต่ที่ผมย้ายออกมาจากห้องไอ้ค่ายวันนั้น เราก็ไม่ได้สังสรรค์ในคืนวันศุกร์อีกเลย หลังเลิกเรียนต่างคนก็ต่างแยกย้ายไปตามทางของตัวเองเฉกเช่นวันนี้

   ผมนั่งเก็บกล่องปากกาและหนังสือใส่กระเป๋าเงียบๆ ไม่นานไอ้โบนก็แตะไหล่ผมเบาๆ พร้อมกับเอ่ยชักชวน

   “หาอะไรกินกันมึง มีร้านบุฟเฟ่ต์เปิดใหม่ว่ะ น่าแดกมากกกกกกก” มันลากเสียงยาวเพื่อสร้างบรรยากาศให้กับคนที่เหลือ ใจจริงก็อยากไปอยู่หรอกติดที่มีไอ้ค่ายเนี่ยแหละ ผมเลยเตรียมอ้าปากปัดปฏิเสธไป ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ใครอีกคนพูดออกมาเหมือนกัน

   “โบนวันนี้กูไม่ว่างนะ”

   “ไปไหนวะเชี่ยค่าย”

   “มีนัดว่ะ” พูดแค่นั้นเจ้าตัวก็หยิบกระเป๋าเป้ขึ้นมาสะพายบ่าข้างหนึ่งแล้วเดินจ้ำอ้าวออกไปจากห้อง ผมมองตามแผ่นหลังนั้นจนลับสายตาก่อนจะเลื่อนมาจ้องมองไอ้โบนพร้อมกับส่ายหน้า

   “กูต้องไปดูหนัง ไว้วันหลังนะมึง”

   “เออไม่เป็นไร ความจริงกูก็ไม่ได้อยากไปหรอก แต่เห็นว่ากลุ่มเรามันเริ่มไม่เหมือนเดิมก็เลย...รู้สึกไม่ค่อยโอเคว่ะ” เจ้าของทรงผมสกินเฮดมีสีหน้าหมองลง แต่ก็ไม่ยอมเดินจากไปไหนนอกจากทิ้งตัวลงนั่งตรงโต๊ะเลกเชอร์ข้างๆ ผม

   “ไม่รีบไปหาสาวเหรอ”

   “อยากคุยกับมึงสักพักก่อน” นิสิตเริ่มทยอยออกจากห้องเรื่อยๆ จนกระทั่งโดยรอบเข้าสู่ความเงียบ มีเพียงผมกับไอ้โบนเท่านั้นที่นั่งอยู่ตรงบริเวณสโลป

   “มีอะไร” เห็นไอ้โบนเงียบไปนานผมเลยถามขึ้น

   “มึงโกรธอะไรไอ้ค่ายวะ”

   “ไม่มีอะไรหรอก อย่าพูดถึงมันเลยว่ะ”

   “แล้วมึง...โกรธกูด้วยมั้ยวะ”

   “คิดอะไรอย่างนั้น” ถึงแม้จะโกรธแค่ไหนเราก็เป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ อีกอย่างถึงแม้ไอ้โบนจะเป็นคนแนะนำเรื่องบ้าบอนั้นกับไอ้ค่าย แต่ถ้าอีกฝ่ายไม่ยอมทำตามซะอย่างเรื่องก็คงไม่เกิด ผมเลยไม่รู้จะโกรธเชี่ยโบนมันไปทำไม แค่นี้ความรู้สึกมันก็เผาใจจนอยู่ไม่สงบแล้ว

   “คือถ้ากูทำอะไรไม่ดีกับมึงลงไป กูขอโทษนะ” คนเคียงข้างพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ ซึ่งดูยังไงก็ไม่เหมือนมันเลย คนสี่คนที่ตลกเฮฮาพอถึงวันเครียดๆ กลับกลายเป็นพวกดราม่าแบบสุดโต่งเหมือนกัน

   “แล้วมึงทำอะไรผิดกับกูล่ะ”

   “เฮ้อ เอาเป็นว่ากูขอโทษสำหรับทุกอย่างแล้วกัน กลับมาเป็นเหมือนเดิมเถอะว่ะ แก๊งโหดที่เป็นแบบนี้แม่งโคตรไม่คูลเลยสัด”

   “กูพยายามอยู่ นี่ก็ห้าโมงกว่าละไม่มีนัดที่ไหนเหรอ” ผมแสร้งยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู ก่อนจะเบี่ยงประเด็นอีกครั้งเพื่อที่เราจะได้ไม่พูดถึงมันอีก

   “วันนี้ไม่มี ว่าจะกลับไปขอตังค์ที่บ้าน มึงกลับคนเดียวได้นะ”

   “ห่วงกูจัง ปกติกูก็กลับคนเดียวตลอด”

   “มึงเป็นคนที่น่าห่วงที่สุดในกลุ่มแล้ว ไม่งั้นไอ้ค่ายมันไม่ห่วงมึงหรอก” ทันทีที่พูดชื่อใครอีกคน ผมก็ถูกใบ้กินอีกรอบ

   “...”

   “กูไปก่อนนะ เจอกันวันจันทร์ ขอเวลากูไปรีดไถแม่สักสองวันก่อน”

   “เออ จะไปไหนก็ไป” โบกมือไล่เสร็จก็ได้แต่นั่งมองดูเพื่อนในกลุ่มอีกคนเดินผละห่างกระทั่งลับสายตาไป หลงเหลือเพียงผมคนเดียวที่อยู่ในห้องนี้

   เป็นห่วงเหรอ หึ! ตลกดี

   คนเป็นห่วงกันมันไม่ทำแบบนี้หรอก ตั้งแต่วันนั้นไม่มีวันไหนที่ไอ้ทูไม่บ่นถึงไอ้ค่ายเรื่องควงผู้หญิงเลยสักวัน มันไม่เคยเปลี่ยนไป ยังคงหิ้วหญิงไปที่ห้องและทำตัวเจ้าชู้เหมือนเดิม แล้วผมยังจะหวังความจริงใจจากความห่วงใยจอมปลอมนั้นได้อีกเหรอ ไม่มีทางเลย

   บอกว่ายังแคร์กู ทั้งที่ยังมีผู้หญิงคนอื่นนอนอยู่บนเตียงของมัน ตลกฉิบหายเลยว่ะ

   ปกติช่วงเย็นผมมักเดินเล่นและกินข้าวที่ห้าง ก่อนจะใช้เวลาที่เหลือด้วยการซื้อตั๋วหนังเข้าไปนั่งดูในรอบสุดท้ายของวัน จะติดก็แต่วันนี้ที่ต้องเข้าไปคุยงานกับรุ่นพี่ปีสี่นิดหน่อย เรื่องฝากฝังหน้าที่เฉพาะเกี่ยวกับงานละครเวทีคณะซึ่งจะมีประชุมใหญ่ช่วงอาทิตย์หน้า

   กว่าจะหนีจากงานส่วนนี้ได้ก็เล่นเอาปาดเหงื่อ ผมแวะกินข้าวที่ร้านอาหารญี่ปุ่นจนอิ่ม ช่วงสามทุ่มครึ่งเลยขึ้นมานั่งรอตรงโซฟาหน้าโรงหนัง

   ดีหน่อยที่ผมเป็นพวกไม่ชอบดูหนังไปด้วยกินไปด้วย เลยประหยัดค่าน้ำและป๊อปคอร์นไปเยอะโข ผมไม่ชอบให้มีเสียงรบกวนและทำลายสมาธิตอนดูหนังเท่าไหร่ นี่เลยเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เลือกดูหนังรอบสุดท้ายของวันเพราะคนน้อย หรือบางที...ก็แทบไม่มีคนเลย

   Rrrrr…!

   เสียงเรียกเข้าดังขึ้นมาขัดจังหวะการคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ผมเลยไม่รอช้ากดรับอย่างรวดเร็วเพราะปลายสายเป็นเจ้าของห้องที่ผมซุกหัวนอนด้วยนั่นเอง

   “มีไรวะ”

   [คืนนี้ไม่กลับนะ]

   “พาสาวไปกกอีกล่ะสิมึง”

   [เหยื่อติดเบ็ดจะให้กูปล่อยไปเหรอ] เนื่องจากคอนโดไอ้ทูมีห้องนอนอยู่ห้องเดียว แถมมีผมเข้ามาอยู่อาศัยด้วยอีก ทุกครั้งที่เห็นมันต้องพาสาวไปเปิดห้องใหม่ คนอาศัยอย่างผมเลยรู้สึกไม่ดี แต่มันก็ไม่เคยถือสาและยินดีจะให้เป็นแบบนี้ไปอีกพักใหญ่จนกว่าผมจะพร้อมและตัดใจจากไอ้ค่ายได้

   “เออ เอาที่มึงสบายใจ”

   [กูไม่อยู่อย่าก่อเรื่อง]

   “บอกตัวเองก่อนมะ...มั้ย” ท้ายประโยคเบาหวิวจนแทบปลิดปลิวไปในอากาศ เมื่อม่ายสายตาของผมปะทะเข้ากับใครบางคนเข้า

   เป็นไอ้ค่ายไม่ผิดแน่

   

อ่านต่อด้านล่างค่ะ

ออฟไลน์ Jittirain12

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 353
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1238/-18

มันมากับผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ในชุดนิสิต เธอผมยาวแถมยังตัวเล็กมากๆ ทั้งคู่เดินไปหยุดอยู่ตรงเคาน์เตอร์ซึ่งขายขนมและเครื่องดื่ม ผมถือสายค้างอยู่นานก่อนจะครางอืออาทั้งที่แทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเพื่อนกำลังพูดอะไร

   ในใจผมหวาดหวั่น เอาแต่นั่งภาวนาว่าเราคงไม่ได้ดูหนังโรงเดียวกัน ดีที่ไอ้ค่ายมองไม่เห็นผม เพราะหลังจากซื้อป๊อปคอร์นและเครื่องดื่มเสร็จคนทั้งคู่ก็เดินไปยังจุดที่พนักงานตรวจตั๋วยืนอยู่ ก่อนจะเข้าไปด้านใน ทิ้งให้คนมองนั่งคอตกอยู่ลำพัง

   การตัดใจจากเพื่อนสนิทที่แอบรักมาร่วมสองปีไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลย เวลาสองอาทิตย์ไม่ได้ทำให้ความเจ็บที่เกิดขึ้นในใจลดน้อยลง จนผมไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่กว่าวันนั้นจะมาถึง

   หนังใกล้ฉายแล้ว ผมปิดโทรศัพท์มือถือแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ยื่นตั๋วหนังให้พนักงานแล้วเดินเข้าไปในโรงหนัง ด้านในปิดไฟมืดสนิทแล้วเพราะตัวอย่างหนังเริ่มฉาย ผมเดินเข้าไปทิ้งตัวลงนั่งตรงเบาะตามหมายเลยของตัวเอง วันนี้คนน้อยเหมือนทุกที เพราะทั้งโรงมีแทบไม่ถึงสิบคน

   เสียงกุกกักของเก้าอี้แถวหน้าที่นั่งเยื้องกับผมหนึ่งตำแหน่งสร้างความรำคาญให้เล็กน้อย แต่เมื่อเพลงสรรเสริญพระบารมีเริ่มบรรเลงขึ้น ความรำคาญที่เกิดขึ้นในตอนแรกก็เริ่มแผ่ซ่านเข้ามาภายในใจ

   ผมจำส่วนสูงของคนตรงหน้าได้ดี แม้จะนั่งเยื้องและมองเห็นเสี้ยวหน้าเพียงเล็กน้อย ผมก็ยังรู้ว่าคือคนเดียวกัน

   ทำไมมึงต้องมาอยู่ที่นี่ในวันที่กูอ่อนแอ

   เพลงจบแล้ว ทุกคนทิ้งตัวลงนั่งจุดเดิม มีเพียงผมที่ยืนค้างมองดูร่างสูงค่อยๆ ลดตัวลง เสี้ยววินาทีนั้นเราหันมาสบตากันชั่วครู่ก่อนเวลาบนโลกนี้จะหยุดเดินในความรู้สึก

   จะทำยังไงเหรอ ทักทายหรือส่งยิ้มให้กูมั้ย เอ่ยถามหรือทำอะไรก็ได้ให้รู้สึกดีกว่านี้หน่อย แต่เปล่าเลย ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เป็นเพียงไม่กี่วินาทีที่เรามองตากันและต่างฝ่ายต่างเพิกเฉยจนอดคิดไม่ได้ว่า...นี่เราเป็นเพื่อนกันจริงๆ ใช่มั้ย

   “น้องคะ ช่วยนั่งลงด้วยค่ะ”

   “อ้อ ขอโทษครับ” เสียงที่พุ่งลงมาจากด้านหลังเร่งให้ผมกุลีกุจอนั่งลงพัลวัน

   ใจยังคงเต้นแรงอยู่เลย มันดังจนแทบจะกลบเสียงเคี้ยวป๊อปคอร์นจากคนข้างหน้า ปกติไอ้ค่ายไม่ชอบซื้ออะไรพวกนี้มากินระหว่างดูหนังเหมือนกัน แต่ผิดที่วันนี้มันอาจกำลังเอาใจใครบางคนอยู่

   หนังเริ่มฉาย แปลกดีที่คนชอบดูหนังอย่างผมกลับจดจ่ออยู่ที่เบาะสีแดงตรงหน้าเสียมากกว่า และก็อดไม่ได้ที่จะชะเง้อมองหลายครั้งอย่างไม่เข้าใจ ศีรษะที่โผล่โพ้นขึ้นมาทำให้ผมจับจ้องทุกการเคลื่อนไหว ตอนแรกมันยังตั้งตรงดีอยู่ แต่ไม่นานมันก็เริ่มเอนเอียงเข้าหาคนข้างๆ

   ผมกำหมัดแน่นเพื่อกักกับอารมณ์บางอย่างที่กำลังพลุ่งพล่านอยู่ข้างใน ปล่อยให้ปลายเล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือจนรู้สึกเจ็บ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เห็นไอ้ค่ายอยู่กับผู้หญิง แต่เหตุผลที่ครั้งนี้เจ็บกว่าทุกทีก็เพราะเราไม่ได้รักกันเหมือนก่อน

   ผมเริ่มควบคุมตัวเองด้วยการมองตรงไปยังจอขนาดยักษ์แทนที่จะเป็นเก้าอี้ข้างหน้า แต่เชื่อหรือเปล่าว่ามันไม่ได้ช่วยให้ผมดูหนังรู้เรื่องขึ้นเลย ตามองก็จริงแต่กลับเลือนรางเต็มแก่ แม่งโคตรเกลียดตัวเองที่อ่อนแอฉิบหาย

   หลายครั้งที่ผมสังเกตพวกเขา ไอ้ค่ายกระซิบคุยกับผู้หญิงคนนั้นเบาๆ พร้อมกับป้อนขนมกัน เพิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกินครั้งแรก น่าแปลกที่ร่างกายกลับทรยศด้วยการนั่งนิ่งแทบไม่ขยับเขยื้อน ระยะเวลาสองชั่วโมงยาวนานราวกับตกลงในขุมนรก

   ความเข้มแข็งที่เคยมีมาตลอดพังทลาย ปิดฉากความหวังในการแอบชอบมาตลอดสองปีกับอีกสี่เดือนลงในพริบตา สมองส่วนที่ลึกที่สุดพยายามเค้นหาเหตุผลทั้งข้อดีและข้อเสียที่ทำให้ผมต้องรีบตัดใจในเร็ววัน อย่างน้อยก็ตอนนี้ ตอนที่ไม่มีแรงแม้แต่การควบคุมลมหายใจของตัวเอง

   “ค่าย เมื่อกี้นางเอกพูดว่าอะไรนะ ฟังไม่ทัน” เสียงกระซิบที่ดังแทรกขึ้นมาเบาๆ ของผู้หญิงคนหนึ่งทำให้ผมเงี่ยหูฟังอย่างอยากรู้

   โชคดีที่ในโรงหนังมีคนน้อย และทุกคนก็นั่งกระจัดกระจายตามพื้นที่ต่างๆ จนสามารถกระซิบคุยกันได้โดยไม่รบกวนใครยกเว้น...กู

   “เขาบอกว่า I wanna be the one you drunk text first”

   “แปลหน่อย”

   “อยากเป็นคนแรกที่คุณส่งข้อความมาหาเวลาเมา”

   “ต่อไปถ้าเมา เราส่งหาค่ายได้มั้ย”

   “ได้ดิ ส่งมาได้ตลอดเลยครับ”

ระหว่างบทสนทนาอันโคตรเสียดแทงใจ ผมได้ค้นพบข้อเสียข้อต่อมาของมันที่สมองพอจะกลั่นออกมาได้...

ข้อสาม นิสัยเจ้าชู้และอ่อยไปทั่ว

   “เดี๋ยวดูหนังเสร็จไปไหนต่อ”

   “ที่ห้องเรามั้ย”

   ข้อสี่ เห็นทุกคนเป็นแค่วันไนต์แสตนด์

   “โอเค แล้ว...”

   “ชู่วววววววว” เสียงผะแผ่วที่ส่งออกมาของคนตัวสูงทำให้บริเวณโดยรอบกลับมาเงียบอีกครั้ง จะมีก็แต่เสียงที่ส่งผ่านมาจากหนังเรื่องดังตรงหน้าเท่านั้นที่ดำเนินต่อไป ทั้งที่ไม่เข้าใจอะไรเลย

   เออ หนังแม่งพูดเกี่ยวกับเรื่องอะไรกันแน่วะ เพราะเท่าที่ดูและได้ฟังกลับค้นพบว่าทุกอย่างล้วนมีแต่เรื่องของไอ้ค่ายทั้งหมด ผมเลยปล่อยให้ภาพของมันครอบงำความรู้สึกเหล่านั้นไปเรื่อยๆ

   ข้อห้า ผู้หญิงเก่าๆ ของมันล้วนเป็นปัญหา   

   นอกจากคนเก่าตบตีคนใหม่แล้ว ยังลามมายุ่มย่ามกับเพื่อนในกลุ่มจนไม่เป็นอันทำอะไรอีก หนักสุดตอนนั้นก็มาขอให้ผมช่วยเป็นพ่อสื่อให้คืนดีกัน และแน่นอนว่าถ้ามันแก้ปัญหาได้เพื่อนก็คงไม่เดือดร้อน

ข้อหก มันไม่ฉลาด   

เออมันไม่ฉลาด แล้วผมก็โง่งมอยู่นาน

   นี่กูเจ็บซ้ำซากมานานแค่ไหนแล้ววะเนี่ย แผลเหวอะหวะเต็มไปทั้งหัวใจแล้วไอ้สาด

   แม้แต่ความเป็นเพื่อนเรายังให้กันไม่ได้ แล้วที่ทนเจ็บมาโคตรนานเพื่อให้รู้ว่าสุดท้ายไม่เหลืออะไรเลยเนี่ยนะ คนเรานี่ก็แปลกรู้ว่าวันหนึ่งต้องเจ็บปวดแต่ก็อยากรู้จักกับความรัก ตอนผมเจอไอ้ค่ายครั้งแรก ใจมันก็รั้นท่าเดียวว่าถ้าได้ทำความรู้จักก็คงดี ต่อให้เจ็บฉิบหายแค่ไหนก็ยอม

   ความอดทนนั้นลากยาวจากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี ยอมรับได้ทุกอย่างว่าอีกฝ่ายจะรักใคร มองดูมันมีแฟนและเลิกรากันไปคนแล้วคนเล่า เฝ้าแต่พูดกับตัวเองว่าสักวันมันคงจะหยุด และคนที่อยู่เคียงข้างในตอนนั้นยังไงก็ยังเป็นผม ซึ่งมันเป็นความคิดที่น่าสมเพชมาก

   ผมเหมือนวิ่งมาไกลแต่ไม่มีเส้นชัยและจุดหมาย วิ่งไปเรื่อยๆ เหมือนคนหลงทาง วิ่งจนกว่าจะหมดแรงและเลิกราไปเอง ซึ่งวันนั้นมันก็มาถึงแล้ว

   หนังแอคสุดท้ายดำเนินมาถึง ผมนั่งตัวเกร็งขึ้นอีกระดับเมื่อเห็นเส้นผมสีดำขลับที่โผล่ขึ้นมาจากเก้าอี้เริ่มเคลื่อนไหว จนอดไม่ได้ที่จะกัดปากตัวเองแน่นเมื่อเห็นริมฝีปากของคนที่แอบชอบมาตลอดสัมผัสกับผู้หญิงเบาะข้างๆ

   ทั้งคู่กำลังจูบกัน โดยมีไอ้หน้าโง่ตัวหนึ่งลอบมองผ่านซอกเก้าอี้ หัวใจก็เต้นกระหน่ำจนแทบระเบิด เขาจูบกันนานมาก นานจนได้ยินเสียงที่เล็ดรอดออกมาให้คนฟังด้านหลังนั่งน้ำตาตกใน เสียงดนตรีจากหนังไม่ได้ช่วยเยียวยาอะไรเลย

จำวันนั้นได้มั้ย วันที่มึงบอกว่าแคร์กู และกูเป็นเพื่อนรักคนหนึ่งของมึง ทำไมวันนี้มึงถึงเลือกทำลายกูได้ลงคอ ในหัวมีแต่คำถามว่าทำไมเต็มไปหมด แม้แต่ตอนที่หนังจบผมก็ยังคงตั้งคำถาม

ไอ้ค่ายลุกขึ้นยืนพร้อมกับแสงไฟที่เริ่มส่องสว่างขึ้น ผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆ รีบลุกตาม แค่ได้เห็นแผ่นหลังของคนตัวสูงผมก็เอื้อมมือออกไปข้างหน้าโดยไม่มีเหตุผล แต่ร่างกายของอีกฝ่ายกลับขยับหนี

ผมนิ่งอยู่นาน รู้ตัวอีกที...

   ไอ้ค่ายก็ได้เดินจากไปไกลแล้ว

มือของผมค้างเติ่งคล้ายอยู่กลางอากาศ ก่อนจะลู่ตกมาอยู่ตรงหน้าขาอย่างคนหมดเรี่ยวแรง เอนเครดิตที่ปรากฎอยู่ด้านหน้ากลายเป็นภาพแสนรางเลือน คล้ายกับความหวังที่หมดลงเหลือเพียงน้ำตาที่กลิ้งลงมาบนแก้มทั้งสองข้าง

   และตอนนั้นเองที่ผมค้นพบความจริงอีกข้อที่ว่า...

   ข้อเจ็ด มันไม่เคยรักใครจริง
   










   ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าแล้ว ผมเดินคอตกออกมาจากโรงฉายเพียงลำพังหลังจากตัดพ้อชีวิตตัวเองจนพอใจ พรุ่งนี้จะไม่มีไอ้เติร์ดคนเดิมอีก ถึงแม้วันนี้ต้องร้องไห้ให้ตาย ผมก็จะให้มันเป็นเพียงครั้งสุดท้ายที่น้ำตาของผมมีไว้สำหรับมัน

   “ไอ้เติร์ด” ก้าวเท้าออกมาได้ไม่กี่ก้าวใครคนหนึ่งก็เรียกชื่อผม ทันทีที่เงยหน้าขึ้นมามองผมก็เห็นไอ้โบนยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว

   “เชี่ยโบน มึง...มาได้ไงวะ” ผมถามอย่างสงสัย รีบยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดหน้าลวกๆ เพราะกลัวว่ามันจะจับไต๋ได้

   “ก็มึงบอกจะมาดูหนัง เจอไอ้ค่ายด้วยก็เลย...”

   “เหรอๆ มันออกไปแล้วล่ะ เดี๋ยวกูว่าจะกลับอยู่เหมือนกัน”

   “มึงโอเคมั้ย”

   “โอเคดิ หนังแม่งสนุกดีว่ะ” ไม่ทันได้พูดอะไรต่อร่างของผมก็ถูกเพื่อนตัวสูงกว่าดึงเข้าไปกอดอย่างแรง แรงถึงขนาดที่ทำให้ผมหายใจแทบไม่ออก

   “ไอ้เติร์ดกูขอโทษ”

“เฮ้ย ขอโทษอะไรวะ ฮ่าๆ”

“ขอโทษที่ทำให้มึงเป็นแบบนี้”

“...”

“กูไม่ได้ตั้งใจ กูขอโทษจริงๆ” ไอ้โบนไม่ยอมปล่อยผม มันเอาแต่พูดคำว่าขอโทษไม่หยุดจนทำให้คนฟังอดน้ำตาไหลอีกรอบไม่ได้

“โบนมึง...”

   “วันนั้นมึงได้ยินที่กูพูดใช่มั้ย” เป็นไปตามคาด ไอ้โบนรู้ความจริงจนได้ ไม่รู้ว่าไอ้ทูบอกหรือมันรู้ด้วยตัวเองกันแน่

ผมไม่ได้ถือโทษโกรธอะไรเพราะยังไงเพื่อนก็คือเพื่อน จะมีก็แต่ไอ้ค่ายเนี่ยแหละที่พยายามตัดใจ พร้อมเมื่อไหร่สัญญาว่าจะกลับมาเป็นคนเดิม

   “ใช่ กูได้ยินทุกคำที่มึงพูด แต่มันผ่านไปแล้ว”

   “กูไม่รู้ไอ้เหี้ย กูผิดเอง”

   “...”

   “ถ้าใครสักคนต้องผิด คนคนนั้นขอให้เป็นกู” ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ถูกเพื่อนหันหลังให้ อย่างน้อยก็ไอ้โบนอีกหนึ่งคนที่เริ่มหันมาแคร์ความรู้สึกกันบ้าง

   “กูคิดไม่ซื่อกับเพื่อนด้วยแหละ สมควรแล้ว”

   “ไอ้ค่ายมันรักมึงมากนะ”

   “แบบไหน”

   ในใจผมกำลังคาดหวังอะไรอยู่วะ ต้องการคำตอบแบบไหนถึงจะพอใจ...

   “เพื่อน”

   “ระ...เหรอ”

   “ร้องออกมาเถอะว่ะ แล้วพรุ่งนี้กูก็จะยังอยู่กับมึง”

   อย่างน้อยได้โบนก็ทำให้ผมตาสว่าง เจ้าตัวกระชับวงแขนให้แน่นขึ้นเพื่อกอดปลอบผม ในเวลาที่อ่อนแอฉิบหาย ขอบใจที่มึงยังอยู่เคียงข้าง ผมจะร้องไห้ให้กับไอ้ค่ายแค่วันนี้

   เพื่อพรุ่งนี้...จะไม่ต้องร้องไห้อีกต่อไป












   การประชุมใหญ่ของคณะเริ่มต้นขึ้นในช่วงบ่ายของวันอังคาร เฮดของแต่ละสาขาตามชั้นปีนั่งเรียงอยู่ในห้องประชุมกว้าง โต๊ะรูปตัวยูมีนิสิตจับจองพื้นที่จนเต็มอัตรา ผมกับเพื่อนอีกสามคนจากฝั่งฟิล์มปีสามเป็นตัวแทนของสาขามารับฟังข่าวสารแล้วไปขยายต่อ

   งานใหญ่ประจำปีที่เป็นหน้าตาของคณะนั่นก็คือละครเวทีนิเทศใกล้เริ่มขึ้นแล้ว ไม่อย่างนั้นงานนิเทศแฟร์ครั้งก่อนเราคงไม่ขนพลกันมาจัดกิจกรรมโกยเงินเข้าคณะกันจนหัววุ่น วันนี้ประธานรุ่นปีสี่ที่เป็นเฮดใหญ่แกเลยรีบประชุมและแบ่งหน้าที่กัน เพราะต้องใช้เวลาเตรียมตัวอีกนาน

   การทำละครไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะองค์ประกอบและหน้าที่ค่อนข้างเยอะ ไหนจะต้องมี stage manager, back stage, co-stage, คอสตูม ทำฉาก PR สารพัดจะคัดคนมาทำ ซึ่งประธานปีสี่แกก็ได้แบ่งสันปันส่วนคร่าวๆ ไว้ก่อนแล้ว แต่ก็ต้องมารองานหลักที่ถ้าไม่เสร็จงานก็เดินต่อไม่ได้อย่างการเขียนบทแทน

   และหวยก็มาออกที่ผมกับรุ่นพี่อีกสองคนที่เคยคุยเรื่องนี้กันไว้คร่าวๆ หน้าที่ของทีมเขียนบทคือต้องสร้างเส้นเรื่องและรายละเอียดการแสดงทั้งหมดในละครเวที เอาจริงๆ จินตนาการในหัวตอนนี้เท่ากับศูนย์ นั่นทำให้ทุกฝ่ายต้องจ่ายเวลาให้ผมได้คิดและเขียนมันออกมาในเวลาตั้ง...เดือนครึ่ง

   เยอะมากเลยแสรดดดดดดดด

   เวลาแค่นี้เนี่ยนะ กับสภาพจิตใจแบบนี้เนี่ยนะ ฆ่ากูเหอะว่ะ

   หลังออกมาจากห้องประชุม ผมก็โทรนัดไอ้ทูมาข้างนอกเพื่อเริ่มต้นเขียนพล็อตคร่าวๆ แม้ดูรวมๆ แล้วงานหลักของมันจะเป็นงานภาพซะมากกว่า เพราะเฮดถ่ายภาพแกพูดชื่อไอ้ทูในที่ประชุมไม่หยุดเลย

   สองชั่วโมงให้หลังผมขับรถกลับมายังคอนโด จัดการโยนกระเป๋าและผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลอง ก่อนจะเดินไปเคาะประตูห้องของไอ้โบนตามที่ได้นัดหมายกันไว้

   ก๊อกๆๆ

รอไม่นาน เจ้าตัวก็เดินมาเปิดประตูให้ด้วยใบหน้าระรื่น พลางเอ่ยถามน้ำเสียงติดกวนตีน

   “เป็นไง พ่อคนเขียนบท”

   “ตอนแรกโอเค แต่พอเห็นหน้ามึงแล้วสมองกูแบลงค์มากครับไอ้ควาย”

   “กูหล่อก็บอก”

   “รำคาญ แล้วผีไหนเข้าสิงมึงให้ใส่กางเกงแบบนี้วะ” กางเกงบอลครับ แต่ขาดจนแทบลามไปถึงรูดาก

   “เหมาะกันป่ะ”

   “เออเหมาะ กางเกงแม่งขาดเหมือนสติของมึงเลย ขาดๆ เกินๆ”

   “วันนี้อยากให้กูซัดฟันซี่ไหนมึงทิ้งดีครับ”

   “ไปกวนตีนไกลๆ แล้วนี่จะให้กูเข้าไปมั้ย”

   “เชิญ” บุคคลที่สองซึ่งนั่งกดเกมส์อยู่หน้าทีวีก็คือไอ้ทู มันหันมายิ้มให้แว๊บหนึ่งก่อนจะจดจ่อกับเกมส์ต่อ แล้วพอไอ้โบนเดินกลับไปนั่งขัดสมาธิข้างๆ พร้อมกับหยิบเกมส์กดขึ้น มันสองตัวก็เริ่มต้นฆ่าล้างผลาญกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ทิ้งให้ผมนั่งเหงาอยู่คนเดียว

   “แล้ว...ไอ้ค่ายล่ะ” จริงๆ ก็อดถามไม่ได้ เชี่ยโบนหันมาจ้องตาผม ก่อนจะกลับไปจดจ่อกับเกมส์ตามเดิม

   “มันมีนัดน่ะ” ถึงแม้ไม่บอกตรงๆ เดาว่ามันคงไปกับผู้หญิงคนใหม่อีกตามเคย บ่อยครั้งที่ผมมักเห็นคนตัวสูงพาผู้หญิงหน้าตาสะสวยซ้อนท้ายบิ๊กไบท์อยู่บ่อยๆ ซึ่งมันก็ทำให้ผมรู้สึกทุรนทุรายเหมือนกัน

   ไอ้ค่ายไม่ค่อยไปไหนมาไหนกับเราแล้ว ตอนนี้แก๊งโหดเหมือนเหลือไว้แค่ชื่อและสมญานาม มีแค่ผมสามคนเท่านั้นที่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันบ่อยๆ จะมีก็แต่ไอ้โบนเนี่ยแหละที่เป็นเหมือนกาวใจผสาน คอยดึงไอ้ค่ายให้กลับเข้ากลุ่มตามเดิม แต่มันก็เปล่าประโยชน์ในเมื่อเราไม่สนิทใจกันเหมือนเดิม

   “ถามจริง ตอนนี้มึงให้อภัยมันหรือยังวะ” ไอ้โบนถามต่อ

   “กูไม่อะไรแล้ว แค่...พยายามกลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม แต่มันเนี่ยดิ”

   “ได้ยินอย่างนี้กูก็ดีใจ ไอ้ค่ายมันแม่งฟอร์มไปงั้นแหละ เห็นมึงไม่บอกเหตุผลอะไรเลยหาเรื่องโกรธมึงกลับบ้างแค่นั้นเอง” เออได้ผล เพราะกูเจ็บจนพูดไม่ออกเลยล่ะ

   “ก็ถ้ากูบอกมันก็คงไม่เหมือนเดิม”

   “เข้าใจ”

   “พวกมึงจะไม่บอกมันเรื่องนี้ใช่มั้ย” มันสองตัวมองหน้ากันนิ่งก่อนไอ้ทูจะเป็นฝ่ายพูดบ้าง

   “เรื่องมันไม่เกี่ยวกับพวกกูป่ะวะ กูให้สิทธิ์เจ้าของความรู้สึกเป็นคนบอกเองดีกว่า”

   “ขอบใจว่ะ”

   “...”

   “แต่ไม่มีวันนั้นหรอก ปีหน้าอีกปีก็เรียนจบแล้ว” เราคงจะไกลกันมากขึ้น เจอกันยากขึ้น ที่สำคัญ...ไม่วันใดก็วันหนึ่งทุกคนก็ต้องมีครอบครัวเป็นของตัวเอง ไอ้ค่ายถึงแม้จะเจ้าชู้แต่สักวันมันก็คงหยุดที่ผู้หญิงดีๆ สักคน

   ผมแค่อยากแต่งตัวไปงานแต่งของมันด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแบบไม่ต้องฝืน หรือยืนเคียงข้างมันในตำแหน่งของเพื่อนเจ้าบ่าว มันต้องมีวันนั้นที่ความรักของเราหมายถึงมิตรภาพของคำว่าเพื่อนมากกว่าจะเป็นอย่างอื่น

   ยังอยากเป็นเพื่อน เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของมัน

   “เหย เรียนจบแต่ความเป็นเพื่อนไม่จบนะเว้ย เดี๋ยวกูขอเล่นตานี้จบก่อนแล้วจะไปเอาเบียร์มาให้”

   “เอาที่มึงสะดวกเถอะ อยู่ห้องคนเดียวก็เหงา”

   เรานั่งจิบเบียร์กันไปเรื่อยๆ ปรับทุกข์บ้างตามประสาเพื่อน ดีที่อย่างน้อยตอนที่รู้สึกแย่ก็ได้มันสองตัวเนี่ยแหละคอยพยุงไว้ไม่ให้ล้ม

   ก๊อกๆๆ

   “ใครวะ” เสียงเคาะประตูดังขัดจังหวะอีกครา ผมเงยหน้ามองหน้าปัดนาฬิกาฝาผนัง ตอนนี้ก็เกือบสี่ทุ่มแล้ว

   “ไปเปิดสิ”

   “ขี้เกียจลุก มึงไปเปิดดิไอ้เติร์ด”

   “กูควรได้รับการปลอบใจมั้ย นี่กูอกหักนะไอ้เหี้ย” อกหักทั้งที่ยังไม่ได้คบกัน แปลกดี

   “มึงแหละไป กางเกงกูขาดเนี่ยเห็นมั้ย” เอาเรื่องกางเกงมาต่อรองนับเป็นอะไรที่ปัญญาอ่อนที่สุด ผมเลยต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ ดันตัวเองให้ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วเดินตรงดิ่งไปที่หน้าประตู

   ทันทีที่ตัดสินใจหมุนลูกบิด ผมกลับพบว่าคนที่ยืนเผชิญหน้าอยู่เป็นคนคนเดียวกับที่ไม่อยากเจอมาตลอด

   “ไอ้ค่าย...”

   “ไอ้โบนเรียกกูมา กินเบียร์กันอยู่เหรอ” ไอ้ควายโบน ไอ้สารเลว!

   ผมยืนค้างอยู่หน้าประตู มองดูร่างสูงเดินผ่านเข้ามาภายใน คงจะดีกว่านี้ หากมืออีกข้างของมันไม่ได้เกี่ยวข้อมือของใครอีกคนเอาไว้

   “เข้ามาเลย นี่เพื่อนพี่เอง”

   “โอ๊ยยยยยยคนสวย เชิญครับ เชิญ” คนแรกที่กุลีกุจอลุกขึ้นมาจนน่าตบบ้องหูเลยก็คือไอ้ทู มันรีบจัดแจงเคลียร์พื้นที่ ก่อนจะเชิญให้เขานั่งตรงโซฟาอย่างมีมารยาท

   “ลมอะไรหอบมาวะ”

   “พาน้องไปกินข้าวเสร็จ เชี่ยโบนก็โทรชวนเลยแวะมา”

   “อ๋อ น้องกินเบียร์มั้ยครับ” รุ่นน้องคนนั้นส่ายหน้าไปมา เพื่อนในกลุ่มเลยวิ่งหาน้ำเปล่ากันพัลวัน จะมีก็แต่ไอ้โบนที่จับสังเกตได้และมองเห็นว่าผมยังยืนนี่อยู่ที่เดิม

   “ไอ้เติร์ดปิดประตู กลับมานั่งนี่”

   “คือกูว่า...จะกลับ”

   “เหรอ งั้นก็กลับเถอะ มึงคงเมาแล้วเนอะ” พอเห็นว่าผมทำหน้าหงอยๆ ไอ้โบนเลยเข้าใจด้วยการไล่ตะเพิดกรายๆ แต่เชี่ยค่ายเนี่ยดิที่พูดแทรกออกมาซะก่อน

   “นั่งด้วยกันก่อนดิ”

   ผมพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุดด้วยการเดินกลับไปนั่งขัดสมาธิอยู่กับพวกมัน โชคดีที่เบียร์ยังไม่หมดขวดเลยพอดื่มย้อมใจไปได้บ้าง ถึงแม้ไอ้ค่ายจะรั้งให้ผมอยู่ต่อ แต่มันก็ไม่ได้ทักทายหรือพูดคุยอะไรกับผมสักคำ

   และมันก็เข้าสเต็ปเดิมคือเดดแอร์

   “ค่ายมึงรู้ยัง โปรเจ็กต์ละครเวทีเริ่มแล้วนะ จองหน้าที่อะไรไว้” ไอ้โบนกับไอ้ทูมักสลับกันหาเรื่องคุยไปเรื่อยเพื่อไม่ให้งานกร่อย เห็นแล้วก็สงสารพวกมันนะครับ พยายามกันจนปาดเหงื่อ

   “ผู้ช่วยผู้กำกับ”

   “โหยยยยยย หน้าที่นี้ปีสี่จองไปแล้วครับ อย่าโง่สิ”

   “กูคุมแสงสีเสียงได้”

   “เข้าแก๊บอยู่ กูก็อยากมาทำส่วนนี้ แต่ไอ้เติร์ดนี่หนักกว่าเพื่อนหน่อย”

   “ทำไม”

   “เขียนบท นั่งคิดไปสิว่าจะให้ใครรักกัน”

   “มึงรู้ได้ไงว่ากูจะเขียนเรื่องความรัก เมื่อก่อนอาจจะใช่ แต่ตอนนี้กูไม่ศรัทธาละ” ผมอดค่อนแขวะไม่ได้ ซึ่งคนที่ถูกพาดพิงก็หันมามองด้วยใบหน้าเรียบเฉย

   “คนอย่างมึงเคยศรัทธาอะไรด้วยเหรอ” และไม่นานมันก็ตอกกลับมาเจ็บแสบเช่นกัน

   “กูไม่ใช่มึงที่จะศรัทธากับความรักไปทั่ว คั่วไปทั่วเหมือนทุกวันนี้”

   “ไอ้เติร์ด!”

   “ใจเย็นเพื่อน ใจเย็น...” ไอ้ทูกับไอ้โบนรีบตะโกนสงบศึก ผมเลยไม่พูดอะไรออกไปอีกนอกจากดื่มเงียบๆ ไม่รู้ว่าเพราะแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปตั้งแต่หัวค่ำหรือเปล่า ทำให้มองอะไรก็ขวางหูขวางตาไปหมด แม้กระทั่งเสียงเจื้อยแจ้วของรุ่นน้องผู้หญิงที่ตอนนี้ได้ไถลตัวเองลงมานั่งกับไอ้ค่ายเรียบร้อย

   “พี่ค่ายอย่าดื่มเยอะเป็นห่วง”

   “ไม่เยอะครับ”

   “ไม่ให้สูบบุหรี่ด้วย”

   “โอเค”

   “เชื่อฟังแบบนี้สิ”

   “คิดเหรอว่ามันจะเชื่อฟังน้องแค่คนเดียว” เหมือนทุกคนกำลังเข้าสู่โหมดอึ้งกันอยู่ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงพลั้งปากพูดแบบนั้นออกไป แต่มันก็ทำไปแล้ว

   “พี่หมายความว่าไงคะ”

   “ก็ไอ้ค่ายมันมั่วไง เดี๋ยวได้แล้วมันก็ทิ้ง”

   “ไอ้เหี้ยเติร์ด!” ร่างสูงถลาเข้ามากระชากคอเสื้อของผมอย่างแรง ไอ้ทูที่นั่งอยู่ข้างๆ เร็วพอเลยเข้ามาแยกจนผมถูกผลักให้หงายหลัง

   “ใจเย็นมึง มึงเมาแล้วใช่มั้ย กลับห้องกันนะ”

   “กูไม่เมา แม่งพูดความจริงก็ผิดเหรอ” ผมควบคุมตัวเองไม่ได้ มันอัดอั้นอยู่เต็มอกจนแทบระเบิด แค่เราไม่คุยกันมันก็แย่อยู่แล้ว แต่ที่เจ็บยิ่งกว่าคือมันพาใครไม่รู้มาหยามกันต่อหน้าซึ่งผมทนไม่ได้

   “แล้วไง อย่างน้อยกูก็รักใครเป็น ไม่เหมือนมึงหรอก งี่เง่า ไร้เหตุผลฉิบหาย”

   “มึงกล้าพูดจริงๆ เหรอว่าสิ่งที่เป็นอยู่ของมึงมันคือรัก”

   “ใช่รัก แล้วกูก็รู้ว่าจะยกมันให้ใครที่ไม่ใช่เพื่อนเหี้ยๆ อย่างมึง” เสียงตะคอกก่อนหน้าดังก้องไปทั้งกกหู พร้อมกับร่างกายที่ซวนเซเพราะถูกผลักอย่างแรง น้ำตาหยดแรกไหลกระทบพื้นห้อง ผมก้มหน้ามองนิ่งๆ จนหยดที่สองและสามตามลงมาไม่ขาดสาย

   ไอ้ทูพยายามดึงผมให้ลุกขึ้นแต่ร่างกายกลับไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะยืน ได้แต่นั่งก้มหน้ามองพื้นและปิดปากเงียบอยู่อย่างนั้น

   “ไอ้ค่าย เติร์ดมันเมาอย่าถือสามันเลย”

“เมาแต่ปากก็หาเรื่องฉิบหาย”

“แคร์มันหน่อย ช่วงนี้มันไม่โอเค”

“มึงคิดว่ามันเป็นเมียกูหรือไงถึงต้องแคร์!”

“เฮ้ยกูว่ามึงพูดดีๆ กับมันก็ได้นะไอ้ค่าย”

“ไว้มันมานอนให้กูเอาเมื่อไหร่ กูถึงจะพูดดีด้วย พอใจยัง!!”

ผั่วะ!!

เสียงของแข็งกระทบกันดังขึ้น ก่อนสถานการณ์จะชุลมุนวุ่นวายเมื่อไอ้โบนถลาเข้าไปชกหน้าคนปากมอมอย่างแรงจนล้มหงาย โชคดีที่มีไอ้ทูคอยแยกเอาไว้เรื่องเลยจบลงเพียงหมัดเดียว

“ไอ้ค่ายนี่เพื่อนนะ เพื่อนที่รักมึง”

“...”

“ไอ้เติร์ดมัน...มัน...”

“โบนพอเหอะว่ะ” ผมรีบเข้าไปขวางไอ้โบนเอาไว้ไม่ให้มันพูดอะไรออกมา แม้น้ำตาที่ไหลอยู่ตรงนี้ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดก็ตาม

ระหว่างผมกับไอ้ค่ายคงไม่มีทางเป็นไปได้ ใบหน้าหล่อเหลาจ้องมองผมกลับ แต่ภาพเหล่านั้นก็ฝ้าฟางเต็มแก่ ผมไม่สามารถมองมันได้อย่างชัดเจนจากตรงนี้อีกแล้ว

“กู...ขอโทษนะ กูไม่ดีเอง” ผมพูดแค่นั้นก่อนจะพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นยืน

เพื่อปกป้องคำว่าเพื่อนของเรา ผมก็จำต้องเก็บความรู้สึกนี้เอาไว้ตลอดไป...






เหยยยยยย มันกลายเป็นดราม่าไปได้ยังไง
ก็ตามชื่อตอนเลยค่ะ โง่เซ่อบ้า เพราะว่าความรัก
มันก็จะติดรำคาญอยู่หน่อยๆ หวังว่าทุกคนจะให้อภัยเติร์ด คนกำลังสับสนอยู่
จะตัดก็ตัดไม่ขาด คาราคาซังเว่อร์ ส่วนเพื่อนในกลุ่มฉลาดหมดแล้วนะคะ
ตอนนี้เหลือค่ายโง่อยู่คนเดียว 55555555555555555555
#ทฤษฎีจีบเธอ

ปล.ภาพใน youtube ของมูฟวี่ซี้เว่อร์น้องเนส (icloudn) วาดให้เมื่อนานมาแล้วค่ะ
เลยขอเอามาใช้


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ทฤษฎีจีบเธอ ∞ ตอนที่ 4 [03/05/60] *หน้า11
« ตอบ #319 เมื่อ: 03-06-2017 23:42:37 »





ออฟไลน์ poommy_TY

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
โอ้ยยยยย อึดอัดมาก โคตรชอบการดึงอารมณ์ดราม่าของจิตติเลยอะ เจ็บปวดหัวใจหนึบๆไปกับน้องเติร์ด

อิค่ายยยยย ชั้นโกรธแกมากจริงๆ อิคนผีบ้า ฮือๆๆ ตบตีๆ ไม่รู้แหละ เห็นพฤติกรรมแล้วอยากตี นี่เข้าข้างน้องเติร์ดหนักมาก ตัดใจไปลูก ตัดใจไปเลยย ไม่รำคาญด้วย สงสารน้อง ฮือออ อิค่ายยย เอ็งนะเอ็ง!!!!

อยากอ่านต่อเป็นอย่างมาก อยากอ่านแบบทุกวัน 55555
จะมาเฝ้ารอทุกวันเลยนะ 

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
อึดอัดมาก โคตรอึดอัดเลย เหมือนหายใจไม่ออก จะร้องด้วย ฮือออออ ไอ้ค่าย!!! ไอ้คนปากมอม

ออฟไลน์ ravyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
อีค่ายยยย! บุคคลที่ไม่สมควรเป็นพระเอกแห่งปี  :m31: :m31: :m31:
ถ้ามีรางวัลนี้ขอยกให้มันนนน ละแถมรางวัลโง่ยอดเยี่ยมให้ด้วย 10 10 10 ไปเลยจย้าาาาาา
สงสารแต่เติร์ด :m15:  :m15: :m15:
ตัดมันให้ขาดเลยลูกกกกก หาผู้ใหม่ที่ฉลาดๆไปเล้ยยยยย

ออฟไลน์ แมวฉำฉา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สงสารเติร์ดอ่ะ เข้าใจความรู้สึกเลย มันอึดอัดใจมากๆ จะร้องไห้

ออฟไลน์ toomild

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
ถ้าค่ายยังโง่อยู่เรานี่แหละจะเข้าไปต่อยมันอีกคน นี่เติร์ดเพื่อนไง ทำไมพูดจาเลวใส่เพื่อนอ่ะ ไม่รักก็ไม่ได้ว่าแล้วนี่ไง ทำไมต้องมาเหยียบซ้ำอีก ไม่รู้อะไรทำไมต้องปากดีวะ ทีแรกก็คิดว่าเติร์ดคิดไปเองว่าพี่ค่ายมันเหี้ย จริงๆแล้วมันก็เหี้ย ฮรุกกก//ไหนคุณจิตติบอกไม่ม่าไงคะ! จริงๆก็เตรียมน้ำร้อนไว้ตั้งแต่ตอนที่แล้วแล้ว แต่ทำไมมันมาแบบโบ้มๆเลยล่ะคะ น้องเวรี่แซรด

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
โหย...นี่ร้องไห้เลย ดราม่าหนักมาก!

ออฟไลน์ ์ำNeFuji

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 323
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
 :z3: :z3: :z3:
ทั้งค้างทั้งเศร้าเลย

ออฟไลน์ Aimiya

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ตอนนี้เติร์ดแอบทำตัวน่ารำคาญนิดหน่อยนะ แต่เรายังให้อภัยถือว่าเป็นผู้ถูกกระทำให้เฮิร์ท แผลยังใหม่ สติเลยยังมาไม่ครบดี แต่หลังจากนี้หวังว่าจะมีอะไรเปลี่ยน จมปลักนาน นังค่ายก็ยังโง่เหมือนเดิมอยู่ดีนั่นแหละ จะบอกให้หายโง่หรือจะตัดใจแล้วไม่แคร์ได้จริงเอาสักทางนะ
ส่วนนังค่ายตอนแรกว่าจะไม่ด่าล่ะ เพราะตอนนี้ถือว่านางไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าทำร้ายจิตใจเติร์ดแถมยังมาโดนขอตีตัวออกห่าง กำลังจะสงสารล่ะ แต่พอปากหมามาตอนท้าย โอเคจ้าาา ด่าเลย // นานๆทีมีเวลาคอมเมนท์ ห้วนไปนิด แต่เราติดตามนะคุณจิตติ นี่คืออิน ฮาๆ

ออฟไลน์ maii

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 222
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-2
โอ้ยยยยย ใจพังหมดแล้ว จิตติ๊~คนใจร้ายยยยย :katai1: :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ sebest

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เมื่อไหร่จะเข้าช่วงทฤษฎีจีบเธอ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด