ตอนที่ 15
รักที่เธอบอกมา
Khunpol Krichpirom ค่อยๆ รักกันเบาๆ – กับ Third Thachapol ‘แฮร่! ไอ้ค่ายมึงมันร้ายยยยยยยย’
‘อะไรยังไงครับ เบาจริงเหรอ กูว่าน่าจะหนักนะนั่น’
‘ไอ้เหี้ย อย่าทำโหดน้อยกูระบม’
‘กูจะไปเตะปากมึง #ทีมต่อต้านสันดานไพร่ของไอ้ค่าย’
‘ไอ้เติร์ดยังอยู่มั้ย กูกลัวมันจะพังคามือไอ้ค่ายว่ะ’ “พังพ่อง!” ผมสบถกับตัวเองหลังจากเลื่อนอ่านข้อความในมือถือจนจบ นี่แค่ส่วนน้อยของการแสดงความคิดเห็นที่ถึงแม้ไม่ได้เปิดเป็นสาธารณะ แต่พี่น้องนิเทศฯ ก็พากันมาระดมยิงจนแจ้งเตือนเด้งขึ้นมาไม่หยุด
ตั้งแต่เมื่อวานที่ไอ้ค่ายก่อเรื่องในแฟนเพจขึ้น สายตาที่ทุกคนมองผมก็เปลี่ยนไป จากที่เคยแยกเป็นสองทีมในตอนแรก เดี๋ยวนี้ยิ่งหนักหนากว่าเดิมเป็นเท่าตัว ฝั่งหนึ่งเชียร์ไอ้ค่าย ฝั่งหนึ่งปกป้องผม ส่วนอีกฝั่งก็กำลังเสือกอย่างเมามันส์ เรื่องของกูมันกลายเป็นเรื่องที่ทุกคนควรรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ
แม้กระทั่งตอนที่เดินเข้าคลาสในเช้าวันต่อมาก็เช่นกัน ด้วยวันนี้ตัดสินใจทิ้งไอ้ค่ายไว้โรงอาหารกับไอ้โบน ผมกับไอ้ทูเลยต้องเผชิญหน้ากับสายตาอยากรู้อยากเห็นของเพื่อนเอกฟิล์มปีสามก่อนเป็นคนแรก
“โอ้ความรักโอบกอดฉัน บางเวลาเราพบกันเมื่อวันช้ำใจ~”
“เพลงนั้นมันใช้ได้ที่ไหนล่ะ ต้องเพลงนี้ ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย ในความคุ้นเคยกันอยู่มันแฝงอะไรบางอย่างที่มากกว่านั้น~”
“เขารักกันแล้วไอ้ฟาย ต้องเพลงนี้สิ! หยุดหยุดชีวิต หยุดกับคนนี้ แม้ว่าใครจะดีสักแค่ไหน~”
“เติร์ดมึงเลือกเลยว่าชอบเพลงไหน”
“แล้วทำไมกูต้องเลือกด้วยวะ โว้ยยยยยย” ผมแหกปากลั่น เดินก้มหน้าก้มตาขึ้นบันไดสโลปไปยังที่นั่งหลังสุด ท่ามกลางสายตาล้อเลียนของเพื่อนๆ
รอคอยก็แต่อาจารย์ประจำวิชาเข้ามาสอนเนี่ยแหละ แต่ก็เหมือนว่าเราจะมาก่อนเวลาค่อนข้างมาก เลยได้แต่นั่งมองเด็กฟิล์มคนแล้วคนเล่าเปิดประตูทักทายเพื่อนๆ แต่ไม่มีคนไหนไม่พุ่งเป้ามาที่ผม โดยไม่พูดชื่อไอ้ค่ายออกมาเลยสักคน
สารเลวทั้งหลายเอ๊ย!
แอ๊ด~ และเหยื่อรายต่อไปก็ได้ปรากฏตัวต่อหน้าฝูงแร้งของเอกฟิล์ม
ไอ้ค่ายกับไอ้โบนเดินเข้าสู่สมรภูมิรบ ไม่นานเสียงจอแจของเพื่อนแต่ละคนก็ค่อยๆ โหมดังขึ้นทีละนิด ขนาดผมที่ต้านแรงแซวของเพี่อนไม่ไหวต้องรีบเดินมานั่งประจำที่อย่างเร็วที่สุด แต่กับไอ้ค่ายไม่ใช่อย่างนั้นครับ เมื่อมันไปยืนอยู่กลางห้องท่ามกลางเสียงปรบมือชอบอกชอบใจอย่างล้นหลาม
“คนจริงแห่งเอกฟิล์มโว้ย กูไม่รู้จะแซวอะไรเลย ฮ่าๆ” เสียงจากเพื่อนแถวหน้าดังขึ้น ก่อนอีกคนจะแทรกถามขึ้นมาอีก
“ไหนบอกไม่กินเพื่อนไงไอ้ค่าย ไอ้คนไม่รักษาคำพูด”
“ก็ถ้าเพื่อนไม่น่ากินกูจะแดกมั้ยล่ะ” “ฮ่าาาาาา ชอบๆ” พวกเหี้ยทั้งหลาย สุดท้ายกลายเป็นกูที่โดนระดมยิงทางอ้อม
“ขอสัมภาษณ์หน่อยค่า จะคบกันเมื่อไหร่คะ”
“ถามเติร์ดเลย” ญุ๋งหญิงอดีตเพื่อนรัก ตอนนี้เริ่มกลายเป็นเพื่อนแค้นสำหรับผมละ ทำอะไรให้มันมีสาระหน่อยดิ เพราะตอนนี้ไอ้ค่ายได้โบ้ยภาระอันหนักอึ้งมาทิ้งไว้ที่กูเรียบร้อย
“กูไม่รู้! พวกมึงจะอยากรู้ทำไมนักหนา”
“ก็เพื่อนอ่า อยากยินดีกับเพื่อน”
“ไม่ได้อยากให้ใครมายินดี”
“งั้นถามไอ้ค่ายใหม่ อยู่กันมาตั้งนาน มีของน่ากินอยู่ใกล้ตัวทำไมโง่กินช้าขนาดนี้วะ” คำถามใหม่จู่โจมเข้ามาแทบไม่เปิดโอกาสให้ผมได้ท้วงติงจากคำถามเก่า
“เมื่อก่อนผลมันยังไม่สุกกินไม่ได้ มันต้องรอเวลาก่อน”
“ไม่ใช่มึงคัฟเวอร์เป็นควายอยู่เหรอถึงรู้ตัวช้า”
“อย่าว่าไอ้ค่ายเป็นควายสิ มันเป็นกวางต่างหาก”
“ทำไมวะ”
“เขายาวกว่าควายอีก ฮ่าๆ” มุกนี้ผ่าน! กูชอบ เอาไปเลยสิบ สิบ สิบ แม้แต่ไอ้ทูกับไอ้โบนเองยังหัวเราะชอบใจยกไม้ยกมือเห็นด้วยจนน่าหมั่นไส้
“โธ่เพื่อนครับ ถึงทุกคนจะบอกว่าเขากูยาว แต่อย่างอื่นกูก็ยาวด้วยนะ”
“อะไรยาวกูอยากรู้”
“ถามเติร์ด” โหยไอ้เห้ สุดท้ายก็วกกลับมาที่กูอีกจนได้
“ไม่ต้องมาถามกู! ไอ้ค่าย เมื่อไหร่มึงจะกลับมานั่งที่วะ รำคาญ”
“โอเค เมียเรียกกลับแล้วกูก็ต้องทำตามคำสั่งนะเพื่อนๆ ใครมีอะไรถามทิ้งไว้ในอินบ็อกซ์เลยเดี๋ยวกูไปตอบ”
“จัดไปเพื่อนค่าย กิ้วๆ”
พวกเวร...
เอกฟิล์มก็เป็นอย่างนี้แหละครับ ชีวิตหรรษาในแต่ละวันล้วนเป็นเรื่องของคนอื่น ส่วนใหญ่ถ้าคนในเอกมีความรักก็มักเกิดกระแสและเสียงแซวจากเพื่อนทุกคนแบบนี้เป็นประจำ
อย่างว่า เราอยู่กันเป็นครอบครัว เป็นเพื่อน เป็นพี่น้อง เวลาใครมีความสุขก็อยากมีส่วนร่วมในความสุขนั้นด้วย พอถึงคราวทุกข์มันก็เฮกันมานั่งปลอบให้หายกังวล แต่บางทีเพื่อนมันก็ลืมคิดไปนะครับว่าเรื่องบางเรื่องกูขอเก็บเอาไว้เป็นการส่วนตัวดีกว่า ไม่งั้นมันจะเป็นเหมือนวันนี้
ห้านาทีให้หลังอาจารย์เข้ามาในห้องเรียน แกเก่งมากที่จับอาการของนิสิตได้ดังนั้นหัวข้อสนทนาเลยเป็นการแซวผมกับไอ้ค่ายอีกหลายระรอก ฟังแล้วแทบอยากมุดหน้าลงซอกขาหนีบไอ้ทูให้มันรู้แล้วรู้รอดไป กว่าจะเลิกคลาสก็เล่นเอาผมแทบละลายติดเก้าอี้ ส่วนไอ้ค่ายเหรอ ยิ้มแย้มมีความสุขอยู่คนเดียว
ช่วงดึกผมกับมันมีนัดดูหนังด้วยกัน เพราะงั้นตอนเย็นเลยซัดโฮกข้าวแถวห้างและซื้อตั๋วรอบสุดท้ายของวันเพราะชอบบรรยากาศที่ไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่ ผมเป็นคนดูหนังแล้วต้องการสมาธิค่อนข้างมาก เผื่อจับไปวิเคราะห์และใช้ในการเรียนรวมถึงการทำงานในอนาคต
แต่ก่อนเข้าโรงหนัง เพื่อนรักกลับถามคำถามที่ทำเอาผมขมวดคิ้วมุ่น
“น้ำกับป๊อปคอร์นมั้ย”
“มึงก็รู้ว่ากูไม่ชอบกินอะไรตอนดูหนัง ถ้ามึงอยากกินก็ซื้อไป” สงสัยจะติดมาจากผู้หญิงทุกคนที่มันชอบควง เวลาดูหนังทีไรก็มักเซอร์วิสเขาด้วยของกินแบบนี้ตลอด
จะว่าไป ภาพๆ นั้นยังติดตาของผมอยู่เลย โรงหนังในวันนั้นและน้ำตาของผม...
“คิดมากอะไร กูไม่ได้จะซื้อ แค่ถามเผื่อมึงหิวไง” สุดท้ายมือหนาก็ขยี้หัวผมไปมาจนยุ่งเหยิงเป็นการเปลี่ยนเรื่องและพากันเดินเข้ามาด้านในทันที
“เรานั่งแถว E เขาบอกว่าที่นั่ง E13 เอาไว้ให้เจ้าที่นั่ง”
“ประสาทเหรอ เขากันไว้ฉุกเฉินเผื่อน้ำแอร์ตกหรือเบาะนั่งไม่ได้เว้ย” กะจะบิวด์กูรอชาติหน้าเถอะ ผมไม่ใช่พวกกลัวผีจนหัวหดขนาดนั้น หนังสยองขวัญก็ดูมาไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่อง
“แย่จัง มึงไม่อิน”
“ไปหัดมาใหม่นะ”
ผมทิ้งตัวลงนั่งเบาะด้านใน ส่วนไอ้ค่ายก็เดินกะเผลกมาทิ้งตัวนั่งข้างๆ เดี๋ยวนี้แม่งแอดวานซ์แล้วนะครับ ไม่ต้องมีไม้ค้ำยันก็เดินปร๋อ แผลหายช้าก็เพราะพฤติกรรมแผลงๆ ของแม่งนี่แหละ
“เอาพนักขึ้นทำไม” ผมถามเสียงขุ่นเมื่อเห็นมือหนาดึงพนักวางแขนที่กั้นเราเอาไว้ขึ้น
“มันไม่มีแก้วน้ำให้วางก็ต้องเอาขึ้นดิ อึดอัด”
“งั้นมึงย้ายไปนั่งไกลๆ เลยก็ได้ สามสี่เบาะติดไม่มีคนนั่งหรอก” อย่างที่บอก รอบดึกสุดไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่
“ไม่เอา กูชอบนั่งกลางจอเหมือนตอนนี้”
“ข้างหน้าเลยครับ”
“ชู่ววววว เดี๋ยวหนังฉายแล้วเงียบหน่อย” ความกะล่อนปลิ้นปล้อนไม่เคยมีใครทุบสถิติไอ้ค่ายได้สักคน ดีที่วันนี้มาดูหนังสงคราม อีกฝ่ายจะได้ไม่หาเรื่องมายุ่งกับผมอีก
พอหนังเริ่มฉาย สิบนาทีผ่านไปมือเริ่มเลื้อย
ผมหันไปจ้องหน้ามันเป็นชิงปราม แต่ไอ้ค่ายก็ทำหน้าเหมือนคนไม่เข้าใจผสานฝ่ามือของผมแน่นหนากว่าเดิม จนซอกนิ้วกูเปียกไปหมดแล้วสัด
“กูจะดูหนัง”
“ก็ดูไปดิ ใครปิดตาไว้”
“มันไม่มีสมาธิ”
“หวั่นไหวก็บอก กูเข้าใจ...” ผมเลือกเงียบ ไม่หันไปมองหน้าอีกฝ่ายแม้แต่เสี้ยว เพราะกลัวว่าจะโดนหยอดจนเสียค่าตั๋วมาดูหนังที่เก็บอะไรไม่ได้นอกจากคำพูดบ้าๆ บอๆ ของไอ้ค่าย
“น่ารักเนอะ ทำไมโง่มาตั้งนาน”
“หนังสงครามน่ารักตรงไหน”
“ไม่ได้หมายถึงหนัง แต่เป็นมึง”
“เงียบ”
“ไม่อินเหรอ”
“เออ”
“โนแลนดีกว่ากูตรงไหน”
“ทุกตรง”
“แต่โนแลนจับมือมึงเหมือนกูไม่ได้ หึๆ” ยอมรับสภาพแต่โดยดี ด้วยไม่อยากเถียงให้เหนื่อยเลยทำให้ผมจำต้องนั่งจับมือกับไอ้ค่ายจนหนังจบ กระทั่งเอนเครดิตขึ้น ร่างสูงถึงได้ยอมปล่อยมือผมให้เป็นอิสระ แล้วต่างคนต่างหันไปจดจ่อกับจอหนังขนาดใหญ่แทน
“คงจะดีถ้ามีชื่อมึงกับกูอยู่บนนั้น” คราวนี้น้ำเสียงที่เปล่งออกมาไม่ได้เป็นเชิงล้อเล่นเหมือนอย่างเคย
“ไว้รอเรียนจบมึงก็มีโอกาสได้เดินตามฝันแล้ว”
“ในนั้นต้องมีมึงด้วยนะ”
“ใครจะไปรู้ กูอาจเบนสายไปทำอย่างอื่น”
“ทั้งที่หนังคือทั้งชีวิตของมึงอ่ะนะ” รู้กูดีจัง ใช่! ตั้งแต่ครั้งแรกที่ก้าวเข้ามาเรียนนิเทศฯ จนปีสามที่มีโอกาสได้เลือกสายเฉพาะ ผมก็คิดเสมอว่าตัวเองเลือกไม่ผิดที่เรียนภาพยนตร์ ขณะที่ไอ้ค่ายยังดูงงๆ กับชีวิต แต่สุดท้ายก็ชัดเจนกับตัวเองเหมือนกัน
“ก็โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอนไง”
“แต่มึงที่อยู่กับกูต้องแน่นอนอยู่แล้ว”
“มั่วฉิบหาย”
“เอ้า! ขนาดกูขาหักเดินลำบากมึงยังช่วยกูไม่ไปไหนเลย”
“กูจำใจสัด แม่มึงเล่นโทรมาขอร้องกูเช้าเย็นขนาดนั้น ไม่ช่วยก็รู้สึกเกรงใจยังไงอยู่”
“ไม่เห็นต้องเกรงใจเลย คิดซะว่าเป็นครอบครัวของมึง” รู้สึกอบอุ่นจังเล้ย เอาเข้าจริงผมกับไอ้ค่ายก็เป็นเพื่อนกันมานานพอสมควร ไอ้สองโหดที่เหลือก็สนิทกับครอบครัวไอ้ค่ายเป็นอย่างดี ไม่เห็นว่าตัวเองจะพิเศษกว่าคนอื่นตรงไหนเลย
“รู้แล้วๆ กลับได้ยัง เอนด์เครดิตจบแล้วเนี่ย”
“กลับตอนมึงตกลงเป็นแฟนกูอ่ะ”
“คงได้นอนที่นี่ยันแก่เลยมั้ง กูกลับก่อนแล้วกัน” ว่าแล้วก็รีบลุกขึ้นเต็มความสูง เดินนำไปยังทางออกของโรงหนังโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
ดึกแล้วครับ กูกลัว...
“เมื่อไหร่จะใจอ่อนคบกับกูอ่ะ” เสียงของไอ้ค่ายยังดังตามหลังไม่ห่าง
“เวลาจะพิสูจน์มึงเอง”
นี่แหละคำตอบที่ผมให้ได้ในตอนนี้ ไม่ใช่เพราะอยากจะเล่นตัว แต่ผมยังไม่เห็นความจริงใจที่มันมีต่อผมเลยสักนิด ถ้าไม่นับที่เดินเป็นผีเลือดสาดมารับที่คณะ ไอ้ค่ายก็แค่ผู้ชายเจ้าชู้คนหนึ่งที่ปากบอกว่าจะหยุด แต่การกระทำยังไม่เห็นเป็นรูปธรรมเลย
ผมเคยบอกว่าจะลองเสี่ยงดู แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะหน้ามืดตามัวกระโจนลงไปในเหวทั้งที่ไม่รู้ว่าตรงนั้นมีน้ำอยู่หรือเปล่าหรอก บางทีก่อนตกอาจค้นพบว่าตรงพื้นเป็นแค่ดินแข็งๆ ไม่ตกลงมาเจ็บ ก็คงตายอยู่ตรงนั้น...
วันมรณะของกองละครนิเทศฯ มาถึง งานหนักไม่ได้อยู่ที่ผมซึ่งเป็นคนเขียนบท แต่ไปอยู่ที่คอสตูม ทีมช่างภาพ และฝ่ายโสต
พี่เชนทร์กับพี่อั้นนัดคนที่เกี่ยวข้องให้แหกขี้ตาขึ้นมารวมตัวที่คณะตั้งแต่เช้า แม้จะเป็นวันเสาร์เราก็จำใจต้องตื่น อย่างที่บอกไปคร่าวๆ แม้ผมจะไม่มีหน้าที่แต่ก็ต้องติดสอยห้อยตามแก๊งโหดทั้งสามออกมาอยู่ดี
ไอ้ทูเป็นตากล้องมือหนึ่งที่รับหน้าที่ถ่ายโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ละครเวที ส่วนไอ้ค่ายกับไอ้โบนก็เตรียมความพร้อมสำหรับออดิชั่นนักร้องที่จะมาร้องเพลงประกอบละครในปีนี้ ผมจึงคิดว่านี่อาจเป็นงานยุ่งแห่งชาติอีกหนึ่งวัน
เราแยกย้ายกันทำหน้าที่ของตัวเอง ผมที่ไม่ค่อยถนัดงานภาพเลยได้แต่ยืนดูไอ้ทูทำหน้าที่เป็นตากล้อง และคอยช่วยเหลือหยิบอุปกรณ์เล็กน้อยให้กับทีมตบเอ็ฟเฟ็กต์และจัดแสง นักแสดงก็ต้องเตรียมพร้อมสำหรับการถ่าย ทั้งเสื้อผ้า หน้า และทรงผม
“ธีมโปสเตอร์นี่แนวไหนวะ” ผมถามเพื่อนตัวสูงที่ถือกล้องสีดำหนักๆ อยู่
“ไอ้พี่เชนทร์อยากได้อะไรที่ดูหวานๆ ฟุ้งๆ แม่งไม่ใช่สไตล์กูเลย”
“เอาน่า มึงเก่งอยู่ละ ถ่ายเสร็จให้ทีมกราฟิกไปจัดการต่อได้”
“มันก็ไม่ได้ยากหรอกเรื่องฝืนถ่ายเนี่ย แต่คงจะดีถ้าน้องพิงค์แม่งใส่ยกทรงตัวเดียวมาถ่ายแทน” หรรม! กับงานมึงก็ยังจะหื่นนะเชี่ยทู
“กูฟ้องพี่เชนทร์แน่”
“ฟ้องเลย ขนาดพี่อั้นเพื่อนมันยังเห็นด้วยกับกู” ผมแทบจะยกมือขึ้นมาตบหน้าผากอย่างปลงตก ไม่อยากจะคิดว่าอนาคตเมียมันจะหน้าตาเป็นยังไง รู้สึกสงสารขึ้นมาครามครัน
“กูรู้นะว่ามึงคิดอะไรในใจ” เสียงทุ้มขัดจังหวะ
“กูคิดไร”
“คิดว่าทำไมกูหล่อใช่มั้ย ช่วงนี้ใช่ครีมดี น้องนางแบบเอามาฝาก ทาอย่างเดียวจะไม่เห็นผลนะ ต้องเอานมถูหน้าแทนนิ้วมือด้วย”
“ไอ้สัด” คนเหี้ย 2017 ก็มันเนี่ยแหละ
“ขอบคุณครับเพื่อน น้องพิงค์ยืนตรงกลางได้เลยครับ ไอ้เหี้ยฟานมึงรีบเดินมาว่องๆ!” เปลี่ยนเรื่องเร็วฉิบหาย งานสองมาตรฐานนี่สันดานไอ้ทูมันเลย ผมจึงยอมหลีกทางให้เจ้าตัวไอ้ทำงานอย่างเต็มที่ ก่อนร่างสูงของเพื่อนรักจะหันมาบอกด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ตรงนี้ไม่มีอะไรทำ ไปดูแฟนมึงที่ห้องออดิชั่นได้”
“ใครแฟน!” ผมแหวใส่เสียงดัง
“ก็ไอ้ค่ายไง”
“มันไม่ใช่แฟนกูเว้ย”
“เออนั่นแหละ บางทีตรงโน้นอาจต้องการความช่วยเหลือ ฝั่งกูไม่มีอะไรละรีบเฉดหัวไปเลยเกะกะ” โอ้โห้เจ็บกระดองใจ แต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินฮึดฮัดออกจากสตูดิโอถ่ายภาพ แล้วมุ่งหน้าไปยังห้องออดิชั่นที่อยู่ถัดไปไม่ไกลนัก
และทันทีที่ฝ่ามือจับลูกบิดประตูและออกแรงผลักเข้าไป ผมก็ได้ยินเสียงเพราะๆ ของผู้หญิงคนหนึ่งแทรกเข้ามาในโสตประสาท
โชคดีที่ประตูอยู่ด้านหลังกรรมการที่คัดเลือก เลยไม่มีใครหันมาสนใจผมแม้แต่คนเดียว และเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนผมจึงแง้มประตูฟังอยู่ตรงจุดเดิม ไม่คิดเข้าไปภายในให้คนอื่นเสียอรรถรส
♪ So open your eyes and see
The way our horizons meet
And all of the lights will lead
Into the night with me ♪
“หูยยยยยยยย น่ารัก”
เสียงของใครหลายๆ คนที่อยู่ภายในห้องต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน ผมจ้องมองผู้หญิงที่ขึ้นไปนั่งเก้าอี้บนสเตจซึ่งยกสูงขึ้นมาเล็กน้อย เธอถือกีตาร์ไว้ในมือและกำลังเล่นมันอย่างมีความสุข
♪ And I know these scars will bleed
But both of our hearts believe
All of these stars will guide us home ♪
เพราะมาก เพราะจนลืมหายใจ
เป็นเพลง All of the stars ของ Ed Sheeran ในเวอร์ชั่นผู้หญิงที่ดีที่สุดเท่าที่เคยฟังมา
ผมคิดว่าคนคนนี้คงถูกเลือกให้มาร้องเพลงประกอบเวทีแน่ๆ แม้ตัวเองจะไม่ได้ฟังคนที่เริ่มต้นออดิชั่นตั้งแต่คนแรกก็ตาม แต่เมื่อดูจากปฏิกิริยาของคนที่เข้ามาออดิชั่น กับท่าทางของทีมที่คัดนักร้องเข้ามาก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเจ้าของเสียงนี้ต้องเป็นตัวเต็งของงานแน่นอน
จวบจนเพลงจบลง เสียงปรบมือก็ดังขึ้นอย่างล้นหลาม ผมเห็นไอ้ค่ายนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ เป็นหนึ่งในคนที่คัดเลือกนักร้องสำหรับละครเวที แม้จะไม่เห็นว่ามันกำลังทำหน้ายังไงอยู่ แต่ผมคิดว่าเจ้าตัวคงพอใจไม่น้อย
“เดี๋ยวคิวต่อไปขึ้นมาเตรียมตัวเลยนะครับ” อารมณ์คนฟังเริ่มซาลงแล้วจดจ่อกับการฟังเพลงใหม่ ผมเองก็เหมือนกัน ยืนอยู่ที่เดิมไม่คิดขยับไปไหน
คนแล้วคนเล่าผ่านไปจนหมด เลยมีเวลาสำหรับพักเบรกเล็กน้อยก่อนประกาศผล แน่นอนว่าผู้ชนะคือเจ้าของเสียงหวานที่ร้องเพลง All of the stars ตามคาด หลายคนทยอยออกมาจากห้องหลังเสร็จสิ้นการคัดเลือกนักร้อง ดังนั้นผมจึงเปลี่ยนไปป่วนไอ้ทูที่กำลังเคร่งเครียดกับการถ่ายโปสเตอร์อย่างแข็งขันบ้าง
“พ่อมึงแคสต์เสร็จแล้วเหรอ” ปากถามไป มือก็ถ่ายรูปไปด้วย
“เออ คนได้นี่เสียงสวรรค์มาก น่ารักด้วย”
“นมใหญ่มะ เผื่อกูจองตัวเขาไปถ่ายแบบ”
“มึงไม่หื่นสักนาทีได้มั้ย ไม่ได้สวยเซ็กซี่เว้ย แต่น่ารักเหมือนตุ๊กตาอ่ะ”
“หมดสิทธิ์ ถ้าเป็นไอ้ค่ายได้อยู่ เชี่ยนี่ชอบแบบโมเอะๆ” ผมสตั๊นไปพักหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมานอกจากมองไอ้ทูถ่ายภาพไปเรื่อยๆ กว่าจะเสร็จก็ปาไปอีกเกือบสองชั่วโมงเพราะส่งรูปให้กราฟิกนั่งแต่ง ณ เดี๋ยวนั้นเลย รากงอกฉิบหายกู
คิดดู ขนาดผมช่วยทุกคนเก็บของและเคลียร์สตูดิโอจนเสร็จ แม่งก็ยังไม่เห็นเงาไอ้ค่ายกับฝ่ายโสตโผล่หัวมาทักทายสักราย ทั้งที่การออดิชั่นเสร็จสิ้นไปตั้งแต่สองชั่วโมงก่อนแล้วนี่หว่า
“เดี๋ยวแยกย้ายกันเลยนะทุกคน ขอบคุณมากๆ เว้ย” พี่เชนทร์ซึ่งเป็นเป็นฝ่ายสำรวจในขั้นตอนสุดท้ายเอ่ยขอบคุณ ก่อนพี่น้องนิเทศฯ ที่เหนื่อยกันมาหลายชั่วโมงจะแยกย้ายกลับ เหลือแต่ผมกับไอ้ทูเนี่ยแหละที่ยืนมองหน้ากันนิ่ง
“เอาไง”
“มึงนั่นแหละไอ้เติร์ดไปตามเพื่อนมึงอีกสองตัวมา เดี๋ยวไปแดกข้าวพร้อมกัน”
“มึงก็มาด้วยกันสิวะ”
“ปวดเยี่ยว ถ่ายมาหลายชั่วโมงยังไม่ได้พักเยี่ยวเลย หรือมึงจะไปส่งกูที่ส้วมก่อน”
“ไม่อ่ะ เสียเวลา”
“งั้นก็รีบไปตาม กูจะลงไปรอที่ลานจอดรถโอเคนะ”
“เออ” ไอ้ทูแยกไปเข้าส้วมทางขวามือ ผมเดินไปทางซ้ายกลับเข้าไปยังห้องออดิชั่น พอลองแง้มประตูดูก็เห็นว่าไฟยังเปิดสว่างอยู่ และคนที่อยู่ด้านในก็คือพวกสิงห์สาราสัตว์ที่เหลือเนี่ยแหละ แต่ที่แปลกคือน้องผู้หญิงที่ได้รับเลือกก็ยังอยู่ตรงนั้นด้วย
ฝ่ายโสตที่อยู่ในห้องทั้งหมดเป็นผู้ชาย ผมแปลกใจมากที่ทำไมผู้หญิงคนเดียวถึงอยู่ในห้องที่มีพวกเหี้ยๆ นี่ได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจ
“น้องชิงชิงเพื่อนพี่ชอบ!” เพื่อนปีสามที่อยู่ในกลุ่มโพล่งเสียงดังพลางหัวเราะร่วน เจ้าของชื่อก็อายม้วนต้วนส่งยิ้มมาให้อย่างเขินๆ
หืม...หม้อสาวอยู่นี่เอง แล้วผู้หญิงฝ่ายโสตมันหายไปไหนกันหมดวะ งงใจ
“คนนี้นะครับน้อง เผื่อสนใจ” ดวงตาของผมเบิกโพลง จิตใจเต้นรัวขึ้นมาดื้อๆ ทันทีที่รุ่นพี่ปีสี่ชี้นิ้วไปที่คนตัวสูงอย่างไอ้ค่าย
“อ๋อพี่ค่าย”
“รู้จักด้วย ฮิ้วววววว เพื่อนกูมีหวังแล้วโว้ย” หลายคนยังคงคอยเชียร์คอยหยอดให้ไม่ขาด ซึ่งไอ้เพื่อนรักก็ไม่ได้มีท่าทีโต้แย้งใดๆ เสียดายที่ผมไม่เห็นหน้าของมันว่ากำลังยิ้มหรือมีปฏิกิริยาตอบโต้อะไรหรือเปล่า ไม่งั้นพัง!
“เพื่อนพี่เจ้าชู้หน่อยนะน้อง”
“เจ้าชู้หนูก็คิดว่าเอาอยู่นะ”
“โหยยยยยยยยย ปั้งๆๆ ไปเลยครับ ค่ายมึงเอาไง” ผมหวังจะฟังประโยคซื่อสัตย์ของมัน ครั้งหนึ่งไอ้ค่ายเคยพูดเอาไว้ว่ามันจะจริงใจกับผมแค่คนเดียว มาวันนี้ผมยังไม่ลืมนะ
แต่ก็ไม่ได้มีประโยคใดตอบกลับมานอกจากเสียงของไอ้โบนที่แทรกขัดจังหวะขึ้นซะก่อน...
“เชี่ยเติร์ด มาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ” ทุกสายตาหันมามองที่ผมเป็นจุดเดียว เล่นเอากูทำตัวไม่ถูกนอกจากผลักประตูเข้ามาและยืนตอบอย่างเก้ๆ กังๆ
“เอ่อ...กะ...กูเพิ่งมา โปสเตอร์ถ่ายเสร็จแล้ว”
“จริงดิ”
“ไอ้ทูก็รออยู่ข้างล่างแล้วด้วย แต่ถ้ามึงสองตัวยังไม่เสร็จก็อยู่ต่อเลยนะ”
“เสร็จแล้ว! ไปได้” คราวนี้ไอ้ค่ายเป็นฝ่ายพูดออกมาบ้าง มันรีบสาวเท้าที่ติดเฝือกมาถึงตัวผมอย่างรวดเร็ว ก่อนจะโบกมือให้เพื่อนและรุ่นพี่เป็นการบอกลา
ไอ้โบนรีบตามมาขนาบข้างอย่างไวว่อง มันแอบกระซิบถามผมว่าเห็นหรือไอ้ยินอะไรมั้ย แต่ผมก็ตอบปฏิเสธกลับไปเพื่อความสบายใจ ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่หว่า แค่ผู้ชายเถื่อนๆ ที่ชอบแซวผู้หญิงด้วยความสนุกปาก ขนาดเรื่องของผมกับไอ้ค่ายยังถูกเพื่อนล้อเป็นอาทิตย์ นับประสาอะไรกับคนน่ารักแบบนั้นวะ
แต่ถึงอย่างนั้นก็อดไม่ได้ที่จะถามออกไป
“คนที่ออดิชั่นได้ชื่ออะไรวะ” ตอนนี้เราอยู่กันที่ร้านข้าวข้างมหา’ลัย โดยมีแก๊งโหดนั่งอยู่กันพร้อมหน้า
“ชื่อชิงชิง อยู่ปีสอง”
“ชิงชิงบัญชีอ่ะเหรอ หูยยยยย ของเด็ดของดี” แม้แต่ไอ้ทูยังรู้จัก
“ไหนมึงบอกไม่ชอบคนน่ารักยังไงวะ” ผมถามอย่างข้องใจ
“ไม่ชอบคนน่ารักที่นมเล็ก แต่คนนี้เต็มไม้เต็มมือมากครับเพื่อน ว่าแต่เหตุผลที่ได้รับคัดเลือกมาเพราะคะแนนความน่ารักของน้องเขาใช่มั้ย”
“อะแค่กๆ ไม่ใช่” ไอ้ค่ายรีบปฏิเสธอย่างไวว่อง
“ปากดี คะแนนส่วนใหญ่ก็มาจากมึง” ไอ้โบนแซะบ้าง อ๋อ...ชอบแบบนี้นี่เอง อ๋อ...
“เขาร้องเพลงเพราะ ถ้ามึงได้ฟังก็คงคิดเหมือนกัน”
“กูไปฟังมาแล้ว แต่ไม่ได้แวะเข้าไปด้านในน่ะ ร้องเพราะอย่างที่พวกมึงพูดจริงๆ” เพื่อตัดปัญหาและจบประเด็นนี้ลงผมจึงเลือกบอกความจริง
“จริงดิ แล้วทำไมไม่เข้าไปนั่งฟังด้วยกันวะ”
“ต้องออกมาช่วยไอ้ทูไง”
“อ้าว แต่มึง...” ผมรีบเตะเท้าไอ้ทูยิกๆ ก่อนที่มันจะโพล่งอะไรออกมาจนจับไต๋ได้อีก ความจริงก็คือผมยืนฟังจนออดิชั่นครบทุกคนเลยล่ะ ส่วนเรื่องโกหกเหรอ...กูมาแป๊บเดียว
ชิงชิงเป็นใครผมไม่สนใจหรอก ผมสนแต่ความรู้สึกของไอ้ค่ายที่ตอนนี้เอนเอียงไปหาเขาหรือยัง น่ารักแบบนี้สเป็คมึงด้วยสิ ร้องเพลงเพราะอีกต่างหาก ต่อไปถ้ามาร้องเพลงให้ละครเวทีต้องดังเปรี้ยงปร้างชัวร์ ถึงตอนนั้นทุกอย่างยังเป็นเหมือนเดิมอยู่มั้ยวะ
อดีตที่ไอ้ค่ายเคยเป็นมันลบออกจากหัวไม่ได้จริงๆ ว่ะ
เรื่องรักง่ายหน่ายเร็ว เลิกกับคนนี้และคบกับอีกคน มีความสัมพันธ์แบบวันไนต์สแตนด์ยุ่งเหยิงเต็มไปหมด แต่ผมเคยคิดเอาไว้แล้ว หากวันไหนก็ตามที่ไอ้ค่ายมีอะไรกับใครชั่วข้ามคืนในระหว่างที่จีบผมอยู่ ผมก็พร้อมจะตัดมันในฐานะคนรักเหมือนกัน
จริงๆ เป็นเพื่อนกันก็ไม่ได้แย่ แค่เจ็บ
“แล้วเดี๋ยวไปไหนกันต่อ”
“ขอตัวไปนอน ตื่นเช้าไม่ไหวจะเคลียร์” เชี่ยทูพูดเสียงงัวเงียพร้อมกับตักข้าวใส่ปาก ไอ้โบนก็พยักหน้าเห็นด้วย คงเหลือผมกับไอ้ค่ายที่นั่งมองหน้ากันไปมา สุดท้ายอีกฝ่ายก็หมดความอดทนเป็นฝ่ายถามขึ้นก่อน
“มึงจะกลับไปนอนมั้ยเติร์ด”
“ถ้ากูบอกว่าจะกลับล่ะ มึงจะเรียกแท็กซี่ไปส่งที่ห้องตัวเองได้มั้ย”
“ไม่อ่ะ กูจะให้มึงมานอนห้องกูแทน”
อ่านต่อด้านล่างค่ะ