ทฤษฎีจีบเธอ ∞ THE END
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ทฤษฎีจีบเธอ ∞ THE END  (อ่าน 2134340 ครั้ง)

ออฟไลน์ daisyskies

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อ่านถึงตอนนี้ละนึกถึงที่จิตติบอกว่าพระเอกเรื่องนี้โง่บรรลัยมาก อื้มมม จริง55555
ที่มันหน่วงๆอึนๆจะบอกว่าค่ายผิดก็ไม่ได้ เติร์ดผิดก็ไม่ได้
เติร์ดเองก็ไม่คิดจะบอกค่าย และอิค่ายเองก็รู้ตัวช้า
แต่ว่าพอค่ายรู้ตัวแล้วพยายามเข้าหาเติร์ด ตัดผู้หญิงออกจากชีวิตหมด เคลียร์ตัวเองเรียบร้อย
ตอนนี้คือแบบ เออ น่าเชียร์ละ โอเค เป็นพระเอกก็ต้องผ่านช่วงเวลาโง่ๆบ้าง พยายามต่อไปนะค่ายนะ

ออฟไลน์ Jittirain12

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 353
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1238/-18
ตอนที่ 10
เพราะชอบเลยต้องจีบ



   ไอ้เติร์ดยืนตัวแข็งทื่อ ผมรอฟังคำตอบจากมันอย่างจดจ่อ พยายามก้าวเท้าต่อไปอีกนิดทั้งที่แทบไม่เหลือแรงเดินต่อไปแม้แต่เซนเดียว

   “รอก่อนได้มั้ย กู...จะกลับไปเอารถ” ชาวีล้มอยู่ไม่ไกล อย่างน้อยก็แค่ตึกคณะแพทย์เอง

   แค่อีกฟากของมหา’ลัย...

   “ไอ้ค่ายพอแล้ว” ดวงตาพร่าเลือนส่งผลให้ผมมองสีหน้าของมันไม่ออก สัมผัสได้แค่ฝ่ามืออบอุ่นที่จับแขนเอาไว้เท่านั้น

   “อย่าไปกับเขา”

   “มึงต้องไปโรง’บาลนะ ต้องไปเดี๋ยวนี้ พี่อั้นช่วยผมหน่อยครับ”

   “ไม่ๆ กูปกติดี เติร์ดกูขอร้อง” ผมพยายามยกมือติดสั่นของตัวเองลูบบนขากางเกงไปมา อย่างน้อยเลือดสกปรกนี่อาจไม่ทำให้คนตรงหน้าผะอืดผะอมมากนัก

   ผมคิดมาตลอดว่าการกระทำเหี้ยๆ ที่ผ่านมาจะทำให้ผมด้านชาทางความรู้สึก ผมไม่เคยร้องไห้ให้กับความรัก ไม่เคยเสียใจ ไม่เคยคิดจะทุ่มเทแล้วพอไม่สมหวังก็มานั่งฟูมฟาย ความรู้สึกของผมมีภูมิต้านทานเสมอ แต่สุดท้ายไอ้เติร์ดกลับพังมันลงทุกอย่าง

   ตอนนี้ขาข้างซ้ายเจ็บจนเหมือนมีคนกำลังจับมีดมาเลาะกระดูกของผมและสับเป็นชิ้นๆ จนผมหวั่นใจว่าจะไม่สามารถทำตามสัญญาและพาไอ้เติร์ดกลับไปได้ แค่รู้ว่ามันต้องไปกับคนอื่นผมก็...

   “ค่ายมึงได้ยินกูมั้ย รอก่อนนะ รอพี่อั้นก่อน” น้ำเสียงนั้นดูร้อนรน ผมเซถอยหลังไปหลายก้าว อย่างน้อยก็เพื่อให้อีกฝ่ายไม่ต้องรอนานนัก

   “กู...กูจะกลับไปเอารถ”

   “แต่มึงไปไม่ได้ไอ้เหี้ยมึงได้ยินมั้ย มึงไปไม่ได้!”

   “ได้ยินแล้ว เข้าใจแล้ว” นี่อาจเป็นประโยคที่ผมเค้นอยู่นานกว่าจะเปล่งออกมาได้ แต่เพราะฝืนวิ่งมาไกลเกินไป  เหนื่อยมากเกินไป ความอดทนเลยสิ้นสุด ปล่อยให้ภาพในม่านสายตาค่อยๆ พร่ามัวก่อนจะปิดลงอย่างจำยอม...

   ยังดีที่เสียงสุดท้ายที่ได้ยินคือเสียงของไอ้เติร์ด อย่างน้อยผมก็ดีใจที่ได้พยายามแม้ไม่ได้รับคำตอบเป็นเชิงตกลงก็ตาม

   “พี่อั้นเบาแอร์ให้หน่อยได้มั้ย ไอ้ค่ายสั่นไม่หยุดเลย” เสียงที่แว่วเข้าโสตประสาททำให้ผมพยายามปรือตาขึ้น แต่เหมือนเลือดที่เกาะอยู่ตรงเปลือกตาแม่งโคตรเป็นอุปสรรคจนไม่สามารถลืมตาขึ้นมาได้

   ผมไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน หลับไปนานเท่าไหร่ แต่ความเย็นที่ตกกระทบสลับกับความอุ่นจากร่างกายของใครอีกคนมันทำให้รู้สึกวางใจขึ้นมาได้บ้าง

   หัวของผมคงหนุนอยู่บนตักของมัน ฝ่ามืออุ่นๆ ที่แนบแก้มอยู่ตอนนี้ก็ด้วย

   ไม่รังเกียจใช่มั้ย

   “ค่าย มึงตื่นอยู่หรือเปล่า” เสียงนั้นช่างนุ่มหูราวกับห่วงใย เป็นน้ำเสียงที่ไม่ได้ยินมานานแล้วตั้งแต่เราทะเลาะกัน

   “...” ผมอยากตอบว่าตื่นอยู่ แต่ก็ไม่เหลือแรงเพื่อตอบสนองใดๆ อีก

   “อดทนนะ จะถึงโรง’บาลแล้ว”

   อืมกูจะอดทน ขอแค่มีมึงอยู่ตรงนี้ก็พอ

   ขอบคุณนะ ขอบคุณที่ไม่รังเกียจกัน วันนี้เรา...

   ได้กลับด้วยกันแล้ว


   ‘มีคนตั้งข้อสงสัยเรื่องบทละครเก่าๆ เรื่องหนึ่งว่าเป็นผลงานของเชกสเปียร์จริงมั้ย’
   ‘แล้วไงต่อ’
   ‘นักสถิติเลยต้องตรวจสอบด้วยการพิสูจน์อักษรแล้วนับจำนวนคำ เช็กสเปียร์มักใช้ชุดคำเดิมๆ และจำนวนใกล้เคียงกันไม่ว่าจะเขียนเรื่องไหนก็ตาม แต่มีคำนึงที่เขาไม่เคยพูดเลยในงานเขียน’
   ‘อะไรวะ’
   ‘คำว่ารัก’
   ‘คำนี่แม่งเป็นชุดคำในสมองกูเลยนะ’
   ‘ใช่ การใช้คำบ่งบอกว่าคนๆ นั้นเป็นคนยังไง บางคนพูดคำหยาบบ่อย หรือบางคนพูดคำว่ารักพร่ำเพรื่อ การพิสูจน์คำในประโยคนั้นเลยสามารถระบุตัวตนคนเขียนหรือคนพูดได้’
   ‘แล้วมึงอ่ะเติร์ด ชอบพูดคำไหนบ่อยสุด’
   ‘ไม่รู้ดิ มึงอ่ะ คำว่ารักเหรอ’
   ‘คงงั้นมั้ง’


   ตอนนั้นประโยค ‘ผมรักคุณ’ อาจเป็นคำพูดติดปากที่ผมมักใช้กับคนอื่นเสมอ แต่วันนี้ผมรู้คำตอบแล้ว ตัวตนที่เป็นผม กับคำเดิมๆ ที่พูดมาตลอดหลายปี

   นี่คือตัวตนของคนชื่อค่าย เป็นเจ้าของคำพูดที่จดลิขสิทธิ์ทางความรู้สึก...

   เติร์ด
 










   ผมรู้สึกตัวตอนได้ยินเสียงคนหลายคนคุยกัน แม้จะเบามากๆ แต่ก็รบกวนการนอนของผมไม่น้อย เลยจำต้องค่อยๆ ฝืนเปลือกตาขึ้น แสงที่วาบเข้ามาในตาแม่งทำเอาไม่กล้ามองชั่วขณะ ต้องใช้เวลาอยู่พักหนึ่งกว่าจะปรับโฟกัสให้ชัดและมองเห็นเป็นปกติ

   นั่นแหละครับ ภาพแรกที่ผมเห็นคือหัวของมนุษย์แก๊งโหดสามคน กำลังชะโงกหน้าเข้ามาในเฟรมพร้อมกับส่งยิ้มให้ ความเจ็บชาที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาในความรู้สึกดันให้ผมต้องเบ้หน้าอยู่หลายครั้ง ก่อนหนึ่งในกลุ่มเพื่อนจะเอ่ยประโยคกวนๆ เป็นการทักทาย

   “เป็นไงบ้างครับคุณขุนพล ศึกนี้ใหญ่หลวงนัก มึงนอนยาวหนึ่งวันเต็มๆ เลยรู้ตัวป่ะ” สิ้นเสียงของไอ้โบน ไอ้ทูก็รับไม้ต่อทันที

   “แถมกลับมาคราวนี้มีเกราะใหม่ด้วย โคตรเท่เลยว่ะ” เกราะ?

   ความสับสนเร่งให้ผมกวดตามองไปยังร่างกายของตัวเอง แต่เพราะนอนอยู่ในแนวระนาบ สิ่งเดียวที่เห็นชัดที่สุดในตอนนี้เลยมีแค่เท้าข้างซ้าย ไอ้เหี้ย! ใครโบกปูนบนขากูวะ แถมห้อยต่องแต่งอยู่กลางอากาศเพราะถูกเชือกรั้งกับคานเหล็กเอาไว้อย่างแน่นหนา

   “ไม่เอาไม่ช็อกครับเพื่อน แค่ขาหัก”

   ขาหัก!

   “ใส่เฝือกสามเดือน ห้ามวิ่งหกเดือน หรรษาจังเล้ย”

   “หัวแตกเย็บหกเข็ม”

   “ข้อศอกกับหัวเข่าถลอก ตามตัวมีแต่แผล ไอดอลโคตรๆ”

   “แถมแอ๊บทำหน้าซีดเหมือนตีนไก่ที่ชอบกินประจำได้ด้วย”

   ทำไมกูรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเป็นลมอีกรอบวะ โชคดีที่ไอ้เติร์ดพูดขัดเพื่อนสารเลวทั้งสองลงก่อน ไม่งั้นคงถูกแซวจนสลบคาเตียงอีกแน่ๆ

   “มึงสองคนพอได้ละ ค่ายมึงได้ยินกูมั้ย” เจ้าของใบหน้าขาวถามผม มองจากมุมนี้ขนตาของมึงยาวมากเลยว่ะ

   “...”

   “ไอ้ค่าย ถ้าได้ยินส่งเสียงหน่อย หรือจะกะพริบตาก็ได้”

   คำพูดนั้นทำให้ผมเลิกสนใจใบหน้าของเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ แล้วกลับมาจดจ่อกับการพยายามอ้าปากเปล่งเสียงอย่างสุดความสามารถ แม้ลำคอจะแห้งผากจนเหมือนกลืนทรายเอาไว้ทั้งกำมือก็ตาม

   “ไอ้...เติร์ด”

   “เฮ้ออออ โล่งอกไปที เดี๋ยวรอพยาบาลก่อนนะ” เจ้าของชื่อถอยห่างออกจากขอบเตียงพร้อมกับไอ้ทูและไอ้โบน แต่คนที่โผล่เข้ามาในม่านสายตากลับไม่ใช่พยาบาล หากแต่เป็นแม่กับพี่สาวของผม ไม่สิ! พ่อเองก็ยืนอยู่ตรงปลายเตียงด้วย

   นี่มันวันครอบครัวชัดๆ

   “แม่ควรภูมิใจมั้ยที่ลูกแม่เหมือนไอรอนแมน” น้ำเสียงติดตลกทักทายกลับมาด้วยรอยยิ้ม พ่อกับพี่สาวก็มีสีหน้าไม่ต่างกัน โธ่...คำพูดนี้เหมือนเป็นการสมน้ำหน้ากรายๆ เลย

   “ผมเจ็บอยู่นะ ไม่คิดจะปลอบใจสักคำเลยหรือไง”

   “แม่ไม่รู้จะสงสารหรือสมน้ำหน้าแกดี เคยเตือนหลายครั้งแล้วกับบิ๊กไบค์ว่าอย่าขับเร็ว แล้วตอนนี้เป็นไง”

   “ชาวี ชาวีผมเป็นไงบ้าง!” พอนึกถึงลูกรักที่ขับประจำใจก็หล่นลงไปกองที่ตาตุ่ม จำได้ว่าผมทิ้งมันไว้ตรงถนนระหว่างคณะแพทย์กับทันตะ ไม่รู้ว่าตอนนี้จะมีชะตากรรมเป็นยังไงบ้าง

   “ไม่ต้องห่วงนะค่าย” แม่พูดปลอบ พ่อเลยเสริมต่อ

   “พังยับทั้งคัน”

   “ส่งศูนย์แล้วจ้า”

   “ม่ายยยยยยยยยยยย”

   “ต่อจากนี้พ่อจะให้แกเลิกขับบิ๊กไบค์ อย่างน้อยก็สักปีนึงจะได้รู้ตัวว่าทำอะไรผิดลงไปบ้าง” คนที่ยืนอยู่ปลายเตียงปรับน้ำเสียงให้เคร่งขรึมขึ้น

   จริงๆ ครอบครัวผมไม่มีใครเนี้ยบนักหรอก บ้านเราทำธุรกิจส่วนตัว เรื่องสปอยลูกนี่ก็ตั้งแต่เด็ก ผมเพิ่งมาถูกดัดนิสัยไม่ให้ทำตามใจตัวเองก็ตอน ม.ปลายนี่เอง ซึ่งก็คงไม่ทันเท่าไหร่เพราะนิสัยใจร้อนและอยากได้อะไรก็ต้องได้กลายเป็นสันดานติดตัวไปโดยปริยาย

   แต่พี่สาวผมอย่างพี่เคลียร์ไม่เป็นนะ บ้าของแบรนด์เนมก็จริง แต่ทำงานคุ้มค่าเงินเดือนที่พ่อแม่จ่ายให้มาก พูดแล้วก็น้ำตาจะไหล ไม่ได้เสียใจเรื่องนิสัยต่างกับพี่นะ กูเสียใจเพราะรถ

   ซื้อมาตั้งล้านสาม กว่าจะขอพ่อกับแม่มาได้เลือดตาแทบกระเด็น ทำเกรดเทอมก่อนให้เยอะขึ้นจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน สุดท้ายความพยายามก็เป็นผล เกรดเพิ่มขึ้น 0.2 จากการช่วยติวของไอ้เติร์ด เรียกได้ว่าปาฏิหาริย์แม่งมีจริง

   “พ่อ ผมไม่ได้ขับเร็วเลยนะ แค่ทางมันมืดเฉยๆ”

   “ตามไปดูกล้องวงจรปิดที่คณะแพทย์แล้ว พุ่งมายังกับจรวด นั่นเรียกว่าช้าแล้วเหรอ”

   เบิ้ดคำซิเว่า ได้แต่ยอมจำนนต่อหลักฐาน และตอนนี้ทุกอย่างก็ได้สลายหายไปราวกับอากาศ

   “ถ้าไม่ให้ผมขับชาวี งั้นพ่อกับแม่ซื้อดูคาติให้ผมใหม่ก็ได้” ทันใดนั้นเอง รอยยิ้มจากคนในครอบครัวก็ส่งมาให้ หัวใจของผมอุ่นวาบราวกับได้รับการเอาใจใส่ โดยเฉพาะพี่เคลียร์ พี่คงจำได้ว่ากำไลข้อมือแอร์เมสที่ใส่แรดๆ อยู่นี่น้องอย่างผมก็ซื้อให้ เพราะงั้น...

   “ค่าย”

   “ครับแม่”

   “ลูกควรเติบโตขึ้นมาเป็นคนที่มีคุณภาพนะ เลิกเพ้อเจ้อได้แล้ว”

   “โธ่แม่! แล้วผมจะอยู่ยังไง”

   “ช่วงนี้แกขาหัก ยังไงคงต้องรบกวนเพื่อนๆ อย่างเติร์ด ทู แล้วก็โบนก่อนนะลูก ถือซะว่าสมเพชเวทนาเด็กใจแตกคนหนึ่ง” พ่อผมหันไปหาแก๊งโหดทั้งสามคน พวกมันพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนความหวังทั้งหมดจะพังทลายลงทันทีที่พยาบาลเดินเข้ามาในห้อง

   ผมถูกตรวจร่างกายและให้ยาอีกรอบ มีคนที่บ้านคอยเฝ้าไข้ให้ตลอด ขณะที่เพื่อนรักก็ยังอยู่กันครบ กระทั่งเวลาล่วงเลยไปพักใหญ่แม่ก็เดินกลับมาที่เตียงอีกครั้ง

   “เดี๋ยวแม่กลับแล้วนะค่าย พรุ่งนี้จะแวะเข้ามาใหม่” มือเรียวเอื้อมมาลูบหัวผมเบาๆ เป็นการบอกลา

   “ไม่ต้องลำบากก็ได้ครับ ไอ้เติร์ดจะดูแลผมอย่างดี” ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ต้องใช้แม่เป็นข้ออ้างในการรั้งตัวมันเอาไว้อย่างสุดความสามารถ

   “งั้นแม่ฝากค่ายด้วยนะเติร์ด รายนี้ตามใจจนเคยตัว ใครก็เอาไม่อยู่”

   “ครับ”

   หลังจากกลับกันหมด ทั้งห้องเลยเหลือเพียงสามลิงที่ยักคิ้วหลิ่วตาให้กรายๆ ไอ้เติร์ดกับพี่อั้นพาผมมาที่โรงพยาบาลตั้งแต่คืนก่อน และไม่นานไอ้ทูกับไอ้โบนก็ตามมา พวกมันเล่าว่าสภาพผมเละเทะมาก เลือดนี่แทบอาบไปทั้งตัวและใบหน้า ร่างกายสั่นราวกับเจ้าเข้าทรง ทุกคนอยู่ในภาวะตื่นตระหนกกลัวว่าผมจะตายกลางทาง แต่พอถึงมือหมอก็เหมือนยกภูเขาออกจากอก

   แม่ผมอยู่เฝ้าไข้ตลอดทั้งคืน ไอ้เติร์ดเองก็ไม่ได้ไปไหน ต่างคนต่างผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาดูแล ซื้อผลไม้กับของกินมาฝาก แม้หมอจะบอกให้งดอาหารหลายอย่างก็ตาม

   “ถ้าพวกมึงเบื่อจะกลับกันเลยก็ได้นะ มีเรียนด้วยไม่ใช่เหรอ” ผมบอกเพื่อน เข้าใจว่าพวกมันก็คงเหนื่อยไม่น้อย

   “ก็เลิกเรียนแล้วเนี่ยถึงแวะมา มีแต่ไอ้เติร์ดเนี่ยแหละที่เฝ้ามึงทั้งคืน เรียนก็ไม่ได้ไป กราบตีนมันซะ” ไอ้ทูโบ้ยปากไปยังร่างโปร่งที่นั่งหน้านิ่งอยู่ตรงโซฟาสีครีมข้างๆ ไอ้โบน

   “ขอบคุณมากนะเว้ย”

   “เออ ไม่เป็นไรหรอก คราวหลังก็อย่าขับรถเร็ว”

   “ไม่ทำอีกแล้ว” ผมตอบกลับเสียงอ่อน ไม่บอกหรอกว่าคนที่ทำให้ผมสมาธิหลุดจนไม่มองทางเป็นใคร เพราะพูดไปก็คงเท่านั้น

   มันคงกำลังสานสัมพันธ์ต่อกับพี่อั้น ขณะเดียวกันก็คงรู้สึกรังเกียจผมด้วย แต่ใจไม่รักดีของผมมันก็เอาแต่หลอกตัวเองและพยายามรั้งอีกฝ่ายไว้ให้มากที่สุด แม้ตอนนี้ที่เหนื่อยจนไม่มีแรงก็ไม่คิดปล่อยให้ใครทั้งนั้น

   “กูต้องนอนโรง’บาลอีกนานแค่ไหนวะ”

   “หมอบอกสี่ห้าวันมั้ง รอดูอาการมึงก่อน”

   “ที่คณะเขาจะไม่ว่ากูเหรอ ไหนจะซ้อมละครเวทีอีก”

   “ไอ้ค่าย ตอนนี้ทางทีมเขาเปลี่ยนพระเอกแล้ว มึงเล่นมาขาหักแบบนี้จะซ้อมต่อได้ยังไง” ไอ้โบนเป็นคนให้ความกระจ่างในคำถามนี้

   ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก จากคืนก่อนจนถึงตอนนี้ ความจริงผมไม่ได้อยากเล่นละครเวที ไม่ได้อยากรับบทพระเอกหรือตัวประกอบใดๆ ทั้งนั้น ผมแค่อยากอยู่กับไอ้เติร์ดเพราะคนเขียนบทกับนักแสดงคงต้องทำงานร่วมกันอีกเยอะ แต่การกลับไปเป็นคนคุมซาวน์เหมือนเดิมก็ดีเหมือนกัน จะได้มีเวลามาเป็นไม้กันหมาบางตัวที่จ้องจะงาบกระดูก

   Rrrr...!

   เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ผมหันขวับไปยังต้นเสียงก็เห็นว่าไอ้เติร์ดกำลังหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง หลังจากกดรับไม่นานมันก็เดินออกห้องไป คนที่นั่งใกล้ที่สุดอย่างไอ้โบนเลยพูดขึ้น

   “พี่อั้น” ฉิบหายนี่ ตามจองล้างจองผลาญกูไม่หยุด

   “ไอ้เหี้ยทู ไหนมึงบอกจะช่วยกูสอดส่องเรื่องมือถือของไอ้เติร์ดไง” ผมหันไปจวกคนที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้พิงพนัก ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้เพราะความชะล่าใจ แผนการจีบของผมเลยไม่คืบหน้าเท่าไหร่

   “ก็ใครจะไปรู้ว่ามันจะคุยกับไอ้พี่อั้นวะ ที่ผ่านมาก็ดูท่าไม่สนใจใครนอกจากมึง”

   “ก็ตอนนี้มันสนแล้วไง”

   “เออๆ เดี๋ยวจัดการให้”

   “อย่าบอกว่าเดี๋ยว เรื่องนี้รอไม่ได้นะเว้ย”

   “โอเคคร้าบบบบบ แต่มีอีกอย่างที่กูอยากถาม คืนก่อนมึงไม่ได้รถล้มเพราะขับเร็วใช่มั้ย ดูยังไงมึงก็ไม่น่าประมาทขนาดนั้นอ่ะ”

   “คือกู...จูบไอ้เติร์ด แล้วมันตื่นขึ้นมาพอดี”

   “ไอ้เหี้ยเอ๊ยยยยยย ทำไมมึงง่าวขนาดนี้วะเชี่ยค่าย ตกลงมึงชื่อค่ายหรือควาย” ตอนกูผิดนี่ก็รีบเหยียบให้จมดินเลยนะพวกเพื่อนเวร

   “ก็มันอดใจไม่ไหวนี่หว่า” ความหื่นไม่เคยเข้าใครออกใคร ยิ่งผู้ชายกลัดมันที่ขาดหญิงด้วยแล้วจะเหลือความอดทนอะไรกับกูวะ

   “แล้วไงต่อ จูบมันแล้วขับรถหนีงี้เหรอ”

   “เปล่า ไอ้เติร์ดมันบอกว่ารังเกียจกู คือกูรับไม่ได้”

   “แหมมมม ทำมาเป็นกระแดะรับไม่ได้ ปกติหน้ามึงไม่ได้บางขนาดนี้นะ”

   “มึงไม่เข้าใจน้ำเสียงกับฟีลลิ่งเพื่อนมึงในตอนนั้นหรอกไอ้ทูว่ามันจริงจังขนาดไหน ไอ้เติร์ดไม่เคยพูดและแสดงท่าทีแบบนั้นกับกูเลยสักครั้ง ไหนจะเรื่องพี่อั้นอีก แม่งตีกันจนกูทนไม่ไหวขับรถไปแหกโค้งเลย”

   “ปัญญาอ่อนฉิบหาย”

   นี่คือเพื่อนที่คอยอยู่เคียงข้างและปลอบใจยามหกล้มถูกมั้ย? เพราะเท่าที่สัมผัสได้แม่งมีแต่ล้มแล้วเหยียบกูซ้ำแถมฝังดินกลบร่างให้อีกต่างหาก

   “กูจะบอกอะไรให้เอาบุญนะ เวลาไอ้เติร์ดมันโกรธหรือน้อยใจอะไรหัดเข้าใจมันด้วย มึงจูบมันก่อน มันด่าเช็ดกลับมาก็สมควรแล้ว”

   “...”

   “ที่สำคัญมันไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามึงคิดยังไง ทุกอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไปดิวะ ใจร้อนแบบนี้ก็ตายห่าหมด”

   ผลั่ก! ผมเผลอกลั้นหายใจอัตโนมัติเมื่อประตูเปิดออก ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ทั้งสองท่านรีบยกมือถือขึ้นมากดอย่างเนียนๆ ลืมไปซะสนิทว่าก่อนหน้าเราพูดเรื่องอะไรอยู่ บอกเลยว่างานตอแหลไม่มีใครสู้พวกโหดอย่างผมได้หรอก

   “ใครโทรมา” เหยื่อมาแล้วต้องรีบต้อนให้จนมุม

   “รุ่นพี่”

   “รุ่นพี่ไหนอ่ะ”

   “ไม่เสือกสิครับ”

   “ก็อยากเสือกอ่ะ”

   “มันน่าจะล้มให้ฟันหัก จี้อยู่นั่นแหละ” โอ้โหเดี๋ยวนี้โคตรแสบ อารมณ์มาเต็มซะด้วย ผมเลยไม่คิดจะเถียงนอกจากมองดูร่างโปร่งทิ้งตัวนั่งตรงจุดเดิม สักพักไอ้ทูก็เดินเข้าไปนั่งเบียดด้วย ยันไอ้โบนให้กระเตงสังขารมาที่เก้าอี้แทน

   “เชี่ยเติร์ด”

   “หืม...”

   “ยืมมือถือหน่อยดิ พอดีแบตหมด” นี่สิเพื่อนยาก ไม่เคยทำให้ผิดหวังจริงๆ ขอร้องปุ๊บไอ้ทูก็จัดให้อย่างเร็วรี่ด้วยการปฏิบัติภารกิจเสือกระดับชาติ

   “กูเอาที่ชาร์จมา” แต่จู่ๆ ความฝันก็ดับวูบ โธ่...ไอ้เวร

   “ไม่! เอ่อกูอยากยืมดูแอพสโตรมึงด้วยอ่ะ ช่วงนี้เป็นเหี้ยอะไรไม่รู้ เวลาจะโหลดแอพใหม่ก็ทำไม่ได้”

   “ก็เอาไปชาร์จดิ เดี๋ยวจะช่วยดูให้”

   “ไม่ได้ นี่หมดแบบหมดจริงจังเลย กว่าจะชาร์จขึ้น กว่าจะเปิดเครื่องโคตรเสียเวลา ทำไม...แค่นี้ให้เพื่อนไม่ได้เหรอ” ไอ้ทูเริ่มยัดดราม่าเข้ามาอย่างเนียนๆ แต่หน้าของมันตอนนี้ต้องบอกเลยนะครับว่าตอแหลสุดๆ

   ไอ้เติร์ดเหมือนชั่งใจอยู่พักหนึ่ง สายตาก็กวาดมองผมกับไอ้โบนสลับกันไปมา แต่ด้วยความกะล่อนปลิ้นปล้อนตอแหลที่มีมากกว่าปกติ เราเลยไหวตัวทันรีบพูดตัดช่องทางทันที

   “ไม่ต้องมาขอกูน้า เล่นเกมอยู่อย่าเสือกครับ”

   “อุ๊ย! แม่ไลน์มามีอะไรอ่ะ”

   “อ่ะๆ”

   เสร็จโก๋! สุดท้ายมือถือของไอ้เติร์ดก็ตกอยู่ในมือของไอ้ทูจนได้ ผมไม่รู้หรอกว่าเพื่อนรักมันเสือกอะไรบ้าง แต่จากการหุบถ่าง เลื่อนๆ สไลด์บวกปาดมั่วอย่างเนียนๆ นั้นคงทำให้รู้ความลับของไอ้เติร์ดมาบ้างเหมือนกัน

   ไม่นานแขกไม่ได้รับเชิญก็โผล่เข้ามาสร้างความร้าวฉานในชีวิตอีก ผมถอนถอยหายใจทันทีที่เห็นพี่เชนทร์หุ่นหมีกับศัตรูหมายเลขหนึ่งอย่างพี่อั้นยืนอยู่ตรงประตู

   “หวัดดีครับพี่ ลมอะไรหอบมาวะเนี่ยยยยยยย” เสียงทักทายของไอ้โบนถือเป็นการเปิดฉากสงครามโลกครั้งที่สามภายในห้อง

   “จะมาดูสภาพพระเอกละครหน่อย เป็นไงมึง เฟี้ยวจนได้เรื่อง” คนมาใหม่เดินมาหยุดอยู่ตรงขอบเตียง พี่เชนทร์เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม ส่วนพี่อั้นวางถุงผลไม้ไว้ในมือแล้ววกกลับไปนั่งแทรกไอ้เติร์ดตรงโซฟาอย่างถือวิสาสะ เฮ้ย! กูไม่ยอม ลุกเดินไปได้พ่อจะตบให้กะโหลกแยก เย็บแผลให้หนักกว่ากูร้อยเท่า

   “ไอ้ค่าย กูถามก็ช่วยสนใจด้วย ไม่ใช่มองแต่โซฟา” คนที่เกาะอยู่ข้างๆ ดึงสติผมอีกรอบ

   “พี่ถามว่าไงอ่ะ” ผมตอบอย่างหงุดหงิด สายตาก็เหลือบมองไอ้เติร์ดไม่หยุด

   “มึงเป็นไงบ้าง”

   “ก็อย่างที่เห็น ขาหัก หัวแตก แผลเต็มตัว ต้องการคนดูแลและใส่ใจ ไม่ใช่นั่งคุยกับคนอื่นโดยไม่สนใจคนเจ็บอยู่แบบนี้ มันไม่โอเค” ประโยคยืดยาวถูกจุดออกมาจากสมองอันฉลาดน้อยของผมเรื่อยๆ เพื่ออะไรน่ะเหรอ ก็เผื่อใครบางคนที่นั่งเต๊าะกันอยู่ตรงนั้นจะได้หันมาสนใจกันบ้างไง

   แต่สุดท้ายครับ กูก็หมาหัวเน่าอยู่ดีเพราะไอ้เติร์ดไม่คิดจะใส่ใจ

   “มีตัดพ้อเว้ย แล้วรู้ยังเรื่องละครเวที”

   “รู้แล้ว ได้ใครมาเล่นแทนล่ะครับ”

   “เดือนนิติปีหนึ่ง ถึงจะเล่นได้แต่ก็ไม่เหมือนมึง บทมันต้องชั่วมาจากข้างในไง”

   “ถ้าจะพูดกันขนาดนี้ก็ด่ามาตรงๆ เถอะ ผมรู้ว่าผมเลว ทำตัวแย่ๆ และเอาแต่ใจ แต่ไม่ได้หมายความว่าคนที่มาทีหลังจะดีกว่านี่หว่า” พูดไปก็เหลือบมองไปยังโซฟาอยู่หลายครั้ง

   เห้อมมมมมมม กูไม่อยากจะทนแต่กูก็ต้องทนงี้

   “ของแบบนี้มันต้องใช้เวลาพิสูจน์”

   “บางทีเวลาก็ไม่ได้ช่วยอะไร”

   “ก็ต้องดูที่ความตั้งใจแล้วล่ะ”

   “จะดีเร้อ”

   “มึงขาหักอยู่ ให้เดินกะเผลกไปคงไม่ไหว”

   เอ้า! นี่เราคุยเรื่องละครเวทีกันอยู่เหรอ ลืมไปซะสนิท เข้าใจว่าเป็นเรื่องของไอ้เติร์ดกับรุ่นพี่เพลย์บอยเขี้ยวงอกมากกว่า

   “นี่พี่มาเยี่ยมผมจริงดิ” ผมถามพี่เชนทร์อีก

   “เออสิวะ”

   “มาเยี่ยมผมหรือเยี่ยมไอ้เติร์ดอ่ะ” เป็นอันรู้กัน คนถูกพาดพิงถึงเลยหันมาตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

   “มาหาไอ้เติร์ด”

   “...”

   “จะคุยเรื่องงาน”

   “คุยกันในไลน์ไม่พออีกหรือไง หรือต้องเห็นหน้ากันด้วย”

   “งั้นไอ้เติร์ด ไปคุยกันข้างนอกดิ”

   “ไม่ให้ไป ไอ้เติร์ดต้องดูแลผม ตอนนี้อาการผมแย่มาก”

   “ก็เห็นพูดไม่หยุด แถมเพื่อนมึงก็อยู่อีกตั้งสองคน”

   “ไอ้เติร์ดมันสัญญากับแม่ผมเอาไว้แล้วว่าจะดูแลผมอย่างดี ถึงตอนนี้คิดจะหนีไปอย่างนั้นเหรอ ช้ำใจว่ะ” ผมแสร้งทำหน้าหงอยลง จนคนมองลอบถอนหายใจอยู่หลายครั้ง

   ถึงจะทำตัวน่ารำคาญ แต่เพื่อตัดปัญหาไม่ให้มันต้องไปกับเขาผมก็จะทำเหี้ยๆ แบบนี้ต่อไปนั่นแหละ

   “ทำตัวเด็กฉิบหายเลย นี่ไอ้ค่าย...คืนนี้เขานัดซ้อมพิเศษเพราะเราเปลี่ยนพระเอกกะทันหัน ไอ้เติร์ดมันต้องคุยเรื่องงาน ช่วยเข้าใจด้วย” ไม่นานพี่เชนทร์ก็ช่วยไขความกระจ่างให้ ความรู้สึกผิดเลยแทรกเข้ามาแทนที่อย่างรวดเร็ว

   “ผมขอโทษพี่ ฝากขอโทษทุกคนในกองด้วยที่ทำให้ลำบาก”

   “มันเป็นอุบัติเหตุป่ะวะ ไม่มีใครโทษมึง มีแต่คนสงสัยเพราะเล่าต่อๆ กันมา...ขาหักขนาดนั้นวิ่งมาจากคณะแพทย์ได้ไงวะ มึงเป็นแรมโบ้เหรอ”

   “ตอนนั้นมันชาๆ มั้ง เลยไม่คิดว่าขาจะหัก”

   “แต่ปลอดภัยมาก็ดีละ”

   “อ่าฮะ”

   “หน้าที่ของมึงก็กลับไปคุมซาวน์เหมือนเดิมแล้วกัน เพื่อนมันก็รอเข้าทีมอยู่”

   “อ่าฮะ”

   “ยังไงไลค์บรารี่ก็ยังต้องการคนคุมซาวน์เก่งปฏิบัติแต่โง่ทฤษฎีอย่างมึง”

   “อ่าฮะ”

   “นี่สรุปจะคุยกับกูหรือจะดูคนข้างๆ”

   “คุยกับพี่ดิ”

   “คุยกับกูแต่ตามึงหักเหมุมหน้ากูฉิบหาย ถ้าไอ้เติร์ดเป็นปลากัดแม่งคงตั้งท้องไปนานแล้วไอ้ควาย อารมณ์เสีย!”

   “อ่าฮะ”

   “จะอ่าฮะทำเหี้ยไรนักหนาไอ้สัด”

   พี่เชนทร์ทำท่ากระฟัดกระเฟียดใส่ ใครจะมีอารมณ์มาสนใจวะ สำคัญที่สุดคือคนที่นั่งห่างจากเตียงออกไปโน่น แม่งไม่รู้ว่าคุยเหี้ยอะไรกับไอ้พี่อั้นบ้าง เห็นหงุงหงิงๆ กันอยู่สองคน อยากเตะปากคนโว้ยยยยยยยย
   

อ่านต่อด้านล่างค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-07-2017 22:32:36 โดย Jittirain12 »

ออฟไลน์ Jittirain12

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 353
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1238/-18
   ผมได้แต่นอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง เนื่องจากร่างกายลุกไม่ไหวไม่งั้นคงต่อยปากหมาบางตัวสำเร็จแล้ว ไอ้เฝือกที่ใส่ก็เริ่มแสดงอาการ นอกจากความเจ็บที่รู้สึกมันยังมีความคันคะเยอแฝงมาอีกต่างหาก สิ่งเดียวที่ทำจึงเป็นการอดทนมองดูคนที่ชอบกำลังสนใจคนอื่นเท่านั้น

   สรุปคือมาเยี่ยมกูหรือไอ้เติร์ดกันแน่ นั่งแช่เป็นชั่วโมงกว่าจะกลับ และผมดีใจมากที่ได้ยินประโยคนี้...

   “กูกลับก่อนนะ”

   “ครับ” ไปเล้ยยยย ไปทั้งไอ้พี่หมีทั้งมึงเลยไอ้อั้น

   “งั้นเดี๋ยวผมไปส่ง” ไอ้เติร์ดลุกขึ้นยืน อาสาเดินไปส่งถึงที่

   “ทำไมต้องไปส่ง” นี่มันเป็นแขกกิตติมศักดิ์สำหรับกูและผองเพื่อนไปแล้วเหรอ ถ้าไม่ติดว่าเป็นพี่น้องร่วมคณะผมนึกว่ามันมาเยี่ยมเพราะอยากรู้ว่าผมตายหรือยังมากกว่า

   “ไอ้โบน เชี่ยทู กูฝากดูไอ้ค่ายด้วยนะ” คนตัวขาวไม่ยอมฟังคำทัดทาน สุดท้ายมันก็รั้นเดินออกไปพร้อมกับรุ่นพี่อีกสองคนจนได้ เวลาเปลี่ยนหลายอย่างก็เริ่มเปลี่ยน เมื่อก่อนเราสนิทกันอยู่แค่สี่คน แต่ตอนนี้ไอ้เติร์ดกลับสนิทกับคนอื่นและมีแนวโน้มว่าจะไปกับอีกกลุ่มมากว่า

   ถึงแม้เราจะเรียนเมเจอร์เดียวกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไอ้เติร์ดจะอยู่กับผมตลอดไป

   “หงอย...หงอยเหมือนหมาโดนเจ้าของทิ้ง” สัดโบน เดี๋ยวกูตบคว่ำ

   “เขาก็ทิ้งไปจริงๆ แล้วเนี่ย” ไอ้ทูเสริม

   คือมึงสองตัวควรหายไปจากสารระบบของกูตอนนี้เลย เห็นแล้วเกรี้ยวกราดอยากอาละวาด

   “ไปไกลๆ ตีนกูป่ะ รำคาญ”

   “ไม่อยากฟังเรื่องที่กูไปเสือกมือถือไอ้เติร์ดเหรอ”

   “งั้นมึงอยู่ต่อเลยครับ กูกราบ”

   ยังไม่ทันที่เพื่อนรักจะเผยอปากพูดออกมา คนที่กำลังพูดถึงก็เดินเข้าห้องอย่างรู้งาน นี่มึงเป็นญาติกับเจนญานทิพย์หรือเปล่าวะ เหยดแหม่

   “ทำไมมาเร็วจังวะ” ด้วยความสงสัยเลยถามออกไป

   “ส่งแค่ข้างนอกมั้ย”

   “นึกว่าจะเดินตามลงไปถึงลานจอดรถ”

   “มาต่อยกันเถอะจะได้จบๆ”

   “ไม่ต่อยหรอก มึงน่ารักกูต่อยไม่ลง” หยอดไปหนึ่งดอก!

   แต่ปฏิกิริยาตอบสนองเท่ากับศูนย์ โอเครอบนี้กูแพ้

   “มีอีกอย่างที่อยากบอก คืนนี้กูคงนอนเฝ้าไข้มึงไม่ได้นะพอดีมีงาน” นอกจากแพ้แล้วมันยังตีตัวออกห่างผมอีกต่างหาก

   “ไม่ให้ไป”

   “สัด ฟังก่อน”

   “ฟังมาตลอดแหละ เออไม่ต้องอยู่ก็ได้ มึงคงเหนื่อยมากแล้ว”

   “...”

   “ถ้าเข้าห้องน้ำไม่ได้กูก็จะลำบากเดินไปเองเพราะเกรงใจพยาบาล”

   “...”

   “เวลาเจ็บกูก็จะอดทนไว้เพราะไม่อยากให้ใครต้องลำบาก หิวกูก็จะไม่ปริปากพูด มึงไม่ต้องห่วงกูนะ ไปทำงานเถอะ” ผมขว้างระเบิดลงห้องพยาบาลบึ้มใหญ่ อย่างน้อยก็เรียกคะแนนความสำออยกลับมาได้บ้าง แม้สีหน้าของไอ้เติร์ดนั้นจะไม่แสดงท่าทีร้อนรนใดๆ ก็ตาม

   “ให้ไอ้โบนกับไอ้ทูอยู่แทนได้มั้ย”

   “โนครับ กูสองคนมีนัด เพื่อนก็รักนะแต่บางอย่างมันต้องมีขอบเขต มึงพึ่งพาพยาบาลไปแล้วกันนะไอ้ค่าย” ว่าแล้วมันก็ตบบ่าอย่างเข้าใจกันอยู่สองคน ก่อนขอตัวกลับแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทิ้งให้ผมหยั่งเชิงกับไอ้เติร์ดเพียงลำพัง

   “จริงๆ กูพูดเล่นแหละ ทำงานละครเวทีต่อใช่มั้ย อย่าลืมกินข้าว เลิกแล้วรีบกลับไปนอนร่างกายจะได้ไม่ทรุด”

   “มึงทรุดหนักกว่ากูอีก”

   “เป็นห่วงเข้าใจป่ะ”

   “รู้แล้วๆ” ไอ้เติร์ดตอบส่งๆ จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาเก็บกระเป๋าเป้ที่ยัดเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นหลายอย่างกลับเข้าไปที่เดิม ผมดีใจและอยากขอบคุณมากที่ไม่ทิ้งกันไปไหน เมื่อคืนก็นอนเฝ้าทั้งที่ผมไม่ได้สติ วันนี้มันคงเหนื่อยมากแล้ว ดังนั้นแผนการเรียกร้องความสนใจคงต้องพับเอาไว้ก่อน

   “จะไปแล้วเหรอ”

   “อืม เจอกันพรุ่งนี้ มีอะไรก็เรียกพยาบาลล่ะ กูไปละ”

   ปัง! ติ๊ง!!

   เสียงปิดประตูดังขึ้น สลับกับแจ้งเตือนทางมือถือ ผมหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมากดก็เห็นข้อความจากไอ้ทูปรากฎขึ้นทางไลน์กลุ่ม


Tatt’oo
เล่าในนี้แล้วกัน จะได้ไม่กระโตกกระตากเกินไป
K.Khunpol
มันออกไปแล้ว
แต่ถ้าจะเล่ามึงก็รีบพิมพ์มา รออ่านอยู่
BoneChone
พร้อมเสือกเต็มกำลัง
Tatt’oo
จากการไปสอดแนมข้อมูลในโทรศัพท์
ไม่มีอะไรน่าสงสัย
ทวิตเตอร์ไม่ได้เล่นมาเป็นเดือนแล้ว
อินบ็อกซ์เฟซคุยแต่เรื่องงาน
ไอจีลงรูปเป็นปกติ ไม่มีอินบ็อกซ์ส่วนตัว
คอมเมนต์ใต้รูปไม่มีใครน่าสงสัย
K.Khunpol
แล้วไลน์อ่ะ
Tatt’oo
ไลน์คุยหนักๆ มีพี่ย้งยี้
พี่เชนทร์ และก็ไอ้พี่อั้น
K.Khunpol
คุยเรื่องอะไรกัน
Tatt’oo
หนักๆ ไปทางเรื่องงาน
ปรึกษาเรื่องกินข้าวกับเที่ยวบ้าง
โดยเฉพาะกินข้าวกับออกไปเที่ยว มึงระวังไว้เลย
ไอ้อั้นไม่หยุดแค่นี้แน่
K.Khunpol
เจออะไรอีกบอกมาให้หมด
Tatt’oo
ประวัติการโทรมีสายเข้าออกไม่กี่สาย
หนึ่งบ้านมัน สองพวกเรา และสาม...
K.Khunpol
ไอ้อั้นอีกอ่ะดิ
Tatt’oo
ใช่ มึงเจองานหนักแล้วล่ะเพื่อน
ยิ่งมาเป๋แบบนี้อีก
K.Khunpol
ทำไมเป็นอย่างนี้ได้วะ!!
นี่กูกำลังปล่อยแกะน้อยให้หมาขี้เรื้อนขย้ำเหรอ
กูไม่พอใจ
ใครหน้าไหนก็ยุ่งของของกูไม่ได้ทั้งนั้น
หวงโว้ยยยยย หวงมากกก
อยากออกโรงบาลไปคุม
เติร์ดที่แปลว่าสาม
คุมใครเหรอ
K.Khunpol
ก็คุมไอ้เติร์ดไง


เท่านั้นแหละครับ หน้าเปลี่ยนสีทันที ได้แต่จ้องมองตัวเลขที่โชว์จำนวนคนอ่านไปมาอยู่หลายรอบ เลขสี่ แต่ในกลุ่ม ‘สายฟันยันรุ่งสาง’ มีสมาชิกอยู่สามคนไม่ใช่เหรอวะ

พอลองเลื่อนสายตาขึ้นไปอีกนิด ทั้งรูปและโปรไฟล์ใช่เลย!

ผิดกลุ่ม ไอ้เหี้ยยยยยยยยยยยยย ไอ้ทู ไอ้นรก! กลายเป็นมึงมานั่งโพสต์ในกลุ่มชายฉะกันซึ่งรวมคนถูกพาดพิงอย่างได้เติร์ดเข้าไปด้วย โคตรโง่ โง่จนไม่สามารถสรรหาคำไหนมาเทียบได้

แล้วกูต้องทำยังง้ายยยยยยยยยย

ติ๊ง!!


เติร์ดที่แปลว่าสาม
(。◕‿‿◕)
K.Khunpol
ว้ายต๋ายแล่ววววววว
(◉◞౪◟◉。)
เติร์ดที่แปลว่าสาม
(๑・‿・๑)
K.Khunpol
(╥﹏╥)


   หลังจากแชตนั้น ฉันตาย...












   นอนร้องไห้หนักมาก กว่าจะเคลียร์กันเสร็จทำเอาร่างกายช่วงแขนกูระบมอีกรอบเพราะต้องรีบแก้ตัวอย่างด่วน ถามว่าเพื่อนรักทั้งสองคนที่ช่วยกันก่อเรื่องหายไปไหน ไม่ต้องถามครับ ตอนนี้คงอยู่แถวป่าหิมพานต์ เวลากูลำบากไม่เคยโผล่หัว

   ผมเลยได้แต่แก้ตัวว่าเป็นห่วง กลัวเพื่อนโดนรุ่นพี่หลอก ไอ้พี่อั้นเลวอย่างนั้นอย่างนี้กูใส่ไฟเต็มที่ แต่ได้เติร์ดกลับบอกว่ากูคิดมากไป มันไม่ได้คิดอะไรกับพี่เขา โธ่...กับมึงอ่ะใช่ แต่กับพี่อั้นกูคงเชื่อหรอก การกระทำชัดซะขนาดนั้น

   ทำได้แค่กระวนกระวายและขอโทษไปเพื่อให้เรื่องจบ ทั้งที่สิ่งที่คาใจไม่เคยจบตามไปด้วย

   คืนนั้นผมนอนไม่หลับ นาฬิกาหมุนไปเกือบเที่ยงคืน พยาบาลเข้ามาฉีดยาให้ผมก่อนจะเดินจากไป ความเงียบและความมืดปกคลุมพื้นที่จนมองไม่เห็น ไม่นานเสียงผลักประตูก็ดังขึ้นอีกครา

   “คุณพยาบาลครับ มีอะไรหรือเปล่า”

   “ยังไม่หลับอีกหรือไง”

   “ไอ้เติร์ด!” ท่ามกลางความมืดสนิทนั้น ผมได้ยินเสียงมันส่งผ่านมาทางอากาศ

   “เออกูเอง”

   “ไหนบอกจะไม่มาเฝ้าวะ”

   “สมเพชมึงไงเลยต้องมา รีบนอนไปเถอะกูเองก็ง่วงแล้ว”

   “อืม วันนี้เหนื่อยมากใช่มั้ย ฝันดีนะ”

   ไม่มีเสียงใดตอบกลับมาอีก คืนนี้...คำว่าฝันดีรู้สึกจะเป็นคำที่เพราะที่สุดที่ผมเลือกพูดออกไป และมันมาจากใจของผมล้วนๆ ฝันดี...












   “มึง เพื่อนกูชอบเพื่อนมึง”

   “อะไรนะ เพื่อนคนไหน”

   “คนนั้นไงที่ตัวขาวๆ สูงๆ แต่หุ่นดีอ่ะ”

   “อ๋อ คิดออกละ เห็นเคยคุยกัน แต่มันสองตัวแม่งคิดไม่เหมือนกันว่ะ”

   “ยังไงวะ”

   “จริงๆ ต้องลองถามมันเอง”

   บทสนทนาระหว่างไอ้ทูกับไอ้โบนจบลง ไม่มีใครรู้ว่าเพื่อนมึง หรือเพื่อนกูสำหรับพวกมันคือใครกันแน่ แต่สาบานได้ว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับผมและก็ได้เติร์ดไม่มากก็น้อย

   “มึงสองคนพูดมากจังวะ กูหิว ออกไปซื้อขนมให้กินหน่อย” จริงๆ ไม่อยากกินหรอก อยากไล่พวกมันให้พ้นทางมากกว่า

   “งั้นกูไปซื้อให้” ไอ้เติร์ดอาสา

   “ไม่ต้อง มึงอยู่กับกู”

   “กูสะดวก เดี๋ยวลงไปซื้อให้”

   “ไม่ให้ไป”

   “เอาแต่ใจตัวเอง”

   “ก็จะเอาแต่ใจกับมึงอ่ะ ทำไม”

   ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ห้องพักผู้ป่วยเดี่ยวของผมไม่เคยเงียบ เพราะนอกจากครอบครัวแล้ว ไอ้เพื่อนรักร่วมถึงเพื่อนร่วมคณะเล่นขนพลกันมาป่วนให้เพียบ ทำเอาไม่ได้หลับได้นอน โดนพยาบาลด่าก็แล้ว ตักเตือนไปก็หลายที กว่าจะเงียบได้ก็วุ่นวายกันเป็นแถบๆ

   ไอ้โบนแบกกีตาร์มาเล่นให้ฟัง ไอ้ทูกับเพื่อนคนอื่นๆ หาปากกาสีมานั่งเขียนเฝือกที่ขาผมจนลายพร้อย ส่วนไอ้เติร์ดกับแม่ก็ยัดของกินให้จนอิ่มหนำสำราญ แถมแบกงานมาให้ทำถึงที่ เล่นเอาหลายวันมานี้แทบลืมไปเลยว่าเคยเป็นคนป่วย

   จนกระทั่งถึงวันที่ผมต้องย้ายออกจากโรง’บาลไปนอนพักรักษาตัวที่บ้าน เมื่อคืนโทรไปบอกแม่แล้วว่าไม่ต้องมารับ เลยเป็นภาระให้ไอ้เติร์ดพากลับ จริงๆ หลายวันมานี้มันโคตรเหนื่อยกับผม แต่คนเหี้ยๆ อย่างไอ้ค่ายนี้ก็ยังเห็นแก่ตัวอยากอยู่กับมันให้มากขึ้นเรื่อยๆ

   บุรุษพยาบาลช่วยเข็นรถเข็นมาเทียบกับรถยนต์สีดำที่ไอ้เติร์ดขับประจำ หลังจากจัดแจงข้าวของรวมถึงท่าทางการนั่งของผมเสร็จประตูก็ถูกปิดลง ผมนั่งนิ่งๆ มองดูมือขาวที่จับพวงมาลัยชะงักค้าง

   “คาดเบลท์ด้วย” เจ้าตัวออกคำสั่งเสียงเรียบ แต่ผมก็ไม่ได้กระตือรือร้นที่จะทำ

   “คาดให้หน่อย ปวดไหล่”

   “ลำบากเพื่อนฝูงจริงๆ เลยมึงอ่ะ” เหมือนจะบ่นๆ แต่ก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย ด้วยการเอี้ยวตัวมาจนสุดแล้วคว้าเอาสายเข็มขัดนิรภัยพาดลงบนลำตัวผม

   “อุ๊ย จมูกเผลอไปโดน” ผมพูดติดตลก ทันทีที่ปลายจมูกสัมผัสกับแก้มขาว

   “ตอแหลจัง นั่งดีๆ เดี๋ยวกูไม่มีสมาธิขับรถ” จากนั้นรถก็ออกตัวไป บรรยากาศภายในไม่ได้เงียบอย่างที่คิด ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้คุยกัน แต่เสียงเพลงที่เปิดคลออยู่นั้นก็ลดความอึดอัดและตึงเครียดลงไปได้บ้าง

   “เบื่อว่ะ”

   “เป็นห่าไร”

   “ฟังแต่เพลงเดิมๆ” ว่าแล้วผมก็เอื้อมมือไปกดเปลี่ยนเพลงทันที

   “เชี่ยยย จะกดอะไรช่วยขออนุญาตเจ้าของรถด้วย”

   “ปกติก็ไม่เคยขอนะ นี่เดี๋ยวจะร้องเพลงให้ฟัง แต่ดูรวมๆ แล้วมีเสน่ห์เหลือเกิน...” เสียงที่เปล่งออกมาเต็มไปด้วยความยียวน ผมมองเสี้ยวหน้าของคนที่อยู่หลังพวงมาลัยไปด้วย ซึ่งมันเองก็เหลือบมองผมกลับอยู่เหมือนกัน

   “ไม่ต้องมาเขินฉันพูดไม่จริง~”

   “เวรเถอะ”

   “เธอมีเสน่ห์มากมาย ดูน่ารักเหมือนควาย มองไกลๆ เหมือนลิง....ยิ่งดูยิ่งโคตรขี้เหร่”

   “โคตรเหี้ย”

   “ร้องให้มึง ชอบป่ะ”

   “ถ้าไม่ติดว่าขับรถอยู่กูจะยันมึงลงจากรถเดี๋ยวนี้แหละ รำคาญ” แปลกดี น้ำเสียงติดหงุดหงิดของไอ้เติร์ดไม่ได้ทำให้ผมสำนึกเลย หนำซ้ำยังรู้สึกมีความสุขที่ได้แกล้งด้วย เห็นนิ้วเรียวพยายามกดเปลี่ยนเพลงไปอีกพักใหญ่ จนกระทั่งได้เพลงที่มันชอบ อารมณ์เลยค่อยๆ ดีขึ้น

   “นี่เพลงอะไรอ่ะ” ผมถามคนเคียงข้าง

   “The only one ของ Part time musicians”

   “แล้วนี่อ่ะ” ผมกดเปลี่ยนเพลงอย่างถือวิสาสะอีก

   “ไอ้สัด คนกำลังฟังเพลิน”

   “แล้วมันคือเพลงอะไรวะ”

   “Attention”

   “สนใจกูอ่ะนะ”

   “ชื่อเพลงครับเพื่อนค่าย อย่าเกรียน”

   “แล้วเพลงนี้อ่ะ” ผมยังคงจิ้มนิ้วลงบนปุ่มเปลี่ยนเพลงอย่างไม่มีเบื่อหน่าย แต่เหมือนไอ้เติร์ดจะเริ่มถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วงแล้ว

   “I need you”

   “นั่นไง บอกรักกันทางอ้อมอีกแล้ว”   

   “ประสาท ถามจริง มึงทิ้งสติไว้ที่โรง’บาลเหรอ” แกล้งถามไปงั้นแหละ เพลงนี้ของวง M83 บางทีแนวเพลงของไอ้เติร์ดก็สะเปะสะปะ ฟังได้ทุกแนวจนเดาอารมณ์ไม่ถูก

   “แต่เพลงนี้คุ้นว่ะ” ผมยังคงเปลี่ยนเพลงแบบตามใจชอบ โดยไม่คิดฟังเสียงบ่นแง้วๆ ข้างหูเลยสักนิด

   “The one ของ Kodaline” อีกฝ่ายช่วยให้ความกระจ่าง

   “อ๋อคุ้นละ ที่ท่อนนึงมันร้องว่า Tell me…Tell me that you want me ป่ะ”

   “อืมใช่”

   “And I’II be your completely For better or for worse” ผมร้องเพลงต่อโดยไม่รอฟังจังหวะเพลงที่กำลังบรรเลงอยู่ ก่อนจะค่อยๆ หรี่เสียงวิทยุลง “แล้ว...”

   “มึงจะอะไรนักหนาวะ”

   “กูจะบอกว่ากูชอบเพลงนี้”

   “แล้วไง”

   “ตรงท่อนจบบอกว่า That why I know you are the one”

   “ใช่”

   “นี่ไม่ได้ถามนะ อันนี้บอกมึง”

   นั่นทำให้ทำให้ฉันรู้ว่าเธอคือหนึ่งเดียวของฉัน...













   ผมกลับมาเรียนอีกครั้งพร้อมกับความลำบากแบบคูณสอง เพราะนอกจากจะแบกไม้ค้ำยันมาแล้ว ยังต้องเท้าอัดเฝือกหนักๆ มาด้วยอีกต่างหาก กางเกงยีนขาเดฟก็ใส่ไม่ได้ เลยต้องโล๊ะตู้หาทรงกระบอกมาใส่อย่างทุลักทุเล

   “โหยยยย แฟชั่นใหม่มาว่ะ ใส่กางเกงขาสั้นข้างยาวข้าง ฮิปฮอปบอยมากครับ โย่วๆ” เช้ามาก็วอนหาส้นตีนกันเลย

   ตั้งแต่ย้ายกลับมาอยู่คอนโด ไอ้เติร์ดก็ได้กลายเป็นทาสในเรือนเบี้ยของผมไปแล้วเรียบร้อย เพราะมันต้องคอยไปรับไปส่ง รวมถึงจัดแจงภารกิจในชีวิตให้อีกต่างหาก จะบอกว่าไม่ใช่เมียก็ดูเป็นการแทงกั๊กเกินไป แต่สิ่งที่ผมทำได้ก็มีแค่มโนเท่านั้นเพราะอีกฝ่ายไม่ยอมรับ

   วันนี้เราต้องเรียนตึกเรียนรวมในคาบแรก ไอ้ทูกับไอ้โบนเลยล่วงหน้ามารอที่โรงอาหารเพื่อซัดข้าวเช้ากันก่อน และหลังจากที่เราตามมาถึง ว่าที่เมียก็จัดแจงที่นั่งและเตรียมสั่งอาหารไว้อย่างดี

   “อยากกินอะไรมึงอ่ะ”

   “กินเหมือนมึง”

   “แล้วน้ำอ่ะ”

   “ก็เหมือนมึงอีกนั่นแหละ

   “งั้นรอแป๊บ” ร่างสูงโปร่งเดินไปยังร้านอาหารเจ้าประจำ จึงเหลือผมสามคนนั่งอัพเดตสถานการณ์ความคืบหน้า ตอนนี้ถือว่าทฤษฎีจีบกำลังไปได้สวย แต่อีกด้านหนึ่งก็ไม่รู้ว่าไอ้เติร์ดยังคุยกับไอ้พี่อั้นอยู่หรือเปล่า เนื่องจากมันไม่ปล่อยให้ใครได้จับโทรศัพท์อีกเลย

   “เชี่ยยยย มารผจญมึงมาได้ไงวะ” สิ้นเสียงของไอ้โบนเราทุกคนต่างหันขวับไปยังเป้าหมาย เพราะคนที่ผมกำลังกลัวเดินผ่านมาพอดี และตอนนี้มันก็พาตัวเองเข้าไปคุยกับไอ้เติร์ดที่ยืนรอกับข้าวหน้าร้านอาหารเสร็จสรรพ

   “กูไม่ยอม กูจะไปขัดขวาง” ไม่พูดเปล่า ผมรีบคว้าไม้ค่ำยันขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ต้องใช้เทคนิคพิเศษโดยเอาจักแร้หนีบให้แน่นแล้วดีดตัวขึ้นมาด้วยแรงที่มากที่สุด

   นี่คือสิ่งที่คิด VS ความเป็นจริง

   คือกูยังไม่สามารถเอาตีนออกมาจากโต๊ะได้เลย ไอ้ควายยยยยยยย

   “ไม่ต้องไปละ มาแล้วนั่น” ไอ้เติร์ดถือจานข้าวเอาไว้ในมือพร้อมกับน้ำดื่ม ส่วนอีกจานไอ้พี่อั้นถือมา และกำลังเดินตรงดิ่งมาหาเรา

   “หวัดดีพวกมึง” คำทักทายแรกเอ่ยขึ้น ไอ้โบนกับไอ้ทูเลยยิ้มแหยพลางตอบกลับไป

   “หวัดดีพี่”

   “ขอนั่งด้วยคนนะ”

   “เพื่อนพี่ไปไหนวะ” เพราะความอดทนของคนเรามีขีดจำกัด ฉะนั้นผมจึงเงียบต่อไปไม่ไหว

   “ก็คนละทิศคนละทาง เดี๋ยวก็ไปเจอกันในคลาสเองแหละ นี่ข้าวมึง” มือหนายื่นข้าวในจานพร้อมกับน้ำดื่มมาให้ ผมเลยยกมือไหว้และขอบคุณเสียงแผ่ว

   เรากินข้าวกันอย่างอึนๆ อยู่เกือบสิบนาที บทสนทนาก็เกิดขึ้นแค่คนสองคนนั่นคือพี่อั้นกับไอ้เติร์ด แม่งคุยแต่เรื่องละครเวทีห่าเหวอะไรไม่รู้ คือชีวิตมันมีอะไรมากกว่านี้ป่ะ แล้วคนโดยรอบก็อยู่กันหลายคนด้วย แต่เหมือนพี่มันจะนั่งทางในมาเสือกจนรู้ เนื่องจากนินทาในใจปุ๊บมันก็ชวนคุยปั๊บเลย

   “วันนี้มีซ้อมบทตามฉากแล้ว มึงแวะเข้าไปดูได้นะ แล้วทีมซาวน์ก็ฝากกูมาบอกด้วยว่าให้มึงเข้าไปคุยรายละเอียดกันหน่อย”

   “โอเค ยังไงเลิกเรียนแล้วผมจะเข้าไปกับแก๊งโหด”

   “ยังมีอีกอย่างนึง”

   “อะไร”

   “มีน้องผู้หญิงคนนึงเขาฝากกูมาขอไลน์มึงอ่ะ” ไอ้เหี้ยยยยยยยยยยย แล้วมาคุยเรื่องนี้ต่อหน้าไอ้เติร์ดเนี่ยนะ! กูถึงกับนั่งตัวแข็งลอบมองดูคนที่ตั้งหน้าตั้งตากินข้าวไม่พูดไม่จา

   นี่พี่มึงต้องการประกาศศึกกับกูชะ?

   เลื่อยขาเก้าอี้คู่แข่งนี่คืองานถนัดมึงชะ?

   “ผมเลิกยุ่งแล้ว”

   “แต่น้องบอกว่าเคยขอมึงมาสักพักละ สงสาร บางทีเขาอาจจะอยากคุยงาน” หราาาาาาาาา

   “ผมไม่อยากคุยกับใครทั้งนั้น”

   “คิดอะไรมากวะแค่ให้ไลน์ ปกติมึงแจกจ่ายแทบจะทั่วมอ” ผมมองหน้ารุ่นพี่ปีสี่ซึ่งตีหน้ามึนใส่อยู่ แต่วินาทีนี้มึงได้จุดไฟให้โหมกระหน่ำในใจของกูเรียบร้อย

   “งั้นผมแจกก็ได้ ฝากบอกน้องผู้หญิงคนนั้นด้วยนะครับว่าไอดีไลน์พี่ค่าย แอดที-เอช-ไอ-อาร์-ดี-สาม-สาม”

   “เอาใหม่ดิ”

   “ดูปากผมนะครับ แอดที-เอช-ไอ-อาร์-ดี แล้วก็สามสองตัว”

   “Third33 เติร์ดเหรอ”

   “ใช่ครับ มีอะไรปรึกษาเมียพี่ค่ายได้เลยครับ ขอบคุณ”






Cr. บทความเกี่ยวกับเชกสเปียร์มาจากหนังสือ ‘จริงตนาการ ของ Mister Tompkin’
กลัวคนอ่านจะเป็นไบโพลาร์จัง อารมณ์ขึ้นสุดลงสุด
ตอนนี้บอกเลยว่าค่ายจะยังหน้าด้านต่อไปแม้เติร์ดจะไม่ค่อยใยดีก็ตาม
สู้ค่ะ เกิดมาเป็นคนเจ้าชู้แต่ดันมาอาภัพรักแท้ก็คงต้องดั้นต่อไป
ตอนหน้ามาลุ้นทฤษฎีจีบจากพี่ค่ายคนกากอีกนะคะ ดูว่าแกจะมาไม้ไหน
#ทฤษฎีจีบเธอ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-07-2017 03:36:30 โดย Jittirain12 »

ออฟไลน์ me12inzy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
ไม่รู้ดิ ไม่ชอบอิพี่อั้นอะ ถ้าอีค่ายเลวอีพี่อั้นก็ไม่ต่าง. รำคาญอีพี่เชนทร์ด้วย. จีบเองไม่เป็นรึไง. ให้เพื่อนมากันท่าอีก. รำโว้ยย
ถ้าเติร์ดหวั่นไหวกับอีพี่นี่เรามีเลิกอ่านอะ5555

ออฟไลน์ เจ้าหญิงขี้ลืม

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
ตอนแรกก็สงสารค่ายอยู่นะ
แต่เจ้ว่ายิ่งเจ็บตัวปากคอยิ่งร้ายขึ้นนะคะลูกก
เรื่องตัดพ้อเติร์ทนี่ที่หนึ่งเลย
ทำไงได้ไปทำเค้าไว้ก่อนก็ต้องยอมรับในผลกรรมเนอะ (ตบบ่าเบาๆ) :bye2:

ออฟไลน์ manami_01

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 980
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-1
ค่ายมาแบบเหนือเมฆ มาแบบเนียน ๆ มาแบบมโน 5555


ออฟไลน์ makuto

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :hao6: :hao6: :hao6:

ออฟไลน์ colorofthewind21

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-1
ลำไยพี่อั้นไปไกลๆดิ๊

ตลกตอนแชต555555

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
 :mew5: ค่ายจีบเติร์ด  อยากรู้ความรู้สึกเติร์ดบ้าง นิ่งเหลือเกิน

ออฟไลน์ โอ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
 :z6:อีพี่อั้นแม่งไม่แฟร์เลยคอยแต่จะขุดเรื่องเก่าๆของค่ายมาพูดตลอดเวลาก็รู้นะว่าที่ผ่านมาค่ายทำเลวขนาดไหนเพราะงั้นควรสู้กันแบบลูกผู้ชายดิทั้งคู่เลย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ทฤษฎีจีบเธอ ∞ ตอนที่ 10 [07/07/60] *หน้า28
« ตอบ #819 เมื่อ: 07-07-2017 20:46:56 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
อิเหี้ยค่ายยยยย 55555  ฮาลั่นมากตอนไลน์นินทาชนิดเผาขน แต่...ผิดกลุ่ม ฉันเข้าใจแกค่าย #ตบบ่า  ฉันผ่านจุดนั้นแล้ว ณ โมเม้นท์นั้น อยากจะให้โลกนี้กลับไปอยู่ในยุคที่ยังไม่มีมือถือเหลือเกินนน อ๊าคคคค #อายเกินบรรยาย

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
โถวววว นี่ชั้นไม่ควรหวังอะไรจากอิค่ายเลยใช่ไหม ตอนที่แล้วจบอย่างหล่อมาดพระเอกพุ่งเต็ม มาตอนนี้จบอย่างกาก มาดพระเอกหดหายเหลือแค่อิค่ายคนกากคนเดิม ฮ่าๆๆๆ เออ สู้ๆละกันนะ หัดทำอะไรให้มันดูจริงจังบ้าง เล่นมากไปเติร์ดมันจะไม่เชื่อเอา

ออฟไลน์ hoshinokoe

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1042
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
ฮาตรงมีไรแรึกษาเมียพี่ค่ายนี่แหละ

ออฟไลน์ จอมจุ้น6002

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
เมียพี่ค่าย เมียพี่ค่ายย เมียพี่ค่ายยย  :laugh: :laugh: :laugh:
ถถถถ นังค่ายขี้มโน คีพลุคเท่ห์ๆหน่อยลูกกกก

ออฟไลน์ oilzaza001

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
พี่อั้นจีบเตริดนี่ไม่ว่านะ แต่ไม่ควรเอาเรื่องแย่ของคนอื่นมาตัดกำลังเน่ออ มันดูไม่ใจอะ อีกอย่างตัวเองก็ใช่ว่าจะต่างนี่นา แย่กว่าค่ายอีกมั้ง แถมยังใช้เรื่องงานกับเพื่อนตัวเองเป็นข้ออ้างในการเข้าหาเตริดอีก ลำไยสองเพื่อนซี้ปีสี่นี่จริงๆ -*-  :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ gackmanas

  • I Remember your Eyes..
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
ค่าย... แจ่มมาก.. 55+

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9
 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ poommy_TY

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
โอ้ยยย ถึงจะเคยด่าอิค่ายไว้มากมาย
แต่เห็นแบบนี้ ก็อยากให้เติร์ดมีอาการอะไรให้อิค่ายมันได้กระชุ่มกระชวยบ้าง

เอาแต่ใจมากมันจะดีเหรอคุณขุนพล ว้อยยยยยย

พี่อั้นเหรอ หึ /ล็อกเป้าเตรียมยิง

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
แก๊งโหดเวลาคุยกันเองฮามากค่ะ คือตอนนี้ขำมากเลย โดยเฉพาะตรงคุยไลน์กลุ่ม
แต่สถานการณ์หัวใจยังไม่ค่อยคืบเลย ช่วงนี้เปลี่ยนมาสงสารค่าย

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
อิค่ายคนกลบ ปะทะ พี่อั้นคนขุดคุ้ย

พี่อั้นนี่ทำรายการคนค้นค่ายหรือเปล่า? ทำใจเชียร์พี่ไม่ลงเพราะนิสัยเอาเรื่องของอีกฝ่ายมาย้ำให้ตัวเองดูดีเนี่ยแหละ

แล้วค่ายก็นะ เล่นรุกแรงอย่างนี้คิดว่าเติร์ดจะทนเหรอ


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ทฤษฎีจีบเธอ ∞ ตอนที่ 10 [07/07/60] *หน้า28
« ตอบ #829 เมื่อ: 07-07-2017 21:31:13 »





ออฟไลน์ Ouizzz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 640
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
ฉันทั้งตลกและสงสารอิค่ายตั้งแต่ไลน์ผิดกลุ่มละ :hao3:

ออฟไลน์ อิ๊อ๊ะชะเอิงเอย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
อยากอ่านฝั่งเติร์ดจัง :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ boboman

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
พอป่วยแล้ว ต่อมสำออยอิค่ายกำเริบทันที  :hao7:
ตลกตอนผิดแชทมาก 55555555555555555

ออฟไลน์ pui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-3
 :m20: :laugh: :pigha2: :jul3: ไม่ได้มีความสงสารค่ายสักนิด 55555

ออฟไลน์ wichiwiwie

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ชักเริ่มลำไยอิพี่อั้นล่ะนะ คือแบบ.. หมั่นไส้อะ ตอนแรกๆ ก็ว่าจะทีมเติร์ด แต่ตอนนี้สงสารค่ายล่ะ ย้ายมาทีมค่ายดีกว่า 55555555 /// หายไวๆ นะค่าย :)

ออฟไลน์ badbadsumaru

  • ♡ caramel macchiato
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
55555555 ผิดแชท โคตรแย่ โอ้ยยยย

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
พยายามต่อไปนะค่าย

ออฟไลน์ mamacub

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1034
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-0
ชอบที่ค่ายเถียงเพื่อนซี้ปีสี่  :laugh5:

ออฟไลน์ Ahjumma1212

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :seng2ped: โอ้ยยยยยยย..........นี่เราโคตรอึดอัดใจเลย เมื่อไหร่เติร์ดจะใจอ่อนนะ แล้วเมื่อไหร่ค่ายจะจีบแบบคนฉลาดสักที แล้วนี้ก็ไม่อยากให้จบเลย อ่านแล้วเพลิน เผลอมีอารมณ์ร่วมกับค่ายเข้าไป อ่านไปก็เกรียวกราดไป......อ่านแล้วอารมณ์มันขึ้นจริงๆๆ

ออฟไลน์ Papangtha

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
รำคาญพี่อั้นนนน

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด