ตอนที่ 9
เราเป็นเพื่อนกัน (ไม่ได้อีกแล้ว)
รุ่นพี่ปีสี่กลับไปแล้ว ผมนั่งอยู่ตรงปลายเตียงมองดูไอ้เติร์ดหยิบผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำ เราไม่ได้พูดอะไรกันเลยหลังจากพี่เชนทร์กับเพื่อนตัวเหี้ยกลับไป รู้สึกว่าตัวเองเหมือนพวกขี้แพ้เลยว่ะ เพราะเอาแต่นั่งคิดถึงประโยคขอร้องจากใครบางคนไม่หยุด
เปิดทาง? นี่คิดว่ามันตลกมากหรือไง
ผมไม่ได้ตอบตกลงคำขอนั้น เลือกที่จะเงียบและปล่อยให้อีกฝ่ายเลิกถามไปเอง หากแต่ในใจกลับเดือดปุดๆ จนเลือดพล่าน กับไอ้เติร์ดผมไม่ยอมปล่อยมันให้ใครหน้าไหนทั้งนั้น แม้จะช็อกที่ได้ยินว่าพี่อั้นชอบมันแค่ไหนก็ตาม
ขนาดผมออกตัวแล้วนะว่าชอบไอ้เติร์ด เชี่ยนี่ก็ยังเจ้ากี้เจ้าการไปขอให้เพื่อนมันช่วย เอาจริงๆ ก๊วนแก๊งปีสี่ที่ใครต่างเคารพก็มีไม่กี่คน หนึ่งในนั้นคือพี่เชนทร์ที่เวลาเอ่ยปากขอใครทุกคนก็ต้องยอมให้หมด ยกเว้นกู
ไอ้เติร์ดอาบน้ำไม่นาน สักพักก็เดินออกมาพร้อมกับเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงบอลเน่าๆ ตัวเก่า บนหัวมีผ้าขนหนูแปะอยู่เหมือนทุกครั้ง เพราะเป็นคนชอบสระผมตอนกลางคืน ผมจึงมักบ่นเรื่องนี้เป็นประจำ
“เช็ดหัวให้แห้ง”
“เดี๋ยวมันก็แห้งเองป่ะวะ” ยังจะเถียงหน้าตายอีก
“เตียงแม่งชื้น แถมหมอนมึงราแดกหมดละ”
“งั้นก็อย่านอนหมอนกูสิ”
“หวง?”
“เออ”
“หวงไม่เข้าเรื่อง” เจ้าตัวเบะปากใส่ แต่ก็ยอมทำตามคำสั่งอย่างว่าง่ายด้วยการใช้ผ้าขนหนูผืนเดิมขยี้หัวอย่างแรงจนรู้สึกเจ็บแทน ภาพเหล่านี้เหมือนกับเดจาวู ฉายขึ้นมาซ้ำๆ ตลอดสองปีกว่าๆ ที่เราเป็นเพื่อนกันมา
“ไปอาบน้ำสิ มึงอยากใส่เสื้อตัวไหนก็ไปหยิบในตู้เอา” เมื่อเห็นว่าผมนั่งจ้องการกระทำของมันอยู่นาน ไอ้เติร์ดก็ไล่ให้ไปอาบน้ำ ซึ่งผมก็ไม่ได้ปฏิเสธนอกจากลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วเดินไปหาคนตรงหน้า
“ขอผ้าเช็ดตัวหน่อย”
“ในตู้อ่ะ”
“เปล่า จะใช้บนหัวมึงเนี่ย” ไม่พูดพร่ำทำเพลง ผมรีบคว้าผ้าขนหนูสีขาวในมือของอีกฝ่ายออกไปทันที นั่นเลยทำให้ไอ้เติร์ดไม่ค่อยพอใจรีบยกมือขึ้นมาฟาดหัวผมแรงๆ จนสติแทบวูบ
“อันนี้เช็ดหัว กูไม่อนุญาตให้มึงเอาไปเช็ดหรรม” มันโวยวายเต็มที่
“เช็ดที่ไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ พูดมากน่ามคาญ”
“ผืนใหม่ก็มีในตู้ทำไมไม่รู้จักใช้วะ สันดาน”
“เป็นเมียอ่อมาสั่ง” พูดเท่านั้นแหละความเงียบมาเยือนทันที คนตรงหน้าเลือกเบี่ยงตัวออกห่าง แล้วหนีกระโดดขึ้นเตียงเหมือนเด็กๆ ส่วนผมก็ไม่ได้พูดอะไรต่อนอกจากรีบอาบน้ำแต่งตัวเพราะจะได้มีเวลาที่เหลือทำเรื่องบนเตียงกับมันต่อ
ไอ้อั้น อย่างน้อยวันนี้กูก็นำมึงไปก้าวหนึ่งแล้วล่ะ ใครจะมีบุญอย่างไอ้ค่ายกันที่ได้มีโอกาสมานอนเตียงเดียวในอารมณ์เปลี่ยวๆ กับเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อแบบนี้
กลับออกมาอีกทีผมก็เห็นร่างสูงโปร่งนอนเล่นมือถืออยู่ที่เตียง เลยรีบคลานตามขึ้นไปนอนข้างๆ ชะโงกหน้าไปดูว่าเพื่อนรักกำลังทำอะไรอยู่ และก็เห็นว่ามันกำลังไถอย่างโซเชียลสนุกสนานไม่มีอะไรจริงจังเท่าไหร่ เลยสบโอกาสหาเรื่องคุยด้วย
“นี่กูไม่ได้มานอนห้องมึงนานเท่าไหร่แล้ววะ” ผมเปรยเสียงเรียบ แต่ก็ยังได้รับความสนใจกับคนข้างๆ เพราะมันหันมามองหน้าแว๊บหนึ่งก่อนจะกลับไปสนใจมือถือต่อ
“ไม่รู้ ไม่ได้จำ”
“แต่ทุกอย่างยังเหมือนเดิมเลยเนาะ”
“เวิ่นเว้ออะไรของมึง” ใบหน้าขาวหันมาสบถใส่เงียบๆ พลันไถตัวลงนอนกับหมอนขณะสองมือเลื่อนมือถือไม่หยุด ผมเลยไถลตัวนอนหนุนหมอนข้างๆ ตามอย่างไม่รีรอ
“เดี๋ยวนี้ผมมึงหอมมากเลยนะ ไหนบอกว่าไม่ชอบแชมพูกลิ่นแอปเปิ้ลไง” ผมชอบกลิ่นแชมพูยี่ห้อนี้มาก เวลาไปห้างทีไรก็มักบิวด์ให้มันซื้อเสมอ แต่แม่งก็ไม่เคยซื้อ บ่นว่าแพงไม่พอแถมบอกว่าไม่ใช่สไตล์มันอีกต่างหาก
“ใครบอกกูชอบ แชมพูขวดเก่ามันหมดแล้วต่างหาก”
“ก็นั่นไง ขวดเก่าหมด มึงก็ยังซื้อยี่ห้อนี้มา”
“กูไม่ได้ซื้อ”
“...”
“มึงเอามาทิ้งไว้จำไม่ได้เหรอ”
“จริงดิ”
“แต่มึงคงจำไม่ได้หรอกว่ะ สงสัยเอาไปทิ้งไว้หลายห้อง” อีกฝ่ายพูดประชดประชัน ผมจึงรีบแก้ตัวอย่างไม่ยอมแพ้ ความจริงก็รู้สึกดีใจลึกๆ นะครับที่ไอ้เติร์ดไม่ได้ตัดเยื่อใยถึงขนาดโละทุกอย่างของผมทิ้งถังขยะ
“ใช่ที่ไหน กูเข้าใจว่ามึงคงเอาขวดนั้นไปทิ้งแล้วต่างหาก”
“ของมันยังไม่หมดอายุ ทิ้งก็โง่ละ” ผมยิ้มออกมา ดวงตาคู่โตเหลือบมองตาม แต่ก็ไม่ได้มีสีหน้าแตกต่างออกไปจากตอนแรกมากนักนอกจากเฉยเมย
“ว่าแต่มึงเถอะ เดี๋ยวนี้ไม่ทำยูทูบแล้วเหรอ” ผมแสร้งถามไปอีก รู้ว่ามันคงเข็ดกับการแอบรักผมแบบลับๆ มาตลอด แต่ผมก็อยากรู้คำตอบจากปากของเจ้าตัวอยู่ดี
“มึงเห็นกูว่างมั้ยล่ะ แค่ละครเวทีก็จะตายห่าอยู่ละ”
“แล้วถ้าเกิดกูมาช่วยมึงล่ะ”
“มึงเคยบอกว่าไม่ชอบทำรีวิวให้เป็นกระแส ช่องใครก็ดูแลแม่งเอง จำไม่ได้เหรอ”
“แล้วคนเราเปลี่ยนใจไม่ได้หรือไงวะ อะไรที่เคยตั้งใจว่าจะไม่ทำ อะไรที่เคยตั้งใจว่าจะไม่ชอบ วันนึงก็อาจเปลี่ยนแปลงได้นะเว้ย มึงจะคาดหวังอะไรกับใจคนเราวะ”
“นั่นดิ ใจคนเรา...” จู่ๆ คำพูดแผ่วๆ นั้นก็กระตุ้นให้ผมรู้สึกหนาวยะเยือก การเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นยังไงมันก็โอเคอยู่แล้ว แต่ถ้าการเปลี่ยนทำให้ไอ้เติร์ดเลิกชอบผม เห็นทีคงไม่ดีแล้วว่ะ
“สรุปให้ช่วยมั้ย”
“ไม่อ่ะ กูว่าจะหยุดไปอีกพักใหญ่เลย มึงก็ไปเปิดช่องใหม่เถอะ”
“มันเหมือนกันที่ไหนเล่า”
“พรุ่งนี้กินอะไร” นั่นไง ไอ้เรื่องเบี่ยงประเด็นนี่โคตรถนัดเลย แต่ก็เอาเถอะ ชีวิตของผมน้อยครั้งที่จะถูกปฏิเสธ แต่ถ้าคนที่ปฏิเสธนั้นเป็นไอ้เติร์ดผมก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
คนมันชอบไปแล้วนี่หว่า ชอบจนยอมผิดหวังเอง แต่ก็กับแค่บางเรื่องเท่านั้นนะ
“อยากกินซีเรียลรูปดาวกับรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว”
“มึงไม่ชอบกินนี่หว่า”
“กูชอบกินตามมึงไปแล้วไงจำไม่ได้เหรอ”
“กูนึกว่ามึงกระแดะ”
“ส้นตีนอะไรล่ะ ก็เห็นมันอร่อยกว่าซีเรียลรสช็อกโกแลตอยู่นะ หวานๆ ดี พรุ่งนี้ทำให้กินหน่อยดิ” ผมพูดอย่างอ้อนๆ ขยับตัวเข้าหาอีกฝ่ายมากขึ้น แต่มันก็ขืนตัวออกห่างเล็กน้อยเพื่อรักษาระยะ
“แค่เทใส่ชามผสมนมมันยากตรงไหน”
“ก็กูชอบให้มึงทำไงจำไม่ได้เหรอ”
“แล้วกูก็บอกตลอดว่าขี้เกียจไง จำไม่ได้เหรอ”
“เหรอออออออ”
และเราก็แข่งกันเอาชนะกันในหัวข้อ ‘จำไม่ได้เหรอ’ ตลอดทั้งคืน
เรื่องอื่นผมอาจจะโง่ แต่ความทรงจำที่มีไอ้เติร์ดผมจำได้ทุกอย่างนั่นแหละ ไม่รู้ว่าเพราะเราเป็นเพื่อนสนิทกัน หรือเพราะมันพิเศษกว่าคนอื่นกันแน่ กับไอ้ทูหรือไอ้โบนผมยังไม่ค่อยใส่ใจเลย
แล้วดูไอ้คนที่นอนข้างๆ นี่ดิ
แม่งได้อภิสิทธิ์เหนือกว่าทุกคนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
คำขอของพี่เชนทร์เหมือนเป็นประโยคหูทวนลมของผมเท่านั้น ศึกนี้กูจะไม่ยอมเป็นผู้แพ้ เพราะถ้าไอ้พี่อั้นมันแน่จริงก็ให้สู้กันตรงๆ เนื่องจากผมคงไม่หลีกทางให้อีกฝ่ายแน่ๆ
ผมกับไอ้เติร์ดตื่นเกือบสิบโมง นั่งกินซีเรียลเสร็จก็อาบน้ำแต่งตัวเตรียมออกไปข้างนอก วันนี้ผมต้องตามติดเพื่อนรักไปที่ร้าน ‘ต้นฉบับ’ ร้านขายซีดีและดีวีดีหนังที่ดังที่สุดย่านมหา’ลัย
และด้วยความสำออยเข้าขั้น ไอ้ชาวีจึงกลายเป็นหมาหัวเน่าเพราะผมขอติดรถไอ้เติร์ดออกมาแทน เผื่อจะได้เป็นข้ออ้างกลับมาที่คอนโดมันอีก
เท่าที่รู้ ร้านต้นฉบับมีมานานแล้วตั้งแต่สมัยรุ่นพ่อ เพิ่งมารีโนเวทร้านใหม่ก็เมื่อสองสามปีก่อนเพราะเปลี่ยนมือเจ้าของกิจการ จากเฮียโบ๊มาเป็นลูกชายแกแทน ซึ่งลูกชายคนนี้ก็ค่อนข้างมีสไตล์ที่เด่นชัด ฉะนั้นร้านเก่าๆ ที่รวมแผ่นหนังอัดไว้เป็นกองๆ เหมือนของราคาถูกเลยอัพเกรดขึ้นมามากโข
เราเดินลงมาจากรถ สาวเท้าเข้าไปด้านในร้านที่ถูกทำขึ้นใหม่ในสไตล์ลอฟท์ บริเวณร้านประกอบด้วยสองชั้น มีบันไดเหล็กสีดำพาดผ่านจากด้านนอกขึ้นไปยังด้านบนซึ่งเป็นพื้นที่กึ่งอินดอร์และเอาท์ดอร์ ผนังแต่ละด้านทำจากวัสดุต่างชนิดกัน อย่างฟากหนึ่งทำเป็นผนังปูนเปลือย อีกด้านก็ก่ออิฐบล็อกให้ดูดิบแต่อบอุ่น
ชั้นวางแผ่นหนังถูกทำขึ้นจากไม้สีน้ำตาลอ่อนขัดเงา คล้ายกับถูกสั่งทำมาโดยเฉพาะเนื่องจากชั้นวางนั้นพอดีกับกำแพงและเพดาน
เรามีมุมโปรด และมักขลุกอยู่ที่นี่กันค่อนวันเพื่อเลือกแผ่นหนังสักเรื่อง หรือทำตัวดราม่านั่งรับบรรยากาศกันสบายๆ เพราะไม่ค่อยมีลูกค้าคนอื่นมากวนใจเท่าไหร่ อย่างว่า...ตอนนี้ธุรกิจแผ่นหนังมันไม่ได้เฟื่องฟูเหมือนแต่ก่อนแล้ว คนเราก็อยากทำอะไรที่มันง่ายๆ เช่นการโหลดมาดู แถมช่องทางการดูหนังออนไลน์ยังมีอีกเพียบ
ดังนั้นคนที่มักเข้าออกร้านนี้เลยมีแค่เด็กฟิล์มเป็นส่วนใหญ่เท่านั้น
“อ้าวไอ้ค่าย ไอ้เติร์ด”
“หวัดดีเฮีย” เสียงทักทายส่งมาเป็นการต้อนรับ ผมกับไอ้เติร์ดเลยตอบกลับอย่างรวดเร็วพร้อมกับยกมือไหว้
“ไม่เจอกันนาน กูนึกว่าตายห่าซะละ”
“โธ่...ทั้งเรียนทั้งละครเวที มีเวลามาวันนี้ก็บุญแล้ว”
“เออๆ อยากได้หนังเรื่องไหนก็ไปเลือกเอา แต่ถ้าหนังแรร์ก็มาถามที่หน้าเคาน์เตอร์ได้ ตามสบายพวกมึง” ไอ้เติร์ดพยักหน้ารับรู้ก่อนสับเท้าขึ้นไปยังบันไดชั้นสอง ชั้นนี้เก็บหนังเก่าเอาไว้ค่อนข้างมาก น่าจะตั้งแต่ปีสองพันลงมา แถมมีมุมสงบและเบาะนุ่มๆ ให้นั่งตรงข้างหน้าต่างกระจกบานกว้างด้วย
ร่างขาวหยุดอยู่ที่ชั้นวางแผ่นหนังมุมหนึ่ง ผมไม่ได้เข้าไปเสือกกับมันเลยเลือกยืนอยู่อีกล็อกอย่างผู้มีมารยาท เสียงตลับใส่แผ่นหนังถูกหยิบขึ้นและวางลงแบบนี้ซ้ำๆ อยู่นานกระทั่งผมพาตัวเองไปนั่งตรงเบาะและมองการกระทำของอีกฝ่ายอย่างเงียบๆ
“ช่วงนี้อยากดูเรื่องอะไรบ้างวะ” นับเป็นคำถามที่โพล่งขึ้นในรอบสิบห้านาทีเลยก็ว่าได้
“ยังไม่รู้เลยว่ะ ก็เลือกไปเรื่อยๆ บางเรื่องดูแล้วอยากเก็บแผ่นก็มี” สักพักไอ้เติร์ดก็เดินกลับมาพร้อมหนังเรื่อง The Silence of the Lambs ตรงชั้นหนังปี 1991 และสมุดรายชื่อหนังของทางร้าน
“เดี๋ยวนี้ชอบอะไรจิตๆ เหรอ”
“ไม่เหมือนมึง มีแต่แผ่นหนัง AV” จึ่ก! แม่งวกเข้ามาสู่อดีตที่มืดสนิทของกูอีกจนได้ มันเลยมาซึ่งคำถามที่เผลอพลั้งปากพูดออกไปอย่างลืมตัว
“ทำไมมึงถึงยังคบกู ทั้งที่กูเหี้ยขนาดนี้วะ”
“เพื่อนป่ะวะ”
“...” คำตอบของมันทำเอาคนฟังหน้าหงอยลงทันที ใจกูแม่งฝ่อไปหมดละ
“มีเหตุผลอื่นอีกมั้ยเนี่ย”
“มึงต้องการคำตอบแบบไหน นี่ก็โคตรตอบดีแล้วนะ ไม่กระทบกับความเหี้ยของมึงด้วย”
“สัด”
“เป็นเพื่อนนี่ดีที่สุดแล้ว ความสัมพันธ์แม่งยืนนาน”
“กูกับมึงเป็นเพื่อนกันนานตรงไหนวะ แค่สองปีกว่า”
“...”
“แต่ถ้ามาเป็นแฟนนี่ยาวนานเลย กูแม่งดูแลตลอดชีวิตอ่ะ” “จะเอามุกนี้ไปจีบสาวเหรอ ไม่ผ่านนะ โคตรแป้ก” เวรกรรมของกูฉิบหาย จริงจังขนาดนี้มันกลับคิดว่าผมกำลังเอาไปใช้จีบคนอื่น ทั้งที่ผมก็กำลังใช้กับมัน
ไอ้เติร์ดไม่ได้สนใจจะฟังคำแก้ตัวของผมต่อ นอกจากไล่นิ้วไปตามสมุดจดรายชื่อหนังที่แยกเป็นหมวดหมู่ของทางร้านอย่างตั้งอกตั้งใจ
ไม่นานเสียงฝีเท้าของคนมาใหม่ก็แว่วเข้ามา ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเฮียเติมเจ้าของร้านที่แบกกล่องลูกฟูกขึ้นมาพร้อมกับเอ่ยบอกพวกผม
“ไม่ต้องเกรงใจ นั่งกันไปเถอะ กูแค่เอาแผ่นหนังที่ได้มาใหม่ขึ้นมาจัดเฉยๆ”
“ครับ”
“แล้วรอบนี้ได้เรื่องอะไรบ้างอ่ะ”
“ยังไม่รู้เลย” ไอ้เติร์ดตอบเสียงเอื่อย
“ลองเลือกหนังที่ตรงกับอารมณ์พวกมึงในช่วงนี้ดูสิ”
“โหย ถ้าชีวิตเศร้าแล้วให้มาดูหนังเศร้าอีก แม่งไม่ดาวน์สัดๆ เลยเหรอวะ” ผมแทรกขึ้นเป็นการทักท้วง
“กูเห็นพวกมึงก็อินกันอยู่ดี” เฮียแกพูดพลางสายหน้า จากนั้นก็เดินไปที่ชั้นวางเพื่อเรียงแผ่นหนังของแกโดยไม่สนใจพวกเราเท่าไหร่ ดังนั้นผมเลยพูดเป็นเชิงขอร้องกับคนที่นั่งอยู่ในระยะประชิดด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ แทน
“เติร์ด...เลือกหนังให้หน่อยดิ”
‘ไอ้เติร์ด เลือกหนังให้หน่อยสิวะ เอาที่ตรงกับชีวิตกูช่วงนี้อ่ะ’
‘แล้วกูจะรู้มั้ยว่ามึงกำลังอยู่ในอารมณ์ไหน’
‘เอาน่า มึงรู้ เลือกให้หน่อยจะเอาไปเปิดดูคืนนี้’
‘อ่ะ เอานี่ไป’
‘มึงคิดว่ากูกำลังตลกเหรอ’
‘เอ้า! มึงไม่ตลกสินะ งั้น...เรื่องนี้’
‘ญาติกูไม่ได้เสีย’
‘นี่อ่ะ’
‘นี่มึงเดาอารมณ์กูตอนนี้ไม่ออกจริงดิ’
‘แล้วใครมันจะว่างถึงขนาดนั่งเดาอารมณ์มึงวะ เรื่องนี้เรื่องสุดท้ายแล้วนะ’
‘เชร้ดดดดด เพื่อนเติร์ด มึงแม่งเจ๋งว่ะ ตรงใจกูเป๊ะ’
‘ทำไมวะ ช่วงนี้มึงกำลังมีความรักเหรอ’
‘อืม...ก็มีคนนึง กำลังเดินหน้าจีบอยู่’ “ไอ้ค่าย...เชี่ยค่าย มึงฟังกูอยู่หรือเปล่าเนี่ย” แรงตบจากฝ่ามือที่ทำเอาหัวสะบัด ประกอบกับน้ำเสียงที่มีความโมโหเจือปนอยู่ฉุดให้ผมตื่นจากความทรงจำในอดีตกลับมาที่ปัจจุบันอีกครั้ง เมื่อปีก่อนเราเคยมาที่นี่ คุยเรื่องหัวข้อเดิมๆ เหมือนวันนี้
“ฮะ! มึงว่าไงนะ”
“กูบอกว่าแล้วกูจะรู้มั้ยว่ามึงกำลังอยู่ในอารมณ์ไหน”
“มึงรู้ เลือกให้หน่อย เดี๋ยวซื้อกลับไปดูคืนนี้เลย” ไอ้เติร์ดพยักหน้า พลันลุกขึ้นเดินตรงดิ่งไปยังชั้นวางหนังหลายพันเรื่อง ไม่นานร่างโปร่งก็เดินกลับมาพร้อมแผ่นหนังจำนวนหนึ่ง ถ้าให้เดาผมคิดว่ามันคงขี้เกียจเดินหลายรอบเลยคว้ามาแม่งหมด
“อันนี้โอเคมั้ย”
“ช่วงนี้กูไม่ตลกว่ะ”
“นี่อ่ะ”
“กูก็ไม่ได้รู้สึกดราม่าเหมือนกัน” ผมได้ยินเสียงจิ๊ปากไม่พอใจดังขึ้นมาครั้งหนึ่ง แต่คนตรงหน้าก็พยายามยื่นหนังเรื่องใหม่ให้ผมเรื่อยๆ
“อันนี้ชัวร์เลย” คราวนี้เป็นหนังรอมคอม (โรแมนติก - คอมมิดี้)
“เติร์ด...” ไม่พูดอะไรมากกว่านั้น ผมรีบคว้าข้อมือของมันขึ้นมาอย่างถือวิสาสะ ปล่อยให้ฝ่ามือขาวประทับอยู่ตรงอกข้างซ้ายของผมอย่างแนบแน่น
“ใจเต้นแรงเหรอวะ” มันถามอย่างน่าเอ็นดู ผมเลยตอบว่า...
“เปล่า หัวนมแข็งแล้วเนี่ย”
“โคตรเหี้ย!”
“ก็เรื่องที่มึงเอามามันรอมคอมอย่างเดียวซะที่ไหน แม่งดูแล้ว ฉากอย่างว่าเยอะกว่าตอนกูเก็บแต้มเยมาครึ่งปีอีกไอ้สัด”
“แล้วใครจะไปคิดว่ามึงจะหมกมุ่นขนาดนี้วะ ดูก็เพื่อศึกษางานศิลป์มั้ย มึงนี่แม่ง! เรื่องนี้เรื่องสุดท้ายแล้วนะ” จากนั้นมันก็ยัดแผ่นหนังเรื่องหนึ่งใส่มือให้
“มึงนี่น่ารักว่ะ เลือกมาตรงใจกูเด๊ะเลย”
“ถ้าลองไม่ตรงกูจะต่อยให้หน้ายุบตรงนี้แหละ”
“โคตรโหด”
“ดูหนังแอบรักแบบนี้มึงไปร่านรักใครเข้าอีกล่ะ”
“ก็มีคนนึง...”
“...”
“แต่ไม่กล้าจีบหนักๆ กลัวจะเสียมันไป” เราจ้องมองกันนิ่งๆ ไม่นานไอ้เติร์ดก็เป็นฝ่ายหลบสายตาพร้อมกับพึมพำเบาๆ
“เหรอ”
“เดี๋ยวกูไปเลือกหนังให้มึงบ้าง นั่งก่อนนะ”
‘ไอ้ค่าย นี่มึงไปเลือกหนังหรือไปออกกองสร้างหนังเอง นานฉิบหาย’
‘บ่นเป็นเมียกูเลยนะ อ่ะ! เรื่องนี้พอได้มั้ย’
‘ตอนนี้หน้ากูคงอยากบู๊มากสินะ แอคชั่นหนักขนาดนี้มึงคิดว่ากูจะเอาไรเฟิลไปซุ่มยิงอาจารย์หรือไง’
‘ก็เห็นมึงเครียดเรื่องเกรด’
‘ถ้ากูเครียดเรื่องเกรด มึงไม่ชิงฆ่าตัวตายไปก่อนเลยเหรอ เกรดมึงนี่อย่างกับเศษเลขทศนิยม’
‘ห่า ใครมันจะไปเรียนเก่งเหมือนมึงวะ แล้วนี่อ่ะ’
‘หนังโกงข้อสอบ กูว่ามึงเก็บเอาไว้ดูเองเถอะ’
‘กูเลือกมาสามเรื่อง อันนี้เรื่องสุดท้ายแล้ว ถ้าไม่ใช่กูงอน’
‘มึงมีสิทธิ์งอนกูด้วยหรือไง’
‘ตกลงเรื่องนี้โอเคมั้ยอ่ะ’
‘อืม...ใช้ได้’
‘หนังแอบรักเนี่ยนะ นี่ไปตกหลุมพรางสาวคนไหนวะเนี่ยไอ้เติร์ด’
‘พูดมาก แล้วรู้ได้ไงว่าชีวิตกูตรงกับหนังเรื่องนี้’
‘ก็เราเป็นเพื่อนกันไง’ “มาแล้ว...เรื่องนี้แน่นอน” ผมพูดด้วยสีหน้ายิ้มๆ แล้วยื่นแผ่นหนังแนวดราม่าไปให้ เห็นมันเศร้าๆ เลยคิดว่าคงประมาณนี้แหละมั้ง
“เคยอยู่ในอารมณ์นี้ แต่ตอนนี้ไม่แล้ว” เจ้าตัวช่วยไขความกระจ่าง ผมจึงรีบยื่นหนังอีกแผ่นในมือไปให้อย่างเร็วรี่ เรื่องนี้เป็นแนวสร้างแรงบันดาลใจในชีวิตครับ ชื่อเรื่องว่า Whiplash
“แล้วนี่อ่ะ ตอนนั้นที่เราดูด้วยกันไง”
“มึงอย่ามาเนียน เรื่องนี้เราไม่ได้ดูด้วยกัน มึงไปกับแฟน” น้ำเสียงแสนราบเรียบของไอ้เติร์ดตอบกลับมา นัยน์ตาไม่มีไหวเอนแม้แต่เสี้ยว
“เหรอ จำไม่ได้ว่ะ”
“...”
“จำได้แต่ตอนนั่งดูกับมึงในวันเกิดไอ้ทู”
“อืม สรุปกูต้องดูอีกครั้งใช่มั้ย”
“แล้วมันตรงกับที่มึงอยากดูมั้ยล่ะ”
“เออ เก่งนี่หว่า”
“ก็เราเป็นเพื่อนกัน” ไม่ได้อีกแล้ว...
ความเงียบปกคลุมไปทั่วบริเวณ กระทั่งเสียงลมยังแทบไม่ได้ยิน อดีตที่เคยเกิดขึ้นกับปัจจุบันที่เป็นอยู่เหมือนแตกต่างแต่ก็ไม่แตกต่าง เรายังอยู่ที่ร้านหนังร้านเดิม เลือกหนังจากอารมณ์ตอนนี้เหมือนเดิม แต่ที่ไม่เหมือนคือความรู้สึก...
เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ
“อะแฮ่ม!” สักพักเสียงของบุคคลที่สามก็ดังขึ้น ผมแทบลืมไปซะสนิทว่าเราไม่ได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง แต่เฮียเติมที่ยืนเรียงแผ่นหนังอยู่ตรงซอกหลืบด้านในสุดของร้านก็อยู่ด้วย
“อะไรติดคอวะเฮีย”
“คำพูดของพวกมึงไงติดคอกู เห็นอย่างนี้ก็แปลกดีว่ะ”
“แปลกยังไงวะ”
“มึงสองคนคุยกันอย่างกับไม่ใช่เพื่อน”
“...”
“คุยกันเหมือนคนเป็นแฟน นี่คิดอะไรกันหรือเปล่าเนี่ย” “เฮ้ยไม่!” ไอ้เติร์ดปฏิเสธ
“เฮ้ยใช่!”
ขณะที่ผมเลือกจะตอบตกลง...
อ่านต่อด้านล่างค่ะ