ทฤษฎีจีบเธอ ∞ THE END
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ทฤษฎีจีบเธอ ∞ THE END  (อ่าน 2134338 ครั้ง)

ออฟไลน์ Jittirain12

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 353
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1238/-18

ตอนที่ 6
Begin Again



   หนังสือเกี่ยวกับการตัดใจเล่มหนึ่งเคยบอกว่า เวลาไม่ใช่สิ่งที่ช่วยให้เราตัดใจได้เร็วขึ้น แต่การทำงานหนักต่างหากที่เป็นตัวกระตุ้นให้เราลืมความเจ็บปวดไปชั่วขณะ

   เพราะงั้นผมจึงใช้เวลาทั้งหมดไปกับการทำสิ่งต่างๆ มากมาย ทั้งที่เขาให้ทำ หรือสาระแนไปทำเอง งานคณะ รายงาน กิจกรรมพิเศษ อีเว้นท์มหา’ลัยผมจัดหมด อย่างน้อยตอนที่ทุ่มเทกับอะไรสักอย่าง เรื่องของไอ้ค่ายก็ได้หายไปจากสมองของผมบ้าง

   สำหรับงานละครเวทีประจำปีก็ใกล้เริ่มแล้ว แถมต้องเข้าประชุมบ่อยขึ้น สัปดาห์หนึ่งก็หลายครั้งเพราะเราต้องดีลงานใหญ่ๆ ให้กับหลายฝ่าย ก่อนจะมีการประชุมใหญ่ครั้งแรกในอาทิตย์หน้าเพื่อแบ่งงานเฉพาะเจาะจงกับทุกคน

   สถานการณ์ของแก๊งโหดเองก็เหมือนกับน้ำนิ่ง ผมไม่ได้เข้าไปก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวของใคร นอกจากรับฟังอยู่ห่างๆ ความรักของไอ้ค่ายกับแฟนเป็นไปได้สวย หลายครั้งที่ผมเห็นทั้งคู่อยู่ด้วยกัน เจ็บนะ แต่พอคิดถึงเรื่องงานที่ต้องทำผมก็ไม่มีเวลามาสนใจแล้ว

   ไอ้ทูออกไปถ่ายภาพภาคสนามกับชมรมบ่อยขึ้น ส่วนไอ้โบนก็ใช้ชีวิตอยู่กับฝ่ายเสียงและผู้หญิงของมัน เราต่างมีหน้าที่ที่ทำให้ความสัมพันธ์ของคำว่าเพื่อนไม่ได้เข้มข้นเหมือนเมื่อก่อนอีก รักกันแต่ไม่จำเป็นต้องตัวติดกัน เราต่างมีความฝันและแน่นอนว่าคงเป็นคนละเส้นทาง

   ในอดีตผมเคยวาดฝันว่าจะได้คบหากับใครสักคนที่ผมรักและใช้ชีวิตคู่ไปจนแก่ แค่ยืนอยู่ระเบียง แชร์บุหรี่หนึ่งมวนในมือ จากนั้นเราก็จูบกัน เช้าวันรุ่งขึ้นผมตื่นขึ้นเพื่อทำงานขณะที่ใครคนนั้นก็กุลีกุจอลุกจากเตียงอย่างรีบเร่ง วันหยุดมีโปรแกรมเที่ยวต่างประเทศหรือต่างจังหวัด เราไม่ต้องมีเงินในบัญชีเยอะๆ ขอแค่ไม่ลำบากในภายภาคหน้าก็พอ

   แล้วดูความฝันตอนนั้นสิ เหมือนพวกโลกสวยคนหนึ่งที่ไม่เคยเรียนรู้กับคำว่าเจ็บปวด

   ตอนนี้ผมรู้ซึ้งแล้ว ความฝันในอดีตถูกวาดใหม่ ผมใช้เวลาอยู่กับรุ่นพี่มากขึ้นเพื่อพูดคุยกับเขา ผมอยากทำงานเขียนบท อยากลองสร้างหนังสักเรื่อง และเมื่อทำเสร็จแล้วผมก็จะนั่งดูวนซ้ำอยู่อย่างนั้นสักห้าสิบรอบ ก่อนปลีกตัวไปทำเรื่องใหม่อีกเรื่อยๆ พอเก็บเงินได้จำนวนหนึ่งแล้วก็เอาไปเที่ยวรอบโลก

   ไม่แน่ สามสิบหรือสี่สิบปีข้างหน้าผมอาจอยู่คนละซีกโลกกับเพื่อนแก๊งโหดก็ได้ เป็นตาแก่คนหนึ่งที่เฝ้ามองความเป็นไปของโลก ไม่กลัวว่าจะตายอย่างโดดเดี่ยวอีก เพราะได้เรียนรู้แล้วว่าการมีความรักเจ็บปวดกว่านั้นหลายเท่านัก

   นี่ซีนดราม่าหลังดูลาลาแลนด์เหรอ?!

   เอาเถอะ อนาคตยังอีกยาวไกล ตอนนี้คงต้องพาสังขารตัวเองให้พ้นปีสามไปก่อน แถมวันนี้ยังต้องวิ่งวุ่นเก็บของกับไอ้ทูอีกเนื่องจากผมกำลังย้ายที่อยู่เป็นรอบที่สาม

   สิ้นเดือนก่อนผมได้ติดต่อเจ้าของคอนโดปล่อยเช่าเอาไว้ และพร้อมที่จะย้ายเข้าไปอยู่หลังทำสัญญาเสร็จ เรื่องห้องก็ไม่ได้ไกลจากเพื่อนพ้องอะไรเลย แค่ขึ้นลิฟต์ไปอีกห้าชั้น ฮัลโหล...

   ผมไม่ได้บอกไอ้โบนกับไอ้ค่ายเรื่องนี้ เพราะคิดว่าพวกมันอาจยุ่งกับเรื่องส่วนตัวเลยไม่อยากรบกวน นี่ถ้าไม่ติดว่าไอ้ทูเป็นเจ้าของห้องที่ปล่อยให้ผมอาศัยได้เป็นเดือนๆ ผมก็คงไม่บอกมันด้วย

   ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ถูกขนย้ายในเวลาไม่นาน ผมมีห้องเป็นของตัวเองอีกครั้ง และเงื่อนไขของไอ้ทูที่เคยรับปากว่าจะไม่พาหญิงเข้าห้องตลอดการอยู่ร่วมกันจึงถือเป็นโมฆะ ดูเหมือนแม่งจะดีใจมาก ออกปากรีบขนย้ายจนกูอยากกระทืบ

   “เหนื่อยฉิบหายเลยโว้ยยยยยย” เพื่อนสุดเซอร์ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงพลางตะโกนเสียงดังลั่นห้อง ผมเลยได้แต่เท้าเอวมองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกเอือมระอา

   “ก็กูบอกแล้วว่าจะขนย้ายเอง”

   “มึงเป็นเพื่อนกูมั้ย จะนั่งมองให้มึงเทียวเข้าเทียวออกคนเดียวได้ไง ประสาท”

   “ไม่ใช่เพราะรีบเคลียร์ทางให้นางแบบคนใหม่เหรอวะ”

   “อย่ามาทำเป็นรู้สันดานกูดี”

   “เมื่อไหร่จะเลิกเจ้าชู้” ผมถาม เหมือนเป็นคำถามที่รู้อยู่แล้วว่าคงไม่มีคำตอบให้

   “มึงถามสิ้นคิดว่ะ เหมือนคำถามเมื่อไหร่จะเลิกหายใจอะไรแบบนี้” กูว่าแล้ว จะหาสาระอะไรจากคนอย่างแม่งวะ อย่าว่าแต่ไอ้ค่ายเลย แม้แต่ไอ้ทูกับไอ้โบนก็เหี้ยพอกัน คือไม่มีทางหยุดที่ใครคนไหนแน่นอน

   “เออกูขอโทษ สมองกูกรองไม่ดีเอง”

   “จริงๆ มันจะมีวันนึงเว้ยที่เราเหนื่อย มึงคิดเหรอว่าคนเรามันจะวิ่งสนุกไปเรื่อยโดยไม่มีทางหยุดพัก”

   “มึงไง”

   “กูคนครับไม่ใช่เดอะแฟลชจะได้วิ่งไม่มีวันเหนื่อย สักวันก็ต้องหยุดอยู่ที่ใครสักคนอยู่ดี”

   “ขอเหตุผลของการหยุดหน่อย”

   “เวลาและโอกาส เวลาคือกูแก่จนวิ่งไม่ไหวแล้ว แม่งเหนื่อย”

   “...”

    “ส่วนโอกาสก็เหมือนกับ...ตอนที่มึงเจอใครสักคน เขาตรงสเป็กมึงมาก แต่มึงกับเขาเจอกันผิดเวลาเพราะมึงยังไม่ยอมหยุดตัวเอง สุดท้ายความรักก็ไปไม่รอด ฉะนั้นโอกาสของกูคือใครสักคนที่ตรงใจและเขาเข้ามาในเวลาที่กูเหนื่อยจะวิ่งเล่นพอดี มันก็หยุด แค่นั้น...”

   “งั้นถ้าอีกสิบปีเรามาเจอกันแล้วมึงหยุดตัวเองพอดี มึงจะเลือกกูมั้ย”

   “งี้ถ้ากูเจอวัวตัวนึง กูไม่ต้องเลือกวัวเป็นเมียเลยเหรอครับ”

   “อ้าว”

   “มึงพูดเหมือนกูไม่เลือก นมไม่ใหญ่หลบไป” ขอโทษที่ความเจ๋อของกูทำให้มึงหงุดหงิดนะ

   ผมไม่รู้ว่าคนเจ้าชู้นี่มีความคิดเหมือนๆ กันมั้ย แต่คิดว่าคนเราเกิดมาต่างความคิด ต่างครอบครัว ยังไงก็คงคิดไม่เหมือนกันหรอก อย่างไอ้ค่ายผมว่ามันคือร่างโคลนของเดอะแฟลชเลยล่ะ วิ่งไปเรื่อยๆ โฉบไปตรงนั้นทีตรงนี้ที แต่สุดท้ายก็ไม่มีวันหยุดอยู่ที่ใคร

   “คิดอะไร” คนที่นอนเกลือกลิ้งอยู่บนเตียงถามเหมือนรู้ทันความคิด

   “เปล่า”

   “ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ใช้เวลาร่วมกันเลยเนาะ เรียนเสร็จก็ตัวใครตัวมันตลอด”

   “กิจกรรมเยอะกูก็เข้าใจ แล้วนี่ไอ้ค่ายกับแฟนเป็นไงบ้าง ช่วงนี้ไม่เห็นอัพเดตข่าวคราว” เดี๋ยวนี้ผมไม่เจ็บถึงขนาดต้องร้องไห้เวลาพูดถึงเรื่องนี้แล้วล่ะ

   “ถ้าตอบแล้วมึงจะเสียใจมั้ยล่ะ”

   “กูห่างกับมันมาเยอะพอสมควร ไม่ได้เอาใจไปไว้ที่มันแล้ว”

   “อืม ก็เห็นยังรักกันดี”

   “เหรอ” ผมตอบเสียงแผ่ว คือถ้าหยุดที่ผู้หญิงคนนั้นได้ผมก็ยินดี เธอแตกต่างจากทุกคน และดูจากการทุ่มเทของเพื่อนรักแล้วคิดว่ายังไงก็ไปได้สวย “มีแฟนน่ารักอย่างนั้นกูเทคแคร์ตายเลย”

   “ก็เหมือนที่แม่งเคยทำกับทุกคนนั่นแหละ แต่ที่ไม่เหมือนก็คือ...เพื่อนเรามันโง่จริงๆ ว่ะ”

   “โง่ยังไง”

   “ก็ตั้งแต่วันนั้น มันไม่เคยพาใครเข้าห้องอีกเลย”

   “...”

    “ทั้งที่รู้ว่าสุดท้ายมึงก็ไม่มีทางกลับไป”













   ละครเวทีประจำปีอย่างไลค์บรารี่ใกล้เริ่มขึ้นแล้ว การประชุมใหญ่จัดขึ้นในช่วงหกโมงเย็นหลังเลิกเรียน นิสิตคณะนิเทศศาสตร์ที่มีส่วนร่วมในการทำละครทุกคนนัดกันมารวมพลอย่างคับคั่ง โดยใช้หอประชุมคณะเป็นที่นัดหมาย เฮดใหญ่คือพี่เชนทร์ซึ่งนั่งตำแหน่งผู้กำกับและทำหน้าที่แจกจ่ายหน้าที่ให้แต่ละคน

   ผมนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงพื้นพร้อมกับแก๊งโหด และถึงแม้ว่าผมจะนั่งข้างกับไอ้ค่าย แต่เราก็ไม่ได้พูดคุยอะไรเลยนอกจากมองหน้ากันนิ่ง จากนั้นก็หันไปสนใจกับคนที่ยืนอยู่ด้านบนเวทีแทน

   “ละครเวทีปีนี้กำลังเริ่มขึ้น หลายคนคงรู้อยู่แล้วว่าเราเพิ่งเขียนบทจบไปไม่นาน ผมทำหน้าที่เป็นผู้กำกับ มีไอ้คุณเนมปีสี่เป็นผู้ช่วย ส่วนทีมเขียนบทได้ย้งยี้กับเติร์ดมาเขียนให้ เอ้า! ปรบมือหน่อย” ผมลุกขึ้นยืน ก่อนจะค้อมตัวเป็นการขอบคุณทันทีที่พี่น้องชาวนิเทศช่วยกันปรบมือให้

   “ต่อจากนี้จะเป็นรายชื่อเฮดของแต่ละฝ่าย และต้องไปหาคนเข้าทีมกันเอง เริ่มที่ แบ็กสเต็จก่อน...” จากนั้นรุ่นพี่หุ่นหมีแกก็ร่ายรายชื่อมายาวเหยียดราวกับสวดสรภัญญะ

   ฉากใหญ่ของละครเวทีทางคณะจ้างทำเพื่อจะได้ประหยัดเวลางานที่เนี้ยบ ส่วนพร็อพเล็กๆ ก็ให้เด็กในคณะที่มีหัวศิลป์หน่อยมาช่วยทำให้

   เมคอัพกับคอสตูมมีรุ่นพี่หลีดและแก๊งสาวประเภทสองออกตัวทำด้วยความเต็มใจจนเสียงกรี๊ดกร๊าดดังไปทั่วห้องประชุม ฝ่ายประสานงานที่ต้องติดต่อสถานที่ต่างๆ ก็ได้ประธานรุ่นปีสามมารับช่วงต่อ สวัสดิการนี่คนเยอะหน่อยเพราะสายแดกแหลกเสนอตัวกันพรึบพรับ

   เพื่อนผมอย่างไอ้ทูรับหน้าที่เป็นตากล้องร่วมกับรุ่นน้องอีกสองสามคน ส่วนไอ้ค่ายกับไอ้โบนก็รับทำส่วนของการควบคุมแสงและเสียงไป

   “พีอาร์ครับ ได้จุ๊บแจงปีสามมาเป็นเฮด ซึ่งต้องทำเพจรวมถึงประชาสัมพันธ์งานตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเลย ตากล้องหรือใครที่มีภาพระหว่างทำกิจกรรมก็ส่งเข้าเพจหน่อย จะได้ช่วยสร้างกระแสในปีนี้ด้วย”

   ทุกคนพยักหน้าเข้าใจ เพราะงานอื่นๆ ได้รับการแจกจ่ายจนหมดแล้ว จะเหลือก็แต่...

   “สุดท้ายแล้ว เบิ้ม!”

   “กรี๊ดดดดดดดดดดดด ไอ้หมี ชื่อใบบัวค่า” รุ่นพี่กะเทยคนหนึ่งหวีดร้องออกมาสุดเสียง เมื่อได้ยินผู้กำกับขานชื่อแกผิดไปไกลโข

   ชื่อเล่นอ่ะเบิ้มจริง แต่ชื่อในวงการคือบัว กูจะร้อง

   “เออกูขอโทษ ไอ้ใบหนาด เอ๊ย! ใบบัวจะมาเป็นเฮดของทีมคัดนักแสดงและสอนแอคติ้ง อันนี้หนักหน่อยนะและก็อยากให้เร่งทำด้วย กว่าจะเวิร์คช็อปอะไรกันเสร็จ โน่นชาติหน้าถึงได้เล่น” เสียงประชดของพี่เชนทร์ส่งผลให้ทีมคัดนักแสดงส่งเสียงไม่พอใจ กระทั่งใครคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาจากแถว

   “พรุ่งนี้ประชาสัมพันธ์เลยค่าาาาาา อาทิตย์หน้าได้นักแสดงแน่นอน”

   “ให้มันได้อย่างนี้ เลือกคนมาเล่นนะไม่เอากระสือเหมือนพวกมึง”

   “ไอ้เชนทร์มึงลงมาตบกับกูข้างล่างเลยค่ะ” ท่ามกลางความขัดแย้งนั้น ผมได้แต่หัวเราะกับความบ้าบอของทีมทำละครจนรู้สึกเหนื่อย เห็นทีปีนี้กองของไลค์บรารี่อาจจะต้องทำงานหนักกว่าปีก่อนๆ หลายเท่า

   “มึงเขียนบทก็จบแล้วอ่ะดิ” แล้วเสียงทุ้มของใครบางคนก็ทำให้ผมหยุดหัวเราะ จำได้ดีวันมันเป็นเสียงของใคร แม้เราจะไม่ได้คุยกันบ่อยๆ เหมือนเมื่อก่อนก็ตาม

   “เปล่าหรอก ต้องไปช่วยพี่บัวคัดนักแสดงอีก”

   “ดีว่ะ งั้นคัดคนสวยๆ เข้ามาด้วยนะ” ผมค้อนขวับใส่อีกฝ่ายทันที

   “กูต้องเลือกตามคาแร็คเตอร์ที่เขียนมั้ย มึงก็ห่วงสวยอย่างเดียวเลย ทำไม จะหากิ๊กเพิ่มเหรอ”

   “ยังไม่มีกิ๊กเลย จะหาเพิ่มได้ไง”

   “รักเดียวใจเดียวเลยล่ะสิ”

   “ก็...สำหรับกู แพรวแม่งสวยอยู่คนเดียวเลย” พูดจบมันก็ส่งยิ้มหวานมาให้ ผมเองก็ยิ้มตอบกลับไปเช่นกัน

   ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนที่ได้ยินประโยคที่มันพูด ผมอาจรู้สึกเจ็บจนทนไม่ไหว แต่เมื่อผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาได้ ครั้งนี้มันกลับเบาไปเลย จะบอกว่าไม่รู้สึกก็ดูโกหกเกินไป สำหรับผมมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะตัดใจ แต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้เลย ในเมื่อวันนี้...

   ก็เกือบทำสำเร็จแล้ว

   “ไม่ให้เขามาแคสต์ล่ะ”

   “ไม่ให้มาหรอก หวง”

   “เข้าใจ แฟนใครใครก็ต้องหวง ขอให้รักกันนานๆ นะ กูยินดีด้วย”

   “ขอบใจเพื่อน”

   “ยังไงเดี๋ยวกูขอตัวก่อนแล้วกัน พอดีต้องคุยกับพี่เชนทร์เรื่องบทอีกนิดหน่อย”

   “ตามสบาย” ไอ้ค่ายไม่ได้รั้งผมเอาไว้ ดังนั้นหลังจากทุกคนแยกย้ายผมจึงผละไปอีกทางเพื่อหลีกหนีบทสนทนาชวนอึดอัดใจ พรุ่งนี้ผมคงต้องทำงานหนักเหมือนเดิม เพื่อให้ความรู้สึกเจ็บนั้นหายไปจากใจอย่างคงทนถาวร...

   เช้าวันรุ่งขึ้นงานประชาสัมพันธ์เรื่องการแคสต์นักแสดงละครเวทีคืบหน้าไปไกลมาก โปสเตอร์ต่างๆ ถูกติดไว้ตามอาคารเรียนทั่วมหา’ลัย หลังเรียนเสร็จนิสิตที่ว่างงานก็ต้องเข้าฝ่ายโดยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งผมก็ใช้ช่องว่างตรงนี้ปลีกตัวออกมาจากเพื่อนในกลุ่ม แล้วขลุกอยู่กับมนุษย์หมีอย่างพี่เชนทร์แทน

   จากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสาม จนตอนนี้หลายวันแล้วที่ผมกับแก๊งโหดไม่ได้กินข้าวหรือไปไหนมาไหนด้วยกันนอกจากเอ่ยทักทายในคลาสเรียน อีกไม่นานต้องเริ่มแคสต์นักแสดงกันแล้ว แต่ละวันที่ว่างเว้นผมใช้มันหมดไปกับการเดินตามไอ้พี่เชนทร์ร่างหมีที่ต้องตรวจดูความเรียบร้อยของฝ่ายต่างๆ อยู่เสมอ

   ซึ่งวันนี้ก็เป็นคิวของทีมทำพร็อพประกอบฉาก

   ถึงแม้เราจะจ้างทำฉากใหญ่ แต่งบที่ได้จากสปอนเซอร์ก็ไม่เพียงพอขนาดนั้นทำให้เราต้องยืมมือเด็กคณะข้างๆ อย่างสถาปัตย์มาช่วยขึ้นนั่งร้านทาสีให้

   “ยังไม่แห้งครับไอ้ควายเติร์ด เขยิบตีนมึงออกไป” ผมหรี่ตามองขวางเพื่อนร่วมสาขาที่กำลังถือแปรงโวยวายใส่

   “มานี่ ไม่ต้องไปยืนเกะกะพวกมัน” พี่เชนทร์กวักมือเรียกผมให้ไปยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งด้านบนกำลังลงสีฉากกันขะมักเขม้น

   “สวยดีนะ” ผมพูดขึ้น

   “อืม เมื่อวานมะปรางมาดูแม่งยืนปากหวอเลยเว้ย” มะปรางนี่ชื่อแฟนแกครับ ผู้หญิงที่สวยจนผู้ชายในคณะต้องร้องขอชีวิต จะคิดสั้นก็ตรงมาคบผู้ชายหุ่นหมีอย่างพี่มันเนี่ยแหละ

   “พี่คบกันมากี่ปีแล้ววะ”

   “สาม”

   “เจอกันได้ไง จริงๆ แล้วเขาไม่เอาคนเหี้ยๆ อย่างพี่มาเป็นแฟนก็ได้นะเว้ย”

   “ตบปากตามอายุตัวเองเดี๋ยวนี้!” ผมรูดซิปปากทันที อย่าว่าแต่ผมเลย ใครเขาก็อยากรู้กันทั้งนั้น หรือว่าตอนเจอกันแรกๆ พี่มันใช้กำลังเพื่อยัดเยียดความเป็นแฟนให้เขากันแน่วะ

   “กูรู้นะว่ามึงคิดอะไร แม่งไม่มีตุ๊ยท้องแล้วลากเข้าส้วมแน่นอน”

   “รู้ดีไปอีก ฉลาดฉิบหาย”

   “กูแอบชอบเขามานานแล้วเว้ย แต่กูไม่กล้าเข้าหาเพราะตอนนั้นคนจีบมะปรางต่อแถวยาวแทบถึงหัวลำโพง แล้วมึงดูหน้ากู ดูหุ่นกูซะ”

   “แล้วสุดท้ายทำไมเขาเลือกพี่วะ”

   “กูเก่ง” กระทืบกูเถอะ ไม่ได้ช่วยเป็นแรงบันดาลใจให้ใครเลย “จริงๆ ก็คอยเทคของ คอยดูแลอยู่ห่างๆ แหละ คนเรามันผูกพันกันด้วยเวลาเว้ย กับความรักก็เหมือนกัน เมื่อถึงเวลาถ้าเขารักก็คือรัก แต่ถ้าเขาไม่รักนั่นหมายความว่าเวลาเหี้ยไรก็ไม่มีผล”

   “หมายความว่าใช้ได้กับบางเคสเท่านั้น”

   “เออดิ มึงเคยชอบใครมั้ย”

   “...” ผมอึกอัก ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธออกไป

   “ถ้ามีก็รอเวลาที่เขารักมึงกลับ แต่ถ้าเขาไม่รักมึงก็อย่ารอ มันเสียเวลา”

   “แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าตอนไหนควรรอหรือถอดใจ”

   “มันอยู่ที่ตรงนี้เว้ย” รุ่นพี่ปีสี่ใช้นิ้วชี้แตะที่หัวตัวเองเบาๆ

   “เส้นผมเหรอวะ”

   “สมองครับไอ้เหี้ย”

   “โทษๆ”

   “ร่างกายคนเรามีกลไกการป้องกันตัวของตัวเอง เหมือนมนุษย์ไงที่มีความแข็งแรงไม่เท่ากัน ทนความเจ็บปวดได้ไม่เท่ากัน ความเสียใจจากการเฝ้ารอเป็นเหมือนสิ่งที่ทำให้สมองได้รับบาดเจ็บ ทนได้แสดงว่ารอได้ แต่ถ้าทนไม่ได้นั่นคือร่างกายรับไม่ไหว ตอนนั้นแหละที่มึงจะรู้ว่าควรรอต่อไป หรือตัดใจซะ”

   “ทำไมต้องใช้สมองวะ คนเราไม่ได้ใช้หัวใจในการตัดสินเหรอ”

   “เอาอย่างนี้นะ ถ้าสมมติมีคนจ่อปืนมาที่มึง สมองสั่งการให้มึงวิ่งหนีและมีชีวิตรอด แต่หัวใจไม่ใช่อย่างนั้น มันแค่สั่งการให้สูบฉีดเลือดเร็วขึ้น ขณะที่เท้ามึงยังยืนอยู่ที่เดิมเพื่อรอให้ลูกกระสุนปลิวมาเจาะ”

   “...”

   “ดังนั้นสมองจึงสอนให้มึง ‘เอาตัวรอด’ จากความเจ็บปวด ขณะที่หัวใจแค่สอนให้มึง ‘รู้จัก’ กับความเจ็บปวดเท่านั้น”

   “...”

   “อย่างไหนเหี้ยกว่ากันล่ะ การรักใครสักคนใช้ใจอย่างเดียวไม่ได้หรอกนะ มึงต้องปกป้องตัวเองด้วยการใช้สมองคิดให้เยอะๆ ด้วย” มือหนาตบลงบนบ่าของผมด้วยแรงอันหนักหน่วงก่อนปลีกตัวออกไปยืนคุมงานอีกด้านอย่างเท่ๆ

   ผมรู้แล้วว่าทำไมพี่มะปรางถึงเลือกผู้ชายหุ่นหมีคนนี้มาเป็นแฟน

   บางทีคนเราก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าคนเข้มแข็งที่สามารถปกป้องเราได้ คนที่เข้มแข็งทั้งสมอง และจิตใจ…











   ไอ้ค่ายหายไปจากสารระบบตั้งแต่วันพฤหัสฯ มันทิ้งไลน์เอาไว้ว่าต้องการสะสางปัญหาส่วนตัว หลังจากนั้นเจ้าตัวก็ไม่โผล่มาเรียนอีกเลย และไม่ติดต่อหาใครตลอดสุดสัปดาห์

   ผม ไอ้โบน และไอ้ทูเลยได้แต่คาดคะเนไปสารพัด ตอนนี้ความเห็นของเราเอนเอียงไปทางแฟนของมัน บางทีไอ้ค่ายอาจจะติดแฟนจนพากันไปกกอยู่ที่ไหนสักแห่ง

   วันจันทร์แม่งก็ยังไม่โผล่ เราเลยโทรไปที่บ้านของตัวปัญหาเพื่อถามไถ่ความเป็นไป ไม่รู้ว่าตายหรือเปล่า แต่แม่ของมันก็ตอบกลับมาแค่ว่าลูกชายสุดที่รักขอลาพักร้อน

   จะไปแต่ไม่ยอมไม่บอกเพื่อนเนี่ยนะ!

   วันอังคารทั้งวันยังคงไร้ซึ่งวี่แววของมันเหมือนเดิม หลังจากสะสางงานของคณะเรียบร้อยผมเลยลากสังขารกลับมาที่ห้องพร้อมกับบทที่ต้องใช้สำหรับแคสต์นักแสดงในวันพรุ่งนี้ ถามว่าห่วงคนที่หายไปมั้ยก็ห่วง แต่พอคิดว่ามันอาจหนีเที่ยวกับแฟนผมเลยวางใจไปหลายเปราะ

   ตั้งแต่เรียนรู้ที่จะใช้สมองให้มากขึ้น เดี๋ยวนี้ผมแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนเยอะ แม่งต้องขอบคุณพี่เชนทร์แกจริงๆ

   ผมทิ้งตัวลงบนเตียง นอนคว่ำหน้าอย่างหมดแรงจากการเสียพลังที่ทุ่มกับงานที่ทำลงไป ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตอนไหน รู้ตัวอีกทีท้องฟ้าก็มืดหมดแล้ว ไฟในห้องดับสนิท ผมดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง จากนั้นก็ก้าวเท้าลงจากเตียงเพื่อคลำทางไปยังสวิตช์ไฟ

   แกร๊ก!

   “เฮ้ย!!” แสงสว่างภายในห้องทำให้ผมร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อเห็นว่าใครคนหนึ่งกำลังนั่งหมุนตัวไปมาอยู่ตรงเก้าอี้ทำงาน

   ไอ้ห่า กูนึกว่าชัตเตอร์

   “มะ...มาได้ไงวะเนี่ย” ผมถามอย่างลนลาน ยิ่งเห็นใบหน้าหล่อเหลาของไอ้ค่ายไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ด้วยแล้วก็อดหวั่นใจไม่ได้ หรือมันจะมาเป็นสสารที่ทำให้มนุษย์สามารถมองเห็นได้วะ

   “กูยังไม่ตาย ทำไมต้องทำหน้าตกใจขนาดนั้นด้วยวะ” คนตรงหน้าพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หากแต่มืออีกข้างก็ยกกระดาษสีขาวปึกหนึ่งขึ้นมา แน่นอนว่ามันคือบทที่จะใช้แคสต์นักแสดงเข้ามาเล่นในละครเวทีปีนี้

   “นั่นบทกู”

   “มึงเป็นคนคิดคาแร็คเตอร์พระเอกเหรอ”

   “ไม่ใช่ พี่เชนทร์ต่างหาก มึงไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลย เข้ามาที่ห้องกูได้ยังไงวะ” ผมสาวเท้ากลับมาที่เตียง ทิ้งตัวลงนั่งช้าๆ และพยายามทำตัวให้ใจเย็นที่สุด

   “ไอ้ทูให้มา” ไอ้เพื่อนนรก! การที่กูให้คีย์การ์ดอีกอันนึงกับมึงไม่ได้หมายความว่าแม่งจะยกให้ใครก็ได้นะโว้ย!

   “แล้วหลายวันมานี้มึงหายหัวไปไหน”

   “ทบทวนตัวเอง”

   “...” ผมไม่ได้พูดแทรกอะไร นอกจากปล่อยให้ร่างสูงเล่าจนจบประโยค

   “เติร์ด นี่เราไม่ได้พูดกันด้วยประโยคยาวๆ มานานเท่าไหร่แล้ววะ” ผมไม่ค่อยเข้าใจจุดประสงค์ของไอ้ค่ายเท่าไหร่ บางทีมันก็ทำตัวงงๆ เอาแน่เอานอนไม่ได้ วันดีคืนดีก็หายไป แต่บทจะกลับมาก็เป็นอย่างที่เห็น บอกตามตรงว่าเดาอารมณ์ไม่ทันเท่าไหร่

   “ไม่รู้ดิ กูจำไม่ได้แล้ว”

   “ตั้งแต่ที่กูแนะนำแพรวให้พวกมึงรู้จักใช่มั้ย”

   “จริงๆ ก็ไม่หรอก เราต่างมีเรื่องให้ต้องคิดต้องทำเยอะแยะต่างหาก”

   “ไอ้เติร์ด...ตอนนี้กู...”

   “...”

   “เลิกกับเขาแล้วนะ”

   ประโยคแสนราบเรียบเปล่งออกมาจากริมฝีปากได้รูป ผมนั่งอึ้ง ยิ่งเห็นคนตัวสูงไม่แสดงท่าทีเสียใจใดๆ ผมก็ยิ่งทำตัวไม่ถูก ปกติจะต้องลุกไปตบไหล่มันแล้วปลอบใจว่าไม่เป็นไร แต่คราวนี้ผมกลับนั่งเฉยๆ
   

อ่านต่อด้านล่างค่ะ

ออฟไลน์ Jittirain12

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 353
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1238/-18

   “ทำไมถึงเร็วขนาดนั้นวะ” ทั้งที่ผู้หญิงคนนี้ดูน่าจะเข้ากับมันมากกว่าคนที่ผ่านๆ มาด้วยซ้ำ

   “กูเพิ่งรู้ว่าตัวเองแม่งโคตรเหี้ย”

   จริงๆ มึงก็น่าจะรู้ตัวตั้งนานแล้ว แต่ผมไม่พูดหรอก กลัวเพื่อนจะเสียใจ

   “เจอคนใหม่ล่ะสิ”

   “ก็ไม่เชิง” สำหรับไอ้ค่าย มีไม่กี่เหตุผลหรอก ไม่เจอคนใหม่ก็เบื่อของเก่า “กูชอบมองผู้หญิงเป็นเหมือนของเล่น แค่คิดว่าเรามีเซ็กซ์กัน ต่างคนต่างวินมันก็จบ” เจ้าตัวเงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนเหลือบตามองมาที่ผม

   “ต่อดิ ฟังอยู่”

   “กูเป็นคนเบื่อง่าย อยากลอง แต่ไม่อยากผูกมัด กูมีเซ็กซ์กับคนมากมายแต่มึงรู้อะไรมั้ย อีกวันเราก็กลายเป็นแค่คนแปลกหน้าสำหรับกันอยู่ดี”

   “ก็เพราะมึงไม่หยุดไง”

   “นั่นสินะ” ความเงียบได้ปกคลุมพื้นที่อีกครั้ง กระทั่งเวลาผ่านไป เสียงทุ้มจึงเปล่งออกมาอีกหน “เออ! บทนี้ดีว่ะ กูชอบ”

   “น้ำเน่านิดหน่อยว่ะ”

   “มึงเขียนเองเหรอ”

   “อืม”

   “ขอลองอ่านออกเสียงได้มั้ย

   ผมขมวดคิ้วเข้าหากันแทบเป็นปม มองดูมือหนาซึ่งจับกระดาษขาวเอาไว้แล้วพยายามอ่านทุกตัวอักษรที่ถูกพิมพ์ลงไป

   “เราเป็นคนหน้าแบบนี้ หุ่นแบบนี้ ซึ่งเราคงเปลี่ยนตัวเองเพื่อเธอไม่ได้มาก เรามีเงินในบัญชีไม่เท่าไหร่ อาจจะซื้อของแพงให้เธอไม่ได้ แต่เราขอทดแทนมันด้วยของที่มีประโยชน์สำหรับเธอ”

   “...”

    “เราไม่ใช่อัจฉริยะ แถมติดจะโง่ด้วยซ้ำ แต่เราจะใช้ความสามารถที่มีทั้งหมดเพื่อดูแลเธอให้ดีที่สุด”

   “...”

   เนื้อความตอนนี้เป็นสิ่งที่ผมเขียนขึ้นจากความคิดเบื้องลึกของตัวเอง แม้คนที่เป็นเจ้าของประโยคพวกนี้จะเป็นพระเอกของเรื่องก็ตาม

   “แล้วเธอเชื่อมั้ย ต่อให้ชีวิตของเธอมีคนมากมายแวะเวียนเข้ามา เธอก็จะยังเห็นเราเฝ้ามองอยู่ที่เดิมเสมอ”   

   “ไอ้ค่าย กูว่า...”

   “แล้วเธอเชื่อมั้ย ต่อให้ชีวิตของเรามีผู้คนมากมายแวะเวียนเข้ามา เราก็ยังคงเห็น ‘เธอ’ เฝ้ามองอยู่ที่เดิมเสมอ”

   เนื้อความถูกสรรพเปลี่ยนสรรพนาม นั่นทำให้ความหมายของประโยคเปลี่ยนแปลงไปด้วย

   คำว่าเฝ้ามองนั้น รู้สึกอบอุ่นอยู่ลึกๆ

   ผมกับไอ้ค่ายเป็นเพื่อนกัน ไม่รู้หรอกว่าประโยคก่อนหน้ามีความหมายแอบแฝงหรือเป็นแค่การอ่านประโยคหวานเลี่ยนแสนธรรมดา แต่ตอนนี้ ณ เวลานี้...

   ไม่มีใคร...ละสายตาจากใครไปได้เลย












   การแคสต์นักแสดงละครเวทีเริ่มต้นขึ้นแล้ว นิสิตหลายคนให้ความสนใจและหลั่งไหลเข้ามาสมัครท่วมท้นจนแน่นถนัด เล่นเอาต้องหาเก้าอี้เสริมให้นั่งรอด้านนอกหอประชุมกันเลยทีเดียว ผม พี่ใบบัวและทีมแคสต์อีกหลายคนต่างทำการบ้านมาอย่างดี เพื่อให้การเลือกนักแสดงในวันนี้ตรงกับบทที่เขียนมาให้มากที่สุด

   เราใช้ห้องประชุมขนาดเล็กเป็นสถานที่แคสต์นักแสดง โดยลำดับนั้นเราจะให้ผู้สมัครเข้ามาทีละสามคนตามบทที่ต้องการเล่น เริ่มที่นางเอกของเรื่องก่อน รองลงมาก็พระเอก ตามด้วยนักแสดงสมทบไปเรื่อยๆ

   “หูยยยยยยยย ผู้หญิงสวยๆ เพียบ นั่นดาวบริหาร ดาวทันตะ ดาวนิติ แม่มึ๊ง!!” เสียงของไอ้ทูแทรกเข้ามาเป็นระยะ ดูเหมือนมันจะมีความสุขมากกับการยลโฉมดอกไม้งามที่กำลังนั่งรวมตัวกันด้านนอก เพราะเมื่อเก็บภาพกรรมการคัดเลือกนักแสดงอย่างพวกผมเสร็จ มันก็วิ่งหิ้วกล้องออกไปจากห้องทันที

   ความสุขของมึงรออยู่ตรงนี้แล้วครับ นี่อาการหนักถึงขนาดพกเมมโมรี่สำรองมาถึงสองอัน โธ่...ไอ้หื่นกามเอ๊ย

   ส่วนไอ้โบนกับไอ้ค่ายไม่น้อยหน้า วันนี้สาระแนแย่งหน้าที่สวัสดิการด้วยการแจกขนมและน้ำดื่มให้ผู้สมัคร คือมึงคงลืมไปว่าตัวเองมีหน้าที่จัดไฟและคุมเสียง! แต่ผมก็ไม่มีเวลามาใส่ใจมากนักเพราะผู้หญิงสามคนแรกได้เดินเข้ามาที่ห้องเรียบร้อยแล้ว

   “แนะนำตัวเลยค่ะ” พี่เบิ้ม เจ๊ใหญ่ของการคัดเลือกพูดผ่านไมค์

   “สวัสดีค่ะ ชื่อชา นิชา เรียนอยู่คณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาคเคมีค่ะ”

   “มีตำแหน่งอะไร หรือความสามารถพิเศษอะไรบ้าง ช่วยพรีเซนต์ให้เราดูหน่อยค่ะ”

   “หนูเป็นดาวคณะวิศวะชั้นปีที่สองค่ะ ความสามารถคือร้องเพลงและเล่นกีตาร์ค่ะ”

   “งั้นก่อนจะลองต่อบท ไหนร้องเพลงให้พี่ฟังหน่อย”

   ขั้นตอนการแคสต์ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ไอ้โบนกับไอ้ค่ายที่อยากมีส่วนร่วมเลยหาเก้าอี้มานั่งอยู่ข้างๆ ผม สงสัยคงอยากนั่งมองน้องเขาจนขาหนีบสั่นผับ ส่วนไอ้ทูไม่ต้องถามหาครับ แม่งซูมเลนส์จนแทบแทงดั้งน้องดาวอยู่รอมร่อ

   คนแล้วคนเล่าเดินเข้ามา โชว์การแสดงตามบทบาทที่ได้รับอย่างดี บางคนเล่นดีทั้งคำพูด รวมถึงภาพลักษณ์ที่ตรงตามบท แต่ก็ยังไม่มีคนไหนที่โดดเด่นออกมา จนผู้หญิงอีกสามคนเดินเข้ามาในห้อง

   “สวยสาดดด ไอ้เติร์ดเลือกคนนี้แน่” เสียงของไอ้โบนแม่งแทรกเข้ามาเป็นระยะจนรู้สึกรำคาญ เห็นมันเดาสถานการณ์กับไอ้ค่ายมาพักใหญ่แล้วครับ และก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดพล่ามด้วย

   “ยังๆ”

   “ไปอีกคน คนโน้น” ไอ้ค่ายบู้ยปากไปยังรุ่นน้องผู้หญิงลำดับที่เก้า ซึ่งเป็นคนเดียวที่ผมมองตั้งแต่แรกที่เดินเข้ามา เพราะคาแร็คเตอร์เป๊ะมาก

   “คิดอะไรบอกกูหน่อย” ไอ้โบนสะกิดผมอีก

   “เงียบไปเลยมึงสองตัวอ่ะ”

   “เดี๋ยวจะให้น้องลองเล่นบทนี้ให้ดูหน่อย พระเอกจะร้องเพลงที่เป็นธีมหลักของเรื่องเพื่อจีบน้อง บทสนทนาก็ตามนี้เลย” พี่ใบบัวยื่นบทให้กับน้องผู้หญิงหมายเลขหก ก่อนเพื่อนรักสองตัวจะถกประเด็นกันเงียบๆ แต่รำคาญหูกูฉิบหาย

   “เพลงของวงโอเอซิสเหรอ แม่งเก่ามาก”

   “Wonderwall เพลงโปรดเชี่ยเติร์ด” ไอ้ค่ายรู้ดีเสมอว่าผมชอบอะไร จนบางทีก็รู้สึกดีนะครับที่ความเป็นเพื่อนของเรายังมาจากความใส่ใจอยู่บ้าง

   “มึงเลือกเหรอ” คำถามจากไอ้โบนส่งมาถามผม

   “เออ”

   “ถ้าแทงหวยนี่ไอ้ค่ายถูกไปละ”

   “หวยก็แทงไม่เสียวเท่ากูหรอก”

   “ขอโทษนะ พวกมึงช่วยสนใจข้างหน้าหน่อยได้มั้ย กูรำคาญ” สิ้นเสียงสบถของผม ไอ้โหดสองตัวก็ไม่ได้พูดแทรกอะไรออกมาอีก สุดท้ายคนที่เราลงคะแนนเสียงเลือกก็เป็นไปตามที่ไอ้ค่ายได้ทำนายไว้ก่อนหน้า เมื่อน้องหลีดศึกษาเบอร์เก้าคว้าตำแหน่งนางเอกไปครอง

   แม้ยังไม่ประกาศผลอย่างเป็นทางการ แต่คะแนนที่ได้รับอย่างสูงลิ่งจากใบคะแนนของแต่ละคนก็ทำให้ไม่ต้องลุ้นตัวโก่งกันอีก

   จากนางเอกที่แคสต์เสร็จไปเป็นที่เรียบร้อยก็ย้ายมาที่ฟากพระเอกบ้าง แน่นอนว่าการแคสต์ในครั้งนี้รวมเอาเดือน และหลีดคณะ รวมถึงคนหน้าตาดีจากทั่วมหา’ลัยเอาไว้ในที่เดียว ซึ่งเราก็ยังใช้กระบวนการเหมือนเดิมคือให้ทำการแสดงตามบทที่ได้มอบหมายให้

   ตัวคาแร็คเตอร์ของพระเอกได้ไอ้ผู้กำกับหน้าหมีเป็นคนคิดให้ แต่บอกเลยว่าวันนี้พี่มันไม่มา ความหวังทั้งหมดเลยฝากไว้กับคนที่เหลือ

   การคัดเลือกยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนมาหยุดพักเมื่อทำการแคสต์บทพระเอกเสร็จสิ้นทั้งหมดแล้ว แต่ก็เลือกไม่ได้ว่าควรเป็นใคร มันเลยมาถึงจุดที่เราต้องคุยกันคร่าวๆ

   “หลายคนเล่นได้แต่ไม่มีเสน่ห์เลย” ผมที่ทำได้แค่รับฟังเงียบๆ ปล่อยให้คนมีประสบการณ์วิจารณ์กันไป

   “นี่คิดเหมือนกัน คือบทของตฤณเป็นเพลย์บอยและเจ้าชู้มากไง”

   “อืม เรามองว่าคนที่เล่นได้ต้องเหี้ยมาจากข้างในจริงๆ มันต้องมีอินเนอร์แบบนั้น” โห...พระเอกไม่ได้เหี้ยครับ แค่เจ้าชู้ พวกพี่แม่งสับกันแหลกมาก

   “ไม่ได้ละ ถึงหล่อมากแต่ก็ไม่ได้จริงๆ”

   “เลือกมาก่อนแล้วค่อยรอเวิร์คช็อปมั้ยเผื่อจะดีขึ้น”

   “คาแร็คเตอร์ไม่ได้นี่สิ ดูเป็นคนแสนดีหมดเลย จะมาเล่นเป็นคนเหี้ยๆ ได้เหรอ อุ๊ย!” เสียงของพี่ใบบัวสะดุดกึกคล้ายหยุดอยู่ตรงปากทางสวรรค์ ทุกสายตาค่อยๆ เบี่ยงตามเจ้าของเสียงนั้นไปเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ตรงร่างสูงของใครคนหนึ่งที่นั่งกดเกมในมือถืออย่างเอาเป็นเอาตาย

   “น้องค่ายยยยยยยยยยยย”

   “หา มีอะไรครับ” งานเข้าแล้วไอ้ควาย เสือกไม่รู้ตัวอีก

   “ทำหน้าที่อะไรในละครเวทีคะ”

   “คุมเสียงกับไฟครับ”

   “ให้คนอื่นทำค่ะ ไหนลองมาเอาบทนี้ไปอ่านหน่อย”

   “อ่านทำไมครับ คุมเสียง ไม่ได้พากย์เสียงสักหน่อย”

   “ไม่ใช่อย่างนั้น พี่อยากให้ค่ายลองแคสต์ดู บทนี้เลย แล้วอีปริมไปไหนเนี่ย พอแคสต์ผู้ชายหล่อๆ จบล่ะหายหัวเฉย เติร์ดไปช่วยเข้าบทกับเพื่อนหน่อย”

   “ฮะ? อะไรนะครับ”

   “ช่วยเพื่อนหน่อย” ได้แต่นั่งทำหน้างงอยู่พักใหญ่ ไอ้ค่ายก็ฉุดข้อมือผมให้ลุกขึ้นยืน พลางเดินตามขายาวไปด้านหน้าโต๊ะกรรมการ

   มันยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้ผมอ่านคร่าวๆ ซีนนี้เป็นตอนที่นางเอกตั้งคำถามเพื่อให้พระเอกเลือกว่าต้องการอย่างไหน แล้วทำไมกูต้องสวมบทเป็นนางเอกด้วยวะ พี่ปริม พี่มึงหายหัวไปไหน!

   “ค่ายอ่านบทเสร็จยัง”

   “ครับ”

   “เติร์ดล่ะ”

   “ผมอ่านกระดาษนะ”

   “แล้วแต่เลย พี่ดูค่ายคนเดียว” ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ จ้องมองตัวหนังสือฟอนต์ Cordia New ขนาด 16 พอยท์ในมือ ก่อนจะขยับปากอ่านบทออกมา

   “ตฤณ ฉันขอถามอะไรหน่อยสิ”

   “ครับ” ทำไมผมรู้สึกว่าตัวเองเหมือนสาวน้อยวัยขบเผาะขนาดนี้วะ

   “ถ้าให้เลือกระหว่างดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ นายจะเลือกอะไร”

   “เลือกดวงอาทิตย์ เพราะจะได้มองเห็นคุณชัดเจน” ไอ้ค่ายพูดตรงตามบทเป๊ะๆ แถมสายตาที่มันส่งมาให้ยังทำให้คนมองอย่างผมรู้สึกขนลุกอีกต่างหาก

   “แล้วเวลากับเงินล่ะ”

   “เวลา ผมจะได้จ่ายมันเพื่อคุณ”

   “ความจริงกับความฝัน”

   “ความจริง เพราะที่ตรงนั้นมีคุณรออยู่”

   “กินกับนอน”

   “นอน อย่างน้อยก็เพียงพอสำหรับเจอคุณในฝัน”

   “แล้วระหว่างฉันกับการนอนล่ะ คุณเลือกอะไร” นี่เป็นบรรทัดสุดท้ายที่เราต้องต่อบทกันแล้ว ซึ่งคำตอบของตฤณก็คือเลือกนางเอก ดังนั้นผมจึงละสายตาจากตัวอักษรตรงหน้า เพื่อฟังคำตอบนั้นชัดๆ อีกครั้ง

   “นอน”

   “เชี่ย มึงเลือกผิด เอาใหม่” 

   “...” ผมรวบรวมสติและย้ำคำถามนั้นอีกครั้ง

   “แล้วระหว่างฉันกับการนอนล่ะ คุณเลือกอะไร”

   “ถ้าให้เลือกระหว่างคุณกับนอน ผมเลือกนอนนะ”

   “...”

   “นอนกับคุณ”

   บู้ม!!

   ตายห่าตายเหวกันไปเลย








   และการเพิ่มบทแบบมั่วๆ ของไอ้ค่ายก็ทำให้มันได้บทพระเอกละครเวทีไปแบบมั่วๆ เช่นกัน แก๊งพี่ใบบัวแกส่งเสียงกรี๊ดจนคอแทบแตกหลังจากไอ้ค่ายเล่นมุก ‘นอนกับคุณ’ ไป เรียกได้ว่าความเจ้าชู้แพรวพราวของมันส่งผลให้ทุกคนเทคะแนนให้อย่างไม่ต้องสงสัย

   ความช็อกระรอกสองพุ่งจู่โจมผมอีกรอบเมื่อแขกที่ไม่อยากรับเชิญให้มาแคสต์บทดันโผล่มาที่นี่

   แพรว แฟนเก่าไอ้ค่าย

   เธอตรงเข้ามาในห้องพร้อมกับรอยยิ้มแจ่มใสและการตอบคำถามที่ฉะฉาน ดังนั้นบทเพื่อนนางเอกเลยตกไปอยู่ที่เธอโดยไม่มีใครกังขา

   แม้จะรู้ว่าไอ้ค่ายกับแพรวต้องอึดอัด แต่ผมก็ช่วยอะไรไม่ได้มากกว่านั้น

   เราประกาศผลทันทีที่การคัดเลือกเสร็จสิ้น เพราะชั่วโมงต่อมาทีมงานต้องใช้เวลาไปกับการชี้แจงนักแสดงทุกคนถึงตารางการซ้อมและกำหนดการต่างๆ ซึ่งเฉพาะเวิร์คช็อปก็ใช้เวลาถึงสามเดือนเต็มๆ และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเราจึงเริ่มกิจกรรมละลายพฤติกรรมตั้งแต่ต้น

   ผมที่ไม่มีหน้าที่ในส่วนนี้เลยนั่งพิงผนังง่อยๆ มองดูกลุ่มนักแสดงกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข จนเวลาล่วงเลยเข้าสู่ช่วงเย็น ไอ้ทูที่ยังวุ่นวายกับการถ่ายภาพ ไอ้โบนหายต๋อม ส่วนไอ้ค่ายก็ทำกิจกรรมกับทีมนักแสดง ทำให้ผมไม่รู้ว่าจะเข้าไปก่อกวนใครดี ขนาดพักเบรกยังไม่กล้าขยับไปไหนนอกจากกดมือถือฆ่าเวลา

   ช่วงพักหลายคนนอนแอ้งแม้งอยู่กับพื้น ขณะที่ทีมสวัสดิการยังคงทำงานกันอย่างแข็งขัน แจกทั้งขนมและเครื่องดื่มไม่มีขาดตกบกพร่อง ไม่นานร่างสูงของพระเอกป้ายแดงก็เดินตรงดิ่งเข้ามาหา พร้อมกับนั่งลงข้างๆ พลางยื่นซองขนมกับน้ำส้มมาให้

   “ให้เหรอ เออขอบใจ” ผมรับมาโดยไม่ให้เสียกำลังใจ แต่ก็ไม่ยอมแกะอะไรกินเช่นกัน อาจเป็นเพราะไอ้ค่ายชอบดูแลทุกคนแบบนี้ ผมเลยไม่อยากคิดไปไกล และพาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงอีก

   “รีบแกะกินดิ”

   “ยังไม่หิว”

   “เดี๋ยวก็มีคนมาแย่งหรอก”

   “มึงก็เอาไปให้คนอื่นตั้งเยอะหนิ บ่นไร”

   “เห็นมึงเหนื่อยมาทั้งวัน”

   “มึงเองก็เหมือนกันเหอะ”

   “อยากกินอะไร เดี๋ยวกูออกไปซื้อให้”

   “ไม่กินอะไรทั้งนั้น” ผมเบี่ยงตัวเล็กน้อย แล้วก้มลงกดมือถือเพื่อเบี่ยงประเด็น

   “เล่นอะไรอ่ะ”

   “ROV”

   “ขอเล่นหน่อย”

   “คนจะเล่นเกม รีบไปทำกิจกรรมเถอะ เริ่มแล้วนะนั่น” ทำไมเดี๋ยวนี้ไอ้ค่ายมันมาแปลกวะ ตั้งแต่เมื่อวานที่โผล่มาที่ห้องของผม บรรยากาศอึมครึมก็เปลี่ยนไป ผมไม่อยากนึกว่านี่อาจเป็นสภาวะน้ำนิ่งไหลลึก ที่พออีกหน่อยก็เกิดคลื่นยักษ์ซัดเข้ามาที่ใจผมอีก

   กับการกระทำบางอย่างของไอ้ค่าย ผมไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองอีกแล้ว

   ดูเหมือนมันจะไม่ได้เซ้าซี้ผมให้มากความ ไม่นานก็เลิกวุ่นวายและหันไปทำกิจกรรมต่อเป็นชั่วโมง เล่นเอาคนที่ไม่มีอะไรทำอย่างผมรู้สึกง่วงงุนขึ้นมาทันที สุดท้ายก็ทนไม่ไหวล้มตัวลงนอนตรงพื้นไปโดยปริยาย

   รู้ตัวอีกทีนาฬิกาฝาผนังก็ชี้ไปที่เลขเก้ากับเลขสิบสองแล้ว เชี่ยยยยยยย สามทุ่ม ที่ตื่นขึ้นมาไม่ใช่เพราะเสียงที่ดังจนกระทบหูอะไรหรอก แต่เพราะกระเพาะที่กำลังบีบตัวอยู่ต่างหากทำให้ต้องตื่นขึ้นมา

   ผมมองไปยังทีมนักแสดงที่ทำความรู้จักและร่วมกิจกรรมกันอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุด ไอ้ทูก็ดูมุ่งมั่นกับการถ่ายภาพ มีไอ้โบนคอยเป็นผู้ช่วยอยู่กรายๆ เห็นแบบนี้แล้วใครจะกล้าเอ่ยปากชวนไปกินข้าววะ
 
   แต่โชคก็เหมือนเข้าข้าง เมื่อขนมและน้ำดื่มที่ไอ้ค่ายเอามาให้เมื่อไม่กี่ชั่วโมงยังวางอยู่ใกล้ๆ แถมคราวนี้มีข้าวกล่องวางแอบอยู่ด้วย ผมรู้สึกอยากขอบคุณทีมสวัสดิการเพราะทำงานดีจนน้ำตาไหล จัดการเปิดกล่องข้าวกินอย่างอิ่มหนำสำราญเบิกบานใจ แล้วกองก็เลิกพอดี เยสสสสส

   กลับเถอะครับ กูจะได้หายเบื่อสักที รอเหมือนคนโง่แบบนี้ไม่ดีเลยว่ะ

   ทุกคนเริ่มเก็บข้าวของและแยกย้ายคนละทิศละทาง ส่วนตัวเองก็ขอเวลาแวะเข้าห้องน้ำก่อนกลับเพราะซัดน้ำเปล่าหมดไปทั้งขวด แต่เมื่อเดินออกมาด้านนอกผมกลับต้องเผชิญหน้ากับผู้หญิงน่ารักคนหนึ่ง ทั้งที่พยายามหลบเลี่ยงมาตลอด

   “เอ่อ...หวัดดีแพรว” ผมทักเธออย่างเก้ๆ กังๆ

   “หวัดดีเติร์ด ไม่ได้คุยกันเลยเนาะ” ผมเข้าใจถึงความอึดอัดนี้ ขนาดตัวเองเป็นแค่เพื่อนสนิทของไอ้ค่าย แล้วคิดดูว่าเวลาเพื่อนรักอย่างมันต้องทำกิจกรรมร่วมกับแฟนเก่า แม่งจะรู้สึกแย่สักแค่ไหน

   “ใช่”

   “นายสบายดีมั้ย”

   “ก็โอเค แพรวล่ะ” ดูเป็นคำถามสิ้นคิดแต่ผมก็นึกอะไรนอกเหนือจากนี้ไม่ออกแล้ว

   “ก็ดีนะ”

   “...”

    “เออนี่ก็ดึกแล้ว แฟนเราน่าจะมารับแล้วล่ะ” เธอก้มลงมานาฬิกาขณะพูดรัวไม่หยุด แต่เอ๊ะ! แพรวบอกว่าแฟนมารับ

   อย่าบอกนะว่าที่เลิกกันเพราะมือที่สาม อะไรจะมาไวไปไวปานนั้น

   “แพรวมีแฟนใหม่แล้วเหรอ”

   “คบกันนานแล้วล่ะ”

   “...!” อะไรวะ งง

   “อืม อย่าบอกค่ายนะ”

   “มีอะไร”

   “ค่ายขอให้เราช่วยน่ะ ความจริงแล้ว...”

   “...”

   “เราไม่ได้คบกันหรอก”

   ขอเถอะนะ ขอหน่อย นี่มันเหี้ยอะไรวะแสรดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

   แพรวเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงควายโง่ๆ ตัวหนึ่งที่กำลังยืนเกาหัวตัวเองไม่หยุด ประโยคที่ได้ยินก่อนหน้าหมายความว่าอะไรกันแน่ แพรวกับไอ้ค่าย ทั้งคู่ไม่ได้คบกันตั้งแต่แรกเหรอ แล้วมีเหตุผลอะไรที่ต้องโกหกเพื่อนในกลุ่มขนาดนี้ด้วยวะ

   คำถามมากมายตีวนอยู่ในหัว ผมเดินกลับไปยังห้องประชุมที่ซึ่งมีเพื่อนสนิทสามคนยืนรออยู่ แต่ก็ไม่ได้พูดหรือถามเรื่องแพรวออกไป ได้แต่เก็บงำเอาไว้และคิดหาเหตุผลอยู่ลำพัง

   ท่ามกลางความมืดของห้องนอน ผมยังคงกังวลถึงเรื่องที่ได้ยินมาเมื่อชั่วโมงก่อนไม่หยุด อยากถามแต่ก็ไม่กล้าพอเพราะคิดว่าคงไม่เกี่ยวกับเรามากนัก แต่อีกใจกลับคิดว่าเราก็คือหนึ่งในคนที่ถูกหลอกมาตลอด และคนที่รู้คำตอบนั้นดีก็คือไอ้ค่าย

   Rrrr…!

   ซึ่งมันตายยากมากครับ เมื่อปลายสายเป็นเบอร์ของมัน

   “ว่าไง”

   [วันนี้เพจลงรูปเยอะเลย]

   “เพจอะไร”

   [ก็ละครเวทีไง] โทรมาเพื่อพูดถึงเพจเนี่ยนะ นับวันยิ่งไร้สาระเข้าไปทุกที

   “อืม...แล้วไง”

   [มีคนลงรูปมึงด้วย]

   “คือกูต้องตื่นเต้นมั้ย”

   [อือ งั้นไม่กวนละ เจอกันพรุ่งนี้เช้า ฝันดี]

   “ไอ้ค่าย...” ผมเรียกชื่ออีกฝ่าย ในใจอยากถามคำถามที่ค้างคาอยู่ในหัว แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าพูดออกไปทั้งที่ปลายสายเงียบเหมือนรอฟังคำตอบอยู่

   [ไอ้เติร์ด ว่าไง]

   “ไม่มีอะไร ฝันดี”

   สายถูกตัดไปหลังจากนั้น ผมจึงนอนกลิ้งอยู่ที่เตียงและคิดอะไรเพลินๆ สักพักนึกขึ้นได้เลยเปิดเข้าไปที่เพจละครเวทีนิเทศ แน่นอนว่าวันนี้เป็นการเปิดตัวนักแสดง แต่ละคนก็แอคท่าสุดเท่พร้อมแคปชั่นแนวๆ จากแอดมินเพจช่วยเรียกเรตติ้ง จะมีก็แต่...

   “เชี่ย!” ผมสบถออกมาเสียงดังเมื่อหนึ่งในนั้นมีภาพของผมที่กำลังนั่งจ้วงข้าวเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย แถมแคปชั่นยังสะพรึงจนอดคิดไม่ได้ว่า ใครแม่งเป็นคนคิดกันแน่วะ!!
   


   LakornNitade
   ถ้าให้เลือกระหว่างคุณกับกิน ผมขอเลือก ‘กิน’
   ...กินคุณ
   #สายแดก #ทีมคนเขียนบท




 :z3: :z3:

ออฟไลน์ boboman

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
 :z13:
 :a5:
อมกกกกกกก
อิค่ายดูท่าจะไม่โง่วแล้ววววววววว
กราบพี่เชนทร์รัวๆ พี่แกเมพมากก
นังค่ายมันวางแผนเรื่องคบไว้นี่เองงงง คาดไม่ถึงง
ตอนนี้นางท่าจะเริ่มรู้ตัวแล้วสิน้า หุหุ ชอบการเปลี่ยนบทมากๆ 5555555555
รอตอนหน้านะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-06-2017 20:47:26 โดย boboman »

ออฟไลน์ abbaba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
จะเริ่มแล้วใช่มั้ยยยย กรี๊ดดดดดดด สงสารเติร์ดจริงๆ คงกินอย่างอร่อยอยู่แน่ๆ55555

ออฟไลน์ เจ้าหญิงขี้ลืม

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
 :o8: กรี๊ดดดดดดดดดดดดดคือไร เซอร์ไพส์มากกก
คือตกลงค่ายกำลังจะทำอะไรกันแน่อ่ะ
อย่าทำให้เติร์ดเสียใจอีกก็แล้วกัน

ออฟไลน์ Ujeen

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
มันคือเค้าลางของความฟินใช่มั้ยคะ?
แบบค่ายรู้ตัวว่าชอบเติร์ดงี้? แล้วก็ตามเต้าะ แล้วที่แพรวบอกว่าค่ายขอให้ช่วยคือค่ายแค่อยากจะรู้ว่าเติร์ดรู้สึกยังไง
แล้วตอนนี้ก็รู้ตัวเองแล้ว ใช่มั้ยๆๆๆๆๆๆๆๆ

เลาจะรอฟินนะจิตติิิิิิ จะรอๆๆๆๆๆๆ มาต่อตอนต่อไปเร็วๆน้า

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
เอ๊ะ!
ยังไงคะ? ยังไงค่าย?

ออฟไลน์ toomild

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
อยากซื้อพวงมาลัยมากราบพรี่ ดีแล้วค่ะ งานดี ในที่สุดเรื่องนี้ก็กลับมาสดใสหัวใจสี่ดวงเหมือนเดิม แง้ รักซ์

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
แคปชั่นนี้ท่าทางจะไม่ใช่แอดมินพิมพ์ละมั้ง น่าจะเป็นพระเอกของเรื่องซะมากกว่า 5555555555 ค่ายกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย

ออฟไลน์ pui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-3
 :katai2-1: :katai5: :ling1: :ling1: :ling1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ทฤษฎีจีบเธอ ∞ ตอนที่ 6 [17/06/60] *หน้า17
« ตอบ #489 เมื่อ: 17-06-2017 21:23:21 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ MissMay

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ในที่สวดดดดดด ค่ายก็เคลื่อนไหวสักที
อยากให้เติร์ดเล่นตัวเยอะๆ สมให้กับความเจ้าชู้ของนาง  :z3:

ออฟไลน์ Piima

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 660
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
โอ้ยยย

สงสารน้องเติร์ด


ค่ายเธอเริ่มแล้วใช่ไหม

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5
"เริ่มแล้วเหรอทฤษฎีจีบเธอ"  :hao3:อย่าใจอ่อนนะเติร์ดต้องจัดการให้ค่ายรู้สึกสะบ้าง :z6:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-06-2017 21:49:20 โดย O-RA DUNGPRANG »

ออฟไลน์ ป่ามป๊ามป่ามปาม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
เริ่มเห็นแววแล้ว  :katai2-1:

ออฟไลน์ Memari

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เริ่มแล้วๆ :laugh:

ออฟไลน์ leemmm

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-6
อีค่ายไม่โง่เเล้ว อีค่ายจะรุกจีบเติร์คแล้ว

ออฟไลน์ แม้วธวัลหทัย

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
ตอนแรกนึกว่าเติร์ดจะเป็นคนดำเนินทฤษฎีการจีบนี้เสียอีก

ค่ายไปเจออะไรมา ทำไมถึงทำแบบนั้น
ยังรอพาร์ทของค่ายอยู่ ขอบคุณที่มาต่อค่ะ

ออฟไลน์ panpang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 497
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
เห้ออออ

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
คือไร ค่ายเริ่มใช้ทฤษฎีจีบเติร์ดแล้วสินะ
หวังแต่ว่าเติร์ดอย่าใจอ่อนง่ายๆนะ เจ็บมาเยอะจำซะบ้าง
เป็นfcพี่เชนทร์ได้มั้ย ชอบความคิดแก ชอบผชร่างหมี  :impress3:

ออฟไลน์ ทั่วหล้า

  • ไม่ช่างพูดแต่ช่างพิมพ์
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1049
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
ชอบตอนอีค่ายต่อบทมากค่ะ
ให้ความรู้สึกว่าคนที่คิดคำตอบแบบนี้ได้ต้องอีค่ายเท่านั้นอ่ะ5555555555

ค่ายควรภูมิใจนะคะเพราะถ้าค่ายไม่เลวจากข้างในคงไม่มีทางได้บทนี้ไปแน่นอน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ทฤษฎีจีบเธอ ∞ ตอนที่ 6 [17/06/60] *หน้า17
« ตอบ #499 เมื่อ: 17-06-2017 22:19:29 »





ออฟไลน์ klaew

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1237
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-2
พี่ค่ายลองใจอีกแล้วเหรอ
ได้คำตอบ หายโง่แล้วดิ

ออฟไลน์ colorofthewind21

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-1
ว้ายตายแล้ววว ค่ายแกหายโง่แล้วใช่มั้ยยะ

ออฟไลน์ sebest

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
จะเริ่มทฤษฎีแล้วใช่ไหมมมมมม  :hao6:

ออฟไลน์ why yyy

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +309/-8
ขอบคุณ :
)

ออฟไลน์ todiefor

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 204
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
คือตอนแรกๆ นี่อ่านไป ปาดน้ำตาไป โค่ดเศร้า โค่ดหน่วง อยากจะตั๊นหน้าอิค่ายยยย
แต่พอตอนนี้....มันดีย์ต่อใจ เห็นแสงรำไรๆ ที่ปลายอุโมงค์

คิดไปถึงตอน "นอนกับคุณ" แล้วนะเนี่ยยยยยยๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ namngern

  • Flowers need to bloom
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-2
ค่ายคะ .. เพิ่งจะหายโง่หรอ?
5555555555555555555555

ออฟไลน์ hoshinokoe

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1042
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
ยังไม่วางใจเท่าไหร่ เติร์ด อย่าเพิ่งวางใจนะๆๆ

ออฟไลน์ manami_01

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 980
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-1
ส่ใครก็ได้มาจีบนายเอกทีเอาให้พระเอกครั่งเลย หึหึ ทำเจ็บมาเยอะก็ลองดูบ้างจะเป็นไร

ออฟไลน์ rikulism♡

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
วรั้ยยย ในหัวมีแต่คำว่า ผ่าม พามม
เดาไม่ถูกว่าทำไมถึงหลอกว่าคบกับแพรวง่ะ ดูอาการเติร์ดหรอ
อะไรง่ะ นังค่าย น้องงงและสงสัยย แต่ก็ดี เค้าลางแห่งความฟินมาล้าววววว
 :heaven :heaven

ออฟไลน์ SimplyDelicious

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อ่านจบแล้วรู้สึกเหมือนเติร์ดเลย นี่มันเรื่องอะไรวะ 5555555
คือค่ายไปคิดทบทวนอะไรมา เรื่องความรัก เรื่องผู้หญิง
เรื่องเพื่อน เรื่องเติร์ด หรือเรื่องอะร๊าย
ละที่เปลี่ยนบทตอนอยู่ในห้องนี่คือมันมีความนัยถูกมะ
แต่ก็ไม่รู้กับนางอยู่ดีว่านางลึกซึ้งแค่ไหน
คือนางเพิ่งมองเห็นว่ายังมีเพื่อนคนนึงอยู่ข้างๆเสมอ
หรือนางเริ่มเอะใจเรื่องเติร์ดว่ามันมากกว่าเพื่อนละ ช่วยน้องด้วยน้องสับสนกับนาง
ละยังเรื่องคบกับแพรวหลอกๆอีก อะไรอ่ะ ทำไปทำไม 'นี่มันเรื่องอะไรวะ' อะเกน 5555

เติร์ดเหมือนเพิ่งมาดีขึ้นจริงๆหลังคุยกับพี่เชนทร์
ฮือ ดีมาก เห็นเติร์ดคิดได้ละปลื้มปริ่ม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-06-2017 00:00:28 โดย SimplyDelicious »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด