ทฤษฎีจีบเธอ ∞ THE END
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ทฤษฎีจีบเธอ ∞ THE END  (อ่าน 2134356 ครั้ง)

ออฟไลน์ lemonpreaw

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
ค่ายไม่กากแล้วน้า ฮิ้วววว

ออฟไลน์ Ujeen

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
อร้ายยยยยยย ฟินมากกกกก :-[
อิค่ายมันร้ายยยยยยยยยย

ออฟไลน์ Jittirain12

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 353
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1238/-18

ตอนที่ 14
อาย เลิฟ ยู



   ชีวิตเรามันจะมีสักกี่ครั้งวะที่เหมือนตื่นขึ้นมาจากฝันแต่ความจริงเรายังไม่ตื่น ผมคือหนึ่งในนั้น ตอนนี้ผมกลับถึงห้องตัวเองแล้ว แต่กลิ่นไอของไอ้ค่ายก็ยังติดตรึงไม่หายไปไหน

   ผมจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองยกมือขึ้นมาจับริมฝีปากกี่รอบ ความทรงจำทุกอย่างยังชัดเจนอยู่เลย ที่สำคัญกูแม่งเสือกรู้สึกดีกับการกระทำของมันด้วย เชี่ยเอ๊ย

   แม้จะพยายามสลัดทุกอย่างออกจากหัว ยกข้อเสียที่ผ่านมาของมันขึ้นมาคิดซ้ำๆ หรือย้ำบอกตัวเองว่าให้ตัดใจสักแค่ไหน สุดท้ายผมกลับค้นพบว่าภาพใบหน้าของมันยังคงติดอยู่ในความทรงจำจนฝังลึก ผมโคตรเกลียดตัวเอง เกลียดที่วิ่งหนีแค่ไหนสุดท้ายก็ใจอ่อนอีกจนได้

   ลืมไปซะสนิทว่าเคยเจ็บยังไง ร้องไห้มามากแค่ไหน กว่าจะเข้มแข็งได้เลือดตาก็แทบกระเด็น พาตัวเองออกไปอยู่กับรุ่นพี่ ขอคำปรึกษาจากเขามากมายก่ายกอง แต่พอไอ้ค่ายกลับมาทุกอย่างก็พังครืนไม่เป็นท่า จำได้แม้กระทั่งช่วงเวลาที่มันเดินโชกเลือดมาหาผมถึงคณะ ทำเอาผมอยากจะร้องไห้ออกมาจริงๆ

   ไอ้ค่ายในตอนนั้นไม่เหลือสภาพคนฮอตที่พยายามพร่ำบอกเลย เลือดข้นไหลอาบตั้งแต่หัวลามมาจนถึงใบหน้า ข้อศอกและหัวเข่าถลอกปอกเปิก ฝ่ามือขาวที่มักจับและวุ่นวายกับคนอื่นไปทั่วเต็มไปด้วยสีแดงฉาน ผมมองทุกการกระทำของมันในตอนนั้นที่เอาแต่พร่ำบอกว่าจะมารับกลับห้องด้วยจิตใจกระวนกระวาย

   …แม่งโคตรเจ็บ

   เจ็บจนความรู้สึกที่อยากแข็งใจต่ออีกสักหน่อยอ่อนปวกเปียกไปหมด แล้วหลังจากนั้นมันก็ทำตัวเรียกร้องความสนใจอีกหลายอย่าง ปากบอกว่าชอบ แต่การกระทำเหล่านั้นไม่มีจุดไหนที่แสดงความจริงใจของมันได้เลย จนผมกลัวว่าจะต้องเจ็บอีกถ้าถลำลึกลงไป

   กระทั่งวันนี้ ตอนที่ได้จูบกัน ไอ้ค่ายได้สลัดความกลัวในใจของผมออกไปจนหมด มันมอบความกล้ามาให้ จนตอนนี้ผมเริ่มเปิดโอกาสให้ตัวเองได้ลองเริ่มต้นใหม่กับมันอีกครั้ง แม้ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไงก็ตาม ก็แค่อยาก...ลองเสี่ยงดูสักตั้ง เพราะมั่นใจว่าคงไม่มีอะไรเจ็บไปกว่าที่ผ่านมาแล้วมั้ง

   Rrrr..!

   จิตใจของผมเต้นรัวหนักกว่าเก่าเมื่อหันไปเห็นโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างตัวซึ่งกำลังสั่นครืดจากสายเรียกเข้า และเบอร์ของใครคนนั้นก็คือไอ้ค่าย เลยได้แต่นั่งทำใจว่าจะรีบรับเร็วๆ หรือเล่นตัวอีกสักหน่อยดี

   ฮือออออ เมื่อกี้มึงเพิ่งจูบกูไปเองนะ ตอนนี้ยังจะโทรมาระรานกันอีกเหรอ ปล่อยให้ตัวเองฟุ้งซ่านอยู่นานก็ตัดสินใจรับก่อนที่อีกฝ่ายจะวางสาย

   “วะ...ว่าไงมึง” สัด เสียงสั่นอย่างกับโดนไฟดูด

   [ถึงแล้วเหรอ อาบน้ำยัง]

   “ถึงแล้วแต่ยังไม่ได้อาบน้ำ โทรมามีไร” ขนาดเค้นเสียงเข้มกลับไป ใจยังสั่นไม่หวาดไม่ไหว กูตายแน่ๆ นี่เหรอความรู้สึกของคนกำลังมีความรัก

   [ก็มึงไม่ยอมโทรบอกกูอ่ะ กูก็เป็นห่วงดิ]

   “เออถึงแล้ว วางสายเลยนะ”

   [เดี๋ยวๆ งานอาจารย์เปรมศิณีเสร็จหรือยัง]

   “เสร็จแล้ว”

   [กูยังไม่เสร็จ ขอลอกหน่อย]

   “พรุ่งนี้เอาไปให้ แค่นี้ใช่มั้ย” ปลายสายเงียบไปอึดใจหนึ่ง จนผมคิดว่ามันคงไม่พูดอะไรแล้วเลยตั้งใจตัดบทดื้อๆ แต่แล้วเจ้าตัวก็กรอกเสียงลงมาอีกครั้ง

   [แล้วหิวมั้ย]

   “เพิ่งแดกกับมึงไปไง จะกินอะไรนักหนาล่ะ”

   [มึงง่วงแล้วเหรอ]

   “กูยังไม่ได้อาบน้ำเลยจะนอนได้ไง” ดูเหมือนว่าคนประหม่าที่สุดในสถานการณ์นี้จะไม่ใช่ผมแล้วว่ะ แต่เป็นไอ้ค่ายที่ดูลนลานมากกว่า

   [งั้นมึงไปอาบน้ำก่อนเลย]

   “อืม วางสายแล้วนะ”

   [ไม่วางดิ อาบไปคุยไปได้มั้ย]

   “มึงบ้าเหรอ ทำไมต้องทำอะไรเหมือนเด็กๆ ด้วย” ถึงแม้จะพูดออกไปแบบนั้น แต่ในความรู้สึกกลับพองโตจนแทบระเบิด

   ไม่คิดไม่ฝันว่าเพื่อนที่แอบชอบมาตลอดหลายปีจะมีความรู้สึกดีๆ ตอบกลับมาด้วย เพราะทุกครั้งที่คาดหวัง ผมมักจะคิดว่ามันคือฝันลมๆ แล้งๆ ที่ไม่มีวันเป็นจริง แต่แปลกนะ ที่ถึงแม้จะรู้ว่าเป็นแค่ฝันเราก็ยังมีความหวังว่าวันนึงมันจะเกิดขึ้นจริงเสมอ

   [เติร์ด มึงฟังกูอยู่ป่ะเนี่ย] เสียงทุ้มต่ำปลุกให้ผมสะดุ้ง ก่อนกลับมาจดจ่อกับปลายสายอีกครั้ง

   “มึงว่าไงนะ”

   [ถือสายไว้นั่นแหละ ไม่ต้องวางหรอก มึงอาบน้ำเสร็จค่อยกลับมาคุย]

   “วางสายดีกว่ามั้ย ไม่ได้คุยจะปล่อยให้เปลืองค่าโทรศัพท์เล่นทำไม แม่มึงรวยเหรอ”

   [ก็รวยนะ] เออกูไม่สู้ มันใช่เรื่องนั้นที่ไหนวะแสรดดดดดดดดดดดด

   อยากด่าแต่ก็คงเปลืองน้ำลายเปล่า เลยเลือกเดินเข้าไปในห้องน้ำ วางมือถือไว้ตรงเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า ซึ่งผมก็ยังคงได้ยินเสียงที่เล็ดลอดออกมาไม่ขาดสายว่าให้เปิดลำโพงไม่หยุด

   อีตอนแปรงฟันไม่เท่าไหร่หรอก ไอ้ค่ายมันเงียบ นานๆ ทีจะได้ยินเสียงกุกกักเหมือนกำลังทำอะไรบางอย่างซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นการรื้อตู้แผ่นหนังออกมาปัดฝุ่นซะมากกว่า เพราะนี่คืองานอดิเรกของมัน   

   ทุกอย่างที่เป็นไอ้ค่ายผมรู้หมด แต่มีอย่างหนึ่งที่ไม่เคยรู้เลยก็คือใจที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ของมัน เพราะงั้นการที่จะเริ่มต้นความรักกับคนแบบนี้ ผมก็ควรต้องเสี่ยงไม่ว่าผลจะออกมาในรูปแบบไหนก็ตาม

   [เติร์ดทำอะไร] เงียบได้แป๊บๆ มันมาอีกละ

   “นี่กูต้องรายงานสถานการณ์ให้มึงรู้ตลอดเลยหรือไง”

   [ก็แล้วมึงทำอะไรอ่ะ]

   “จะอาบน้ำ”

   [อู้หูวววววว ใจเต้นแรงเว่อร์ เปิดกล้องให้ดูหน่อยซิ พอดีกูอยากเสียว]

   “ไปตายไป”

   ผมได้ยินเสียงหัวเราะดังเล็ดลอดมาจากอีกฝ่ายไม่ขาดสาย ไอ้เรื่องลามกจกเปรตนี่ต้องยกให้คุณชายขุนพลเป็นคนแรกเลยครับ ทำแต่เรื่องชั่วๆ แถมหาความดีไม่ค่อยได้

   กว่าจะปลีกตัวออกมาจากการโต้เถียงทางโทรศัพท์ก็เล่นเอาเสียเวลาไปเป็นชั่วโมง หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ได้เวลากระโดดขึ้นเตียง ปกติผมจะนั่งเล่นแลปท็อปประมาณครึ่งถึงสองชั่วโมง หรือไม่ก็ดูหนังจนหลับไปเลย แต่วันนี้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกแล้วเมื่อผมไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวเหมือนทุกครั้ง

   “อาบน้ำเสร็จแล้ว จะวางสายได้ยังวะ” ผมถาม ไอ้ค่ายเลยตอบกลับมาเสียงอ่อย

   [จะหลับแล้วจริงดิ กูยังไม่อยากวางเลย]

   “ปัญญาอ่อน ปกติมึงทำอย่างนี้กับผู้หญิงทุกคนป่ะ”

   [ก็ไม่นะ คนอื่นไม่อยากคุย อยากเยอย่างเดียว]

   “สัด”

   [นี่นั่งค้นหนังอยู่ อยากดูกับมึง อย่าวางสายได้มั้ยวะ]

   “แล้วกูจะได้อะไรจากการดูหนังผ่านมือถือของมึง”

   [ก็ได้ใจของกูไงครับ]

   “พอดีไม่อยากได้”

   [เป็นเพื่อนดูหนังก็ได้]

   “กูไม่ได้อยากดูหนังตอนนี้”

   [อุต๊ะ! เปิดแล้วอ่ะทำไงดี] เวรเอ๊ย อย่างนี้จะทำอะไรได้ล่ะ กดตัดสายไปเลยก็ดูใจร้ายเพราะลึกๆ ก็อยากคุยกับมันอยู่ สุดท้ายเลยปล่อยเลยตามเลย เปิดลำโพงคุยกันปล่อยให้เสียงจากหนังเรื่องหนึ่งแทรกเข้ามาเป็นครั้งคราว ผมไม่รู้หรอกว่าไอ้ค่ายกำลังดูเรื่องอะไรอยู่เพราะมันไม่ได้บอก เลยได้แต่นอนฟังไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหลับ

   นานเกือบครึ่งชั่วโมงที่เสียงทุ้มของเพื่อนรักหายไป มีเพียงเสียงเพลงและไดอาล็อกจากหนังเท่านั้นที่ยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่มีสะดุด เปลือกตาของผมใกล้ปิดลง แต่ก็ยังฝืนลืมเอาไว้เพื่อรอฟังคำบอกลาในคืนนี้จากอีกฝ่ายอยู่

   สิบนาทีผ่านไป ผมค่อนข้างมั่นใจว่าแม่งคงหนีหลับไปก่อนแล้วเลยกรอกเสียงติดง่วงงุนลงกับปลายสาย โดยที่ไม่คาดหวังว่ามันจะตอบกลับ

   “ค่าย กูนอนแล้วนะ”

   [จะหลับแล้วเหรอ สรุปดูหนังรู้เรื่องมั้ย]

   “รู้ก็เหี้ยละ” ไม่ได้หลับไปแล้วเหรอวะ...

   [ให้ทาย] ง่วงจะตายห่ายังมาเล่นอีก ผมได้แต่ดึงทึ้งหัวตัวเองด้วยความหงุดหงิด ไม่ยอมตอบอะไรกลับไปนอกจากเงียบเพื่อรอให้ไอ้ค่ายยอมแพ้และตัดบทไปเอง [ถ้าทายถูกมีรางวัลด้วยน้า]

   ได้คืบจะเอาศอก คราวนี้มีข้อเสนอให้อีกต่างหาก กูนี่กลัวเลยครับ กลัวว่ามันจะคิดอะไรแผลงๆ ให้น้ำตานองกันอีก

   “รางวัลคืออะไร”

   [มึงจะได้เพื่อนคู่คิดเพิ่มขึ้นมาหนึ่งอัตรา เป็นที่ปรึกษาให้มึงได้]

   “ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ดีอยู่แล้วหนิ”

   [มึงจะมีแผนกการเงิน ปล่อยเงินกู้ให้มึงใช้ตลอดชีวิตด้วย]

   “เงินกูก็มีมั้ย ทำไมต้องเกาะมึงกินด้วย ประสาท”

   [แต่กูมีโปรโมชั่นนะ ตอบถูกภายในสิบนาทีนี้มึงจะมีครอบครัวที่ใหญ่ขึ้น มีแม่สองคน พ่อสองคน และก็มีพี่สาว] ผมแทบหลุดหัวเราะกับประโยคก่อนหน้าของไอ้ค่าย มันเป็นคนคารมดี แต่ไม่คิดว่าจะเป็นหนักขนาดนี้

   ครอบครัวที่มีสมาชิกเพิ่มเหรอ ผมไม่เคยคิดเรื่องนั้น แต่พ่อแม่ของมันดีกับผมมากจริงๆ

   “งั้นกูตอบแล้วกัน หนังที่ดูชื่อเรื่องว่า Once”

   [มึงแกล้งตอบผิด] ไอ้สัด เสือกรู้กูไปอีก บางทีการเป็นเพื่อนสนิทกันมานานแม่งก็เหี้ยนะครับ เหี้ยตรงที่ต่อให้แกล้งโกหกแค่ไหนมันก็รู้ทันอยู่ดี

   “กูไม่รู้โว้ย”

   [อ่ะเดี๋ยวเพิ่มข้อเสนอให้ เผื่อมึงอยากได้รางวัล] กูไม่ได้อยากได้เลย...แต่ใครจะไปสู้ความหน้าด้านหน้าทนของไอ้ค่ายที่พยายามพรีเซนต์ตัวเองกัน [ถ้าตอบถูกมึงจะได้สารถีขับไปรับไปส่งตลอด]

   “กูไม่ชอบนั่งบิ๊กไบค์”

   [อันนี้ๆ ตอนที่มึงเศร้าหรือท้อกูจะอยู่เคียงข้างมึงเสมอ]

   “…” ฟังดูดี

   [กูจะช่วยมึงทำตามความฝัน ขณะเดียวกันก็สร้างฝันของตัวเองไปด้วย และถึงแม้ที่ผ่านมากูจะทำตัวเหี้ยๆ มาเยอะ กูก็ให้สัญญาว่าจะหยุดทุกอย่างเพื่อมึงนะเว้ย] โอ้โหมาทียาวประมาณสองหน้ากระดาษ แล้วแต่ละประโยคปั้งเข้าที่ใจเต็มแรงทั้งนั้น

   และถึงแม้ว่าประโยคชวนฝันพวกนี้จะทำให้รู้สึกเคลิบเคลิ้มแค่ไหน มันก็เป็นแค่คำพูดอยู่ดี...

   “พูดแล้วทำให้ได้นะ” ผมย้ำเตือนอีกรอบ

   [แน่นอนดิ แล้วพอจะตอบได้หรือยัง ใบ้ให้ก็ได้ว่าเป็นหนังเกี่ยวกับดนตรี มึงเคยดูแล้วสองรอบ นางเอกชื่อเคียร่า ที่ร้องเพลงฮิตอย่าง lost star] โอ้โห มึงใบ้มาขนาดนี้กูตอบไม่ได้เลยครับไอ้เหี้ย

   ไหนๆ ก็ไหนๆ ละ ตอบเลยแล้วกัน

   “Begin Again”

   [ถูกต้องนะคร้าบบบบบ เพราะงั้นเราเริ่มต้นกันใหม่แล้วนะ]

   “…”

   [หลังจากนั้นทุกอย่างที่พูดไปก่อนหน้าจะเป็นของมึงทั้งหมด ตกลงมั้ย]

   “…”

   [ตกลงมั้ย] ไอ้ค่ายถามย้ำอีกรอบ

   “อืม”

   เป็นเพลงประโยคตอบรับสั้นๆ ที่ความรู้สึกเอ่อล้นไปหมด ผมเลื้อยลงเตียง เลื่อนผ้าห่มขึ้นมาคลุมหน้าและลอบยิ้มอยู่ในนั้นจนกว่าจะหลับไป

   ไอ้ค่าย มึงสัญญากับกูแล้วนะ

   ความจำกูดีมาก ฉะนั้นกูไม่มีทางลืมหรอกว่าคืนนี้เราคุยอะไรกันบ้าง สัญญาอะไรไว้ และมีความสุขมากแค่ไหน...   












   วันนี้ที่กองละครเวทีนิเทศฯ ยังคงเต็มไปด้วยความวุ่นวาย หลายคนสาละวนอยู่กับการทำหน้าที่ของตัวเองจนไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่น จะมีก็แต่ผมที่เป็นหนึ่งในทีมเขียนบทซึ่งหมดหน้าที่ลงแล้วเพราะไม่ต้องแก้ไขหรืออธิบายรายละเอียดของฉากอะไรอีก เพราะงั้นเวลาที่ว่างแสนว่างเลยหมดไปกับการนั่งประกบพี่เชนทร์กับพี่อั้นที่กำลังคุมการแสดงอยู่

   “ฟานมึงไปทำอารมณ์มาใหม่ป่ะ ตอนนี้ฝืนเล่นไปก็ไม่ได้” มนุษย์ร่างหมียื่นคำขาด เล่นเอาเด็กปีหนึ่งที่ต้องรับบทหนักด้วยการเป็นพระเอกตั้งแต่เรื่องแรกถึงกับเครียด เดินคอตกไปหาทีมแอคติ้งที่อยู่ไม่ไกลนัก

   “ถ้าไอ้ค่ายมาเล่นแม่งคงดีกว่านี้”

   “พี่อย่าบ่นเลย ไอ้ค่ายเล่นก็ใช่ว่าจะดี น้องมันก็พยายามมากนะ” พูดไปก็ตบบ่าปลอบใจรุ่นพี่ไป แม้ว่างานจะเริ่มในต้นเทอมหน้าก็จริง แต่ระยะเวลาแบบนี้ก็วางใจไม่ได้อยู่ดี

   “เดี๋ยวนี้ไม่เข้าข้างแฟนมึงแล้วเหรอ”

   “ไอ้ค่ายไม่ใช่แฟนผม”

   “เคๆ แต่สรุปก็เปิดใจแล้วใช่มั้ย”

   “นิดหน่อยว่ะพี่ รอดูพฤติกรรมก่อน”

   “เออช่วยรีบดูด้วย ไม่ใช่มาดึงกูเป็นมือที่สามอีก แม่ง...” เสียงสบถที่แทรกเข้ามาเป็นของพี่อั้น แม้ปากจะพูดแต่มือยังคงเลื่อนมือถือด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราดอยู่

   ต้องบอกว่าเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นจากพี่เชนทร์เพียงคนเดียว ด้วยความที่เป็นคนมองขาด แกเลยอยากช่วยให้ผมสมหวังจนลืมไปว่า...นี่เรื่องของกู พี่มึงอ่ะเสือกเลย แถมดึงเพื่อนเข้ามาเอี่ยวโดยที่เขาไม่รู้อีก ผมเลยนึกสงสารพี่อั้นจับใจ เพราะถูกไอ้ค่ายมองในด้านลบไปนานมาก

   “อั้น...เชนทร์ขอโทษน้า”

   “มึงไม่ต้องมาลูบแขนกู ขนลุกสัด” เจ้าของชื่อรีบสะบัดตัวหนี พี่เชนทร์แกเลยหันมายิ้มเยาะกับผม ก่อนจะเริ่มประเด็นใหม่อย่างรวดเร็ว

   “แล้วไอ้ค่ายนี่ยังไง พฤติกรรมดีป่ะ มีปัญหาตรงไหนก็บอกกูได้”

   “มันยังไม่แผลงฤทธิ์นะ”

   “ถ้ามันเปลี่ยนก็ถือเป็นโชคดีของมึง เพื่อนกูที่เจ้าชู้แล้วหยุดก็มีเยอะนะ”

   “กี่คนอ่ะพี่”

   “สี่”

   “จากสิบเหรอวะ”

   “จากห้าสิบ” ฆวย...

   ผมอยากรู้จริงไอ้ความเจ้าชู้นี่มันเลิกยากเย็นขนาดนั้นเลยเหรอวะ โอเคผมอาจจะเกิดมาไม่ได้ผาดโผนและบ้าคลั่งเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เหมือนเพื่อนในกลุ่ม เลยไม่เข้าใจความรู้สึกของคนที่พยายามหยุดและรักใครแค่คนเดียว

   แม่งอยากพอๆ กับเลิกบุหรี่มั้ยวะถามจริง

   “อยากรู้ชีวิตสี่คนที่เหลือของเพื่อนพี่อ่ะ ตอนนี้เป็นยังไงบ้างวะ” ผมคิดว่าสี่คนนี้คงเป็นพี่น้องนิเทศฯ ที่เจอกันอยู่บ่อยๆ เนี่ยแหละ แต่ก็ไม่เคยรู้รายละเอียดเรื่องชาวบ้านเขาเท่าไหร่

   “ก็มีสามคนใช้ชีวิตอยู่กับแฟนแบบหลงจนโงหัวไม่ขึ้นจนเพื่อนสงสัยว่าโดนของ ส่วนอีกคนนึงแฮปปี้สุดกู่”

   “ทำไมวะ ชีวิตคู่ดีมากเลยเหรอ”

   “ใช่ แต่กับแฟนใหม่นะ”

   “…!!”

   “มันจะมีบางคนเว้ยที่บอกว่าตัวเองหยุดและการกระทำหยุดตามไปด้วย แต่มันก็จะมีบางคนที่มโนดิบว่าจะซื่อสัตย์และรักแค่คนคนเดียวแต่สุดท้ายก็ดีแตก กูถึงบอกตลอดไง จะเอาอะไรกับใจคน”

   นั่นสิวะ ขนาดผมที่บอกจะใจแข็งให้นานสุดท้ายก็ต้องยอมให้กับความขี้อ่อยของไอ้ค่าย แล้วมันล่ะ...คนที่เป็นอย่างนั้นมาตั้งแต่เริ่มวัยรุ่น มีความรักกับคนมานับไม่ถ้วน สุดท้ายอยากจะหยุด มันจะทำได้จริงเหรอวะ

   “ตั้งแต่วันที่ได้คุยกับพี่ ผมก็ใช้สมองมากกว่าหัวใจตลอดนะ” ไม่รู้อะไรผลักดันให้พูดออกไปแบบนั้น คงเป็นเพราะผมกำลังพยายามปกปิดความโง่ของตัวเองกับทุกคนอยู่มั้ง

   พี่เชนทร์มันก็เอาแต่มองหน้ายิ้มๆ มีไอ้พี่อั้นพยักหน้าเข้าใจก่อนก้มลงเลื่อนมือถือต่อเหมือนตัดขาดจากโลก พี่เชนทร์มีแฟนที่ดีและความรักที่ดีไปแล้ว ส่วนพี่อั้นยังเป็นพวกลอยไปตามลมอยู่ ทุกคนมีจุดมุ่งหวังเป็นของตัวเอง แต่สำหรับไอ้ค่าย ผมไม่สามารถรู้ได้เลยจนกว่าเจ้าตัวจะพิสูจน์ให้เห็น

   “กลัวอ่ะดิ” พี่มันพูดต่อ

   “กลัวอะไร ผมไม่ได้กลัว”

   “เหรอ แต่สีหน้ามึงบอกกูซะหมดเปลือกเลย”

   “พี่แม่งมั่วสัด”

   “เออ มั่วก็มั่ว แต่ถ้าวันไหนไอ้ค่ายเหี้ยใส่มึงเมื่อไหร่ก็มาขอเป็นเมียน้อยกูได้” เหี้ยฉิบหาย ใครมันจะอยากมีแฟนหุ่นหมีอย่างพี่มึงวะ

   “ผมไม่ได้จะให้ใจใครเร็วๆ นี้ ไม่ต้องกลัวว่าผมจะเสียใจหรอก” พูดย้ำไปอีกครั้งเพื่อสร้างความมั่นใจ ไม่รู้เพื่อใคร แต่คนฟังก็พยักหน้าตอบรับส่งๆ ให้เท่านั้น

   ไม่นานฟานกับพิงค์ก็พร้อมกลับเข้ามาเล่นฉากสำคัญอีกรอบ ซึ่งเป็นการแสดงที่มีแค่เพลงประกอบฉากเบาๆ แต่ต้องแสดงอารมณ์ที่ค่อนข้างลึกเพราะเป็นฉากไคลแม็กซ์ของเรื่อง

   ฉากบอกรักโดยไม่มีประโยคพูดแม้แต่ประโยคเดียว

   ไอ้พี่เชนทร์แม่งเป็นคนเขียนฉากนี้ แม่งโง่หรือโง่วะที่เล่นใหญ่กับงานละครเวที แถมมีนักแสดงมือใหม่มาเจิมงานกันทั้งคู่ พอได้ยินเสียงห้า...สี่...สาม...สอง เราก็นั่งลุ้นกันตัวเกร็ง

   ฉากบอกรักในซอกชั้นหนังสือ โอ้โห กูนึกว่าหมอกปีจากปลาบนฟ้ามาทรีตบทเอง น้ำเน่าฉิบหายแต่ก็จำต้องดูเพราะผู้กำกับเขียนเอง กูเถียงไม่ได้ ที่สำคัญคือเจ้าตัวเล่นบอกว่ามันคือซีนที่คนดูต้องจำไปจนวันตาย

   แม่งคิดว่าจะส่งเข้าชิงออสการ์เหรอ ลืมคิดไปหรือเปล่าว่าถ้าเล่นไม่ถึงมึงก็แป้กได้เหมือนกัน

   “ข้าวโพด....” ทั้งซีนมีประโยคพูดแค่ชื่อของนางเอก ร่างสูงของรุ่นน้องปีหนึ่งเดินเข้ามาประชิดกับนางเอกอย่างพิงค์ สายตาทอดมองร่างบางที่อยู่ตรงหน้า พยายามเค้นคำว่ารักออกมาทางสายตา แต่...

   “คัต! ทั้งคู่เลย มานี่หน่อย” คนที่ทำหน้าที่เป็นผู้กำกับกวักมือเรียกรุ่นน้องไหวๆ ก่อนแกจะเปิดคอร์สบิวด์อารมณ์ระยะสั้นแบบงงๆ

   “พี่ไม่อินว่ะฟาน พิงค์ก็ด้วย เล่นแข็งเป็นฟอสซิลเลย” น้ำเสียงปนเหนื่อยหน่ายบ่นออกมา ทำเอาคนฟังก้มหน้างุด แต่ถึงอย่างนั้นก็มีเสียงเล็ดลอดออกมาจากคนตรงหน้าอยู่ดี

   “ฉากบอกรักโดยไม่พูดเนี่ยแม่งทำยังไงก็ไม่ได้หรอกพี่ คนดูจะเข้าใจได้ยังไงถ้าไม่พูดออกมา”

   “เอ้า แล้วตอนที่มึงร้องไห้โดยไม่ฟูมฟายคนอื่นรู้มั้ยว่ามึงเสียใจ”

   “คะ...ครับ”

   “เหมือนกัน ไม่พูดไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่รู้ เพราะคนบางคนชอบเข้าใจว่าการสื่อสารคือการพูดอย่างเดียวไงเลยโฟกัสแต่การท่องบท ถึงจะเงียบเราก็ยังสื่อสารกันได้ แม้ขยับท่าทางก็เรียกว่าการสื่อสาร กรอกตาไปมาก็สื่อสาร อาร์ยูโอเค๊?” ผู้อาวุโสถามเสียงสูง ไอ้ฟานเลยพยักหน้าหงึกหงักแม้ไม่รู้ว่าตัวเองเข้าใจดีหรือเปล่า

   การแสดงละครเวทีแม่งยากจริง เพราะเราเล่นสด พลาดคือพลาดเลย ต้องแสดง จำบท ถ่ายทอดอารมณ์ ร้อง เต้น ทำแม่งทุกอย่าง แถมยังต้องทำการแสดงอีกหลายรอบในแต่ละปี มันเลยเปลืองพลังงานนักแสดงมากๆ

   นี่ก็ซ้อมกันมาเป็นเดือนแล้ว ใครจะลาตายก็ไม่ได้ จริงจังกว่าสอบเข้ามหา’ลัยอีกนะเนี่ย

   “เดี๋ยวเริ่มใหม่ แล้วจะใช้ซาวน์ประกอบด้วยเผื่อดีขึ้น ไอ้ค่ายมาทำหน้าที่มึงหน่อย ซีน 23 บอกรักในหอสมุด” เจ้าของชื่อที่นั่งแกว่งเฝือกอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลวิ่งกะเผลกมาอย่างรู้งาน โดยมีเพื่อนในฝ่ายซาวน์ยกแล็ปท็อปและลำโพงตามมาไม่ห่าง

   ด้วยเป็นการซ้อมแบบไม่จริงจัง ดังนั้นเราเลยไม่ใช้ห้องโสตในการกระจายเสียง แต่เป็นการควบคุมจากแล็ปท็อปเพียงเครื่องเดียวแทน

   ส่วนใหญ่เห็นไอ้ค่ายบอกใช้ซาวน์สำเร็จรูป จะมีบางเสียงเท่านั้นที่อัดใหม่ ส่วนเพลงก็หามาและตัดใส่ให้เข้ากับบรรยากาศในฉากนั้นๆ และที่พิเศษกว่าเห็นจะเป็นการแต่งเพลงเฉพาะกิจสำหรับละครเวทีด้วย คนแต่งก็เด็กนิเทศฯ เนี่ยแหละ แต่นักร้องคงต้องออดิชั่นกันอีกที

   “พร้อมนะ ห้า สี่ สาม สอง แอคชั่น” เสียงของผู้กำกับดังขึ้น เป็นฉากหวานๆ ที่เล่นรอบหนึ่งล้านแปดแสนแต่ก็ยังไม่ถูกใจ

   ตฤณและข้าวโพดยืนมองหน้ากันในซอกตู้หนังสือ (มโน) มือหนาเอื้อมมือไปจับฝ่ามือขาวอย่างช้าๆ พร้อมกับเพลงรักหวานซึ้งที่กำลังเปิดคลออยู่

   นี่คือฉากบอกรักที่ไม่มีคำว่ารักที่แท้จริง

   ผมมองการแสดงตรงหน้าอย่างลุ้นๆ กระทั่งรู้สึกถึงแรงสะกิดจากใครบางคนจึงหันไปมอง ก่อนจะเห็นว่าไอ้ค่ายกำลังจ้องผมอยู่ก่อนแล้ว

   “อะไร” ผมถามเสียงแผ่ว เบาจนแทบไม่ได้ยิน ซึ่งคนตัวสูงแม่งก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมานอกจากเอื้อมมือมาจับมือผมตามบทเป๊ะๆ

   เล่นเหี้ยอะไรเนี่ย!

   

อ่านต่อด้านล่างค่ะ

ออฟไลน์ Jittirain12

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 353
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1238/-18

   “ดีมาก ต่อเลย...” เสียงพี่เชนทร์แทรกเข้ามา เสี้ยวหนึ่งผมเห็นรุ่นน้องที่กำลังทำการแสดงอยู่เริ่มมีปฏิกิริยาเคลื่อนไหว ตฤณค่อยๆ จับมือข้าวโพดด้วยสองมือของตัวเอง

   ไอ้ค่ายก็เริ่มจับมือของผมด้วยสองมือของมันเช่นกัน

   มือหนาของตฤณเลื่อนขึ้นมาตรงหน้าอก ก่อนจะแนบมือของพวกเขาไว้ตรงหัวใจ

   ส่วนกูกับไอ้ค่ายนั้น...

   เลื่อนต่ำลงไปตรงเป้ากางเกงของมันแล้วใช้ฝ่ามือของผมบดคลึงน้องชายที่กำลังโป่งพองได้ที่ ไอ้เหี้ยยยยยยยยยย

   “ต่ำตมไม่หยุดจริงๆ มึง” ผมจิ๊ปากเสียงดังก่อนจะชักมือกลับราวกับต้องของร้อน ไอ้ควายนี่ถนัดเหลือเกินเรื่องทำอนาจารในที่สาธารณะเนี่ย ที่สำคัญยังมีหน้ามาต่อปากต่อคำกับผมอีกนะ

   “ไม่อินเหรอ ฉากบอกรักที่ไม่มีคำว่ารักไง”

   “ถุย! รักพ่อง”

   “เอ้า ความรักเริ่มต้นที่เตียง หน้าระเบียง และห้องซ้อมละคร”

   “มึงไปไกลๆ ตีนกูป่ะ”

   “ไปไม่ได้กลัวขาดความรักตาย” โรแมนติกจังเล้ย ประสาท

   “สวีตจังเลยอ่ะครับ กูคัตนานแล้วไอ้ฟาย เมื่อไหร่เพลงของมึงจะจบสักที!” เสียงเกรี้ยวกราดของพี่เชนทร์ที่ส่งมาให้คนคุมเสียงขาหักอย่างไอ้ค่ายทำให้เราต้องหันกลับมาสนใจกับสถานการณ์ตรงหน้า ซึ่งแน่นอนนักแสดงเล่นจบไปแล้ว แต่ที่ไม่จบคือเพลงและอารมณ์กูเอง แสรด

   “ขอโทษได้ป่ะล้า”

   “กูไม่ให้อภัย ให้เพื่อนมึงมาคุม ส่วนมึงก็ไปไกลๆ” คนตัวสูงโดนไล่ให้ไปนั่งสงบเสงี่ยมโดยไม่ก่อกวนคนอื่นอีกมุมหนึ่งของห้อง สักพักก็เห็นมันไปป่วนไอ้ทูแถมอาสามาเป็นตากล้องทำเพจแทนฝ่าย PR อีกต่างหาก

   เพราะงั้นผมจึงเห็นร่างสูงที่เอาแต่เดินกะเผลกไปทั่วห้องกำลังถือกล้องเก็บภาพบรรยากาศของการซ้อมละครเวทีอยู่ไม่ห่าง ตอนแรกก็เริ่มที่นักแสดง ผู้กำกับ สวัสดิการ และหลังๆ ก็มาป้วนเปี้ยนอยู่แต่กับกู

   “ไอ้เติร์ดยิ้มหน่อย” กล้องตัวใหญ่แนบอยู่กับดวงตาของคนพูด ส่วนมือก็เตรียมกดชัตเตอร์อยู่ตลอดเวลา แต่มันติดตรงที่ผมไม่อยากให้ความร่วมมือเท่าที่ควร

   “ไปถ่ายคนอื่นไป กูไม่อยากมีหน้าเด่นหราอยู่ในเพจเพราะมึง”

   “ยิ้มหน่อยๆ ท้องฟ้าวันนี้สดใสมากเลย” สดใสพ่อง! อยู่แต่ในห้องซ้อม มีโอกาสเห็นเดือนเห็นตะวันมั้ยก็ไม่ แถมยิ่งว่าเหมือนยิ่งยุ ยิ่งผมไม่ทำตามคำสั่งไอ้ค่ายก็เร่งกดชัตเตอร์รัวๆ จนคิดว่าคงได้ภาพไปแล้วร้อยกว่าช็อต

   “นี่ถ้าไม่ติดว่าขาเป๋อยู่กูจะเตะให้ข้อพับหัก รำคาญ”

   “เกรี้ยวกราดจังวะ”

   “คนเขาทำงานอยู่มึงเห็นมั้ย”

   “ก็เห็นไง กูเองก็ทำงานถ่ายรูปโปรโมตเพจอยู่นี่ไง”

   “เชื่อตายล่ะ นั่นไงข้าวกล่องมาแล้ว ไปกินก่อนเลย อยู่ตรงนี้ก็เกะกะ” ผมปัดมือไล่เจ้าตัวอย่างไม่ใส่ใจ ไอ้ค่ายเลยหรี่ตาใส่แต่ก็ยอมทำตามคำสั่ง เดินกะเผลกไปสมทบกับเพื่อนรักอีกสองคนที่วิ่งหูตั้งเมื่อเห็นของกินมาประเคนถึงที่ ไอ้โบนคว้าไปสองกล่อง เสมือนรักเพื่อนแต่เปล่าเลยเพราะแม่งแดกเบิ้ล

   ไอ้ทูตามไปติดๆ คว้าข้าวกล่องกับน้ำดื่มเสร็จมันก็สาระแนไปนั่งเบียดกับผู้หญิงสวยๆ อย่างมีความสุข เห็นแล้วเลยได้แต่ส่ายหน้าเอือมระอา มองดูผู้กำกับอย่างพี่เชนทร์ซ้อมนักแสดงในฉากจนเสร็จ พี่แกถึงปล่อยพักแล้วแยกย้ายหาอะไรรองท้อง

   ผมเดินกลับมาพร้อมพี่อั้น ส่วนป๋าเชนทร์แกหนีไปหาแฟนที่คณะดังนั้นเราเลยไม่ได้ยินเสียงหมีควายบ่นอยู่ใกล้หูเหมือนที่ผ่านมา

   “ไอ้เติร์ดนี่ของมึง” พี่อั้นหยิบข้าวกล่องให้ ก่อนผมจะยื่นมือไปรับโดยไม่ให้เสียน้ำใจ

   “ขอบคุณครับพี่”

   “ไอ้เติร์ดไม่กินแกงเขียวหวาน พี่ไม่รู้เหรอวะ” แล้วเสียงหนึ่งก็แหวกอากาศเข้ามาขัดจังหวะ ไม่นานไอ้ค่ายก็เดินเข้ามาแทรกกลาง หยิบเอากล่องโฟมในมือของผมออก พลางยัดกล่องโฟมอีกกล่องหนึ่งให้อย่างรวดเร็ว

   “นี่หมูกระเทียมที่มึงชอบ”

   “เออ ขอบใจ”

   “ไปนั่งกันเถอะ อยู่ตรงนี้กูกลัวจะได้เตะคนเพิ่ม” หางตาของเพื่อนรักเหลือบมองรุ่นพี่ปีสี่ ผมหันไปสบตากับพี่อั้นเห็นแกบอกเป็นนัยๆ ว่าให้เลิกแล้วต่อกันผมจึงเปลี่ยนไปเดินตามหลังไอ้ค่ายไปนั่งด้วยกันอีกฟากหนึ่ง

   เชี่ยนี่มันเจ้าคิดเจ้าแค้นครับ รู้อยู่ว่าพี่อั้นโดนหลอกมาเป็นมือที่สาม แต่ไอ้ค่ายก็ยังผูกใจเจ็บไม่ยอมพูดดีกับเขาสักที จะมีก็แต่ผมที่ต้องลำบากเป็นตัวกลางเชื่อมสัมพันธ์ให้คนทั้งคู่อยู่นี่แหละ

   “เดี๋ยวแกะให้”

   “ไม่ต้อง”

   “ก็จะแกะให้อ่ะ” ขวดน้ำที่เพิ่งวางพื้นถูกคว้าไป ไม่นานมันก็ถูกวางไว้ที่เดิมเพราะอีกฝ่ายแกะฝาขวดออกให้แล้ว นี่กูเป็นเพื่อนครับไม่ได้เป็นง่อย รู้สึกพิเศษจนตัวสั่นเลย

   “กินดิวะ มองหน้าหาความหล่อกูเหรอ” พอผมจ้องมันก็กวนตีนใส่ ยั่วให้กูตอบกลับแบบกระแทกกระทั้น

   “เออ!”

   จ้วงข้าวใส่ปากได้ไม่ถึงสองนาที เสียงควายๆ ก็พูดก่อกวนอีก

   “ขนตายาวจัง”

   “คนจะกินข้าว เลิกวอแว”

   “นี่เป็นเพื่อนกันมาสองปีกว่า เพิ่งเห็นความน่ารักของมึงมากขนาดนี้นะเนี่ย”

   “...”

   “อุ๊ยเขินเหรอ อันนี้พูดจริงนะ เขินได้”

   “สัด”

   “คำบอกรักที่ไม่มีคำว่ารัก ง่อวววววว”

   “ประสาท”

   “บอกรักกันอีกแล้ว”

   “ผีเข้าสินะ”

   “เขินเลยสัด พอๆ”

   “นี่มึงเป็นบ้าไปแล้วเหรอ”

   “มีความรักอะไรก็ดูดีไปหมดแหละ ขนาดคำด่าของมึงยังดูเพราะขึ้นมาเลย”

   “เอาที่มึงสบายใจแล้วกัน” เกินเยียวยาละสำหรับไอ้ค่ายในตอนนี้ ผิดกับเมื่อก่อนแทบไม่เหลือเค้าเดิม

   ใครๆ ก็จำไอ้ค่ายสมัยปีหนึ่งหรือปีสองได้ หน้าตาแบดๆ นิสัยเลวๆ จีบหญิงไปทั่ว หม้อได้ทุกคน และก็ฟันฉึบฉับอีกวันกลายเป็นแค่คนแปลกหน้าก็มีถมเถ

   ชื่อเสียงของไอ้ค่ายลือไปทั้งคณะจนลามไปคณะข้างๆ ผมยังมานั่งคิดอยู่บ่อยๆ ว่าการแอบชอบมันมีแต่จะทำให้ตัวเองเจ็บ แล้วดูภาพของมันในวันนี้ดิ ต่างกันราวฟ้ากับเหว กูนึกว่าเด็กสิบขวดหัดมีรักครั้งแรก

   เอาความคูลในอดีตของมึงคืนมา...

   “กินข้าวต่อสิ หรืออยากกินกู”

   “มึงไม่กวนตีนกูสักนาทีได้มั้ยไอ้ค่าย”

   “ก็ชอบอ่ะ อยากกวน” ข้าวในกล่องของมันพร่องลงเกือบหมดแล้ว น้ำในขวดก็เหลือแค่น้อยนิด ผมเหลือบมองมือหนาซึ่งกำลังหยิบกล้อง DSLR ของเพื่อนกลุ่ม PR ขึ้นมาเช็กรูป มันเลื่อนไปขำไปอยู่พักใหญ่ก่อนจะยื่นมาให้ผมดูภาพๆ หนึ่ง

   “น่ารักป่ะ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถาม ขณะตรงจอปรากฏภาพของผมที่กำลังทำหน้าบึ้งใส่อยู่

   “ลบ”

   “คิดว่าสั่งแล้วจะทำตามเหรอ รูปพวกนี้ต้องเก็บไว้โปรโมทเพจนะ เรื่องงานจะลบมั่วๆ ไม่ได้” ว่าแล้วก็ปิดหน้าจอ จากนั้นก็วางกล้องไว้ด้านข้างตัวไม่เปิดโอกาสให้ผมโต้แย้ง

   “เติร์ด” น้ำเสียงที่ใช้เรียกชื่อของผมอ่อนลงมาก ไม่พอ เจ้าตัวยังหันมาสบตากับผมด้วย

   “อือ”

   “พรุ่งนี้หลังเลิกเรียน เราไปดูหนังกันมั้ย”

   “ไม่รู้ดิ ดูก่อน”

   “กูให้โอกาสมึงคิดใหม่ ดูหนังกับกูดีนะ ดูฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย” ว่าแล้วมือหนาก็ตบลงไปที่กระเป๋ากางเกงเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือ โอเคมึงรวยมาก ขนาดบิ๊กไบค์โดนยึดมันยังมีปัญญาขอรถยนต์ที่บ้านมาขับสบายใจเฉิบได้ แม้ตอนนี้คนขับจะเป็นขี้ข้าอย่างกูก็ตาม

   “ดูก่อน”

   “ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก”

   “โว้ยยยยยยย เออ! ไปก็ไป”

   “ฮ่าๆ โอเค เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปดูหนังกันนะ”

   “อยากให้ถึงพรุ่งนี้มาก” ผมเขี่ยข้าวในจานไป พูดเสียงแผ่วไป

   “ดีใจที่จะได้นั่งข้างกูใช่มั้ย”

   “เปล่า หนังของโนแลนเข้าแล้ว กูตื่นเต้น”

   “แล้วกูอ่ะ”

   “มึงสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ”

   “…”

   เดดแอร์เข้าแทรก แต่กูไม่แคร์หรอก ยังคงตั้งหน้าตั้งตาตักข้าวเข้าปากโดยไม่หันไปมองคนข้างๆ ไม่นานไอ้ค่ายก็พูดประโยคหนึ่งออกมา แม้จะเบามากแต่ผมก็ได้ยินชัดเจนทุกคำ

   “กูไม่หึงโนแลนหรอก เพราะสุดท้ายเขาก็ไม่มีทางมานั่งดูหนังข้างๆ มึงได้”

   “...”

   “กูต่างหากที่อยู่ข้างมึง แล้วนั่งดูหนังทุกเรื่องไปด้วยกัน”

   ผมอาจแปลความหมายของประโยคก่อนหน้าไม่ชัดนัก แต่นี่หรือเปล่า...ประโยคบอกรักที่ไม่มีคำว่ารักที่แท้จริง












   วันนี้กองละครเวทีนิเทศฯ เลิกเร็วกว่าที่คิด ต่างคนต่างแยกย้ายกลับห้องตั้งแต่สองทุ่ม ผมแวะกินข้าวและไปส่งไอ้ค่าย กลับถึงห้องอาบน้ำแปรงฟันเสร็จก็สามทุ่มกว่า หลังจากนั้นกิจวัตรเดิมๆ ที่มักทำอยู่ตลอดนั่นคือการกระโดดขึ้นเตียงพร้อมแล็ปท็อป

   แค่เลื่อนดูสถานการณ์ในโซเชียลเรื่อยๆ บางครั้งก็จะหาหนังมาเปิดดูจนกว่าจะหลับไป ดังนั้นครึ่งชั่วโมงแรกจึงหมดไปกับการเล่นเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และอ่านกระทู้ชาวบ้าน ช่วงหลังเบื่อหน่อยก็ลงไปค้นแผ่นหนังที่ซื้อเก็บไว้เป็นคลังเอามาปัดฝุ่นและนอนเปิดดูอย่างมีความสุข

   หนังบางเรื่องก็แปลก ดูครั้งเดียวแล้วไม่คิดจะดูอีกเลย ถามว่าเป็นหนังที่ดีมั้ยต้องบอกว่าดีมาก แต่ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าหนังดีจำเป็นต้องดูหลายรอบ ส่วนบางเรื่องกลับหยิบมาดูได้ทุกครั้งเพราะรู้สึกสนุก แม้ไม่ได้มีคุณค่าทางจิตใจมากเท่า แต่ก็เยียวยาจิตใจในวันเหนื่อยหน่ายได้โคตรๆ เหมือนกัน

   ส่วนใหญ่เวลาดูหนังผมจะไม่เปิดกับแล็ปท็อป แต่เปลี่ยนเป็นการเปิดผ่านเครื่องเล่นและทีวีแทนเพราะจอใหญ่สะใจ ดังนั้นหลังจากนอนดูได้สักพักเปลือกตาก็พร้อมจะปิดเต็มที ถ้าไม่ติดว่าไอ้สารเลวค่ายมันโทรมาป่วนประสาทซะก่อน

   “มีไร” ผมกรอกเสียงเนือยๆ ไปยังปลายสาย

   [หลับแล้วเหรอวะ เปิดเฟซหน่อย มีข่าวอัพเดตจากแฟนเพจละครนิเทศ]

   “สำคัญมั้ย ถ้าสำคัญก็บอกกูตรงนี้เลย แต่ถ้าไม่ขอเป็นพรุ่งนี้เช้า”

   [สำคัญ]

   “งั้นพูดมาเลย ขี้เกียจเปิด”

   [มึงต้องอ่านเองว่ะ มันมีรายละเอียดปลีกย่อยเยอะมาก]

   “งั้นมึงวางสายเลย กูจะดูในมือถือ”

   [มึงก็เอาแมคบุ๊กมาเปิดสิวะ กูมีเรื่องจะถามต่อ ถือสายไว้ห้ามวาง!] อยากถามว่าเป็นพ่อเหรอมาสั่ง แต่ก็กลัวมันย้อนกลับมาแบบเจ็บๆ อีกเลยได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ โน้มตัวไปหยิบแล็ปท็อปที่วางอยู่ตรงโต๊ะเล็กๆ ข้างเตียงขึ้นมาเปิด

   ปกติผมเป็นพวกที่ถ้าใช้คอมตัวเองแล้วจะไม่ชอบล็อกเอาท์เท่าไหร่ ดังนั้นหลังจากเปิดเข้าไปในเฟซบุ๊กเลยเห็นแจ้งเตือนมหาศาลที่แดงหราอยู่ตรงหน้า

   แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ง่วงขนาดนี้ไม่มีเวลามาดูหรอกครับว่าใครแจ้งอะไรไว้บ้าง นอกจากรีบกดเข้าไปหน้าวอลของเพจละครเวทีนิเทศฯ ซึ่งแน่นอนช่วงหลังมานี้ทีม PR ได้มีการประชาสัมพันธ์ทางเพจโบ้มๆ จัดหนัดจัดเต็มจนคนอยากดูละครกันทั้งมหา’ลัย แต่ประเด็นไม่ได้อยู่ตรงนั้น

   “ไม่เห็นมีอะไรเลย มีแต่ข่าวโปรโมท” พูดไปก็รู้สึกหงุดหงิดไป ไอ้ค่ายเลยตอบอย่างเร็วรี่

   [ก็ข่าวโปรโมทล่าสุดนั่นแหละที่อยากให้มึงดู]

   “เออๆ”

   ผมตัดสินใจวางมือถือแล้วเปิดลำโพงแทน จากนั้นจึงเปลี่ยนมาจัดการเลื่อนดูข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุดจากทางแฟนเพจ ซึ่งมีรูปภาพชุดใหญ่มากกว่าสิบรูป โดยใช้แคปชั่นว่า ‘เรามีอะไรจะบอก’ กำกับเอาไว้สั้นๆ

   “แผนการโปรโมทใหม่เหรอวะ”

   [แล้วอ่านยังอ่ะ]

   “ก็กำลังอ่านอยู่นี่ไง”

   ผมเลื่อนกดเข้าไปที่ภาพแรกซึ่งเป็นภาพหนังขาวดำเรื่องหนึ่ง ด้านข้างมีแคปชั่นประกอบและคิดว่ามันคงมีอยู่ทุกรูป คล้ายกับทีมทำเพจพยายามจะสร้างสตอรี่เพื่อดึงดูดความสนใจคนดู เผื่อจะหลงซื้อตั๋วเข้ามาในอนาคต


   ภาพที่หนึ่ง...
   รู้หรือไม่? หนังเรื่องแรกของโลกชื่อเรื่องว่า Arrival of a train at La Ciotat ซึ่งฉายเมื่อปี ค.ศ.1895

   ภาพที่สอง...
   ปี 1906 เกิดหนังยาวเรื่องแรกของโลกชื่อ The story of the Kelly gang

   ภาพที่สาม...
   ปี 1923 เรามีหนังเรื่องแรกที่ฉายในไทยคือเรื่อง นางสาวสุวรรณ

   ภาพที่สี่...
   ปี 1986 ละครเวทีเรื่องแรกของไทยได้ถือกำเนิดขึ้นในชื่อ ไร่แสนสุข

   ภาพที่ห้า...
   ปี 2017 มหา’ลัยของเราก็กำลังมีละครเวทีที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้ใครในชื่อ Likebrary (ไลก์บรารี่)


   ด้วยความที่เรายังไม่ได้ถ่ายโปสเตอร์สำหรับโปรโมท ดังนั้นใบปิดแรกที่ใช้สำหรับงานละครเวทีปีนี้จึงเป็นรูปห้องสมุดที่ถูกวาดขึ้นด้วยลายเส้นเป็นระเบียบของหนึ่งในทีมทำละคร กับฟอนต์เท่ๆ ที่ใส่เข้ามาดึงดูดความสนใจเท่านั้น

   [อ่านถึงไหนแล้ว] ไอ้ค่ายคอยถามสถานการณ์อยู่ไม่ห่าง

   “รูปที่ห้าแล้ว”

   [ตื่นเต้นจัง]

   “มึงเป็นบ้าเหรอ”

   [อ่านต่อเถอะ]

   “มึงก็อย่ากวนกูดิ” คราวนี้ถึงกับเร่งอ่านจะได้จบๆ ไป เพราะตอนนี้กูง่วงฉิบหายเลยครับ

   
   ภาพที่หก...
   ที่บอกว่ายิ่งใหญ่นั้นคือเรื่องจริงไม่ว่าจะเป็นฉาก


   ภาพที่เห็นตรงหน้าเป็นแบ็กดรอปที่ทีมทำเอาไว้ส่วนหนึ่ง ซึ่งบอกเลยว่ายิ่งใหญ่อลังการมาก ในรูปมีไอ้พี่เชนทร์โบกมือให้กับกล้องด้วยเพราะแม่งคุมทุกหน้าที่อย่างจริงจัง


   ภาพที่เจ็ด...
   ออร่าที่แผ่ออกมาของนักแสดง เอมี่ อดัมส์หลบไป ลีโอนาร์โดเหรออย่าสู้เลย นาทีนี้ต้องฟานกับพิงค์เท่านั้น

   ภาพที่แปด...
   ทีมตากล้องและช่างภาพมืออาชีพที่ใช้กล้องราคาแพงจากงบตัวเองล้วนๆ


   แป๊บ! กูขออนุญาตขำหน้าเหี้ยๆ ของไอ้ทูสิบวิ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า


   ภาพที่เก้า...
   ทีมซาวน์โคตรเมพที่ร่วมงานกับฮอลลีวูดมาแล้วมากมาย (โม้)

   ภาพที่สิบ...
   ผู้กำกับมือฉมังที่มีประสบการณ์มานับไม่ถ้วน Interstellar, Gone girl, Avengers, La la land ยอดเยี่ยมใช่มั้ยครับ แต่ผู้กำกับเราไม่เคยมีส่วนร่วมในหนังพวกนี้เลย


   ไอ้ฉิบหาย! พูดทำไม

   คนทำเหมือนเกลียดไอ้พี่เชนทร์ เออ แต่ก็อ่านแล้วขำดี ไม่พอทุกรูปที่มีหน้าของไอ้พวกนี้ปรากฏมักจะถูกแท็กชื่อเฟซบุ๊กเอาไว้ด้วย นั่นเลยเป็นวิธีที่สร้างชื่อเสียงและความอับอายให้คนทำในเวลาเดียวกัน


   ภาพที่สิบเอ็ด...
   เรามีทีมเขียนบทที่เกิดมาเพื่อสร้างสรรค์งานชิ้นยอดเท่านั้น นำทีมโดย เชนทร์ ย้งยี้ และโหดน้อยของวงการ...เติร์ด
   
   ภาพที่สิบสอง...
   ทีมเขียนบททำได้ทุกอย่าง โดยเฉพาะทำให้คนตกหลุมรัก



   ใจผมเต้นตุบตับแทบทะลุออกมา เมื่อภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเป็นใบหน้างอง้ำของผมที่ไอ้ค่ายรัวชัตเตอร์ถ่ายไปเมื่อตอนเย็น แต่ตอนนี้มันกลับมาโผล่อยู่ในแฟนเพจละครเวทีนิเทศฯ แบบงงๆ

   ผมยังคงกดเลื่อนดูภาพต่อไปแม้ความรู้สึกในการดูภาพเหล่านี้จะไม่เหมือนเดิม มือสั่น ใจก็สั่นไปหมด เรียกได้ว่าพูดไม่ออกบอกไม่ถูกเลยก็ได้ ดีที่ภาพหลังจากนั้นไม่มีหน้าของผมเด่นหราอยู่อีกแล้ว แคปชั่นก็ไม่มี เพราะข้อความเหล่านั้นถูกเปลี่ยนไปเป็นรูปภาพที่มีตัวอักษรสีชมพูเข้มบนพื้นแบ็กกรานด์สีขาวแทน
   

   ภาพที่สิบสาม...
   ปี 1995 Circle of Friends เข้าฉาย แต่แผ่นของมันถูกซื้อเพื่อเป็นของขวัญวันเกิดให้คนคนหนึ่งในปี 2015

   ภาพที่สิบสี่...
   ปี 2010 หนังรักชื่อ Flipped เข้าฉายครั้งแรกในโลก และมันคือเรื่องที่คนเขียนบทชอบที่สุด

   ภาพที่สิบห้า...
   ปี 2015 เราเจอกันครั้งแรก มึงกับกูคือสมาชิกแก๊งโหดที่ร่วมกันก่อตั้งอย่างเป็นทางการ

   ภาพที่สิบหก...
   ปี 2017 มึงคือชีวิตของกู

   ภาพที่สิบเจ็ด...
   ปัจจุบัน - ตลอดไป มึงก็ยังเป็นชีวิตของกู


   ภาพสุดท้ายจบลง แต่ผมยังคงจ้องมองหน้าจออยู่อย่างนั้น ข้างใต้มีเครดิตเล็กๆ เขียนเอาไว้ว่า ‘แอดมินขุนพล’ บนโลกนี้คงมีคนชื่อขุนพลมากมาย แต่ขุนพลคนนั้นคงไม่ได้เรียนนิเทศฯ และกำลังทำละครเวทีอยู่แน่ๆ

   ผมเงียบไปอึดใจหนึ่ง รอบข้างก็เงียบไปด้วย ไม่นานเสียงของใครคนหนึ่งก็แทรกจากปลายสายเข้ามา ไอ้ค่ายยังไม่ได้วาง...

   [อ่านจบแล้วใช่มั้ย]

   “อืม” ไม่รู้จะตอบอะไรให้มากกว่านี้อีกมั้ย ความจริงผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองรู้สึกยังไง แต่ลึกๆ ความรู้สึกนี้ก็ออกมาในด้านบวกมากกว่าลบ

   [ก็ไม่มีอะไรหรอกแค่อยากบอก]

   “เอาเพจคณะมาทำเรื่องส่วนตัว พี่เชนทร์เอามึงตายแน่”

   [ขออนุญาตทุกคนแล้ว เขาก็เอาใจช่วยกันหมดนะ] ยังมีหน้ามาทำเสียงสดใส [แล้วมึงอ่ะ]

   “อะไร”

   [เชื่อใจกูมั้ย]

   “ยังไม่แน่ใจ”

   [งั้นเดี๋ยวเล่าไทม์ไลน์หนังชีวิตให้ฟัง หนังเรื่องแรกชื่อครีม เรื่องที่สองและสาม ชื่อลัลลากับเบียร์ เรื่องต่อๆ มาจำไม่ค่อยได้แล้ว แต่ถ้าไม่เรียงตามไทม์ไลน์ก็มีนุ่ม มินนี่ แป้ง แจม]

   “...”

   [นี่หนังรายเดือนนะ ยังมีหนังรายวันอีกหลายเรื่อง ชื่อการ์ตูน ปัน กุ๊กไก่ ฟรัง แอปเปิ้ล โอ้โหเยอะว่ะ]

   “ชั่วชีวิตนี่ทำหนังมาเยอะเนาะ” ผมพูดประชด ขนาดกูยังจำชื่อผู้หญิงแทนมึงได้ไม่หมดเลยสัด

   [แต่กับมึงไม่ใช่แบบนั้นนะ]

   “มึงจะมาเล่นมุกว่ากูเป็นหนังที่เล่นไปตลอดชีวิตว่างั้นเถอะ กูจะบอกอะไรให้นะไอ้ค่าย ไม่มีหนังเรื่องไหนฉายไปตลอดชีวิตหรอก สักวันมันก็ต้องจบอยู่ดี มึงสร้างหนังที่เป็นชื่อของกู เชื่อว่าวันหนึ่งถึงมึงไม่สร้างเรื่องอื่นแต่หนังชื่อกูก็ต้องจบในสักวัน”

   ผมพูดไปยาวเหยียด แต่ไอ้ค่ายกลับตอบมาแค่เพียง...

   [ไม่จบนะ]

   “...”

   [เพราะมึงไม่ใช่หนัง มึงคือความเป็นจริง]

   บึ้ม!

   ทำไมกูยังไม่วาร์ป!!


   


พี่ค่ายต้องทำคะแนนนะคะ
ไปค่ะ ไปสู้เพื่อให้ได้เติร์ดมา ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า


ออฟไลน์ เจ้าหญิงขี้ลืม

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
อ่านจบแล้วร้อง ฮิ้ววววว อกมาไม่รู้ตัวเลย 555
นี่เป็นเติร์ทคงน๊อคไปแล้ว :hao7:

ออฟไลน์ Dealta

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
              บึ้ม!!!! ตอนท้าย "เพราะมึงไม่ใช่หนัง มึงคือความเป็นจริง "  คนอื่นพูด ไม่ซึ้งเท่าอิค่ายพูด บอกเลย (เหรอ)5555
 
                                ก็ยังไม่อยากให้เติร์ดใจอ่อน  ยังอยากเห็นคนใจบาปอย่างอิค่ายจีบเติร์ดต่อ

                                                  แด่พี่ค่ายคนกาก 2017
             
           มุกบอกรักตอนพี่เชนให้แสดง จัญไรมากค่ะอิค่าย 55555 ขนาดไม่ได้เป็นแฟน ยังขนาดนี้

        :haun4: ถ้านุ้งเติร์ดตบรับเป็นแฟนเมื่อไหร่ จะไม่ตายคาอกอิค่ายเหรอค่ะ แด่ให้อีค่ายอีกหนึ่งอัตรา อิค่ายคนหื่น 2017   :hao6:

                         

ออฟไลน์ makuto

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อิค๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยย คารมมากกกกก

ออฟไลน์ Apinnoolek

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
พี่ค่าย คนจริง2107 ฮ่าๆๆ

ออฟไลน์ AeRoMoZa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 429
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
ค่ายมาแรงมาก โอ๊ย ปากหวาน แอบทำซึ้งอีก เติร์ดจะว่ายังไง

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
บอกรักแบบไม่มีคำว้ารักใช่มั้ยค่าย จัดหนักจัดเต็มมากกก เตริ์ดจะใจแข็งยังไงไหว แม้ว่าบางทีมันจะกากไปบ้างแต่นี่แหล่ะตัวตนใช่ป่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ทฤษฎีจีบเธอ ∞ ตอนที่ 14 [16/08/60] *หน้า37
« ตอบ #1089 เมื่อ: 16-08-2017 22:21:31 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ leemmm

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-6
 :hao5:โอ้ยอีค่าย เหม็นฟามรัก :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
จ้ะ

ใช้พื้นที่สาธารณะเพื่อธุระส่วนตัวให้สบายใจเลยจ้ะ

เขินแทนนุ้งเติร์ด และอยากจะถุยใส่ความกากในการบอกรักด้วยเป้าตุง!

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
แอร๊ยยย~~ โว้ยยยยย อิค่ายยยยหมดคำจะกล่าว ไม่ใช่อะไรนะเขินอยู่แต่ก็หมั่นไส้มากกว่า ฮ่าๆๆๆ แหมๆๆแต่ละอย่างที่สรรหามาทำให้เติร์ดนี่เรีนกคะแนนได้จริงๆ เขาถึงว่าคนเจ้าชู้นี่มันมักโรแมนติกเห็นจะจริง เอาๆๆยอมแล้วๆจีบเติร์ดให้ติดเร็วๆนะ จะเอาใจช่วย

ออฟไลน์ boboman

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
โอยยย นังค่ายหวานมาก เขินนน  :-[
ค่ายทำดีค่ะ ชอบบบบ 5555

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5
อยากจะโดดถีบยอดหน้าค่ายก็ตรงหนังที่มันทำมาทั้งหมดนี่แหละเฮ่อ :katai1: :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ K.PanPan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
หัวหน้าคะ อิค่ายมันร้ายมากค่ะ
 :hao7: :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ Miawncha

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เติร์ดใจอ่อนยัง คนอ่านใจอ่อนแล้วเด้อออออ555555

ออฟไลน์ MSeraph

  • This too shall pass
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1751
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-3
ค่ายคะแนนขึ้นมารัวๆๆๆๆ
เร่งทำคะแนนอย่างต่อเนื่องง
เพราะมึงไม่ใช่หนัง มึงคือความจริง
เขินนนสุดดดด เติร์ดก้ม้วนไปเลยย
รอค่าาา อิค่ายสมกับเป็นพระเอกซะที

ออฟไลน์ pui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-3
ค่ายมันร้ายจนิงๆค่ะทำคะแนนใหญ่เลย5555

ออฟไลน์ hoshinokoe

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1042
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
บอกเลยขุนพลคนจริง จิมๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ทฤษฎีจีบเธอ ∞ ตอนที่ 14 [16/08/60] *หน้า37
« ตอบ #1099 เมื่อ: 17-08-2017 07:52:12 »





ออฟไลน์ khwanruen

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-3
ทำขนาดนี้ก็ยอมๆพี่ค่ายเค้าไปเต๊อะนุ้งเติร์ด
ป้ายไฟพี่ค่าย  :mew1:

ออฟไลน์ daisyskies

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
น่อวววว พอความเป็นพระเอกองค์ลงปั๊ปก็ดีเลยอ่ะค่าย55555555
ลุยเลยลูกลุ้ยยยยยยย #เอาเติร์ดมาเป็นเมีย

ออฟไลน์ zabzebra

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1043
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +83/-1
โอโห อิค่าย มีชั้นเชิงขนาดนี้ สารภาพมานะว่าพี่เชนทร์เทรนมากี่เดือนคะ  :katai2-1:
อือหืออ เขินตัวจะแตกแล้วค่ะ  :mew1:

ออฟไลน์ EoBen

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-6
ทำไมมั่นไส้

รู้สึกค่ายนางชักจะลื่นไหลนะหลังๆ


นี่ค้นพบแล้วใช่ ว่าตัวเองไม่เหมาะกับบทคลูๆ

ต้องจังไรแบบนี้ 555555

ออฟไลน์ เมียงู

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ค่ายโคตรป่วน น่ารักดี

ออฟไลน์ Cardiac

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 355
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
 ค่ายทำคะแนนหนักมาก

ออฟไลน์ ก้อนขี้เกียจ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 580
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
ทำไมเติร์ดไม่บีบไข่อิค่ายให้แหลกไปเลย 5555555 อิค่ายคนกากเอ๊ยยยยย :jul3:

ออฟไลน์ แม้วธวัลหทัย

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
ค่ายว้อยยยยยยย
555555555555555 :katai3: :katai2-1: :katai4: :ling1:

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
แดดิ้นเลยทีเดียว ประโยคบอกรักของขุนพลลลลลล :-[

ออฟไลน์ CLShunny

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 260
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
 :กอด1:b ยอมใจพี่ค่ายคนกากเลยิ่ะ วันนี้เค้าไม่กากแล้วเค้ากล้าหาญชาญชัยประกนึ่งเด็ดผักยอดใบให้หนอนกิน555555เขินอ่ะ ชอบด้วยยยย ชอบจริงๆๆๆ มันดีอ่ะะะ เค้าคือชีวิตของค่ายเลยคุณโหดน้อยเอ้ย45555 ทำยังไงจะมีพี่ค่ายเป็นของตัวเองงงแง้ะๆๆๆๆ ไรท์ทำดีจังเลยอบอุ่นหัวใจแบบบกากกๆๆและหื่นๆๆ5555
ปล.งงใจพี่ค่ายเอาฮา โรแมนติก หรือหื่นกามมมว้ะ555

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด