ทฤษฎีจีบเธอ ∞ THE END
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ทฤษฎีจีบเธอ ∞ THE END  (อ่าน 2134345 ครั้ง)

ออฟไลน์ changemoo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ครั้งนี้เหมือนการเปลี่ยนฝั่ง คนไล่ตามไม่ใช่เติร์ดแล้ว เพราะเติร์ดใช้สมองมากขึ้น ชอบบบบบ อยากให้เติร์ดเก่งอย่างนี้ไปนานๆ ไปวิ่งตามค่ายเดี๋ยวจิเหนื่อย อยู่หล่อๆแบบนี้ไปเราชอบ อยากให้มีหล่อกว่ามาชอบเติร์ดด้วยฮิฮิ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ นางฟ้าเชียงชุน

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 351
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
เราว่าเราสงสารค่ายอ่ะ คือนางนิสัยเจ้าชู้ตั้งแต่แรก แล้วก็โดนโกรธแบบงงๆ จนปั่นป่วน ถูกมองเป็นตัวร้ายสุดขีด (จริงๆนางร้ายระดับธรรมดา) พอนี่นางเริ่ทเข้าใจตัวเอง เดี๋ยวก็ถึงช่วงที่เติร์ดทำใจได้พอดี เฮ้อออออ  :ling2:

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
หลงด่าค่ายมาตั้งนาน คือจริงๆ ค่ายรู้ แต่อยากลองใจหรอ หรืออยากรู้ใจตัวเอง

ตอนนี้เริ่มทำใจได้บ้างแล้ว จะมาทำให้งงเพื่ออะไร เติร์ดคงคิดแบบนี้

กรีดร้องโวยวาย แคปชั่นจัดว่าเด็ด จัดว่าโดนค่ะ กินคุณ 55555

ออฟไลน์ Xll

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อ่านตอน6จบแล้วว ได้แต่บอกเติร์ดลูกชายว่าา

No matter what happen อย่า! ใจ! อ่อน! นะลู๊กกกกกก!!


ตอนนี้หนูเริ่มใช้สมองมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี อย่าไว้ใจใครง่ายๆ อย่าพาตัวเองไปสู่วังวนแห่งความเจ็บปวดอีก หนูมีประสบการณ์แล้ว ถึงเวลาใช้สมองนี่ถูกต้องมากที่สุดแล้วลูกกก อย่าใช้หัวใจให้มากนัก กราบแทบอกของพี่เชนทร์รัวๆ พี่เชนทร์สอนลูกชายเติร์ดดีมาก ฮื่อออออ จำไว้นะลูก อย่า! ใจ! อ่อน !

#ทำไมอินขนาดนี้ โอ๊ยยย

ออฟไลน์ ppseiei

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
โอ่ยยยยย ค่ายยยยย
หงุดหงิดนิสๆเหมือนโดนปั่นหัวเอง5555
น้องเติร์ดอย่ายอมมันง่ายๆนะลูกก

ออฟไลน์ monoo

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1957
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +101/-4
 :hao3: :hao3:
ไรอ่ะ ไรอ่ะ

ออฟไลน์ zabzebra

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1043
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +83/-1
ไม่อยากหวังกับอิค่ายเยอะเลย แต่คิดว่าอิค่ายคงวางแผนมาสักพักแล้ว
เพื่อนตัวดีของเติร์ดเนี่ยแหละรู้เห็น
แต่อยากให้ค่ายรู้ใจตัวเองด้วยตัวเองนะ ไม่อยากให้เพื่อนบอก

ออฟไลน์ A_Narciso

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 879
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
:hao4: เกิดไรขึ้นเหรอค่าย?  จะมารู้ใจอะไรตอนนี้ละห๊าาา
น้องเติร์ดเค้าเริ่มคิดได้ ใช้สมองมากกว่าหัวใจแล้วเฟร่ยยยย!!  :m16:
.
.
.
ปล. อินแรงไปนิด ยังจำความเจ็บปวดของเติร์ดได้ดี.. ใจแข็งเข้าไว้นะ #ทีมเติร์ด

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
อ้าว แล้วที่หัองน้ำในผับ
จูบเติร์ดแต่ละเมอถึงแพรว
มันคือแผนหรือทฤษฏี
ลุ้นกันต่อไป

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ทฤษฎีจีบเธอ ∞ ตอนที่ 6 [17/06/60] *หน้า17
« ตอบ #549 เมื่อ: 19-06-2017 08:24:47 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ EoBen

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-6
ค่ายอะไรยังไง รู้ตัวแล้วหรืออะไร คิดตามไม่ทันแล้วนะอะไรคืออะไร หรือว่ามันเริ่มสงสัยแล้ว ว่าที่เตริดชอบจริงๆไหม  แล้วยังไงต่อ แล้วแพรวมาบอกทำไม ให้ช่วยแกล้งเป็นแฟนเพราะอยากหลอกเพื่อน แล้วมาบอกเพื่อนเนี่ยนะ มีแผนไรปะนิ

ออฟไลน์ wichiwiwie

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อยากรู้มากว่าค่ายทำแบบนั้นทำไม คือจะจีบเติร์ดแบบจริงจังแล้วหรอหรือว่ายังไง นี่ถ้าเริ่มจีบจริงๆ จะยุให้เติร์ดเล่นตัวนานๆ นะ โทษฐานที่ทำเติร์ดเสียใจมาหลายตอน #ทีมเติร์ด :)

ออฟไลน์ Cardiac

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 355
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
คือไร  ค่ายจะทำอะไร ระแวง   :katai1:

ออฟไลน์ Numai

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อยากให้เขาคบกันแล้ว ...... อยากฟิน

 :mew1:

ออฟไลน์ Zalzah_iP

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 875
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
สิ่งที่อยากให้มีในนิยายจิตตินั่นคือ ฉากหึง  :ling1: หึงแบบไม่ใช่นิดๆ หน่อยๆ แล้วจบ มาแบบยังไม่ทันรู้สึกตัวหรือแค่บอกให้รู้ว่าหึงนะ หวงนะ แล้วก็จบงี้ แต่อยากให้หึงแบบ รุนแรง แสดงออก ฟึดฟัด (นี่คนหรือวัว) นั่นแหละ สรุปก็คือ อยากให้ค่ายหึงเติร์ดแบบหนักๆ หนักหน่วง รุนแรง ฟึดฟัด อะเฮื่อออออ  :z3:

ออฟไลน์ ppapple

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ค่ายจะทำอะไรรรรร? :hao4:

ออฟไลน์ eeroww

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ค่ายวางแผนจีบเติร์ดแล้วใช่ป่ะ  :o8:

ออฟไลน์ Kaikaaa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เข้าเนื้อหาแล้วใช่มั๊ย   :katai3: :katai3:

ออฟไลน์ Jittirain12

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 353
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1238/-18

ตอนที่ 7
Circle of (Boy) Friend



   คนเราเวลาจะดูหนังสักเรื่องเราเลือกจากอะไร

   เนื้อหา

   ชื่อผู้กำกับ

   ความหน้าตาดีของนักแสดง

   กระแส

   หรือเพราะ...รสนิยม

   ผมเลือกมันจากความชอบของตัวเอง ไม่ต้องเป็นกระแสก็จะเลือกถ้ารู้สึกว่าเรื่องนั้นเป็นแนวที่ดูมาตลอด ผมมักหลีกเลี่ยงแอนิเมชั่นหรือการ์ตูนปัญญาอ่อน ขณะเดียวกันก็เลือกเสพงานแนว Sci-fi thriller ซ้ำซากมากขึ้นเรื่อยๆ

   รุ่นพี่คนหนึ่งเคยบอกว่า การเลือกดูหนังแม่งก็เหมือนกับการเลือกคนรักนั่นแหละ น้อยมากที่เราจะดูแนวที่เราไม่ชอบ อาจเพราะถูกตั้งกำแพงเอาไว้แล้วว่ามันไม่ดี ไม่สนุก และไม่ได้รับการเปิดใจยอมรับ ทั้งที่มันอาจดีก็ได้...

   ...ถ้าได้ลอง










   เรื่องราวมันเกิดขึ้นตอนไหนผมจำก็ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับไอ้เติร์ดนับวันก็ยิ่งแย่ลงทุกที จนกระทั่งมันแตกหักในวันที่เรานั่งจิบเบียร์อยู่ที่ห้องของไอ้โบน แค่จิบเบียร์ ไม่รู้เป็นเหี้ยไรแต่ทุกอย่างกลับพังไม่เป็นท่า

   “ไอ้ค่าย...” คนตรงหน้าเรียกชื่อผม ไอ้เติร์ดยืนนิ่งๆ อยู่หน้าประตูอย่างเก้ๆ กังๆ ผมเลยทำลายบรรยากาศตึงเครียดลงด้วยการพูดออกไป

   “ไอ้โบนเรียกกูมา กินเบียร์กันอยู่เหรอ” ซึ่งมันก็ไม่ได้ตอบอะไรนอกจากยืนค้างอยู่ที่เดิม ความสัมพันธ์ของเราไม่โอเคเท่าไหร่ จำได้ว่าไอ้เติร์ดเปลี่ยนไปหลังเรากลับมาจากคลับในคืนนั้น และมันก็ไม่ยอมบอกเหตุผลว่าที่โกรธอยู่เนี่ยเกิดจากอะไรกันแน่

   คือกูก็ไม่รู้มั้ย ถามเชี่ยทูกับไอ้ควายโบนมันก็เอาแต่ส่ายหน้า กลายเป็นว่าปัญหาที่แก้ไม่ตกตอนนี้ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข จนกว่าผมจะรู้ว่าได้ทำอะไรผิดไป

   “เข้ามาเลย นี่เพื่อนพี่เอง” ผมเลือกสลัดความคิดในหัวออก ก่อนจะคว้าข้อมือขาวของรุ่นน้องคนหนึ่งเข้าไปด้านใน ความจริงผมไม่ได้อยากพาน้องเขามาหรอก แต่ไอ้โบนนี่สิที่โทรมาชวนในช่วงเวลาที่ผมกับเธอกำลังจะกลับพอดี แถมยังเป็นทางผ่านอีก สุดท้ายเลยจำต้องพาแวะมาก่อนกลับจนได้

   “โอ๊ยยยยยยคนสวย เชิญครับ เชิญ” เพื่อนผมมันก็เหี้ยไม่ต่างกัน พอเห็นผู้หญิงสวยหน่อยรีบกุลีกุจอหาที่นั่งกันพัลวัน

   “ลมอะไรหอบมาวะ” ไอ้ทูถาม

   “พาน้องไปกินข้าวเสร็จ เชี่ยโบนก็โทรชวนเลยแวะมา”

   “อ๋อ น้องกินเบียร์มั้ยครับ” ระหว่างที่กำลังถามสนุ๊ก ผมก็หันไปมองคนที่ยืนห่างออกไปตรงประตู ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ไอ้โบนตะโกนขึ้น   

   “ไอ้เติร์ดปิดประตู กลับมานั่งนี่”

   “คือกูว่า...จะกลับ”

   “เหรอ งั้นก็กลับเถอะ มึงคงเมาแล้วเนอะ” เชี่ยไรของมันวะ! เพื่อนบอกจะกลับก็ให้ไปกันง่ายๆ อย่างนี้เหรอ ผมไม่ปล่อยให้ไอ้เติร์ดทำสำเร็จ รีบสวนกลับไปอย่างรวดเร็ว อย่างน้อย...ก็ขอให้เราได้คุยกันบ้าง

   “นั่งด้วยกันก่อนดิ”

   และถึงแม้ไอ้เติร์ดจะกลับมานั่งข้างๆ จริง เราก็ยังคงเงียบใส่กันอยู่ บอกตามตรงว่าผมอึดอัดมาก ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงทุกอย่างถึงจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม

   “ค่ายมึงรู้ยัง โปรเจ็กต์ละครเวทีเริ่มแล้วนะ จองหน้าที่อะไรไว้” ยังดีที่เพื่อนรักสองคนคอยถามไถ่และหาเรื่องคุยอยู่ตลอด การนั่งแดกเบียร์วันนี้เลยไม่กร่อยอย่างที่คิด

   “ผู้ช่วยผู้กำกับ”

   “โหยยยยยย หน้าที่นี้ปีสี่จองไปแล้วครับ อย่าโง่สิ”

   “กูคุมแสงสีเสียงได้” จริงๆ ก็คงเป็นงานหลักที่ผมต้องทำเนี่ยแหละ

   “เข้าแก๊บอยู่ กูก็อยากมาทำส่วนนี้ แต่ไอ้เติร์ดนี่หนักกว่าเพื่อนหน่อย”

   “ทำไม”

   “เขียนบท นั่งคิดไปสิว่าจะให้ใครรักกัน”

   “มึงรู้ได้ไงว่ากูจะเขียนเรื่องความรัก เมื่อก่อนอาจจะใช่ แต่ตอนนี้กูไม่ศรัทธาละ” ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวยังหันมามองหน้าผมขณะพูดอีกต่างหาก คือยังไงวะ ต้องการกระแทกแดกดันกูเหรอ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำอะไรผิดเลยรู้สึกไม่พอใจ สวนกลับไปอย่างรวดเร็ว

   “คนอย่างมึงเคยศรัทธาอะไรด้วยเหรอ”

   “กูไม่ใช่มึงที่จะศรัทธากับความรักไปทั่ว คั่วไปทั่วเหมือนทุกวันนี้”

   “ไอ้เติร์ด!”

   “ใจเย็นเพื่อน ใจเย็น...” ยังดีที่เพื่อนคอยเบรกเอาไว้เรื่องเลยไม่ใหญ่โตอย่างที่คิด แม่งอยากตอกกลับไปฉิบหายว่ากูไปมั่วบนหัวมันเหรอ ทุกวันนี้เวลามันต้องการอะไรผมก็ทำให้ตลอด ถ้ามันขอให้ผมไม่พาผู้หญิงเข้าห้องผมก็จะทำ ยอมทุกอย่างเพื่อรักษาความสัมพันธ์เอาไว้

   แล้วดูมันดิ ไม่แม้แต่จะพยายามยื้อเอาไว้เลย คอยแต่จะทำให้พังลงเรื่อยๆ

   เรานั่งดื่มต่อ สนุ๊กเองก็มักคอยเอาใจถามโน่นถามนี่ให้ผมอารมณ์ดีอยู่เสมอ

   “พี่ค่ายอย่าดื่มเยอะเป็นห่วง” บอกตามตรงว่าคนนี้คุยไลน์กันได้แค่อาทิตย์เดียว และก็เพิ่งเจอกันครั้งแรกเมื่อวาน ความสัมพันธ์เราเกิดขึ้นไว และก็จบไวเหมือนกันเพราะผมไม่คิดปักหลักหรือฝากใจไว้ที่ใคร

   รักแบบนี้มันดีกว่าเยอะ เอาใจในบางครั้ง ไปกันไม่ได้ก็แยกทาง ต่างคนต่างไม่เสียประโยชน์มันก็จบ

   “ไม่เยอะครับ”

   “ไม่ให้สูบบุหรี่ด้วย”

   “โอเค”

   “เชื่อฟังแบบนี้สิ”

   “คิดเหรอว่ามันจะเชื่อฟังน้องแค่คนเดียว” จู่ๆ อารมณ์ก็สะดุดกึกอีกหนเมื่อเสียงของใครคนหนึ่งแทรกขึ้น ซึ่งผมก็ไม่รอช้าหันไปมองคนคนนั้นด้วยสายตาเอาเรื่อง ไอ้เติร์ด...นี่มึงต้องการอะไรกันแน่วะ   

   “พี่หมายความว่าไงคะ”

   “ก็ไอ้ค่ายมันมั่วไง เดี๋ยวได้แล้วมันก็ทิ้ง”

   “ไอ้เหี้ยเติร์ด!” ผมถลาเข้าไปกระชากคอเสื้อของมันเพราะทนไม่ไหว ในใจได้แต่เดือดดาลก่นด่ามันไม่หยุดว่าต้องการเหี้ยอะไรซ้ำๆ เออ! แล้วมึงเป็นเหี้ยอะไร!

   “ใจเย็นมึง มึงเมาแล้วใช่มั้ย กลับห้องกันนะ” ไอ้ทูแยกเราทั้งคู่ออกจากกัน ก่อนหันไปถามความเห็นของคนที่หน้าแดงก่ำเพราะแอลกอฮอล์ แต่สภาพนี้ไม่ได้เรียกเมาไม่ได้สตินี่หว่า ดูยังไงก็รู้ว่าต้องการหาเรื่องกันชัดๆ

   ไอ้เติร์ดไม่เคยเป็นแบบนี้ สองปีที่เรารู้จักกันมาไม่ว่าผมจะมีใครหรือทำอะไร มันก็เข้าใจและมีเหตุผลเสมอ ผิดกับตอนนี้ที่งี่เง่าฉิบหาย

   “กูไม่เมา แม่งพูดความจริงก็ผิดเหรอ” มันพูดออกมาอีก จนผมอดไม่ได้รีบตอกกลับไปอย่างรวดเร็ว

   “แล้วไง อย่างน้อยกูก็รักใครเป็น ไม่เหมือนมึงหรอก งี่เง่า ไร้เหตุผลฉิบหาย”

   “มึงกล้าพูดจริงๆ เหรอว่าสิ่งที่เป็นอยู่ของมึงมันคือรัก”

   “ใช่รัก แล้วกูก็รู้ว่าจะยกมันให้ใครที่ไม่ใช่เพื่อนเหี้ยๆ อย่างมึง” ผมตะคอกใส่อย่างเหลืออด พร้อมกับผลักร่างคนตัวเล็กกว่าอย่างแรงด้วยความโมโห รู้ตัวอีกทีไอ้เติร์ดก็เอาแต่ก้มหน้ามองพื้นอยู่ก่อนแล้ว

“ไอ้ค่าย เติร์ดมันเมาอย่าถือสามันเลย”

“เมาแต่ปากก็หาเรื่องฉิบหาย”

“แคร์มันหน่อย ช่วงนี้มันไม่โอเค”

“มึงคิดว่ามันเป็นเมียกูหรือไงถึงต้องแคร์!” ไม่เคยให้ประโยชน์อะไรกูเลย แม้แต่คำว่ามิตรภาพยังให้กันไม่ได้ แล้วทำไมผมถึงต้องแคร์มันด้วยวะ

“เฮ้ยกูว่ามึงพูดดีๆ กับมันก็ได้นะไอ้ค่าย”

“ไว้มันมานอนให้กูเอาเมื่อไหร่ กูถึงจะพูดดีด้วย พอใจยัง!!”

ผั่วะ!!

เสี้ยววนาทีนั้นภาพในม่านสายตาของผมก็สั่นไหว ร่างกายล้มลงไปกองกับพื้นพร้อมกับความเจ็บชาที่ค่อยๆ แผ่ซ่านเข้ามาเรื่อยๆ

ไอ้โบนยืนหอบหายใจไม่ห่างและตั้งท่าเงื้อมืออีกรอบเพื่อซัดผมแรงๆ แต่ไอ้ทูเข้ามาขวางไว้ซะก่อนผมเลยไม่โดนสวนเข้ามาอีกหมัดจนหน้าแหกอย่างที่คิด

“ไอ้ค่ายนี่เพื่อนนะ เพื่อนที่รักมึง”

“...” ผมเงียบ เลือกที่จะไม่ตอบโต้กลับไป แล้วทำไมเพื่อนอย่างมันไม่แคร์กูบ้าง

มันอึดอัดแค่ไหนแต่ไม่เคยมีใครเข้าใจเลย

“ไอ้เติร์ดมัน...มัน...”

“โบนพอเหอะว่ะ”

“...”

“กู...ขอโทษนะ กูไม่ดีเอง”

ไอ้เติร์ดเงยหน้าขึ้นมามองผมทั้งน้ำตาอาบแก้ม ทำเอาใจคนมองกระตุกวูบด้วยความรู้สึกผิด กูขอโทษนะนี่คือสิ่งที่ผมอยากบอกออกไปแต่ลิ้นกลับด้านชาเกินกว่าจะขยับ ได้แต่มองดูคนตรงหน้าค่อยๆ พยุงตัวเองขึ้นแล้วเดินจากไปเท่านั้น   

ผมถูกเพื่อนลากคอให้ไปคุยกันที่ระเบียงทันทีเพราะไม่ต้องการให้สนุ๊กมาได้ยินปัญหาที่เกิดขึ้นภายในกลุ่ม แต่มันก็ไม่ช่วยให้ผมเข้าใจอะไรขึ้นเลยหลังจากพูดกันจบ จำได้ขึ้นใจก็แค่เรื่องที่มันสองตัวพยายามออกโรงปกป้องไอ้เติร์ดเท่านั้น แล้วกูล่ะ

ไม่เคยมีใครเข้าใจผมสักคน ไม่มีใครเข้าใจความอึดอัดที่สุมอยู่ในอกและโยนทิ้งไม่ได้ ผมเสียใจที่ทำร้ายไอ้เติร์ด แต่ขณะเดียวกันก็ไม่มีใครพูดออกมาว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วทำไมกูถึงต้องรู้สึกผิดอยู่คนเดียวด้วยวะ

โคตรไม่แฟร์เลย

ทำไมผมถึงเป็นคนเดียวที่รู้สึกโง่ พวกมันมีความลับผมรู้ ผมเห็นแม้กระทั่งวันนั้น...ที่โรงหนัง เห็นไอ้โบนกอดไอ้เติร์ดที่ร้องไห้ไม่หยุด ผมรู้สึกผิดที่ทำอะไรไม่ดีลงไป ทว่าสุดท้ายก็ไม่รู้อยู่ดีกว่าสิ่งไม่ดีนั้นคืออะไรกันแน่

เพื่อนทุกคนเลือกมีความลับกับผม จนอดคิดไม่ได้ว่ากู...คงไม่สำคัญกับใครอีกแล้ว












เช้าวันต่อมาไอ้เติร์ดไม่มาเรียน ถามไอ้ทูมันก็ตอบแค่ว่ามันอยากนอนโง่ๆ เท่านั้น ผมจึงไม่สนใจแต่ความรู้สึกผิดเนี่ยสิที่ตีตื้นเข้ามาไม่หยุด สุดท้ายก็ตัดสินใจไปหาอีกฝ่ายที่ห้องหลังเลิกเรียน ผมไม่ได้ถามมันว่าโกรธผมเรื่องอะไร เพราะมันคงไม่บอก

สิ่งเดียวที่พูดได้จึงเหลือแค่ ‘ขอโทษ’ คำเดียวที่ผมพูดออกมาจากใจ

ซึ่งมันได้ผล ความสัมพันธ์เรากลับมาดีขึ้นอีกครั้งและยิ่งแน่นแฟ้นขึ้นเพราะเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ไอ้เติร์ดต้องเขียนบทละครเวที เราตัวติดกันเหมือนเดิม ไปไหนไปกันสี่คนตลอด ทั้งการนั่งสังเกตการณ์หอสมุด รวมไปถึงชวนเจ้าตัวออกไปดูหนังหรือซื้อของด้วยกัน

ไอ้เติร์ดช่วยผมเลือกลิปสติกให้สาว มันรู้ดีว่าผมต้องเทคแคร์ผู้หญิงทุกคนที่เริ่มเข้ามามีสัมพันธ์แบบฉาบฉวยอยู่แล้ว แต่ไอ้กำไลแอร์เมสที่ไปเลือกกันน่ะผมซื้อเป็นของขวัญวันเกิดให้พี่สาว ‘พี่เคลียร์’ คือแพงขนาดนี้กูคงลงทุนให้คนอื่นหรอก แต่ก็ไม่ได้บอกมันไป

แปลกมั้ย เพื่อนอย่างไอ้เติร์ดแม่งเสือกเป็นคนเดียวที่ผมอยากให้อยู่ด้วยในทุกช่วงเวลา

ต่อให้เป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่แค่ไหนผมก็จะนึกถึงมันเป็นคนแรกๆ นี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เราคบกันยาวและกลายเป็นเพื่อนสนิทกันในที่สุด

แล้วเย็นวันหนึ่ง...ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป...

เราสี่คนยังคงปักหลักอยู่หอสมุดเพราะไอ้เติร์ดพยายามหาไอเดียในการเขียนบท พวกที่เหลือเลยหยิบแล็ปท็อปกับมือถือขึ้นมาเล่น แต่ผมสือกซวยที่แบตมือถือหมด พาวเวอร์แบงก์ก็ไม่เหลือหรอเลยขอยืมแล็ปท็อปของไอ้เติร์ดมาเล่นและฟังเพลงฆ่าเวลา

ตอนนั้นผมนึกพิเรนทร์ด้วยการกดไปที่ชาแนล ‘มูฟวีซี้เว่อร์’ เพื่อดูกระแส ซึ่งเป็นปกติอยู่แล้วที่คนเราเวลาล็อกอินอะไรเอาไว้จะไม่ยอมล็อกเอาท์ออก แน่นอนว่าไอ้เติร์ดคือหนึ่งในนั้น แอคเคาต์ของมันยังคงเด่นหราอยู่ตรงหน้า ผมกดเข้าไปดูเล่นๆ แต่คลิปล่าสุดที่ปรากฏอยู่เนี่ยสิที่ยุให้คนมือบอนอย่างผมกดเข้าไป

ชื่อวิดีโอนั้นใช้ชื่อว่า ‘รีวิวหนัง - โง่..เซ่อ..บ้า เพราะว่าความรัก’ ความยาวไม่กี่นาทีเอง แต่แปลกที่มันกลับถูกตั้งให้เป็นไพรเวทมากกว่าจะเผยแพร่ให้คนติดตามดู

ช่วงเวลาที่วิดีโอถูกเล่น ผมเห็นไอ้เติร์ดยิ้มให้กับกล้องเหมือนทุกที...

   “สวัสดีครับสัปดาห์นี้เรากลับมาเจอกันอีกครั้งในช่องมูฟวี่ซี้เว่อร์ แต่นี่อาจจะเป็นวิดีโอสุดท้ายของปีนี้แล้วนะครับที่ผมจะทำ ใจหายเลย ครั้งนี้ผมจะมารีวิวหนังเรื่องหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว ชื่อเรื่องว่า Crazy, Stupid, Love ครับ”

   ผมเงยหน้ามองตัวจริงที่นั่งเขียนบทขยุกขยุยลงบนกระดาษ ก่อนจะก้มมองวิดีโอบนจออีกครั้ง โชคดีจริงๆ ที่ใส่หูฟัง ไม่งั้นคงโดนด่าที่ละลาบละล้วงความเป็นส่วนตัวของมันแน่ๆ

   “ชื่อภาษาไทยคือโง่ เซ่อ บ้า เพราะว่าความรัก”

   “...” คนพูดเงียบไปอึดใจหนึ่ง เอาแต่ก้มหน้าไม่พูดจา กระทั่งเจ้าตัวถอนหายใจออกมาแล้วเงยหน้ามองกล้องใหม่

   “ผมในตอนนี้โง่และก็บ้ามากจริงๆ ผม...รักเพื่อนสนิทของตัวเองข้างเดียวมาตลอด”

   ไอ้เติร์ดไม่ได้พูดเกี่ยวกับหนัง!

   มือที่เลื่อนอยู่ตรงแป้นพิมพ์กดสเปซบาร์เพื่อหยุดวิดีโอ เลื่อนสายตามองไปยังเพื่อนสองคนที่กดมือถือกันอย่างมีความสุข จู่ๆ ก็รู้สึกหายใจไม่ออกซะดื้อๆ แต่ความเสือกไม่อาจหยุดยั้งเลยกดเล่นวิดีโอต่อ

   “เราเป็นเพื่อนในกลุ่มเดียวกัน คบกันมาสองปีกว่าแล้ว แต่เพราะความสัมพันธ์ของคำว่าเพื่อนทำให้เราไปไกลจากนี้ไม่ได้อีก ผมรู้สึกว่าตัวเองคาดหวังอะไรลมๆ แล้งๆ มากเกินไป บอกว่าจะตัดใจหลายครั้งแต่สุดท้ายก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมเพราะต้องเจอกันทุกวัน”

   รอยยิ้มของคนพูดนั้นเจือความเศร้า จนผมไม่อยากจินตนาการเลยว่าลึกๆ นั้นมันเศร้าขนาดไหน

   “จริงๆ ผมอาจหลีกหนีจากมันได้แต่ผมไม่ทำเอง ไอ้ค่าย...”

   หน้าของผมชาไปทั้งซีกเมื่อได้ยินชื่อของตัวเองดังเข้ามาในหู สายตาของไอ้เติร์ดที่มองมายังกล้องเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา

   “กูขอโทษที่รักมึง”

   “...!!”

   “กูพยายามมาตลอดเพื่อเก็บความลับนี้เอาไว้ แต่กูเหี้ยเอง...แม่งเหี้ยเองที่พอรู้ว่ามึงทำดีกับกูเพราะต้องการพิสูจน์ความจริงกูก็เสือกทนไม่ได้ เพราะจริงๆ แล้วกูรู้สึกดีมากที่มึงทำดีมาตลอด รู้สึกดี...จนรับไม่ได้ถ้าทุกอย่างพังทลายลงมา กูขอโทษนะ”

   ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่ก็ยังทนดูต่อจนจบ

   “ขอโทษที่ทำให้มันดีขึ้นกว่านี้ไม่ได้ กูบอกมึงไม่ได้หรอก เพราะถ้าบอก กูจะไม่เหลืออะไรเลย”

   “...”

   “...แม้กระทั่งมึง”

ใช่! มันไม่เหลืออะไรแล้วในวันที่รู้ความจริง มึงทำลายความเชื่อใจของกูจนหมด

หน้าของผมชาเหมือนโดนตบ ร่างกายเองก็ชาไปทั้งร่างจนขยับเขยื้อนไม่ได้ ผมชอบผู้หญิง และรับไม่ได้ที่ไอ้เติร์ดคิดเกินกว่าเพื่อน นี่เหรอวะความลับที่เก็บมาตลอดสองปี เป็นไปได้ผมก็ไม่อยากรับรู้ เป็นไปได้เราก็ไม่ควรเป็นเพื่อนกัน

ผมเงยหน้าขึ้น ไล่สายตามองเพื่อนสนิทสามคนในกลุ่ม ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมเดาว่าพวกมันรู้ว่าไอ้เติร์ดคิดไม่ซื่อกับผมแต่ไม่ยอมบอก ทำกับผมเหมือนไอ้โง่ตัวหนึ่งซึ่งก็ใช่ โง่มาตลอดสองปีขนาดนี้ก็หาเขามาใส่หัวให้กูเถอะ

สำหรับไอ้เติร์ดมันคือเพื่อนสนิท ทั้งแคร์และห่วงใย แต่นั่นก็เกิดจากความรู้สึกตามประสาเพื่อนคนหนึ่งเท่านั้น ผมไม่อยากเสียมันไป ขณะเดียวกันก็ไม่พร้อมเปลี่ยนสถานะของเพื่อนเป็นอย่างอื่น เย็นวันนั้นหลังกลับจากหอสมุดผมจึงรีบกลับมาที่ห้อง ครุ่นคิดวิธีต่างๆ ที่ทำให้มันเลิกคาดหวังและตัดใจจากผม

แน่นอนว่าผมยังต้องการมัน ต้องการเพื่อน...

อยากได้เพื่อนคนเดิมกลับมาเหมือนเก่า ผมคิดจนหัวแทบแตก อยู่กับตัวเองด้วยความอึดอัดและฟุ้งซ่าน ผมไม่ได้ชอบผู้ชายและมันจะไม่มีวันนั้น

หนึ่งคืนเต็มๆ ที่ผมใช้เวลาติดต่อหาผู้หญิงที่เคยเข้ามาในชีวิต หนึ่งในนั้นเป็นเพื่อนเก่าที่ไม่เคยมีสัมพันธ์ฉันชู้สาวกัน เราเคยเรียนโรงเรียนเดียวกันเมื่อสมัย ม.ต้น และตอนนี้ก็เรียนอยู่มหา’ลัยเดียวกันด้วย ผมขอร้องเธอถึงจุดประสงค์ที่ต้องการ นั่นคือการอุปโลกน์เพื่อนเก่าอย่างแพรวมาเป็นแฟน

อย่างน้อยก็ช่วยตบตาไอ้เติร์ดให้มันตัดใจจากผมให้ขาดซะ เพราะไม่ว่ายังไงระหว่างเราก็คงเป็นไปไม่ได้อยู่ดี

โชคดีที่พี่เชนทร์ปีสี่แกเลี้ยงฉลองคนเขียนบทที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ผมเลยใช้โอกาสนี้สร้างสถานการณ์ซะ คืนนั้นเลยจัดเหล้าไปซะหนัก เรียกได้ว่าแทบไม่หยุดพักตั้งแต่เข้าร้าน อาจด้วยความเครียดที่สะสมมาตลอดสัปดาห์ และการครุ่นคิดแต่เรื่องของไอ้เติร์ดทำให้ผมต้องหาทางออกด้วยตัวเอง

   หลังจากดื่มมาอย่างหนักหน่วง ผมหาเวลาปลีกตัวเข้าห้องน้ำและไม่ยอมออกไปไหน รอจนกว่าอีกฝ่ายจะออกมาตาม แน่นอนว่าไอ้เติร์ดคือคนนั้น มันบ่นเหมือนทุกครั้งแต่ที่ไม่เหมือนคือความรู้สึกของคนฟัง 

   “เยี่ยวนานฉิบหาย”

   “อือ”

   “รู้ตัวป่ะเนี่ย พูดจะไม่รู้เรื่องแล้วมึง” ผมพยายามรูดซิบกางเกง มือขาวเลยปรี่เข้ามาช่วยพยุงไม่ให้ล่มด้วย ทำไมวะ ทำไมถึงไม่ไปรักคนอื่น

   “มึงโอเคมั้ย นี่กี่นิ้ว” มันถาม แต่ผมไม่ตอบทั้งที่ยังพอมีสติอยู่

   “...”

   “สงสัยจะเมามากจริงๆ เดี๋ยวกูพากลับ รถมึงเดี๋ยวกูบอกผู้จัดการร้านให้ดูแลก่อน ส่วนไอ้สอง...” ไม่รอให้เสียเวลาผมจัดการดันร่างบางของเพื่อนสนิทไปติดตรงกำแพง จนเจ้าตัวโวยวายยกใหญ่ ผมจึงไม่รอช้ากลั้นใจประกบจูบลงไป

   “ไอ้ค่าย มึงเมาแล้วนะเว้ย ไอ้...อื้อ!”

   ไอ้เติร์ดดิ้นขลุกขลักไปมาสักพัก ไม่นานก็แน่นิ่งยอมให้ผมจูบทั้งเนื้อตัวสั่นเทา สั่น...จนสัมผัสได้และรู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ แต่ผมก็ไม่ย่อท้อประกบริมฝีปากอีกฝ่ายไม่ปล่อยโอกาสให้คนตรงหน้าได้หายใจ

   พยายามสอดลิ้นเข้าไปในโพรงปากของมันอย่างจาบจ้วงเพื่อให้รู้สึกอาย แต่เปล่าเลย เป็นผมต่างหากที่ไม่ละจากมัน แถมยังเอาแต่บดเบียดแลกเปลี่ยนความหวานจนสติแทบขาดผึง รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เจ้าตัวดิ้นรนหาอากาศหายใจผมเลยจำต้องปล่อย

   “ค่าย...” ไอ้เติร์ดเรียกชื่อผม และผมเสียใจที่ต้องพูดออกไปแบบนี้...

   “แพรว”

   ผมจูบมันอีกรอบ แต่คราวนี้กลับเป็นจูบที่มีแต่รสขม คนถูกรุกตรงหน้าเนื้อตัวสั่น เสียงสะอื้นดังเล็ดลอดไม่ขาดสาย หัวใจคนฟังเองก็เจ็บตาม น้ำตาหยดแล้วหยดเล่ายังคงไหลลงมาสัมผัสกับหน้าของผม กูขอโทษที่ทำให้มึงร้องไห้ กูขอโทษ...

   “แพรว แพรว...”

ที่เรียกชื่อเขาต่อหน้ามึง แต่เพราะไม่เห็นทางออกแล้ว กูเลยทำได้แค่นี้จริงๆ

เติร์ด...ตัดใจจากกูเถอะนะ














การทำใจยอมรับกับความจริงบางครั้งก็โคตรเจ็บปวด ผมต้องฝืนตัวเองเป็นคนโง่ไม่รู้อะไรต่อไปจนกว่าการแสดงนี้จะจบลง แน่นอนว่าความพยายามหลายครั้งหลายคราของผมทำให้อีกฝ่ายเสียใจ

ผมต้องเห็นน้ำตาของมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ก็แสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรเลย ยังคงนั่งข้างกัน พูดถึงเรื่องแฟนใหม่ของผม มองเห็นมันส่งยิ้มเจื่อนๆ มาให้ด้วยความรู้สึกฝืน ทั้งอึดอัดและเจ็บปวด

หลังประชุมใหญ่ของละครเวทีเสร็จผมจึงตัดสินใจเปิดตัวแพรวกับเพื่อนอย่างเป็นทางการ ก่อนเก็บของบึ่งรถไปซุกหัวอยู่ที่บ้านพักของรุ่นพี่นิเทศฯ คนหนึ่งเพื่อหนีปัญหา

แกชื่อพี่ต้น เรียนอยู่ปีสี่แต่คนละมหา’ลัยกัน ปีนี้แกทำธีสิสแม่งเลยออกมาเช่าบ้านทำสตูดิโอกับเพื่อนอีกสามสี่คนข้างนอก ผมเลยพอมีที่ซุกหัวนอนอยู่บ้าง แน่นอนว่าผมหวังมากกว่านั้น ไม่ได้มองว่าพวกพี่มันจะมาแก้ปัญหาอะไรให้หรอก ขอแค่ไม่ต้องคิดฟุ้งซ่านเรื่องนี้ก็พอ

“จะมาก็ปุบปับเลยนะมึง” ผู้ชายหุ่นผอมหน้าหนวดทักทายขึ้น ผมมากับกระเป๋าเป้ใบเดียว มีไอ้ชาวีเป็นสารถีพามาส่งเหมือนทุกครั้ง

“เครียดว่ะพี่ แดกเหล้าดิ”

“ไอ้เหี้ยค่าย บ้านกูเป็นสตูดิโอไม่ใช่แหล่งซ่องสุม”

“มีหญิงมาแจมป่ะ”

“นี่มึงฟังกูป่ะเนี่ย”

“เข้าไปข้างในเลยนะ แล้วให้ผมนอนห้องไหน”

“ปลายเตียงกูอ่ะ”

“เคๆ”

ผมอยู่ที่นี่หลายวัน ใช้พวกพี่มันเป็นที่ปรับทุกข์ แต่ก็ไม่ได้เล่าอะไรที่ลึกกว่านั้น แต่ละวันหมดไปกับเหล้าและบุหรี่ เปลืองถึงขนาดเอามาเรียงหน้าบ้านก็ตั้งโรงงานขายของเก่าได้เลย เวลาว่างหลังจากตื่นผมนั่งดูพวกพี่มันตัดต่อหนังและทำคลิปกันสนุกสนาน ตอนเย็นก็ก๊งเหล้ากันเหมือนเดิม

เหมือนกับวันนี้ คืนวันที่ห้าของการอยู่อาศัยแบบมัดมือชก

“เดี๋ยวรุ่นน้องที่มอกูแวะเข้ามานะ” รุ่นพี่คนหนึ่งพูดขึ้น ต่างคนต่างก็พยักหน้าเข้าใจ

สิบห้านาทีให้หลัง เสียงรถยนต์ดังขึ้นตรงหน้าบ้านก่อนเสียงเจื้อยแจ้วจากคนด้านนอกจะแว่วเข้าหู พี่ต้นอาสาลุกไปเปิดประตูให้ก่อนผู้หญิงสี่ห้าคนจะเดินเข้ามาทักทาย

“สวัสดีค่ะ คืนนี้ขอแจมด้วยคนนะ”

และบ้านที่ไอ้พี่ต้นมันบอกตลอดว่าไม่ใช่แหล่งซ่องสุมก็กลายเป็นอย่างที่ปากมันพูดไม่มีผิดเพี้ยน ต่างคนต่างดื่มและสังสรรค์ไปเรื่อยๆ ยิ่งดึกเพลงที่เปิดก็ยิ่งทวีความสนุก ผมมัวเมาไปกับแอลกอฮอล์ รู้ตัวอีกทีน้องผู้หญิงคนหนึ่งก็เข้ามานั่งเบียดด้วยเรียบร้อย

มือของผมปัดป่ายไปบนตัวเธอ เรานัวเนียกันอยู่อย่างนั้นค่อนข้างนานก่อนจะจับหน้าขาวนั้นเอาไว้พร้อมกับประกบริมฝีปากลงไป เราจูบกันเงียบๆ แทนที่จะเหมือนกับที่ผมจูบผู้หญิงคนอื่น ทำไม...

ถึงมีภาพของไอ้เติร์ดฉายชัดขึ้นมา

ปากของเรายังประกบกัน ผมตั้งใจและอดทนเพื่อไปข้างหน้าต่อและดูเหมือนอีกฝ่ายจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แต่สุดท้ายกลับชะงักค้าง

ผมคิดถึงจูบของไอ้เติร์ด นึกถึงหน้าของมันตอนร้องไห้ นึกถึง...ช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกัน

“โธ่เว้ย!!” ความอัดอั้นตันใจที่มีมาตลอดทำให้ผมผละออกจากรุ่นน้องคนนั้น และเอาแต่สบถเสียงดังจนคนโดยรอบหันมามองเป็นตาเดียว

ทำไมวะ! ทำไมถึงกลายเป็นกูที่ลืมไม่ได้!

ผมได้แต่นั่งก้มหน้าเพราะทำอะไรไม่ถูก จู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงความร้อนผ่าวตรงกระบอกตา ไม่หรอก ผมไม่ได้กำลังร้องไห้ ผมแค่เมา...

โลกที่ไม่มีไอ้เติร์ดมันไม่ใช่ไม่ดีหรอก แต่มันเหี้ย เหี้ยมากเกินไป


อ่านต่อด้านล่างค่ะ

ออฟไลน์ Jittirain12

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 353
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1238/-18

“ไอ้ค่าย มากับกูหน่อย” เสียงของพี่ต้นฉุดให้ผมต้องลุกขึ้น เราเดินไปหลังบ้าน มือหนาส่งบุหรี่ให้ผมมวนหนึ่งก่อนเราจะยืนสูบกันเงียบๆ

ควันสีขาวลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ผมมองมันค่อยๆ สลายไปกับความมืดแบบนั้นไม่รู้กี่ครั้งกระทั่งบุหรี่ในมือลดลงครึ่งหนึ่ง

“ที่หนีมามุดหัวอยู่บ้านกูไม่ใช่เครียดเรื่องเรียนใช่มั้ย”

“...” ผมไม่ตอบ

“คนมาบ้านกูส่วนใหญ่ไม่หนีร้อนก็หนีรัก”

“บ้านพี่มึงไม่ใช่ทะเล ทำไมผมต้องทำอย่างนั้น”

“อาการแม่งฟ้อง”

“ดูออกขนาดนั้นเลย” หรือบางทีพี่ต้นอาจเป็นที่ปรึกษาที่ดีของผมในตอนนี้วะ ที่ผ่านมาคือมองความติสท์และเก่งของมันไม่น่าจะช่วยอะไรได้ กับความรักมันเซนสิทีฟกว่านั้น

“ไอ้ค่าย ทำอย่างกับกูไม่รู้จักมึง”

“จริงๆ ก็หนีรักมาอย่างที่ว่าแหละ พอดีมีปัญหากับเพื่อนนิดหน่อย”

“เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อว่างั้น” ไอ้ห่า ฉลาดฉิบหาย เรื่องเสือกๆ นี่รู้ทันตลอด ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่ยอมคุยกันตั้งแต่วันที่มาแรกๆ แล้ววะ

“เพื่อนสนิทผม...เป็นผู้ชายว่ะ”

“อืม กูก็ไม่เห็นมึงสนิทกับผู้หญิงคนไหน ส่วนใหญ่จับแดกหมด”

“ฆวย”

ใครต่างก็รู้ว่าผมแยกสถานะของเพื่อนกับคนรักไว้อย่างชัดเจน ถ้าผู้หญิงคนไหนที่เป็นเพื่อนกับผม แน่นอนว่าเราไปไกลกว่านั้นไม่ได้แน่ กรณีไอ้เติร์ดก็เหมือนกัน คาราคาซังฉิบหาย

พี่ต้นคีบบุหรี่ในมือขึ้นมาสูบอีกรอบก่อนจะพ่นควันสีขาวออกมา ผมมองอยู่อย่างนั้นนิ่งๆ แล้วตัดสินใจถามต่อ

“รับได้เหรอ เพื่อนเป็นเกย์”

“ทำไมจะไม่ได้ก็นั่นเพื่อน”

“แต่ตอนนี้เพื่อนไม่ได้คิดอย่างนั้น”

“แล้วรู้สึกยังไงกับมัน รังเกียจมั้ย อยากตีตัวออกห่าง หรือรู้สึกอะไร...”

“ไม่รู้ดิ ถามว่ารังเกียจมั้ยก็ไม่ แต่เรื่องตีตัวออกห่างมันมาเป็นบางครั้งว่ะ เหมือนสิ่งที่เราคิดกับมันคิดไม่เหมือนกัน บางทีก็อยากปลีกตัวออกมา อยากให้เรากลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่พี่รู้มั้ย นับวันมันก็ยิ่งทำได้ยาก”

“...”

“ที่ผมหนีมาอยู่กับพี่ก็เพื่อที่จะลืมมัน แต่สุดท้าย...กลับคิดถึงมากกว่าเดิม คิดถึงหน้ามัน คิดถึงจูบของมัน ทั้งที่ปากบอกว่าอยากให้มันตัดใจและเป็นแค่เพื่อน โคตรย้อนแย้งเลยว่ะ” ความคิดไม่ได้ขาวหรือดำ มันเทาๆ คลุมเครือจนหาคำตอบไม่ได้

   “งั้นกูถามหน่อย” ร่างผอมทิ้งบุหรี่ลงพื้น พลางใช้เท้าเหยียบจนไม่เหลือควัน “เวลามึงจะดูหนังสักเรื่องมึงเลือกจากอะไร เนื้อหา ชื่อผู้กำกับ ความหน้าตาดีของนักแสดง กระแส หรือว่ารสนิยม”

   คำถามยาวเหยียดนั้นถูกส่งออกมา คนทำหนังเราจำเป็นต้องดูหนังหลากหลายแนว แต่ในบางครั้งเราก็เลือกดูมันจากความชอบเพื่อตอบสนองความต้องการทางจิตใจ มากกว่าดูเพื่อศึกษาหาความรู้

   “ถ้าเป็นผมก็คงเลือกตามรสนิยม ชอบแนวไหนก็จะดูแนวนั้นบ่อยๆ”

   “ถูกมั้ย แล้วมึงชอบแนวไหน”

   “Sci-fi thriller ดิวะ”

   “แล้วแนวที่มึงไม่ชอบล่ะ”

   “แอนิเมชั่น เลือกได้ก็จะไม่ดู”

   “เมื่อก่อนกูแม่งคิดเหมือนมึงเด๊ะเลย แต่พอวันนึงที่เติบโตขึ้นมึงจะเรียนรู้อะไรเพิ่มอีกเยอะ”

   “...”

   “การเลือกดูหนังแม่งก็เหมือนกับการเลือกคนรักนั่นแหละ น้อยมากที่เราจะดูแนวที่เราไม่ชอบ เพราะมึงตั้งกำแพงเอาไว้ว่ามันไม่ดี ไม่สนุก แต่ถ้ามึงลองเปิดใจบางทีมันอาจจะดีก็ได้”

   ปรัชญาเว่อร์

   น้ำเสียงเอื่อยๆ พล่ามมายาวเหยียด โดยที่ตัวคนพูดเองก็ไม่ได้หันมาสบตากับผมสักนิด พี่มันยังเอาแต่มองแมกไม้ มองท้องฟ้าตามอารมณ์ศิลปินของมัน แต่ทุกประโยคนั้นกลับค่อยๆ ฝังเข้าไปในจิตใจของผมเรื่อยๆ

   “ทุกวันนี้กูดูแอนิเมชั่นตลอดเลยนะ ไม่ได้โดนบังคับให้ดูด้วย แต่ใจแม่งเลือกเอง”

   “พี่ก็พูดได้ดิ หนังกับชีวิตจริงมันก็ต่างกันเยอะอยู่นะ ผมคงรับไม่ได้หรอกว่ะ”

   “นี่มึงรับไม่ได้ หรือต้องการหนีความจริงที่สังคมไม่ยอมรับกันแน่”

   จุก! จุกจนพูดไม่ออก

   “รักในชีวิตจริงแม่งไม่เป็นไปตามบทหรอกไอ้เหี้ย ขืนมึงเอาบรรทัดฐานของสังคมเข้าว่า ต่อให้มึงรักผู้หญิง มึงก็ต้องเจอปัญหาที่เขาว่าเหมือนกัน”

   “...”

   “คิดดูนะ เลือกให้คนด่าเพราะมั่วผู้หญิงไปเรื่อย หรือจะถูกนินทาว่ารักผู้ชายแต่คบแค่คนเดียว โดนด่าเหมือนกัน แต่ผลลัพธ์ต่างกันนะเว้ย”

   “พี่ต้น ผม...”

   “นี่กูไม่ได้บอกให้มึงไปชอบผู้ชายนะ แต่อยากให้มึงตัดสินใจด้วยตัวเองโดยไม่เอาสังคมเข้ามาเกี่ยวข้อง มึงโตละ จะเป็นผู้ใหญ่แล้วเนี่ย”

   “...”

   “เลิกเหี้ยได้แล้ว”

   ผมรู้สึกอยู่อย่างหนึ่งหลังจากเวลาได้หมุนเวียนไป แม้โลกจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน ความเป็นพี่น้องและผองเพื่อนของเรายังคงเหมือนเดิม ถ้าเป็นคนอื่นเขาอาจไม่เตือนผม ไม่กล้าบอกหรือด่า แต่กับพี่มัน...คำว่าเหี้ยคำเดียว ทำเอาจุกอยู่ที่อกจนสลัดไม่ออกเลยว่ะ

   หรือบางที...ผมควรโตเป็นผู้ใหญ่ได้แล้ววะ











   คืนนั้นผมคิดซ้ำๆ ถึงเรื่องของไอ้เติร์ด เลื่อนดูฟุตเทจมากมายที่ถ่ายเก็บไว้ตั้งแต่ปีหนึ่ง ในนั้นมีวิดีโอของไอ้เติร์ด ไอ้โบน และไอ้ทูที่เราเคยทำด้วยกัน รอยยิ้มของไอ้เติร์ด เสียงหัวเราะของมัน ท่าทางบ้าๆ บอๆ ทำให้ผมนึกย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้นอีกครั้ง

   เราอยู่ด้วยกันมาตลอดสองปี ผมรักมันมากและไม่เคยคิดอยากเลิกคบมันแม้แต่วันเดียว ผมคิดว่านั่นเป็นความรู้สึกของเพื่อนมาตลอดจนกระทั่งวันที่ได้จูบกับมัน ตอนที่เห็นน้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลอาบแก้มและพูดแค่คำว่าขอโทษ แม่งกลับทำให้คนเหี้ยๆ อย่างผมลืมไม่ลงซะอย่างนั้น

   ทุกอย่างมันค่อยๆ เปลี่ยนไป ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ จากตอนแรกที่มักคบหากับใครเป็นตัวเป็นตน แต่เพราะไอ้เติร์ดถูกก่อกวนโดยแฟนเก่าของผมมากขึ้น สุดท้ายผมก็ตัดสินใจได้ว่าจะไม่คบกับใครยืดยาวอีก หนักว่านั้นคือผมเลือกไม่พาใครเข้าห้องอีก เพราะเอาแต่คิดว่าวันหนึ่งเพื่อนคนนี้จะกลับมา และเราได้อยู่ด้วยกันอีกครั้ง

   “นอนเถอะไอ้ค่าย พรุ่งนี้ก็ไปเรียนได้แล้ว” แม้ภายในห้องจะปิดไฟจนมืดสนิท แต่หน้าจอแล็ปท็อปที่ส่องสว่างอยู่ทำให้คนที่นอนอยู่บนเตียงผงกหัวขึ้นมาปรามกลางดึก

   “อืม แป๊บนึงพี่ แต่พรุ่งนี้...ผมยังไม่อยากไป”

   “นี่มึงอยู่บ้านกูมาห้าวันแล้วนะ พรุ่งนี้วันที่หก”

   “นับด้วยเว้ย”

   “จะทำอะไรก็คิดดีๆ เพื่อนมึงคงเป็นห่วง แล้วอย่าคิดว่าเรียนไม่สำคัญ นิเทศฯ กิจกรรมหนักด้วย จะทำอะไรก็นึกถึงส่วนรวมหน่อยนะ ไม่ใช่เอาแต่ตัวเอง”

   “บ่นจังวะ” เหมือนพ่อกูเลยว่ะ ที่เลือกไม่กลับบ้านก็กลัวจะโดนด่าเนี่ยแหละ ไหงไอ้พี่ต้นมันเป็นซะเอง

   “กูไม่ยุ่งละ รำคาญ” เสียงที่กวนประสาทหายไป ผมหันมาจดจ่อตรงหน้าจออีกครั้งพร้อมกับเปิดดูรูปเก่าๆ มากมาย แปลกดีเหมือนกันที่ทุกช่วงเวลาในชีวิตมหา’ลัยของผม ล้วนมีไอ้เติร์ดอยู่ในนั้น

   ไอ้โบนกับไอ้ทูนี่เหมือนหมาหัวเน่าในยุคหนึ่ง เพราะต่างคนต่างมีแฟน แต่ไอ้เติร์ดไม่มีใคร การเสียสละของผมเลยเป็นการใช้ชีวิตเกาะติดมันและชวนแม่งทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกเหงา

   ทุกวันนี้ผมยังรู้สึกเสียใจอยู่ลึกๆ ที่ทำเรื่องเหี้ยๆ กับไอ้โบนด้วยการลองใจมัน เพราะคิดว่ายังไงไอ้เติร์ดก็ไม่มีทางรู้ แต่ความลับไม่มีในโลก สุดท้ายผมก็ทำให้เพื่อนคนหนึ่งต้องเจ็บปวดอยู่ดี

   ผมปิดมือถือมาตลอดหลายวันหลังจากบอกทุกคนว่าขอเวลาพัก นั่นทำให้โซเชียลต่างๆ ก็ต้องปิดตามไปด้วย แม้แต่แล็ปท็อปที่เอาติดตัวมาก็เพิ่งได้เปิดใช้เป็นวันแรก

   ผมเลื่อนมือกดไปยังแอพพลิเคชั่นสีเขียวตัวหนึ่ง มันชื่อว่าไลน์ ที่ที่มีผู้คนมากมายติดต่อเข้ามา และเมื่อระบบทำการซิงก์ข้อมูลจนเสร็จ หนึ่งในข้อความนับร้อยก็มีของเพื่อนแก๊งโหดด้วย

   ‘กลับมาได้แล้ว เพื่อนรออยู่’

   นี่เป็นข้อความจากไอ้โบน และสติ๊กเกอร์จากไอ้ทูส่งมาตามหลัง ไร้ซึ่งข้อความของใครอีกคน

   ห้าวันมานี้ผมได้แต่นั่งคิดว่ามันกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ รู้สึกกระวนกระวายใจเหมือนกันบ้างมั้ย ถ้าคิดถึงกันบ้างก็คงจะดี เพราะผม...ก็คิดถึงมันเหมือนกัน

   ในไลน์ของผมมีข้อความเป็นร้อยเป็นพันข้อความ หลังอ่านข้อความในกลุ่มเสร็จก็กดมาดูข้อความส่วนตัวบ้าง มีผู้หญิงมากมายทักเข้ามา และหลายคนก็กำลังอยู่ในช่วงการสานสัมพันธ์ต่อ ผมอ่านทุกข้อความอย่างตั้งใจ แต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไปทั้งนั้นนอกจาก...

   ลบทุกข้อความทิ้ง และตัดสินใจเริ่มต้นใหม่

   เย็นวันอังคารผมโทรหาไอ้ทูกับไอ้โบน นัดหมายพวกมันมาเจอที่ห้องเพื่อคุยถึงสิ่งที่ค้างคามานาน ความจริงที่ว่าไอ้เติร์ดแอบรักผมมาตลอดสองปี รวมถึงการที่ผมหาแฟนอย่างแพรวมาหลอกพวกมันด้วย สุดท้ายแล้วไง...ดูแม่งไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่ เหมือนพวกมันรู้อยู่แล้ว

   “มึง กูจะหยุดว่ะ” ผมนั่งอยู่ตรงเก้าอี้หมุน ส่วนเพื่อนรักทั้งสองนั่งอยู่ที่เตียงอย่างคนจับผิด

   “กินอะไรผิดสำแดงมาวะ หยุดของมึงคืออะไร”

   “เลิกคุย เลิกมั่ว”

   “กูเห็นมึงพูดครั้งนึงตอนปีสอง ทำได้อาทิตย์เดียวก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม แม่งกูคงเชื่อหรอก” ตอนนั้นไม่เคยคิดด้วยซ้ำ แค่มีแฟนและอยากลอง แต่สุดท้ายผมก็ทำไม่ได้อยู่ดีเพราะไม่ได้ตั้งใจจะรักใครแค่คนเดียว ซึ่งต่างกับตอนนี้อย่างสิ้นเชิง

   “ตอนนี้ว่าจะตั้งใจจริงๆ คือกู...อยากจีบใครคนนึง”

   ไอ้โบนกับไอ้ทูมองหน้ากันเลิกลัก ก่อนจะประสานเสียงออกมาพร้อมกัน

   “ใครวะ!”

   “ไอ้เติร์ด”

   “นั่นเพื่อนกู กูไม่ให้!” คำสบถเสียงดังลั่นออกมาจากปากของไอ้ทู มันทำหน้าถมึงทึงจ้องมองราวกับจะกินเลือดกินเนื้อผมให้ได้

   “กูนอนคิดมาตลอดหลายวัน คิดอย่างจริงจังแบบไม่หลับไม่นอน กูอยากดูแลมัน”

   “ดูแลแบบเพื่อนก็ได้ เหมือนพวกกูเนี่ย” คราวนี้เป็นไอ้โบนที่ออกความเห็นบ้าง

   “กูเพิ่งรู้ว่าเราเป็นเพื่อนกัน แต่ความรู้สึกของมึงกับไอ้เติร์ดกูมีให้ไม่เหมือนกันว่ะ”

   “เติร์ดมันตัดใจจากมึงแล้ว”

   “...!”

   “และตอนนี้มันก็ทำเกือบสำเร็จ กูไม่อยากให้มันต้องเสียใจอีก”

   ความจริงจากปากของไอ้ทูทำเอาผมอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนหน้าผมพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้อีกฝ่ายตัดใจ แต่พอมาได้ยินคำตอบนั้นอีกครั้งผมกลับไม่ดีใจเลยสักนิด

   “กูอยากแก้ตัว อยากขอโอกาสอีกครั้ง แค่ขอให้มึงช่วย” ผมพูดต่อ

   “แล้วมึงจะรับประกันได้ไงว่าจะไม่ทำให้ไอ้เติร์ดต้องเสียใจอีก มันร้องไห้เพราะมึงมาเยอะแล้วนะเว้ย”

   “กูไม่อยากจะเชื่อเลยว่ะ”

   มันสองคนสลับกันพูดอย่างเข้าขา หากแต่สายตากลับฉายแววเป็นกังวลอยู่

   “มึงจะเชื่อหรือเปล่าไม่รู้ กูไม่มีอะไรมารับประกัน”

    “...”

   “แต่ไอ้เติร์ดเป็นคนแรกที่ทำให้กูอยากมี...”

   “...”

   “คู่ชีวิตดีๆ สักคน”











   ภารกิจเปลี่ยนเพื่อนเป็นแฟนได้เริ่มต้นขึ้นหลังจากตกลงกับเพื่อนรักอีกสองคน เย็นวันเดียวกันผมแวะไปหาคนที่อยู่ในหัวผมตลอดหลายวัน มันกำลังนอนอยู่ที่ห้องในสภาพเนื้อตัวอ่อนปวกเปียก แค่ได้เห็น ความรู้สึกอยากดูแลก็พุ่งจู่โจมเข้ามาเรื่อยๆ

   ผมเดินหน้าจีบมันอย่างเอาเป็นเอาตายตั้งแต่วันเริ่มแคสต์นักแสดงจนถึงทุกวันนี้ แต่ก็ไม่ดีมีท่าทีว่าอีกฝ่ายจะสนใจ ระยะห่างของผมกับไอ้เติร์ดเริ่มมากขึ้นทุกที ปกติเราจะอยู่ด้วยกันตลอด เดี๋ยวนี้แค่เดินเข้าใกล้เจ้าตัวก็เป็นอันขยับหนี ไอ้ทูเลยเสนอว่าการจีบแบบผมอาจใช้ไม่ได้ผลกับคนอย่างมัน

   เพราะงั้นก่อนจีบใหม่ ผมเลยต้องเปลี่ยนตัวเอง

   “อันดับแรกเลยนะ ลบคอนแท็กผู้หญิงทั้งหมดที่มึงมี เหลือไว้แค่เพื่อนกับรุ่นพี่ที่มึงสนิทพอ” วันนี้มีนัดทำรายงานที่ห้องผม พอมาถึงมันสองตัวก็ออกคำสั่งให้เปิดคอมและยืนคุมสถานการณ์อยู่ห่างๆ

   “เริ่มที่เฟซบุ๊กเลยแล้วกัน” ว่าแล้วก็กดเข้าไปที่แอพพลิเคชั่นตัวเอฟ

   ผ่าง!! เพื่อนเกือบห้าพัน ติดตามอีกเป็นหมื่น

   “ปิดติดตาม” ไอ้โบนบอก และผมก็ทำตามอย่างว่าง่าย

   “ปิดละ”

   “ต่อมาคือลบเพื่อน” แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องยาก เลยนั่งลบแบบไม่คิดชีวิตจนกระทั่ง...

   “คนนี้นมใหญ่จัง” เห็นแล้วก็เสียดาย ไซส์นี้คือหายากมาก เต็มไม้เต็มมือกูสุดๆ ไปเลยครับ แต่คือคนจะเริ่มต้นใหม่ก็ต้องตัดใจสิวะ

   “เชี่ยค่าย อย่าเพิ่งลบ” แต่แล้วไอ้ทูกลับเบรกมือของผมซะก่อน

   “ทำไมวะ”

   “ขอกูแอดเฟรนด์เขาแป๊บ เสร็จแล้วมึงจะลบก็ลบไปเลย”

   “โหยไอ้ควายยยยยยยย”

   จากเพื่อนเกือบห้าพัน ตอนนี้เหลืออยู่ร้อยกว่าคนเท่านั้น กูนั่งร้องไห้แป๊บ สะอื้นในใจได้ห้านาทีโทรศัพท์ก็ถูกยัดใส่มืออย่างรวดเร็ว หน้าจอปรากฏรายชื่อที่ผมฟอลโล่อยู่ในอินสตาแกรม คือแบบว่า...

   “อันฟอลให้หมด”

   “บางคนแทบไม่ใส่เสื้อถ่ายรูปเลย เสียดายว่ะ”

   “งั้นก็เลิกจีบเพื่อนกูนะ”

   “เออ อันฟอลเลย เห็นมั้ย กดรัวเลยเนี่ย” แทบไม่รอให้บอกซ้ำผมก็ซัดซะเต็มเหนี่ยวจนเหลือคนติดตามอยู่ไม่กี่คน ซึ่งก็เป็นเพื่อนในกลุ่มเท่านั้น

   ในไลน์หลังจากลบบทสนทนาผมก็ทำการบล็อกเบอร์และปิดการติดต่อกับผู้หญิงทุกช่องทาง เรียกได้ว่าตอนนี้ผมตัดขาดจากทุกอย่างที่ชีวิตประจำวันเคยทำมาอย่างสิ้นเชิง

   “ต่อไปมึงคงรู้นะว่าควรจัดการชีวิตยังไง กูจะช่วยอยู่ห่างๆ แต่มึงเองก็ต้องช่วยตัวเองด้วย”

   “รู้แล้ว ขอบใจมาก”

   “แล้วนิสัยขี้เอาของมึงก็เหมือนกัน ไม่มีหญิงมาซั่มแล้วก็หาวิธีเอง”

   “โลกสวยด้วยมือเราก็ได้วะ” ผมพูดอย่างปลงตกพลางชูมือขึ้นมาอย่างสั่นๆ

   คือเรื่องเจ้าชู้มันก็วนเวียนอยู่ไม่กี่เรื่อง ปัญหาหนักๆ ที่ผมหยุดตัวเองไม่ได้ก็เพราะนิสัยขี้เอานั่นแหละ ถ้ายังมั่วไปเรื่อยเหมือนเมื่อก่อนไอ้เติร์ดได้ขุดหลุมฝังกลบกูแน่ๆ ดังนั้นผมจึงต้องหาทางออกสำหรับปัญหานี้ด้วยตัวเอง

   “เดี๋ยวเตรียมทำรีพอร์ตเลย ไอ้เติร์ดไลน์มาบอกว่าถึงคอนโดมึงละ”

   “เหรอๆ กูต้องทำยังไงวะ กูไปเปลี่ยนเสื้อดีมั้ย”

   “มึงเป็นฆวยไร ทำตัวให้เป็นปกติสิวะ” ผมก้มมองสารรูปตัวเองที่อยู่ในชุดเสื้อกล้ามสีขาว กับกางเกงบ็อกเซอร์ตัวเดียวแถมไม่ใส่กางเกงในอีกต่างหาก

   โทงเทงไปอีกกู แต่ไม่เป็นไร ใหญ่!

   ก๊อกๆๆ

   ไม่นานเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ผมตั้งท่าจะวิ่งไปเปิดแต่ก็ถูกไอ้ทูขวางเอาไว้ซะงั้น มันส่งสายตาให้ผมถอยไปก่อนตัวเองจะเดินอาดๆ ไปหมุนลูกบิดให้คนที่รอด้านนอก

   ข้อจำกัดของผมอีกอย่างหนึ่งที่เพื่อนกำหนดไว้ก็คือ อยู่ในระยะที่ห่างกับไอ้เติร์ดพอสมควร อย่างน้อยมันจะได้ไม่รู้สึกอึดอัดและถูกรุกมากจนเกินไป

   “มานานแล้วเหรอวะ” คนที่อยู่ในชุดนิสิตถามขึ้น เราเลยพยักหน้ากันหงึกหงัก มองดูร่างขาวโปร่งหยิบเอาแล็ปท็อปขึ้นมาตั้งตรงโต๊ะญี่ปุ่นด้านล่าง

   “นั่นของไอ้โบนกับไอ้ทู มึงขึ้นไปนั่งบนเตียงไป” ผมบอกเสียงเรียบ ทำใจให้นิ่งมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

   “อืม เริ่มทำงานกันเถอะ เสร็จเร็วจะได้กลับเร็ว”

   “พรุ่งนี้ไม่มีซ้อมละครเวทีหนิ ทำไมรีบจังวะ” ผมถามอย่างสงสัย

   “ไม่อยากอยู่ห้องใครนานน่ะ อยากกลับไปพักที่ห้อง”

   คำตอบนั้นคงเป็นแค่กับห้องของผมล่ะมั้ง...

   “หิวมั้ย”

   “กินมาแล้ว”

   “เหรอ แต่ถ้าหิวบอกได้ กูออกไปซื้อให้”

   “ไม่ต้องหรอก ทำงานกันเหอะว่ะ” คนตรงหน้าปิดโอกาสผมไม่ให้พูดอะไรอีก เราเลยนั่งทำงานกันไป เปิดเพลงฟังกันไป จนเวลาล่วงเวลาเกือบสองทุ่ม ไอ้ทูกับไอ้โบนบ่นหิวบ่อยจนน่าตบเลยอาสาออกไปซื้อของกินมาให้ ดังนั้นห้องทั้งห้องเลยอยู่ในสภาวะเดดแอร์อีกครั้ง

   ผมกับไอ้เติร์ดมองหน้าสลับกันไปมา สุดท้ายก็ไม่มีใครพูดอะไรจนผมต้องทำใจกล้าเป็นฝ่ายเริ่มต้น

   “เห็นในเฟซบุ๊กละครเวทีเมื่อวันก่อน ตลกเนาะ”

   “...” มันเงยหน้าขึ้นมามอง

   “รูปที่ถ่ายมึงนั่งกินไง” ความจริงผมบอกแอดมินให้ใช้แคปชั่นนั้น แถมเหมือนจะได้ผลเพราะคนไลค์เป็นพัน จะมีก็แต่มันเนี่ยแหละที่ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ

   “ก็ไม่ตลกหนิ ว่าแต่...แพรวอ่ะ ทำงานร่วมกันได้เหรอ” บทสนทนาถูกเปลี่ยนอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ผมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่พลางคิดหาข้อแก้ตัวในหัว

   “ได้ดิวะ ก็ไม่ได้คบกันแล้ว”

   “อ่อ”

   “ทำไม มึงห่วงกูเหรอวะ”

   “ก็ห่วงตามประสาเพื่อน” คำว่า ‘เพื่อน’ มันเสียดแทงใจจนรู้สึกเจ็บ เหมือนมีดที่มองไม่เห็นพุ่งมาแทงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความรู้สึกนี้สินะที่กูเอาแต่ย้ำเตือนมึงตลอดเวลาที่ผ่านมา

   เรานั่งทำงานกันต่ออย่างเงียบๆ กำแพงไอ้เติร์ดสูงขึ้นมาก จะคุยอะไรทีผมก็ต้องคิดแล้วคิดอีกว่าจะพูดออกไปดีมั้ย แต่พอกรองผ่านสมองได้ผมก็รู้ว่าไม่ควรพูดออกไป เลยทำได้แค่ผินหน้าเข้ากำแพง และตั้งหน้าตั้งตาทำงานเช่นกัน

   เวลาสองทุ่มเลื่อนผ่านเป็นสามทุ่ม ไอ้เควี่ยสองตัวยังไม่กลับมา ไม่รู้ว่าหนีไปติดนมหญิงที่ไหน ด้วยความเป็นห่วงผมจึงหันไปถามใครอีกคนว่าหิวหรือเปล่า

   “เติร์ดถ้า...” พูดไม่จบประโยคดี คนที่เป็นห่วงมาตลอดก็ฟุบหลับไปกับเตียงแล้วเรียบร้อย

   ผมผละออกจากโต๊ะทำงาน เดินอย่างเหม่อๆ ไปหาคนขี้เซา ผมไม่กล้าเสียงดัง ไม่กล้าทำกระโตกกระตากจนรบกวนการนอน ที่ทำได้เลยเป็นการก้มหน้าจ้องมองอีกฝ่ายอย่างเงียบๆ เท่านั้น

   “เวลามองอย่างนี้มึงก็น่ารักดีนี่หว่า” ผมพึมพำเบาๆ เลื่อนสายตามองไปยังริมฝีปากสีสดที่เม้มเข้าหากันและคลายออกเป็นบางครั้ง มันทำให้ผมนึกถึงจูบของเราเมื่อไม่นานมานี้

   ดวงตาที่เศร้าหมองของมันปิดลง ขนตาสีดำงอนยาวจนผมประหลาดใจ ทั้งคิ้ว ทั้งจมูก ผมไม่เคยสังเกตเลยสักครั้ง หรือเพราะเคยชินเลยไม่เคยมองลึกถึงรายละเอียด

   เออน่ารักว่ะ!

   มีเพื่อนน่ารักอยู่กับตัวเสือกไม่รู้ มองหาแต่คนไกลให้เหนื่อยทำไมตั้งนาน ยิ่งคิดใจมันก็อดเลื่อนหน้าเข้าไปมองมันใกล้ๆ ไม่ได้ เราใกล้กันจนรับรู้ได้ถึงจังหวะการหายใจที่สม่ำเสมอ อยาก...

   จู่ๆ ความรู้สึกเหี้ยๆ ก็ผุดขึ้นมาในสมอง มึ๊งงงงงงงงง ไอ้อาการขี้เอานี่มันรักษายังไงวะ แค่มองหน้าน้องชายกูก็แข็งโด่ขึ้นมาละ นี่อยู่กับไอ้เติร์ดมานานไม่เคยเป็น พอวันหนึ่งคิดไม่ซื้อขึ้นมาเสือกมาถี่เชียว

   แล้วตอนนี้เล่นใส่แค่บ็อกเซอร์ด้วย นี่ตุงจนกางเกงปริ ทำได้แค่เอามือกุมไว้และตั้งท่าจะขยับออกมา แต่คนจะซวยช่วยไม่ได้เมื่อคนที่หลับไม่รู้เรื่องก่อนหน้าลืมตาขึ้นมาซะก่อน

   “ไอ้ค่าย...”

   “ฮะ! อะไรนะ กูออกกำลังกาย” เสี้ยววินาทีผมใช้จังหวะนั้นกระเด้งตัวออกมาจากเตียงด้วยความเร็วเหนือแสง ก่อนจะคว่ำหน้าลงแล้ววิดพื้นไปมาเพื่อให้หายจากอาการฟุ้งซ่าน

   แป๊บๆ นอนเด้าพื้นแม่งเลย

   “เป็นส้นตีนอะไรเนี่ย มาออกกำลังกายอะไรตอนนี้” คนที่ค่อยๆ พยุงตัวเองลุกขึ้นนั่งถามอย่างงัวเงีย ไอ้เหี้ยนี่มันกวนตีนครับ มองกูอยู่นั่นแหละ เดี๋ยวก็ได้เห็นหรรมขยายขนาดของกูหรอก

   “กูฟิตไง สร้างกล้ามเนื้อ”

   “ฟิตเนสคอนโดมึงก็มี”

   “แบบนี้คือประหยัดเวลาไง เดี๋ยวกูมานะ” พูดเท่านั้นก็รีบลุกขึ้นสาวเท้าเข้าส้วมทันที การจะปลดปล่อยโลกสวยด้วยมือเรานั้นเหมือนจะเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด แต่อย่าลืมนะครับว่าไอ้เติร์ดอยู่ในห้องนอนผม ที่สำคัญคือถ้าเล่นแผลงๆ จนส่งเสียงดังออกไปไก่ตื่นแน่นอน

   สิ่งที่ทำได้คืออะไรเอ่ย?

   ผมหันไปมองตรงเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า เห็นกระปุกครีม ขวดโรลออนและน้ำหอมมากมายเรียงรายอยู่ การจะทำให้อารมณ์อยากลดลงนั้นบางทีอาจเป็นการเพ่งสมาธิไปที่สิ่งได้สิ่งหนึ่ง และเลิกคิดถึงเรื่องทางเพศซะ

   ชิ้นแรกที่หยิบขึ้นมาเลยคือน้ำหอม ผมหมุนดูโลโก้อย่างละเอียดก่อนจะวางลงตรงจุดเดิม ใช่! ที่วิธีทำให้ตัวเองหายจากอาการหื่นคือกูต้องนั่งเรียงขวดเครื่องสำอางให้โลโก้หมุนมาอยู่ตรงกลางทีละขวดอย่างใจเย็น ไอ้สัด! เหงื่อนี่ซึมอย่างกับก๊อก

   เวลาผ่านไปแล้วผ่านไปเล่าก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ผมเลยเดินไปที่ฝักบัว เปิดน้ำจนสุดให้เสียงดังๆ แล้วบริกรรมคาถาต่อด้วยห้านิ้วของตัวเอง สัด! สุดท้ายทำเหี้ยอะไรก็ไม่ได้ผลแถมตัวเปียกอีกต่างหาก

   ผมเดินออกมาจากส้วมพร้อมผ้าเช็ดตัว ทำทีว่าไปอาบน้ำ เห็นไอ้โบนกับไอ้ทูกลับเข้ามาแล้วเลยชวนมันคุยแก้เซ็ง จะมีก็แต่ไอ้เติร์ดเนี่ยดิที่กุลีกุจอลุกจากเตียงตรงดิ่งเข้าห้องน้ำเฉย

   ไม่ถึงนาทีมาแล้วครับเสียงของคนที่อยู่ด้านใน เจ้าตัวเดินออกมายืนหน้าถมึงทึงอยู่ตรงประตู เล่นเอาผมและไอ้โหดทั้งสองมองหน้ากันอย่างงุนงง

   “ไอ้ค่าย”

   “มีอะไร” มั่นใจว่าไม่ทิ้งหลักฐานไว้แน่ๆ ผมเลยไม่กังวลเรื่องนี้ 

   “ขนหรรมมึงกระจายเต็มพื้นเลยเนี่ย ไปเคลียร์ด้วย”

   ฟ้าคคคคคคคคคคคค!!

   “มึงไปทำอะไรในส้วมวะไอ้ค่าย” ไอ้โบนถามต่ออย่างรู้ทัน

   “มึงไม่ต้องเสือก พอดีช่วงนี้ฤดูใบไม้ร่วงมันเลยร่วงเยอะไปหน่อย”

   “ไม่ใช่มึงสีมันเยอะเหรอ”

   “นี่พวกมึงจะลามกกันอีกนานมั้ย รีบไปเคลียร์เลยกูเยี่ยวไม่ลง” เสียงของไอ้เติร์ดยุติความหื่นกามที่มีทั้งหมดลง ก่อนผมจะตั้งท่าเดินเข้าส้วมไปอย่างรีบเร่ง

   ปกติระหว่างผมกับไอ้เติร์ดเราค่อนข้างเปิดเผยกับเรื่องนี้นะครับ แต่ไม่รู้ทำไมเดี๋ยวนี้กูถึงกลายเป็นสาวน้อยวัยขบเผาะ รู้สึกอายทุกครั้งเวลาที่มันล่วงรู้ความจริงของการช่วยตัวเอง

   “ไอ้ค่าย” ผมหยุดอยู่ตรงหน้าคนตัวขาว

   “มีอะไร”

   “ต่อไปเวลาช่วยตัวเองเบาเสียงหน่อยนะ ไม่มีสมาธิทำงานเลยว่ะ”

   “ค...ครับ”

   ฟ้าคคคคคคคค ฟ้าคคคคคคคคค ไอ้เหี้ยฆ่ากูเหอะสัด ฆ่ากู!!!

   
อ่านต่อด้านล่างค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ทฤษฎีจีบเธอ ∞ ตอนที่ 7 [22/06/60] *หน้า19
« ตอบ #559 เมื่อ: 22-06-2017 17:07:43 »





ออฟไลน์ Jittirain12

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 353
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1238/-18

   ภาพลักษณ์ที่ปรับโฉมใหม่พังทลายไม่เป็นท่าหลังจากกูบ้าช่วยตัวเองในส้วม วันนี้เลยเอาใหม่ แต่งตัวอย่างดีด้วยการผูกไทด์ใส่ชุดนิสิตเต็มยศ เผื่อไอ้เติร์ดมันจะมองเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้บ้าง

   เรานัดเจอกันที่ได้ถุนตึกตามปกติ แต่วันนี้ผมจะเริ่มเปลี่ยนตัวเองด้วยการขับรถให้ช้าลง และเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น ไอ้เติร์ดมันเคยบ่นผมบ่อยๆ ว่าชอบขับรถเร็ว ซึ่งตอนนี้กูเริ่มทำได้แล้วนะ

   พอไปถึงคณะไอ้เพื่อนรักสามตัวก็นั่งทำหน้ายักษ์ใส่ทันที

   “มึงขับไปเขาใหญ่มาเหรอ พวกกูรอนานแล้วเนี่ย” เมื่อไอ้ทูเห็นผมเดินเข้ามา มันก็จัดการใส่ยับทันที

   “หรือว่าเพิ่งตื่น” ไอ้โบนจี้อีก

   “ก็ออกมาตามปกตินั่นแหละ แต่เดี๋ยวนี้ขับชาวีช้าลง กลัวอันตราย” ผมตอบกลับอย่างใจเย็น สองตาก็มองไปยังคนตัวขาวที่นั่งอยู่กับไอ้หมาสองตัวนี่ด้วย

   “มึงขับเท่าไหร่ครับเพื่อน นี่เลทมาชั่วโมงนึงเลยนะ”

   “สี่สิบ”

   “บิ๊กไบค์พ่องขับสี่สิบ ไอ้ควาย มึงคิดว่ามึงนั่งสล็อตเคลื่อนที่อยู่เหรอ” โอ้โหด่าซะกูเสียหมาเลย นี่ถ้าไม่ติดที่พวกมันรับปากจะช่วยผมจีบไอ้เติร์ดนะ กูเดินไปตบกะโหลกปลิวไปนานแล้ว

   “เอาเถอะ ไหนๆ ไอ้ค่ายมันก็มาแล้วเรารีบขึ้นห้องเหอะว่ะ” ยังดีที่ไอ้เติร์ดช่วยเปลี่ยนประเด็นทัน ผมเลยไม่โดนยำหนักอย่างที่คิด   

   วันนี้เราเรียนห้องสโลป แถวหลังสุดแก๊งโหดมักจองเพราะไม่ชอบอยู่หน้า แม้อาจารย์จะมองเห็นได้ชัดที่สุดก็ตาม ผมเดินนำไปก่อน ทิ้งตัวลงนั่งตรงโต๊ะเลกเชอร์ตัวหนึ่ง พอเห็นว่าร่างโปร่งของไอ้เติร์ดเดินตามมาก็เบาใจ ยังไงเราก็คงนั่งติดกันเหมือนเดิม แต่เปล่าเลย…

   แม่งเสือกเดินตัวปลิวไปนั่งโต๊ะถัดไปถึงสองตัวโน่น!

   ไอ้โบนกับไอ้ทูเห็นเลยไอ้แต่ส่งยิ้มแหยมาให้ผม ก่อนทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ โดยไม่พูดอะไร เราเรียนไปกันเรื่อยๆ แทนที่จิตใจของผมจะอยู่ตรงจอโปรเจ็กเตอร์ ตอนนี้มันกลับลอยไปอยู่ที่ใครบางคนซะมากกว่า

   “ไอ้ทู ขอยืมลิควิดหน่อย” สิ้นเสียงไอ้เติร์ดผมรีบเปิดกระเป๋าดินสอ แล้วหยิบลิควิดส่งไปให้เจ้าตัวทันที

   “นี่ๆ กูมี”

   “เออ ขอบใจ”

   ห้านาทีต่อมา...

   “ไอ้ทู สไลด์ก่อนหน้าอาจารย์บอกอะไรวะ ตรงบรรทัดที่สองอ่ะ”

   “กูจด เอาของกูไปดู” ผมไม่รอช้าโยนชีทให้อีกฝ่ายทันที มันก็มองหน้ากูเหมือนสงสัยเต็มแก่แต่ก็ไม่พูดอะไร รอกระทั่งอาจารย์เลิกคลาสไอ้โบนที่นั่งเงียบดูสถานการณ์อยู่นานเลยถามผมขึ้น

   “ไอ้ค่าย พรุ่งนี้มีเติร์สเดย์เทียร์เตอร์ไปดูกันมั้ย”

   “ไม่ไปอ่ะ เบื่อ” Thursday Theater เป็นกิจกรรมที่เด็กฟิล์มจัดขึ้นทุกวันพฤหัสฯ เพื่อให้นิสิตทุกคณะในมหา’ลัยมาดูและวิจารณ์หนังกันตามสไตล์เด็กฟิล์ม ซึ่งผมก็ดูจนตาแฉะไปหมดละ

   เมื่อเห็นว่าผมปฏิเสธมันก็หันไปถามคนที่นั่งถัดไปอย่างไอ้ทูทันที

   “มึง พรุ่งนี้ไปดูวิจารณ์หนังกัน”

   “อืม...ไปดิ ได้ข่าวว่าเขาจะเปิดประมูลแผ่นหนังด้วยหนิ หาเงินเข้าคณะไว้ทำละครเวที”

   “แล้วมึงอ่ะเติร์ด ไปมั้ย” จากที่กำลังเก็บกระเป๋าอยู่ ผมรีบหันขวับจนคอแทบเคล็ด

   “เรื่องอะไรวะ”

   “Lost in translation”

   “ไปๆ”

   “เฮ้ยกูไปด้วย อะไรวะไม่ชวนกันเลยพวกมึงเนี่ย!” ผมโพล่งขึ้นทันควันหลังจากได้ยินว่าไอ้เติร์ดจะไป กูเกลียดตัวเองฉิบหายที่ย้อนแย้งได้ขนาดนี้ เพื่อนมันก็ส่ายหน้าเอือมระอาใส่นะครับ แต่กูไม่แคร์หรอก ผมยอมเปลี่ยนทุกอย่างเพื่อไอ้เติร์ด และผมก็จะทำทุกทางเพื่อให้ได้มันคืนมา

   ดังนั้นตอนเย็นผมเลยให้ไอ้โบนไปขนหนังเก่าๆ ที่อยู่ในกล่องออกมาร่วมกิจกรรมประมูล วันพฤหัสฯ ช่วงบ่ายสองเป็นเวลาว่างของเด็กฟิล์มปีสาม หลังเรียนเสร็จผมมองหาไอ้เติร์ดหน้าห้องฉายหนังอยู่นานเพราะมันปลีกตัวออกไปหลังเลิกคลาส แต่เจ้าตัวก็ยังไม่โผล่มาซะที

   “เชี่ยค่าย เข้ามารอข้างในก็ได้” ไอ้ทูสะกิดไหล่ผมยิกๆ

   “มันไปไหนวะ”

   “หาพี่เชนทร์ คุยเรื่องละคร”

   “ทำไมมันบอกมึงแต่ไม่บอกกู”

   “ทำอะไรกับมันไว้บ้างล่ะ มันคงอยากอยู่ใกล้กับมึงหรอก”

   “ก็พยายามแก้ไขอยู่นี่ไง”

   “ทำให้ได้ตลอดรอดฝั่งนะมึง นั่นไง มันมาละ” เพื่อนรักบุ้ยปากไปยังร่างโปร่งที่กำลังเดินมาเงียบๆ ผมโบกมือไปมาเป็นการเรียก สักพักไอ้เติร์ดก็เดินมาถึง

   “ไม่เข้าไปดูก่อนวะ”

   “รอมึงอ่ะ นี่กูซื้อขนมมาให้มึงด้วย เผื่อดูแล้วหิว” ผมยื่นถุงพลาสติกให้กับคนตรงหน้า ซึ่งมันก็รับมาอย่างงงๆ ก่อนเดินนำเข้าไป

   ทันทีที่ไอ้เติร์ดทิ้งตัวลงนั่งตรงเก้าอี้ ผมก็รีบเดินตามไปนั่งข้างๆ อย่างไม่รอช้า แต่ไม่ถึงนาทีต่อจากนั้นคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ขยับตัวนั่งห่างออกไปอีกสองตำแหน่ง เล่นเอากูงงแตกไปเลยครับ

   “แอร์ตก มึงนั่งตรงนั้นแหละ”

   โอ้โห! เหมือนโดนเบรกอย่างแรงจนหน้าแทบคะมำ สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้ครับนอกจากนั่งมองเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่ออย่างเงียบๆ เท่านั้น

   ไอ้เติร์ดเป็นคนที่เวลาดูหนังจะตั้งใจมาก มันไม่แตะต้องขนมและน้ำที่ผมซื้อให้เลยแม้แต่น้อย ไม่นานคนมาใหม่ก็ทยอยเดินเข้าห้องระหว่างฉายหนังมากขึ้นเรื่อยๆ และก็โชคร้ายอีกที่เด็กใหม่เสือกมานั่งคั่นกลางระหว่างผมกับไอ้เติร์ดเข้า

   “เฮ้ยพี่เติร์ด วันนี้มาดูหนังด้วยเหรอวะ” ไอ้ทอยปีสอง ร่าเริงไปทั่วอ่ะไอ้เหี้ยนี่

   “เห็นเขาบอกมีประมูลแผ่นหนังด้วย เลยอยากช่วยหาเงินเข้าคณะ”

   “ดีว่ะ นี่ผมก็เอามาเหมือนกัน เชี่ยยยยย เอาขนมมากินด้วยเหรอ”

   “อืม”

   “ขอกินหน่อยดิ”

   ไอ้ทอย ไอ้หน้าด้านนนนนน เติร์ดนั่นขนมกูครับ อย่ายกให้ใคร! ผมได้แต่บิดเร่าๆ มองดูทั้งคู่อย่างไม่สบอารมณ์ ในใจก็ได้แต่ภาวนาว่ามันจะไม่ทำแบบนั้น

   “อือ เอาไปดิวะ” เหยดแหม่!

   ต่อยกับกูเหอะว่ะเพื่อนรัก นี่อย่างเดียวไม่พอมันเล่นยกให้ทั้งถุง

   ผมเลยได้แต่เก็บความอัดอั้นตันใจไว้คนเดียวจนกระทั่งหนังจบ รุ่นพี่ปีสี่ที่ทำหน้าที่เป็นพิธีกรของงานเดินขึ้นมาบนเวทีก่อนจะดำเนินกิจกรรมต่อไป

   “เอาล่ะครับนิสิตทุกท่าน อย่างที่ทราบกันดีว่าวันนี้จะมีการประมูลแผ่นหนังกันขึ้นเพื่อหาเงินสมทบให้กับทางละครเวทีนิเทศศาสตร์ประจำปี และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เริ่มที่แผ่นแรกกันเลยครับ”

   ภาพถูกฉายขึ้นบนจอ เป็นแผ่นหนังเก่าๆ ที่ถูกหยิบมาวางโชว์ไว้บนเครื่องฉาย

   “Happy together ของน้องบูปีหนึ่งคณะสังคมครับ ราคาเริ่มที่สิบบาท เริ่มประมูลได้” การประมูลดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งแผ่นหนังเรื่องหนึ่งถูกฉายบนจอจนเกิดเสียงฮือฮาคับคั่ง

   “อันนี้เป็นของไอ้คุณค่ายปีสาม เด็กฟิล์มของเรานั่นเอง”

   “...”

   “เป็นแผ่นหนัง AV ของแท้จากญี่ปุ่น SuperXX104 หน้าปกเป็นรูปน้องยูอิใส่เสื้อในที่ไม่ใช่เสื้อในด้วย ใครเป็นแฟนคลับน้องยูอิต้องจัดนะครับ ราคาเริ่มต้นที่ 0.99 บาท เริ่มประมูลได้”

   โหยยยยยยไอ้เหี้ย!

   ผมนี่รีบถลาเข้าไปตั๊นท้ายทอยของไอ้โบนทันที พ่องมึงตาย ใครสั่งใครสอนให้คุ้ยหนังโป๊กูมาประมูลวะ ผมไม่น่าไว้ใจให้มันเลือกเลยจริงๆ

   “มึงจะตีกูไม่ได้นะไอ้ค่าย ก็มึงเป็นคนบอกเองว่าให้กูจัดการแผ่นหนังเก่าๆ”

   “กูหมายถึงหนังทั่วไป ไม่ใช่ลับสิบแปดบวก ไอ้สัด”

   “เอาน่า นี่กูช่วยมึงนะเนี่ย ไหนๆ มึงจะเลิกเจ้าชู้แล้วก็ช่วยเลิกเสพอะไรแบบนี้ด้วยก็ดี”

   “มึงไม่ต้องมาพูดดี” เพราะตอนนี้ไอ้เติร์ดหน้าเปลี่ยนสีเรียบร้อยแล้ว

   สายตาที่มันมองผมเปลี่ยนไป หลงเหลือแต่ความสมเพชเวทนา โอ๊ยยยยยย กูจะบ้าตาย พออ้าปากจะแก้ตัวมันก็รีบผินหน้าหนีกลับไปมองเวทีซะอย่างนั้น

   “269”

   “โอ้โห ตอนนี้อยู่ที่ 269 แล้วครับใครให้อีก”

   “300”

   “300 แล้วครับ”

   โหลดดูอยู่บ้านดีกว่ามั้ยราคานี้ นี่ได้มาจากเว็บเถื่อน 18+ เว็บหนึ่ง ซื้อเหมาสิบแผ่นราคาแค่ 199 บาทเอง นี่ยอดขึ้นพรึบพรับ ไม่รู้ว่าอยากช่วยคณะหรือเห็นนมน้องเขาใหญ่ดีกันแน่

   “แล้วก็เสร็จสิ้นไป แผ่นของน้องยูอิขายได้ในราคา 300 บาทกับอีก 25 สตางค์ครับ เดี๋ยวติดต่อรับแผ่นได้ข้างเวทีเลยนะ ส่วนอันนี้เป็นบ็อกเซตหนัง AV สิบแผ่นจากไอ้น้องค่ายเจ้าเก่าคร้าบ คอลเล็กชั่นนี้รวมดาวสุดสวยทั้งนั้น ดูทีมีเสียวทั้งคืน ราคาเริ่มต้นที่ 19 บาทครับ ใครสนใจยกเลย” ไอ้เหี้ยยยยยยยยยย

   ฟังแล้วล่ะเหี่ยใจ ไม่รู้จะมุดหน้าไปไว้ตรงซอกขาหนีบไหน นี่มึงขนมาทั้งกรุกูเลยถูกมั้ยไอ้โบน แล้วดูเด็กคณะอื่นครับ มองหาแต่กูกันเลิกลัก มึงจะมองหาความหล่อกูเหรอสาดดดดดดด ไอ้แต่นั่งไปด่าเพื่อนเลวๆ ไปจนกระทั่งบ็อกเซตนั้นถูกขาย

   “และนี่คือแผ่นสุดท้ายของน้องค่ายครับ มึงเอามาเยอะจังเลยนะ หนังเรื่องนี้ชื่อว่า Circle of friends ราคาเริ่มต้นที่ห้าบาทครับ เริ่มประมูลได้”

   หน้าของผมชาไปทั้งซีก หลังจากเห็นแผ่นหนังเรื่องหนึ่งปรากฏสู่สายตา ถึงแม้พยายามกะพริบตาอยู่หลายครั้งผมก็ยังพบเหมือนเดิม

   นี่เป็นของขวัญวันเกิดที่ไอ้เติร์ดซื้อให้ผมตอนปีหนึ่ง และผมเก็บไว้ตลอดจนมาวันนี้ มันถูกนำขึ้นประมูลโดยที่ผมไม่เคยรู้เลย และมีไอ้โบนที่ไม่รู้เหี้ยอะไรเหมือนกันนำพาความหายนะมาให้

   “ไอ้เติร์ด กูไม่ได้จะขายนะ” ผมรีบบอกกับคนที่นั่งข้างๆ มันมีสีหน้าเจื่อนลงแต่ก็ยังตอบด้วยรอยยิ้ม

   “ไม่เป็นไร มันนานแล้ว ขายเถอะ”

   “ไม่ใช่อย่างนั้นเว้ย คือไอ้โบน...”

   “299 บาทครั้งที่สอง” เสียงของพิธีกรแทรกเข้ามาในโสตประสาท วินาทีนั้นยังไม่พร้อมแก้ต่างอะไรนอกจากยกมือขึ้นและโพล่งเสียงดังกลับไป

   “500 ครับ”

   “น้องค่ายซื้อหนังตัวเองนะครับ มีใครให้อีกมั้ย”

   “599 บาท” แล้วใครคนหนึ่งก็แทรกขึ้นอีก กูไม่ยอมหรอก แผ่นหนังเรื่องนี้ต้องกลับมาที่ผมให้ได้

   “599.89 เดี๋ยวโอนเข้าธนาคารให้เลย!”

   “มีใครให้มากกว่านี้มั้ยครับ งั้น 599.89 ครั้งที่หนึ่ง 599.89 ครั้งที่สอง และ 599.89 ครั้งที่สาม ปิดประมูล ไอ้น้องค่ายเอาแผ่นมึงกลับไป”

   ผมรีบวิ่งไปกระหืดกระหอบไปยังหน้าเวทีเพื่อรับแผ่นหนังเรื่องนั้นคืน ฮือ น้ำตากูจะไหล แพงกว่าซื้อมือหนึ่งอีกสัด แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ มันสำคัญที่ว่าคนให้กำลังรู้สึกอะไรอยู่กันแน่

   ไอ้เติร์ดยังคงนั่งหน้านิ่งไม่หือไม่อือ ผมเองก็ว้าวุ้นใจแต่พูดแก้ต่างออกไปไม่ได้ ทำได้เพียงนั่งลงเงียบๆ รอดูแผ่นหนังเรื่องต่อไปปรากฎบนหน้าจอ

   “เรื่องต่อไป Flipped ของน้องเติร์ดเด็กฟิล์มปีสาม ราคาเริ่มต้นที่สิบบาท เริ่มประมูลได้เลยครับ”

   “ไอ้เติร์ด...” นับเป็นประโยคที่พูดขึ้นหลังจากเห็นแผ่นหนังที่ตัวเองซื้อให้มันเมื่อปีก่อนกำลังถูกประมูล ใจคนดูกำลังพังไม่เป็นท่า มันบอกว่ารักหนังเรื่องนี้มาก ขณะเดียวกันมันก็สัญญากับผมไว้เป็นอย่างดีว่าจะเก็บเอาไว้อย่างดีที่สุด

   “กูเห็นว่ามันเก่าแล้ว เลยอยากเอามาประมูล”

   “แต่มึงจำไม่ได้เหรอว่ากูซื้อให้”

   “มึงไม่ใส่ใจอยู่แล้วหนิ อีกอย่างมึงก็ไม่ได้ชอบดูหนังเรื่องนี้ด้วย เอาเถอะ ช่วยคณะ” แต่มึงไม่ได้ช่วยกูเลย...

   ไอ้เติร์ดแม่งทำร้ายผมอย่างเจ็บแสบ แต่แค่นี้ก็คงไม่ได้ครึ่งกับสิ่งที่มันเจอมาตลอดสองปี ผมยินดีชดใช้ให้ทุกอย่าง อีกทางหนึ่งผมก็ไม่ยอมปล่อยมันไปเช่นกัน

   วันนี้มันกำลังตัดผมออกจากชีวิต ตรงข้ามกับผมที่กำลังดึงมันกลับเข้ามาในชีวิตเรื่อยๆ กรรมตามสนองมันเป็นอย่างนี้นี่เอง

   “ตอนนี้ 200 ครับมีใครให้อีก”

   “พันนึง!!” ผมตะโกนเสียงดังจนคนด้านหน้าหันมามองเป็นตาเดียว

   “ไอ้น้องค่าย มึงรวยจากการขายหนังโป๊ใช่มั้ย เอาเถอะมีใครให้เยอะกว่านี้อีกมั้ยครับ” รุ่นพี่แม่งเงียบไปอึดใจหนึ่ง ผมเคาะโต๊ะไปมาด้วยความตื่นเต้น “หนึ่งพันบาทครั้งที่หนึ่ง หนึ่งพันบาทครั้งที่สอง...”

   “พันห้าครับ”

   ไอ้เชี่ยทู ไอ้เลววววววววววววววว

   ทันทีที่เพื่อนรักหักกระดูกอย่างไอ้ทูยกมือขึ้น เลือดของผมก็ขึ้นหน้าทันที ไอ้ควายนี่ส่งยิ้มมาให้เหมือนไม่ได้ตั้งใจ แต่ผมรู้ครับว่ามันตั้งใจแกล้งผม

   “มีใครให้มากกว่านี้อีกครับ”

   “สองพัน!” หมดตัวละแสรด เดือนนี้กูต้องแดกมาม่า ขออย่ายกมือแกล้งกูอีกเลย เพราะยังไงผมก็ต้องซื้อแผ่นหนังเรื่องนี้กลับมาให้ได้อยู่ดี

   และถือเป็นโชคดีของผมที่เพื่อนเห็นใจไม่ยกมือเพิ่ม ราคาปิดประมูลแผ่นหนัง 499 บาทในวันวานเลยพุ่งทะยานสู่สองพันบาทในวันนี้ ชีวิตกู...ร่อแร่สิ้นดี

   หลังจากได้แผ่นหนังมาครอบครอง กิจกรรมการประมูลก็เริ่มต่อจนจบ ไอ้โบนกับไอ้ทูขอตัวออกไปก่อน ผมเลยมีโอกาสได้อยู่ตามลำพังกับไอ้เติร์ดบ้าง

   “ได้แผ่นหนังมาแล้ว”

   “อืม”

   “ตอนนี้ไม่มีเงินเลยเนี่ย วันนี้ขอไปกินข้าวเย็นกับมึงนะ”

   “กูจะออกไปคุยงานกับพี่ย้งยี้ต่อ”

   “เหรอ งั้นพรุ่งนี้ว่างมั้ย”

   “ไม่ว่างว่ะ นัดกับพี่เชนทร์” ผมทำหน้าละห้อยใส่ หากแต่มือข้างหนึ่งล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกง หยิบมือถือขึ้นมากดเบอร์ไปยังบุคคลที่เพิ่งถูกพาดพิงถึง รอไม่นานเจ้าตัวก็ตอบรับ

   “พี่เชนทร์เหรอ พรุ่งนี้มีนัดอะไรกับไอ้เติร์ดอ่ะ เหรอ อ๋อ...เข้าใจ โอเคครับ...ครับ” พูดเสร็จก็วางสายทันที คนข้างๆ เลยชะงักเท้ามองหน้าผมนิ่ง

   “โทรหาพี่เชนทร์ทำไม”

   “ก็เห็นมึงบอกมีนัด พี่มันบอกแล้วว่าไม่มี”

   “...”

   “เอ้า ว่างเฉย!”

   “สัด”

   “งั้นพรุ่งนี้ไปกินข้าวที่คอนโดมึงนะ ส่วนแผ่นหนังนี่ก็เก็บไว้ซะ” ผมยัดซีดีเรื่อง Flipped เข้าใส่มือของคนตัวขาว ก่อนจะพูดกรอกหูอีกครั้ง “เอาไว้แลกของขวัญปีใหม่กับกูก็ได้ แต่อย่าทิ้งเลย”

   “ไม่ได้จะทิ้ง แค่อยากให้คนอื่นได้ดูเหมือนกัน”

   “ก็ปล่อยพวกมันไปหาเองดิ”

   “รำคาญมึงว่ะ จะไปไหนก็ไป กูจะกลับ”

   “ไหนบอกไปคุยกับพี่ย้งยี้ โกหกกูเหรอ”

   “โอ๊ยยยยยยยย รำคาญไอ้สัด กูจะไม่คุยกับมึงแล้ว!”

   “เกรี้ยวกราดทำไมน่ารัก”

   “ไอ้สัด”

   “เกรี้ยวกราด เกรี้ยวกราด เกรี้ยวกราด”

   ตั้งแต่เรียนรู้ที่จะยอมรับความรู้สึกเบื้องลึกของตัวเอง ไอ้เติร์ดก็กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าแกล้งในสายตาของผมไปเลย











   ผมกลับมาที่ห้อง อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็กระโดดขึ้นเตียงเล่นมือถือ ปกติมักพาสาวออกไปตีขลุมกันข้างนอก เดี๋ยวนี้ชีวิตเลิกยุ่งเลยมีเวลาว่างเย้อออออ

   ซึ่งบอกเลยว่าแฮปปี้ดี๊ด๊ามาก เพราะมันทำให้ผมได้มีเวลาคุยกับใครอีกคน

   นานเท่าไหร่แล้วที่เราไม่ได้ไลน์คุยกัน...


K.Khunpol
เติร์ด


ผ่านไปห้านาที ขึ้น Read แต่ไม่มีการตอบกลับ


K.Khunpol
มึงทำไรอยู่
ไอ้เติร์ด



สเต็ปเดิมครับ อ่านแต่ไม่ยอมตอบ เหนื่อยใจจนอยากซุกหน้าร้องไห้ เกิดมาผมไม่เคยตามจีบใครขนาดนี้มาก่อนเลยนะ ส่วนใหญ่ทักไปเขาก็อ่อยกลับ ส่งรูปนมมาสู้ยังไงก็มี แต่นี่...

ไม่มีสัญญาณตอบรับจากความรักที่ท่านเรียก


K.Khunpol
มึงโกรธอะไรกูเหรอ
ขอโทษนะ



อ่านแล้วคราวนี้ก็ยังไม่ยอมตอบอีก หมดกำลังใจ ต๊อแต๊และสิ้นหวัง นี่ถอดเขี้ยวถอดเล็บหมดแล้วผมมันก็แค่ผู้ชายกากๆ คนหนึ่ง แต่กูไม่ยอมแพ้หรอกนะ คราวนี้ต้องเรียกร้องความสนใจมากกว่าเดิม


K.Khunpol
ทำ
ไม
ถึง
ไม่
ยอม
ตอบ
กู
ครับ
ที่
รัก

เติร์ดที่แปลว่าสาม
แชทมาทำเหี้ยไรนักหนา
คนจะนอน
K.Khunpol
เอ้าเหรอ งั้น...
ฝันถึงกูด้วยนะ



ชีวิต...รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสาวน้อยวัยขบเผาะ แค่พิมพ์คำว่าฝันถึงกูส่งกลับไป ผมก็รู้สึกได้ว่าตัวเองเขินจนตัวบิดแค่ไหน สัด! นี่เหมือนรักครั้งแรกของเด็กชายขุนพลเลย ผมเห็นข้อความ Read ปรากฏอยู่ตรงหน้า ได้แต่ลุ้นว่าอีกฝ่ายจะตอบอะไร

และในวินาทีนั้น...


เติร์ดที่แปลว่าสาม
olo
   

   โอ๊ยยยยยยยยยย ดีใจเอ๊าะ ไม่รู้ทำไม แค่ไอ้เติร์ดส่งโคยให้จิตใจคนที่เฝ้ารอก็เต็มตื้อขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ เลยรีบส่งสติ๊กเกอร์กลับไปอย่างไวว่อง


K.Khunpol
(≧0≦)


ความรัก...ไม่เคยรู้สึกกับใครเท่านี้มาก่อนเลย มีความสุขเฟร่อ โอ้โห นอนเด้าหมอนข้างกันไป

ฝันเห็นกู ฝันเห็นฆวย

เลสโกจย้าที่รัก!






เมื่อวานวันเกิด บ.ก.มุก แล้วมุกก็อยากอ่านค่าย ลงให้แล้วน้า (Happy Birthday ค่า)
และก็ลงให้คนอ่านที่คิดถึงไอ้ค่ายกับนุ้งเติร์ดด้วยค่ะ
ตอนนี้ใครโง่ใครฉลาดไม่รู้แหละ รู้แต่ว่าเติร์ดไม่ง่ายแล้วนะคะ เชร้ดดดด
#ทฤษฎีจีบเธอ เจอกันตอนหน้านะคะ จุ๊บ

ออฟไลน์ wikawee

  • มีชีวิตอยู่เพื่อทำฝันให้เป็นจริง
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-7
หมั่นไส้อิค่าายยยย  นอนเด้าหมอนไปนะ  :mew5: :mew5: :mew5:

ออฟไลน์ papapajimin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 294
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
55555555 ค่ายยยย ทำไมเป็นคนที่ฮาแบบนี้ว้าา

ออฟไลน์ ตัวไหมอ้วนกลม

  • สาว Y ไม่ใช่โรคติดต่อ แต่เป็นแล้วรักษาไม่หายนะคะ
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 236
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-2
โอ๊ยยยยยยยยยยยอิพี่ค่าย   ท๊นทนเน๊อะ  เติร์ดอย่าใจอ่อนง่ายๆลูก  เล่นตัวไว้ๆ    :hao7: :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ MissMay

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
และแล้วก็ถึงเวลาที่ค่ายทำตัวมุ้งมิ้ง 5555555

ออฟไลน์ toomild

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
มีประมาณแสนล้านอารมณ์ตอนอ่านตอนนี้ โง้ย น้องเติร์ดคลเย็นชาของพรี่ สมหน้าพี่ค่ายมัน ว๊ายๆ ทีตอนแรกมาให้เขาตัดใจ ทีงี้แหละดันมาชอบเขาเอง สมหน้า2

ออฟไลน์ IRA

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
จริงใจกว่านี้คงไม่มี จังไรกว่านี้คงไม่เจอ ได้ใจมากจ้ะค่าย รีบๆ กู้คะแนนกลับมานะถ้าไม่อยากสนิทกับนวลนางทั้งสองข้างของตัวเอง กร๊ากกกกกกกก  :laugh: :hao6: :hao7:

ออฟไลน์ maii

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 222
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-2
มีความสมน้ำหน้ามอบให้อิพี่ค่าย :katai2-1:

ออฟไลน์ pui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-3
#ทีมเติร์ด
 :pig4:

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
โฮะๆๆๆๆๆ  :haun5: :haun5: :haun5: :haun5: ได้แต่หัวเราะด้วยความสะใจเป็นไงละอิค่ายทำเขาไว้เยอะดีนัก ถึงจะแอบเห็นใจในเรื่องความโง่ของแกนิดๆก็เถอะนะ แต่เสียใจด้วยนี่ทีมเติร์ดย่ะ สะใจมากตอนทูบอกว่าเติร์ดตัดใจแล้ว คือมุมปากยิ้มหยันเลยอะ ต่อจากนี้ก็พยายามวนไปนะ แต่คงอีกนานเพราะตอนนี้ถึงแม้จะยังมีอาการอยู่บ้างแต่ก็เหมือนๆเติร์ดเริ่มหมดใจแล้วอะ สะใจโว้ยยยยย!!!!!!

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด