ตอนที่ 14
อาย เลิฟ ยู
ชีวิตเรามันจะมีสักกี่ครั้งวะที่เหมือนตื่นขึ้นมาจากฝันแต่ความจริงเรายังไม่ตื่น ผมคือหนึ่งในนั้น ตอนนี้ผมกลับถึงห้องตัวเองแล้ว แต่กลิ่นไอของไอ้ค่ายก็ยังติดตรึงไม่หายไปไหน
ผมจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองยกมือขึ้นมาจับริมฝีปากกี่รอบ ความทรงจำทุกอย่างยังชัดเจนอยู่เลย ที่สำคัญกูแม่งเสือกรู้สึกดีกับการกระทำของมันด้วย เชี่ยเอ๊ย
แม้จะพยายามสลัดทุกอย่างออกจากหัว ยกข้อเสียที่ผ่านมาของมันขึ้นมาคิดซ้ำๆ หรือย้ำบอกตัวเองว่าให้ตัดใจสักแค่ไหน สุดท้ายผมกลับค้นพบว่าภาพใบหน้าของมันยังคงติดอยู่ในความทรงจำจนฝังลึก ผมโคตรเกลียดตัวเอง เกลียดที่วิ่งหนีแค่ไหนสุดท้ายก็ใจอ่อนอีกจนได้
ลืมไปซะสนิทว่าเคยเจ็บยังไง ร้องไห้มามากแค่ไหน กว่าจะเข้มแข็งได้เลือดตาก็แทบกระเด็น พาตัวเองออกไปอยู่กับรุ่นพี่ ขอคำปรึกษาจากเขามากมายก่ายกอง แต่พอไอ้ค่ายกลับมาทุกอย่างก็พังครืนไม่เป็นท่า จำได้แม้กระทั่งช่วงเวลาที่มันเดินโชกเลือดมาหาผมถึงคณะ ทำเอาผมอยากจะร้องไห้ออกมาจริงๆ
ไอ้ค่ายในตอนนั้นไม่เหลือสภาพคนฮอตที่พยายามพร่ำบอกเลย เลือดข้นไหลอาบตั้งแต่หัวลามมาจนถึงใบหน้า ข้อศอกและหัวเข่าถลอกปอกเปิก ฝ่ามือขาวที่มักจับและวุ่นวายกับคนอื่นไปทั่วเต็มไปด้วยสีแดงฉาน ผมมองทุกการกระทำของมันในตอนนั้นที่เอาแต่พร่ำบอกว่าจะมารับกลับห้องด้วยจิตใจกระวนกระวาย
…แม่งโคตรเจ็บ
เจ็บจนความรู้สึกที่อยากแข็งใจต่ออีกสักหน่อยอ่อนปวกเปียกไปหมด แล้วหลังจากนั้นมันก็ทำตัวเรียกร้องความสนใจอีกหลายอย่าง ปากบอกว่าชอบ แต่การกระทำเหล่านั้นไม่มีจุดไหนที่แสดงความจริงใจของมันได้เลย จนผมกลัวว่าจะต้องเจ็บอีกถ้าถลำลึกลงไป
กระทั่งวันนี้ ตอนที่ได้จูบกัน ไอ้ค่ายได้สลัดความกลัวในใจของผมออกไปจนหมด มันมอบความกล้ามาให้ จนตอนนี้ผมเริ่มเปิดโอกาสให้ตัวเองได้ลองเริ่มต้นใหม่กับมันอีกครั้ง แม้ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไงก็ตาม ก็แค่อยาก...ลองเสี่ยงดูสักตั้ง เพราะมั่นใจว่าคงไม่มีอะไรเจ็บไปกว่าที่ผ่านมาแล้วมั้ง
Rrrr..!
จิตใจของผมเต้นรัวหนักกว่าเก่าเมื่อหันไปเห็นโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างตัวซึ่งกำลังสั่นครืดจากสายเรียกเข้า และเบอร์ของใครคนนั้นก็คือไอ้ค่าย เลยได้แต่นั่งทำใจว่าจะรีบรับเร็วๆ หรือเล่นตัวอีกสักหน่อยดี
ฮือออออ เมื่อกี้มึงเพิ่งจูบกูไปเองนะ ตอนนี้ยังจะโทรมาระรานกันอีกเหรอ ปล่อยให้ตัวเองฟุ้งซ่านอยู่นานก็ตัดสินใจรับก่อนที่อีกฝ่ายจะวางสาย
“วะ...ว่าไงมึง” สัด เสียงสั่นอย่างกับโดนไฟดูด
[ถึงแล้วเหรอ อาบน้ำยัง]
“ถึงแล้วแต่ยังไม่ได้อาบน้ำ โทรมามีไร” ขนาดเค้นเสียงเข้มกลับไป ใจยังสั่นไม่หวาดไม่ไหว กูตายแน่ๆ นี่เหรอความรู้สึกของคนกำลังมีความรัก
[ก็มึงไม่ยอมโทรบอกกูอ่ะ กูก็เป็นห่วงดิ]
“เออถึงแล้ว วางสายเลยนะ”
[เดี๋ยวๆ งานอาจารย์เปรมศิณีเสร็จหรือยัง]
“เสร็จแล้ว”
[กูยังไม่เสร็จ ขอลอกหน่อย]
“พรุ่งนี้เอาไปให้ แค่นี้ใช่มั้ย” ปลายสายเงียบไปอึดใจหนึ่ง จนผมคิดว่ามันคงไม่พูดอะไรแล้วเลยตั้งใจตัดบทดื้อๆ แต่แล้วเจ้าตัวก็กรอกเสียงลงมาอีกครั้ง
[แล้วหิวมั้ย]
“เพิ่งแดกกับมึงไปไง จะกินอะไรนักหนาล่ะ”
[มึงง่วงแล้วเหรอ]
“กูยังไม่ได้อาบน้ำเลยจะนอนได้ไง” ดูเหมือนว่าคนประหม่าที่สุดในสถานการณ์นี้จะไม่ใช่ผมแล้วว่ะ แต่เป็นไอ้ค่ายที่ดูลนลานมากกว่า
[งั้นมึงไปอาบน้ำก่อนเลย]
“อืม วางสายแล้วนะ”
[ไม่วางดิ อาบไปคุยไปได้มั้ย]
“มึงบ้าเหรอ ทำไมต้องทำอะไรเหมือนเด็กๆ ด้วย” ถึงแม้จะพูดออกไปแบบนั้น แต่ในความรู้สึกกลับพองโตจนแทบระเบิด
ไม่คิดไม่ฝันว่าเพื่อนที่แอบชอบมาตลอดหลายปีจะมีความรู้สึกดีๆ ตอบกลับมาด้วย เพราะทุกครั้งที่คาดหวัง ผมมักจะคิดว่ามันคือฝันลมๆ แล้งๆ ที่ไม่มีวันเป็นจริง แต่แปลกนะ ที่ถึงแม้จะรู้ว่าเป็นแค่ฝันเราก็ยังมีความหวังว่าวันนึงมันจะเกิดขึ้นจริงเสมอ
[เติร์ด มึงฟังกูอยู่ป่ะเนี่ย] เสียงทุ้มต่ำปลุกให้ผมสะดุ้ง ก่อนกลับมาจดจ่อกับปลายสายอีกครั้ง
“มึงว่าไงนะ”
[ถือสายไว้นั่นแหละ ไม่ต้องวางหรอก มึงอาบน้ำเสร็จค่อยกลับมาคุย]
“วางสายดีกว่ามั้ย ไม่ได้คุยจะปล่อยให้เปลืองค่าโทรศัพท์เล่นทำไม แม่มึงรวยเหรอ”
[ก็รวยนะ] เออกูไม่สู้ มันใช่เรื่องนั้นที่ไหนวะแสรดดดดดดดดดดดด
อยากด่าแต่ก็คงเปลืองน้ำลายเปล่า เลยเลือกเดินเข้าไปในห้องน้ำ วางมือถือไว้ตรงเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า ซึ่งผมก็ยังคงได้ยินเสียงที่เล็ดลอดออกมาไม่ขาดสายว่าให้เปิดลำโพงไม่หยุด
อีตอนแปรงฟันไม่เท่าไหร่หรอก ไอ้ค่ายมันเงียบ นานๆ ทีจะได้ยินเสียงกุกกักเหมือนกำลังทำอะไรบางอย่างซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นการรื้อตู้แผ่นหนังออกมาปัดฝุ่นซะมากกว่า เพราะนี่คืองานอดิเรกของมัน
ทุกอย่างที่เป็นไอ้ค่ายผมรู้หมด แต่มีอย่างหนึ่งที่ไม่เคยรู้เลยก็คือใจที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ของมัน เพราะงั้นการที่จะเริ่มต้นความรักกับคนแบบนี้ ผมก็ควรต้องเสี่ยงไม่ว่าผลจะออกมาในรูปแบบไหนก็ตาม
[เติร์ดทำอะไร] เงียบได้แป๊บๆ มันมาอีกละ
“นี่กูต้องรายงานสถานการณ์ให้มึงรู้ตลอดเลยหรือไง”
[ก็แล้วมึงทำอะไรอ่ะ]
“จะอาบน้ำ”
[อู้หูวววววว ใจเต้นแรงเว่อร์ เปิดกล้องให้ดูหน่อยซิ พอดีกูอยากเสียว]
“ไปตายไป”
ผมได้ยินเสียงหัวเราะดังเล็ดลอดมาจากอีกฝ่ายไม่ขาดสาย ไอ้เรื่องลามกจกเปรตนี่ต้องยกให้คุณชายขุนพลเป็นคนแรกเลยครับ ทำแต่เรื่องชั่วๆ แถมหาความดีไม่ค่อยได้
กว่าจะปลีกตัวออกมาจากการโต้เถียงทางโทรศัพท์ก็เล่นเอาเสียเวลาไปเป็นชั่วโมง หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ได้เวลากระโดดขึ้นเตียง ปกติผมจะนั่งเล่นแลปท็อปประมาณครึ่งถึงสองชั่วโมง หรือไม่ก็ดูหนังจนหลับไปเลย แต่วันนี้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกแล้วเมื่อผมไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวเหมือนทุกครั้ง
“อาบน้ำเสร็จแล้ว จะวางสายได้ยังวะ” ผมถาม ไอ้ค่ายเลยตอบกลับมาเสียงอ่อย
[จะหลับแล้วจริงดิ กูยังไม่อยากวางเลย]
“ปัญญาอ่อน ปกติมึงทำอย่างนี้กับผู้หญิงทุกคนป่ะ”
[ก็ไม่นะ คนอื่นไม่อยากคุย อยากเยอย่างเดียว]
“สัด”
[นี่นั่งค้นหนังอยู่ อยากดูกับมึง อย่าวางสายได้มั้ยวะ]
“แล้วกูจะได้อะไรจากการดูหนังผ่านมือถือของมึง”
[ก็ได้ใจของกูไงครับ]
“พอดีไม่อยากได้”
[เป็นเพื่อนดูหนังก็ได้]
“กูไม่ได้อยากดูหนังตอนนี้”
[อุต๊ะ! เปิดแล้วอ่ะทำไงดี] เวรเอ๊ย อย่างนี้จะทำอะไรได้ล่ะ กดตัดสายไปเลยก็ดูใจร้ายเพราะลึกๆ ก็อยากคุยกับมันอยู่ สุดท้ายเลยปล่อยเลยตามเลย เปิดลำโพงคุยกันปล่อยให้เสียงจากหนังเรื่องหนึ่งแทรกเข้ามาเป็นครั้งคราว ผมไม่รู้หรอกว่าไอ้ค่ายกำลังดูเรื่องอะไรอยู่เพราะมันไม่ได้บอก เลยได้แต่นอนฟังไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหลับ
นานเกือบครึ่งชั่วโมงที่เสียงทุ้มของเพื่อนรักหายไป มีเพียงเสียงเพลงและไดอาล็อกจากหนังเท่านั้นที่ยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่มีสะดุด เปลือกตาของผมใกล้ปิดลง แต่ก็ยังฝืนลืมเอาไว้เพื่อรอฟังคำบอกลาในคืนนี้จากอีกฝ่ายอยู่
สิบนาทีผ่านไป ผมค่อนข้างมั่นใจว่าแม่งคงหนีหลับไปก่อนแล้วเลยกรอกเสียงติดง่วงงุนลงกับปลายสาย โดยที่ไม่คาดหวังว่ามันจะตอบกลับ
“ค่าย กูนอนแล้วนะ”
[จะหลับแล้วเหรอ สรุปดูหนังรู้เรื่องมั้ย]
“รู้ก็เหี้ยละ” ไม่ได้หลับไปแล้วเหรอวะ...
[ให้ทาย] ง่วงจะตายห่ายังมาเล่นอีก ผมได้แต่ดึงทึ้งหัวตัวเองด้วยความหงุดหงิด ไม่ยอมตอบอะไรกลับไปนอกจากเงียบเพื่อรอให้ไอ้ค่ายยอมแพ้และตัดบทไปเอง [ถ้าทายถูกมีรางวัลด้วยน้า]
ได้คืบจะเอาศอก คราวนี้มีข้อเสนอให้อีกต่างหาก กูนี่กลัวเลยครับ กลัวว่ามันจะคิดอะไรแผลงๆ ให้น้ำตานองกันอีก
“รางวัลคืออะไร”
[มึงจะได้เพื่อนคู่คิดเพิ่มขึ้นมาหนึ่งอัตรา เป็นที่ปรึกษาให้มึงได้]
“ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ดีอยู่แล้วหนิ”
[มึงจะมีแผนกการเงิน ปล่อยเงินกู้ให้มึงใช้ตลอดชีวิตด้วย]
“เงินกูก็มีมั้ย ทำไมต้องเกาะมึงกินด้วย ประสาท”
[แต่กูมีโปรโมชั่นนะ ตอบถูกภายในสิบนาทีนี้มึงจะมีครอบครัวที่ใหญ่ขึ้น มีแม่สองคน พ่อสองคน และก็มีพี่สาว] ผมแทบหลุดหัวเราะกับประโยคก่อนหน้าของไอ้ค่าย มันเป็นคนคารมดี แต่ไม่คิดว่าจะเป็นหนักขนาดนี้
ครอบครัวที่มีสมาชิกเพิ่มเหรอ ผมไม่เคยคิดเรื่องนั้น แต่พ่อแม่ของมันดีกับผมมากจริงๆ
“งั้นกูตอบแล้วกัน หนังที่ดูชื่อเรื่องว่า Once”
[มึงแกล้งตอบผิด] ไอ้สัด เสือกรู้กูไปอีก บางทีการเป็นเพื่อนสนิทกันมานานแม่งก็เหี้ยนะครับ เหี้ยตรงที่ต่อให้แกล้งโกหกแค่ไหนมันก็รู้ทันอยู่ดี
“กูไม่รู้โว้ย”
[อ่ะเดี๋ยวเพิ่มข้อเสนอให้ เผื่อมึงอยากได้รางวัล] กูไม่ได้อยากได้เลย...แต่ใครจะไปสู้ความหน้าด้านหน้าทนของไอ้ค่ายที่พยายามพรีเซนต์ตัวเองกัน [ถ้าตอบถูกมึงจะได้สารถีขับไปรับไปส่งตลอด]
“กูไม่ชอบนั่งบิ๊กไบค์”
[อันนี้ๆ ตอนที่มึงเศร้าหรือท้อกูจะอยู่เคียงข้างมึงเสมอ]
“…” ฟังดูดี
[กูจะช่วยมึงทำตามความฝัน ขณะเดียวกันก็สร้างฝันของตัวเองไปด้วย และถึงแม้ที่ผ่านมากูจะทำตัวเหี้ยๆ มาเยอะ กูก็ให้สัญญาว่าจะหยุดทุกอย่างเพื่อมึงนะเว้ย] โอ้โหมาทียาวประมาณสองหน้ากระดาษ แล้วแต่ละประโยคปั้งเข้าที่ใจเต็มแรงทั้งนั้น
และถึงแม้ว่าประโยคชวนฝันพวกนี้จะทำให้รู้สึกเคลิบเคลิ้มแค่ไหน มันก็เป็นแค่คำพูดอยู่ดี...
“พูดแล้วทำให้ได้นะ” ผมย้ำเตือนอีกรอบ
[แน่นอนดิ แล้วพอจะตอบได้หรือยัง ใบ้ให้ก็ได้ว่าเป็นหนังเกี่ยวกับดนตรี มึงเคยดูแล้วสองรอบ นางเอกชื่อเคียร่า ที่ร้องเพลงฮิตอย่าง lost star] โอ้โห มึงใบ้มาขนาดนี้กูตอบไม่ได้เลยครับไอ้เหี้ย
ไหนๆ ก็ไหนๆ ละ ตอบเลยแล้วกัน
“Begin Again”
[ถูกต้องนะคร้าบบบบบ เพราะงั้นเราเริ่มต้นกันใหม่แล้วนะ]
“…”
[หลังจากนั้นทุกอย่างที่พูดไปก่อนหน้าจะเป็นของมึงทั้งหมด ตกลงมั้ย]
“…”
[ตกลงมั้ย] ไอ้ค่ายถามย้ำอีกรอบ
“อืม”
เป็นเพลงประโยคตอบรับสั้นๆ ที่ความรู้สึกเอ่อล้นไปหมด ผมเลื้อยลงเตียง เลื่อนผ้าห่มขึ้นมาคลุมหน้าและลอบยิ้มอยู่ในนั้นจนกว่าจะหลับไป
ไอ้ค่าย มึงสัญญากับกูแล้วนะ
ความจำกูดีมาก ฉะนั้นกูไม่มีทางลืมหรอกว่าคืนนี้เราคุยอะไรกันบ้าง สัญญาอะไรไว้ และมีความสุขมากแค่ไหน...
วันนี้ที่กองละครเวทีนิเทศฯ ยังคงเต็มไปด้วยความวุ่นวาย หลายคนสาละวนอยู่กับการทำหน้าที่ของตัวเองจนไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่น จะมีก็แต่ผมที่เป็นหนึ่งในทีมเขียนบทซึ่งหมดหน้าที่ลงแล้วเพราะไม่ต้องแก้ไขหรืออธิบายรายละเอียดของฉากอะไรอีก เพราะงั้นเวลาที่ว่างแสนว่างเลยหมดไปกับการนั่งประกบพี่เชนทร์กับพี่อั้นที่กำลังคุมการแสดงอยู่
“ฟานมึงไปทำอารมณ์มาใหม่ป่ะ ตอนนี้ฝืนเล่นไปก็ไม่ได้” มนุษย์ร่างหมียื่นคำขาด เล่นเอาเด็กปีหนึ่งที่ต้องรับบทหนักด้วยการเป็นพระเอกตั้งแต่เรื่องแรกถึงกับเครียด เดินคอตกไปหาทีมแอคติ้งที่อยู่ไม่ไกลนัก
“ถ้าไอ้ค่ายมาเล่นแม่งคงดีกว่านี้”
“พี่อย่าบ่นเลย ไอ้ค่ายเล่นก็ใช่ว่าจะดี น้องมันก็พยายามมากนะ” พูดไปก็ตบบ่าปลอบใจรุ่นพี่ไป แม้ว่างานจะเริ่มในต้นเทอมหน้าก็จริง แต่ระยะเวลาแบบนี้ก็วางใจไม่ได้อยู่ดี
“เดี๋ยวนี้ไม่เข้าข้างแฟนมึงแล้วเหรอ”
“ไอ้ค่ายไม่ใช่แฟนผม”
“เคๆ แต่สรุปก็เปิดใจแล้วใช่มั้ย”
“นิดหน่อยว่ะพี่ รอดูพฤติกรรมก่อน”
“เออช่วยรีบดูด้วย ไม่ใช่มาดึงกูเป็นมือที่สามอีก แม่ง...” เสียงสบถที่แทรกเข้ามาเป็นของพี่อั้น แม้ปากจะพูดแต่มือยังคงเลื่อนมือถือด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราดอยู่
ต้องบอกว่าเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นจากพี่เชนทร์เพียงคนเดียว ด้วยความที่เป็นคนมองขาด แกเลยอยากช่วยให้ผมสมหวังจนลืมไปว่า...นี่เรื่องของกู พี่มึงอ่ะเสือกเลย แถมดึงเพื่อนเข้ามาเอี่ยวโดยที่เขาไม่รู้อีก ผมเลยนึกสงสารพี่อั้นจับใจ เพราะถูกไอ้ค่ายมองในด้านลบไปนานมาก
“อั้น...เชนทร์ขอโทษน้า”
“มึงไม่ต้องมาลูบแขนกู ขนลุกสัด” เจ้าของชื่อรีบสะบัดตัวหนี พี่เชนทร์แกเลยหันมายิ้มเยาะกับผม ก่อนจะเริ่มประเด็นใหม่อย่างรวดเร็ว
“แล้วไอ้ค่ายนี่ยังไง พฤติกรรมดีป่ะ มีปัญหาตรงไหนก็บอกกูได้”
“มันยังไม่แผลงฤทธิ์นะ”
“ถ้ามันเปลี่ยนก็ถือเป็นโชคดีของมึง เพื่อนกูที่เจ้าชู้แล้วหยุดก็มีเยอะนะ”
“กี่คนอ่ะพี่”
“สี่”
“จากสิบเหรอวะ”
“จากห้าสิบ” ฆวย...
ผมอยากรู้จริงไอ้ความเจ้าชู้นี่มันเลิกยากเย็นขนาดนั้นเลยเหรอวะ โอเคผมอาจจะเกิดมาไม่ได้ผาดโผนและบ้าคลั่งเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เหมือนเพื่อนในกลุ่ม เลยไม่เข้าใจความรู้สึกของคนที่พยายามหยุดและรักใครแค่คนเดียว
แม่งอยากพอๆ กับเลิกบุหรี่มั้ยวะถามจริง
“อยากรู้ชีวิตสี่คนที่เหลือของเพื่อนพี่อ่ะ ตอนนี้เป็นยังไงบ้างวะ” ผมคิดว่าสี่คนนี้คงเป็นพี่น้องนิเทศฯ ที่เจอกันอยู่บ่อยๆ เนี่ยแหละ แต่ก็ไม่เคยรู้รายละเอียดเรื่องชาวบ้านเขาเท่าไหร่
“ก็มีสามคนใช้ชีวิตอยู่กับแฟนแบบหลงจนโงหัวไม่ขึ้นจนเพื่อนสงสัยว่าโดนของ ส่วนอีกคนนึงแฮปปี้สุดกู่”
“ทำไมวะ ชีวิตคู่ดีมากเลยเหรอ”
“ใช่ แต่กับแฟนใหม่นะ”
“…!!”
“มันจะมีบางคนเว้ยที่บอกว่าตัวเองหยุดและการกระทำหยุดตามไปด้วย แต่มันก็จะมีบางคนที่มโนดิบว่าจะซื่อสัตย์และรักแค่คนคนเดียวแต่สุดท้ายก็ดีแตก กูถึงบอกตลอดไง จะเอาอะไรกับใจคน”
นั่นสิวะ ขนาดผมที่บอกจะใจแข็งให้นานสุดท้ายก็ต้องยอมให้กับความขี้อ่อยของไอ้ค่าย แล้วมันล่ะ...คนที่เป็นอย่างนั้นมาตั้งแต่เริ่มวัยรุ่น มีความรักกับคนมานับไม่ถ้วน สุดท้ายอยากจะหยุด มันจะทำได้จริงเหรอวะ
“ตั้งแต่วันที่ได้คุยกับพี่ ผมก็ใช้สมองมากกว่าหัวใจตลอดนะ” ไม่รู้อะไรผลักดันให้พูดออกไปแบบนั้น คงเป็นเพราะผมกำลังพยายามปกปิดความโง่ของตัวเองกับทุกคนอยู่มั้ง
พี่เชนทร์มันก็เอาแต่มองหน้ายิ้มๆ มีไอ้พี่อั้นพยักหน้าเข้าใจก่อนก้มลงเลื่อนมือถือต่อเหมือนตัดขาดจากโลก พี่เชนทร์มีแฟนที่ดีและความรักที่ดีไปแล้ว ส่วนพี่อั้นยังเป็นพวกลอยไปตามลมอยู่ ทุกคนมีจุดมุ่งหวังเป็นของตัวเอง แต่สำหรับไอ้ค่าย ผมไม่สามารถรู้ได้เลยจนกว่าเจ้าตัวจะพิสูจน์ให้เห็น
“กลัวอ่ะดิ” พี่มันพูดต่อ
“กลัวอะไร ผมไม่ได้กลัว”
“เหรอ แต่สีหน้ามึงบอกกูซะหมดเปลือกเลย”
“พี่แม่งมั่วสัด”
“เออ มั่วก็มั่ว แต่ถ้าวันไหนไอ้ค่ายเหี้ยใส่มึงเมื่อไหร่ก็มาขอเป็นเมียน้อยกูได้” เหี้ยฉิบหาย ใครมันจะอยากมีแฟนหุ่นหมีอย่างพี่มึงวะ
“ผมไม่ได้จะให้ใจใครเร็วๆ นี้ ไม่ต้องกลัวว่าผมจะเสียใจหรอก” พูดย้ำไปอีกครั้งเพื่อสร้างความมั่นใจ ไม่รู้เพื่อใคร แต่คนฟังก็พยักหน้าตอบรับส่งๆ ให้เท่านั้น
ไม่นานฟานกับพิงค์ก็พร้อมกลับเข้ามาเล่นฉากสำคัญอีกรอบ ซึ่งเป็นการแสดงที่มีแค่เพลงประกอบฉากเบาๆ แต่ต้องแสดงอารมณ์ที่ค่อนข้างลึกเพราะเป็นฉากไคลแม็กซ์ของเรื่อง
ฉากบอกรักโดยไม่มีประโยคพูดแม้แต่ประโยคเดียว
ไอ้พี่เชนทร์แม่งเป็นคนเขียนฉากนี้ แม่งโง่หรือโง่วะที่เล่นใหญ่กับงานละครเวที แถมมีนักแสดงมือใหม่มาเจิมงานกันทั้งคู่ พอได้ยินเสียงห้า...สี่...สาม...สอง เราก็นั่งลุ้นกันตัวเกร็ง
ฉากบอกรักในซอกชั้นหนังสือ โอ้โห กูนึกว่าหมอกปีจากปลาบนฟ้ามาทรีตบทเอง น้ำเน่าฉิบหายแต่ก็จำต้องดูเพราะผู้กำกับเขียนเอง กูเถียงไม่ได้ ที่สำคัญคือเจ้าตัวเล่นบอกว่ามันคือซีนที่คนดูต้องจำไปจนวันตาย
แม่งคิดว่าจะส่งเข้าชิงออสการ์เหรอ ลืมคิดไปหรือเปล่าว่าถ้าเล่นไม่ถึงมึงก็แป้กได้เหมือนกัน
“ข้าวโพด....” ทั้งซีนมีประโยคพูดแค่ชื่อของนางเอก ร่างสูงของรุ่นน้องปีหนึ่งเดินเข้ามาประชิดกับนางเอกอย่างพิงค์ สายตาทอดมองร่างบางที่อยู่ตรงหน้า พยายามเค้นคำว่ารักออกมาทางสายตา แต่...
“คัต! ทั้งคู่เลย มานี่หน่อย” คนที่ทำหน้าที่เป็นผู้กำกับกวักมือเรียกรุ่นน้องไหวๆ ก่อนแกจะเปิดคอร์สบิวด์อารมณ์ระยะสั้นแบบงงๆ
“พี่ไม่อินว่ะฟาน พิงค์ก็ด้วย เล่นแข็งเป็นฟอสซิลเลย” น้ำเสียงปนเหนื่อยหน่ายบ่นออกมา ทำเอาคนฟังก้มหน้างุด แต่ถึงอย่างนั้นก็มีเสียงเล็ดลอดออกมาจากคนตรงหน้าอยู่ดี
“ฉากบอกรักโดยไม่พูดเนี่ยแม่งทำยังไงก็ไม่ได้หรอกพี่ คนดูจะเข้าใจได้ยังไงถ้าไม่พูดออกมา”
“เอ้า แล้วตอนที่มึงร้องไห้โดยไม่ฟูมฟายคนอื่นรู้มั้ยว่ามึงเสียใจ”
“คะ...ครับ”
“เหมือนกัน ไม่พูดไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่รู้ เพราะคนบางคนชอบเข้าใจว่าการสื่อสารคือการพูดอย่างเดียวไงเลยโฟกัสแต่การท่องบท ถึงจะเงียบเราก็ยังสื่อสารกันได้ แม้ขยับท่าทางก็เรียกว่าการสื่อสาร กรอกตาไปมาก็สื่อสาร อาร์ยูโอเค๊?” ผู้อาวุโสถามเสียงสูง ไอ้ฟานเลยพยักหน้าหงึกหงักแม้ไม่รู้ว่าตัวเองเข้าใจดีหรือเปล่า
การแสดงละครเวทีแม่งยากจริง เพราะเราเล่นสด พลาดคือพลาดเลย ต้องแสดง จำบท ถ่ายทอดอารมณ์ ร้อง เต้น ทำแม่งทุกอย่าง แถมยังต้องทำการแสดงอีกหลายรอบในแต่ละปี มันเลยเปลืองพลังงานนักแสดงมากๆ
นี่ก็ซ้อมกันมาเป็นเดือนแล้ว ใครจะลาตายก็ไม่ได้ จริงจังกว่าสอบเข้ามหา’ลัยอีกนะเนี่ย
“เดี๋ยวเริ่มใหม่ แล้วจะใช้ซาวน์ประกอบด้วยเผื่อดีขึ้น ไอ้ค่ายมาทำหน้าที่มึงหน่อย ซีน 23 บอกรักในหอสมุด” เจ้าของชื่อที่นั่งแกว่งเฝือกอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลวิ่งกะเผลกมาอย่างรู้งาน โดยมีเพื่อนในฝ่ายซาวน์ยกแล็ปท็อปและลำโพงตามมาไม่ห่าง
ด้วยเป็นการซ้อมแบบไม่จริงจัง ดังนั้นเราเลยไม่ใช้ห้องโสตในการกระจายเสียง แต่เป็นการควบคุมจากแล็ปท็อปเพียงเครื่องเดียวแทน
ส่วนใหญ่เห็นไอ้ค่ายบอกใช้ซาวน์สำเร็จรูป จะมีบางเสียงเท่านั้นที่อัดใหม่ ส่วนเพลงก็หามาและตัดใส่ให้เข้ากับบรรยากาศในฉากนั้นๆ และที่พิเศษกว่าเห็นจะเป็นการแต่งเพลงเฉพาะกิจสำหรับละครเวทีด้วย คนแต่งก็เด็กนิเทศฯ เนี่ยแหละ แต่นักร้องคงต้องออดิชั่นกันอีกที
“พร้อมนะ ห้า สี่ สาม สอง แอคชั่น” เสียงของผู้กำกับดังขึ้น เป็นฉากหวานๆ ที่เล่นรอบหนึ่งล้านแปดแสนแต่ก็ยังไม่ถูกใจ
ตฤณและข้าวโพดยืนมองหน้ากันในซอกตู้หนังสือ (มโน) มือหนาเอื้อมมือไปจับฝ่ามือขาวอย่างช้าๆ พร้อมกับเพลงรักหวานซึ้งที่กำลังเปิดคลออยู่
นี่คือฉากบอกรักที่ไม่มีคำว่ารักที่แท้จริง
ผมมองการแสดงตรงหน้าอย่างลุ้นๆ กระทั่งรู้สึกถึงแรงสะกิดจากใครบางคนจึงหันไปมอง ก่อนจะเห็นว่าไอ้ค่ายกำลังจ้องผมอยู่ก่อนแล้ว
“อะไร” ผมถามเสียงแผ่ว เบาจนแทบไม่ได้ยิน ซึ่งคนตัวสูงแม่งก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมานอกจากเอื้อมมือมาจับมือผมตามบทเป๊ะๆ
เล่นเหี้ยอะไรเนี่ย!
อ่านต่อด้านล่างค่ะ