ทฤษฎีจีบเธอ ∞ THE END
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ทฤษฎีจีบเธอ ∞ THE END  (อ่าน 2134342 ครั้ง)

ออฟไลน์ Monnee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
อยากตอนต่อไปปปปปปปปปปปปป

ออฟไลน์ อิ๊อ๊ะชะเอิงเอย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
แต่ทำไมเราคิดต่างนะ
เราว่าค่ายน่าสงสาร เค้าคงรู้สึกดีกับเติร์ดละ อย่างน้อยก้เพื่อนรัก แต่อยู่ๆเติร์ดก้มาทำตัวเย็นชาใส่ย้ายหนี
โดยที่เค้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำไรผิด เพราะนังเติร์ดไม่ยอมบอกเหตุผล เค้าถึงได้ผิดหวังมากจนโกรธ
และก็เกลียด ซึ่งเราว่ามันก็สมเหตุสมผลอยู่นะ เพราะถ้ามีใครทำแบบนี้ใส่เราเราก็คงโกรธเหมือนกัน

ส่วนเติร์ดเราว่าเค้าทำตัวเองนะ คิดเองเออเองและก็เจ็บเอง หวังกับเค้าไว้มากมายแต่ไม่ยอมบอกว่ารักเค้า
พอสิ่งที่หวังกับสิ่งที่เจอมันต่างกันมากไปก็รับไม่ได้ถึงจะบอกว่าค่ายแกล้งหลอกให้ความหวังก็เถอะ
แต่ในเมื่อไม่พูดค่ายมันก็ไม่รู้ปะ มันยิ่งโง่ๆอยู่ เลยทำให้ทุกอย่างแย่ไปหมดยิ่งตอนหลังก็กระทบไปถึงเพื่อนคนอื่นด้วย

ไม่รู้สินะยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกว่าเติร์ดมันน่ารำคาญอ่ะ :pig4:

ออฟไลน์ Guy_BLove

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
แงงงงงงงงงงงงงง เค้าค้างงง มาต่อเร็วๆนะค้า

ออฟไลน์ khunpisda

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ร้องเหี้ยหนักมาก ปกติจิตติเขียนนิยาย feel good ได้ดีมาก อ่านแล้วกระชุ่มกระชวยหัวใจ แต่จากการได้อ่านเธอที่ร้าย หัวใจเราก็อ่อนแอลง นี่คิดเเล้วพล๊อตเพื่อนรักเพื่อนนี่แม่งต้องมีดราม่าชัวๆ แล้วมันก็จริงๆ ฮรืออออ ร้องเหี้ยหนักมาก แม่งเอ้ย! ต้องตอกตะปูลึกลงไปขนาดไหน ถึงจะเจ็บพอจะเข้าใจความรู้สึกของเติร์ด เชี่ยค่าย ควาย แดกหญ้า และอาหารเม็ดผสมเหล้า ง้วยย //ขอแค่เช็ดน้ำตาเธอเบาเบา  :katai1:

ออฟไลน์ gackmanas

  • I Remember your Eyes..
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
 :hao5: มันหน่วง.. อะฮือๆ...
อยากให้อิค่าย รุหัวใจตัวเองซักที
และเติร์ด ต้องใจแข็งนะลูก.. อย่าไปยอมมัน ต้องสวย ต้องเชิด..
หาหนุ่มหล่อๆมาจีบเติร์ดเลย..อิค่ายได้รุสึก ชิ..
ไรท์มาต่อเร็วๆนะคะ..  :katai4:

ออฟไลน์ lllittled

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ส่วนตัวรู้สึกน่ารำคาญหมด
ทีแรกก็ค่อนข้างเข้าใจฟีลค่ายนะเพราะมันไม่รู้จริงว่าที่เติร์ดทำเหมือนต้องการตัดเพื่อนนี่เพราะเหตุผลอะไร
แต่ถ้าอ่านดีๆเหมือนเติร์ดก็ยังพยายามจะรักษาสถานะเพื่อนไว้อยู่แต่ขอหลบมุมทำใจกับตัวเอง
แต่อิค่ายนี่คือเอ้ามึงจะตัดเพื่อนกับกูเหรอเออตัดเลยกูไม่แคร์ไม่มีเพื่อนแบบมึงก็ได้อะไรแบบนี้อันนี้คือหงุดหงิดกับค่ายตรงนี้
คือปากบอกรักเพื่อนแคร์เพื่อนแต่การกระทำสวนทาง
ส่วนเติร์ดก็น่าหงุดหงิดตรงที่รู้ว่ามันไม่รักก็ยังเก็บไปคิดเองแล้วก็เจ็บเอง
รู้ว่ามันเจ้าชู้มั่วไปทั่วอันนั้นมันก็สิทธิ์ของมันอีกแหละต้องสะกดจิตตัวเองให้ได้อะว่าเราไม่ได้เป็นอะไรกันไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายเรื่องนี้
แต่นี่เกลียดอย่างที่บอกว่าเรื่องผญของค่ายจนลามมาสร้างความยุ่งยากให้เพื่อนในกลุ่มนี่เกลียดมากอะ
เรื่องมึงมึงเริ่มก็ควรจัดการเองให้ได้ไม่ใช่ให้มาระรานเพื่อนฝูง
อ่านจบค่อนข้างให้ท้ายเติร์ดนิดนึงคือระดับความเข้าข้างทีแรกค่อนข้างไปทางค่ายมากกว่าอยู่นะเพราะมันไม่รู้ว่ามันทำอะไรผิด
แต่หลังจากอ่านตอนสี่จบให้เติร์ดมากกว่าค่ายหนึ่งระดับ
ตรงที่ค่ายมันทำเหมือนเพื่อนไม่มีความหมายอะไรสำหรับมันแล้ว
ในขณะที่เพื่อนทุกคนพยายามรักษาความสัมพันธ์เอาไว้ให้ได้
เติร์ดทำเฉยชาใส่ก่อนก็จริงแต่ก็ไม่ได้ตัดฉับความสัมพันธ์แบบที่ค่ายทำอยู่
แต่ค่ายนี่ไม่เอาเลยตัดไปเลยทั้งที่มันพร่ำบอกเองว่าแคร์เพื่อนอย่างเติร์ดมาก
จะรอดูว่าเรื่องจะไปทิศทางไหนค่ายจะหายโง่เมื่อไหร่และเติร์ดจะตัดใจได้ตอนไหน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-06-2017 15:05:06 โดย lllittled »

ออฟไลน์ Jittirain12

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 353
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1238/-18

ตอนที่ 5
ตัดใจแล้วไปต่อ

   คำพูดของไอ้ค่ายวนเวียนในหัวของผมจนสลัดไม่ออก...

   แม้วินาทีที่เดินโซเซกลับมายังห้อง สมองของผมก็เอาแต่จดจำได้เพียงประโยคนั้น น้ำเสียงของมัน สีหน้าที่แสดงอารมณ์ของมันบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าอีกฝ่ายตั้งใจพูดแค่ไหน

   ผมสูญเสียมันทั้งหมดแล้ว ทั้งฐานะคนพิเศษ และความสัมพันธ์ของคำว่าเพื่อน ไม่เหลือ...แม้แต่อย่างเดียว

   น้ำตามากมายที่ไหลลงมาไม่มีท่าทีว่าจะหยุด ได้แต่สะอื้นอยู่คนเดียวโดยไร้ซึ่งเงาของไอ้ทูและไอ้โบน ผมไม่สนหรอกว่าใครจะปลอบใจหรือไม่ นอกจากสาวเท้าเข้าไปยังห้องน้ำ น้ำตาทำให้ผมมองไม่เห็นแม้แต่ความหวังของตัวเอง เพราะความเสียใจเอาแต่ครอบงำไว้จนหมด

   เวลานี้ผมเจ็บจนไม่มีอารมณ์หาเพลงมาเปิดบิวด์อีกแล้ว เมื่อก่อนอาจเป็นเพียงเรื่องตลก แตกต่างจากตอนนี้ที่รู้สึกสมเพชตัวเองมากกว่า และคงไม่มีหน้ากลับไปคุยกับไอ้ค่ายได้อย่างสนิทใจอีก

   สายน้ำเย็นเฉียบจากฝักบัวที่ตกกระทบใบหน้าทำให้ผมกล้าที่จะร้องไห้ อย่างน้อยเสียงน้ำก็ดังพอที่จะกลบเสียงสะอื้นจากความเจ็บปวดไปได้บ้าง

   เคยมีคนบอกว่าสักวัน...เราจะเจอคนที่ชอบที่เราเป็นเรา ยอมรับที่เราเป็นตัวของตัวเอง สักวันคนที่มีอะไรเหมือนกันจะโคจรมาพบกัน ผมเชื่ออย่างนั้นมาตลอดถึงแม้ไม่รู้ว่าคนที่เคยบอกนั้นเป็นใครก็ตาม

   แล้ววันหนึ่งผมก็ได้รู้จักกับไอ้ค่าย มันแนะนำตัวกับผมว่าขุนพล ส่งยิ้มให้ผม ซื้อขนมมาให้ ชวนกันเข้ามาอยู่ในกลุ่มและหลังจากนั้นผมกับมันก็ตัวติดกันเป็นตังเม เราต่างชอบอะไรคล้ายๆ กัน อ่านใจกันออกทุกเรื่อง มีความลับอะไรก็แชร์กันตลอด เรียกได้ว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันไปแล้ว

   แตกต่างก็ตรงที่ไอ้ค่ายมองความสัมพันธ์แบบนี้แค่เพื่อน ขณะที่ผมคิดเป็นอื่น...

   เสียงน้ำยังคงชโลมลงมาบนหน้าของผมไม่หยุด ความหนาวเย็นแผ่ซ่านเข้ามาสุดขั้วหัวใจ ร่างกายของผมสั่นเทิ้ม เสื้อผ้าเปียกปอนไปทั้งตัวแต่ก็ไม่คิดพาตัวเองออกมา เอาแต่นั่งคุดคู้และเจ็บปวดเพียงลำพัง

   พรุ่งนี้...ผมจะเป็นคนใหม่ได้เหรอ

   พรุ่งนี้...จะมองหน้าอีกฝ่ายได้อย่างจริงใจได้เหรอ เพราะแค่เห็นหน้าของไอ้ค่าย คำพูดเสียดแทงใจต่างๆ ก็แล่นเข้ามาในหัวแล้ว ในเมื่อมันไม่แคร์และไม่รู้สึกอะไร ทำไมถึงเป็นผมที่ทรมานอยู่ฝ่ายเดียว

   “ไอ้เติร์ด! เติร์ดมึงอยู่ห้องน้ำเหรอ” เสียงไอ้ทูแว่วเข้ามาในโสตประสาท แม้จะไม่ชัดเจนแต่ผมก็รู้สึกได้ว่าน้ำเสียงนั้นขยับใกล้เข้ามาทุกที

   ผมไม่ตอบอะไรกลับไปนอกจากนั่งเงียบๆ กลางสายน้ำจากฝักบัว

   “เติร์ด มึงออกมาคุยกับกูหน่อย”

   “...”

   “นอนแช่น้ำอย่างนั้นมันเปลือง” ไม่ได้ห่วงกูเลยสักนิด

   ซึ่งผมก็เลือกที่จะไม่โต้ตอบอีก ไอ้ทูเงียบไปอึดใจหนึ่ง คิดว่ามันคงปล่อยให้ผมได้อยู่ตามลำพังเพื่อคิดทบทวนเรื่องต่างๆ แต่เปล่าเลย...น้ำหยุดไหลแล้ว ที่สำคัญคืออารมณ์กูชะงักค้างเหมือนยืนอยู่กลางหน้าผา แม่งโมโหจนอดไม่ได้ที่จะโวยวายออกไป

   “ไอ้ทู ไอ้ควาย! มึงสับคัตเอาท์ลงทำไม”

   ปั้งๆๆ

   ไม่มีการตอบรับใดๆ นอกจากเสียงตบประตูห้องน้ำที่ดังขึ้นมาไม่ขาดสาย

   “กูอยากอยู่คนเดียว”

   “ออกมา กูปวดขี้ รีบออกมา!” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดทำให้ผมต้องยันร่างกายให้ลุกขึ้นยืน แอลกอฮอล์ที่อยู่ในกระแสเลือดหายไปเป็นปลิดทิ้ง ผมพาตัวเองมาด้านหน้า หมุนลูกบิดประตูเพื่อเผชิญหน้ากับคนข้างนอกด้วยจิตใจสั่นไหว

   “ท้องเสียเหรอ” ผมพูดทั้งน้ำเสียงติดสั่น ไม่รู้ว่าหน้าตาอยู่ในสภาพทุเรศขนาดไหน แต่ทันทีที่ไอ้ทูเห็นมันก็ดึงผมเข้าไปกอดอย่างรวดเร็ว

   “ไม่เป็นไรนะมึง ไม่เป็นไร...”

   ตอนแรกก็ว่าจะหยุดแล้ว ไอ้นี่มันดันมาสะกิดต่อมน้ำตาอีกรอบ ผมโชคดีที่มีไอ้ทูกับไอ้โบน ต่อให้ต้องเจอกับความเจ็บปวดแค่ไหนพวกมันก็ยังอยู่เคียงข้างผมเสมอ

   “ตัวมึงเปียกหมดแล้วสัด” ผมพูดเสียงอู้อี้

   “ก็ใครบอกให้มึงไปยืนเปิดน้ำใส่หัวแบบนี้ล่ะ ควายจริง”

   “กูเจ็บ”

   “ไอ้ค่ายไม่ได้ตั้งใจ”

   “ไม่ เจ็บที่มึงด่ากูเนี่ย ขอกูไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแป๊บ” ผมเปลี่ยนประเด็นเพื่อทำให้บรรยากาศมันดีขึ้น ไอ้ทูพยักหน้าเข้าใจก่อนทิ้งตัวนั่งลงตรงโซฟาห้องนั่งเล่นเป็นการฆ่าเวลา กลับออกมาอีกทีเจ้าตัวก็ยังอยู่ที่เดิม แถมถอดเสื้อยืดเน่าๆ ติดชื้นทิ้งไว้กับพื้นอีกต่างหาก

   “ดีขึ้นยัง” มันถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย มองไม่ออกว่ากำลังห่วงหรือรำคาญกันแน่

   “อืม”

   “ตาบวมเลยไอ้เหี้ย อุบาทว์”

   “เออกูขอโทษ”

   “มานั่งนี่ดิ คุยกันหน่อย”

   “มีอะไรต้องคุยอีกล่ะ”

   “เออน่ะ เพื่อนบอกให้นั่งก็นั่งสิ ลีลาทำไมเยอะแยะ น่ามคาญ” บางทีผมก็เกลียดไอ้ทูนะครับ แต่ก็ไม่อยากเถียงกับมันมากนอกจากทิ้งตัวนั่งบนโซฟาอย่างจำยอม

   “จะพูดอะไรก็พูดมา แต่บอกเลยว่าตอนนี้กูไม่ได้อยู่ในอารมณ์จะเล่นตลกกับมึง”

   “ไอ้ค่ายมันบอกกูว่ามันไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้น...” แค่ได้ยินชื่อของใครอีกคน หัวใจก็เอาแต่บีบรัดจนรู้สึกจุก

   “เหรอ”

   “มึงแม่งยั่วโมโหมัน”

   “กูผิดเอง”

   “เติร์ด กูเป็นเพื่อนมึงมั้ย” คำถามนั้นทำให้ผมต้องพยักหน้า “เพราะงั้นฟังกูนะ”

   เอาแต่จ้องมองหน้าของคนข้างๆ ไม่กะพริบ คราวนี้ไอ้ทูดูจริงจังกว่าทุกครั้ง จนผมอดหวั่นใจว่าจะรับไม่ได้หากอีกฝ่ายพูดประโยคทำร้ายจิตใจออกมา

   “ให้กูฟังอะไร ตอนนี้กูรับไม่ไหวแล้วว่ะ”

   “มึงจะผ่านมันไปได้ มึงก็เห็นอยู่ว่าทุกวันนี้คำว่าเพื่อนของเรามันแทบไม่เหลือแล้ว ถ้ามึงไม่ทำใจยอมรับทุกอย่างก็พัง มึงคงไม่อยากให้เราทุกคนต้องพังกันหมดใช่มั้ย” ประโยคก่อนหน้าเสียดแทงใจฉิบหาย ใช่! ไม่ได้มีแค่ผมที่เจ็บ แต่ตัวของไอ้ทูกับไอ้โบนก็ต้องรับผลกระทบนี้ด้วย

   “กูขอโทษที่ทำให้เรื่องมันเลวร้ายขนาดนี้”

   “ไอ้ค่ายผิดด้วยที่พูดเหี้ยๆ แบบนั้นออกมา แต่มึงก็ผิด...คนโง่อย่างมันไม่รู้หรอกว่าสาเหตุที่มึงโกรธคืออะไร มันยังใช้ชีวิตทุกอย่างที่เป็นตัวเองอยู่เหมือนเดิม แต่กลับรู้สึกว่ามึงเปลี่ยนไปอยู่คนเดียว”

   “...”

   “ยิ่งวันนี้ที่มึงควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ เรื่องถึงได้ลุกลามขนาดนี้ แล้วรู้อะไรมั้ย...นอกจากมึงที่เจ็บ คนพูดมันก็เจ็บไปด้วยนะเว้ย” คำพูดของไอ้ทูทำเอาผมซึมไปเลย ได้แต่นั่งก้มหน้ารับฟังเพียงอย่างเดียว

   ความวุ่นวายทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นจากตัวของผมทั้งสิ้น แรกเริ่มเดิมทีผมคิดว่าจะเก็บความรักข้างเดียวเอาไว้ตลอดไป ถึงได้แอบชอบมาตลอดสองปีและก็อดทนได้เสมอตอนที่เห็นไอ้ค่ายคบหากับผู้หญิงมากมาย ไม่เคยออกตัวห้ามหรือเข้าไปก้าวก่ายในชีวิตของมันสักครั้ง

   จนกระทั่งวันที่แอบได้ยินว่าการกระทำหลายอย่างของมันเป็นเพียงการลองใจ ความรู้สึกของผมก็พังไม่เป็นท่า ความเสียใจนั้นไม่สามารถเก็บเอาไว้ได้คนเดียวอีกแล้ว ผมรู้สึกเหมือนคนโง่ที่โดนเพื่อนสนิทหักหลัง มันเคว้งไปหมด ได้แต่บอกกับตัวเองว่าไม่เป็นไรซ้ำๆ ทั้งที่รู้ว่าอาการตอนนั้นสาหัสแค่ไหน

   นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงไม่สามารถเก็บอารมณ์ได้ และเลือกระเบิดมันออกมาอย่างที่เห็น

   “มึงจะเอายังไงต่อไป” เสียงขอไอ้ทูดึงสติของผมอีกรอบ

   “หมายความว่าไง”

   “ความรู้สึกของมึงกับไอ้ค่าย”

   “กู...จะเก็บเอาไว้ ไม่พูดออกไปอีก”

   “ไม่ตัดสินใจบอกเหรอ”

   “ไม่มีประโยชน์หรอก บอกไปก็ไม่รู้ว่าเราจะเป็นเพื่อนกันได้หรือเปล่า มึงก็รู้จักเพื่อนมึงดีหนิ มันเป็นคนมั่นใจในตัวเองและไม่เคยมีใครเปลี่ยนความคิดมันได้ กูอยู่กับมันในสถานะเพื่อนตั้งแต่แรก ต่อไปก็คงเป็นมากกว่านั้นไม่ได้หรอก” เหมือนไฟ อยู่ข้างนอกก็อบอุ่นดีแล้ว จะเดินเข้าไปให้มันเผาใจอีกทำไม

   “อืม กูเอาใจช่วย”

   “ขอบใจ”

   “มึงเป็นคนเดียวในแก๊งโหดที่ไม่ได้โหดเลย ใครเขาก็ต้องมาดูแลมึงเนี่ย เด็กน้อยฉิบหาย” ไอ้ทูยีหัวที่ติดเปียกของผมอย่างรำคาญ ซึ่งผมก็ไม่ได้โวยวายอะไรนอกจากทำหน้ารำคาญใส่

   ผมเหมือนเป็นแกะดำของแก๊งโหดจริงๆ คอนเส็ปเราคือต้องโหดและฮอต ทุกคนมีลุคแบดบอยหมดยกเว้นกู...

   บางทีสิ่งนี้มั้งที่ทำให้ผมแตกต่างจากไอ้ค่าย

   “ดูหนังมั้ย” ไอ้ทูถามต่อ

   “เรื่องอะไร”

   “แล้วแต่มึงจะจัดเลย มีแผ่นเต็มไปหมด เดี๋ยวคืนนี้กูดูเป็นเพื่อน จัดแบบบุฟเฟ่ต์ไปเลยครับ”

   “จริงดิ งั้นดู Her”

   “เลือกเองก็เปิดเองสิวะ”

   ในค่ำคืนที่รู้สึกถึงความเศร้า เหงา และหนาว ผมมีไอ้ทูคอยอยู่ปลอบใจอยู่ตรงนี้ มันไม่เคยใช้คำพูดสวยหรูอย่างที่เพื่อนร่วมคณะส่งมาให้ แต่การกระทำของมันบ่งบอกทุกอย่าง ในวันที่ผมเสียใจที่สุด ผมมีมัน...กับหนังอีกหลายสิบเรื่องคอยอยู่เป็นเพื่อนไม่ไปไหน

   ไอ้ค่ายขอเวลากูหน่อยนะ ต่อไป...กูจะเข้มแข็ง

   เลือกที่จะตัดใจจากมึง แล้วเดินหน้าต่อโดยไม่รู้สึกเจ็บปวดอีก















   เสียงผิวปากดังแว่วเข้าหูเป็นระยะ แสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านผ้าม่านปลุกให้ผมต้องขยี้ตาอยู่หลายครั้ง ก่อนจะพบว่าตัวเองนอนขดอยู่ในกองผ้าห่มผืนหนาราวกับถูกโยนใส่แบบลวกๆ ที่ตู้เสื้อผ้ามีร่างของเพื่อนรักซึ่งกำลังกลัดกระดุมชุดนิสิตอย่างใจเย็นอยู่ ไอ้ทูมองผมผ่านกระจกก่อนจะเปรยขึ้นเบาๆ

   “กูไปเรียนแล้วนะ”

   “ทำไมไม่ปลุกกู”

   “กูปลุกมึงเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนละ แม่งบอกไม่ไปเอง”

   “สัด! กูพูดตอนไหนวะ”

   “เอาน่า นอนไปเถอะ กว่าจะดูหนังจบก็เกือบตีห้า อีกอย่างมึงคงไม่พร้อมเผชิญหน้ากับมันหรอก ใช่มั้ย” ผมรับฟังนิ่งๆ ตารางเรียนวันนี้มีสองวิชา ไม่ได้หนักหนามาก และที่สำคัญก็คงเป็นอย่างที่ไอ้ทูว่า คือผมยังไม่พร้อมจะเจอกับไอ้ค่ายตอนนี้

   “ห่วงแต่กู มึงเถอะ เพิ่งนอนเองไม่ใช่เหรอ”

   “เพื่อนครับ กูนัดสาวไว้ด้วย”

   รักกูฉิบหาย กับเรื่องผู้หญิงไอ้ทูนี้แหกทุกกฎแห่งความขี้เกียจ ยิ่งเห็นร่างสูงหมุนตัวมาหยิบกระเป๋ากล้องกับสมุดเล็กเชอร์สองเล่มแล้วก็ยิ่งหมั่นไส้ เป็นแบบมันก็ดีนะครับ ไม่ต้องคิด ไม่ต้องเครียด ไม่ต้องฝากใจไว้กับใคร เพราะสุดท้ายความรักของคนเราก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่ามันจะยั่งยืนอย่างที่หวัง

   “นมอยู่ในตู้เย็น ซีเรียลอยู่ตรงเคาน์เตอร์” สุดเซอร์ของกลุ่มย้ำอีกครั้ง

   “เออ ขอบใจ”

   “ตอนกลางวันถ้าขี้เกียจลงไปตรงช่องฟรีซมีข้าวกล่อง มึงเอาไปเวฟแดกได้”

   “ทำอย่างกับกูเป็นลูกน้อย”

   “ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง กูไปแล้วนะ”

   “อืม เจอกันเว้ย”

   ไอ้ทูโบกมือให้ก่อนจะหอบหิ้วกระเป๋าของมันเดินออกจากห้อง ตอนนี้ก็เหลือผมคนเดียวแล้วที่นอนโง่ๆ อยู่บนเตียง หยิบมือถือมาเลื่อนดูผ่านๆ ราวกับคนไม่รู้จะทำอะไร

   ถามว่าเหงามั้ยคงตอบได้ว่าโคตรเหงา แต่คิดว่าเดี๋ยวก็คงเคยชินกับความรู้สึกแบบนี้ ผมไม่ได้รับการติดต่อจากใครอีกตลอดระเวลาหนึ่งวันที่ทำตัวเหมือนคนว่างอยู่ห้องไอ้ทู จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาเกือบห้าโมงเย็น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

   ก๊อกๆๆ

   ผมที่ตอนนั้นนั่งดูหนังอยู่ตรงโซฟาเลยจึงต้องลุกไปเปิดให้ ในใจก็นึกอยากอ้าปากด่าไอ้ทูที่มีกุญแจแล้วเสือกขี้เกียจไข แต่ความคิดเหล่านั้นก็เป็นอันกลืนหายไปในลำคอ เมื่อคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ใช่เจ้าของห้อง แต่เป็นใครอีกคนต่างหาก

   “ไอ้ค่าย...” ผมพึมพำชื่อของมันเบามาก เจ้าตัวสวมชุดนิสิตหลุดลุ่ยกำลังส่งสายตาเรียบเฉยมาให้ผม

   “เอ่อ”

   “เอ่อ คือ...” ต่างคนต่างมึนงงใส่กันอยู่นาน ผมเองก็ไม่กล้าเอ่ยอะไรออกไป เพราะเรียนรู้การปกป้องตัวเองจากการเงียบเรียบร้อยแล้ว

   “กูเอาชีทเรียนวันนี้มาให้” สุดท้ายคนที่เอ่ยออกมาก็คือมัน

   “ขอบคุณ” ผมยื่นมือไปรับชีทปึกหนึ่งจากมืออีกฝ่าย และหลังจากนั้นสภาวะเดดแอร์ก็เข้าแทรกอีก เราไม่สนิทกันถึงขนาดจะพูดสิ่งที่ตัวเองคิดอยู่ในหัวแล้ว

   “มึงไม่สบายเหรอ”

   “เปล่า แค่ขี้เกียจ มึง...เข้ามาข้างในมั้ย” คนตัวสูงพยักหน้า ผมเลยเดินนำมานั่งที่โซฟา ซึ่งด้านหน้ามีทีวีที่กำลังฉายหนังเก่าๆ อยู่ ไอ้ค่ายทิ้งระยะห่างในการนั่งกับผมค่อนข้างมาก ซึ่งผมก็ไม่ได้ทั้งท้วงอะไร

   “ที่กูมา ไม่ได้ตั้งใจจะเอาชีทมาให้มึงอย่างเดียว”

   “...”

   “กูจะมาขอโทษ ที่เมื่อวานพูดไม่ดีกับมึง กูไม่ได้ตั้งใจ”

   “ไม่เป็นไร กูเองก็ขอโทษด้วยนะที่ทำให้มึงโมโห”

   คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการขอโทษกันแล้วล่ะ ผมอยากขอบคุณจริงๆ ที่ไอ้ค่ายยอมโอนอ่อนออกตัวพูดกับผมก่อน ไม่อย่างนั้นก็คงไม่กล้าพอจะเผชิญหน้ากันมัน

   “เติร์ด มึงกับกู...เรามาเริ่มกันใหม่ได้มั้ยวะ”

   ไอ้ค่ายไม่ได้ถามเหตุผลที่ผมโกรธมัน ซึ่งผมเองก็ตั้งใจเก็บไว้เป็นความลับตลอดไป ฉะนั้นเรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไปเถอะ

   “เอาสิ โกรธกับมึงแม่งไม่สนุกเลย” แต่คงไม่เอาใจตัวเองเข้าไปเจ็บอีกแล้ว

   “ถ้ามึงยกโทษให้กูแล้ว เรากลับมาอยู่ด้วยกันได้มั้ย ห้องไอ้ทูมันค่อนข้างอึดอัดเหมือนกันนะ”

   “ไม่หรอก ไอ้ทูเองก็ไม่ได้คิดแบบนั้นเลยคิดว่าจะไม่ย้ายไปไหนแล้ว” ในเมื่อบอกว่าจะออกมาผมก็ต้องทำให้ถึงที่สุด ถ้ากลับไปอยู่กับไอ้ค่ายอีกผมไม่รู้ว่าต่อไปจะต้องเผชิญกับอะไร ที่แน่ๆ ห้องนั้นต้องมีความเจ็บปวดรออยู่

   ใกล้เกินไปก็เจ็บ รักษาระยะห่างแบบนี้อาจจะดีกว่า

    “กูไม่ได้เร่งให้มึงย้าย แค่อยากให้กลับไปคิด”

   “งั้นกูขอคิดก่อนแล้วกัน”

   “เออ แล้วบทละครไปถึงไหนละ” พอเริ่มผ่อนคลายขึ้นเราต่างก็มีหัวข้อใหม่ๆ ผุดขึ้นมา กล้าพูด และกล้าสบตาแถมอาการเกร็งก็ค่อยๆ ลดลงด้วย

   “ยังไม่ได้อะไรเลย”

   “ตอนกลางวันพี่เชนทร์ถามถึงมึงอยู่”

   “ทำไมพี่มันไม่โทรมาหากูวะ”

   “กูไม่ให้โทรเองแหละ บางทีมึงอาจอยากอยู่โง่ๆ คนเดียว” เนี่ย ไอ้ค่ายแม่งเป็นเพื่อนที่รู้ใจผมทุกอย่าง ถ้าต้องเสียมันไป สู้เจ็บอยู่คนเดียวโดยมีมันอยู่ตรงนี้ผมก็จะทำ อย่างน้อยก็ดึงคำว่าเพื่อนกลับมาได้บ้าง

   “ไอ้ค่ายขอบคุณนะ”

   “มึงเป็นเพื่อนกู”

   ขอบคุณที่ยังมองเห็นกูเป็นเพื่อนอยู่ กู...จะตัดใจ
















   ผมถูกไอ้ทูตีตูดให้กลับมาเรียนในอีกวัน ส่วนไอ้โบนกับไอ้ค่ายก็ผนึกกำลังเกาะติดผมหนึบยิ่งกว่าปลิง นี่ก็เพิ่งได้ฤกษ์งามยามดีแยกตัวออกมาเพราะต่างคนต่างมีธุระของตัวเอง จิตใจของผมดีขึ้นกว่าเมื่อวานมาก แค่คิดว่าแก๊งโหดใกล้จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมก็มีกำลังใจจะทำหลายๆ อย่างต่อไป

   ไอ้พี่เชนทร์ รุ่นพี่ปีสี่ร่างหมีที่นั่งเก้าอี้ผู้กำกับละครเวทีเป็นปีแรก แถมยังเข้ามาอยู่ในทีมเขียนบท เป็นตัวตั้งตัวตีที่ทำให้ผมต้องปลีกตัวออกจากเพื่อน มานั่งหน้ามุ่ยเพื่อแลกเปลี่ยนไอเดียกับพี่มันที่หอสมุดแทน

   เราคุยกันเยอะมาก เสนอไอเดียร้อยแปดพันเก้าแต่ก็ถูกปัดตกหมด ดีที่พี่ย้งยี้หนึ่งในทีมเขียนบทอีกคนติดเรียน ไม่งั้นคงวุ่นวายมากกว่านี้แน่

   “แซะการศึกษาไทยมั้ย ช่วงนี้กำลังมาแรง” ผมจำไม่ได้แล้วว่านี่เป็นไอเดียที่เท่าไหร่ แต่ดูจากสีหน้าคนร่างหมีแถมเคราครึ้มคนนี้กูบอกเลยว่าไม่ผ่านอีกแน่ๆ

   “มึงเป็นอะไรกับเรื่องพวกนี้มากมั้ย มันไม่แมสต์”

   “ก็ทำสายอินดี้ไปเลย”

   “คนดูมันเข้าใจยาก เขียนเรื่องความรักดิ”

   “ไม่ศรัทธา”

   “มึงไม่ศรัทธาคนเดียว แต่คนดูต้องการอะไรที่ไม่ต้องคิดหลายชั้น เราต้องการความฟิน” คนตรงข้ามพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เด็กมหา’ลัยนะเว้ยไอ้เติร์ด ชีวิตประจำวันมันก็เครียดอยู่แล้ว เราไม่ได้จะทำหนังสั้นแต่กำลังทำละครเวทีให้นิสิต เอาแต่ใจตัวเองแล้วใครจะมาดู”

   ผมรู้สึกเหมือนมีพ่อคนที่สองกำลังบ่นอยู่ใกล้หู ได้แต่ก้มหน้าขีดเขียนดินสอใส่กระดาษแบบมั่วๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรเลือกนำเสนอในด้านไหน

    “ขอโทษนะคะ พี่โหด...” แล้วนางฟ้าก็ได้โปรยตัวลงมาอยู่ตรงหน้าเราทั้งคู่ ส่งผลให้พี่เชนทร์เงียบเสียงลงก่อนหันไปมองคนมาใหม่ทันที

   เธอเป็นเด็กปีหนึ่ง ดูได้จากป้ายคล้องคอที่ยังแขวนอยู่ ร่างขาวสวมเสื้อนิสิตโอเวอร์ไซส์ กะแล้วคงใหญ่กว่าตัวประมาณสามไซส์ได้ มัดผมรวบตึง หน้าใสมากเพราะไม่ได้แต่ง และที่สำคัญเธอกำลังยื่นบางอย่างให้กับผม

   “ครับ” ผมขานรับอย่างงงๆ

   “เพื่อนฝากมาให้ค่ะ อยากให้พี่ฝากให้พี่โบน”

   “เพื่อน?”

   “ใช่ค่ะ เพื่อนไม่กล้ามาเลยให้หนูเอามาให้ ไปก่อนนะคะ” พูดจบเจ้าตัวก็เผ่นแน่บออกไปทันที ทิ้งให้ผมกับพี่เชนทร์นั่งมองหน้ากันอยู่นาน

   “เปิดดิ” เสียงควายๆ ของมนุษย์หมีพูดขึ้น

   “ของไอ้โบน”

   “เพื่อนสนิทมึงเอง นิดหน่อยน่า” กว่าจะรู้สึกตัวก็เผลอเปิดกระดาษแผ่นเล็กที่พับไปมาเป็นรูปบ้าอะไรก็ไม่รู้ออกมาแล้ว ไอ้โบนกูขอโทษ
   

   พี่โหด ชอบพี่นะคะ


   ผมแทบขำพรืดออกมาเมื่ออ่านข้อความทั้งหมดจบ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่มีคนทำแบบนี้ เพราะนอกจากข้อความแล้วบางครั้งผมก็จะได้รับขนมจากรุ่นน้องที่ฝากแจกจ่ายถึงสมาชิกในกลุ่มด้วย คล้ายกับว่าผมเป็นคนกลางที่มองดูไอ้โหดอีกสามตัวกำลังล่าแต้มทำสถิติชิงอันดับหนึ่งของสายกันอยู่

   “เด็กสมัยนี้ จีบกันเชยฉิบหาย” รุ่นพี่หน้าหมีพูดติดตลก

   “ไอ้โบนแม่งมีโมเมนต์ก๊องแก๊งแบบนี้ด้วยเหรอวะ”

   “ขอดูหน่อยดิ” มือหนายื่นมาข้างหน้า ผมเลยวางกระดาษใส่มือของแกแล้วหันมาคิดพล็อตละครต่อ

   “มันจะโอเคมั้ยถ้าเราจะเขียนความรักที่เกิดขึ้นในหอสมุด” คำพูดของพี่เชนทร์ทำให้ผมชะงักมือที่กำลังขีดเขียนอยู่ แล้วเงยหน้าขึ้นมามองคนตรงข้ามอีกครั้ง

   ความรักในหอสมุด...

   “มันไม่ธรรมดาไปเหรอพี่”

   “นี่ไง กูถึงต้องการคนเขียนบทเทพๆ อย่างมึงมาช่วย เรื่องพล็อตธรรมดากูไม่กลัว อยู่ที่ว่าเราจะเขียนให้มันมีความน่าสนใจแค่ไหนมากกว่า”

   “นั่นแหละปัญหา”

   “มึงคิดดูนะไอ้เติร์ด ปีๆ นึงเด็กมหา’ลัยใช้หอสมุดเยอะมาก อย่างพวกไม่เอาอ่าวเลยหนึ่งปีมันก็ต้องมาสักครั้ง มึงไม่คิดเหรอว่าการมาหอสมุดที่น่าเบื่ออาจมีสีสันขึ้นถ้าเราเล่าเรื่องความรักควบคู่ไปด้วย”

   ผมคิดตามสิ่งที่รุ่นพี่ปีสี่แกเสนอ สำหรับผม การมาหอสมุดเป็นเรื่องที่น่าจำเจ เพราะใช้เฉพาะช่วงสอบแถมยังชอบจองห้องติวแบบไพรเวทเอาไว้มากกว่าจะนั่งกองๆ อยู่ด้านนอก มันเลยทำให้ผมไม่ได้เจอกับใครเท่าไหร่นอกจากเพื่อนในคณะ

   แต่ถ้าเราลองมองอีกมุม ใช้เวลาว่างมานั่งสังเกตชีวิตของคนกลุ่มอื่นบ้าง บางทีพล็อตแบบนี้อาจจะเวิร์กก็ได้ เห็นบางคนก็ยังเหล่ๆ มองกันอยู่ทั้งที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อ

   “น่าสนใจ”

   “ลองมั้ย แล้วมาแชร์ไอเดียกัน”

   “เดี๋ยวช่วงอาทิตย์นี้ผมเซอร์เวย์ก่อนแล้วกัน ส่วนพี่ก็ลองคิดโครงเรื่องคร่าวๆ ไว้ แล้วมาปรับกันอาทิตย์หน้าเพราะมันจะไม่ทันแล้ว” เวลาที่กระชั้นทำให้เราตัดสินใจทำอะไรเร็วขึ้น รีบแบ่งสันปันส่วนหน้าที่ไว้อย่างดี เพราะละครจะประสบความสำเร็จได้ก็ต้องมาจากบทที่ดีด้วย

   “ตกลงตามนั้น เดี๋ยวกูบอกย้งยี้เอง อีนี่มันเก่งเรื่องไดอาล็อก”

   “...”

   “โรแมนติกแต่ไม่มีผัว”

   “กับเพื่อนไม่ต้องแซะขนาดนั้นก็ได้”

   “มึงก็อย่าบอกมันดิ โอเคสรุปตกลงตามนี้ ส่วนชื่อเรื่องเดี๋ยวรอดูพล็อตโดยรวมอีกที”

   “ครับ”

   “แยกย้ายๆ” พี่เชนทร์เป็นคนทำอะไรรวดเร็ว สั่งอะไรเสร็จก็หายหัว แกเป็นรุ่นพี่ที่เก่งมากในสายฟิล์ม หน้าตาไม่หล่อ แต่แฟนโคตรสวย เพื่อนร่วมรุ่นต่างก็อิจฉาเพราะเกิดมาไม่เคยรู้จักคำว่าแห้ว แค่คารมกับความเก่งของแกหญิงก็แทบวิ่งมาสยบตรงปลายเท้าแล้ว

   ส่วนกูอ่ะ...ก้มลงมองตัวเองแป๊บ

   อยู่แก๊งโหดแต่ไม่โหด ความฮอตระดับเบสิก หน้าตาจะออกตี๋ด้วยซ้ำไป ความเก่งก็ไม่ได้โดดเด่น ติดท็อปลิสต์บุคคลผู้มีปฏิสัมพันธ์ยอดแย่กับคนแปลกหน้า เออ! สมควรที่ไม่มีใครเอา

   
อ่านต่อด้านล่างค่ะ

ออฟไลน์ Jittirain12

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 353
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1238/-18

ช่วงหนึ่งสัปดาห์มานี้ผมยังคงเทียวเข้าเทียวออกหอสมุดเป็นว่าเล่น แต่ทุกครั้งก็มักพาไอ้สามตัวติดสอยห้อยตามมาด้วย เพราะความสัมพันธ์ของเรากลับมาเกือบเป็นปกติแล้ว ผมเองก็ควบคุมความรู้สึกตัวเองเก่งขึ้น เลิกคาดหวังและก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของไอ้ค่าย เลยทำให้ความเจ็บลดลงได้บ้าง

   แม้จะไม่หายขาด แต่ก็ดีขึ้นกว่าตอนแรกเยอะโข

   วันนี้ผมกับแก๊งโหดนัดแนะกันมานั่งที่โต๊ะตัวหนึ่งกลางหอสมุด ซึ่งรายล้อมไปด้วยนิสิตหลากหลายคณะ หลายคนมองมาที่เราและอมยิ้ม ซึ่งตลอดเวลาหนึ่งชั่วโมงที่นั่งคุยกันล้วนมีพลังงานบางอย่างส่งมาเสมอ

   ไอ้โบนลุกขึ้นจากโต๊ะเป็นคนแรก เห็นบอกขอตัวไปเข้าห้องน้ำ แต่ตอนเดินออกมากลับผิวปากอย่างมีความสุขเพราะได้ไลน์สาว ไอ้ค่ายกับไอ้ทูก็ไม่น้อยหน้า หนึ่งสัปดาห์มานี้ มันสามตัวฟันสาวไปแล้วหลายคนเพียงเพราะการมานั่งหอสมุดเล่นๆ

   เข้าสู่สัปดาห์ที่สองทีมเขียนบทเริ่มดิสคัสกัน เราเสนอไอเดียและร่างพล็อตเรียบร้อย ผมกับพี่เชนทร์จึงช่วยกันเขียนทรีตเมนท์ในแต่ละองก์ แต่ละฉาก โดยมีพี่ย้งยี้เขียนไดอาล็อกและปรับแก้ให้สมบูรณ์ขึ้น

   งานเขียนบทยังห่างไกลจากคำว่าเสร็จอยู่มาก แต่เราก็พอจะมีชื่อเรื่องอยู่ในหัวด้วยการเอาคำสองคำมาผสมกัน นั่นคือคำว่า Library ที่แปลว่าห้องสมุด กับคำว่า Like ที่แปลว่าชอบ สุดท้ายเราเลยใช้ชื่อละครเวทีประจำปีว่า

   ‘Likebrary’

   ซึ่งทุกคนในที่ประชุมต่างลงความเห็นว่ามันต้องเป็นที่จดจำของคนดูแน่นอน

   Rrrr…!

   หลังประชุมเฮดแต่ละฝ่ายเสร็จ ไอ้ค่ายก็โทรเข้ามาอย่างรู้งาน ผมมองหน้าจอที่ปรากฏชื่อมันชั่วครู่ราวกับใช้ความคิด แต่สุดท้ายก็ยอมกดรับสายแต่โดยดี

   “ว่าไงมึง”

   [ว่างมั้ย วันนี้ไปกินข้าวกับดูหนังกัน]

   “อืม...เอาดิ” ใจของผมเต้นแรง รู้สึกดีใจทุกครั้งที่มันชวนออกไปข้างนอก แม้จะบอกตัวเองเสมอว่าทุกอย่างที่คนตัวสูงทำไปเพราะความเป็นเพื่อน ผมก็อดดีใจไม่ได้อยู่ดี

   ถึงไม่ได้ครอบครอง แค่ได้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคนที่รักมาตลอดมันก็คุ้มค่าแล้ว

   [งั้นออกมาที่ลานจอดรถคณะเลย ขับตามๆ กันไป] เสียงทุ้มตอบกลับมาอีก ผมเลยอดถามถึงบุคคลหาตัวจับยากอีกสองคนด้วย

   “ไอ้ทูกับเชี่ยโบนล่ะ”

   [มีนัด เหลือแต่มึงกับกูเนี่ย เร็ว! รีบออกมากูหิว]

   ไอ้ค่ายตัดสาย ผมจึงสับเท้าไปข้างหน้า ตรงดิ่งไปยังลานจอดรถที่ซึ่งมีร่างสูงรออยู่ตรงนั้น ผมมองดูมันที่ยืนพิงชาวีลูกรักด้วยรอยยิ้ม มันเองก็ยิ้มกลับมาก่อนจะชวนกันไปยังสถานที่นัดหมาย

   เราแวะที่ร้านอาหารสไตล์อิตาเลี่ยนแห่งหนึ่ง สั่งของกินกันมาซัดจนหนำใจก็เดินทางต่อ ไอ้ค่ายจูงมือผมเข้าไปในร้านเครื่องสำอางขนาดใหญ่ ที่ซึ่งมีแต่ผู้หญิงเดินอยู่กันเต็มไปหมด ทำเอาคนไม่คุ้นอย่างผมยืนตัวลีบไปพร้อมๆ กับคนข้างๆ เนี่ยแหละ

   “มึงจะซื้ออะไรวะ แล้วทำไมแม่งต้องมายืนอยู่ตรงนี้ด้วยเนี่ย” การมายืนอยู่หน้าแผนกลิปสติกเป็นอะไรที่ผมอายแทบแทรกแผ่นดินหนี

   “กูอยากซื้อลิป เอาไปให้หญิง” หน้าของผมตึงขึ้นมาทันที แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปเพราะยอมรับไอ้ค่ายที่เปย์ผู้หญิงไปทั่วอยู่แล้ว ปกติผมก็เห็นมันตามซื้อน้ำหอมและเครื่องสำอางให้สาวๆ ประจำ แต่ปกติมันไม่เคยเรียกให้เพื่อนคนไหนมาช่วยเลย ยกเว้นวันนี้

   “ทำไมไม่ให้เขามาเลือกเองวะ”

   “ไม่รู้ดิ อยากเลือกให้ จะได้ดูเหมือนใส่ใจ” ครับ กับคนที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับลิปสติกอย่างกูเนี่ยนะ แล้วมันก็ถามต่ออีก “สีนี้สวยมั้ย”

   ผมมองลิปสติกสีชมพูในมือของเพื่อนสนิท ก่อนจะพยักหน้าหงึกหงัก

   “อืม”

   “แล้วนี่อ่ะ”

   “นี่ก็สวย”

   “แล้วอันนี้อ่ะ สามอันนี้อันไหนสวยกว่ากัน”

   “เขามีปากเดียวมั้ย เลือกทำไมตั้งหลายแท่ง”

   “ผู้หญิงไม่ได้คิดเหมือนมึงเว้ย เลือกมา!”

   “นี่ชมพู นี่ก็ชมพู อันนี้...ก็ชมพู ต่างกันตรงไหน”

   “ใช่มะ?” เหมือนควายสองตัวยืนเลือกลิปสติกเลยครับ แน่นอนว่าผมกับไอ้ค่ายแยกไม่ออกว่าอันไหนสวยหรือแตกต่างกันยังไง จนกระทั่งพนักงานเดินเข้ามาให้ความช่วยเหลือ

   “ไม่ทราบว่าคุณผู้ชายต้องการลิปแบบไหนคะ” ไอ้ค่ายสะกิดไหล่ผมยิกๆ ให้เป็นฝ่ายตอบ ส่วนตัวเองก็เหม่อมองหลอดไฟและเพดานเป็นการหนีปัญหา โธ่ไอ้ควาย!

   “แบบที่ทาปากครับ” โฮร่ลลลลลลล นับเป็นคำตอบที่สิ้นคิดมาก

   “ลิปสติกจะมีหลายรูปแบบนะคะ ทั้งแบบแท่งและลิควิด แบบเนื้อแมทต์ เนื้อซาติน หรือจะเป็นทินท์ไว้ทาบางๆ ใสๆ” โอ้โหที่พูดออกมานั้นไม่เข้าใจเลยครับ ผมจึงชี้ไปที่ลิปสติกที่เลือกกับไอ้ค่ายก่อนหน้านั้น

   “เอาแบบนี้ครับ”

   “ถ้าอยากรู้ว่าชอบสีแบบไหนลองสวอชได้นะคะ” สวอช?

   สักพักเธอก็ถูกดึงตัวไปให้แนะนำสินค้ากับลูกค้าคนอื่น ทิ้งให้ควายสองตัวมองหน้ากันพร้อมกับคำถามที่ว่า สวอชในที่นี้หมายถึงอะไร

   “เติร์ด”

   “ไร”

   “กูขอลองกับมึงหน่อยดิ” เท่านั้นแหละครับ ลิปสติกตัวอย่างก็ถูกละเลงลงปากจนกูอยากร้องไห้ เห็นไอ้ค่ายหัวเราะชอบใจกูยิ่งน้ำตาตกใน ส่องกระจกทีไรสติแทบกระเจิง ปล่อยให้อีกฝ่ายลองผิดลองถูกอยู่นานจนพนักงานคนเดิมเดินกลับมา

   “มีสีที่ชอบมั้ยคะ”

   “แบบบนปากเพื่อนผมนี่ครับ โอเคมั้ย”

   “หา!” เล่นเอาตะลึงกันไปทั้งร้าน ปากบนโทนสีชมพู ปากล่างมีความเป็นเกาหลีออกสีส้มนิดๆ โอ๊ยไอ้เหี้ย ต่อไปถ้าชวนมาทำอะไรแบบนี้ไม่ต้องเรียกกูครับ เป็นเพื่อนไม่ใช่หนูทดลอง กว่าจะเช็ดสีออกพี่เขาต้องหาพวกคลีนซิ่งมาให้วุ่นวายกันทั้งร้าน จ่ายตังค์เสร็จผมนี่รีบวิ่งออกมาแทบไม่เห็นฝุ่นเลย

   แน่นอนว่าไอ้ค่ายได้สิปสติกดั่งใจอยู่หลายแท่ง หมดเงินไปก็เยอะ แต่เพื่อนรักหักเหลี่ยมแค้นไม่ได้หยุดแค่นี้น่ะสิ มันยังลากผมเข้าไปในช็อปแบรนด์เนมช็อปหนึ่งเพื่อเลือกซื้อกำไลข้อมือด้วย

   “ไอ้สัดโคตรแพง”

   “ก็ดูเฉยๆ อันนี้สวยมั้ย” มือหนายื่นกำไลสีเงินวงหนึ่งให้ผมดู

   “กูเลือกกำไลไม่เป็นหรอก มึงเลือกเถอะ” ไอ้ค่ายไม่ได้รบกวนผมอีกนอกจากยืนเลือกของเงียบๆ เมื่อจ่ายเงินเสร็จเราก็ออกมา แวะซื้อโน่นนี่นั่นอยู่หลายอย่าง กระทั่งมาหยุดอยู่ตรงร้านหนังสือขนาดใหญ่ มีหนังสือหลายเล่มที่ผมอยากได้แต่ก็เลือกได้แค่บางเล่มเท่านั้น

   “คิดอะไร” ร่างสูงที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังถามขึ้น

   “กำลังคิดว่าจะซื้อเล่มไหนดี”

   “ก็เอามันไปทั้งหมดเนี่ยแหละ”

   “ห่า กูซื้อมาสี่เรื่องแล้วเนี่ย ห้าเล่มคือหมดโควตาแล้ว เอาเล่มนี้ละกัน” ตัดสินใจในวินาทีสุดท้ายด้วยการหยิบหนังสือเกี่ยวกับการทำหนังขึ้นมา ก่อนจะเดินไปจ่ายเงินที่หน้าเคาน์เตอร์

   “ไปเร็ว เดี๋ยวดูหนังไม่ทัน” ใบหน้าหล่อเหลาพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ เราเลยเดินคู่กันไปที่โรงหนังพร้อมของในมือเยอะแยะเต็มไปหมด

   มึงรู้มั้ย...ว่าวันนี้กูมีความสุขแค่ไหน

   ได้กินข้าวกับมึง ซื้อของกับมึง เดินเล่นและได้ดูหนังด้วยกัน ถึงแม้จะตัดใจไม่ขาดในตอนนี้ แต่สิ่งที่ผมกับมันเป็นอยู่ดีที่สุดแล้ว

   เรานั่งข้างกันในโรงหนัง เหตุการณ์มันแตกต่างจากวันนั้นมากที่ผมทำได้แค่เฝ้าดูอยู่ข้างหลัง ตอนโกรธกันแม่งโคตรแย่ และผมรู้ดีว่าจะไม่มีทางให้มันเกิดขึ้นอีก

   ตั้งแต่เริ่มเรื่องจวบจนเอนเครดิตปรากฎ เวลาแค่สองชั่วโมงหล่อเลี้ยงหัวใจที่เคยขาดน้ำของผมให้ชุ่มชื้นขึ้นมา แม้หนังจะไม่ได้โรแมนติกเลยก็ตาม

   “หนังคลีเช่นะ แต่ทำออกมาดีมาก” ทั้งโรงเหลือเพียงผมกับไอ้ค่ายที่ยังคงนั่งอยู่ คุยกันไป มองดูชื่อที่เลื่อนผ่านสายตาอย่างเพลินๆ

   “คิดเหมือนกัน ชอบตัวบทกับแอคสุดท้ายมาก”

   “ตราตรึงสาดดดด”

   “แล้วนี่เดี๋ยวไปไหนต่อ” ผมถาม

   “เที่ยงคืนกว่าแล้วมั้ยครับคุณเติร์ด กลับห้องสิวะ”

   “เออ กูลืม”

   “ฝากของไว้ที่ล็อกเกอร์ใช่มั้ย เดี๋ยวแวะเอาแล้วกลับกันเลย” อยากหยุดเวลาเอาไว้ให้นานอีกหน่อย แต่ก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ จะโลภทำไมแค่ได้อยู่กับเพื่อน

   ผมเดินคิดอะไรเพลินๆ โดยมีไอ้ค่ายก้าวเท้าเคียงข้างไม่ห่าง เราจอดรถไว้คนละที่เลยต้องแยกกันตรงชั้นอันเดอร์กราวด์ ก่อนไปมือหนายื่นถุงพลาสติกสีขาวใส่มือของผม โดยไม่เฉลยว่าสิ่งที่ให้นั้นคืออะไรกันแน่

   “อะไร”

   “เออน่ะ”

   “ให้กูเหรอ”

   “ใช่ เจอกันพรุ่งนี้นะ อย่าตื่นสายซะล่ะ” ไอ้ค่ายยกมือขึ้นมายีหัวของผมอย่างหมั่นเขี้ยวก่อนจะปลีกตัวเดินไปอีกทาง ปล่อยให้ผมจ้องมองถุงพลาสติกในมือเงียบๆ และเมื่อลองแง้มดูนั้นผมก็ได้เห็น...

   หนังสือเล่มที่ผมอยากได้บรรจุอยู่ในนั้น

   รู้มั้ยว่ามันรู้สึกดีแค่ไหน ถึงไม่ได้ใจของอีกฝ่าย แต่ถ้าได้รับการใส่ใจ มันก็เพียงพอแล้ว

   ซึ้ง น้ำตากำลังไหล ต้องรีบเดินไปก่อนจะดราม่ากว่านี้ ฮืออออออ














   ทีมเขียนบทพยายามทำงานอย่างแข็งขัน สุดท้ายสิ่งที่เราพยายามมาตลอดหนึ่งเดือนกว่าๆ ก็สำเร็จ เมื่อบทสำหรับละครเวทีเสร็จสิ้น พี่เชนทร์กับพี่ย้งยี้เลยถือโอกาสพากันไปฉลอง โดยมีไอ้เพื่อนสามคนของผมเป็นติ่งติดสอยห้อยตามไปด้วย

   สถานที่ก็เป็นร้านอาหารกึ่งบาร์แห่งหนึ่ง เราสั่งอาหารและเบียร์มาค่อนข้างเยอะ นั่งกันตั้งแต่สองทุ่มจนตอนนี้ห้าทุ่มก็ยังไม่มีท่าทีว่าใครจะกลับ

   ผมแทบไม่แตะแอลกอฮอล์เลยเพราะกลัวว่าจะปากพล่อยพูดอะไรไม่เข้าท่าอีก อย่างที่รู้กันดี ช่วงหลังมานี้ไอ้ทูกับไอ้โบนจึงคอยปลามผมอีกทางด้วย แม้จะเป็นผู้ห่วงใยที่ดี แต่สภาพพวกมันตอนนี้ไม่ต่างจากหมาข้างทางเท่าไหร่ เพราะเสือกไปเจอสายแข็งอย่างมนุษย์หมีเข้า

   ชนกันตั้งแต่เริ่มแดกข้าวยันร้านแทบปิด หมดก็รินเติมไม่ปล่อยให้ขาด สภาพเลยทุลักทุเลอย่างที่เห็น ดีที่พี่ย้งยี้แกชิงกลับก่อน ไม่งั้นคงต้องมารับกรรมนั่งแบกร่างควายเผือกหลายตัวขึ้นรถทั้งน้ำตานองหน้าแน่ๆ พี่รอดไปได้ เพราะงั้นกรรมหนักจึงตกมาอยู่ที่ผม

   โอ้โห กูจะทำยังไงกับสี่ชีวิตนี้ดีวะเนี่ย

   “พี่เชนทร์ ผมว่าพอก่อนเหอะว่ะ เดี๋ยวพี่จะกลับไม่ได้” ถ้าจะเบรกก็ต้องเบรกที่ไอ้คนที่เป็นหัวโจกเนี่ยแหละ

   “ไม่เป็นไร เดี๋ยวเมียมารับ” เออขอบคุณ มึงเอาตัวรอดกันได้เก่งมาก

   “พวกมึงสามตัวก็พอได้ละ กูไม่หามกลับนะเว้ย”

   “ตากูยังใสแจ๋วอยู่เลย” ไอ้โบนยังคงปากดีอยู่ เมื่อกี้เห็นวิ่งไปล้วงคออ้วกกับไอ้ทูมา รอดก็บ้าแล้วครับไอ้เวร

   ผมต้องคอยเทน้ำเปล่าใส่แก้วให้พวกมันกินเพื่อให้หายสร่างเมา ซึ่งก็พอช่วยได้บ้าง จะมีก็แต่ไอ้ค่ายเนี่ยแหละที่เดินโซซัดโซเซคลำกำแพงไปเข้าห้องน้ำทั้งหน้าแดงก่ำ ปกติมันไม่ค่อยเป็นอย่างนี้นะครับ ผิดก็ตรงที่มาเจอคนพูดภาษาเดียวกันแถมบิวด์อารมณ์เก่งอย่างพี่เชนทร์เข้า ทุกอย่างเลยเป็นอย่างที่เห็น

   ผมนั่งรอไอ้ค่ายกลับมานั่งที่โต๊ะอยู่นาน แต่มันก็ไม่ยอมกลับมาสักที จิตใจที่เอาแต่ว้าวุ่นเร่งให้ต้องรีบลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เดินตามอีกฝ่ายเข้าไปยังห้องน้ำชาย

   โล่งอกไปทีที่เห็นร่างสูงยืนโงนเงินอยู่ตรงโถฉี่

   “เยี่ยวนานฉิบหาย”

   “อือ”

   “รู้ตัวป่ะเนี่ย พูดจะไม่รู้เรื่องแล้วมึง” ปากว่า แต่มือก็มองไอ้ค่ายพยายามรูดซิบกางเกงทั้งสังขารเปลี้ยๆ แบบนั้น ผมเห็นแล้วสงสารจึงรีบเข้าไปพยุงอีกฝ่ายให้ล้างมือจนเสร็จ

   “มึงโอเคมั้ย นี่กี่นิ้ว” ผมชูนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ขึ้นมา ไอ้ค่ายก็ยืนมองทั้งตาปรือแบบนั้น

   “...”

   “สงสัยจะเมามากจริงๆ เดี๋ยวกูพากลับ รถมึงเดี๋ยวกูบอกผู้จัดการร้านให้ดูแลก่อน ส่วนไอ้สอง...” ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อผมก็ถูกร่างหนาหนักดันติดกับกำแพงจนต้องร้องโวยวายออกมา “เฮ้ยอะไรวะเนี่ย!”

   ใบหน้าของอีกฝ่ายเลื่อนเข้ามาประชิดจนได้กลิ่นแอลกอฮอล์คละคลุ้งไปทั่วจมูก สมองแม่งว่างเปล่าไปหมดไม่รู้ว่าต้องทำอะไรก่อน นอกจากยืนตาโปนมองดูไอ้ขี้เมาอยู่นิ่งๆ

   นานอยู่หลายนาทีเหมือนกันกว่าจะรวบรวมสติได้ ตั้งใจจะผลักคนตัวสูงกว่าออกแต่ไอ้ค่ายเร็วกว่า เมื่อมันใช้สองมือดันผนังเอาไว้แล้วล็อกให้ผมอยู่กับที่

   “ไอ้ค่าย มึงเมาแล้วนะเว้ย ไอ้...อื้อ!”

   เสี้ยววินาทีนั้นโลกของผมถูกเหวี่ยงอย่างแรงจนไร้ทิศทาง ริมฝีปากของคนตรงหน้าประกบลงบนปากของผมแทบไม่ทันตั้งตัว เล่นเอาความคิดที่อยู่ในหัวกระเจิดกระเจิงจนหมด

   ผมหายใจไม่ออก และไอ้ค่ายก็ยังคงบดเบียดริมฝีปากอยู่อย่างนั้น

   คำถามแรกที่โผล่เข้ามาในหัวเลยก็คือ มึงตั้งใจจะจูบกูใช่มั้ย ผมคิดอยู่อย่างนั้นแต่ก็ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมานอกจากเสียงครางอืออาแทบไม่ได้ศัพท์

   ด้วยความมีชั้นเชิงของคนเมาอย่างไอ้ค่าย การตระโบมจูบของมันจึงชักนำความรู้สึกคนอย่างผมได้อย่างง่ายดาย ผมไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีอีกแล้ว แม้จะบอกตัวเองว่าคนตรงหน้าเป็นเพื่อนแต่ผมก็ยังเห็นแก่ตัว

   ยังหวังอยู่ลึกๆ ว่าอาจไปได้ไกลกว่านั้น

   ริมฝีปากได้รูปประกบจูบเปลี่ยนองศา ใช้ความช่ำชองของมันทำให้ผมยอมเปิดปากและแทรกลิ้นร้อนเข้ามาภายใน เหงื่อมากมายผุดซึมไปทั่วใบหน้าและกลางหลัง

   ผมรู้สึกไม่ชินเมื่อถูกลิ้นกวาดเข้ามาในโพรงปาก ไม่รู้แม้กระทั่งว่าต้องหายใจทางไหน เลยปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นคนนำทาง ความรู้สึกวาบหวานแล่นปราดเข้ามาในอก มือหนาเลื่อนจากกำแพงขึ้นมาจับหน้าของผมเอาไว้ ก่อนจะเชยขึ้นเพื่อให้รับจูบอย่างถนัดถนี่

   “อืออออ” ผมเริ่มร้องประท้วงเมื่อการหายใจติดขัดหนักหน่วงกว่าเดิม

   แต่คนเอาแต่ใจก็ยังคงมุ่งมั่นกับการจูบแลกเปลี่ยนน้ำลายจนชุ่ม เกี่ยวกระหวัดไปมาจนน้ำใสๆ ไหลเอ่อตรงมุมปาก ไอ้ค่ายดูดดึงทุกอย่างออกไปจากผมคล้ายกับต้องการกระชากวิญญาณให้หลุดออกจากร่าง

   รสฝาดปนกลิ่นคาวไหลผ่านเข้ามาในลำคอ ความเจ็บจี๊ดแผ่ซ่านไปทั้งซีกหน้า ผมถูกกัด ถูกจูบอย่างหนักจนปากระบม เมื่อปล่อยให้ทำอย่างพอใจแล้วไอ้ค่ายถึงยอมผละออกและมอบอิสระให้

   แรงหอบหายใจของผมดังไปทั่วบริเวณ ขณะที่คนเมายังคงมองด้วยสายตาฉ่ำปรืออยู่ เจ้าตัวแลบลิ้นเลียริมฝีปากไปมาแต่ก็ไม่ยอมขยับหนี

   “ค่าย...”

   “แพรว”

   “...!!” ราวกับมีค้อนหนักๆ กระแทกตรงกกหูอย่างแรง ผมนิ่งค้างทันทีที่ได้ยินว่ามันกำลังเรียกชื่อคนอื่นต่อหน้า แถมคนตัวสูงยังไม่หยุดแค่นั้นเมื่อมันก้มหน้าลงมาจูบผมอีกรอบและหนักหน่วงกว่าเดิม

   ผมรู้ว่าตัวเองอาจไม่มีความหมายสำหรับมันมากนัก แต่ผมก็ยังอยากทำดีกับมันให้มากที่สุด ผมสามารถทนต่อถ้อยคำและการกระทำแย่ๆ ของมัน ทนได้ที่ถูกหลอกใช้ให้เป็นเพียงบททดสอบ ทนได้ที่ต้องตามติดมันเลือกซื้อของให้คนอื่น เพราะผมเชื่อว่าความรู้สึกที่มีให้ไอ้ค่ายเพียงพอต่อความสุขที่เกิดขึ้นในใจของผมแล้ว

   แต่ดูสิ่งที่คนโง่ๆ อย่างผมได้รับสิ

   ผมก็ไม่ได้หวังอะไรมาก แค่ตอนที่ถูกจูบ...

   ช่วยเรียกชื่อกูสักครั้งได้มั้ย

   “แพรว แพรว...”

   หลังจากริมฝีปากของคนตรงหน้าผละออก มันก็เอาแต่เรียกชื่อคนอื่น ขณะที่คนฟังได้แต่ยืนน้ำตาตกใน นี่สินะความรู้สึกของคนแอบรัก

   เพราะต่อให้ชอบมากแค่ไหน ก็รั้งคนคนนั้นเอาไว้เป็นของตัวเองไม่ได้

   นี่แหละคือความเจ็บปวด...ที่หนักหนาสุดตั้งแต่แอบรักมันมา

   กระทั่งเช้านี้ผมก็ยังเข้าเรียนตามปกติ หลังพากันกลับเราต่างไม่มีใครพูดถึงเรื่องเมื่อคืนอีก ผมเองก็ไม่ ทุกคนจะรู้แต่เพียงว่าไอ้เติร์ดตามไปหามไอ้ค่ายออกมาจากห้องน้ำ มีแค่นั้นจริงๆ

   คลาสแรกเริ่มต้นขึ้นตอนสิบโมงเช้า ผมนั่งข้างคนตัวสูง มันหันมาขอโทษขอโพยผมยกใหญ่เรื่องที่เมาหนักจนเป็นภาระให้ต้องแบกกลับมา ผมได้แต่ยิ้มแหย บอกว่าไม่เป็นไรซ้ำๆ ทั้งที่ข้างในแหลกละเอียดไม่มีชิ้นดี

   คำว่าไม่เป็นไร แท้จริงแล้วอาจพูดขึ้นมาเพื่อปลอบใจตัวเองมากกว่า

   “พวกมึง เดี๋ยววันนี้ตอนเที่ยงเลิกคลาสแล้วอย่าเพิ่งแยกกันนะ” เสียงทุ้มของคนเคียงข้างแทรกขึ้น ดึงความสนใจจากจอโปรเจ็กเตอร์กลับไปที่เจ้าตัวอีกครั้ง

   “มีอะไรวะเชี่ยค่าย กูมีนัดกับรุ่นน้องชมรมถ่ายภาพ” ไอ้ทูถามด้วยความสงสัย วันนี้ไม่มีคลาสบ่าย ปกติมักจะแยกย้ายตัวใครตัวมัน ส่วนผมก็ต้องเข้าไปคุยกับทีมละครเวทีต่อ

   “สำคัญมั้ย” ไอ้โบนถามบ้าง

   “ก็ไม่เชิง แต่กูอยากให้พวกมึงกินข้าวด้วยกันก่อน”

   “โอเค”

   “แล้วมึงล่ะเติร์ด กินข้าวด้วยกันก่อนได้มั้ย” ผมพยักหน้าเป็นการตอบรับ พลางก้มหน้าจดข้อความต่อโดยไม่สนใจไอ้ค่ายอีก

   คงไม่มีเหตุผลต้องปฏิเสธ ถ้ามันจะเจ็บ ก็ให้เจ็บหนักตั้งแต่วันนี้เถอะนะ ผมต้องทนต่อไปเพื่อที่วันพรุ่งนี้ตัวเองจะเข้มแข็งขึ้น ไม่ต้องร้องไห้เหมือนที่ผ่านมาอีก

   ยิ่งเรื่องราวของเมื่อคืนฝังอยู่ในหัวนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งตอกย้ำความสัมพันธ์ระหว่างผมกับมัน ที่ผ่านมาผมไม่ได้เสียอะไรเลยแค่ได้ใจตัวเองกลับมาดูแลอีกครั้ง แม้อีกฝ่ายไม่ได้รับมันไปดูแลตั้งแต่แรกก็ตาม

   คลาสเรียกเลิกก่อนเวลาสิบห้านาที เราเดินไปยังโรงอาหารของคณะเพื่อจับจองที่นั่ง แก๊งโหดแยกย้ายกันสั่งอาหารก่อนจะกลับมานั่งรวมตัวกันอีกครั้งตรงม้านั่งตัวยาว จะมีก็แต่ไอ้ค่ายที่หายหัว

   “มันไปไหนวะ” ผมพูดลอยๆ

   “ไม่รู้เหมือนกัน ไม่ได้เดินไปสั่งข้าวกับกูด้วยนะ” ไอ้ทูตอบ

   “ว่าแต่เมื่อคืนเถอะ ไอ้ค่ายมันได้ก่อเรื่องอะไรมั้ย” เป็นเชี่ยโบนที่แทรกขึ้นเพื่อให้ผมตอบ เนื่องจากไอ้ทูไม่ได้สนใจจะตอบคำถามนั้นนอกจากก้มหน้าก้มตาแดกข้าว

   “ไม่นะ” น้ำเสียงที่เปล่งออกไปเบาหวิว

   ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม แม้แต่กูเองก็ยังเหมือนเดิม

   เจ็บเหมือนเดิม...

   “ต่อไปกูว่างดเหล้าหรือเบียร์เหอะว่ะ พังฉิบหาย”

   “ก็ว่าอยู่”

   “แล้วตอนนี้มึงโอเคหรือยังไอ้เติร์ด”

   “กูเหรอ เรื่องอะไร”

   “ก็เรื่องไอ้ค่ายไง”

   “อ้อ กูกำลังทำใจน่ะ อาจต้องใช้เวลาอยู่นิดหน่อย”

   “คนเจอกันทุกวันก็ยากอย่างนี้แหละ แต่มึงเก่งมากแล้ว ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา ทุกอย่างมันจะค่อยๆ ดีขึ้นเอง” มันจะดีแน่เหรอ ผมถามตัวเองอยู่อย่างนั้น ทว่าสิ่งที่กำลังถามกลับได้รับคำตอบอย่างรวดเร็ว

   “พวกมึง” เสียงของไอ้ค่ายส่งผลให้เราทั้งสามคนต้องหันไปมองยังต้นเสียง ร่างสูงยืนยิ้มอยู่ตรงหน้า ข้างกายมีผู้หญิงน่ารักคนหนึ่งอยู่ด้วย

   เธอแต่งตัวเรียบร้อยมาก ดูแตกต่างจากผู้หญิงทุกคนที่ไอ้ค่ายเคยควง จู่ๆ ความรู้สึกของผมก็วูบโหวงเมื่อเห็นกำไลข้อมือราคาแพงที่ออกไปซื้อกับมันเมื่อหลายอาทิตย์ก่อนอยู่บนตัวเธอ ตอนนั้นมันตั้งใจเลือกมาก เราอยู่ในช็อปเกือบชั่วโมงเพื่อเลือกของชิ้นเดียว ซึ่งช่างเหมาะกับเธอที่ได้เป็นเจ้าของจริงๆ

   ผมไม่ได้อิจฉาหรอก หนังสือที่ไอ้ค่ายซื้อให้ในวันนั้น ผมเปิดอ่านซ้ำๆ ทุกวัน วางมันไว้ใต้หมอน คุณค่าของมันไม่ได้อยู่ที่ราคา แต่อยู่ที่ว่าใครเป็นคนให้ต่างหาก

   “เฮ้ย พาสาวที่ไหนมาวะ”

   “สาวคณะข้างๆ”

   แต่ที่แปลกกว่านั้น ผู้หญิงคนนี้เป็นคนแรกที่ไอ้ค่ายพามาแนะนำกับเพื่อน มากกว่าจะปล่อยให้รู้กันเองเหมือนทุกที…

   “แล้วไงต่อ ไม่คิดจะแนะนำให้เพื่อนรู้จักหรือไง”

   “ก็จะแนะนำนี่ไง”

   “...”

   “นี่แพรว แฟนกู”

   “หวัดดี เราชื่อแพรว อยู่อักษรปีสาม ยินดีที่ได้รู้จักนะ”

   เธอแนะนำตัวอย่างน่ารัก พลางนั่งลงตรงเก้าอี้ตามไอ้ค่ายอย่างว่าง่าย ผมส่งยิ้มให้เธอแต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป อาจเพราะจุกเกินกว่าจะเอ่ยแต่ละคำออกไปได้ล่ะมั้ง

   ไอ้ทูยื่นมือมาตบขาของผมใต้โต๊ะเหมือนเป็นการปลอบใจ ผมเลยได้แต่ยิ้มและหยิบเอาหูฟังขึ้นมาใส่เพื่อจะได้ไม่ต้องฟังเสียงของผู้หญิงคนนี้กับไอ้ค่ายอีก ส่วนมือก็เอาแต่ตักข้าวเข้าปากไม่หยุด ผมรู้สึกได้ถึงอาการสั่นของมือที่จับช้อนและส้อม

   ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ตีตื้นเข้ามาในอก ดวงตาทั้งสองข้างร้อนผ่าว ถึงอย่างนั้นก็ยังคงก้มหน้าไม่ยอมเผชิญหน้าคุยกับใคร

   “เพื่อนค่ายเป็นอะไรหรือเปล่า” เสียงของเธอแทรกผ่านหูฟังเข้ามา น้ำตาของผมหยดลงบนจานข้าวโดยไม่สามารถควบคุมได้

   “ไอ้เติร์ด มึงเป็นอะไรมั้ย” ไอ้ค่ายถาม ผมเลยรีบปาดน้ำตาออกจากแก้มพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง

   “เพลงเศร้ามาเว้ย อยู่ดีๆ น้ำตาก็ไหล ฮ่าๆ”

   “เติร์ด พี่เชนทร์เรียกใช่มั้ย ไปกับกู”  ไอ้โบนเร็วมาก พูดแป๊บเดียวมันก็รั้งข้อมือของผมให้ลุกขึ้นยืนแล้ว ผมเดินตามแรงรั้งของเพื่อนสนิทไปแต่สุดท้ายก็ต้องชะงักเท้าเมื่อไอ้ค่ายวิ่งตามมา

   “ไอ้โบนกูขอคุยกับไอ้เติร์ดหน่อย”

   “มันมีนัดกับรุ่นพี่”

   “กูขอแป๊บเดียว ห้านาที” ไอ้โบนยอมรับคำขอ มันยืนห่างจากผมกับไอ้ค่ายไม่ไกลนัก หน้าของผมในตอนนี้คงแดงก่ำและดูแย่มากแน่ๆ

   “มึงมีอะไรหรือเปล่า”

   “ร้องไห้ทำไม”

   “คือกูฟังเพลงเศร้าน่ะ ไม่มีอะไรหรอก”

   “เติร์ด ถึงแม้ว่ากูจะมีแฟนแต่เงื่อนไขของเราก็ยังเหมือนเดิมนะเว้ย”

   “หมายความว่าไง”

   “ก็เรื่องที่กูอยากให้มึงย้ายมาอยู่ด้วยกันไง ถึงแม้กูจะมีแฟนแต่กูไม่พาเขาเข้ามาที่ห้องแน่นอน มึงจะได้สบายใจ” ผมสูดลมหายใจเข้าปอด กัดปากตัวเองแน่นจนรู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือด ตลอดเวลาที่เป็นเพื่อนกัน ไอ้ค่ายไม่เคยรู้อะไรเลย

   “ค่าย...เรารู้จักกันมากี่ปีแล้ววะ”

   “...”

   “สองปีกว่าแล้วมั้ย” ผมหยุดพูดชั่วขณะเพราะเสียงที่เปล่งออกมาสั่นมาก รอจนควบคุมอารมณ์ได้ครู่หนึ่งแล้วจึงเปิดปากพูดต่อ “ถ้ามึงกลัวว่าความเป็นเพื่อนของเราจะหายไป วางใจเถอะ กูยังอยู่ที่เดิมแหละ”

   “...”

   “มึงไม่ต้องทำดีกับกูขนาดนี้ก็ได้เว้ย ถ้ามึงจะรักใครก็เลือกได้เลย กูไม่กลับไปแล้ว”

   กลับไปก็ไม่รู้ว่าตัวเองต้องเจ็บอีกเท่าไหร่ สูญเสียอีกมากแค่ไหน เพราะขนาดคนที่ร่าเริงมาตลอดอย่างผม ยังสูญเสียภูมิต้านทานของตัวเองไปจนหมด

   หากวันนี้มันเลือกแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลที่จะหลอกตัวเอง

   “โอเค”

   “ไอ้ค่าย”

   กูรักมึง...

   “แฟนมึงน่ารักดีนะ”

   กูรักมึง…

   “ขอบใจ”

   กูรักมึง แต่พูดออกไปไม่ได้เลย...
   
   


แง้งงง เคยบอกกับคนอ่านไว้ว่าคู่นี้ไม่มีมือที่สาม
คือตอนนั้นคิดว่าฝั่งเติร์ดอ่าไม่มีจริงๆ แต่ฝั่งค่ายอย่าเรียกมือที่สามเลย
เรียกเป็นคนในชีวิตประจำวันของมันจะดีกว่า
ที่บอกว่าฟีลกู๊ดนั้นจิตติไม่ได้หลอกจริงๆ นะคะ มันจะค่อยๆ ดีต่อใจขึ้นค่ะ
ปกติเขียนดราม่าคือตั้งแต่ต้นจนจบ เรื่องนี้ไม่ใช่อย่างนั้น ค่อยๆ ลุ้นกันไปนะคะ
อยู่ด้วยกันก่อน #ทฤษฎีจีบเธอ

ออฟไลน์ aunszMT

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
รักเพื่อนในกลุ่มนะ ทั้งโบนและทู ตอนแรกก็แบบไม่ชอบโบนเท่าไหร่ที่คิดทดสอบเพื่อน เรื่องนี้ไม่แฮปปี้เอนเราก็โอเคอะ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ฮือออออ จะร้องไห้ตามเติร์ด โคตรเจ็บเลย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ทฤษฎีจีบเธอ ∞ ตอนที่ 5 [09/06/60] *หน้า14
« ตอบ #399 เมื่อ: 09-06-2017 21:12:52 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ kamontipsaii

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
แงง ไม่ไหวความรู้สึกนี้ เข้าใจเลย ต้องเจ็บอีกนานไหมมมมม  :monkeysad:

ออฟไลน์ toomild

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
ค่อยๆฟิลกู๊ดอาจจะใช้เวลาซัก10ตอน เพราะตอนนี้ใจเราก็แหลกไปแล้วเหมือนกัน อินมันทุกอย่าง เจ็บที่สุด พี่ค่ายมันแค่โง่แต่เลิกพูดจาเลวๆแล้ว เจ็บจี๊ดๆแบบไม่มีน้ำตา เพื่อนทูแอนด์เพื่อนโบนก็ดีเหลือเกิน สงสารน้องเติร์ดตลอดเวย์ ทำไมต้องโดนทำร้ายซ้ำๆด้วยนะ แต่ต่อไปคงจะ คำถาม ชินไปไหน? ตอบ ชินไปเอง ด้วยรักซ์และปด.มานานแล้ว

ออฟไลน์ ป่ามป๊ามป่ามปาม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
อิค่ายยยยยยยยยย หาเรื่องมาอีกแล้ว  :fire: :m31: :m16: :z3: :katai1:

ออฟไลน์ pui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-3
อ่านจบแล้วแบบอึ่งไปเลยอ่ะ ทำไมมันวนกลับไปที่เดิมอ่ะ
เติร์ดไม่รักตัวเองเลย /เสียใจ
หรือจริงๆค่ายลองใจเติร์ดอยู่ใช่ป่ะ นี้ว่าค่ายมันรู้ว่าเติร์ดรักค่ายอ่ะ หรือยังไง????????????

ออฟไลน์ Aly-Q

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 155
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
เมื่อไหร่เติร์ดจะพอสักทีทำตัวเองเจ็บมากี่ครั้งแล้ว จนเราแบบ...เฮ้ย เติร์ดแบบนี้มันไม่ได้อ่ะ...ตัดใจคือตัดใจนะเติร์ดนะ ตอนแรกเข้าข้างเติร์ดเต็มที่ตอนนี้ก็ว่าพอกันทั้งคู่ เติร์ดคือรู้ทั้งรู้ก็ไม่จำ ค่ายก็ปากบอกแคร์ๆแต่จริงๆก็ไม่ใส่ใจความรู้สึกใคร เฮ้อ เหนื่อย :katai1: :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ poommy_TY

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
จิตติ ได้โปรด พลีสสส กรุณา มาต่อไวๆเถิด

อ่านจบแล้วใจจะขาดไปกับน้องเติร์ด
เจ็บมาก อ่านแล้วเจ็บจี๊ดขึ้นมาเลย
จูบเค้าแต่เรียกคนอื่น พามาแนะนำด้วย ว่าแฟน
โอ้ยยยยยย หัวใจแม่ น้องเติร์ดลูกกกก
เอาเลยลูก รักให้พอ เจ็บให้สุด แล้วฟื้นขึ้นมาอย่างนกฟีนิกซ์ เชื่อพี่นะลูก โอ้ยยยย อยากให้มีคนที่เติร์ดจะให้ความสำคัญได้พอๆกับอิค่ายจริงๆ

เป็นพระเอกที่ต้องเรียกอิ บอกเลย คะแนนติดลบล้านไปแล้ว ชั้นรอเวลาแกกลับมากอบกู้คะแนนอยู่

อินมากอะไรมาก ได้โปรดเถิด มาต่อไวๆ ฮืออออออ

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
รักคนหลายใจ ใครรักมากกว่า แต่อ่อนแอมากกว่าก็แพ้ไป

ออฟไลน์ namngern

  • Flowers need to bloom
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-2
ดีใจที่เติร์ดกลับมาเป็นผู้เป็นคนได้
การแอบรักเพื่อนก็แบบนี้ล่ะนะ
ถ้าไม่อยากเสียเขาไป
ก็ต้องทนเจ็บต่อไปแบบนี้แหละ
เรื่องมันค่อยๆดีขึ้นนี่ จะดีขึ้นยังไงอะคะ
อิค่ายมันจะรู้ตัวขึ้นหรอ
ดูไม่ค่อยจะมีหนทางอะไรเลย
ก็เห็นยังทำตัวแบบเดิม
แล้วจะมาหันมองเติร์ดอีกแบบได้ตอนไหนล่ะ
มือที่สามมีบ้างก็ดีนะคะ
เอาให้เติร์ดน่ะ ให้น้องมีตัวเลือกบ้างก็ดีค่ะ555
ไม่ใช่เป็นแค่ของตายของคนเดิมๆ
ทีอิค่ายยังเลือกได้ เอ๊ รึว่าไม่เลือกดีนะ
สงสัยคลำไม่มีหางก็เอาหมด

5555555 รู้สึกตัวเองจะแค้นฝังหุ่นอิค่ายมาก
มาจูบเขาแล้วยังพูดชื่อคนอื่นอีกงี้
โอ้โห ไม่รู้จะพูดคำไหน โง่ในโง่ โง่ในโง่ในโง่ในโง่

ปล.เรื่องลองสีลิป จริงๆเอาtester มาลองกับปากเราไม่ดีนะคะ มันค่อนข้างจะสกปรก เสี่ยงกับเชื้อโรค แฮ่

ออฟไลน์ magarons

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +68/-6
มันจะค่อยๆดีขึ้นจริงๆใช่ไหม //  มองด้วยแวว
ตามีความหวังง

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5
ไม่ไหวอะใครมีเบอร์โทรเติร์ดบ้างเราจะโทรไปบอกว่าพอเหอะถอยออกมาชีวิตนี้ไม่มีค่ายก็ต้องอยู่ให้ได้เปล่าวะไม่ต้องคิดว่าแค่อยู่ข้างๆก็พอแบบนี้มันไม่ใช่อะสุดท้ายแล้วใงเจ็บไม่มีชิ้นดีเพื่อนสองคนก็ได้แต่ปลอบว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวมันก็ดีขึ้น แล้วรู้บ้างหรือเปล่าว่าเติร์ดต้องเจออะไรบ้างเป็นเราใจพังไปตั้งแต่โดนล้อเล่นกับความรู้สึกครั้งก่อนแล้วไม่กลับไปแล้วมันก็ถูกที่ว่าเพื่อนสำคัญแต่ถ้าเพื่อนทำให้เราต้องเจ็บต้องฝืนมีความสุขแบบนี้ไม่ต้องมีก็ได้ไหมวะ ค่ายโง่หรือค่ายเลวกันแน่ถึงได้ไม่เอะอะไรเลยว่าเติร์ดรู้สึกยังใง
"โอยเม้นท์ต่อไม่ไหวมันจุกแทนเติร์ดอะ" :katai1: :katai1: :katai1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ทฤษฎีจีบเธอ ∞ ตอนที่ 5 [09/06/60] *หน้า14
« ตอบ #409 เมื่อ: 09-06-2017 21:55:19 »





ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ค่าย มีคนในชีวิตประจำวันตลอด แต่ไม่ใช่แฟน
แต่ตอนนี้มีแแพรว เป็นแฟน พามาแนะนำกับเพื่อนแล้ว

เติร์ด ไม่มีใครเลย เพราะแอบรักมาตลอด
แล้วจะมีใครเข้าหาได้ยังไง ไม่มอง ไม่สนใจ
แล้วจะตัดใจจากค่ายได้ซักที เมื่อไหร่กัน  :katai1: :katai1: :katai1:
ที่ผ่านมาค่ายมีคนเข้าหาตลอด ก็เลยเจ็บซ้ำซาก

ก็ถ้าไม่มีใครเข้าหาเติร์ดเลย
เติร์ด ก็เจ็บไปคนเดียว  งั้นเติร์ดหักดิบ
แล้วเติร์ดจะด้านชา แล้วไม่เจ็บอีกเลย
เอาใจช่วยให้เติร์ดตัดใจได้อย่างรวดเร็ว
ไม่อยากได้ค่ายมาเป็นคนรักของเติร์ดแล้ว
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ gackmanas

  • I Remember your Eyes..
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
คุณจิตติ.. คะ
ทำอย่างนี้อีกแล้วนะคะ..
ใจกระตุกหมดแล้ว....
ฮืออออ...  :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
เราไม่โอเค คือตอนนี้รู้สึกแย่มากและอึดอัดใจที่สุด อึดอัดใจกับการแอบรัก อึดอัดใจกับการกระทำของอิค่าย อึดอัดใจกับการตัดใจของเติร์ดที่ไม่รู้ว่าจะมาถึงเมื่อไหร่ จากนี้คงปล่อยอิค่ายแล้วคือยังเกลียดอยู่ดีอะไม่ไหวกับมันจริงๆ ส่วนเติร์ดนั้นอยากให้สตรองเร็วๆ ถ้าไม่สบายใจก็อย่าไปพัวพันกับอิค่ายมันมากนัก ถอยออกมาอยู่ห่างๆเป็นเพื่อนกันก็ไม่ได้หมายความว่าตัวต้องติดกันตลอดนี่ คงสถานะเพื่อนไว้แต่ก็ใช้ชีวิตของตัวเองไปก็พอ

ออฟไลน์ hoshinokoe

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1042
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
ดราม่าตลอด เมื่อไหร่จะหานมาม่า ไม่ก้อเปลี่ยนคู่เลย ไม่อาวววว ไม่เข้ากับชื่อเรื่องเลยยย

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5
แต่ทำไมเราคิดต่างนะ
เราว่าค่ายน่าสงสาร เค้าคงรู้สึกดีกับเติร์ดละ อย่างน้อยก้เพื่อนรัก แต่อยู่ๆเติร์ดก้มาทำตัวเย็นชาใส่ย้ายหนี
โดยที่เค้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำไรผิด เพราะนังเติร์ดไม่ยอมบอกเหตุผล เค้าถึงได้ผิดหวังมากจนโกรธ
และก็เกลียด ซึ่งเราว่ามันก็สมเหตุสมผลอยู่นะ เพราะถ้ามีใครทำแบบนี้ใส่เราเราก็คงโกรธเหมือนกัน

ส่วนเติร์ดเราว่าเค้าทำตัวเองนะ คิดเองเออเองและก็เจ็บเอง หวังกับเค้าไว้มากมายแต่ไม่ยอมบอกว่ารักเค้า
พอสิ่งที่หวังกับสิ่งที่เจอมันต่างกันมากไปก็รับไม่ได้ถึงจะบอกว่าค่ายแกล้งหลอกให้ความหวังก็เถอะ
แต่ในเมื่อไม่พูดค่ายมันก็ไม่รู้ปะ มันยิ่งโง่ๆอยู่ เลยทำให้ทุกอย่างแย่ไปหมดยิ่งตอนหลังก็กระทบไปถึงเพื่อนคนอื่นด้วย

ไม่รู้สินะยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกว่าเติร์ดมันน่ารำคาญอ่ะ :pig4:

ถ้าจำไม่ผิดเติร์ดเคยบอกชอบค่ายไปแล้วนะคะแต่กลายเป็นว่าค่ายกลับเอาข้อความนั้นไปเป็นมุกจีบหญิงต่อโดยที่ไม่ถามเติร์ดเลยว่าอะไรยังใงเป็นเราก็คงอึ้งไม่กล้วพูดอะไรไปอีกนานเหมือนกัน

ออฟไลน์ wonderbe

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 754
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-2
นี่เพิ่งจบอินโทรใช่ไหมคะ ค่ายไม่ใช่พระเอกเนาะ พระเอกตัวจริงยังไม่โผล่มา ยังไงก็รอได้ค่าา  //ปาดน้ำตา

ออฟไลน์ ceylon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 389
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ถึงสนิทก็เฟดตัวออกมาได้นะจริงๆ รักคนอื่นแล้วก็อย่าลืมรักตัวเองด้วย หน่วงจน :z3:

ออฟไลน์ abbaba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
จะไม่อยู่กับจิตติต่อนะ โกรธ
อ่ะล้อเล่นๆ
แต่เห้อออ หน่วงหัวใจ

ออฟไลน์ firstlove

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 103
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
คุณจิตติ เขียนวนในน้ำมาม่ามา 5 ตอนแล้ว
ดูเหมือนจะไม่ยาวนะคะ
แต่ตอนนึงของคนเขียนเท่ากับ 3  ตอนของเรื่องอื่น
ยืดเยื้อเกินเหตุมาก
อย่างน้อยๆถ้าออกหนังสือเราคงคิดดูก่อน

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
เจ็บและจุกสุดๆ น้ำตาจะไหลไปกะเติร์ด
ตัดใจมันยากก็รู้ ยิ่งต้องเจอต้องเห็นทุกวัน มันจะทำใจได้ยังไง
ต่อให้เข้มแข็งแค่ไหนเจอซ้ำๆตอกย้ำความช้ำอยู่อย่างงี้ เลิกเสียใจได้ก็เทพและ
ก็หวังว่าเติร์ดจะเข้มแข็งขึ้นในสักวันนึง แอบรักมานานก็จริงแต่เมื่อถึงที่สุดก็ต้องตัดใจนะ
จะว่าค่ายเลวก็ไม่ได้ เอาจริงๆมันก็ไม่ได้ทำไรผิดอะนะ แต่เราอ่านจากมุมของเติร์ดไงเลยเข้าใจเติร์ดมากกว่า อิค่ายมันเลยเลวซะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด