ตอนที่ 13
ตื๊อไม่ได้ครองโลก ตื๊อครองใจ
‘เออถูก กูชอบเติร์ด เพราะงั้นใครกล้ายุ่งกูเอาตาย’ ประโยคเดียวทำเอาตะลึงงันกันยกกลุ่ม ไม่รู้ว่าพอตื่นขึ้นมาทุกคนยังจำได้อยู่มั้ย แต่สำหรับผมแม่งจำได้จนขึ้นใจว่าไอ้ค่ายพูดอะไรออกไปบ้าง ถึงจะเมาก็ยังพอมีสติ แต่คนปากมอมที่พูดประโยคก่อนหน้าออกมานี่สิที่ดูเหมือนไม่มีสติเหลือเลย ไม่อย่างนั้นมันคงไม่โพล่งประโยคนี้แน่
ที่สำคัญคือผมถูกซักไซ้ไล่เรียงให้ตอบคำถามมากมายทั้งที่ตัวเองไม่ได้ก่อ ใช่! เราเคยตกลงกัน ผมเคยพูดกับไอ้ค่ายว่าจะให้โอกาสมันได้พิสูจน์ตัวเอง ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบเรียบมาโดยตลอดจนกระทั่งเกิดเรื่องในคืนนี้ โชคดีที่เพื่อนอย่างมันยังพอมีความรับผิดชอบบ้างเลยเป็นฝ่ายยกเลิกเกมส์ ก่อนทุกคนจะแยกย้ายตัวใครตัวมัน
“ไม่อยากเชื่อเลยว่าไอ้ค่ายจะใจเด็ดขนาดนี้ ออกตัวหวงมึงโคตรแรง”
ผมล้มตัวลงนอนบนเบาะผ้าใบริมสระ ข้างๆ มีพี่เชนทร์คนเดียวที่เป็นคู่สนทนาด้วย ส่วนเพื่อนคนอื่นก็ดื่มเหล้าเมาเยี่ยงหมาอยู่กลางฟลอร์เต้นอีกด้าน ดังนั้นจึงไม่มีใครรบกวนผมมากนัก
“พี่รู้มานานแค่ไหนแล้วว่าผมกับไอ้ค่าย...” ไม่ทันพูดจบประโยคผมก็หันไปมองหน้ารุ่นพี่ปีสี่ที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว
“ตั้งแต่แรกที่เริ่มละครเวที”
“ชัดเจนขนาดนั้นเลยเหรอวะ”
“เมื่อก่อนกูก็เคยสงสัยนะ เห็นมึงตัวติดกันมากเลยคิดว่าคงสนิทกันตามประสาเพื่อน แต่มันมาหนักตรงช่วงที่มึงตามติดพวกปีสี่แจและหมางเมินเพื่อนในกลุ่มเนี่ยแหละ คนเราเวลาทนกับอะไรไม่ได้จะเฟดตัวเองออกมา และมึงก็เลือกเฟดตัวออกจากไอ้ค่ายมากที่สุด”
“แหม ชีวิตรุ่นน้องนี่รู้ดีจังนะ”
“ก็มึงเป็นน้องกูป่ะวะ”
“จริงๆ ผมไม่ได้อยากให้ใครรู้เรื่องความสัมพันธ์งงๆ ที่เราเป็นอยู่เท่าไหร่ บอกตรงๆ ก็คือผมไม่มีความมั่นใจในตัวไอ้ค่ายเลย” ใครก็รู้จักมันดี เวลานึกถึงแก๊งโหด ทุกคนมักนึกถึงไอ้ค่ายคนแรกเสมอ
ผู้หญิงทุกคนที่เข้าหาได้รับการตอบสนองกลับ
ผมจำไม่ได้แล้วว่ามันมีแฟนมาแล้วกี่คน ช่วงแรกมีเวลานั่งนับดูสนุกๆ แต่หลังจากนั้นก็เหนื่อยเกินกว่าจะทำเพราะเริ่มไร้สาระเต็มทน
ช่วงปีหนึ่งถึงปีสามตอนต้นไอ้ค่ายเสียเงินมากสุดไปกับการซื้อถุงยาง รองลงมาเสื้อผ้าและลิปสติกของผู้หญิง
มันไม่เคยซื้ออะไรให้ตัวเองเท่าไหร่ แต่เจ้าตัวก็มักบอกว่าทุกอย่างเสียไปเพราะได้ผลประโยชน์ชั่วข้ามคืนเป็นการตอบแทน เซ็กซ์คือชีวิตหยำเปที่มันชอบ ขณะที่ผมโคตรเกลียดสิ่งที่มันเป็นแต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากกว่านั้น
แล้วจู่ๆ วันหนึ่งมันก็เดินมาบอกว่าชอบผม มาบอกว่าจะเดินหน้าจีบทั้งที่ผมกำลังตัดใจ สำหรับเพื่อนคนนี้ผมไม่มีความมั่นใจอะไรเลย
ไม่มั่นใจว่าไอ้ค่ายหยุดตัวเองจริงมั้ย และก็ไม่มั่นใจว่าวันหนึ่งผมจะกลับไปร้องไห้อีกหรือเปล่า ไม่มีใครรับประกันได้เพราะงั้นผมจึงไม่กล้าเสี่ยง
“กูเข้าใจ ไอ้ค่ายเหี้ยยังไงทำไมกูจะไม่รู้ แต่ตอนนี้มันก็เปลี่ยนไปมากแล้วเหมือนกัน”
“...”
“เปลี่ยนไปจนกูตกใจ”
“และแล้วก็ถึงช่วงเวลาสำคัญกันแล้วค่า” บทสนทนาถูกตัดไปเมื่อเสียงใสแจ๋วของรุ่นน้องปีสองที่อยู่อีกฟากของสระดังขึ้น เจ้าตัวถือไมค์เอาไว้ในมือ แววตาและสีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
เสียงดนตรีจากลำโพงถูกหรี่เกือบสุด นิสิตฟิล์มทุกคนต่างหันไปให้ความสนใจกับเจ้าของคำพูดนั้น ก่อนเธอจะกรอกเสียงลงไมค์อีกครั้ง
“เราจะมาประกาศรางวัลหนุ่มฮอตและสาวฮอตจากฟิล์มปาร์ตี้พูลในคืนนี้กันค่ะ ทางฟากของสาวๆ ผู้ชนะได้แก่...น้องเมย์สุดสวยจากชั้นปีที่หนึ่งนั่นเอง ปรบมือค่า” บรรยากาศที่แสนครึกครื้นกลับมาอีกครั้ง ผมมองตามรุ่นน้องปีหนึ่งที่โคตรน่ารักวิ่งอ้อมจากอีกฟากของสระเพื่อไปรับสายสะพาย ก่อนการประกาศรางวัลอีกรอบจะเริ่มขึ้น
“ส่วนฟากหนุ่มๆ ก็ไม่น้อยหน้าเพราะคะแนนสูสีกันมาก แต่ขอบอกเลยว่าคนนี้หล่อใสสไตล์น่ารัก ขอแสดงความยินดีกับพี่เติร์ดปีสาม หนึ่งในแก๊งสี่โหดของเอกฟิล์มด้วยนะค้า”
เอ้า! กูเหรอ
“นี่ไง ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับไอ้ค่าย ทุ่มโหวตให้มึงจนชนะอ่ะคิดดู” พี่เชนทร์พยักเพยิดให้ผมลุกขึ้นไปรับรางวัลซึ่งใจจริงก็ไม่อยากได้เท่าไหร่เพราะเป็นแค่สายสะพายทำจากกระดาษแข็ง
“กรี๊ดดดดดดดดดดด”
“เฮ้ย! เกิดอะไรขึ้นวะ” ยังไม่ทันพาตัวเองไปรับรางวัลขวัญใจมหาชน ทุกคนก็พุ่งประเด็นไปอีกด้านหนึ่งทันที
รุ่นพี่ปีสี่กลุ่มใหญ่วิ่งลงบันไดไปยังด้านล่างซึ่งเป็นห้องน้ำ ก่อนปีสามบางส่วนจะกรูตามกันไปราวกับมด ผมมองหน้าผู้ชายร่างหมีบนเบาะผ้าใบก่อนจะพากันวิ่งไปดูสถานการณ์ด้านล่าง
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น แต่นิสัยไทยมุงแม่งติดตัวจนสลัดไม่ออก ต้องเสือกให้บรรลุก่อนไม่งั้นกลัวจะนอนไม่หลับ
บรรยากาศหน้าห้องน้ำเต็มไปด้วยความวุ่นวาย มีปีสูงกำลังเคลียร์ทางให้ปีต้นๆ เดินออกจากบริเวณนั้น พี่เชนทร์แหวกทางให้ผมเข้าไปข้างในก่อนจะพบว่าไอ้ค่ายกับพี่อั้นถูกเพื่อนยื้อตัวห้ามไว้ไม่ให้ก่อเรื่องชกต่อย ตอนนี้สภาพที่เห็นคือไม่มีใครอยู่ในอารมณ์ปกติสักคน
เลือดที่ติดอยู่ตรงมุมปากและหางคิ้วของไอ้ค่าย กับเบ้าตาที่เขียวช้ำของพี่อั้นบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าทั้งคู่มีปัญหากันมาก่อนแน่
“มันเกิดอะไรขึ้นวะ” พี่เชนทร์แทรกตัวไปยืนข้างพี่อั้น ส่วนผมก็มองดูเหตุการณ์อยู่ใกล้ๆ กับไอ้โบน ซึ่งมันก็กำลังรั้งตัวไอ้ค่ายที่กำลังคลั่งเป็นหมาบ้าอยู่
“เชี่ยค่ายดิ ไม่รู้เป็นเหี้ยไร อยู่ๆ ก็มาต่อยกูหน้าตาเฉย”
“มึงสิเป็นเหี้ย กูเห็นนะว่ามึงกำลังทำอะไร”
“แล้วกูทำอะไรไม่ทราบ!”
“มึงพาเด็กปีสองมานัวในส้วมทำไมกูจะไม่รู้”
“เกี่ยวอะไรกับมึง กูจะทำอะไรมันก็เรื่องของกูอย่าเสือกให้มาก”
“ไม่เสือกได้ไงวะ ไอ้เติร์ดมึงดูให้ดีๆ เลย ไอ้พี่อั้นแม่งเหี้ยแค่ไหนมึงมาดู!” และผมก็ถูกดึงเข้าไปฟังเหตุผลของคนเมาสองคน ทั้งที่ไม่รู้เลยว่ากูเกี่ยวอะไรกับเขาด้วย
“แล้วไง มึงจะให้กูดูอะไร” ผมถามอย่างไม่เข้าใจ ไอ้ค่ายเลยสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมของเพื่อน แล้วขยับมายืนประชิดกับผมพลางชี้หน้าด่ารุ่นพี่ปีสี่เสียงแข็ง
“ก็พี่มันแม่งจูบกับผู้หญิงคนอื่นมึงเห็นมั้ย”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับกูวะ”
“ก็มันจีบมึงอยู่ไงไอ้สัด ทำไมถึงได้โง่ขนาดนี้”
“มึงนั่นแหละโง่ เขาไม่ได้จีบกู” เรื่องมันชักไปกันใหญ่แล้ว แถมคำหยาบยังมารัวๆ จนรุ่นน้องที่มุงอยู่ห่างๆ ให้ความสนใจกันอย่างล้นหลาม
“มึงอย่าออกตัวปกป้องมัน โดนหลอกอยู่ยังทำเป็นปากดีอีก”
“มึงสิปากดีมาออกตัวเพื่อกูทำไม”
“ก็กูหึงมึงอ่ะไอ้เหี้ย”
“แล้วมึงมาหึงกูทำส้นตีนไรวะ”
“เอ้ากูชอบมึงก็ต้องหึงมึงดิ ทำไมถามโง่ๆ งี้วะเติร์ด” ฮือฮา...
เกิดเสียงเซ็งแซ่ไปทั่วพื้นที่ ผมยืนตัวแข็ง มองดูไอ้ค่ายที่เอาแต่ดึงทึ้งหัวตัวเองอย่างบ้าคลั่ง แม่งอยู่ในสภาพเมาเละเป็นหมาไม่พอสติยังเลอะเลือนอีกต่างหาก
คำพูดทุกคำ ประโยคทุกประโยคที่พ่นออกมาไม่ได้มีแค่ผมกับมันที่รับรู้ แต่หมายถึงเด็กฟิล์มทุกชั้นปีที่อยู่ในเหตุการณ์นี้ด้วย
“สงบสติอารมณ์ก่อนมั้ยมึง” ผมพูดเสียงเรียบ
“จะให้สงบได้ไง กูจะบ้าตายเพราะมึงอยู่แล้วเนี่ย”
“เดี๋ยวไอ้ค่าย มึงต่อยกูเพราะกูจูบผู้หญิงเนี่ยนะ” คราวนี้เป็นพี่อั้นที่เริ่มออกความเห็นบ้าง เห็นหน้าช้ำเลือดน้ำหนองแล้วก็อดสยองแทนไม่ได้
“เออ!” คนตัวสูงตอบกระแทกกระทั้น
“และเพราะกูจีบไอ้เติร์ดกูเลยจูบผู้หญิงคนอื่นไม่ได้”
“ก็เออไง! จะมาแข่งกับกูทำตัวเองให้ดีก่อนมั้ย”
“ไอ้ควายกูไม่ได้จีบไอ้เติร์ด”
“มึงไปหลอกหมาที่บ้านป่ะ ที่ผ่านมามึงจีบไอ้เติร์ด”
“กูได้บอกตอนไหนว่าจีบ กูเป็นพี่มันจะมาจีบแม่งทำฆวยไร”
“แต่ไอ้พี่เชนทร์บอกมึงจีบ”
ขวับ!!
ทุกสายตาหันไปมองมนุษย์หุ่นหมีที่เป็นตัวต้นเหตุของเรื่องทุกอย่าง หลังจากถูกจับไต๋ได้พี่มันก็ได้แต่ส่งยิ้มแหยมาให้พร้อมกับคำแก้ตัวที่โคตรน่ากระทืบสิ้นดี
“อุ๊ย! รู้แล้วเหรอ ฮ่าๆ”
“ไอ้เชนทร์!!”
“กูไม่ผิดที่จะปกป้องน้องกู ไอ้ค่ายมันไม่ชัดเจนเองนี่หว่า สรุปทุกวันนี้มึงคิดกับไอ้เติร์ดแบบไหนกันแน่วะ” งานโบ้ยขี้นี่ของถนัดรุ่นพี่หุ่นหมีนี่เลย ส่วนไอ้ค่ายที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมก็พ่นลมหายใจที่มีแอลกอฮอล์ออกมา ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงชัดเจน
“เป็นเพื่อน”
ว่าแล้ว สุดท้าย...
“เป็นครอบครัว เป็นว่าที่แฟน เป็นที่ปรึกษา”
“...”
“เป็นทุกอย่างสำหรับกู พอใจยัง” “โอเคพอใจแล้ว เจ๊าๆ กันไปเนาะ”
เจ๊าบ้านพี่มึงสิ...
ปาร์ตี้พูลในคืนนั้นไม่มีอะไรน่าจดจำไปกว่าการชกต่อยของไอ้ค่ายกับพี่อั้นอีกแล้ว และทุกคนก็ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ใครอื่นนอกจากกู...ที่กลายเป็นจำเลยของสังคมแบบงงๆ
พี่เชนทร์ออกมาสารภาพความผิดกับผม ด้วยเหตุผลที่ว่าอยากให้ไอ้ค่ายรู้ใจตัวเองเลยจัดแจงทุกอย่างจนหมด แม้แต่เพื่อนสนิทอย่างพี่อั้นก็ยังไม่รู้ โง่ให้โดนหลอกอยู่นาน แถมไอ้พี่หมีมันยังฉลาดใช้การกระทำหวังดีตามประสาพี่น้องมาเป็นเหตุผลว่าอีกฝ่ายกำลังจีบผมอยู่ ไอ้ค่ายเลยน็อตหลุดก่อปัญหาขึ้นอย่างที่เห็น
ตอนนี้เลยต้องออกมาขอโทษขอโพยกันอย่างเป็นทางการ แต่กว่าจะผ่านมาได้ก็แลกหมัดกันไปหลายแผล พ่วงด้วยคำเอ่ยแซวของเด็กฟิล์มที่พอเห็นผมกับไอ้ค่ายที่ไหนก็มักออกตัวกันเอิกเกริกเสมอ แม้กระทั่งโรงอาหารคณะ...
ผมกับไอ้ค่ายยืนอยู่หน้าร้านข้าว ไม่นานปีสี่กลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามาต่อแถวด้านหลังทันที
“เสือร้ายจะขย้ำเหยื่อละต้องช่วยกันปกป้อง” เสียงหักนิ้วมือดังกรอดๆ แทรกเข้ามาในโสตประสาท สักพักรุ่นพี่ก็พูดต่ออย่างใจเย็น
“อย่าเข้าใกล้โหดน้อยของพวกกูมากนะครับ หวง!”
“ผมยังไม่ทันได้ทำอะไรเลยพี่” เสียงทุ้มต่ำของคนด้านหลังพูดขึ้น เป็นอย่างนี้มาหลายวันแล้วครับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์
พวกปีสี่ที่รู้ข่าวว่าไอ้ค่ายกำลังตามจีบผม เริ่มหันมาแบ่งฝักแบ่งฝ่าย กลุ่มแรกอยู่ทีมหวง ขัดขวางไม่ให้ไอ้ค่ายเข้าใกล้ผมมากเกินไปเพราะจะเป็นภัยต่อความมั่นคงของคณะ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งก็ทีมกากของไอ้ค่าย ส่วนใหญ่เป็นปีสาม
ทุกวันนี้ผมไม่ซีเรียสอะไรหรอกยกเว้นชื่อที่แม่งเรียกกูเนี่ย
ไอ้ค่าย เป็นทีมโหดกาก
ส่วนกูเหรอ ทีมโหดน้อย
ถุย! ขอความสตรองให้กันหน่อยเถอะ จะบ้าตาย
“อยู่ห่างๆ ก็ดี แถวนี้แม่งเถื่อน” ฟังแล้วตลก ความจริงเด็กฟิล์มก็ติงต๊องเหมือนกันนะ สงสัยว่างมากเลยมานั่งเจือกชีวิตคนอื่น
“ได้ข้าวแล้วใช่มั้ย กูถือให้” ไม่รู้เพราะต้องการหลีกหนีรุ่นพี่หรือเปล่า ไอ้ค่ายถึงรีบคว้าจานข้าวของผมไปถือไว้ ส่วนตัวมันก็เลือกไม่สั่งอาหารแล้วเดินกะเผลกตรงไปที่โต๊ะทันที
“ไม่กินข้าวเหรอวะ” สุดท้ายก็อดถามออกไปไม่ได้
“ทีมผู้พิทักษ์มึงเยอะขนาดนั้นใครจะกล้าสั่งวะ ขอกินจานเดียวกับมึงได้มั้ย” เจ้าตัวถามกะลิ้มกะเหลี่ย จนกูล่ะอยากจิ้มตาแตก
“ไปหาแดกร้านอื่นเองสิ”
“โอเคๆ แต่นี่กูถือจานมาให้มึงและคิดว่าจะไปซื้อน้ำให้ด้วย”
“แล้วไง”
“มึงติดหนีกูแล้ว เพราะงั้นพรุ่งนี้พากูไปกินบุฟเฟต์หน่อยดิ”
“ทำดีหวังผลฉิบหาย”
“ไม่ได้หวัง กูตั้งใจเลย”
“ต้องถามพี่เชนทร์กับพี่อั้นก่อนว่าพรุ่งนี้มีงานอะไรอีกมั้ย”
“โอยยยยย มันกล้ามีเหรอ เดี๋ยวกูจะบุกไปต่อยปากมันคาห้องเรียนเลย ทำกูฟุ้งซ่านตั้งนานห่าเอ๊ย” จานข้าวถูกวางไว้บนโต๊ะ ก่อนไอ้ค่ายจะหมุนตัวไปยังร้านน้ำที่อยู่ถัดไปไม่ไกลนัก
ไอ้โบนกับไอ้ทูมองเหตุการณ์ตรงหน้าไปมาพลางจ้วงข้าวเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย ในคืนนั้นไอ้สองตัวนี่แหละที่ขำไม่หยุดหลังจากหามไอ้ค่ายกลับไปทำแผลที่ห้อง ไม่รู้ว่าสรุปตอนนี้อยู่ทีมใครกันแน่ ดูแล้วไว้ใจไม่ได้สักคน
“โดนรุ่นพี่แซวมาอีกอ่ะดิ” ไอ้ทูถาม ผมเลยพยักหน้าเป็นคำตอบ
“ทำใจนะ ปีสี่เอฟซีมึงเยอะด้วย แต่ยังไงกูก็เชียร์ค่ายกากมากกว่าโหดน้อยนะ” รู้ละว่าจะตบบ้องหูใครคนแรก ไอ้โบนนี่เอง สาระแน
ผมแทรกตัวนั่งลงตรงเก้าอี้ตัวยาวตรงข้ามกับมันสองตัว ไม่นานไอ้ค่ายก็ได้เดินกลับมาพร้อมน้ำเปล่าในซอกจักแร้สองขวด และข้าวในมืออีกหนึ่งจาน
จริงสิ ใกล้เที่ยงแล้วสงสัยกระเพาะประท้วงอีกแหงๆ
“น้ำมึง”
“เท่าไหร่”
“ซื้อให้ ไม่ต้องยัดใส่กระเป๋ากูนะ ในนั้นมีแมงป่องยักษ์อยู่” ดูคำขู่มัน
“กลัวจังเลยอ่ะครับ”
“กลัวแมงป่องยักษ์หรือกลัวหนอนค่ายยักษ์มากกว่ากันครับ”
“ไอ้สัด” เรื่องกามนี่งานถนัดมันเลย แต่นี่ไม่ใช่เวลามาเล่นไร้สาระ เนื่องจากประธานเอกอย่างไอ้โมแจ้งข่าวในคลาสตอนเช้า เด็กฟิล์มปีสามหลายคนเลยต้องกระตือรือร้นเริ่มต้นโปรเจ็กต์ที่ใกล้เข้ามาอย่างรีบเร่ง
“เป็นงานเป็นการหน่อย โปรเจ็กต์ไฟนอลของปีสามที่ต้องทำหนังสั้นอ่ะ กูคิดว่าเราน่าจะเริ่มคิดกันได้แล้วนะ เดี๋ยวถึงเวลามันจะไม่ทันเอา ใครมีไอเดียดีๆ มั้ย”
“กูเคยคิดไว้คร่าวๆ ตอนไปถ่ายรูปนอกรอบกับชมรมโฟโต้อ่ะ” ไอ้ทูเสนอขึ้น
“เออว่าไง”
“คอนเส็ปความสัมพันธ์ระหว่างการนั่งรถไฟไปทะเล”
“ฟังดูดีว่ะ คือถ้าให้ไอ้เติร์ดเขียนความสัมพันธ์ของคนเราที่มันแปลกๆ ขึ้นมา แล้วใช้แบ็กกรานด์ของรถไฟกับวิวข้างทางประกอบมันคงดีมากเลยนะ” ผมเพิ่งเห็นไอ้ค่ายดูฉลาดก็วันนี้แหละ
“กูเสนออีกนิด นั่งรถไฟไปทะเลหน้าฝนดิ เหมือนใช้ธีมหลักของเรื่องคือรถไฟกับฝน” ไอ้โบนยกมือเสนอความคิดเห็นบ้าง
“แล้วความสัมพันธ์อ่ะ คู่รักมั้ย”
“เพื่อนเถอะ รู้สึกคำนี้มีมนต์ขลัง”
“นี่พวกมึงพูดเหมือนจะใช้คอนเส็ปนี้เลย”
“หรือมึงคิดอะไรที่เจ๋งกว่านี้ครับเพื่อนเติร์ด เรื่องไซไฟอวกาศอะไรไว้เก็บไว้ทำตอนปีสี่นะ” ฉิบหายนี่รู้ใจกูอีก ผมมีความคิดอยากทำอะไรที่แหวกแนวดู แต่คิดว่าคงต้องยกยอดไปทำโปรเจ็กต์จบของตัวเองปีหน้าแทน
“คือถ้าจะลงมือก็ค่อยๆ คิดตั้งแต่ตอนนี้ แต่เราต้องไปดูโลเคชั่นที่จะใช้ถ่ายด้วย”
“แนะนำตอนปิดเทอมหนึ่งเลย ช่วงมรสุมเนี่ยแหละ” โหยไอ้เวร ชีวิตกูกำลังแขวนอยู่บนอะไรวะเนี่ย
“เอาเป็นว่าลองยึดที่เราคิดไว้คร่าวๆ ก่อน แต่ถ้าใครมีไอเดียจะทำหนังสั้นแนวอะไรก็เสนอมาได้อีก แต่กูชอบคอนเส็ปที่เสนอมานะ”
“เหมือนกัน Friends I Train I Rain แปลกดี” คำพูดของไอ้ทูทำให้เราสี่คนนั่งมองตากันเหมือนเจอจุดลงตัวอะไรบางอย่างที่ไม่ต้องบอกเป็นคำพูด แต่รับรู้ได้ด้วยความรู้สึก
ผมคิดว่าคงไม่มีใครคิดพล็อตอื่นมาโต้งแย้งแล้วล่ะ เพราะสิ่งที่คิดอยู่นี้ดีสำหรับเราแล้ว
“งั้นกูเสนออีกอย่าง ความสัมพันธ์นี่เริ่มต้นรักแบบเพื่อน ตอนจบรักแบบแฟนดีมั้ย” ไอ้ค่ายดูจะตื่นเต้นกับการทำหนังเรื่องนี้มาก แต่ดูจากสีหน้าที่มองมายังผมแล้วกลับรู้สึกขนลุกขึ้นมาฉับพลัน
“ยังไง” เชี่ยโบนถาม
“ก็เอาเรื่องกูกับไอ้เติร์ดไปเขียนดิ ตอนจบได้คบกันแน่นอน”
“สัด” นี่คลังสมองมึงมีปัญหาถูกมั้ย
“แบบ...กูเลิกเจ้าชู้แล้วตั้งแต่รู้ว่าไอ้เติร์ดโหดเหมือนปืนไรงี้”
“ยิงกลับดิมึง”
“ยิงกลับได้กูจัดพรุนไปละ”
“พูดเหี้ยอะไรกันเนี่ย”
“เอ้า! ยังไม่รู้อีกเหรอ”
“...”
“เติร์ด สำหรับมึงกูถือคติได้ก็ดี ฟรีก็เบิ้ล เพราะงั้นอย่ามาน่ารักแถวนี้เดี๋ยวคุมไม่อยู่”
“อู้วววววววววว” เป็นอันจบบทสนทนาหลังจากความกามคุกคามเป็นวงกว้าง
ไอ้ค่ายมันเหมือนคนอื่นซะที่ไหน นอกจากความเจ้าชู้ที่ไม่รู้จะหยุดจริงหรือเปล่า มันยังมีความหื่นติดตัวมาตั้งแต่เป็นวัยรุ่นด้วย ใครจะอยากไปไฝว้กับมันวะ ผมคนหนึ่งที่คงไม่ไหวกับความบ้าเซ็กซ์ของมัน เพราะงั้นก็ไม่ต้องเปิดใจรับมันมากกว่านี้เป็นพอ
กลัวว่าสุดท้าย...คนจะซวยอาจเป็นกู
ผมกลับมาถึงห้องหลังจากพาคุณชายค่ายลากสังขารไปที่คอนโด จัดการผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็มานั่งเล่นคอมเงียบๆ ไม่นานไอ้ทูก็เดินมาเคาะประตูห้อง แล้วถือวิสาสะกระโดดขึ้นเตียง นอนกดมือถือเล่นราวกับเป็นห้องของตัวเองสักพัก กว่าจะได้ฤกษ์งามยามดีเริ่มประเด็นขึ้นมา
“พรุ่งนี้ว่างป่ะ”
“เอ่อ...น่าจะไม่ มีนัดกับพี่เชนทร์ ละครเวทีมันเริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้วไง” จริงๆ พรุ่งนี้ไม่มีนัดหรอก คือผมดันไปตบปากรับคำว่าจะไปกินบุฟเฟ่ต์กับไอ้ค่ายเนี่ยดิ
แต่เพื่อไม่ให้เสียฟอร์มจนเกินไปผมจึงเลือกที่จะไม่พูด
“แล้วนี่ไอ้ค่ายรู้ยัง”
“รู้แล้วมั้ง”
“ได้ข่าวว่าพรุ่งนี้มันนัดมึงด้วยหนิ”
“หึ! กูไม่ไปหรอก”
“จริงดิ บางทีก็สงสารมันนะ มาบอกกูว่าพรุ่งนี้จะพามึงไปกินบุฟเฟ่ต์”
“มันก็ควรรู้ป่ะวะว่ากูยังไม่ยอมรับมันขนาดนั้น”
“อ้าว แล้วที่ผ่านมาคือยังไม่เปิดใจให้มันเหรอ”
“กูตัดใจจากมันแล้ว”
“อ๋อ กูพอเข้าใจ มึงเจ็บกับมันมาเยอะนี่หว่า”
“กูเลยใช้สมองให้มากกว่าหัวใจอย่างที่พี่เชนทร์บอก” อย่างน้อยก็ปกป้องตัวเองในระดับหนึ่ง ไม่ใช่ว่าจะหนีเลย แต่อย่างน้อยก็เป็นเกราะป้องกันในวันที่ทุกอย่างไม่เป็นอย่างหวัง
ประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้ผมรู้ว่าความรู้สึกคนเราเอาแน่เอานอนไม่ได้ ยิ่งพวกโลเลอย่างไอ้ค่ายด้วยแล้วยิ่งเป็นไปได้ยากมาก
“พี่เชนทร์บอกให้มึงใช้สมองมากกว่าหัวใจ”
“อืม”
“แล้วมึงรู้มั้ย ทุกวันนี้พี่มันใช้หัวใจมากกว่าสมองอีกนะ”
“...!”
“ไม่งั้นมันจะอ้อนเมียหนักขนาดนั้นเหรอวะไอ้เติร์ด ไอ้โง่”
เจ็บกว่าโดนหลอก คือตอนที่ถูกเพื่อนด่านี่แหละ
อ่านต่อด้านล่างค่ะ