ตอนที่ 11
เกรี้ยวกราดเป็นการแสดงความรักอย่างหนึ่ง
การโต้เถียงของผมกับพี่อั้นจบลงเพราะได้เวลาเข้าเรียนซะก่อน ไม่งั้นกูดีเบตกับแม่งยาวๆ เอาให้รู้กันไปเลยว่าใครจะชนะ เพื่อนผมมันก็ออกโรงช่วยบ้างนะครับ แต่ด้วยความเท่และเป็นสุภาพบุรุษการพาเพื่อนมารุมด่าไม่ใช่วิถีของลูกผู้ชาย ดังนั้นผมเลยฉายเดี่ยวโต้กับพี่มันจนน้ำลายแตกฟอง
สงสารก็แต่ไอ้เติร์ดที่เขี่ยข้าวในจานไปมากว่าสงครามประสาทจะยุติลง
และเหมือนเดิม จากการเรียนรู้แบบมั่วๆ มาหลายครั้ง ถ้าต้องการจะนั่งใกล้ไอ้เติร์ดผมต้องเปิดโอกาสให้เจ้าตัวได้เลือกเก้าอี้ก่อน ดังนั้นตอนเข้าห้องผมจึงเลือกเดินรั้งท้ายเพื่อนทั้งสามคนอย่างมีแผน
เมื่อเห็นว่าเป้าหมายนั่งประจำที่แล้ว ไอ้ทูกับไอ้โบนก็หันหน้ามามองผมเหมือนรู้ทัน แล้วเปิดโอกาสให้ผู้ชายขาหักที่น่าสงสารอย่างนายขุนพลนั้นเยื้องย่างเข้าไปในแถว พร้อมกับทิ้งตัวลงบนเก้าอี้เคียงข้างเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ
ไอ้เติร์ดหันหน้ามามองผมแว๊บหนึ่ง แถมอ้าปากพะงาบๆ เหมือนจะพูดอะไรออกมา แต่ด้วยความเหี้ยสุดกำลังผมจึงรีบตัดโอกาสนั้นด้วยการโพล่งออกไป
“ขาเจ็บน่ะ ไม่อยากขยับตัวมาก ขอนั่งตรงนี้ได้มั้ย” ต้องทำหน้าละห้อยด้วยครับ เพราะตอแหลเท่านั้นที่ครองโลก
“ก็ไม่ได้ว่าอะไร” มันตอบเสียงเอื่อย
“เห็นมึงเหมือนจะพูดอะไรก่อนหน้านั้น”
“เปล่าหนิ” ปากแข็ง!
ตอบจูบก็เห็นนุ่มดีนี่หว่า กูแม่งอยากพิสูจน์อีกรอบเลยว่ายังนุ่มอยู่มั้ย
“นิสิตคะช่วยเงียบเสียงหน่อย เดี๋ยวเราจะเริ่มเรียนแล้ว ก่อนอื่นเรามาเช็กชื่อกัน กิตติพงษ์...” อาจารย์เจ้าของวิชาเป็นฝ่ายยุติบทสนทนาของเราลง ต่างคนต่างหยิบชีทเรียนจากครั้งก่อนขึ้นมาเพื่อเตรียมตัวสำหรับการเรียนซึ่งผมก็ไม่ค่อยได้ตั้งใจเท่าไหร่ เพราะมัวแต่สนใจคนข้างๆ อยู่
“คลาสวันนี้เราจะมาต่อที่เรื่อง Screenplay และ Shooting script และ Storyboard ไหนมีใครพอรู้บ้างว่า Screenplay คืออะไร”
ทุกคนในคลาสเงียบกริบ อาจารย์ซึ่งถือไมค์หน้าห้องเลยได้แต่กวาดตาไปมาคล้ายกำลังหาผู้กล้า และคนคนนั้นก็คือไอ้เติร์ด เชร้ดดดด ว่าที่เมียกูนี่มีความเป็นผู้นำมากครับ ดูฉลาดหลักแหลม ตรงข้ามกับกูทุกอย่างเลย
“เตชภณว่าไงคะ”
“มันคือบทภาพยนตร์ที่มีทั้งโครงเรื่องและบทพูดครับ จริงๆ มันก็คือบท (Script) ซีเควนส์หลัก (Master scene)หรือซีนาริโอ (scenario) นั่นแหละครับ”
“ถูกต้องค่ะ แล้ว Shooting script ล่ะ มันก็คือบทเหมือนกันถูกมั้ย สรุปแล้วมันแตกต่างจาก Screenplay ยังไงคะ”
ผมตอบได้! เรื่องถ่ายทำต้องกูครับ
“ว่าไง”
“มันคือบทถ่ายทำครับ แตกต่างตรงที่มันจะบอกตำแหน่งกล้อง การเชื่อมซ็อต และเอฟเฟ็กอื่นๆ เข้าไปในการเขียนด้วย”
“ดูฉลาดขึ้นมาเลยนะขุนพล” อาจารย์ชมด้วยรอยยิ้ม
“พอดีมีกำลังใจที่ดีครับ”
“ฮิ่ววววววววววว”
เขินง่อวววว เพื่อนโห่แซวกันทั้งห้องเลยโดยเฉพาะไอ้โบนกับไอ้ทูที่ยกตีนขึ้นมาสะกิดยิกๆ รู้สึกภูมิใจเหมือนย้อนวัยกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ใครๆ ก็อยากดูเก่งและฉลาดในสายตาของคนที่ชอบ ตอนนี้ไอ้เติร์ดคงนึกชื่อชมผมอยู่ในใจแน่ๆ
การเรียนวันนี้เต็มไปด้วยความสนุกสนาน คลาสของเด็กฟิล์มมันจะมีบางวันที่เราเครียดมาก หรือบางวันก็ไร้สาระสิ้นดี ตลอดเวลาในการเรียนทั้งอาจารย์และนิสิตสลับการถามตอบเป็นระยะแทรกกับการให้ความรู้ กระทั่งภาพหนึ่งปรากฎขึ้นบนจอโปรเจ็กเตอร์
“ถ้าดูรูปนี้เราจะเปรียบมันเป็นอะไรคะ เอาตามทัศนคติของนิสิตเลย”
บนจอเป็นภาพดอกกุหลลาบสีชมพูอ่อนต้นหนึ่ง ด้วยความคิดที่ว่ากูอยากดูหล่อในสายตาของไอ้เติร์ด สมองเลยผลักดันให้ตัวเองยกมือขึ้นฉับพลัน
“เปรียบเป็นความรักครับ”
“หูยยยยยยยยยยยย” เสียงของเพื่อนดังระงมไปทั่วห้อง ก่อนผมจะกระแอมไอเล็กน้อยแล้วพูดต่อ
“ความรักก็เหมือนกับกุหลาบ สวยงามแต่ก็มีหนามแหลมคม และถึงแม้ว่าเราจะรู้ว่าถ้าจับมันยังไงก็คงถูกหนามตำ แต่คนเราก็ยังอยากรู้จักความรักเหมือนกับอยากครอบครองกุหลาบสวยๆ อยู่ดี”
“น้ำเน่าฉิบหาย” ไอ้ทูแทรกขึ้น คนฟังนี่แทบถลาไปต่อยปากให้หายข้องใจ
“แหมคำตอบเหมือนหนังยุค 70 เลยนะคะ แต่อาจารย์จะบอกขุนพลอย่างหนึ่ง กุหลาบพันธุ์ในรูปไร้หนามนะคะ”
“ฮ่าๆ บักง่าว!”
ไอ้ฉิบหาย! กูอุตส่าห์บิวด์มาตั้งนาน
“นี่เป็นข้อเสียอีกอย่างหนึ่งที่คนเขียนบทควรคำนึง นั่นคือการศึกษาและสังเกต ใช้เวลาและลงรายละเอียดกับมันมากๆ เข้าใจที่พูดมั้ยคะ”
“คร้าบ” เสียงหัวเราะยังคงดังขึ้นไม่มีท่าทีว่าจะเงียบ แม้อาจารย์จะหยุดพูดถึงประเด็นนี้แล้วก็ตาม แต่อะไรก็ไม่เจ็บใจเท่าไอ้เติร์ดที่มองผมด้วยสายตาล้อเลียนนี่หรอก
จี๊ดดดด ไปถึงขั้วหัวใจ
“บางทีความรักมันก็เหมือนกับเห็บหมาเนาะเพื่อนเนาะ” เชี่ยโบนพูดขึ้น
“ทำไมอ่ะ” ก่อนไอ้ทูจะตบมุกอย่างรวดเร็ว
“ก็ทำให้เจ็บไม่พอ ยังทำให้เขารังเกียจด้วยไง”
“โหยยย อย่างนี้ไม่หมาอย่างเดียวนะมึง หมาหัวเน่าด้วย”
ฟายเอ๊ย! อายไม่รู้จะมุดหน้าไว้ตรงไหน
“มึงหัวเราะทำไมไอ้เติร์ด” ตอนนี้สมองไม่ได้โฟกัสที่เพื่อนโหดสองคนแล้วครับ กูมองคนที่นั่งถัดไปทางขวามือมากกว่า
“เปล่า กูหัวเราะเหรอ”
“มึงไม่ต้องมาเนียน เขาถึงบอกไงว่าผิดเป็นครู”
“แต่ผิดมากๆ ก็เป็นควายได้นะ”
“งั้นยอมเป็นควายก็ได้”
“ไม่เถียงกูแล้วเหรอ” ไอ้เติร์ดขมวดคิ้ว พลางถามอย่างแปลกใจ
“ก็ถ้ามึงอยากให้เป็นอะไรกูก็จะเป็น”
“...”
“พอดีอยากเป็นทุกอย่างสำหรับมึง” ปุ้ง! มุกนี้น่าจะผ่าน...
“ไอ้ค่าย”
“จ๋า”
“งั้นเป็นกระโถนให้กูหน่อยสิ พอดีอยากอ้วกว่ะ”
ไอ้ฉิบหาย! มึงเคยอินอะไรกับกูบ้างมั้ยเตชภณ นี่มาทุกไม้แล้วนะ สุดท้ายเหมือนตัวเองย่ำอยู่ที่เดิม แถมมีท่าทีว่าจะเดินถอยหลังอีกต่างหาก
พูดแล้วก็จะร้อง...
เย็นวันนี้หลังเลิกเรียนไอ้เติร์ดต้องรับหน้าที่เป็นขี้ข้าพาผมไปล้างแผลที่โรงพยาบาล โชคดีหน่อยเพราะเป็นโรงพยาบาลเอกชนเลยไม่ต้องปวดหัวกับคนไข้ที่มีเยอะๆ แถมยังสามารถอ้อนให้เพื่อนรักหักเหลี่ยมแค้นเข้ามาในห้องตรวจได้อีกด้วย
พยาบาลทำหน้าที่ล้างแผลให้จนเสร็จ สักพักผมก็ถูกเข็นเข้าไปยังห้องตรวจซึ่งผมดึงมือคนตัวขาวเข้าไปด้วย เรานั่งหน้าสลอนอยู่ต่อหน้าหมอที่ทำการรักษาและผ่าตัดให้ผม ก่อนแกจะถามขึ้น
“พยาบาลบอกว่าคนไข้ดื้อ”
“ผมทำอะไรครับ”
“แผลโดนน้ำมาเหรอ” นั่นไงกูโดนอีกละ
“ผมไม่ได้ตั้งใจนะครับ แต่มันทุลักทุเลมากเพราะไม่มีใครช่วย” พูดไปก็แสร้งทำหน้าละห้อยไป ถือซะว่าฝึกสกิลความตอแหลต่อหน้าไอ้เติร์ดก็แล้วกัน
“คนที่บ้านไม่อยู่เหรอ”
“พอดีผมขอออกมาอยู่คอนโดคนเดียวเพราะต้องไปเรียนมหา’ลัยครับ ที่บ้านเลยมาดูแลตลอดเวลาไม่ได้ แต่ว่า...” ผมหันไปมองหน้าคนข้างๆ ก่อนจะพูดต่อ “ก็มีเพื่อนสนิทอยู่”
“ไอ้ทูกับไอ้โบนไง” คนถูกพาดพิงรีบเถียงทันที
“มันก็ไม่เหมือนมึงมั้ย ที่ผ่านมาไอ้สองตัวมันช่วยอะไรกูได้บ้างนอกจากทำให้ปวดหัว” จริงๆ มันก็ช่วยได้แหละแต่พอดีอยากให้ไอ้เติร์ดดูแลมากกว่า
“แล้วจะให้กูทำไง ย้ายไปเฝ้ามึงเลยมั้ย”
“จริงดิ”
“กูประชดโว้ย”
“นั่นไงหมอ ดูเพื่อนผมดิ ต่อไปผมงดอาบน้ำเลยได้มั้ยครับ” ผมหันไปคุยกับคนอายุมากกว่าที่นั่งส่ายหน้าระอาไปมา คือเขาคงคิดว่ากูใช้ห้องนี้เป็นห้องทำสงครามกับไอ้เติร์ดไปแล้ว
“ไม่ดีมั้ง อดทนนิดหน่อย ช่วงนี้พยายามอย่าให้แผลโดนน้ำก็พอ ถ้าผ่านช่วงล้างแผลไปแล้วก็จะโอเคกว่านี้”
“ระหว่างนี้สิครับที่ไม่มีคนดูแล ต่อไปคงไปไหนไม่ได้มากเพราะขาหักอีก”
“งั้นอย่าทิ้งเพื่อนนะครับ เป็นกำลังใจให้กัน” คราวนี้หมอหันไปบอกกับไอ้เติร์ด ซึ่งเจ้าตัวก็ได้แต่ทำตาปริบๆ และฝืนพยักหน้าอย่างจำใจ
“มันท้อแท้ครับหมอ” เอาให้สุดแล้วหยุดที่เตียง ผิด!
“อีกสามเดือนกระดูกก็คงผสานกันสนิท”
“แผลกายรักษาหาย แล้วเมื่อไหร่แผลใจจะหายบ้างครับ”
“คือหมอปวดหัวกับคุณจริงๆ”
“แต่ผมก็สงสารเพื่อน ไม่อยากให้มันต้องตื่นเช้าไปรับไปส่งทุกวัน”
“ทางที่ดีคือควรตื่นพร้อมกันและไปเรียนด้วยกันถูกมั้ย” หมอเหมือนถามเป็นเชิงเปิดทาง แถมสีหน้าแกยังบ่งบอกเป็นเชิงถามว่าพอใจหรือยังอีก
เอาน่า! เป็นเรือผีให้ไอ้ค่ายได้บุญนะ
“ถูกต้องเลยครับ เนี่ยไอ้เติร์ด ขนาดหมอยังบอกเลยว่ามึงควรย้ายมาดูแลกูที่ห้อง” ผมหันไปมัดมือชกกับคนข้างๆ ซึ่งมันก็ไม่ได้มีท่าทีลังเลใจใดๆ นอกจากตอบกลับอย่างรวดเร็วแทบไม่เสียเวลาคิด
“ให้สาวมึงมาเฝ้าสิ”
“ก็บอกเลิกไปหมดแล้ว”
“มึงก็หาใหม่สิ คนก่อนที่มาขอไลน์อ่ะ รีบให้ไปเลยจะได้มีคนดูแล ไม่ต้องเป็นภาระกูอีก”
“เขาไม่ใช่มึง กูอยากเป็นภาระแค่มึงเข้าใจยัง”
“เอ่อ...คนไข้เคลียร์กันก่อนมั้ย หมอจะได้เดินออกไป” สิ้นเสียงบุคคลที่สามซึ่งนั่งหน้าสลอนอยู่ในห้อง ผมกับไอ้เติร์ดเลยจำต้องเลิกโต้เถียงไปโดยปริยาย แต่ในใจเรื่องของเรามันยังไม่จบ เพราะฉะนั้นหลังจากพยาบาลเข็นรถพาผมออกมาด้านนอก ไอ้เพื่อนรักก็ปั้นหน้าบึ้งใส่ทันที
“นี่ถ้าไม่อยากให้กลับด้วยบอกได้เลย เดี๋ยวกูโทรเรียกแท็กซี่เอง” ปากพล่อยไปแล้ว
ไม่รู้ไปจำตัวอย่างมาจากหนังเรื่องไหน แต่ถ้าไอ้เติร์ดบ้าจี้ขับรถกลับเองนี่เรียกซวยฉิบหายเลยนะครับ ก็ได้แต่หวังว่าความเป็นเพื่อนของเรายังจะเหลือเยื่อใยให้คนขาหักอยู่บ้าง
“จะโทรเรียกเหรอ” นั่นไง งานเข้า!
“เดี๋ยวนี้แท็กซี่ก็ไม่ค่อยปลอดภัยด้วยดิ บางทีก็ส่งรถ เติมแก๊ส ให้ไปส่งที่ไหนก็ไม่ค่อยไปอีก กูคงต้องอดทนรอแบบเจ็บขาต่อไปนี่แหละ”
“งั้นกูเรียกแกร๊บให้”
“บางทีคนแปลกหน้าก็ไม่น่าไว้ใจอ่ะ วันก่อนอ่านข่าวเหมือนผู้โดยสารโดนทำร้ายอยู่เลย”
“กูโทรเรียกพี่สาวมึงมาให้ละกัน”
“เคลียร์แม่งติดแฟน โทรไปรบกวนมันเดี๋ยวก็โดนด่ากราดกลับมาหรอก”
“ให้แม่หรือพ่อมึงมารับมั้ย”
“เขาอายุมากแล้วนะมึง จะให้ออกมาตอนรถเยอะๆ อย่างนี้ได้ยังไง” ผมได้ยินไอ้เติร์ดถอนหายใจเฮือกใหญ่ มันก้มหน้ามองผมที่นั่งหน้าสลอนอยู่บนรถเข็น จ้องอยู่อย่างนั้นเกือบนาทีก่อนจะเอ่ยปากพูดออกมา
“สรุปแล้วอยากไปด้วยกัน”
“อืม”
“แค่เนี้ยะ จะฟอร์มจัดทำไม ไม่ได้ดูเท่เลย” ก็ชอบมึงนี่หว่า แถมไม่เคยต้องมาจีบใครขนาดนี้ด้วย
อย่างที่รู้กันดีว่าผมเป็นเด็กเอาแต่ใจของบ้าน เป็นลูกชายที่ไม่ค่อยเอาไหนเพราะถูกพ่อแม่สปอยมาตั้งแต่เด็ก อยากได้อะไรก็ต้องได้ ชอบใครเขาก็ชอบตอบ ทุกอย่างได้ดั่งใจหมดจนไม่ต้องพยายามให้เสียแรง
แต่พอชีวิตพลิกผันต้องมาจริงจังกับอะไรเป็นครั้งแรก ผมกลับไม่รู้ว่าตัวเองควรทำยังไง ขั้นตอนที่อยู่ในหัวก็โคตรว่างเปล่า มีแค่เป้าหมายที่ตั้งไว้ว่าต้องชนะใจไอ้เติร์ดเท่านั้น ซึ่งตอนนี้ผมคิดว่าเป้าหมายไม่ได้สำคัญแล้วล่ะ อยู่ที่ปัจจุบันกูจะหาทางเต๊าะไอ้เพื่อนคนนี้ยังไงดีกว่า เพราะเหมือนจะเป็นงานหนักที่สุดในชีวิตของผมแล้ว
เช่นเคย ไอ้เติร์ดยังคงเป็นสารถีพาผมไปทุกที ทันทีที่ขึ้นมานั่งบนรถอย่างทุลักทุเลเราก็มุ่งหน้าไปยังมหา’ลัยเช่นเดิม เพราะวันนี้ผมต้องทำงานกับทีมซาวน์ครั้งแรกในรอบเดือน ทั้งการเลือกเพลง การตัดต่อ จังหวะที่โคกับบท เรียกได้ว่ามันเป็นงานที่ค่อนข้างซีเรียสพอสมควร
“ไม่ต้องเปลี่ยนเพลงกูอีก” ความเงียบปกคลุมได้สักพักคนขับที่นั่งข้างก็โพล่งขึ้น และผมก็พบว่าตัวเองกำลังเคาะนิ้วไปมาใกล้ๆ ปุ่มกดเปลี่ยนเพลงอยู่
“ยังไม่ทันได้ทำอะไรเลย เกรี้ยวกราดทำไมเนี่ย” คือกูเคาะเฉยๆ มั้ย...
“กูกำลังฟังเพลง อย่ายุ่ง”
“...” ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนะครับนอกจากจ้องมันทั้งตัวด้วยความรู้สึกบางอย่าง อาจเป็น...ชื่นชมในความน่ารักที่เพิ่งมองเห็นชัดๆ ตรงนี้ล่ะมั้ง
“ทำไมมือมึงขาวจัง”
“ไม่ต้องมายุ่ง”
“ตามึงก็สวยด้วย เป็นแฟนพี่มั้ยครับน้อง”
“เลิกม่อไปทั่วให้ได้ก่อนเถอะ” แว๊บหนึ่งไอ้เติร์ดหันมามองผมตาขวาง ก่อนจะกลับไปจดจ่อกับถนนตรงหน้าอย่างรวดเร็ว
“เลิกแล้ว”
“ก็เห็นยังทำอยู่เนี่ย”
“อันนี้ไม่ได้ม่อ อันนี้จริงจัง”
“เพื่อนเล่นเหรอ”
“ก็เล่นด้วยกันมาสองปีกว่าแล้วอ่ะ ตอนนี้เบื่อๆ เลยว่าจะหยุดเล่น”
“...”
“เปลี่ยนมาดูแลแทน” “มึงยังเอาตัวไม่รอดเลย”
“งั้นก็ดูแลกันและกัน”
ผมไม่อยากมีความทรงจำเป็นภาพที่อีกสิบปีมาเจอกันแล้วถ่ายรูปรวม แต่อยากมีแค่ตัวตนของเราที่มีความทรงจำร่วมกันจริงๆ โดยไม่ต้องมีภาพถ่ายเก็บไว้ เจอกันทุกวันอาจเบื่อไปบ้าง แต่ถึงเวลานั้นคงผูกพันกันฉิบหาย
รถแล่นไปบนถนนด้วยความเร็วแปดสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง มีเพลงดังคลออยู่ในหูตลอดทาง แต่เราไม่ได้พูดอะไรมากกว่านั้น คล้ายกับว่า...ต่างคนต่างวาดฝันอนาคตของตัวเองอยู่ ผมไม่รู้ว่าอนาคตของไอ้เติร์ดมีผมอยู่ในนั้นมั้ย แต่สำหรับผม...
มันคือวัตถุดิบชั้นยอดที่แต่งเติมฝัน และหวังว่ามันจะเป็นจริงในสักวัน
บรรยากาศในห้องซ้อมวันนี้เต็มไปด้วยความครึกครื้น เพราะรวมสต๊าฟหลายฝ่ายมาโคงานกับเป็นครั้งแรก ตั้งแต่ฝ่ายเสียง แสง บล็อกกิ้ง ช่างภาพ แม้ความสมบูรณ์ของมันจะมีอยู่แค่สามสิบเปอร์เซ็นต์ก็ตาม
“ค่าย! น้องค่ายยยยยย” หลังจากก้าวเท้าเข้าไปด้านในพร้อมกับไอ้เติร์ด เสียงของพี่ทีมแอคติ้งก็ร้องเรียกผมเสียงดัง สีหน้าแต่ละคนดูตื่นเต้นมาก มีนักแสดงหลักหลายคนนั่งอยู่หน้าจอแล็ปท็อปคล้ายกำลังทำกิจกรรมสนุกๆ สักอย่าง
“ค่ายมานี่หน่อยค่า ตอนนี้เรากำลังไลฟ์สดกับแฟนละครเวทีอยู่”
“ผมไม่ใช่พระเอกแล้ว”
“ก็มาแถลงการณ์ก่อน แฟนคลับเป็นห่วงแน่ะ” ผมหันไปทางไอ้เติร์ดเป็นเชิงถาม ซึ่งเจ้าตัวก็พยักหน้าเป็นคำตอบ เดี๋ยวนี้จะไปไหนต้องถามเมียครับ ผมเลยคีบไม้ค้ำยันเดินกะเผลกไปหาพี่ปีสี่กับรุ่นน้องนักแสดงหลายคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าจอพอดี
“ค่าย นี่น้องฟานปีหนึ่งที่จะมารับบทพระเอกแทนแกนะ”
“สวัสดีครับพี่” คนตรงหน้ายกมือไหว้ หน้าตามันไม่ได้ขี้ริ้วเลย หุ่นดี สูง แถมไม่ใช่หนึ่งในคนที่มาแคสต์บทพระเอกก่อนหน้าด้วย ไม่รู้พี่ใบบัวมันไปหามาจากไหน
“เดี๋ยวคนอื่นๆ ออกไปซ้อมก่อนนะ ถ้าค่ายไลฟ์เสร็จแล้วพี่จะเรียกอีกที” กลายเป็นว่าพอผมมา ทุกคนก็เผ่นแนบกันหมด
“นั่งเลยน้องค่าย ตอนนี้คนอื่นเขาพูดคุยกับคนดูไปหมดแล้ว เดี๋ยวพี่จะมีคำถามให้เราชี้แจงก่อน แล้วค่อยตอบคำถามคนดูนะ” ผมขยับเข้าไปนั่งเก้าอี้ซึ่งเว้นว่างเอาไว้ในตอนแรก สุดท้ายกูก็อยู่กลางจอมองดูหน้าตัวเองที่เด่นหราราวกับส่องกระจก
พี่ใบบัวไม่ได้เข้ามาด้วย แต่เป็นคนถือสคริปต์คำถามอยู่หลังแล็ปท็อป และเนื่องจากไม่มีใครบอกล่วงหน้าสักคำว่าวันนี้จะมีไลฟ์สดผ่านแฟนเพจ มันเลยทำให้ผมกลัวว่าพี่แกจะคิดคำถามเหี้ยๆ ให้ตอบอีก รายนี่แม่งรู้ความลับกูเยอะซะด้วย
“แนะนำตัวเลยค่า” เสียงรุ่นพี่ปีสี่ส่งมาให้ ผมจึงกล่าวทักทายทุกคนผ่านหน้าจอ
“สวัสดีครับ ค่ายขุนพลเอง”
“มีหลายคนสงสัย ทำไมเราถึงเปลี่ยนพระเอกคะ หรือทำเลวเอาไว้” เดี๋ยวพ่อมึงถลาเข้าไปเตะให้ข้อพับหักนะครับพี่เบิ้ม เรื่องเหี้ยๆ โยนใส่คนหล่อตลอด
“พอดีประสบอุบัติเหตุครับ ขาหักใส่เฝือกหลายเดือน ขอโทษด้วยที่ทำให้ทุกคนผิดหวัง” ข้อความมากมายเด้งขึ้นมาบนหน้าจอรัวๆ เป็นห่วงบ้างล่ะ ดูแลตัวเองบ้างล่ะ บางคนก็พิมพ์มาด่ากูนะครับ คู่กรณีเก่ากูทั้งนั้น
ปาดเหงื่อแป๊บ
“ถ้ามีโอกาสมาเล่นละครอีกรอบ อยากรับบทเป็นใคร” คำถามถูกส่งมาหลังจากผมตอบคำถามแรกจบ
“เป็นแฟนคนเขียนบทครับ”
“...!”
“ผมหมายถึงคนเขียนบทสามารถเขียนให้เราดูหล่อและเป็นคนดีได้ไง”
“อ๋อออออออออ” รอบข้างส่งเสียงเป็นเชิงหยอกล้อ มีแต่พี่ใบบัวเท่านั้นที่เบะปากใส่ผม คือกูจะตอบแบบนี้แล้วทำไม
“คติประจำใจของค่ายคืออะไร”
“ถึงผมจะโง่ไปหน่อย แต่ผมก็อร่อยกว่าทุกคน”
หนึ่งดอก!
“เกร้ดดดดดดดดดดด” คราวนี้แหละครับคอมเมนต์พุ่งพรวดพราด คือไม่ใช่ชมกูนะครับ ด่ากันระงม กิ๊กเก่าเพียบก่อนจะโดนน้องใหม่หลายคนดันโพสต์ลงไปด้านล่างเพราะไม่เคยเจอฤทธิ์กระบี่ไร้เทียมทานของผม และยังหลงมัวเมากับหน้าตามีระดับอยู่
“คำถามพี่หมดแล้ว แกมีเวลาสิบนาทีสำหรับตอบคำถามแฟนคลับนะค่าย จัดโลด” ผมพยักหน้าเข้าใจ ก่อนทุกคนที่ยืนมองอยู่ห่างๆ จะสลายโต๋ไปซ้อมละคร ทิ้งให้ผมนั่งคุยเหมือนคนบ้าอยู่ตรงหน้าจอแล็ปท็อปคนเดียว
“เอาล่ะ ตอนนี้มาตอบคอมเมนต์กันเถอะ ไหนๆ ก็มีเวลาตั้งสิบนาที ใครอยากถามอะไรจัดมาเลย” พูดเท่านั้นแหละ มารัวไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมณ์ ผมจึงต้องเลือกเฉพาะบางข้อความมาตอบเท่านั้น และข้อความที่ควรหลีกเลี่ยงเป็นอันดับแรกๆ ก็คือพวกกิ๊กเก่าที่ผมตัดขาดการติดต่อแบบไม่บอกกล่าวไป
‘จะได้เจอพี่ค่ายตามร้านเหล้ามั้ยคะ’ “ไม่เจอครับ ขาหักหมอให้งดของแสลง”
‘แนะนำหนังที่พี่ค่ายชอบดูให้หน่อย’ “Star war”
‘ชาวีไปไหน’ “ส่งซ่อมครับ อยู่ศูนย์”
‘ค่ายดูแลตัวเองด้วย เป็นห่วง ขอให้หายไวๆ นะ’ “กำลังใจดีหายไวแน่นอน”
‘ขาเจ็บแบบนี้ให้อาสาไปรับไปส่งมั้ยคะ’ “พอดีมีคนไปรับไปส่งแล้ว” ว่าแล้วก็หันไปมองคนที่กำลังยืนกอดอกคุยกับผู้กำกับอย่างพี่เชนทร์อยู่ แต่ในม่านสายตาของผมก็ยังเห็นศัตรูหมายเลขหนึ่งอย่างไอ้พี่อั้นยืนแทรกให้รำคาญใจเล่นด้วย
มึงมาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ โคตรหงุดหงิด!
‘ต่อไปเราจะเจอนายได้ที่ไหน ร้านเหล้าก็ไม่ไปแล้ว’ “ตึกนิเทศฯ เลย สุมหัวอยู่ที่นี่ตลอด”
‘แก๊งโหดเท่มาก โดยเฉพาะพี่โบน’ “ไปบอกมันเองครับ เห็นตอนนี้กำลังติดอ่างอยู่”
‘สนิทกับใครที่สุดในแก๊งโหด’ “เตชภช เติร์ดน่ะ...”
‘ดอกกุหลาบไร้หนามเปรียบเหมือนอะไร’ “โห ไอ้สัด!”
พลันเสียงหัวเราะดังขึ้นมาจากหลังห้อง เพื่อนร่วมเมเจอร์ผมยืนสุมหัวกันกลุ่มใหญ่ คาดว่ามันคงกำลังสนุกกับการแกล้งกูอยู่ ซึ่งแน่นอน ไม่คีปลุคแม่งแล้ว หงุดหงิดฉิบหาย
กระทั่งข้อความที่เด้งขึ้นมาไม่หยุดนั้นมีแต่คำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งอาจเป็นความผิดของผมเองที่ไม่ได้บอกเหตุผลของการหายไป จริงๆ ตอนนั้นมันโคตรเยอะ และบางคนเราต่างไม่จริงจังด้วยกันทั้งคู่ผมเลยตัดการติดต่อง่ายๆ พอมาตอนนี้ถึงรู้ว่ามันไม่ง่ายเลย...
ดังนั้นหากจะตัดปัญหาที่มีจริงก็คงต้องตอบคำถามนี้ให้จบ
‘พี่มีแฟนยัง’ “ยังไม่มีครับ”
‘บล็อกเบอร์กับไลน์ทำไม’ “เลิกแล้ว พอดีเจอคนที่อยากจริงจังแล้ว”
‘เคยเชื่อเรื่องดวงมั้ย’ “ไม่เชื่อ”
‘ใครเหรอคนที่จริงจัง’ “ไม่บอก”
‘เขาบอกถ้าพับดาวให้ครบพันดวงแล้วให้คนที่ชอบ รักจะสมหวัง’ “เขานี่ใคร ผมพับดาวไม่เป็นอ่ะ ไม่ละเอียดอ่อนขนาดนั้น”
เราตอบคำถามไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเจอคำถามนี้...
‘เคยทำสิบวินาทีกับคนที่ชอบเหมือนหนังเพื่อนสนิทมั้ย’ “ไม่เคย”
คือในหนังเพื่อนสนิทเชื่อว่า หากนับเลขหนึ่งถึงสิบในใจกับคนที่กำลังหลับอยู่ แล้วคนคนนั้นตื่นขึ้นมาพอดีแสดงว่าเขาเองก็ชอบเรา
‘เล่นเถอะ’ “ไม่มีใครในห้องหลับเลย”
‘เล่นกับคนดูหน่อย’ “ตื๊อจริง ถือว่าเป็นการนับเคาท์ดาวน์แล้วกันนะ คงใกล้หมดเวลาพอดี” ผมสูดลมหายใจเข้าปอด ในใจก็ได้แต่คิดว่าทำไมกูต้องมาเล่นอะไรแบบนี้ด้วยวะ โคตรปัญญาอ่อนเลย
“หนึ่ง...สอง...สาม...สี่...ห้า...” สายตายังคงต้องมองหน้าจอ และการนับเลขนั้นก็ดูเร็วเกินกว่าปกติ
มีคอมเมนต์ผุดขึ้นมาอีกมากมาย คล้ายกับช่วยกันนับเลขไปด้วย เออ! ตลกดีว่ะ
“หก...”
“เจ็ด...”
เราต้องจริงจังขนาดนี้มั้ย
“แปด”
ใครเชื่อก็บ้าละ
“เก้า”
“สิบนาทีแล้วไอ้ค่าย” ผมหันขวับไปยังต้นเสียงที่ยืนอยู่เหนือหัว ใบหน้าของไอ้เติร์ดโผล่เข้ามาในจอ คอมเมนต์ถูกส่งกระหน่ำเข้ามามากมาย แต่ถึงอย่างนั้นคนที่ยืนหน้านิ่งก็ยังไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร
“มึงนับสิบให้กูเหรอ”
“นับเหี้ยอะไร พี่ใบบัวให้มาบอกว่าหมดเวลาแล้ว เดี๋ยวให้ฟานกับพิงค์มาคุยต่อ” ว่าแล้วมันก็เดินผละออกไป โดยไม่รู้เลยว่าข้อความมากมายที่ถูกส่งมานั้น มีแต่ชื่อของมัน...
‘พี่เติร์ดดดดดดดดดดดดด’
‘เติร์ดนับสิบ OMG’
‘ทฤษฎีนี้เป็นจริงเหรอ ม่ายยยยยยยย’
‘เติร์ดชอบค่ายเหรอ’ สำหรับเติร์ดไม่รู้หรอก แต่ค่ายชอบเติร์ดนะ...
อ่านต่อด้านล่างค่ะ