ทฤษฎีจีบเธอ ∞ THE END
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ทฤษฎีจีบเธอ ∞ THE END  (อ่าน 2134327 ครั้ง)

ออฟไลน์ mirin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
สม :laugh:

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
อ่าน 8 ตอนรวด  :sad4: ทิชชู่แทบหมดม้วน  :mew4:

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
เอิ่มมมม ทำไมฝั่งตรงข้ามชัดเจนจัง ทีมเพื่อนมาเอง

ทีมค่าย ทีมเติร์ดคะ มาหน่อยจ้า อย่าปล่อยค่ายสู้เองในเวลานี้
เติร์ดไม่ได้ใจแข็งนะ แต่เจ็บแล้วจำ จนไม่อยากกลับไปเวลานั้นอีก

ค่ายต้องพยายามให้หนักกว่านี้อีก มีคู่แข่งโผล่มาซะงั้น

ออฟไลน์ VaLyn_TM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เราอ่านทีเดียว 8 ตอนรวด คือตาบวนฉึ่งมากกกกกกกกกกกกกก สงสารเติร์ดมาก
เข้าใจหัวอกคนแอบรักเพื่อน แล้วต้องมาทนเห็นเค้าได้กับคนอื่น มันชอกช้ำระกำใจอ่ะ
แล้วยิ่งมาเจอคนที่แอบรักแกล้งจีบใส่เพราะแค่อยากพิสูจน์ นี่แบบ เอามีดมาฟันยังเจ็บน้อยกว่า :m15:
คือ ไม่แปลกอ่ะที่เติร์ดต้องการตัดใจแล้วก็ป้องกันตัวเองขนาดนี้ คงคิดไปแล้วว่าเจ็บต้องจำ อย่าหวั่นไหวอีกทำนองนั้น

ส่วนอิค่าย ความเลวทั้งหมดที่มีมา มันทำใจได้ยากจริงๆที่เติร์ดจะเชื่อว่ารัก
ทำกับเค้าไว้เยอะอ่ะ เจอกำแพงสูงลิ่วก็สมควรอ่ะ แต่ก็ยังไม่หมดหวัง
คนมันเคยรักมาตั้งนาน ตัดใจก็ยังไม่ขาดยังไงก็ต้องเดินหน้า
แกมัวจีบเค้า แต่ไม่พูดตรงๆเติร์ดมันไม่รู้หรอกว่าแกเปลี่ยนไปแล้ว ว่าเอาจริง จีบจริง ชอบจริง
แล้วนี่กำลังจะโดนหมารุ่นพี่คาบไปแดกละ บอกตรงๆไปเลย สู้!!!!!!!!!!!!! :m31: :m31:

ออฟไลน์ Jittirain12

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 353
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1238/-18
ตอนที่ 9
เราเป็นเพื่อนกัน (ไม่ได้อีกแล้ว)



   รุ่นพี่ปีสี่กลับไปแล้ว ผมนั่งอยู่ตรงปลายเตียงมองดูไอ้เติร์ดหยิบผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำ เราไม่ได้พูดอะไรกันเลยหลังจากพี่เชนทร์กับเพื่อนตัวเหี้ยกลับไป รู้สึกว่าตัวเองเหมือนพวกขี้แพ้เลยว่ะ เพราะเอาแต่นั่งคิดถึงประโยคขอร้องจากใครบางคนไม่หยุด

   เปิดทาง? นี่คิดว่ามันตลกมากหรือไง

   ผมไม่ได้ตอบตกลงคำขอนั้น เลือกที่จะเงียบและปล่อยให้อีกฝ่ายเลิกถามไปเอง หากแต่ในใจกลับเดือดปุดๆ จนเลือดพล่าน กับไอ้เติร์ดผมไม่ยอมปล่อยมันให้ใครหน้าไหนทั้งนั้น แม้จะช็อกที่ได้ยินว่าพี่อั้นชอบมันแค่ไหนก็ตาม

   ขนาดผมออกตัวแล้วนะว่าชอบไอ้เติร์ด เชี่ยนี่ก็ยังเจ้ากี้เจ้าการไปขอให้เพื่อนมันช่วย เอาจริงๆ ก๊วนแก๊งปีสี่ที่ใครต่างเคารพก็มีไม่กี่คน หนึ่งในนั้นคือพี่เชนทร์ที่เวลาเอ่ยปากขอใครทุกคนก็ต้องยอมให้หมด ยกเว้นกู

   ไอ้เติร์ดอาบน้ำไม่นาน สักพักก็เดินออกมาพร้อมกับเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงบอลเน่าๆ ตัวเก่า บนหัวมีผ้าขนหนูแปะอยู่เหมือนทุกครั้ง เพราะเป็นคนชอบสระผมตอนกลางคืน ผมจึงมักบ่นเรื่องนี้เป็นประจำ

   “เช็ดหัวให้แห้ง”

   “เดี๋ยวมันก็แห้งเองป่ะวะ” ยังจะเถียงหน้าตายอีก

   “เตียงแม่งชื้น แถมหมอนมึงราแดกหมดละ”

   “งั้นก็อย่านอนหมอนกูสิ”

   “หวง?”

   “เออ”

   “หวงไม่เข้าเรื่อง” เจ้าตัวเบะปากใส่ แต่ก็ยอมทำตามคำสั่งอย่างว่าง่ายด้วยการใช้ผ้าขนหนูผืนเดิมขยี้หัวอย่างแรงจนรู้สึกเจ็บแทน ภาพเหล่านี้เหมือนกับเดจาวู ฉายขึ้นมาซ้ำๆ ตลอดสองปีกว่าๆ ที่เราเป็นเพื่อนกันมา

   “ไปอาบน้ำสิ มึงอยากใส่เสื้อตัวไหนก็ไปหยิบในตู้เอา” เมื่อเห็นว่าผมนั่งจ้องการกระทำของมันอยู่นาน ไอ้เติร์ดก็ไล่ให้ไปอาบน้ำ ซึ่งผมก็ไม่ได้ปฏิเสธนอกจากลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วเดินไปหาคนตรงหน้า

   “ขอผ้าเช็ดตัวหน่อย”

   “ในตู้อ่ะ”

   “เปล่า จะใช้บนหัวมึงเนี่ย” ไม่พูดพร่ำทำเพลง ผมรีบคว้าผ้าขนหนูสีขาวในมือของอีกฝ่ายออกไปทันที นั่นเลยทำให้ไอ้เติร์ดไม่ค่อยพอใจรีบยกมือขึ้นมาฟาดหัวผมแรงๆ จนสติแทบวูบ

   “อันนี้เช็ดหัว กูไม่อนุญาตให้มึงเอาไปเช็ดหรรม” มันโวยวายเต็มที่

   “เช็ดที่ไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ พูดมากน่ามคาญ”

   “ผืนใหม่ก็มีในตู้ทำไมไม่รู้จักใช้วะ สันดาน”

   “เป็นเมียอ่อมาสั่ง” พูดเท่านั้นแหละความเงียบมาเยือนทันที คนตรงหน้าเลือกเบี่ยงตัวออกห่าง แล้วหนีกระโดดขึ้นเตียงเหมือนเด็กๆ ส่วนผมก็ไม่ได้พูดอะไรต่อนอกจากรีบอาบน้ำแต่งตัวเพราะจะได้มีเวลาที่เหลือทำเรื่องบนเตียงกับมันต่อ

   ไอ้อั้น อย่างน้อยวันนี้กูก็นำมึงไปก้าวหนึ่งแล้วล่ะ ใครจะมีบุญอย่างไอ้ค่ายกันที่ได้มีโอกาสมานอนเตียงเดียวในอารมณ์เปลี่ยวๆ กับเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อแบบนี้

   กลับออกมาอีกทีผมก็เห็นร่างสูงโปร่งนอนเล่นมือถืออยู่ที่เตียง เลยรีบคลานตามขึ้นไปนอนข้างๆ ชะโงกหน้าไปดูว่าเพื่อนรักกำลังทำอะไรอยู่ และก็เห็นว่ามันกำลังไถอย่างโซเชียลสนุกสนานไม่มีอะไรจริงจังเท่าไหร่ เลยสบโอกาสหาเรื่องคุยด้วย

   “นี่กูไม่ได้มานอนห้องมึงนานเท่าไหร่แล้ววะ” ผมเปรยเสียงเรียบ แต่ก็ยังได้รับความสนใจกับคนข้างๆ เพราะมันหันมามองหน้าแว๊บหนึ่งก่อนจะกลับไปสนใจมือถือต่อ

   “ไม่รู้ ไม่ได้จำ”

   “แต่ทุกอย่างยังเหมือนเดิมเลยเนาะ”

   “เวิ่นเว้ออะไรของมึง” ใบหน้าขาวหันมาสบถใส่เงียบๆ พลันไถตัวลงนอนกับหมอนขณะสองมือเลื่อนมือถือไม่หยุด ผมเลยไถลตัวนอนหนุนหมอนข้างๆ ตามอย่างไม่รีรอ

   “เดี๋ยวนี้ผมมึงหอมมากเลยนะ ไหนบอกว่าไม่ชอบแชมพูกลิ่นแอปเปิ้ลไง” ผมชอบกลิ่นแชมพูยี่ห้อนี้มาก เวลาไปห้างทีไรก็มักบิวด์ให้มันซื้อเสมอ แต่แม่งก็ไม่เคยซื้อ บ่นว่าแพงไม่พอแถมบอกว่าไม่ใช่สไตล์มันอีกต่างหาก

   “ใครบอกกูชอบ แชมพูขวดเก่ามันหมดแล้วต่างหาก”

   “ก็นั่นไง ขวดเก่าหมด มึงก็ยังซื้อยี่ห้อนี้มา”

   “กูไม่ได้ซื้อ”

   “...”

   “มึงเอามาทิ้งไว้จำไม่ได้เหรอ”

   “จริงดิ”   

   “แต่มึงคงจำไม่ได้หรอกว่ะ สงสัยเอาไปทิ้งไว้หลายห้อง” อีกฝ่ายพูดประชดประชัน ผมจึงรีบแก้ตัวอย่างไม่ยอมแพ้ ความจริงก็รู้สึกดีใจลึกๆ นะครับที่ไอ้เติร์ดไม่ได้ตัดเยื่อใยถึงขนาดโละทุกอย่างของผมทิ้งถังขยะ

   “ใช่ที่ไหน กูเข้าใจว่ามึงคงเอาขวดนั้นไปทิ้งแล้วต่างหาก”

   “ของมันยังไม่หมดอายุ ทิ้งก็โง่ละ” ผมยิ้มออกมา ดวงตาคู่โตเหลือบมองตาม แต่ก็ไม่ได้มีสีหน้าแตกต่างออกไปจากตอนแรกมากนักนอกจากเฉยเมย

   “ว่าแต่มึงเถอะ เดี๋ยวนี้ไม่ทำยูทูบแล้วเหรอ” ผมแสร้งถามไปอีก รู้ว่ามันคงเข็ดกับการแอบรักผมแบบลับๆ มาตลอด แต่ผมก็อยากรู้คำตอบจากปากของเจ้าตัวอยู่ดี

   “มึงเห็นกูว่างมั้ยล่ะ แค่ละครเวทีก็จะตายห่าอยู่ละ”

   “แล้วถ้าเกิดกูมาช่วยมึงล่ะ”

   “มึงเคยบอกว่าไม่ชอบทำรีวิวให้เป็นกระแส ช่องใครก็ดูแลแม่งเอง จำไม่ได้เหรอ” 

   “แล้วคนเราเปลี่ยนใจไม่ได้หรือไงวะ อะไรที่เคยตั้งใจว่าจะไม่ทำ อะไรที่เคยตั้งใจว่าจะไม่ชอบ วันนึงก็อาจเปลี่ยนแปลงได้นะเว้ย มึงจะคาดหวังอะไรกับใจคนเราวะ”

   “นั่นดิ ใจคนเรา...” จู่ๆ คำพูดแผ่วๆ นั้นก็กระตุ้นให้ผมรู้สึกหนาวยะเยือก การเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นยังไงมันก็โอเคอยู่แล้ว แต่ถ้าการเปลี่ยนทำให้ไอ้เติร์ดเลิกชอบผม เห็นทีคงไม่ดีแล้วว่ะ

   “สรุปให้ช่วยมั้ย”

   “ไม่อ่ะ กูว่าจะหยุดไปอีกพักใหญ่เลย มึงก็ไปเปิดช่องใหม่เถอะ”

   “มันเหมือนกันที่ไหนเล่า”

   “พรุ่งนี้กินอะไร” นั่นไง ไอ้เรื่องเบี่ยงประเด็นนี่โคตรถนัดเลย แต่ก็เอาเถอะ ชีวิตของผมน้อยครั้งที่จะถูกปฏิเสธ แต่ถ้าคนที่ปฏิเสธนั้นเป็นไอ้เติร์ดผมก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี

   คนมันชอบไปแล้วนี่หว่า ชอบจนยอมผิดหวังเอง แต่ก็กับแค่บางเรื่องเท่านั้นนะ

   “อยากกินซีเรียลรูปดาวกับรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว”

   “มึงไม่ชอบกินนี่หว่า”

   “กูชอบกินตามมึงไปแล้วไงจำไม่ได้เหรอ”

   “กูนึกว่ามึงกระแดะ”

   “ส้นตีนอะไรล่ะ ก็เห็นมันอร่อยกว่าซีเรียลรสช็อกโกแลตอยู่นะ หวานๆ ดี พรุ่งนี้ทำให้กินหน่อยดิ” ผมพูดอย่างอ้อนๆ ขยับตัวเข้าหาอีกฝ่ายมากขึ้น แต่มันก็ขืนตัวออกห่างเล็กน้อยเพื่อรักษาระยะ

   “แค่เทใส่ชามผสมนมมันยากตรงไหน”

   “ก็กูชอบให้มึงทำไงจำไม่ได้เหรอ”

   “แล้วกูก็บอกตลอดว่าขี้เกียจไง จำไม่ได้เหรอ”

   “เหรอออออออ”

   และเราก็แข่งกันเอาชนะกันในหัวข้อ ‘จำไม่ได้เหรอ’ ตลอดทั้งคืน

   เรื่องอื่นผมอาจจะโง่ แต่ความทรงจำที่มีไอ้เติร์ดผมจำได้ทุกอย่างนั่นแหละ ไม่รู้ว่าเพราะเราเป็นเพื่อนสนิทกัน หรือเพราะมันพิเศษกว่าคนอื่นกันแน่ กับไอ้ทูหรือไอ้โบนผมยังไม่ค่อยใส่ใจเลย

   แล้วดูไอ้คนที่นอนข้างๆ นี่ดิ

   แม่งได้อภิสิทธิ์เหนือกว่าทุกคนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว










   คำขอของพี่เชนทร์เหมือนเป็นประโยคหูทวนลมของผมเท่านั้น ศึกนี้กูจะไม่ยอมเป็นผู้แพ้ เพราะถ้าไอ้พี่อั้นมันแน่จริงก็ให้สู้กันตรงๆ เนื่องจากผมคงไม่หลีกทางให้อีกฝ่ายแน่ๆ

   ผมกับไอ้เติร์ดตื่นเกือบสิบโมง นั่งกินซีเรียลเสร็จก็อาบน้ำแต่งตัวเตรียมออกไปข้างนอก วันนี้ผมต้องตามติดเพื่อนรักไปที่ร้าน ‘ต้นฉบับ’ ร้านขายซีดีและดีวีดีหนังที่ดังที่สุดย่านมหา’ลัย

   และด้วยความสำออยเข้าขั้น ไอ้ชาวีจึงกลายเป็นหมาหัวเน่าเพราะผมขอติดรถไอ้เติร์ดออกมาแทน เผื่อจะได้เป็นข้ออ้างกลับมาที่คอนโดมันอีก

   เท่าที่รู้ ร้านต้นฉบับมีมานานแล้วตั้งแต่สมัยรุ่นพ่อ เพิ่งมารีโนเวทร้านใหม่ก็เมื่อสองสามปีก่อนเพราะเปลี่ยนมือเจ้าของกิจการ จากเฮียโบ๊มาเป็นลูกชายแกแทน ซึ่งลูกชายคนนี้ก็ค่อนข้างมีสไตล์ที่เด่นชัด ฉะนั้นร้านเก่าๆ ที่รวมแผ่นหนังอัดไว้เป็นกองๆ เหมือนของราคาถูกเลยอัพเกรดขึ้นมามากโข

   เราเดินลงมาจากรถ สาวเท้าเข้าไปด้านในร้านที่ถูกทำขึ้นใหม่ในสไตล์ลอฟท์ บริเวณร้านประกอบด้วยสองชั้น มีบันไดเหล็กสีดำพาดผ่านจากด้านนอกขึ้นไปยังด้านบนซึ่งเป็นพื้นที่กึ่งอินดอร์และเอาท์ดอร์ ผนังแต่ละด้านทำจากวัสดุต่างชนิดกัน อย่างฟากหนึ่งทำเป็นผนังปูนเปลือย อีกด้านก็ก่ออิฐบล็อกให้ดูดิบแต่อบอุ่น

   ชั้นวางแผ่นหนังถูกทำขึ้นจากไม้สีน้ำตาลอ่อนขัดเงา คล้ายกับถูกสั่งทำมาโดยเฉพาะเนื่องจากชั้นวางนั้นพอดีกับกำแพงและเพดาน

   เรามีมุมโปรด และมักขลุกอยู่ที่นี่กันค่อนวันเพื่อเลือกแผ่นหนังสักเรื่อง หรือทำตัวดราม่านั่งรับบรรยากาศกันสบายๆ เพราะไม่ค่อยมีลูกค้าคนอื่นมากวนใจเท่าไหร่ อย่างว่า...ตอนนี้ธุรกิจแผ่นหนังมันไม่ได้เฟื่องฟูเหมือนแต่ก่อนแล้ว คนเราก็อยากทำอะไรที่มันง่ายๆ เช่นการโหลดมาดู แถมช่องทางการดูหนังออนไลน์ยังมีอีกเพียบ

   ดังนั้นคนที่มักเข้าออกร้านนี้เลยมีแค่เด็กฟิล์มเป็นส่วนใหญ่เท่านั้น

   “อ้าวไอ้ค่าย ไอ้เติร์ด”

   “หวัดดีเฮีย” เสียงทักทายส่งมาเป็นการต้อนรับ ผมกับไอ้เติร์ดเลยตอบกลับอย่างรวดเร็วพร้อมกับยกมือไหว้

   “ไม่เจอกันนาน กูนึกว่าตายห่าซะละ”

   “โธ่...ทั้งเรียนทั้งละครเวที มีเวลามาวันนี้ก็บุญแล้ว”

   “เออๆ อยากได้หนังเรื่องไหนก็ไปเลือกเอา แต่ถ้าหนังแรร์ก็มาถามที่หน้าเคาน์เตอร์ได้ ตามสบายพวกมึง” ไอ้เติร์ดพยักหน้ารับรู้ก่อนสับเท้าขึ้นไปยังบันไดชั้นสอง ชั้นนี้เก็บหนังเก่าเอาไว้ค่อนข้างมาก น่าจะตั้งแต่ปีสองพันลงมา แถมมีมุมสงบและเบาะนุ่มๆ ให้นั่งตรงข้างหน้าต่างกระจกบานกว้างด้วย

   ร่างขาวหยุดอยู่ที่ชั้นวางแผ่นหนังมุมหนึ่ง ผมไม่ได้เข้าไปเสือกกับมันเลยเลือกยืนอยู่อีกล็อกอย่างผู้มีมารยาท เสียงตลับใส่แผ่นหนังถูกหยิบขึ้นและวางลงแบบนี้ซ้ำๆ อยู่นานกระทั่งผมพาตัวเองไปนั่งตรงเบาะและมองการกระทำของอีกฝ่ายอย่างเงียบๆ

   “ช่วงนี้อยากดูเรื่องอะไรบ้างวะ” นับเป็นคำถามที่โพล่งขึ้นในรอบสิบห้านาทีเลยก็ว่าได้

   “ยังไม่รู้เลยว่ะ ก็เลือกไปเรื่อยๆ บางเรื่องดูแล้วอยากเก็บแผ่นก็มี” สักพักไอ้เติร์ดก็เดินกลับมาพร้อมหนังเรื่อง The Silence of the Lambs ตรงชั้นหนังปี 1991 และสมุดรายชื่อหนังของทางร้าน

   “เดี๋ยวนี้ชอบอะไรจิตๆ เหรอ”

   “ไม่เหมือนมึง มีแต่แผ่นหนัง AV” จึ่ก! แม่งวกเข้ามาสู่อดีตที่มืดสนิทของกูอีกจนได้ มันเลยมาซึ่งคำถามที่เผลอพลั้งปากพูดออกไปอย่างลืมตัว

   “ทำไมมึงถึงยังคบกู ทั้งที่กูเหี้ยขนาดนี้วะ”

   “เพื่อนป่ะวะ”

   “...” คำตอบของมันทำเอาคนฟังหน้าหงอยลงทันที ใจกูแม่งฝ่อไปหมดละ

   “มีเหตุผลอื่นอีกมั้ยเนี่ย”

   “มึงต้องการคำตอบแบบไหน นี่ก็โคตรตอบดีแล้วนะ ไม่กระทบกับความเหี้ยของมึงด้วย”

   “สัด”

   “เป็นเพื่อนนี่ดีที่สุดแล้ว ความสัมพันธ์แม่งยืนนาน”

   “กูกับมึงเป็นเพื่อนกันนานตรงไหนวะ แค่สองปีกว่า”

   “...”

   “แต่ถ้ามาเป็นแฟนนี่ยาวนานเลย กูแม่งดูแลตลอดชีวิตอ่ะ”

   “จะเอามุกนี้ไปจีบสาวเหรอ ไม่ผ่านนะ โคตรแป้ก” เวรกรรมของกูฉิบหาย จริงจังขนาดนี้มันกลับคิดว่าผมกำลังเอาไปใช้จีบคนอื่น ทั้งที่ผมก็กำลังใช้กับมัน

   ไอ้เติร์ดไม่ได้สนใจจะฟังคำแก้ตัวของผมต่อ นอกจากไล่นิ้วไปตามสมุดจดรายชื่อหนังที่แยกเป็นหมวดหมู่ของทางร้านอย่างตั้งอกตั้งใจ

   ไม่นานเสียงฝีเท้าของคนมาใหม่ก็แว่วเข้ามา ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเฮียเติมเจ้าของร้านที่แบกกล่องลูกฟูกขึ้นมาพร้อมกับเอ่ยบอกพวกผม

   “ไม่ต้องเกรงใจ นั่งกันไปเถอะ กูแค่เอาแผ่นหนังที่ได้มาใหม่ขึ้นมาจัดเฉยๆ”

   “ครับ”

   “แล้วรอบนี้ได้เรื่องอะไรบ้างอ่ะ”

   “ยังไม่รู้เลย” ไอ้เติร์ดตอบเสียงเอื่อย

   “ลองเลือกหนังที่ตรงกับอารมณ์พวกมึงในช่วงนี้ดูสิ”

   “โหย ถ้าชีวิตเศร้าแล้วให้มาดูหนังเศร้าอีก แม่งไม่ดาวน์สัดๆ เลยเหรอวะ” ผมแทรกขึ้นเป็นการทักท้วง

   “กูเห็นพวกมึงก็อินกันอยู่ดี” เฮียแกพูดพลางสายหน้า จากนั้นก็เดินไปที่ชั้นวางเพื่อเรียงแผ่นหนังของแกโดยไม่สนใจพวกเราเท่าไหร่ ดังนั้นผมเลยพูดเป็นเชิงขอร้องกับคนที่นั่งอยู่ในระยะประชิดด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ แทน

   “เติร์ด...เลือกหนังให้หน่อยดิ”



   ‘ไอ้เติร์ด เลือกหนังให้หน่อยสิวะ เอาที่ตรงกับชีวิตกูช่วงนี้อ่ะ’
   ‘แล้วกูจะรู้มั้ยว่ามึงกำลังอยู่ในอารมณ์ไหน’
   ‘เอาน่า มึงรู้ เลือกให้หน่อยจะเอาไปเปิดดูคืนนี้’
   ‘อ่ะ เอานี่ไป’
   ‘มึงคิดว่ากูกำลังตลกเหรอ’
   ‘เอ้า! มึงไม่ตลกสินะ งั้น...เรื่องนี้’
   ‘ญาติกูไม่ได้เสีย’
   ‘นี่อ่ะ’
   ‘นี่มึงเดาอารมณ์กูตอนนี้ไม่ออกจริงดิ’
   ‘แล้วใครมันจะว่างถึงขนาดนั่งเดาอารมณ์มึงวะ เรื่องนี้เรื่องสุดท้ายแล้วนะ’
   ‘เชร้ดดดดด เพื่อนเติร์ด มึงแม่งเจ๋งว่ะ ตรงใจกูเป๊ะ’
   ‘ทำไมวะ ช่วงนี้มึงกำลังมีความรักเหรอ’
   ‘อืม...ก็มีคนนึง กำลังเดินหน้าจีบอยู่’




   “ไอ้ค่าย...เชี่ยค่าย มึงฟังกูอยู่หรือเปล่าเนี่ย” แรงตบจากฝ่ามือที่ทำเอาหัวสะบัด ประกอบกับน้ำเสียงที่มีความโมโหเจือปนอยู่ฉุดให้ผมตื่นจากความทรงจำในอดีตกลับมาที่ปัจจุบันอีกครั้ง เมื่อปีก่อนเราเคยมาที่นี่ คุยเรื่องหัวข้อเดิมๆ เหมือนวันนี้

   “ฮะ! มึงว่าไงนะ”

   “กูบอกว่าแล้วกูจะรู้มั้ยว่ามึงกำลังอยู่ในอารมณ์ไหน”

   “มึงรู้ เลือกให้หน่อย เดี๋ยวซื้อกลับไปดูคืนนี้เลย” ไอ้เติร์ดพยักหน้า พลันลุกขึ้นเดินตรงดิ่งไปยังชั้นวางหนังหลายพันเรื่อง ไม่นานร่างโปร่งก็เดินกลับมาพร้อมแผ่นหนังจำนวนหนึ่ง ถ้าให้เดาผมคิดว่ามันคงขี้เกียจเดินหลายรอบเลยคว้ามาแม่งหมด

   “อันนี้โอเคมั้ย”

   “ช่วงนี้กูไม่ตลกว่ะ”

   “นี่อ่ะ”

   “กูก็ไม่ได้รู้สึกดราม่าเหมือนกัน” ผมได้ยินเสียงจิ๊ปากไม่พอใจดังขึ้นมาครั้งหนึ่ง แต่คนตรงหน้าก็พยายามยื่นหนังเรื่องใหม่ให้ผมเรื่อยๆ

   “อันนี้ชัวร์เลย” คราวนี้เป็นหนังรอมคอม (โรแมนติก - คอมมิดี้)

   “เติร์ด...” ไม่พูดอะไรมากกว่านั้น ผมรีบคว้าข้อมือของมันขึ้นมาอย่างถือวิสาสะ ปล่อยให้ฝ่ามือขาวประทับอยู่ตรงอกข้างซ้ายของผมอย่างแนบแน่น

   “ใจเต้นแรงเหรอวะ” มันถามอย่างน่าเอ็นดู ผมเลยตอบว่า...

   “เปล่า หัวนมแข็งแล้วเนี่ย”

   “โคตรเหี้ย!”

   “ก็เรื่องที่มึงเอามามันรอมคอมอย่างเดียวซะที่ไหน แม่งดูแล้ว ฉากอย่างว่าเยอะกว่าตอนกูเก็บแต้มเยมาครึ่งปีอีกไอ้สัด”

   “แล้วใครจะไปคิดว่ามึงจะหมกมุ่นขนาดนี้วะ ดูก็เพื่อศึกษางานศิลป์มั้ย มึงนี่แม่ง! เรื่องนี้เรื่องสุดท้ายแล้วนะ” จากนั้นมันก็ยัดแผ่นหนังเรื่องหนึ่งใส่มือให้

   “มึงนี่น่ารักว่ะ เลือกมาตรงใจกูเด๊ะเลย”

   “ถ้าลองไม่ตรงกูจะต่อยให้หน้ายุบตรงนี้แหละ”

   “โคตรโหด”

   “ดูหนังแอบรักแบบนี้มึงไปร่านรักใครเข้าอีกล่ะ”

   “ก็มีคนนึง...”

   “...”

   “แต่ไม่กล้าจีบหนักๆ กลัวจะเสียมันไป” เราจ้องมองกันนิ่งๆ ไม่นานไอ้เติร์ดก็เป็นฝ่ายหลบสายตาพร้อมกับพึมพำเบาๆ

   “เหรอ”

   “เดี๋ยวกูไปเลือกหนังให้มึงบ้าง นั่งก่อนนะ”



   ‘ไอ้ค่าย นี่มึงไปเลือกหนังหรือไปออกกองสร้างหนังเอง นานฉิบหาย’
   ‘บ่นเป็นเมียกูเลยนะ อ่ะ! เรื่องนี้พอได้มั้ย’
   ‘ตอนนี้หน้ากูคงอยากบู๊มากสินะ แอคชั่นหนักขนาดนี้มึงคิดว่ากูจะเอาไรเฟิลไปซุ่มยิงอาจารย์หรือไง’
   ‘ก็เห็นมึงเครียดเรื่องเกรด’
   ‘ถ้ากูเครียดเรื่องเกรด มึงไม่ชิงฆ่าตัวตายไปก่อนเลยเหรอ เกรดมึงนี่อย่างกับเศษเลขทศนิยม’
   ‘ห่า ใครมันจะไปเรียนเก่งเหมือนมึงวะ แล้วนี่อ่ะ’
   ‘หนังโกงข้อสอบ กูว่ามึงเก็บเอาไว้ดูเองเถอะ’
   ‘กูเลือกมาสามเรื่อง อันนี้เรื่องสุดท้ายแล้ว ถ้าไม่ใช่กูงอน’
   ‘มึงมีสิทธิ์งอนกูด้วยหรือไง’
   ‘ตกลงเรื่องนี้โอเคมั้ยอ่ะ’
   ‘อืม...ใช้ได้’
   ‘หนังแอบรักเนี่ยนะ นี่ไปตกหลุมพรางสาวคนไหนวะเนี่ยไอ้เติร์ด’
   ‘พูดมาก แล้วรู้ได้ไงว่าชีวิตกูตรงกับหนังเรื่องนี้’
   ‘ก็เราเป็นเพื่อนกันไง’




   “มาแล้ว...เรื่องนี้แน่นอน” ผมพูดด้วยสีหน้ายิ้มๆ แล้วยื่นแผ่นหนังแนวดราม่าไปให้ เห็นมันเศร้าๆ เลยคิดว่าคงประมาณนี้แหละมั้ง

   “เคยอยู่ในอารมณ์นี้ แต่ตอนนี้ไม่แล้ว” เจ้าตัวช่วยไขความกระจ่าง ผมจึงรีบยื่นหนังอีกแผ่นในมือไปให้อย่างเร็วรี่ เรื่องนี้เป็นแนวสร้างแรงบันดาลใจในชีวิตครับ ชื่อเรื่องว่า Whiplash

   “แล้วนี่อ่ะ ตอนนั้นที่เราดูด้วยกันไง”

   “มึงอย่ามาเนียน เรื่องนี้เราไม่ได้ดูด้วยกัน มึงไปกับแฟน” น้ำเสียงแสนราบเรียบของไอ้เติร์ดตอบกลับมา นัยน์ตาไม่มีไหวเอนแม้แต่เสี้ยว

   “เหรอ จำไม่ได้ว่ะ”

   “...”

   “จำได้แต่ตอนนั่งดูกับมึงในวันเกิดไอ้ทู”

   “อืม สรุปกูต้องดูอีกครั้งใช่มั้ย”

   “แล้วมันตรงกับที่มึงอยากดูมั้ยล่ะ”

   “เออ เก่งนี่หว่า”

   “ก็เราเป็นเพื่อนกัน” ไม่ได้อีกแล้ว...

   ความเงียบปกคลุมไปทั่วบริเวณ กระทั่งเสียงลมยังแทบไม่ได้ยิน อดีตที่เคยเกิดขึ้นกับปัจจุบันที่เป็นอยู่เหมือนแตกต่างแต่ก็ไม่แตกต่าง เรายังอยู่ที่ร้านหนังร้านเดิม เลือกหนังจากอารมณ์ตอนนี้เหมือนเดิม แต่ที่ไม่เหมือนคือความรู้สึก...

   เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ

   “อะแฮ่ม!” สักพักเสียงของบุคคลที่สามก็ดังขึ้น ผมแทบลืมไปซะสนิทว่าเราไม่ได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง แต่เฮียเติมที่ยืนเรียงแผ่นหนังอยู่ตรงซอกหลืบด้านในสุดของร้านก็อยู่ด้วย

   “อะไรติดคอวะเฮีย”

   “คำพูดของพวกมึงไงติดคอกู เห็นอย่างนี้ก็แปลกดีว่ะ”

   “แปลกยังไงวะ”

   “มึงสองคนคุยกันอย่างกับไม่ใช่เพื่อน”

   “...”

   “คุยกันเหมือนคนเป็นแฟน นี่คิดอะไรกันหรือเปล่าเนี่ย”

   “เฮ้ยไม่!” ไอ้เติร์ดปฏิเสธ

   “เฮ้ยใช่!”

   ขณะที่ผมเลือกจะตอบตกลง...

   

อ่านต่อด้านล่างค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-07-2017 09:04:58 โดย Jittirain12 »

ออฟไลน์ Jittirain12

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 353
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1238/-18

   เช้าวันอังคารที่แสนมึนงงเริ่มต้นขึ้น ผมยังต้องฝืนสังขารตัวเองไปเรียนตามปกติ จะเหนื่อยหน่อยก็ตรงซ้อมละครเมื่อวานเล่นเอาเส้นเสียงแทบอักเสบ เช้านี้เลยสำออยลงจากเตียงแบบไม่คูลเท่าไหร่

   ผมคร่อมมอเตอร์ไซค์เตรียมไปมหา’ลัยเหมือนทุกวัน จะติดก็ตรงตอนนี้มีสายจากเพื่อนรักอย่างไอ้ทูแทรกเข้ามาซะก่อน

   “กูรีบไปแล้วเนี่ย ไม่ต้องโทรมาตามยิกๆ หรอกน่า” รู้หรอกว่าต้องการอะไร ช่วงหลังมานี้ผมขับรถช้าลง แก๊งโหดมันเลยชอบโทรมาจิกอยู่เรื่อย

   [ไม่ใช่เรื่องนั้น มึงขับรถไปรับไอ้เติร์ดหน่อยดิ กูกับไอ้โบนถึงมอแล้วเลยไปไม่ได้]

   “เฮ้ยไอ้เติร์ดเป็นอะไรวะ” ผมถามอย่างร้อนรน

   [หม้อน้ำแทบไหม้ เห็นมันบอกขับออกมาควันโขมงเลย]

   “เออเดี๋ยวรีบไปรับ มันอยู่ไหน”

   [หน้าคอนโด ดีนะที่ขับไปไม่ไกล ยังไงมึงก็รีบหน่อยแล้วกันเดี๋ยวมันด่าเช็ด] ว่าแล้วก็ตัดสายไป ผมเลยรีบบึ่งรถไปหาอีกฝ่ายอย่างไม่รีรอ เห็นมันยืนอยู่กับลุงยามตรงทางเข้า แต่พอเจอกันมันกลับถามถึงคนอื่นซะงั้น

   “ไอ้ทูอ่ะ กูโทรให้มันมารับไม่ใช่เหรอ” ที่ไม่ยอมโทรหาก็เพราะอย่างนี้เอง...

   “มันถึงมอแล้ว เลยให้กูมารับแทน แล้วนี่ขับรถยังไงวะให้หม้อน้ำไหม้”

   “ไม่ได้ดูว่ะ ขับเพลินไปหน่อย”

   “คราวหลังดูแลตัวเองด้วย แล้วศูนย์ไม่เติมน้ำให้หรือไง”

   “รอบนี้ลืมเอาไปเช็กระยะ”

   “มันน่าต่อยคว่ำจริงๆ”

   “แล้วนี่ไปยังไง” ไอ้เติร์ดถามอีก นี่มึงตลกเหรอ

   “บิ๊กไบค์กูดิ มึงคิดว่าเราจะเหาะไปเหรอ”

   “แต่มึงไม่ให้ใครนั่งนอกจากสาว” โอเคเก็ทแล้วว่าทำไมถึงถามอย่างนั้น

   “เมื่อก่อนอาจจะใช่แต่ตอนนี้ไม่แล้ว”

   “นอกจากแฟนแล้วเดี๋ยวนี้ให้เพื่อนนั่งได้ด้วยเหรอ ขนลุกว่ะ”

   “ก็ไม่ได้ให้เพื่อนนั่งหนิ”

   “...”

   “มีแต่แฟนที่นั่งได้เหมือนเดิม เร็วรีบขึ้นเดี๋ยวไปสาย” ไม่รอให้เจ้าตัวได้คิดอะไรนานผมก็ยื่นหมวกกันน็อคให้ พร้อมกับสตาร์ทรถรอให้อีกฝ่ายปีนขึ้นมา

   ไอ้เติร์ดทำท่ากล้าๆ กลัวๆ อยู่อึดใจหนึ่งแต่สุดท้ายก็ตัดสินใจขึ้นมานั่งซ้อนอย่างจำยอม ดูเหมือนมันจะไม่ค่อยชินเท่าไหร่ สัมผัสได้จากเสียงลมหายใจที่รถต้นคอของผมอยู่หืดหาด

   “ไม่ต้องกลัว กูขับไม่เร็ว สี่สิบอ่ะ” ผมพูดปลอบใจคนด้านหลัง

   “ยี่สิบพอ”

   “เติร์ดครับ นี่มึงจะไปเรียนวันนี้ถูกมั้ย แค่กูขับสี่สิบเพื่อนมันก็แทบรุมด่าอยู่ละ ไม่ต้องกลัว”

   “มึงก็พูดได้หนิ มึงเป็นคนขับ”

   “ถ้ากลัวก็กอดเอวกูไว้สิ”

   “หึ! ไม่อ่ะ” ผมไม่คิดตื๊อให้มากความ เร่งเครื่องเสร็จก็รีบออกตัวอย่างรวดเร็ว แต่มองทางกระจกหลังทีไรก็เห็นไอ้เติร์ดนั่งตัวเกร็งจนเหงื่อซึม มองแล้วโคตรสงสารเลยว่ะ นี่คงเป็นครั้งแรกที่มันได้นั่งชาวี แม้ไม่ใช่คนแรก แต่นี่แหละคนสุดท้ายที่จะได้นั่ง

   “ไม่กอดเอวก็เกาะไหล่กูแทนได้ เดี๋ยวมึงตกกูไม่กลับมารับนะ” ย้ำไปอีกรอบเผื่อมันจะใจอ่อนบ้าง และคราวนี้ก็ได้ผลเมื่อฝ่ามือขาวค่อยๆ วางบนไหล่ทั้งสองข้างของผมอย่างเชื่อใจ

   วันนี้กูนอนฝันดีละ อย่างน้อยก็เข้าใกล้ความจริงที่ว่า...การจีบไอ้เติร์ดอาจสำเร็จในสักวัน

   เรามาถึงมหา’ลัยพร้อมกับเหงื่อโซมหน้าของคนซ้อน ถึงแม้เจ้าตัวจะไม่ได้พูดอะไรแต่ผมก็อดสงสารมันไม่ได้ แม่งเหมือนจะร้องไห้ออกมาหลายทีแล้ว

   “โอเคมั้ย” ผมเอ่ยถามออกไป

   “แทบตาย” มันพูดพลางพ่นลมออกมาจากปาก

   “ต่อไปกูจะขอรถยนต์ที่บ้านมาใช้”

   “ทำไม จะอวดรวยเหรอ”

   “กลัวมึงนั่งไม่สบายต่างหาก”

   “ไม่ต้องห่วงกูหรอกน่า คงครั้งนี้แค่ครั้งเดียว”

   “งั้นกูคงเป็นห่วงแน่ๆ เพราะกูถือนิยามมีครั้งแรกก็ต้องมีครั้งต่อไป ทำใจให้ชินไว้นะ”

   “นิสัย!”









   ตอนเย็นผมพยายามเกลี้ยกล่อมไอ้เติร์ดอย่างหนักไม่ให้มันอาสาไปทำงานรับบริจาคหาเงินเข้าคณะ ด้วยความคิดที่จะตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ถ้ามันได้เจอไอ้พี่อั้นเลยทุกอย่างก็จบ ความสัมพันธ์ยังไงก็ไม่คืบแน่ๆ แต่ทุกอย่างกลับเลวร้าย เพราะหลังจากเลิกคลาสตอนห้าโมงเย็น คนที่ซุ่มรออยู่ก่อนหน้าก็นั่งยิ้มแฉ่งส่งมาให้แล้ว

   ไอ้พี่เชนทร์ กูเกลียดมึง

   มึงจะมาเป็นก้างขวางคอแทนเพื่อนขนาดนี้ไม่ได้นะเว้ย!

   สุดท้ายผมเลยต้องติดสอยห้อยตามไอ้เติร์ดไปที่ตลาดนัดนิสิต ส่วนเพื่อนรักอีกสองตัวเหรอครับ ส่งกำลังใจทางไกลจากอาบอบนวดโน่น ไอ้ควาย ทิ้งผมให้เผชิญชะตากรรมสองรุมหนึ่งอยู่ลำพัง

   ตลาดนัดนิสิตก็เหมือนตลาดนัดทั่วไปเนี่ยแหละ เพียงแค่จัดขึ้นในมหา’ลัย ที่สำคัญคือให้สิทธิ์นิสิตเท่านั้นที่สามารถจับจ่ายและขายของได้ ดังนั้นเราจึงเห็นว่าหลายร้านมีแต่ของแปลกๆ มาวางขายทั้งนั้น เช่นร้านน้องสุดสวยที่อยู่ขวามือ แม่งโล๊ะเอาเสื้อเที่ยวผับมาออกเร่ขาย ผู้ชายนี่มุงกันเต็มกะซุ่มดูนมกันสนุก

   ผมกับคนในคณะยืนอยู่ตรงที่ว่างล็อกหนึ่งซึ่งได้ทำการลงทะเบียนขอสถานที่เรียบร้อยแล้ว เรามีกล่องรับบริจาคอยู่สองกล่อง และป้ายประชาสัมพันธ์อีกหลายใบ ไอ้เติร์ดกับพี่เชนทร์ถือไว้คนละกล้อง โดยมีผมและพี่อั้นถือป้ายยืนยิ้มแป้นให้กับคนที่เดินผ่านไปมา ส่วนคนอื่นๆ ก็ป่าวประกาศประชาสัมพันธ์ให้ทางคณะไปเรื่อยๆ

   “ไอ้เติร์ด ขอบใจมากที่มาช่วย มึงด้วยนะไอ้ค่าย” มาละ มารผจญอย่างไอ้พี่อั้นมันกำลังมาไม้ไหนกันแน่วะ

   “ขอบคุณทำไม งานคณะก็ต้องช่วยกันดิพี่”

   “ใช่ๆ” ผมพูดสนับสนุนเพื่อนรัก งานนี้ขัดได้เป็นขัด ทำทุกวิถีทางให้พี่มันเลิกยุ่งกับคนของผมสักที แต่เหมือนยิ่งว่าก็เหมือนยิ่งยุ ยืนรับบริจาคไปเลื่อยขาเก้าอี้กันไปไม่หยุด

   “เออไอ้เติร์ดวันนี้มึงมาเรียนยังไง ได้ข่าวว่ารถเสีย”

   “มันมากับผม” ไม่รอช้ารีบสวนกลับไปเร็วพลัน ทั้งที่รู้ว่าตัวเองก็ไม่ได้ชื่อเติร์ด ก็จะตอบอ่าทำไม!   

   “อ๋อมาด้วยกันเหรอ ไอ้ค่ายเวลาขับรถก็ระวังหน่อยแล้วกัน มึงบิดทีแทบไม่เห็นฝุ่น”

   “เดี๋ยวนี้ผมขับช้าแล้วพี่ไม่ต้องห่วงหรอก”

   “ตามนั้น” ไอ้เติร์ดพูดเสริมเบาๆ ความจริงก็แอบหวั่นใจเหมือนกันว่าไอ้พี่อั้นจะชวนเพื่อนผมกลับไปด้วย แต่โชคดีที่พี่มันไม่ได้ถามเลยรู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง

   “งั้นถ้าถึงแล้วมึงก็ตอบไลน์กูให้เร็วๆ ด้วยจะได้สบายใจ”

   “ครับ”

   “...!” ผมยืนนิ่ง พยายามย้อนความคิดของตัวเองว่าเสียงที่ได้ยินนั้นผิดเพี้ยนหรือเปล่า อะไรคือตอบไลน์? นี่คือมึงสองคนติดต่อกันมาตลอดเลยเหรอวะ

   วินาทีนี้ในหัวแม่งโคตรแบลงก์ ครั้งหนึ่งไอ้ทูก็เคยรับปากว่าจะแอบสอดส่องเรื่องโทรศัพท์ของไอ้เติร์ดให้ แต่สุดท้ายเราก็ชะล่าใจ นั่นหมายความว่าตลอดหลายวันที่ผมเดินหน้าทำคะแนนอยู่ ไอ้เติร์ดก็คุยกับพี่อั้นไปด้วย

   แทบล้มทั้งยืน

   ทำได้แค่เงียบและเงี่ยหูฟังบทสนทนาของคนข้างๆ อย่างเดียว เพราะผมกับพี่เชนทร์เหมือนถูกตัดออกจากวงโคจรของคนทั้งคู่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

   “วันนี้ต้องได้เงินบริจาคเยอะเลยว่ะ ความฮอตของไอ้ค่ายแน่ๆ หญิงทุ่มเงินให้เพียบ” กูก็ยืนเงียบไม่โต้ตอบมาเป็นชั่วโมงแล้วมั้ย ไหงวกกลับมาสุมไฟกันอีกละไอ้นี่

   “แล้วทำไมอ่ะครับ” ผมถามกลับอย่างยียวน

   “เปล่า ก็นับเป็นเรื่องที่ดี”

   “นี่ก็นับเป็นเรื่องดีๆ เหมือนกัน คนนั้นเหยื่อเก่าพี่ป่ะวะ หน้าคุ้นๆ”

   “ไม่คุ้นเลย กิ๊กเก่ามึงหรือเปล่า เยอะจนจำหน้าไม่ได้”

   สัด! ถ้าไม่ติดอยู่กลางตลาดนัดกูแลกหมัดกับมันไปละ โลกนี้มีคนที่ผมเกลียดอยู่ไม่กี่แบบ หนึ่งในนั้นคือพวกชอบขุดอดีตชาวบ้านเขามาพูดเพื่อให้ตัวเองดูดีขึ้นมา

   “อย่างไอ้ค่ายนี่สเป็คสาวเลยเนาะ”

   “ดูเลวๆ อ่ะนะ” ไอ้เติร์ดพูดเสริม

   “แหม...พูดอย่างกับไม่เคยชอบคนเลว” อย่างน้อยครั้งหนึ่งมันก็แอบชอบกูล่ะว้า

   สิ้นสุดประโยคนั้นเดดแอร์ก็เข้าแทรกทันที ไอ้เติร์ดเม้มปากเข้าหากันไม่หยุดหลังจากผมพลั้งปากพูดประโยคก่อนหน้าออกไป การขอรับบริจาคยังคงได้รับการสนับสนุนอย่างดี จนเข้าสู่ชั่วโมงที่สามสองขาก็เริ่มเมื่อยล้าเลยเป็นจุดที่เราต้องยุติกิจกรรมนี้ลง

   “เดี๋ยวกลับไปนับยอดกันที่คณะ ระหว่างนี้ใครจะไปหาซื้ออะไรแดกก็ตามสบายเลย” พี่เชนทร์แจ้งกับทุกคนเสร็จสรรพ พี่อั้นมันก็เสนอหน้ามาถามไอ้เติร์ดทันที

   “ออกไปเดินหาอะไรกินมั้ย”

   “ไปด้วยคนดิ” ด้วยไม่อยากให้ทั้งคู่ออกไปกันตามลำพัง ผมจึงทำทุกทางเพื่อเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในนั้น แต่คนมีบุญก็มักมีกรรมมาบังเสมอเมื่อผู้กำกับหุ่นหมีถลาเข้ามาขัดขวางเอาไว้ซะก่อน

   “ไอ้ค่าย มาช่วยกูก่อน”

   “มีเหี้ยอะไรอีกพี่เชนทร์ คือผมหิวมากเลยจะไปเดินกับไอ้เติร์ด”

   “งั้นเติร์ด ฝากซื้อของกินมาให้เพื่อนมึงหน่อยนะ กูขอยืมตัวไอ้ค่ายแป๊บนึง” คนฟังก็พยักหน้าเข้าใจ แล้วเดินฝ่าฝูงชนไปกับรุ่นพี่ปีสี่ ว็อทเดอะฟัคคคคคคคคคค

   “พี่มีไรวะ!” น้ำเสียงที่เปล่งออกไปเต็มไปด้วยความไม่พอใจ จิตใจเองก็ว้าวุ่นจนอยู่ไม่สุข

   “ไม่มีอะไร แค่อยากขอความร่วมมือให้มึงอยู่ห่างจากคู่นั้นหน่อย มันกำลังไปได้สวย”

   “เพื่อ? ผมแม่งไม่เข้าใจพี่เลยว่ะ”

   “ไอ้อั้นเป็นเพื่อนกู ส่วนไอ้เติร์ดเป็นน้องกู เหตุผลแค่นี้ก็น่าจะพอแล้วนะ”

   “แล้วกูอ่ะ กูไม่ใช่น้องพี่เหรอวะ” มันอดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนสรรพนามที่ใช้กับรุ่นพี่ตรงหน้าจริงๆ ถ้าเป็นเพื่อนสนิทกันพี่อั้นมันจะไม่เคยเล่าให้ฟังเลยเหรอว่าผมเคยพูดยังไงไว้ ผมเคยบอกชอบไอ้เติร์ด เคยบอกว่าใครหน้าไหนก็เอาไอ้เติร์ดไปจากผมไม่ได้ แล้วดูตอนนี้ดิ

   “น้อยใจกูว่างั้น โอ๋ๆ นะ” พี่เชนทร์ตั้งท่าเข้ามาปลอบ แต่ผมสะบัดตัวออกราวกับนางเอกหนังไทย

   “ผมบอกเลยว่าไม่พอใจ”

   “โอเคๆ กลับไปสงบสติอารมณ์ที่คณะนะมึง เนี่ยเดี๋ยวพวกมันสองคนก็กลับมาแล้ว ทำเป็นห่วงเพื่อนไปได้” กูไม่ได้หวงเพื่อนโว้ยยยยยยยยย กูหวงไอ้เติร์ด แล้วไอ้เติร์ดคือเมียในอนาคตครับ

   พอตั้งท่าอ้าปากพูดความในใจออกไป เพื่อนคนอื่นก็เดินเข้ามาขัดซะก่อน เลยเอากูยืนทึ้งหัวตัวเองอยู่นาน ก่อนพี่เชนทร์จะกลับมาพร้อมกับท่าทีจริงจัง

   “ช่วยอยู่นิ่งๆ ด้วยครับน้องมึง แสดงท่าทางฮึดฮัดขัดใจแบบนี้คนข้างๆ เขาจะทำตัวลำบาก”

   “พี่ไม่เข้าใจหรอก”

   “เข้าใจดิ แล้วก็รู้ด้วยว่ามึงแม่งเด็กขนาดไหน ไอ้ค่าย...มึงไม่ใช่ศูนย์กลางของโลกนะ และก็ไม่มีเหตุผลด้วยที่ทุกคนต้องหมุนรอบตัวมึง” มือหนาตบบ่าของผมไปมา แววตาของคนตรงหน้าฉายแววเย็นยะเยือกจนรู้สึกตาม

   “หมายความว่าไง”

   “ไอ้เติร์ดกำลังเดินไปข้างหน้า กูเห็นมีแต่มึงที่ฉุดให้มันกลับมาอยู่ในจุดเดิม ซึ่งมึงรู้ดีว่าจุดนั้นเพื่อนมึงไม่เคยมีความสุข”

   “แล้วพี่รู้ได้ไงว่าถ้าเดินไปข้างหน้าแล้วจะมีความสุข”

   “ไม่มีใครรู้หรอก มันอาจจะสุขหรือทุกข์ก็ได้ แต่ที่แน่ๆ ถ้าอยู่ที่เดิมแล้วรู้อยู่เต็มอกว่ายังไงก็ต้องเสียใจ สู้เดินไปข้างหน้าไม่ดีกว่าเหรอ”

   “...”

   “มึงก็เหมือนกัน อย่ารั้งไอ้เติร์ดเอาไว้เลย มันกับไอ้อั้นเริ่มต้นกันได้ดีแล้วถ้าไม่มีมึงเข้าไปแทรก”

   “แต่ไอ้เติร์ดเป็นเพื่อนผม ถ้าผมจะห่วงมันผิดตรงไหน”

   “หึ! ไม่ผิด แต่เอากลับไปคิดนะว่าจริงๆ แล้วห่วงเพื่อน หรือห่วงตัวเองกันแน่”

    สิบห้านาทีให้หลังคนที่ทำให้ผมกระวนกระวายใจเดินมากับรุ่นพี่พร้อมของกินในมือ พี่เชนทร์เดินผละไปอีกด้านเพื่อพูดคุยกับคนที่เหลือ มีเพียงผมที่กำลังจดจ่อกับมือขาวที่กำลังยื่นถุงไส้กรอกมาให้

   “ของมึง”

   “ซื้อมาให้กูเหรอ”

   “ก็เออดิ อือ! มีอีกอย่าง ขากลับจากตลาดกูไปกับพี่อั้นนะ เจอกันที่คณะเลยแล้วกัน”

   “แล้วทำไมไม่กลับด้วยกันวะ หรือกูขับรถเร็วเกินไป คราวนี้ช้ากว่าเดิมแน่” ผมพยายามยื้ออีกฝ่ายเอาไว้ ทั้งที่ไม่รู้ว่าระหว่างที่หายไปคนทั้งคู่คุยอะไรกันไปบ้าง

   “ไม่ใช่อย่างนั้น กูต้องช่วยพี่เขาขนกล่องรับบริจาคกับอุปกรณ์ด้วย ยังไงเดี๋ยวก็ต้องไปเจอกันอยู่ดี”

   “ขนไปรถกูได้”

   “มอ’ไซค์ป่ะวะ มันลำบากมึงก็รู้ เจอกันที่คณะแล้วกัน” ว่าแล้วมันก็ผละไปอีกทางพร้อมกับรุ่นพี่ปีสี่ ทิ้งผมยืนเคว้งทำเอ็มวีอยู่ลำพังเกือบสิบนาที นี่เหรอความรู้สึกของคนโดนทิ้ง ความรู้สึกของคนที่พยายามแต่เขาไม่รักตอบ

   ได้แต่มองตามแผ่นหลังของมันเดินห่างออกไปเรื่อยๆ โดยที่ผมเรียกร้องอะไรไม่ได้เลย

   ว่าแล้วก็จัดการจิ้มไส้กรอกใส่ปากขณะย่ำสองเท้าไปยังลานจอดรถมอเตอร์ไซค์ ข่าวดีอย่างหนึ่งในวันนี้ที่ผมเพิ่งค้นพบคือไอ้เติร์ดยังคงจำได้ว่าผมชอบกินไส้กรอก แต่สิ่งหนึ่งที่มันลืมไปซะสนิทคือกูไม่แดกมายองเนส แถมเล่นใส่มาซะแน่นจนกูแทบอ้วก

   บรรยากาศใต้ถุนคณะเต็มไปด้วยความวุ่นวาย เพราะเราต้องรีบนับยอดให้เสร็จและลงบัญชีเอาไว้ก่อนถึงจะกลับบ้านได้ ซึ่งตอนนี้ก็เหลือแต่คนที่มีหน้าที่เท่านั้นนั่นคือปีสี่ แต่ไอ้เติร์ดเนี่ยสิที่ไม่ยอมกลับเพราะให้เหตุผลว่าต้องรอพี่เชนทร์ทำงานเสร็จก่อนถึงจะไปได้

   ดูเป็นน้องที่น่ารักนะครับ ขนาดเมียพี่มันยังไม่ดูแลขนาดนี้เลย

   “นี่ก็สี่ทุ่มแล้วนะ เรากลับกันก่อนก็ไม่เห็นเป็นไรเลย” ผมพูดอย่างไม่เข้าใจ ยอมรับว่าเมื่อก่อนกูมีเหตุผลมากกว่านี้เยอะ แต่พอมีเรื่องของไอ้เติร์ดเข้ามาเอี่ยวด้วยกูก็กลายเป็นคนงี่เง่าทันที

   “มึงอยากกลับก็ไปก่อนได้เลย ไม่ต้องรอกูหรอก”

   “ได้ไงวะ มาด้วยกันก็กลับด้วยกันดิ”

   “พี่เชนทร์กับพี่อั้นก็อยู่ เขาไปส่งกูได้มึงไม่ต้องห่วง”

   “ไอ้พี่อั้นเนี่ยแหละตัวดีเลย กูไม่ชอบให้มันวุ่นวายกับมึง”

   “มึงก็วุ่นวายกับกูไม่ต่างกันนั่นแหละ”

   “เออ! ขนาดกูยังไม่ชอบตัวเองเลย เป็นเหี้ยอะไรกับมึงนักหนาก็ไม่รู้”

   “...” ผมทึ้งหัวตัวเองด้วยความหงุดหงิด ตอนนี้ทุกอย่างที่อยู่ในใจทะลักจนแทบเขื่อนแตก เพราะกลัวว่าจะเสียมันไป กลัว...ว่าทุกอย่างจะสายไป

   “แล้วเรื่องไส้กรอกเหมือนกัน มึงลืมไปแล้วเหรอว่ากูไม่ชอบมายองเนส”

   “พี่อั้นเป็นคนซื้อให้ กูไม่ได้มอง”

   “แล้วมึงก็เอามาให้กูเนี่ยนะ ทำไมมึงไม่เลือกให้กูเอง”

   “มันก็เหมือนกันป่ะวะ”

   “เหมือนกันตรงไหน รสชาติอ่ะเหมือน แต่ความรู้สึกแม่งไม่ใช่เลย แล้วเรื่องนี่อีก...มึงคุยไลน์กับเขาด้วยเหรอ”

   “เรื่องงาน”

   “งานก็คุยที่คณะได้”

   “มีเรื่องส่วนตัวด้วย”

   “ไหนมาให้กูสแกนซิ เป็นกูแม่งไม่ให้หรอก ดูแล้วไม่น่าไว้ใจ”

   “ทีมึงยังแจกให้ผู้หญิงทั้งมอเลย มีสิทธิ์บอกกูเรื่องนี้ได้ด้วยเหรอ”

   “ลืมไป กูไม่มีสิทธิ์นี่หว่า” ก็หวงอ่ะ ไม่มีสิทธิ์แต่ก็รู้สึกไม่พอใจอยู่ดี ผมเลยเงียบใส่แล้วหันหลังให้มันแทน และพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองอย่างสุดความสามารถ ไอ้เติร์ดตัดใจจากผมไปแล้ว คงเป็นเรื่องยากที่จะทำให้กลับมารักใหม่ บางทีการเอาแต่ใจตัวเองก็ไม่ใช่วิธีที่ดีนัก

   เรานั่งรออยู่ที่โต๊ะใต้ถุนอาคารเกือบชั่วโมง ก่อนปีสี่จะพากันเข้าไปคุยงานที่ห้องสโมสรทิ้งไว้เพียงมนุษย์ปีสามสองคนที่นั่งหันหลังชนกัน ผมพยายามอย่างมากที่จะไม่หันกลับไปมอง แต่สุดท้ายก็อดไม่ได้จริงๆ

   “เติร์ด”

   “...”

   “ทำ...” เท่านั้นแหละครับผมรูดซิบปากอย่างรวดเร็ว ประโยค ‘ทำอะไรอยู่วะ’ หายไปในลำคอก่อนจะพบว่าไอ้เติร์ดฟุบลงกับโต๊ะและหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แก้มข้างหนึ่งแนบลงกับแขนจนปากเผยอ ดูแล้วก็ไม่ต่างจากเด็กเล็กๆ เท่าไหร่ แต่ผมก็นั่งมองอยู่อย่างนั้นไม่ละสายตา

   บางทีตอนมึงหลับนี่ดีเหมือนกัน อย่างน้อยก็ให้กูได้มีเวลามองมึงอยู่ใกล้ๆ บ้าง นี่ถ้ามึงกลายเป็นของคนอื่นกูจะเป็นยังไงวะ จะทนได้มั้ย ไม่อยากจะคิดเลย



    ‘ไอ้ค่ายเวลาดูหนัง มึงคิดว่าการแสดงความรักรูปแบบไหนลึกซึ้งสุดวะ’
   ‘เยแน่นอน’
   ‘มึงกลับไปเยที่ห้องไป’
   ‘มันเป็นมุกเหอะ สำหรับกูก็คงเป็นจูบมั้ง’
   ‘...’
   ‘จูบเสร็จแล้วก็สบตากัน’
   ‘น้ำเน่าฉิบหาย’
   ‘แต่มึงก็ชอบเหอะ’
   ‘ธรรมดาป่ะวะ เวลามึงจูบคนที่รักมึงไม่ชอบเหรอ’
   ‘ไว้รักใครสักคนจริงจังก่อนนะ เดี๋ยวมาบอกคำตอบให้’
   
   


   ในหัวของผมคิดถึงแต่เรื่องจูบ จูบ แล้วก็จูบเต็มไปหมด สายตาที่จ้องมองริมฝีปากของคนหลับไม่รู้อิโหน่อิเหน่ดึงดูดคนมองได้ชะงักงัน ครั้งหนึ่งเราเคยจูบกันอย่างลึกซึ้งแต่กลับไม่มีความรักเข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นจูบที่เต็มไปด้วยความสับสนและไม่เต็มใจของอีกฝ่าย

   ตอนนั้นไอ้เติร์ดร้องไห้หนักมาก ดวงตาของมัน ริมฝีปากของมัน รวมไปถึงเสียงสะอื้นในคืนที่เมาแทบคลั่งนั้นไม่สามารถลบออกจากหัวไปได้

   แล้ววันนี้ผมก็รู้สึกโลภที่อยากได้มากกว่านั้น อยากทำ...ให้มันดีขึ้น

   ความดีความชั่วตีกันไปมาในหัว สุดท้ายความชั่วในใจก็ชนะทุกอย่าง ผมใช้จังหวะนั้นโน้มหน้าเข้าหาใบหน้าขาว ลมหายใจของไอ้เติร์ดกระทบกับปลายจมูก เสี้ยววินาทีนั้นผมถือวิสาสะประทับริมฝีปากลงไป

   ขอแค่แตะ ไม่คิดจะล่วงล้ำเข้าไปใดๆ ทั้งนั้น

   แค่นิดเดียวที่ส่วนหนึ่งของร่างกายสัมผัสกัน คนที่หลับอยู่ก็เริ่มงัวเงียขึ้น ซึ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากและผมไม่สามารถถอนริมฝีปากออกมาได้ทัน

   ได้เติร์ดค่อยๆ ปรือตาขึ้น แต่ในระยะประชิดแบบนี้การมองเห็นคงแย่มากจนดูไม่ออกว่าใครเป็นใคร ผมคิดว่ามันรู้สึกได้ว่ากำลังอยู่ในสภาพไหน และสมองของผมก็พยายามประมวลผลเพื่อหาคำแก้ตัวเพื่อไม่ให้แม่งอาละวาดใส่

   “อือ...”

   ผมผละริมฝีปากออกมาเล็กน้อย แค่เล็กน้อยเท่านั้น...

   วันนั้นที่เราเคยคุยกัน ถ้าวันหนึ่งได้รักใครจริงจังสักคนกูจะบอกกับมึง และวันนี้ผมก็ได้คำตอบแล้วนั่นคือชอบ เพราะกูรักมึงกูถึงชอบที่จะจูบมึง

   “เติร์ด กู...”

   “คิดว่ากูเป็นใครเหรอ”

   “...”

   “กูไม่ใช่อีตัวที่มึงชอบมั่วนะ”

   “...!!”

   ราวกับถูกฟ้าผ่าลงกลางความรู้สึก ร่างกายชายิบไปซะทุกส่วน รู้ตัวอีกทีผมก็ค่อยๆ ผละห่างจากคนตรงหน้าไปทีละน้อย แม้กระทั่งสองเท้ายังเซไปข้างหลังโดยอัตโนมัติ

   ไอ้เติร์ดเหมือนพยายามเรียกสติตัวเองกลับมา พอปรับสายตาได้มันก็เห็นผมที่ยืนอยู่ตรงนี้แล้ว ผม...ที่ไม่รู้จะแสดงสีหน้ายังไงส่งไปให้

   “กูเป็นผู้หญิงคนไหนในสต๊อกของมึงเหรอ” เสียงนั้นแผ่วเบามาก แต่ผมกลับได้ยินอย่างชัดเจน

   “เมื่อกี้กูจูบมึงเพราะกู...” ผมตัดสินใจพูดความจริงออกไป

   “อย่าทำอย่างนี้อีก อย่าทำให้กูต้องตัดเพื่อนกับมึงอีกเลย”

   “เติร์ด จริงๆ แล้ว...”

   “แค่นี้มึงก็น่ารังเกียจสำหรับกูเกินพอแล้ว”

   “มึงรู้สึกอย่างนั้นเหรอ”

   “...”

   “มึงไม่เคยบอกว่ารังเกียจกู ทำไมไม่บอกตั้งแต่แรกกูจะได้ปรับปรุงตัว นี่กู...เป็นตัวน่ารังเกียจของมึงมานานแค่ไหนแล้ววะ”

   สมองตอนนี้ว่างเปล่าจนน่ากลัว ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาดื้อๆ ไม่นานเสียงโหวกเหวกโวยวายก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง ก๊วนแก๊งปีสี่กำลังเดินออกมาขณะที่ผมเริ่มถอยห่างออกจากเพื่อนรักมากขึ้นเรื่อยๆ

   “เสร็จแล้วเว้ย กลับกันได้เลยนะ” สิ้นเสียงของพี่เชนทร์ผมหันไปเผชิญหน้ากับรุ่นพี่ปีสี่อีกคนอย่างไอ้อั้นทันที ตอนนี้ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากกำหมัดแน่น เราไม่ได้พูดอะไรกันแต่สุดท้ายผมก็ยอมแพ้ด้วยการเบี่ยงตัวเดินไปที่ลานจอดรถ

   ตอนนี้ไอ้เติร์ดคงไม่อยากกลับกับตัวรังเกียจอย่างผมหรอก

   ขนาดตอนจูบกันมันยังคิดว่าผมมั่วกับอีตัวอยู่เลย ตลกฉิบหาย ฮ่าๆ

   แทบไม่รอให้เสียเวลาผมจัดการสตาร์ทบิ๊กไบค์คันเก่ง พร้อมเร่งเครื่องอย่างแรงเพื่อพาตัวเองไปให้ไกลจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด ยอมฝ่าความมืดยามค่ำคืนไปยังเส้นทางที่ทำขึ้น ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความเร็วของรถอยู่ที่เท่าไหร่ รู้แค่ว่าใบหน้ากับกระบอกตาที่ร้อนผ่าวนั้นบ่งบอกได้อย่างดีว่าเรื่องที่เกิดขึ้นสร้างความเสียใจเอาไว้มากแค่ไหน

   พรุ่งนี้เราจะยังเป็นเหมือนเดิมมั้ยวะ พรุ่งนี้มึงจะยังเป็นเพื่อนกูหรือเป็นของคนอื่นไปแล้ว

   ทั้งหมดเป็นความผิดของผมที่รู้ตัวช้าไป ผมที่ผมเหี้ยกับไอ้เติร์ดมาตลอดแต่สุดท้ายก็ไม่เคยทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้น แต่จะให้ทำยังไง สำหรับผมเราเป็นเพื่อนกันไม่ได้อีกแล้ว



   ‘ถ้าวันหนึ่งกูหลงทางมึงจะทิ้งกูมั้ยไอ้ค่าย’
   ‘ไม่มีทาง’
   ‘แล้วถ้ากูเสียใจมึงจะอยู่ปลอบกูมั้ย’
   ‘ทุกเวลา’
   ‘มึงพูดแล้วนะว่าจะไม่ทิ้งกู’
   ‘สัญญา’




   โครม!!

   ภาพในม่านสายตาพลิกคว่ำพลิกหงายหลายตลบ ร่างทั้งร่างรู้สึกชาดิกแต่ไม่นานก็รับรู้ได้ถึงอาการสั่นอย่างหนักหน่วงโดยเฉพาะฝ่ามือ กลิ่นคาวลอยคว้างเตะจมูก ผมพยายามปรับระดับสายตาของตัวเองอย่างสุดความสามารถ แต่ก็พบเพียงเงาเลือนรางของตันไม้ท่ามกลางความมืด

   ความรู้สึกเวียนหัวมีอิทธิพลเหนือกว่าทุกสิ่ง แต่ก็ยังกัดฟันดันตัวเองให้ลุกขึ้นพร้อมกับความเจ็บซ่านที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาในความรู้สึกทีละน้อย

   ชาวีตอนนี้ล้มไถลไปกับพื้นถนน ตัวของผมห่างจากรถคันโปรดค่อนข้างไกล จำไม่ได้แล้วว่าเพราะเหตุอะไรรถถึงล้มลง เพราะตอนนั้นผมไม่มีสมาธิจดจ่อกับการขับรถเลยเนื่องจากกำลังคิดถึงเรื่องใครบางคนอยู่

   ใครบางคน?

   ภาพของไอ้เติร์ดฉายวาบเข้ามาในหัว ผมพยายามอย่างหนักเพื่อพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นยืนเต็มสองขา แม้มันจะสั่นมากมายแค่ไหนก็ตาม วินาทีนี้ผมไม่มีแม้แต่แรงจะพลิกบิ๊กไบค์ขึ้นมาขับได้อีกแล้ว ชุดนิสิตที่สวมใสอยู่ขาดวิ่น สีสันมองไม่ชัดว่าสกปรกแค่ไหนเพราะแสงไฟไม่เพียงพอต่อการมองเห็น

   ผมเดินกึ่งวิ่งกลับไปยังเส้นทางเดิม ด้วยความคิดที่ว่าครั้งหนึ่งเราเคยสัญญากัน ผมจะไม่ทิ้งมันไปไหน...

   เท้าที่ก้าวไปแต่ละก้าวเต็มไปด้วยความยากลำบาก ความเจ็บลึกแผ่ซ่านราวกับจะหักกระดูกเป็นท่อนๆ ของเหลวที่ไหลซึมบนหัวเริ่มอาบลงมาบดบังการมองเห็น หรือจริงๆ แล้วมันคือน้ำตาที่ไหลลงมากันแน่ ภาพตรงหน้ากึ่งมืดกึ่งสว่างคล้ายอาการเมาจนประคองสติไม่อยู่

   พรุ่งนี้ระหว่างผมกับไอ้เติร์ดจะเป็นยังไงไม่มีใครรู้ แต่ผมก็ไม่อยากเสียมันไปแม้จะกลายเป็นตัวน่ารังเกียจแค่ไหนก็ตาม

   ดึกแล้ว รอบกายมีแต่ความเงียบงัน ผมเดินกะเผลกไปเรื่อยๆ และเฝ้าแต่ภาวนาว่าอีกฝ่ายจะยังไม่ไปไหน เพราะผมจะไม่เป็นอะไรจนกว่าจะได้ทำตามสัญญา

   โชคดีที่เดินกึ่งวิ่งไปอีกหน่อยแสงไฟจากตึกคณะวิศวะฯ ก็ช่วยส่องสว่างนำทางให้เป็นอย่างดี ตอนนี้ผมเห็นสภาพตัวเองได้ชัดเต็มสองตาแล้ว ทั้งกางเกงและเสื้อผ้าขาดจากแรงไถลบนพื้นถนนจนมีเลือดไหลซึม ฝ่ามือทั้งสองข้างก็ด้วย และที่สำคัญของเหลวสีแดงฉานที่ไหลลงมาบนเปลือกตาจนเหนียวหนืดก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าหัวคงแตกยับ

   กลิ่นคาวเลือดทำให้ผมอยากอ้วก แต่ผมหยุดไม่ได้ต้องเดินหน้าต่อไปจนถึงตึกคณะ พลันร่างของใครคนหนึ่งซึ่งกำลังเดินมายังปากทางคณะพร้อมกับพี่อั้นปรากฎในม่านสายตา

    “เฮ้ยไอ้ค่าย!!” เสียงร้องกึ่งตกใจดังขึ้นมา ผมไม่รู้ว่าเสียงนั้นมาจากใครแต่คงไม่ใช่ไอ้เติร์ดแน่ๆ

   คนตรงหน้ามองผมด้วยสายตาโปนๆ แต่น่ารักของมัน เสียงหอบหายใจที่ดังขึ้นส่งผลให้ผมไม่สามารถพูดสิ่งที่อยากพูดออกไปได้ในตอนนี้ นอกจากขยับเท้าให้เข้าใกล้กับใครคนนั้นมากกว่าเดิม

   จากนั้นก็รวบรวมสติที่มีอยู่อันน้อยนิดเพื่อบอกกับมัน

   “เติร์ด...กูกลับมารับมึงแล้ว”

   “...”

   “ขอโทษนะที่ทำให้รอนาน”

   “...”

   “อย่ารังเกียจกูเลย เรา...กลับด้วยกันเถอะนะ”




ทุกคน ขอโอกาสให้ค่ายได้แก้ตัวหน่อยนะคะ
เห็นแล้วสงสารมาก ฮืออออ
#ทฤษฎีจีบเธอ


ออฟไลน์ boboman

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
 :z13:
ตอนนี้สงสารค่ายมากก ฮือออ  :hao5:
คำที่เติร์ดพูดเล่นเอาจุกไปเลยเหมือนกัน แงงง
หวังว่าหลังเหตุการณ์นี้ทุกอย่างจะดีขึ้นนะ  :ling1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-07-2017 22:33:23 โดย boboman »

ออฟไลน์ Piima

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 660
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ค่ายคนกากกกกกกกกกกกกกกกก

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
 :pig4:

ออฟไลน์ poommy_TY

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
โอ้ยยยย ใจแม่

สงสารอิค่ายมากจริงๆ เข้าใจว่าเติร์ดฝังใจมาก
คืออิค่ายก็ทำไว้เยอะ แต่ตอนนั้นมันโง่อยุ่

ฮือออออ ตอนนี้มันทำดีมาก อิค่าย จงทำดี จงทำดี

สงสารรรรรร เจ็บใจแล้วยังเจ็บตัวอีก สู้นะเอ็งนะ

อยากอ่านต่อแบบจะลงแดง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ทฤษฎีจีบเธอ ∞ ตอนที่ 9 [02/07/60] *หน้า25
« ตอบ #729 เมื่อ: 02-07-2017 20:33:21 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ pktherabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 207
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ฉากล้มเลือดท่วมนี่ พี่หลิวแห่งผู้หญิงข้าใครอย่าแตะลอยมาเลย

ออฟไลน์ me12inzy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
 :o12: :o12: :o12: สงสารอีค่ายคนโง่ จุกตรงคำว่ารังเกียจมาก โอย
เข้าใจเติร์ดว่าเจ็บแล้วจำอะ แต่อีค่ายหายโง่ละน้า สนใจมันนิดนึงส์
ยังไงก็ไม่ไว้ใจอิพี่ปี4 เพราะว่าชั่วเหมือนอีค่ายนี่แหละ เลยไม่ไว้ใจ
ตรงฉากรถล้ม นี่แบบ จุกที่ใจเลยอะ ฮือ

ออฟไลน์ oohsg94

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :hao5: สงสารนังค่ายแล้วตอนนี้ เข้าใจหัวอกของคนที่พยายามสักทีนะค่าย ว่ามันต้องสู้ขนาดไหน  :hao5: :z3:

ออฟไลน์ fugtong

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
ใจนึงก็สมน้ำหน้าอิค่ายนะ แต่ก็สงสารมันเหมือนกัน กลัวใจเติร์ดมากอ่ะ
แอบอึดอัดกับการกระทำของพี่เชนทร์อยู่นะ พี่อั้นก็ไม่ได้ดีไปกว่าอิค่ายป่ะ? แต่ก็เพื่อนกันนี่เนอะ
 ไม่อยากเดาตอนต่อไปเลยกลัวใจจิตติมากสุด55555555555

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
ชอบคำพูดพี่เชนทร์นะแต่ไม่ชอบการกระทำค่ะออกตัวแทนเพื่อนได้ไง เรื่องแบบรี้ต้องให้เจ้าตัวทำเองและให้คนกลางอย่างเติร์ดตัดสินใจนะคะไม่ใช่มาสร้างโอกาสให้กันแบบนี้ ส่วนอิค่ายนั้นรถล้มขนาดนี้ยังลุกมาวิ่งได้แกสตรองมากค่ะ แต่ถ้านี่เป็นเติร์ดคงช็อกอะคือแกเหมือนผีมากค่ายสภาพนั้น อีกอย่างกับคำพูดแกนี่จะแกจริงจังกว่านี้มันอาจจะดูจริงใจก็ได้นะ

ออฟไลน์ MissMay

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
สงสารค่ายยยยยย โฮฮฮฮฮฮ  :ling1:

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
โอ๊ยยยย หัวใจ~~ // สงสารทั้งคู่เลย  :hao5:

ออฟไลน์ colorofthewind21

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-1
แงงงงงงง สงสารค่าย

ออฟไลน์ fsbeentaken

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 153
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
น่างสานนนนนน รำอิพี่อั้นมากบอกเลย :katai1:

ออฟไลน์ pui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-3
 :katai1: :katai4: :katai4: :katai4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ทฤษฎีจีบเธอ ∞ ตอนที่ 9 [02/07/60] *หน้า25
« ตอบ #739 เมื่อ: 02-07-2017 21:15:44 »





ออฟไลน์ ►MoNkEy-PrInCe◄

  • อินเตอร์ไลน์
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 726
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-3
ความสะใจมันหายไป เหลือไว้เพียงความสงสาร โฮกกกก

ออฟไลน์ AmiTiel

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ฮืออออ ค่ายยยย นายทำเราเสียน้ำตา  :o12:

ตอนของเติร์ดเสียน้ำตาไปเท่าไหร่ ตอนของค่ายจะต้องเสียมากกว่านั้นใช่ไหม ฮรึก

รอคอยวันที่เค้าสองคนรักตรงกัน :monkeysad:

ออฟไลน์ A_Narciso

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 879
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
สงสารอิค่ายขึ้นมานิดหน่อย  :hao3:

ออฟไลน์ Kaikaaa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
"แม่งได้อภิสิทธิ์เหนือกว่าทุกคนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว"
เจอคำนี้ไปนึกสงสารค่ายอยู่นะ มันก็แค่ไม่รู้อะไรเลย รู้ตัวช้าและสกิลกากนิดหน่อย
อ่านตอนนี้จบหน่วงตามคนกากอ่ะ ได้กันไวๆ นะ :ling3:

ออฟไลน์ wonderbe

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 754
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ แม้วธวัลหทัย

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
ค่ายคนโง่ น่าสงสารมาก
อ่านเสร็จมันตื้อไปหมด
ต้องทนขนาดไหนกันนะ...
ถึงพาร่างตัวเองไปหาเติร์ดได้

เจ็บมั้ยค่าย?
ตอนนี้เติร์ดจิตใจเข้มแข็งมากเลยนะ

อ่านตอนนี้จบอยากอ่านตอนต่อไปไวๆ
ขอบคุณที่มาต่อค่ะ

ออฟไลน์ abbaba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
สงสารค่าย :sad4:
แต่เข้าใจเติร์ดจริงๆนะ
รอตอนต่อไปแล้ววว

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
คนเขียนใจร้าย ต้องให้อิค่ายเอาเลือดเข้าแลกเชียว สงสาร ๆ

ออฟไลน์ Aly-Q

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 155
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
สงสารแล้วๆ ถึงจะไม่หน่วงแต่ก็หนัก :ling1: :ling1:

ออฟไลน์ Cardiac

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 355
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
ค่าย น่าสงสาร :hao5:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด