ทฤษฎีจีบเธอ ∞ THE END
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ทฤษฎีจีบเธอ ∞ THE END  (อ่าน 2134347 ครั้ง)

ออฟไลน์ QueenPlai

  • twitter - @khunhappymoon gmail - JangPlailiiz@gmail.com
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
โอ้ยยยย ไม่มีสติกันทั้งกลุ่ม55555555555
อิค่ายเต้าะหนักมาก รำคุณพี่อั้นเวอร์มากก ขัดขวางมันเยลูกค่าย555

ออฟไลน์ why yyy

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +309/-8
ขอบคุณ :)

ออฟไลน์ MatsaPOP

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อิค่ายต้องทำใจ ว่าที่เมียเมินใส่ต้องอดทน!!55555

ออฟไลน์ papapajimin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 294
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
ใครก็ได้ช่วยถีบพี่อั้นออกไปทีค่าาา รำมากมาย
คือ ชอบตอนที่ค่ายเป็นคนเล่าเรื่องมากค่ะ
มีความฮา ความพร่ำเพ้อ และมีความกากค่าา 55555
สู้ต่อไปนะค่ายเอ้ยยย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-07-2017 22:10:49 โดย papapajimin »

ออฟไลน์ wikawee

  • มีชีวิตอยู่เพื่อทำฝันให้เป็นจริง
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-7
เกลียดความมโนระดัย 10 ที้ไม่มีใครเกิน

ออฟไลน์ panie

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อ่านถึงตอนนี้แล้วเราเฉยๆกับพี่อั้นอ่ะ. แต่ก็ไม่เชียร์ค่ายเหมือนกัน บอกว่าตัวเองโง่แล้วยังไง ไม่รู้ใจตัวเองแล้วยังไง มันไม่ใช่เหตุผลที่จะทำตัวเหี้ยๆกับคนอื่นเปล่า มันฟังไม่ขึ้น บางอย่างที่ค่ายทำมันไม่เหมือนอยากขอโทษอ่ะ แต่มันคือการทำไปให้ตัวเองพ้นจากความรู้สึกผิด นี่เลยไม่เชียร์ อิน สงสาร แต่ไม่เชียร์ ทำตัวเองก็ต้องรับผลที่ตามมาให้ได้
สุดท้ายให้กลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมเถอะ ความรักความพยายามกับบางอย่างต้องมีล้มเหลวบาง แบบนั้นอาจจดีกว่าก็ได้

จริงๆสองโหดกับพวกพี่อั้นดูมีลับลมคมใน มีนัยยะลึกซึ้ง สงสัยต้องรอลุ้นกันต่อไป

ออฟไลน์ ชมพูพาล

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 248
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
อ่านรวดยาวๆ ตอนแรกดราม่าน้ำตาซึม
ตอนหลังกากเกรียนละเกินค่ายเอ๊ย

ออฟไลน์ Lastfriday.01

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ติดตามนิยายของจิตติมาหลายเรื่องแล้ว คือเรื่องนี้อ่านแล้วหน่วงมากสงสารทั้งคู่เลย

ออฟไลน์ EoBen

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-6
ค่ายตอนนี้ ลั่นหนักมากกก


นี่นั้งขำทั้งตอน แมร่งเหมือนคนลุกลิกอะ หวาดระแวง ต้องการความรัก


อ้อนหนักมาก ไม่ใช่แค่เตริด สองหน่อก็โดนไปด้วย



จีบแบบป่วงๆๆ นี่อยากรู้อีกฝั่งเลย รู้สึกไงบ้าง หลังโดน skill เหล่านี้ไป

ออฟไลน์ Lord Art

  • ยินดีที่ได้รู้จัก ♥
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ติดงอมแงม  :katai4: :katai4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ทฤษฎีจีบเธอ ∞ ตอนที่ 10 [07/07/60] *หน้า28
« ตอบ #879 เมื่อ: 12-07-2017 13:02:27 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ clairon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สู้ต่อไปนะอิค่าย ต้องด้านและต้องหนาเข้าไว้
ตอนนี้ก็แค่เริ่มต้นใหม่ เติร์ดก็เริ่มต้นใหม่ เหมือนกันแฟร์ๆ
แผลที่เติร์ดได้รับมันต่างกับของค่าย
คนนึงเจ็บภายในอีกคนก็เจ็บภายน้อง
ผู้ชายที่สำนึกแล้วคิดได้นี้ละเจ๊ชอบ
 :laugh:
เติร์ดนิ่งๆสู้ทุกสถานะการณ์
รอตอนต่อไปเด้อ :3123:

ออฟไลน์ Jittirain12

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 353
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1238/-18

ตอนที่ 11
เกรี้ยวกราดเป็นการแสดงความรักอย่างหนึ่ง



   การโต้เถียงของผมกับพี่อั้นจบลงเพราะได้เวลาเข้าเรียนซะก่อน ไม่งั้นกูดีเบตกับแม่งยาวๆ เอาให้รู้กันไปเลยว่าใครจะชนะ เพื่อนผมมันก็ออกโรงช่วยบ้างนะครับ แต่ด้วยความเท่และเป็นสุภาพบุรุษการพาเพื่อนมารุมด่าไม่ใช่วิถีของลูกผู้ชาย ดังนั้นผมเลยฉายเดี่ยวโต้กับพี่มันจนน้ำลายแตกฟอง

   สงสารก็แต่ไอ้เติร์ดที่เขี่ยข้าวในจานไปมากว่าสงครามประสาทจะยุติลง

   และเหมือนเดิม จากการเรียนรู้แบบมั่วๆ มาหลายครั้ง ถ้าต้องการจะนั่งใกล้ไอ้เติร์ดผมต้องเปิดโอกาสให้เจ้าตัวได้เลือกเก้าอี้ก่อน ดังนั้นตอนเข้าห้องผมจึงเลือกเดินรั้งท้ายเพื่อนทั้งสามคนอย่างมีแผน

   เมื่อเห็นว่าเป้าหมายนั่งประจำที่แล้ว ไอ้ทูกับไอ้โบนก็หันหน้ามามองผมเหมือนรู้ทัน แล้วเปิดโอกาสให้ผู้ชายขาหักที่น่าสงสารอย่างนายขุนพลนั้นเยื้องย่างเข้าไปในแถว พร้อมกับทิ้งตัวลงบนเก้าอี้เคียงข้างเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ

   ไอ้เติร์ดหันหน้ามามองผมแว๊บหนึ่ง แถมอ้าปากพะงาบๆ เหมือนจะพูดอะไรออกมา แต่ด้วยความเหี้ยสุดกำลังผมจึงรีบตัดโอกาสนั้นด้วยการโพล่งออกไป

   “ขาเจ็บน่ะ ไม่อยากขยับตัวมาก ขอนั่งตรงนี้ได้มั้ย” ต้องทำหน้าละห้อยด้วยครับ เพราะตอแหลเท่านั้นที่ครองโลก

   “ก็ไม่ได้ว่าอะไร” มันตอบเสียงเอื่อย

   “เห็นมึงเหมือนจะพูดอะไรก่อนหน้านั้น”

   “เปล่าหนิ” ปากแข็ง!

   ตอบจูบก็เห็นนุ่มดีนี่หว่า กูแม่งอยากพิสูจน์อีกรอบเลยว่ายังนุ่มอยู่มั้ย

   “นิสิตคะช่วยเงียบเสียงหน่อย เดี๋ยวเราจะเริ่มเรียนแล้ว ก่อนอื่นเรามาเช็กชื่อกัน กิตติพงษ์...” อาจารย์เจ้าของวิชาเป็นฝ่ายยุติบทสนทนาของเราลง ต่างคนต่างหยิบชีทเรียนจากครั้งก่อนขึ้นมาเพื่อเตรียมตัวสำหรับการเรียนซึ่งผมก็ไม่ค่อยได้ตั้งใจเท่าไหร่ เพราะมัวแต่สนใจคนข้างๆ อยู่

   “คลาสวันนี้เราจะมาต่อที่เรื่อง Screenplay และ Shooting script และ Storyboard ไหนมีใครพอรู้บ้างว่า Screenplay คืออะไร”

   ทุกคนในคลาสเงียบกริบ อาจารย์ซึ่งถือไมค์หน้าห้องเลยได้แต่กวาดตาไปมาคล้ายกำลังหาผู้กล้า และคนคนนั้นก็คือไอ้เติร์ด เชร้ดดดด ว่าที่เมียกูนี่มีความเป็นผู้นำมากครับ ดูฉลาดหลักแหลม ตรงข้ามกับกูทุกอย่างเลย

   “เตชภณว่าไงคะ”

   “มันคือบทภาพยนตร์ที่มีทั้งโครงเรื่องและบทพูดครับ จริงๆ มันก็คือบท (Script) ซีเควนส์หลัก (Master scene)หรือซีนาริโอ (scenario) นั่นแหละครับ”

   “ถูกต้องค่ะ แล้ว Shooting script ล่ะ มันก็คือบทเหมือนกันถูกมั้ย สรุปแล้วมันแตกต่างจาก Screenplay ยังไงคะ”

   ผมตอบได้! เรื่องถ่ายทำต้องกูครับ

   “ว่าไง”

   “มันคือบทถ่ายทำครับ แตกต่างตรงที่มันจะบอกตำแหน่งกล้อง การเชื่อมซ็อต และเอฟเฟ็กอื่นๆ เข้าไปในการเขียนด้วย”

   “ดูฉลาดขึ้นมาเลยนะขุนพล” อาจารย์ชมด้วยรอยยิ้ม

   “พอดีมีกำลังใจที่ดีครับ”

   “ฮิ่ววววววววววว”

   เขินง่อวววว เพื่อนโห่แซวกันทั้งห้องเลยโดยเฉพาะไอ้โบนกับไอ้ทูที่ยกตีนขึ้นมาสะกิดยิกๆ รู้สึกภูมิใจเหมือนย้อนวัยกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ใครๆ ก็อยากดูเก่งและฉลาดในสายตาของคนที่ชอบ ตอนนี้ไอ้เติร์ดคงนึกชื่อชมผมอยู่ในใจแน่ๆ

   การเรียนวันนี้เต็มไปด้วยความสนุกสนาน คลาสของเด็กฟิล์มมันจะมีบางวันที่เราเครียดมาก หรือบางวันก็ไร้สาระสิ้นดี ตลอดเวลาในการเรียนทั้งอาจารย์และนิสิตสลับการถามตอบเป็นระยะแทรกกับการให้ความรู้ กระทั่งภาพหนึ่งปรากฎขึ้นบนจอโปรเจ็กเตอร์

   “ถ้าดูรูปนี้เราจะเปรียบมันเป็นอะไรคะ เอาตามทัศนคติของนิสิตเลย”

   บนจอเป็นภาพดอกกุหลลาบสีชมพูอ่อนต้นหนึ่ง ด้วยความคิดที่ว่ากูอยากดูหล่อในสายตาของไอ้เติร์ด สมองเลยผลักดันให้ตัวเองยกมือขึ้นฉับพลัน

   “เปรียบเป็นความรักครับ”

   “หูยยยยยยยยยยยย” เสียงของเพื่อนดังระงมไปทั่วห้อง ก่อนผมจะกระแอมไอเล็กน้อยแล้วพูดต่อ

   “ความรักก็เหมือนกับกุหลาบ สวยงามแต่ก็มีหนามแหลมคม และถึงแม้ว่าเราจะรู้ว่าถ้าจับมันยังไงก็คงถูกหนามตำ แต่คนเราก็ยังอยากรู้จักความรักเหมือนกับอยากครอบครองกุหลาบสวยๆ อยู่ดี”

   “น้ำเน่าฉิบหาย” ไอ้ทูแทรกขึ้น คนฟังนี่แทบถลาไปต่อยปากให้หายข้องใจ

   “แหมคำตอบเหมือนหนังยุค 70 เลยนะคะ แต่อาจารย์จะบอกขุนพลอย่างหนึ่ง กุหลาบพันธุ์ในรูปไร้หนามนะคะ”

   “ฮ่าๆ บักง่าว!”

   ไอ้ฉิบหาย! กูอุตส่าห์บิวด์มาตั้งนาน

   “นี่เป็นข้อเสียอีกอย่างหนึ่งที่คนเขียนบทควรคำนึง นั่นคือการศึกษาและสังเกต ใช้เวลาและลงรายละเอียดกับมันมากๆ เข้าใจที่พูดมั้ยคะ”

   “คร้าบ” เสียงหัวเราะยังคงดังขึ้นไม่มีท่าทีว่าจะเงียบ แม้อาจารย์จะหยุดพูดถึงประเด็นนี้แล้วก็ตาม แต่อะไรก็ไม่เจ็บใจเท่าไอ้เติร์ดที่มองผมด้วยสายตาล้อเลียนนี่หรอก

   จี๊ดดดด ไปถึงขั้วหัวใจ

   “บางทีความรักมันก็เหมือนกับเห็บหมาเนาะเพื่อนเนาะ” เชี่ยโบนพูดขึ้น

   “ทำไมอ่ะ” ก่อนไอ้ทูจะตบมุกอย่างรวดเร็ว

   “ก็ทำให้เจ็บไม่พอ ยังทำให้เขารังเกียจด้วยไง”

   “โหยยย อย่างนี้ไม่หมาอย่างเดียวนะมึง หมาหัวเน่าด้วย”   

   ฟายเอ๊ย! อายไม่รู้จะมุดหน้าไว้ตรงไหน

   “มึงหัวเราะทำไมไอ้เติร์ด” ตอนนี้สมองไม่ได้โฟกัสที่เพื่อนโหดสองคนแล้วครับ กูมองคนที่นั่งถัดไปทางขวามือมากกว่า

   “เปล่า กูหัวเราะเหรอ”

   “มึงไม่ต้องมาเนียน เขาถึงบอกไงว่าผิดเป็นครู”

   “แต่ผิดมากๆ ก็เป็นควายได้นะ”

   “งั้นยอมเป็นควายก็ได้”

   “ไม่เถียงกูแล้วเหรอ” ไอ้เติร์ดขมวดคิ้ว พลางถามอย่างแปลกใจ

   “ก็ถ้ามึงอยากให้เป็นอะไรกูก็จะเป็น”

   “...”

   “พอดีอยากเป็นทุกอย่างสำหรับมึง”

   ปุ้ง! มุกนี้น่าจะผ่าน...

   “ไอ้ค่าย”

   “จ๋า”

   “งั้นเป็นกระโถนให้กูหน่อยสิ พอดีอยากอ้วกว่ะ”

   ไอ้ฉิบหาย! มึงเคยอินอะไรกับกูบ้างมั้ยเตชภณ นี่มาทุกไม้แล้วนะ สุดท้ายเหมือนตัวเองย่ำอยู่ที่เดิม แถมมีท่าทีว่าจะเดินถอยหลังอีกต่างหาก

   พูดแล้วก็จะร้อง...















   เย็นวันนี้หลังเลิกเรียนไอ้เติร์ดต้องรับหน้าที่เป็นขี้ข้าพาผมไปล้างแผลที่โรงพยาบาล โชคดีหน่อยเพราะเป็นโรงพยาบาลเอกชนเลยไม่ต้องปวดหัวกับคนไข้ที่มีเยอะๆ แถมยังสามารถอ้อนให้เพื่อนรักหักเหลี่ยมแค้นเข้ามาในห้องตรวจได้อีกด้วย

   พยาบาลทำหน้าที่ล้างแผลให้จนเสร็จ สักพักผมก็ถูกเข็นเข้าไปยังห้องตรวจซึ่งผมดึงมือคนตัวขาวเข้าไปด้วย เรานั่งหน้าสลอนอยู่ต่อหน้าหมอที่ทำการรักษาและผ่าตัดให้ผม ก่อนแกจะถามขึ้น

   “พยาบาลบอกว่าคนไข้ดื้อ”

   “ผมทำอะไรครับ”

   “แผลโดนน้ำมาเหรอ” นั่นไงกูโดนอีกละ

   “ผมไม่ได้ตั้งใจนะครับ แต่มันทุลักทุเลมากเพราะไม่มีใครช่วย” พูดไปก็แสร้งทำหน้าละห้อยไป ถือซะว่าฝึกสกิลความตอแหลต่อหน้าไอ้เติร์ดก็แล้วกัน

   “คนที่บ้านไม่อยู่เหรอ”

   “พอดีผมขอออกมาอยู่คอนโดคนเดียวเพราะต้องไปเรียนมหา’ลัยครับ ที่บ้านเลยมาดูแลตลอดเวลาไม่ได้ แต่ว่า...” ผมหันไปมองหน้าคนข้างๆ ก่อนจะพูดต่อ “ก็มีเพื่อนสนิทอยู่”

   “ไอ้ทูกับไอ้โบนไง” คนถูกพาดพิงรีบเถียงทันที

   “มันก็ไม่เหมือนมึงมั้ย ที่ผ่านมาไอ้สองตัวมันช่วยอะไรกูได้บ้างนอกจากทำให้ปวดหัว” จริงๆ มันก็ช่วยได้แหละแต่พอดีอยากให้ไอ้เติร์ดดูแลมากกว่า

   “แล้วจะให้กูทำไง ย้ายไปเฝ้ามึงเลยมั้ย”

   “จริงดิ”

   “กูประชดโว้ย”

   “นั่นไงหมอ ดูเพื่อนผมดิ ต่อไปผมงดอาบน้ำเลยได้มั้ยครับ” ผมหันไปคุยกับคนอายุมากกว่าที่นั่งส่ายหน้าระอาไปมา คือเขาคงคิดว่ากูใช้ห้องนี้เป็นห้องทำสงครามกับไอ้เติร์ดไปแล้ว

   “ไม่ดีมั้ง อดทนนิดหน่อย ช่วงนี้พยายามอย่าให้แผลโดนน้ำก็พอ ถ้าผ่านช่วงล้างแผลไปแล้วก็จะโอเคกว่านี้”

   “ระหว่างนี้สิครับที่ไม่มีคนดูแล ต่อไปคงไปไหนไม่ได้มากเพราะขาหักอีก”

   “งั้นอย่าทิ้งเพื่อนนะครับ เป็นกำลังใจให้กัน” คราวนี้หมอหันไปบอกกับไอ้เติร์ด ซึ่งเจ้าตัวก็ได้แต่ทำตาปริบๆ และฝืนพยักหน้าอย่างจำใจ

   “มันท้อแท้ครับหมอ” เอาให้สุดแล้วหยุดที่เตียง ผิด! 

   “อีกสามเดือนกระดูกก็คงผสานกันสนิท”

   “แผลกายรักษาหาย แล้วเมื่อไหร่แผลใจจะหายบ้างครับ”

   “คือหมอปวดหัวกับคุณจริงๆ”

   “แต่ผมก็สงสารเพื่อน ไม่อยากให้มันต้องตื่นเช้าไปรับไปส่งทุกวัน”

   “ทางที่ดีคือควรตื่นพร้อมกันและไปเรียนด้วยกันถูกมั้ย” หมอเหมือนถามเป็นเชิงเปิดทาง แถมสีหน้าแกยังบ่งบอกเป็นเชิงถามว่าพอใจหรือยังอีก

   เอาน่า! เป็นเรือผีให้ไอ้ค่ายได้บุญนะ

   “ถูกต้องเลยครับ เนี่ยไอ้เติร์ด ขนาดหมอยังบอกเลยว่ามึงควรย้ายมาดูแลกูที่ห้อง” ผมหันไปมัดมือชกกับคนข้างๆ ซึ่งมันก็ไม่ได้มีท่าทีลังเลใจใดๆ นอกจากตอบกลับอย่างรวดเร็วแทบไม่เสียเวลาคิด

   “ให้สาวมึงมาเฝ้าสิ”

   “ก็บอกเลิกไปหมดแล้ว”

   “มึงก็หาใหม่สิ คนก่อนที่มาขอไลน์อ่ะ รีบให้ไปเลยจะได้มีคนดูแล ไม่ต้องเป็นภาระกูอีก”

   “เขาไม่ใช่มึง กูอยากเป็นภาระแค่มึงเข้าใจยัง”

   “เอ่อ...คนไข้เคลียร์กันก่อนมั้ย หมอจะได้เดินออกไป” สิ้นเสียงบุคคลที่สามซึ่งนั่งหน้าสลอนอยู่ในห้อง ผมกับไอ้เติร์ดเลยจำต้องเลิกโต้เถียงไปโดยปริยาย แต่ในใจเรื่องของเรามันยังไม่จบ เพราะฉะนั้นหลังจากพยาบาลเข็นรถพาผมออกมาด้านนอก ไอ้เพื่อนรักก็ปั้นหน้าบึ้งใส่ทันที

   “นี่ถ้าไม่อยากให้กลับด้วยบอกได้เลย เดี๋ยวกูโทรเรียกแท็กซี่เอง” ปากพล่อยไปแล้ว

   ไม่รู้ไปจำตัวอย่างมาจากหนังเรื่องไหน แต่ถ้าไอ้เติร์ดบ้าจี้ขับรถกลับเองนี่เรียกซวยฉิบหายเลยนะครับ ก็ได้แต่หวังว่าความเป็นเพื่อนของเรายังจะเหลือเยื่อใยให้คนขาหักอยู่บ้าง

   “จะโทรเรียกเหรอ” นั่นไง งานเข้า!

   “เดี๋ยวนี้แท็กซี่ก็ไม่ค่อยปลอดภัยด้วยดิ บางทีก็ส่งรถ เติมแก๊ส ให้ไปส่งที่ไหนก็ไม่ค่อยไปอีก กูคงต้องอดทนรอแบบเจ็บขาต่อไปนี่แหละ”

   “งั้นกูเรียกแกร๊บให้”

   “บางทีคนแปลกหน้าก็ไม่น่าไว้ใจอ่ะ วันก่อนอ่านข่าวเหมือนผู้โดยสารโดนทำร้ายอยู่เลย”

   “กูโทรเรียกพี่สาวมึงมาให้ละกัน”

   “เคลียร์แม่งติดแฟน โทรไปรบกวนมันเดี๋ยวก็โดนด่ากราดกลับมาหรอก”

   “ให้แม่หรือพ่อมึงมารับมั้ย”

   “เขาอายุมากแล้วนะมึง จะให้ออกมาตอนรถเยอะๆ อย่างนี้ได้ยังไง” ผมได้ยินไอ้เติร์ดถอนหายใจเฮือกใหญ่ มันก้มหน้ามองผมที่นั่งหน้าสลอนอยู่บนรถเข็น จ้องอยู่อย่างนั้นเกือบนาทีก่อนจะเอ่ยปากพูดออกมา

   “สรุปแล้วอยากไปด้วยกัน”

   “อืม”

   “แค่เนี้ยะ จะฟอร์มจัดทำไม ไม่ได้ดูเท่เลย” ก็ชอบมึงนี่หว่า แถมไม่เคยต้องมาจีบใครขนาดนี้ด้วย

   อย่างที่รู้กันดีว่าผมเป็นเด็กเอาแต่ใจของบ้าน เป็นลูกชายที่ไม่ค่อยเอาไหนเพราะถูกพ่อแม่สปอยมาตั้งแต่เด็ก อยากได้อะไรก็ต้องได้ ชอบใครเขาก็ชอบตอบ ทุกอย่างได้ดั่งใจหมดจนไม่ต้องพยายามให้เสียแรง

   แต่พอชีวิตพลิกผันต้องมาจริงจังกับอะไรเป็นครั้งแรก ผมกลับไม่รู้ว่าตัวเองควรทำยังไง ขั้นตอนที่อยู่ในหัวก็โคตรว่างเปล่า มีแค่เป้าหมายที่ตั้งไว้ว่าต้องชนะใจไอ้เติร์ดเท่านั้น ซึ่งตอนนี้ผมคิดว่าเป้าหมายไม่ได้สำคัญแล้วล่ะ อยู่ที่ปัจจุบันกูจะหาทางเต๊าะไอ้เพื่อนคนนี้ยังไงดีกว่า เพราะเหมือนจะเป็นงานหนักที่สุดในชีวิตของผมแล้ว

   เช่นเคย ไอ้เติร์ดยังคงเป็นสารถีพาผมไปทุกที ทันทีที่ขึ้นมานั่งบนรถอย่างทุลักทุเลเราก็มุ่งหน้าไปยังมหา’ลัยเช่นเดิม เพราะวันนี้ผมต้องทำงานกับทีมซาวน์ครั้งแรกในรอบเดือน ทั้งการเลือกเพลง การตัดต่อ จังหวะที่โคกับบท เรียกได้ว่ามันเป็นงานที่ค่อนข้างซีเรียสพอสมควร

   “ไม่ต้องเปลี่ยนเพลงกูอีก” ความเงียบปกคลุมได้สักพักคนขับที่นั่งข้างก็โพล่งขึ้น และผมก็พบว่าตัวเองกำลังเคาะนิ้วไปมาใกล้ๆ ปุ่มกดเปลี่ยนเพลงอยู่

   “ยังไม่ทันได้ทำอะไรเลย เกรี้ยวกราดทำไมเนี่ย” คือกูเคาะเฉยๆ มั้ย...

   “กูกำลังฟังเพลง อย่ายุ่ง”

   “...” ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนะครับนอกจากจ้องมันทั้งตัวด้วยความรู้สึกบางอย่าง อาจเป็น...ชื่นชมในความน่ารักที่เพิ่งมองเห็นชัดๆ ตรงนี้ล่ะมั้ง

   “ทำไมมือมึงขาวจัง”

   “ไม่ต้องมายุ่ง”

   “ตามึงก็สวยด้วย เป็นแฟนพี่มั้ยครับน้อง”

   “เลิกม่อไปทั่วให้ได้ก่อนเถอะ” แว๊บหนึ่งไอ้เติร์ดหันมามองผมตาขวาง ก่อนจะกลับไปจดจ่อกับถนนตรงหน้าอย่างรวดเร็ว

   “เลิกแล้ว”

   “ก็เห็นยังทำอยู่เนี่ย”

   “อันนี้ไม่ได้ม่อ อันนี้จริงจัง”

   “เพื่อนเล่นเหรอ”

   “ก็เล่นด้วยกันมาสองปีกว่าแล้วอ่ะ ตอนนี้เบื่อๆ เลยว่าจะหยุดเล่น”

   “...”

   “เปลี่ยนมาดูแลแทน”

   “มึงยังเอาตัวไม่รอดเลย”

   “งั้นก็ดูแลกันและกัน”

   ผมไม่อยากมีความทรงจำเป็นภาพที่อีกสิบปีมาเจอกันแล้วถ่ายรูปรวม แต่อยากมีแค่ตัวตนของเราที่มีความทรงจำร่วมกันจริงๆ โดยไม่ต้องมีภาพถ่ายเก็บไว้ เจอกันทุกวันอาจเบื่อไปบ้าง แต่ถึงเวลานั้นคงผูกพันกันฉิบหาย

   รถแล่นไปบนถนนด้วยความเร็วแปดสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง มีเพลงดังคลออยู่ในหูตลอดทาง แต่เราไม่ได้พูดอะไรมากกว่านั้น คล้ายกับว่า...ต่างคนต่างวาดฝันอนาคตของตัวเองอยู่ ผมไม่รู้ว่าอนาคตของไอ้เติร์ดมีผมอยู่ในนั้นมั้ย แต่สำหรับผม...

   มันคือวัตถุดิบชั้นยอดที่แต่งเติมฝัน และหวังว่ามันจะเป็นจริงในสักวัน














   บรรยากาศในห้องซ้อมวันนี้เต็มไปด้วยความครึกครื้น เพราะรวมสต๊าฟหลายฝ่ายมาโคงานกับเป็นครั้งแรก ตั้งแต่ฝ่ายเสียง แสง บล็อกกิ้ง ช่างภาพ แม้ความสมบูรณ์ของมันจะมีอยู่แค่สามสิบเปอร์เซ็นต์ก็ตาม

   “ค่าย! น้องค่ายยยยยย” หลังจากก้าวเท้าเข้าไปด้านในพร้อมกับไอ้เติร์ด เสียงของพี่ทีมแอคติ้งก็ร้องเรียกผมเสียงดัง สีหน้าแต่ละคนดูตื่นเต้นมาก มีนักแสดงหลักหลายคนนั่งอยู่หน้าจอแล็ปท็อปคล้ายกำลังทำกิจกรรมสนุกๆ สักอย่าง

   “ค่ายมานี่หน่อยค่า ตอนนี้เรากำลังไลฟ์สดกับแฟนละครเวทีอยู่”

   “ผมไม่ใช่พระเอกแล้ว”

   “ก็มาแถลงการณ์ก่อน แฟนคลับเป็นห่วงแน่ะ” ผมหันไปทางไอ้เติร์ดเป็นเชิงถาม ซึ่งเจ้าตัวก็พยักหน้าเป็นคำตอบ เดี๋ยวนี้จะไปไหนต้องถามเมียครับ ผมเลยคีบไม้ค้ำยันเดินกะเผลกไปหาพี่ปีสี่กับรุ่นน้องนักแสดงหลายคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าจอพอดี

   “ค่าย นี่น้องฟานปีหนึ่งที่จะมารับบทพระเอกแทนแกนะ”

   “สวัสดีครับพี่” คนตรงหน้ายกมือไหว้ หน้าตามันไม่ได้ขี้ริ้วเลย หุ่นดี สูง แถมไม่ใช่หนึ่งในคนที่มาแคสต์บทพระเอกก่อนหน้าด้วย ไม่รู้พี่ใบบัวมันไปหามาจากไหน

   “เดี๋ยวคนอื่นๆ ออกไปซ้อมก่อนนะ ถ้าค่ายไลฟ์เสร็จแล้วพี่จะเรียกอีกที” กลายเป็นว่าพอผมมา ทุกคนก็เผ่นแนบกันหมด

   “นั่งเลยน้องค่าย ตอนนี้คนอื่นเขาพูดคุยกับคนดูไปหมดแล้ว เดี๋ยวพี่จะมีคำถามให้เราชี้แจงก่อน แล้วค่อยตอบคำถามคนดูนะ” ผมขยับเข้าไปนั่งเก้าอี้ซึ่งเว้นว่างเอาไว้ในตอนแรก สุดท้ายกูก็อยู่กลางจอมองดูหน้าตัวเองที่เด่นหราราวกับส่องกระจก

   พี่ใบบัวไม่ได้เข้ามาด้วย แต่เป็นคนถือสคริปต์คำถามอยู่หลังแล็ปท็อป และเนื่องจากไม่มีใครบอกล่วงหน้าสักคำว่าวันนี้จะมีไลฟ์สดผ่านแฟนเพจ มันเลยทำให้ผมกลัวว่าพี่แกจะคิดคำถามเหี้ยๆ ให้ตอบอีก รายนี่แม่งรู้ความลับกูเยอะซะด้วย

   “แนะนำตัวเลยค่า” เสียงรุ่นพี่ปีสี่ส่งมาให้ ผมจึงกล่าวทักทายทุกคนผ่านหน้าจอ

   “สวัสดีครับ ค่ายขุนพลเอง”

   “มีหลายคนสงสัย ทำไมเราถึงเปลี่ยนพระเอกคะ หรือทำเลวเอาไว้” เดี๋ยวพ่อมึงถลาเข้าไปเตะให้ข้อพับหักนะครับพี่เบิ้ม เรื่องเหี้ยๆ โยนใส่คนหล่อตลอด

   “พอดีประสบอุบัติเหตุครับ ขาหักใส่เฝือกหลายเดือน ขอโทษด้วยที่ทำให้ทุกคนผิดหวัง” ข้อความมากมายเด้งขึ้นมาบนหน้าจอรัวๆ เป็นห่วงบ้างล่ะ ดูแลตัวเองบ้างล่ะ บางคนก็พิมพ์มาด่ากูนะครับ คู่กรณีเก่ากูทั้งนั้น

   ปาดเหงื่อแป๊บ

   “ถ้ามีโอกาสมาเล่นละครอีกรอบ อยากรับบทเป็นใคร” คำถามถูกส่งมาหลังจากผมตอบคำถามแรกจบ

   “เป็นแฟนคนเขียนบทครับ”

   “...!”

   “ผมหมายถึงคนเขียนบทสามารถเขียนให้เราดูหล่อและเป็นคนดีได้ไง”

   “อ๋อออออออออ” รอบข้างส่งเสียงเป็นเชิงหยอกล้อ มีแต่พี่ใบบัวเท่านั้นที่เบะปากใส่ผม คือกูจะตอบแบบนี้แล้วทำไม

   “คติประจำใจของค่ายคืออะไร”

   “ถึงผมจะโง่ไปหน่อย แต่ผมก็อร่อยกว่าทุกคน”

   หนึ่งดอก!

   “เกร้ดดดดดดดดดดด” คราวนี้แหละครับคอมเมนต์พุ่งพรวดพราด คือไม่ใช่ชมกูนะครับ ด่ากันระงม กิ๊กเก่าเพียบก่อนจะโดนน้องใหม่หลายคนดันโพสต์ลงไปด้านล่างเพราะไม่เคยเจอฤทธิ์กระบี่ไร้เทียมทานของผม และยังหลงมัวเมากับหน้าตามีระดับอยู่

   “คำถามพี่หมดแล้ว แกมีเวลาสิบนาทีสำหรับตอบคำถามแฟนคลับนะค่าย จัดโลด” ผมพยักหน้าเข้าใจ ก่อนทุกคนที่ยืนมองอยู่ห่างๆ จะสลายโต๋ไปซ้อมละคร ทิ้งให้ผมนั่งคุยเหมือนคนบ้าอยู่ตรงหน้าจอแล็ปท็อปคนเดียว

   “เอาล่ะ ตอนนี้มาตอบคอมเมนต์กันเถอะ ไหนๆ ก็มีเวลาตั้งสิบนาที ใครอยากถามอะไรจัดมาเลย” พูดเท่านั้นแหละ มารัวไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมณ์ ผมจึงต้องเลือกเฉพาะบางข้อความมาตอบเท่านั้น และข้อความที่ควรหลีกเลี่ยงเป็นอันดับแรกๆ ก็คือพวกกิ๊กเก่าที่ผมตัดขาดการติดต่อแบบไม่บอกกล่าวไป


   ‘จะได้เจอพี่ค่ายตามร้านเหล้ามั้ยคะ’
   “ไม่เจอครับ ขาหักหมอให้งดของแสลง”
   

   ‘แนะนำหนังที่พี่ค่ายชอบดูให้หน่อย’
   “Star war”


   ‘ชาวีไปไหน’
   “ส่งซ่อมครับ อยู่ศูนย์”


   ‘ค่ายดูแลตัวเองด้วย เป็นห่วง ขอให้หายไวๆ นะ’
   “กำลังใจดีหายไวแน่นอน”


   ‘ขาเจ็บแบบนี้ให้อาสาไปรับไปส่งมั้ยคะ’
   “พอดีมีคนไปรับไปส่งแล้ว” ว่าแล้วก็หันไปมองคนที่กำลังยืนกอดอกคุยกับผู้กำกับอย่างพี่เชนทร์อยู่ แต่ในม่านสายตาของผมก็ยังเห็นศัตรูหมายเลขหนึ่งอย่างไอ้พี่อั้นยืนแทรกให้รำคาญใจเล่นด้วย

   มึงมาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ โคตรหงุดหงิด!


   ‘ต่อไปเราจะเจอนายได้ที่ไหน ร้านเหล้าก็ไม่ไปแล้ว’
   “ตึกนิเทศฯ เลย สุมหัวอยู่ที่นี่ตลอด”


   ‘แก๊งโหดเท่มาก โดยเฉพาะพี่โบน’
   “ไปบอกมันเองครับ เห็นตอนนี้กำลังติดอ่างอยู่”


   ‘สนิทกับใครที่สุดในแก๊งโหด’
   “เตชภช เติร์ดน่ะ...”


   ‘ดอกกุหลาบไร้หนามเปรียบเหมือนอะไร’
   “โห ไอ้สัด!”

   พลันเสียงหัวเราะดังขึ้นมาจากหลังห้อง เพื่อนร่วมเมเจอร์ผมยืนสุมหัวกันกลุ่มใหญ่ คาดว่ามันคงกำลังสนุกกับการแกล้งกูอยู่ ซึ่งแน่นอน ไม่คีปลุคแม่งแล้ว หงุดหงิดฉิบหาย

   กระทั่งข้อความที่เด้งขึ้นมาไม่หยุดนั้นมีแต่คำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งอาจเป็นความผิดของผมเองที่ไม่ได้บอกเหตุผลของการหายไป จริงๆ ตอนนั้นมันโคตรเยอะ และบางคนเราต่างไม่จริงจังด้วยกันทั้งคู่ผมเลยตัดการติดต่อง่ายๆ พอมาตอนนี้ถึงรู้ว่ามันไม่ง่ายเลย...

   ดังนั้นหากจะตัดปัญหาที่มีจริงก็คงต้องตอบคำถามนี้ให้จบ
   

   ‘พี่มีแฟนยัง’
   “ยังไม่มีครับ”


   ‘บล็อกเบอร์กับไลน์ทำไม’
   “เลิกแล้ว พอดีเจอคนที่อยากจริงจังแล้ว”


   ‘เคยเชื่อเรื่องดวงมั้ย’
   “ไม่เชื่อ”
   

   ‘ใครเหรอคนที่จริงจัง’
   “ไม่บอก”


   ‘เขาบอกถ้าพับดาวให้ครบพันดวงแล้วให้คนที่ชอบ รักจะสมหวัง’
   “เขานี่ใคร ผมพับดาวไม่เป็นอ่ะ ไม่ละเอียดอ่อนขนาดนั้น”


   เราตอบคำถามไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเจอคำถามนี้...

   ‘เคยทำสิบวินาทีกับคนที่ชอบเหมือนหนังเพื่อนสนิทมั้ย’
   “ไม่เคย”


   คือในหนังเพื่อนสนิทเชื่อว่า หากนับเลขหนึ่งถึงสิบในใจกับคนที่กำลังหลับอยู่ แล้วคนคนนั้นตื่นขึ้นมาพอดีแสดงว่าเขาเองก็ชอบเรา


   ‘เล่นเถอะ’
   “ไม่มีใครในห้องหลับเลย”


   ‘เล่นกับคนดูหน่อย’
   “ตื๊อจริง ถือว่าเป็นการนับเคาท์ดาวน์แล้วกันนะ คงใกล้หมดเวลาพอดี” ผมสูดลมหายใจเข้าปอด ในใจก็ได้แต่คิดว่าทำไมกูต้องมาเล่นอะไรแบบนี้ด้วยวะ โคตรปัญญาอ่อนเลย

   “หนึ่ง...สอง...สาม...สี่...ห้า...” สายตายังคงต้องมองหน้าจอ และการนับเลขนั้นก็ดูเร็วเกินกว่าปกติ

   มีคอมเมนต์ผุดขึ้นมาอีกมากมาย คล้ายกับช่วยกันนับเลขไปด้วย เออ! ตลกดีว่ะ

   “หก...”

   “เจ็ด...” 

   เราต้องจริงจังขนาดนี้มั้ย

   “แปด”

   ใครเชื่อก็บ้าละ

   “เก้า”

   “สิบนาทีแล้วไอ้ค่าย”

   ผมหันขวับไปยังต้นเสียงที่ยืนอยู่เหนือหัว ใบหน้าของไอ้เติร์ดโผล่เข้ามาในจอ คอมเมนต์ถูกส่งกระหน่ำเข้ามามากมาย แต่ถึงอย่างนั้นคนที่ยืนหน้านิ่งก็ยังไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร

   “มึงนับสิบให้กูเหรอ”

   “นับเหี้ยอะไร พี่ใบบัวให้มาบอกว่าหมดเวลาแล้ว เดี๋ยวให้ฟานกับพิงค์มาคุยต่อ” ว่าแล้วมันก็เดินผละออกไป โดยไม่รู้เลยว่าข้อความมากมายที่ถูกส่งมานั้น มีแต่ชื่อของมัน...   


   ‘พี่เติร์ดดดดดดดดดดดดด’
   ‘เติร์ดนับสิบ OMG’
   ‘ทฤษฎีนี้เป็นจริงเหรอ ม่ายยยยยยยย’
   ‘เติร์ดชอบค่ายเหรอ’


   สำหรับเติร์ดไม่รู้หรอก แต่ค่ายชอบเติร์ดนะ...
   
   

อ่านต่อด้านล่างค่ะ

ออฟไลน์ Jittirain12

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 353
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1238/-18

หนึ่งวันหมดลงพร้อมกับความเหนื่อยล้าที่โหมเข้ามาเต็มอัตรา วันนี้ทุกคนทำงานหนักจริงๆ แม้แต่ไอ้ทูกับไอ้โบนก็ไม่น้อยหน้า สงสารแม่งที่ต้องถือกล้องจนแขนล้า ไอ้เติร์ดกับอยู่กับทีมเขียนบท มีผมไปแทรกบ้างตอนพี่อั้นเดินมาหาเพื่อตัดคู่แข่ง ส่วนตัวเองนั้นก็ไม่ได้ว่างอะไรกับเขาเลย

   ทั้งเลือกเพลง ตัดเพลง เทสเสียง หาเอฟเฟ็ก เหี้ยไรเยอะแยะเต็มไปหมด ข้าวก็กินข้าวกล่องที่สวัสดิการหาให้ กว่าจะได้ฤกษ์งามยามดีกลับห้องก็ปาไปโน่นเลยครับ สามทุ่ม! คุณค่าที่คนขาหักคู่ควร

   ไอ้เติร์ดขึ้นลิฟท์ตามผมมาถึงหน้าห้อง แต่ดูเหมือนเจ้าตัวไม่มีท่าทีว่าจะก้าวเข้าไปข้างในเลย ผมถึงได้ยืนอยู่หน้าประตูที่เปิดออกแล้วอย่างเก้อๆ

   “ไม่เข้ามาเหรอ”

   “ไม่อ่ะ” มันพูดพลางส่ายหน้า

   “สรุปไม่อยู่ดูแลกันจริงดิ” ผมถามเสียงอ่อย

   “ก็ดูมึงมาทั้งวันแล้วเนี่ย ให้กูพักบ้างเหอะสัด”

   อารมณ์ตอนนี้เหมือนเด็กขี้อายหัดมีความรัก ปกติเห็นใครน่ารักกูพุ่งเข้าใส่แทบละเลงกันคาที่ แต่นี่บอกเลยแม้แต่มือก็ยังไม่กล้าแตะ งุ้ยยยยยย

   “งั้น...อย่านอนดึกล่ะเดี๋ยวตาโหล” ย้ำกลับไปอีกครั้ง

   “มึงก็อย่าให้แผลโดนน้ำ”

   “ก่อนนอนเช็ดผมให้แห้งด้วย มึงมันพวกขี้เกียจ”

   “มึงก็เดินให้ระวัง อย่าไปเตะขาเตียงจนพังล่ะ”

   “พรุ่งนี้เช้าก็ไม่ต้องรีบตื่นแล้วขับรถเร็วๆ มารับกูนะ”

   “ถ้ามารับช้าก็ช่วยกินข้าวให้ตรงเวลาด้วย”

   “หมดแล้วที่อยากบอก”

   “เออ”

   “พรุ่งนี้เจอกัน”

   “เจอกัน...”

   “ถึงแล้วโทรหาด้วย” หลังจบประโยคนี้ไอ้เติร์ดก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมาอีกนอกจากโบกมือส่งๆ เป็นเชิงไล่ แล้วผินตัวเดินกลับไปทางเดิมทิ้งให้เพื่อนคนนี้มองตามหลังจนกว่าจะลับสายตา

   ผมอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างระวัง พาตัวเองมานอนบนเตียง เปิดทีวีดูรายการบ้าบอคอแตกทั้งที่ตัวเองไม่ใช่คนติดทีวี ที่ผ่านมากูดูแต่หนัง เหนื่อยจนตาจะปิดฉิบหายแต่ก็ยังหันไปมองโทรศัพท์มือถือที่ว่างอยู่ข้างๆ แต่กลับไร้สัญญาณวี่วาวจากคนที่รอ

   อยากโทรไปถามนะครับว่าเป็นยังไง จะนอนหรือยังแต่ก็กลัวว่าไก่จะตื่น ได้แต่พะว้าพะวงอยู่คนเดียว หนักเข้าทนไม่ไหวเลยโทรไปเช็กสถานการณ์กับเพื่อนสนิทในกลุ่มอย่างไอ้โบนแทน

   รอสายไม่นานเจ้าตัวก็รับ...

   [ไง อดอยากเหรอมึง] เชี่ยนี่ก็คิดแต่เรื่องอกุศล แม้ความเป็นจริงจะเป็นแบบนั้นก็เถอะ

   “อยากเหี้ยอะไรล่ะ กูจะโทรมาถามว่าไอ้เติร์ดกลับมาหรือยัง เป็นห่วง ตอนนี้มันยังไม่โทรมาบอกกูเลยว่าถึงห้องแล้ว” คำพูดยาวเหยียดพ่นออกมา แต่ปลายสายก็ยังเชื่องช้าไม่กระตือรือร้นจะตอบ

   [...อืม ไม่รู้เหมือนกัน]

   “มึงอยู่คอนโดเดียวกับมันอ่ะ ทำไมไม่รู้วะ”

   [ไอ้ค่ายครับ อยู่คอนโดคนละชั้น จอดรถเสร็จก็ตัวใครตัวมันละ]

   “ทำไงดีวะ ไม่กล้าโทรไปรบกวนอ่ะ”

   [เดี๋ยวกูถามไอ้ทูให้] ว่าแล้วไอ้โบนก็เงียบเสียงไป ดีหน่อยที่ห้องของไอ้ทูอยู่ถัดไปไม่กี่ห้อง และมันก็เป็นคนเดียวที่ไอ้เติร์ดยอมเปิดใจจนหมดเปลือกด้วย ยังไงซะอีกฝ่ายก็ต้องรู้อะไรบ้างล่ะ

   [โหลมึง]

   “เออว่าไง”

   [แม่งนอนดูหนังอยู่ห้องไอ้ทูเนี่ย จะคุยกับมันมั้ย]

   “เชี่ยจริงดิ ตั้งตัวไม่ทัน กูตื่นเต้น”

   [จะเป็นส้นตีนอะไรก็คุยกันเองแล้วกัน] หัวใจของผมเต้นตึกตัก ไม่เคยคิดว่าเพื่อนสนิทที่ตัวติดกันสองปีจะส่งผลต่อความรู้สึกได้มากมายขนาดนี้ แค่คิดว่าต้องคุยกับไอ้เติร์ด ผมก็ทำอะไรไม่ถูกแล้ว

   ต่อหน้าก็ตื่นเต้นอย่าง ลับหลังแค่คุยโทรศัพท์ประสาทกูก็จะแดกแล้วครับ

   [ว่าไง] เชร้ดดดดดดดดดดดดดดด คนที่คุณรู้ว่าใครตอบมาแล้ว

   ทำไงให้หายจากอาการตื่นเต้นดี ร้องเพลงได้มั้ย ร้องเพลง...

   “เอ้าออกมาวิ่ง วิ่งนะวิ่งนะแฮมทาโร่ ตื่นออกจากรัง วิ่งนะวิ่งนะแฮมทาโร่”

   […]

   “ของอร่อยที่สุดก็คือ….เมล็ดทานตะวัน”

   [กูควรรู้สึกยังไง] และสุดท้ายผมก็ได้รับน้ำเสียงโคตรเหม็นเบื่อเป็นการตอบกลับมา หัวใจกูแทบฝ่อ แต่ดีที่ลดอาการตื่นเต้นไปได้บ้าง

   “ทำไมไม่โทรบอกกูว่าถึงแล้ว คนแม่งเป็นห่วงไม่เข้าใจเหรอ” พอถึงนึกเหตุผลที่ตัดสินใจโทรหาไอ้โบน ผมก็งัดมาฉะกับอีกฝ่ายทันที

   [ไอ้ทูบอกมึงรู้แล้ว]

   “รู้เหี้ยไร กูไม่รู้อะไรทั้งนั้น” ไอ้ทู ไอ้เพื่อนนรก!

   แม่งทำกูประสาทแดกไปหลายทีแล้วครับ สบโอกาสหน่อยมันจะหาเรื่องให้ผมรู้สึกกระวนกระวายใจ และครั้งนี้ก็ได้ผลอีก มีแต่กูเนี่ยแหละที่โง่ให้เพื่อนปั่นหัวเล่น โอ้โหของขึ้น หันไปเจอรีโมทเลยปาลงพื้นแม่งเลย

   [เออถึงแล้ว วางสายได้ยัง]

   “อาบน้ำแล้วเหรอ” ว่าแล้วก็หาเรื่องคุยต่ออีก

   [อาบแล้ว นอนดูหนังกับไอ้ทูเนี่ย]   

   “นอนตรงไหน โซฟาหรือเตียงห้องมัน”

   [เตียง]

   “กลับห้องไปเลย”

   [เป็นอะไรของมึงอีกเนี่ย]

   “แล้วดูเรื่องอะไรกัน”

   [Fifty shades of Gray] เสียงที่ตอบกลับมาไม่ใช่ไอ้เติร์ด แต่เป็นเจ้าของห้องที่ผมอยากจะปารีโมทตรงพื้นข้ามคอนโดไปกระทบหัวมันอีกรอบ แล้วดูมัน ดูหนังเหี้ยอะไรแบบนั้นวะ!

   “ไอ้สัดทู มึงรีบปิดหนังแล้วไล่ไอ้เติร์ดไปนอนเดี๋ยวนี้” ในเมื่อพูดดีๆ ไม่ฟังก็จำต้องออกคำสั่งอย่างเหลืออด

   [อะไรวะ เพื่อนอยากดูหนัง]

   “หนังบ้าหนังบออะไรของมึง พรุ่งนี้มีเรียนเช้ารีบแยกย้ายเลย”

   [พรุ่งนี้เรียนบ่าย มีเวลานอนอีกเยอะ ยังไงแค่นี้นะ]

   “ไอ้ควายทูมึงอย่าริอาจวางสาย ให้กูอยู่ในสายต่อไปไม่งั้นกูจะลงไปโบกแท็กซี่ตามจิกหัวมึงเดี๋ยวนี้แหละ”

   [เออ! งั้นมึงควรขออนุญาตไอ้โบนแล้วกัน เพราะนี่เป็นมือถือมัน โอเค๊]

   แน่นอนว่าไอ้โบนอนุญาต ผมเลยสั่งมันให้ปักหลักอยู่ที่ห้องอีกแรง ดีที่มือถือเปิดลำโพงเอาไว้ ส่วนผมก็เอาหูฟังมาใส่ขณะดูทีวีไปสลับกับฟังเสียงคนคุยกันผ่านโทรศัพท์ไป

   ไอ้เติร์ดพูดน้อยมากเมื่อเทียบกับเมื่อก่อนที่พูดจ้อไม่หยุด จะมีก็แต่เพื่อนรักสองคนเท่านั้นที่อู้ซี๊ดอ๊าซ์ออกมาไม่หยุดหลังจากดูหนังอิโรติกสะเทือนตับของพวกมัน

   นาฬิกาบนฝาผนังล่วงเลยไปเกือบเที่ยงคืน จู่ๆ สายก็ตัดไป ผมตกใจมากพยายามกดโทรนับครั้งไม่ถ้วนแต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับเล่นเอาหงุดหงิดไปพักใหญ่ สักพักเบอร์เดิมก็ติดต่อกลับมาแต่เป็นการวิดีโอคอลหาแทน และภาพแรกที่ปรากฎในจอก็คือไอ้โหดสองตัว

   “พวกมึงเล่นเหี้ยไรกัน วางสายกูเพื่อ”

   [ชู่ววววววว..! หลับไปแล้ว บนเตียงกูด้วย โถๆ] เสียงที่ตอบกลับมาลดระดับลงมา ก่อนกล้องจะแพนไปที่ร่างขาวของใครบางคนที่ฟุบหลับบนเตียงไปแล้ว

   “คงจะเหนื่อย มึงอย่ากวนมันล่ะ”

   [เตียงกูมั้ยครับเพื่อน]

   “ตอนนี้เป็นเตียงไอ้เติร์ดแล้ว มึงไสหัวไปนอนโซฟาข้างนอกเลย”

   [ประสาท ปกติมันก็นอนกับกูอย่ามาทำตัวโง่]

   “รำคาญ”

   [อิจฉาอ่ะดิ คนไม่ได้อยู่ด้วยก็งี้แหละ ง่อววววววว] คนแรกที่ผมจะต่อยคว่ำในเช้าวันรุ่นขึ้นก็คือไอ้ทู จากนั้นตามมาที่ไอ้โบน กูจะเอาให้เลือดกบปาก โทษฐานทำให้รู้สึกริษยาอยู่ในใจแต่พูดออกไปไม่ได้เดี๋ยวจะเสียศักดิ์ศรี

   “อย่ายุ่งกับมัน ปล่อยแม่งนอนไป”

   [เหอะน่า แบตจะหมดละ มีอะไรอีกมั้ย] กล้องยังคงโฟกัสไปยังใบหน้าของคนที่หลับไม่รู้อิโหน่อิโหน่ และผมก็รู้สึกชอบทุกครั้งที่ได้มองหน้ามัน แม้จะผ่านทางจอมือถือก็ตาม

   “ฝันดีนะ เอ่อ ไอ้เติร์ด...”

   “...”

   “ทำไมน่ารัก”

   “...”

   “ขอรักได้มั้ย”

   [ไม่ได้นี่เพื่อนกู ไสหัวไปไกลๆ]

   ภาพสุดท้ายที่ปรากฏตรงหน้าก่อนจอจะดับไปไม่ใช่ใบหน้าขาวๆ ของไอ้เติร์ดอีก หากแต่เป็นง่ามตีนของไอ้ทูที่โผล่เข้ามาเพียงเสี้ยววินาที และนั่นทำให้ผมรีบปาหมอนข้างลงเตียงด้วยความโมโหอีกตามเคย

   ทำไมต้องกวนตีนกูตลอดด้วยวะไม่เข้าใจ

















   เช้าวันรุ่งขึ้นผมตื่นขึ้นมาตามปกติ แต่ที่ไม่ปกตินิดหน่อยคือขาที่ใส่เฝือกหนาหลายเซนซึ่งกำลังเป็นตัวถ่วงร่างกายตอนนี้มากกว่า บอกตามตรงว่าชีวิตแบบนี้กูเข็ดขยาดฉิบหาย ไม่เอาอีกแล้วครับลื่นไถลดุจสายชล ขาก็หัก รถก็พัง พ่อแม่ก็ด่า นี่กูเหลืออะไรบ้างในชีวิต

   พอลากสังขารลงจากเตียงได้ก็เดินกึ่งเขย่งไปยังห้องน้ำ ทำทุกอย่างด้วยความระมัดระวัง เมื่อก่อนมีเวลานั่งโบกครีมใส่น้ำหอม แต่ตอนนี้ขอแค่อาบน้ำแล้วออกมาแต่งตัวได้ก็บุญแค่ไหนแล้ว

   อาหารเช้าปกติผมจะกินนมกับขนมปัง บางวันก็อาหารอุ่นที่แม่ชอบซื้อมายัดใส่ตู้เย็นไว้ แต่...

   ด้วยความที่ขาหัก กินก็กินอย่างเดียวไม่ได้ซื้อของมาตุนเพิ่ม เช้านี้ข้าวกล่องและขนมปังเลยหมด อย่างที่รู้กันดีว่ากระเพาะของนายขุนพลซื่อตรงที่สุดในโลก กูจะไปเรียนแบบไม่แดกอะไรเลยไม่ได้

   ให้ลงไปซื้อข้างล่างก็ขี้เกียจเดินขึ้นๆ ลงๆ อีก แต่งตัวก็ยังไม่เสร็จเพราะใส่แต่เสื้อ กางเกงมีแค่บ็อกเซอร์ สภาพน่าสมเพชเวทนาไม่สมกับเป็นหนุ่มฮอตของนิเทศฯ เลย

   ผมเปิดตู้เย็นสำรวจของที่พอประทังชีวิต เจอไข่สองฟองกับแครอทดิบหนึ่งหัว หรือว่ากูจะลองแทะแครอทดิบๆ ดูวะ คิดได้เท่านั้นก็จัดการเอามันออกมาล้างจนสะอาด จากนั้นก็กัดไปคำหนึ่ง

   โอ้โห...ความแข็งนี่อยู่ในระดับที่หินแกรนิตเองยังต้องเรียกพี่ ไอ้สัด แข็งไม่พอเสือกไม่อร่อยอีกต่างหาก

   แดกแบบนี้กลัวลำไส้จะครากในสักวัน เลยเปลี่ยนไปจัดการไข่สองฟองที่เหลือในตู้ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วลองทอดดูสักครั้งก็แล้วกัน

   ผมเป็นพวกโง่และไม่มีฝีมือในการทำอาหาร ที่อยู่รอดทุกวันนี้ได้ก็เพราะอาหารสำเร็จรูปพวกกดน้ำร้อน หรือยัดใส่ไมโครเวฟแล้วแดกแค่นั้น จะให้มานั่งต้มๆ แกงๆ แม่งโคตรไม่ใช่ทาง

   แต่วันนี้จะลองดูสักตั้ง

   ในห้องมีเตาไฟฟ้าที่ไม่เคยเปิดใช้ กับน้ำมันพืชขวดเล็กเท่าหรรมหมาพร้อมไข่อีกสองฟอง ทดลองทำไข่ดาวก่อนเป็นฟองแรก

   ผมเทน้ำมันใส่ จากนั้นก็ตอกไข่ลงไป

   เงียบกริบ ไม่มีแม้เสียงน้ำมันสาดกระเด็น...เศษไข่นี่ล่องลอยอยู่ในธารน้ำมันจนแทบผสมเป็นเนื้อเดียวกันเลย อ๋อ น้ำมันไม่ร้อนนี่เอง ไอ้ควายยยยยยยยยยยยย

   ก๊อกๆๆ

   ใช้เวลาก่นด่าตัวเองพักหนึ่งเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ผมปิดเตาไฟฟ้าแล้วเดินเขย่งไปยังหน้าประตู นี่แม่งเหมือนทางของสวรรค์เลยว่ะ เพราะมันได้นำพาไอ้เติร์ดให้มายืนอยู่ตรงหน้านี้แล้ว

   “เติร์ด”

   “เออ เสร็จยัง” คำถามแรกจู่โจมเข้ามา แต่มึงช่วยดูสภาพกูตอนนี้ด้วยครับ

   “ยังเลย กูกำลังทำไข่ดาวอยู่”

   “ไข่ดาว ทำเป็นเหรอ”

   “เพิ่งลอง แต่ไข่แม่งไม่สุกอ่ะ” สิ้นสุดประโยคของผมร่างโปร่งก็เดินเข้าไปในครัวขนาดเล็ก ก้มหน้ามองวิญญาณไข่ที่อยู่ในน้ำมันอย่างเหนื่อยหน่าย

   “น้ำมันไม่ร้อน มึงรีบตอกไข่ลงเพื่อ?”

   “ก็ว่าอยู่”

   “ไข่แตกด้วย แม่งปนกันไปหมดแล้วเนี่ย”

   “แล้วทำไง”

   “เททิ้ง” ไม่ปล่อยให้กูได้ตั้งตัวเพื่อนรักก็จัดการเทลงซิงก์น้ำใกล้ๆ แล้วหันมาบอกผมด้วยน้ำเสียงเรียบๆ กับใบหน้าโคตรน่ารักของมัน “เดี๋ยวกูทำให้ ไปนั่งที่โต๊ะไป”

   “ใส่พริกไทยด้วย”

   “รู้แล้ว”

   “กูเอาซอสมะเขือเทศนะ”

   “กูเป็นขี้ข้ามึงหรือไง” ผมไม่ได้หนีไปนั่งตามคำสั่ง แต่ยืนมองคนตรงหน้าทำอาหารอย่างกระฉับกระเฉง แก๊งโหดเรามีกันอยู่สี่คน คนที่คอยเป็นพ่อครัวให้อิ่มท้องยามลำบากเสมอก็คือไอ้เติร์ดเนี่ยแหละ เมื่อก่อนผมไม่เคยสนใจเลย แต่ตอนนี้ถ้ามีคนทำให้กินแบบนี้ทุกเช้าก็คงจะดี

   ไข่ดาวหนึ่งฟองวางอยู่บนโต๊ะ หน้าตามันดูดีมาก ไม่ได้ไหม้เกรียม และที่สำคัญเป็นไข่ดาวที่ผมโคตรชอบ

   “มึงจำได้ด้วยว่ากูชอบไข่แดงสุก”

   “เออ แดกไป”

   “หอมกลิ่นพริกไทย แถมมีซอสมะเขือเทศให้ด้วย”

   “จะกินอย่างหรู แต่ต้นทุนโคตรยาจกไง”

   “กินด้วยกันมั้ย”

   “แค่นี้ก็จะไม่พอยาไส้มึงแล้วครับ รีบกินจะได้รับแต่งตัวไปเรียน”

   “นั่งก่อนดิ ยืนเมื่อยนะเว้ย” ผมไม่ละความพยายามจนกว่าคนตรงหน้าจะทำตามคำสั่ง และถึงแม้ว่าไอ้เติร์ดจะทำหน้าไม่พอใจแค่ไหน สุดท้ายมันก็ยอมจำนนให้กับคำขอของผมอยู่ดี

   ตอนนี้เลยได้แต่ตัดไข่ดาวกินไปคำ ชวนอีกฝ่ายพูดไปพลางเท่านั้น

   “เมื่อคืนดูหนังเหรอ”

   “อืม ดูกับไอ้ทูแล้วก็ไอ้โบน” ผมจำได้แต่เสียงไอ้สองตัวนั่นกำลังพากย์ฉากดุเดือดอย่างเมามัน

   “เรื่อง Fifty shade อ่ะนะ คิดอะไรกันอยู่วะ”

   “กูไม่ได้ลามกเหมือนมึง”

   “แล้วนอนห้องไอ้ทูถึงกี่โมง”

   “เช้า”

   “ต่อไปห้ามค้างห้องใคร ถ้ารู้ว่าดึกต้องรีบกลับก่อน”

   “เป็นพ่อหรือไงมาสั่ง”

   “เป็นพ่อทูนหัวได้มั้ย”

   “ปากอย่างนี้ดิถึงได้เกี้ยวสาวมาเยอะ บอกเลยมึงกลับไปเหี้ยได้เต็มที่ เอาให้สุด”

   “ว้า จริงๆ ไข่แดงมันไม่สุก” นอกจากหล่อแล้วก็ควรใช้ความกะล่อนปลิ้นปล้อนให้เป็นประโยชน์ การสนทนานั้นต้องทำยังไงก็ได้เพื่อหลีกเลี่ยงประเด็นอยู่ไม่กี่ประเด็น หนึ่งผู้หญิง และสองความเหี้ยในอดีต

   “กวนตีนฉิบหาย”

   “ชอบๆ รสชาติดีมาก”

   “อีกอย่างที่อยากบอก วันนี้ตอนเย็นกูคงมาส่งมึงไม่ได้ เลยฝากไอ้โบนไว้”

   “อะไรยังไง” ผมวางส้อมในมือลง แล้วหันไปสบสายตากับเจ้าของคำพูด กำลังอารมณ์ดีอยู่แล้วแม่งทำให้ขัดใจอีกจนได้

   “พี่เชนทร์ชวนไปกินข้าว”

   “ที่ไหน มึงซ้อมละครไม่ใช่เหรอจะออกไปได้ไง”

   “หลังจากนั้น”

   “มีใครอีก”

   “แล้วมึงจะถามเพื่อ”

   “มีไอ้พี่อั้นด้วยใช่มั้ย” ไอ้เติร์ดเงียบ ผมเลยเดาคำตอบได้ว่าใช่จริงๆ แล้วทำไมตอนที่ผมตั้งใจจะจีบมันต้องมีก้างขวางคอเข้ามาตลอดเลยวะ เมื่อวานก็ทำให้โมโหหลายทีจนหงุดหงิด วันนี้ยังมาชวนไอ้เติร์ดออกไปข้างนอกอีก

   “เติร์ด”

   “กูจะไปไหนก็เรื่องของกูป่ะวะ ทีตอนมึงจะเที่ยวไม่เห็นเพื่อนคนไหนจะว่ามึงเลย”

   “ก็ตอนนี้กูไม่ทำแล้วไง หรือถ้ากูจะไปไหนมึงก็ห้ามได้เต็มที่”

   “เพื่อนไม่ล้ำเส้นกันนะเว้ย เพราะงั้นกูจะไม่ทำอะไรไร้สาระอย่างนั้น”

   ความกรุ่นของอารมณ์ลากยาวตั้งแต่ช่วงเช้ามาจนถึงตอนเย็น ต่างคนต่างแยกย้ายไปทำหน้าที่ต่างๆ ในกองละครเวที ส่วนผมก็ต้องช่วยฝ่ายซาวน์ แต่ต้องยอมรับว่าสติมันไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่ เพราะมองไปที่ไอ้เติร์ดทีไรมันก็อยู่แต่กับพี่อั้นซึ่งผมไม่ชอบ

   ตลอดทั้งวันวันนี้เราไม่ได้คุยกันมากนัก ต่างคนต่างตีมึนใส่กันขณะที่ผมก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ แม่งเรียกอาการนี้ว่ายังวะ หึงเหรอ เออ! หึงก็ได้

   “ฟาน ฉากนี้ฟานจะต้องเดินมาแต่สายตามองอีกทางนะ พอถึงตัวนางเอกก็ชนเลย” เสียงของพี่ใบบัวแทรกเข้ามาในหูเป็นบางครั้ง เนื่องจากแกเป็นคนที่มีเอเนอจี่สูงเพราะงั้นเลยดูไม่เหน็ดเหนื่อยอะไร

   พี่เชนทร์ทำหน้าที่เป็นผู้กำกับดูแลในส่วนของการแสดงอยู่ ผมคุมเสียงให้เข้ากับฉากนั้นๆ ส่วนไอ้เติร์ดกับพี่อั้นแม่งยืนอยู่ด้วยกัน คอยดูการแสดงของพระนางในฉาก

   “เดี๋ยวๆ พิงค์ก็ยังไม่ได้ ลองใหม่” พี่เชนทร์ออกคำสั่ง

   พระเอกในเรื่องชื่อตฤณ ส่วนนางเอกชื่อข้าวโพด เวลาคนเรียกก็จะเรียกว่าโพดๆๆๆๆ แบบนี้ซ้ำๆ จนน้ำลายฟูมปาก ทั้งคู่เจอกันที่หอสมุด เดินชนกันเหมือนพล็อตน้ำเน่าทั่วไปนี่แหละครับ แต่ที่ไม่เหมือนคือฉากเดียวแสดงเป็นสิบรอบ

   “ฟานมึงเอาใหม่”

   ห้านาทีให้หลัง...

   “ยังไม่ได้ พิงค์ต้องไม่มองหน้าพระเอกสิ เราไม่เห็นกัน ต้องชนกันก่อน แล้วดึงอินเนอร์ออกมา” ยิ่งนานเข้านักแสดงก็ยิ่งเครียด พี่เชนทร์เลยสั่งหยุดชั่วขณะ

   “เติร์ดมึงเป็นคนเขียนบทนางเอก มาเล่นให้น้องดูหน่อย ไอ้ค่ายมานี่ดิ ยืมตัวพระเอกเก่าแป๊บ” แล้วขากูหักอยู่เนี่ยนะ แต่พอเห็นไอ้เติร์ดเท่านั้นแหละ ค่ายจิไม่สนหินสนแดดใดๆ

   รีบหยัดยืนเต็มความสูง วิ่งเขย่งๆ โดยไม่ใช้ไม้ค้ำยันไปด้านหน้า

   “ขาหักไม่เป็นไร กูจะให้มึงสื่ออารมณ์แค่หน้า อารมณ์ของคนที่กำลังจดจ่อกับอะไรสักอย่างแล้วไม่มองทางอ่ะ ส่วนมึงก็เหมือนกันเติร์ด ช่วยทำให้น้องมันดูหน่อย” คำขออันยืดยาวจากผู้ชายหุ่นหมีส่งมาให้เราทั้งคู่

   พี่เชนทร์แม่งเป็นคนฉลาด แต่วันนี้มันโง่มากครับที่ให้คนอารมณ์กรุ่นเหมือนภูเขาไฟเตรียมปะทุสองคนมาเผชิญหน้ากัน

   “เติร์ด เอาบทมานี่เดี๋ยวกูถือให้” พี่อั้นอาสา ผมนี่เหลือบตามองบนทันที

   แน่นอนว่าผมไม่สามารถเก็บความรู้สึกไม่พอใจเอาไว้ได้

   “ฟาน พิงค์ดูไว้นะ มึงสองคนพร้อมหรือยัง”

   “ครับ”

   “งั้นเริ่มเลย”

   ผมกับไอ้เติร์ดเดินเร็วๆ มาจากคนละฟาก ก่อนจะถึงจุดปะทะเราไม่ได้มองหน้ากันเพราะกำลังทำการแสดงอยู่ กระทั่งช่วงไหล่ของผมกระแทกเข้ากับไอ้เติร์ดอย่างจังจนเหมือนจะเซ ตอนนั้นแหละที่เราได้สบตากันอีกครั้งแล้วกล่าวขอโทษไปตามบท

   “ขอโทษ” ผมพูดก่อน

   “ไม่เป็นไร” มันตอบกลับ หลังจากนั้นเราต้องเดินสวนกันเพื่อจบฉากนี้แต่เปล่าเลย ผมเหี้ยกว่านั้นเพราะเดินชนไหล่มันอีกรอบจนร่างโปร่งต้องหันกลับมามองตาขวาง

   “เฮ้ยโทษ” ผมรีบพูดแก้ต่างทันที แม้จะตั้งใจก็เถอะ

   ไอ้เติร์ดก็เหมือนไม่ยอมเมื่อมันนอกบทหันตัวกลับมาคล้ายจะเดินไปอีกทาง แต่เท้าของมันเสือกเหยียบตีนข้างที่ไม่เจ็บของผมอย่างแรง

   “อุ๊ยโทษ! เผลอเหยียบตีน”   

   แล้วคิดเหรอว่าคนอย่างกูจะยอม จัดการเอื้อมมือไปผลักกะหม่อมบางทีหนึ่งพร้อมกับพ่นคำพูดสุดตอแหลใส่

   “ขอโทษน้า มือเผลอไปโดน”

   “โทษๆ”

   แต่คราวนี้มันเล่นผลักไหล่จนผมแทบหงายหลัง ถ้าไม่ติดว่าขาที่พยุงเอาไว้ยังพอมีแรงยึดอยู่บ้าง ตอนนี้คงได้หน้าหงายไปแล้วจริงๆ

   ผมหันไปจ้องหน้าไอ้เติร์ดแน่นิ่ง กูชักจะทนไม่ไหวแล้วนะ แต่เจ้าตัวก็ยังไม่ยอมหยุดเพราะเล่นเอาหัวมาโขกหน้าผากผมอย่างแรงจนเกิดเสียงดังกึก...

   “ขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจ”

   วินาทีนั้นสติกูขาดผึงรีบคว้าหน้าไอ้เติร์ดเอาไว้ ก่อนจะกดปากตัวเองลงไปบนริมฝีปากนุ่มอย่างแรง

   “กรี๊ดดดดดดดดดดดดด”

   เสียงหวีดร้องของคนที่อยู่บริเวณนั้นดังขึ้น ผมผละจากไอ้คนดื้อด้านหลังจากนั้นไม่นานก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดกวนตีน

   “ขอโทษ”

   “...”

   “พอดีตั้งใจ”

 


ง่อวววววว ค่ายเอ๊ย
โดนดีแน่ค่ายเอ๊ย

ออฟไลน์ boboman

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
 :z13:
อ่านแล้วยิ้มไม่หยุดเลย ฮืออ หมั่นไส้ค่ายมาก 5555555555
ชอบพอดีตั้งใจจัง  :hao7:
อิค่ายน่ารักเหมือนกันนะเนี่ย แต่ก็ยังกากอยู่ดี 5555555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-07-2017 21:07:31 โดย boboman »

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
ค่ายมีความน่ารัก

ออฟไลน์ me12inzy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
ถ้าอีค่ายจะไม่ตั้งใจละเป็นงี้ต้องไม่ตั้งใจบ่อยๆแล้วล้าาาา  :katai2-1: :katai3:
ตบหน้าอีหอยพี่อั้นรัวๆ
เติร์ดอย่าด่านะ

ออฟไลน์ CLShunny

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 260
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
เป็นนิยายสายมึนสมกะจิตติละ5555
เหมือนจะหึงแล้วดราม่า เอ้าา!ตลกเฉย  :a5: :a5:

ออฟไลน์ IRA

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
นังค่ายยยยยย  :m20:
ตอนนี้เหมือนจะหวานนะแต่ตลกไปหมดเลยอ่ะ โอยยยยย
อาจารย์อย่าแกล้งค่ายสิคะ หวัยยยยยย

ออฟไลน์ poommy_TY

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ง่อววววว ต่อด่วน ง่อววววว

อิค่ายยย จงทำดี จงทำดี เฮ่!!

โดนแน่ๆ เอ็งงงงง

ออฟไลน์ Ouizzz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 640
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
โว้ยยยยยยยยยยย ค่ายวินเด้องานนี้ :katai2-1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ทฤษฎีจีบเธอ ∞ ตอนที่ 11 [12/07/60] *หน้า30
« ตอบ #889 เมื่อ: 12-07-2017 21:25:26 »





ออฟไลน์ fsbeentaken

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 153
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
โอ๊ยยยย นังค่ายยยย!!! ทำดีลูก ทำต่อไป!

รำอิพี่อั้นมากค่ะ จะเข้ามาก็ไม่มีปัญญาเข้ามาดีๆ ทำไมต้องสุมไฟ

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ฮี่ฮี่ สาแก่ใจแม่ยกค่าย (เปลี่ยนมาเชียร์ตอนมันเดี้ยงนี่แหละ) เติร์ดดื้อนักต้องเจอสั่งสอน

ออฟไลน์ แม้วธวัลหทัย

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
ค่าย เริ่มเกรียนหนักขึ้นทุกวัน
เริ่มลำไยพี่อั้น

เติร์ดก็เหมือนตั้งกำแพงสูงไปอีก
ไม่อยากเจ็บล่ะสิ
แต่โดนจูบอีกแล้วนะ

ขอบคุณที่มาต่อจ้า

ออฟไลน์ why yyy

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +309/-8
ขอบคุณ :)

ออฟไลน์ hoshinokoe

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1042
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
ง่อววววว

ออฟไลน์ panpang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 497
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
มีความกล้ามาก55555

ออฟไลน์ diltosscap

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 520
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-1
พี่พ่าย สู้เขานะ เชียร์อยู่

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5
 :katai1: :katai1: :katai1:อ่าจะอ่านอีกอะ :m31: :m31: :m31:

ออฟไลน์ VaLyn_TM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
โอ้โห ชนะเลิศ!!!!!! ทำดีค่ะอิค่าย เอาอีกๆ  :hao6: :hao6:
ต้องให้ได้อย่างนี้สิ เอาให้รู้กันทั้งมหาลัยเลยว่าเติร์ดของใคร 55 o13 o13
ถึงแม้จะยังกินแห้ว แต่กันคนนอกไว้ก่อนดีที่สุด
ยิ่งตอนนี้อิพี่อั้นก็ป้วนเปี้ยนไม่ห่าง ไปไกลๆเมียคนอื่นค่ะ รำคาญสุดจะทน :katai4:
สู้ค่ะอิค่าย เติร์ดมันปากแข็งไปงั้นแหละ ตอนนี้ใจมันสั่นไม่เหลือแล้ว เรารู้นะ ฮิๆๆ :z1: :z1:

ออฟไลน์ ppseiei

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
โอ้หม่ายก้อดดดด พิค่ายยยย  :hao7: :hao7: :hao7:


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด