ทฤษฎีจีบเธอ ∞ THE END
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ทฤษฎีจีบเธอ ∞ THE END  (อ่าน 2134371 ครั้ง)

ออฟไลน์ ninghyuk

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
สงสารเติร์ด อิค่ายยยยยยย

ออฟไลน์ SiHong

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 484
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-2
 :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ pamhicc

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
นั่นไง สุดท้ายค่ายก็ดีแตกจริงๆ สงสารเติร์ดที่สุดทำไมต้องมาเจอกับคนแบบนี้
เอาคนมาดามใจน้องเติร์ดที ฮือออ เศร้าาาา
 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ minenat

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1661
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-3
ใดๆเล่าโบนล้วนโดนลูกหลง

ออฟไลน์ จอมจุ้น6002

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
มาคอมเม้นท์รอบ3 หมั่นไส้อีนังชิงชังตอนนั่งตักอีค่าย
มึงก้อนะค่าย ไม่ผลักออก แถมจูบกันอีก กูเสียสละตัวเอง
เข้าไปถีบทั้งมึงทั้งอีนังชิงชังให้ก้อได้นะ #โกรธแทนเติร์ด  :fire: :fire: :fire:

ออฟไลน์ Ahjumma1212

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :katai1: :katai1:เลวจริงๆ หรือเติร์ดมองผิดมุม อยากเผื่อใจว่าค่ายไม่ใช่คนเลว

ออฟไลน์ bpyt

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1319
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
สันดานแก้ไม่ได้จริงๆ หรอวะนังค่าย

ออฟไลน์ why yyy

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +309/-8
ขอบคุณ :)

ออฟไลน์ pockypocky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 179
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
อีค่ายยยยยยยยยย :beat: :beat: :beat:

ออฟไลน์ lowmantic

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
โห มาแบบนี้ไม่อยากให้ happy end เลยเรื่องนี้ สงสารเติร์ดมาก เอาจริงนี่นอกจากค่ายแล้วเราพาลเกลียดโบนไปอีกคนอะ คือโบนก็ไปกับค่ายนะ ไม่คิดเตือนสติเพื่อนบ้างไรบ้างหรอ ไหนออกโรงปกป้องเติร์ดตอนแรกที่ค่ายบอกจะจีบอะ พอมาตอนนี้ทำไมไม่คิดเตือนบ้าง ห้ามปรามบ้าง หรือเพราะนิสัยคล้ายกันเลยไม่คิดมากเรื่องไรแบบนี้ ตอนนี้คืออยากให้เติร์ดเลิกคบทั้งค่ายทั้งโบนอะ เพื่อนกะคนรักแบบนี้อย่ามีดีกว่า คบแต่ทูพอละ ถ้าจะให้ happy end ก็ขอให้ค่ายทุกข์เยอะๆเศร้าเยอะๆนะ ตั้งแต่ต้นมานี่เห็นมีแต่เติร์ดที่เสียใจกับความรักที่มีให้ค่ายอะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ทฤษฎีจีบเธอ ∞ ตอนที่ 15 [21/08/60] *หน้า38
« ตอบ #1209 เมื่อ: 23-08-2017 12:08:07 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ wichta

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เหลืออีกปีก็เรียนจบละเติร์ด หนึ่งปีนี้คงเข้มแข็งพอที่จะใช้ชีวิตต่อไปโดยไม่มีค่าย (อินเนอร์มาเต็มเหมือนลุ้นชีวิตจริงๆ) เวลาจะช่วยได้เติร์ดสู้ๆ ตัดใจให้จบ เจ็บแล้วต้องจำ

ออฟไลน์ klaew

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1237
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-2
จะบอกว่าอะไรดีนะ
ท้าทาย. นิสัยเก่า  หรือรักไม่พอ
ไม่ว่าจะอะไรก็แล้วแต่
แต่ที่ค่ายนอกใจ ก็คือเรื่องจริง
ถ้าคิดว่ายังไม่ได้เป็นแฟนเติร์ดเลยทำได้
แล้วจะเสียใจ โกรธจนชกโบนทำไม
เติร์ดมีค่าแค่ไหน ถามใจดู

ออฟไลน์ wochima

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 121
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ให้ทูเป็นพระเอกเลยก็โอเคนะ  เปลี่ยนพระเอกเลยก็ได้ค่ะ   หรือเอาเป็นพระเอกคนใหม่เลยก็ได้ไม่ว่ากัน  ค่ายดูแล้วไม่แมน เหมือนพวกรู้ว่าผิดแต่หน้าด้านทำต่อไปอธิบายไม่ถูก  หรือคนเขียนจะเขียนให้เจอกันตอนทำงานแย้ว อิอิ 

ออฟไลน์ JahNuna

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
 :serius2:
เกลียดอิค่ายยยยยยย
แกรจะตายที่ไหนนนกะปายยย

ออฟไลน์ QueenPlai

  • twitter - @khunhappymoon gmail - JangPlailiiz@gmail.com
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
เสมอต้นเสมอปลายจริงๆนะค่าย เรื่องชั่วๆเนี่ย อิค่ายยยยย
ลาก่อย ขอให้น้องเติร์ดได้เจอคนดีๆนะลูก

ออฟไลน์ Moomus

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
    • เฟส
โอ้ย ทำไมถึงเป็นคนชอบอะไรแบบนี้ จัดมาอีกครับขอจุกๆ หน่วงๆกว่านี้อีก รักคุณจิตตินะครับ :impress2: o13

ออฟไลน์ Bheamphon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 10
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ไอ่ค่ายแม่มเนียนเกินนะมรึง :katai5:

ออฟไลน์ Bheamphon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 10
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
นำคานชิหัยไอ่ค่ายรุกแรงเว่อ :z1:

ออฟไลน์ A_Narciso

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 879
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
:m15: นี่เราต้องมาเสียน้ำตาให้กับสันดานของอิค่ายเหรอเนี้ย!!

ออฟไลน์ VaLyn_TM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
โห โคตรเลวโคตรชั่ว มึงทำได้ไงอ่ะ มึงรักเติร์ดจริงเหรอวะ
นี่ตะหงิดตั้งแต่ที่เพื่อนแซวตอนออดิชันแล้วไอ้ค่ายไม่ปฏิเสธละ
นิสัยอย่างไอ้ค่าย ถ้าไม่ใช่นี่ต้องพูดแล้วอ่ะ
ไหนจะเรื่องแอบคุยไลน์อีก ไม่บริสุทธิ์ใจนี่หว่า
อีกอย่างเติร์ดสังเกตเห็นสายตาตอนมานั่งกินข้าวที่มองกันด้วย
เติร์ดที่รู้จักไอ้ค่ายดีที่สุด รู้สึกตั้งแต่ตอนนั้น แต่ก็ยังจะเชื่อใจเพราะคิดว่าไอ้ค่ายมันจะหยุด
เรื่องซูบบุหรี่จัดด้วย เติร์ดรู้นิสัยทุกอย่าง สุดท้ายสันดานเก่าก็ออก คงอยากจัดสินะ
เติร์ดไม่ใช่เห็นแป๊ปๆ แต่นัวเนียกันเป็นพักอ่ะ
ถ้าจะบอกว่าผู้หญิงจู่โจม ก็ตอแหลมาก ผู้ชายแรงควายๆเนี่ยสลัดผู้หญิงออกง่ายจะตาย
ชัดเจนที่สุดคือไอ้ค่ายพูดขอโทษ เหอะ คนไม่ได้ทำผิดจะขอโทษเหรอ ถ้าเป็นเรื่องเข้าใจผิดคงอธิบายไปแล้ว เลวว่ะ
สงสารเติร์ด ไม่อยากให้รักมันแล้ว พอเหอะ เจ็บมามากเกินไป  สันดานคน ถ้ามีครั้งที่ 1 ก็ต้องมีครั้งที่ 2 ตัดใจดีกว่า

ปล.เกลียดมากที่บีบคอเติร์ด รักแบบไหนถึงทำร้ายคนที่ตัวเองบอกว่ารักได้ลงคอ
โกรธที่เติร์ดจูบคนอื่นมากขนาดไหนก็ไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ทฤษฎีจีบเธอ ∞ ตอนที่ 15 [21/08/60] *หน้า38
« ตอบ #1219 เมื่อ: 25-08-2017 00:53:30 »





ออฟไลน์ kazu

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +49/-1
ก็รู้ว่าเติร์ดยังคลางแคลงใจ
ก็รู้ว่าเติร์ดยังไม่เชื่อใจเต็มร้อย
แต่ก็ยังทำนะ
อย่ามาอ้างว่าเพื่อนแกล้ง
อย่ามาอ้างว่าตัวเองเมา
อย่ามาอ้างว่าลองใจเติร์ด
มันไม่ใช่แล้วค่าย คนรักกันเขาไม่ทำให้คนที่รักต้องเสียน้ำตาหรอกนะ

//อินเกินอีกแล้ว  :serius2:

ออฟไลน์ aiann

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :angry2: :serius2:

ออฟไลน์ Jittirain12

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 353
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1238/-18

ตอนที่ 16
สิ่งที่ไม่เคยบอก



   “เติร์ดขอร้อง...อย่าไปจากกู”

   “...”

   “อย่าไปจากกูได้มั้ย” เสียงเครือส่งกลับมาไม่ขาดปาก แต่ที่กูเห็นมึงเลือกเองไม่ใช่เหรอ แล้วที่เจ็บกันอยู่ตอนนี้ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่ามันมาจากการกระทำก่อนหน้าของเราทั้งคู่ และเพื่อเป็นการยุติมัน...

   “เราควรเป็นเพื่อนกันจริงๆ ว่ะค่าย” แม้น้ำตามากมายจะไหลลงมาเพราะเสียใจแค่ไหน ผมก็ต้องยอมรับความจริงให้ได้

   กลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้แย่ ตรงกันข้าม ไอ้ค่ายอาจมีอิสระที่ได้ทำตามใจตัวเอง ไม่ต้องมาคอยห่วงความรู้สึกของผมว่าจะเป็นยังไง พอใจแค่ไหน ความรักถ้ามันเริ่มต้นด้วยความอึดอัด สักวันหนึ่งทุกอย่างก็ต้องจบอยู่ดี

   “ไม่ ไม่ กูไม่ให้มึงเป็นเพื่อน กูจะไม่ปล่อยมึงไป” แรงกอดรัดจากอ้อมแขนหนาหนักรัดแรงขึ้นจนผมหายใจแทบไม่ออก อาการวิงเวียนหัวเริ่มหนักขึ้นซึ่งอาจเป็นผลมาจากการร้องไห้อย่างหนัก สุดท้ายก็หมดแรงปล่อยให้อีกฝ่ายรั้งไว้อย่างนั้นโดยไม่มีสิทธิ์ขัดขืน

   “ไอ้ค่าย กูว่ามึงพาไอ้เติร์ดกลับเถอะว่ะ” ผมกำลังจะหันไปมองหน้าไอ้โบน แต่มือหนากลับกดหน้าของผมลงกับไหล่ของมันก่อนเสียงทุ้มต่ำจะตอบกลับไป

   “กูพากลับแน่ ส่วนเรื่องของมึงคงต้องไปเคลียร์กันทีหลัง”

   “เออกูไม่หนีหรอกสัด ต่อยก็โดนต่อยฟรี”

   “มึงจูบคนของกู!”

   “คนของมึงก็เพื่อนกูมั้ย แม่งเอ๊ย!”

   “อ้าวพวกมึง มาทำอะไรตรงนี้วะเนี่ย” ผมจำเสียงของไอ้ทูได้ แต่ไอ้ค่ายก็ไม่เปิดโอกาสให้ผมได้เงยหน้าขึ้นมามองสถานการณ์ที่เป็นอยู่แม้แต่เสี้ยว มือข้างหนึ่งของมันยึดหลังของผมไว้แน่น ส่วนมืออีกข้างก็กดหัวผมลงกับไหล่และค้างอยู่อย่างนั้น

   คนที่เพิ่งมาถึงเงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยประโยคต่อมาด้วยน้ำเสียงกดต่ำกว่าเดิม

   “ไอ้ค่าย...มึงทำอะไรไอ้เติร์ด”

   “เรื่องนี้กูจัดการเอง”

   “กูถามว่ามึงทำอะไรมัน”

   “ไม่ใช่เรื่องของมึง”

   “ปล่อยไอ้เติร์ด ไอ้เหี้ยกูบอกให้ปล่อย!” ร่างของผมซวนเซไปมาจากการยื้อแย่งของคนสองคน แต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้นกลับมาจมอกของคนเหี้ยๆ อย่างไอ้ค่ายอยู่ดี

   “กูต้องคุยกับเติร์ด ต้องเคลียร์กับมัน”

   “มึงทำมันร้องไห้” 

   “เชี่ยทู...ให้แม่งจัดการกันเองเถอะ แต่ตอนนี้ช่วยพากูไปหาหมอที...จะตายห่าอยู่ละ” ผมได้ยินเสียงฮึดฮัดขัดใจของเพื่อนสนิท ขณะตัวเองก็เอาแต่กลั้นเสียงสะอื้นอยู่กับเพื่อนตัวสูง วินาทีนี้ผมเข้าใจดีว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่สงบนัก เรื่องเคลียร์ปัญหาต่างๆ ก็ด้วย

   “กูไม่อยากคุยกับมึง กูอยากกลับ” สุดท้ายก็ต้องยอมจำนนบอกสิ่งที่ต้องการออกไป แค่พาตัวเองออกไปจากที่ตรงนี้ให้เร็วที่สุดก็ถือว่าช่วยกันมากแล้ว

   “งั้นกลับกัน” ไอ้ค่ายไม่ปล่อยให้ผมได้โต้แย้งอีก นอกจากรั้งข้อมือของผมให้เดินตามเข้าไปด้านในผับ แสงไฟสลัวกับเสียงเพลงดังกระหึ่มแม่งทำให้รู้สึกปวดหัวมากขึ้น ยิ่งเมื่อคนตรงหน้าเดินกลับไปที่โต๊ะตัวเดิม หน้าของผมก็ร้อนขึ้นเป็นเท่าตัว จนผมต้องชะงักเท้าอยู่กับที่

   “กูไม่เข้าไป” ผู้หญิงคนนั้นยังนั่งอยู่ และภาพที่ไอ้ค่ายกับเขาจูบกันก็ฉายวาบเข้ามาไม่หยุด

   พอแล้ว กูเจ็บพอแล้ว

   “แค่จะเอากระเป๋าตังค์กับกุญแจรถ งั้นรออยู่ตรงนี้ได้มั้ย อย่าไปไหน” ผมไม่ตอบ แต่คงไม่มีแรงจะเดินไปไหนต่อไหนแล้วหรอก โลกโคลงเคลงซะขนาดนี้

   เมื่อเห็นว่าผมไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆ ไอ้ค่ายก็เดินไปยังโต๊ะ หยิบเอาของส่วนตัวออกมาก่อนจะพูดกับคนที่นั่งอยู่สักพักหนึ่ง แต่สายตาผมไม่ได้โฟกัสตรงนั้นเมื่อมันเอาแต่จับจ้องไปที่รุ่นน้องผู้หญิงที่เพิ่งเข้ามาร่วมงานได้ไม่นาน เกลียดตัวเองที่พยายามไม่คิดสุดท้ายก็เป็นกังวล

   ไอ้ค่ายพยายามทำทุกอย่างอย่างลนลานก่อนจะผละออกมาจากคนกลุ่มใหญ่ แต่แล้วเจ้าตัวก็ต้องหยุดอยู่กับที่เมื่อผู้หญิงคนนั้นรั้งข้อมือของมันเอาไว้

   เท้าของผมก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่รู้สาเหตุ คิดหาคำพูดมากมายที่วุ่นวายอยู่ในหัว อาจจะเป็น...ไม่เป็นไรอยู่ต่อเถอะ เดี๋ยวกูกลับเอง หรือ...พรุ่งนี้เจอกันก็ได้ เดี๋ยวกูคงโทรให้ไอ้ทูไปส่ง

   รู้ว่ามันบ้ามากแต่ผมวิตกกับการหาคำพูดพวกนี้จริงๆ จนรู้ตัวอีกทีก็มายืนอยู่ใกล้ๆ กับร่างสูงของเพื่อนสนิทเรียบร้อยแล้ว

   “พี่ค่าย มีอะไรกันหรือเปล่า” คำถามนั้นเต็มไปด้วยความสงสัย ผมเลยสูดลมหายใจเข้าปอดพร้อมกับเปล่งเสียงแปร่งๆ ของตัวเองออกมา

   “ไอ้ค่ายมึง...อยู่....”

   “อย่ายุ่งกับพี่ครับ” คำพูดของผมถูกตัดด้วยประโยคกระด้างกระเดื่องของคนตรงหน้า ก่อนร่างกายจะถูกดึงให้เดินตามสองขายาวๆ ออกจากผับและตรงดิ่งไปยังลานจอดรถอย่างรวดเร็ว

   มือหนากดตัวผมให้เข้าไปภายในรถของมัน ความเงียบปกคลุมไปทั่วพื้นที่แม้รถจะแล่นไปข้างหน้าด้วยความเร็วแค่ไหนก็ตาม อาจเรียกได้ว่าเจ็บจนจุก คำถามมากมายยังคงวนเวียนอยู่ในหัวแต่ไม่รู้จะเลือกคำถามไหนมาถามดี สุดท้ายก็ได้แต่เงียบเหมือนอย่างเคย

   ผมเป็นคนร่าเริง ผมเป็นคนร่าเริงมาตลอดจนกระทั่งหลงรักไอ้ค่ายทุกอย่างก็เปลี่ยนไป

   ผมแค่อยากกลับไปเป็นเหมือนเดิม ใช้ชีวิตบ้าๆ กับเพื่อน ตั้งใจเรียน และหัวเราะในทุกๆ วัน แต่วันนี้ผมกลับค้นพบว่าตัวเองถลำลึกลงไปมาก มากจนลืมไปแล้วว่าเสียงหัวเราะเป็นยังไง เพราะแม่งเสือกจำได้แค่น้ำตา

   ไอ้ค่ายวนรถเข้ามาตรงลานจอดใต้ดินของคอนโดมัน ผมไม่ได้ทักท้วงใดๆ ที่มันไม่พาผมไปส่งที่ห้อง หลังจากรถดับสนิทร่างสูงก็เปิดประตูพยุงผมให้ลุกขึ้นยืน คราวนี้แหละครับกระจ่างชัดแน่นอนว่ากูเมามาก ทั้งปวดหัวและเวียนหัว รู้สึกผะอืดผะอมจนอย่างอ้วกอยู่ตรงนี้ แต่ก็ต้องฝืนเอาไว้แล้วค่อยๆ เดินตามเท้าของคนข้างหน้าไป

   “ค่ายกู...” อยากอ้วก

   นี่คือสิ่งที่ผมตั้งใจจะบอกหลังจากไอ้ค่ายพยายามไขประตูห้องตัวเองด้วยคีย์การ์ด จนมันต้องหันมาถามด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

   “เป็นอะไร”

   “กู...” พูดไม่จบประโยคดีผมก็รีบยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองโดยอัตโนมัติ

   “เฮ้ยๆ รอก่อนนะมึง” เท่านั้นแหละครับโลกทั้งใบเหมือนเต็มไปด้วยความอึดอัด การกลั้นอ้วกตัวเองเป็นอะไรที่กูอยากตายมาก ขื่นขมราวกับดมขี้ช้าง

   ไอ้ค่ายลากผมเข้ามาภายในห้อง ซวยสุดคือห้องน้ำที่เสือกอยู่ในห้องนอน กว่าจะลากกันเข้ามาก็แทบหมดเรี่ยวแรง ตาสองข้างพร่าเบลอแต่ต้องประคองตัวเองไปให้ถึง

   “เติร์ดนี่ทีวี มึงอย่าอ้วกตรงนี้นะ”

   มือหนารีบยกมือขึ้นมาปิดปากของผม แต่วินาทีนี้ความอดทนทุกอย่างแม่งไม่หลงเหลืออะไรแล้วเลยปล่อยให้พังเป็นพัง

   อ้วกพุ่งทะลุง่ามนิ้วไอ้ค่ายออกสู่โลกกว้างอย่างรวดเร็ว ภาพที่สั่นไหวและติดเบลอตรงหน้าทำให้ผมดูไม่ออกว่าของใช้อะไรในห้องเละไปแล้วบ้าง รู้แค่ว่าจอโทรทัศน์ตายไปแล้วหนึ่ง

   “ฮือออ อุ๊บ!”

   “เติร์ดไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” แค่ได้ยินคำปลอบจากอีกฝ่ายผมก็ไม่สนอะไรอีกแล้วนอกจากอาเจียนออกมาอีกรอบ หูสองข้างอื้ออึงจนได้ยินเสียงวิ๊ง กลิ่นเหม็นลอยคละคลุ้งไปทั่วจนอยากร้องไห้

   ผมพยายามสะบัดตัวออกจากการเกาะกุมของเพื่อนตัวสูง แล้วเดินโซซัดโซเซไปยังห้องน้ำด้วยตัวเอง นี่คือสิ่งที่คิดเอาไว้ แต่ความเป็นจริงกลับทำได้แค่ฮึดฮัดอยู่อย่างนั้น มือไม้ปัดป่ายไปมาเหมือนพยายามหาที่ยึดเกาะ และวินาทีนั้นผมก็จับได้อยู่หนึ่งสิ่ง

   เพล้ง!!

   โคมไฟตั้งโต๊ะ

   “เดี๋ยวไอ้เติร์ดมึงอย่าขยับ” ฉึบ!

   “โอ๊ยยยยย” กูจะแหกปากให้ลั่นห้อง ไอ้เหี้ยกูช้าไป เมื่อเท้าทั้งสองข้างเหยียบเข้ากับเศษแก้วเข้าอย่างจัง สายตาที่ใกล้สว่างในคราแรกกลับมาพร่ามัวอีกครั้ง น้ำตามากมายไม่รู้ไหลลงมาได้ยังไง รู้แค่ว่าผมเจ็บจนแทบทรงตัวไม่ไหว

   นี่มันวันเหี้ยอะไรของกูวะเนี่ย ฝันอยู่เหรอ ถ้าฝันรีบตื่นขึ้นมาเลยนะ

   เวลาไม่ปล่อยให้ผมได้เพ้อเจ้อนาน มือหนาก็สอดเข้ามาใต้ข้อพับและอุ้มผมเข้ามาในห้องน้ำ ไอ้ค่ายให้ผมนั่งตรงขอบอ่างก่อนมันจะวิ่งออกไปด้านนอกครู่หนึ่ง แล้วกลับมาพร้อมกับกล่องพยาบาลในมือ

   “ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวมึงก็ไม่เจ็บแล้ว” คนตรงหน้าเลื่อนอ่างขนาดเล็กที่มีน้ำอยู่จำนวนหนึ่งมาไว้ตรงเท้าที่มีบาดแผล หลังจากมันสาละวนกับการหาไอ้อ่างนี่อยู่นาน “เจ็บนิดนึงนะ มีแก้วเล็กๆ ปักมึงอยู่”

   ผมเงียบเหมือนอย่างเคย มองดูคนที่คุกเข่าตรงหน้ากำลังจัดการกับบาดแผลอยู่เงียบๆ กลิ่นคาวเลือดลอยเตะจมูกจนเวียนหัว ไอ้ค่ายจุ่มเท้าผมลงกับน้ำเปล่าและพยายามทำความสะอาดอย่างตั้งใจ

   “แสบมั้ย” เจ้าตัวถาม

   “กูจูบกับไอ้โบน กูไม่เสียใจด้วยที่จูบกับมัน” พูดไปน้ำตาก็ไหลลงมาไม่ขาดสาย ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ผมก็ยังจะทำเหมือนเดิมเพื่อตอกย้ำว่าตัวเองไม่ได้เป็นของตายของใคร

   ยังคงมีอิสระในการเลือกหรือทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ไม่ต้องแคร์ ไม่ต้องมารอไอ้ค่าย เพราะขนาดมันยังไม่เคยคิดถึงผมแม้แต่นิดเดียวเลย

   “แต่กูเสียใจที่จูบกับเขา” หมายถึงรุ่นน้องคนนั้นเหรอ เสียใจแล้วทำแต่แรกทำไม ถ้าผมไม่อยู่ตรงนั้นก็คงโง่เดินหน้าให้โอกาสมันต่อไปงั้นเหรอวะ แม่งโคตรจะไม่แฟร์กับกูเลย

   “กูตัดสินใจแล้วว่าเราควรเป็นเพื่อนกัน”

   “...!” ผมไม่อยากเจ็บซ้ำซากกับเรื่องเดิมๆ อีกแล้ว อย่างน้อยชีวิตคนเราก็ควรเดินไปข้างหน้าบ้าง

   “มึงเลิกเจ้าชู้ไม่ได้หรอก”

   “แต่เรามาไกลจากคำว่าเพื่อนแล้วนะเว้ย”

   “แล้วจะทนฝืนทำไมวะ มึงไม่อึดอัดเหรอที่ต้องพยายามรักกูคนเดียวทั้งที่ความจริงแล้วมึงอยากมีอิสระ ยังอยากกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม นี่ไง กูให้โอกาสมึงแล้ว”

   “กูไม่ได้อยากเป็นเหมือนเดิม กูยังอยากมีมึง”

   ผมก้มลงมองคนที่นั่งชันเข่าอยู่ตรงพื้น ก่อนจะขยี้ตาแรงๆ เพื่อมองคนตรงหน้าให้ชัดขึ้น

   “ค่าย...” ผมเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยเสียงแผ่วเบา

   “กูแค่ขอโอกาส” มือที่กำลังทำความสะอาดแผลบนเท้าของผมสั่นเทา ไอ้ค่ายก้มหน้าไม่คิดเงยคิดมาสบตากัน น้ำในอ่างเริ่มเจือสีแดงจากเลือดที่ไหลออกมาจากปากแผล เชื่อมั้ย ถึงจะเป็นอย่างนั้นผมกลับไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด

   “ไม่...กูไม่โอเค” ผมร้องไห้มามากจนน้ำตาเหือดแห้ง ร้องจนไม่เหลือน้ำตาไว้เสียใจในวันต่อไป ผมเหนื่อยแล้วกับการทุ่มเทความรักให้ใครคนหนึ่งแต่คนคนนั้นกลับไม่เห็นค่าแม้แต่เสี้ยว

   ตั้งแต่ครั้งแรกที่หลงรักเพื่อนในกลุ่ม ผมก็พยายามทำทุกอย่างโดยหวังว่าสักวันไอ้ค่ายอาจเปลี่ยนใจหันมามองผมบ้าง แต่มันกลับพังลงไม่เป็นท่าเพียงเพราะใครอีกคนเดินเข้ามาในชีวิต แล้วอย่างนี้จะให้ผมตอบว่าโอเคได้ยังไง

    “กูเจ็บพอแล้วเวลาที่รู้ว่ามึงไม่เคยแคร์กูเลย กูเป็นใครก็ไม่รู้สำหรับมึง เจ็บที่มึงทำราวกับว่ากูไม่ได้สำคัญอะไร ทั้งๆ ที่ครั้งหนึ่งมึงก็เคยบอกรัก ทำไมมึงถึงทำอย่างนั้นวะ” ในหัวผมมันมีแต่คำถามว่าทำไมๆ ซ้ำๆ แต่ผมกลับไม่ได้คำตอบอย่างที่ควรจะเป็นนอกจาก ‘ไม่ต้องรอแล้ว’ จากความรู้สึกลึกๆ ของตัวเอง

   “มึงจะลืมกูได้เหรอ ลืมสิ่งที่ผ่านมาได้เหรอเติร์ด”

   “ถ้าลืมไม่ได้ก็จำใส่หัวไว้ไง”

   “...”

   “จำให้ได้สักทีว่าตัวเองเคยเจ็บยังไง จำให้ได้ว่ามึงทำร้ายกูขนาดไหน จำสักทีแล้วกูคงหยุดคิดถึงมึงได้สักวัน”

   “เติร์ด...”

   “เมื่อก่อนกูยังอยู่ตัวคนเดียวได้ พอมึงเข้ามาชีวิตกูก็เปลี่ยนไป แต่พอวันหนึ่งที่ไม่มีมึงอยู่แล้ว ชีวิตของกูก็แค่กลับไปเป็นเหมือนเดิม กูไม่ได้สูญเสียอะไรเลยแค่ยังเหมือนเดิม”

   ผมไม่สัญญาว่าผมจะมีความสุขขึ้นเมื่อไม่มีไอ้ค่ายเป็นคนรัก แต่ถ้าวันนี้ผมยังมีมันแล้วรู้สึกเจ็บปวด แม่งก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่ต้องรั้งไว้อีกแล้ว

   เพิ่งรู้! พอผ่านอะไรมามากๆ มันก็ไม่ง่ายอีกเลย ที่จะมองความรักให้สวยงามเหมือนเดิม...

   ตอนเศร้ากูก็ชอบปรัชญาจังเนาะ เลยต้องยกแขนเสื้อเหม็นอ้วกขึ้นมาเช็ดคราบน้ำตาที่กำลังคลออยู่ออกอย่างลวกๆ ไอ้ค่ายยังคงก้มหน้าก้มตาล้างเท้าให้ผมราวกับตัดขาดจากโลกภายนอก บางทีเจ้าตัวอาจกำลังใช้ความคิดและยอมรับสิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่อยู่ก็ได้

   “ไอ้ค่ายกูว่า...”

   “ถอดเสื้อออก” ใบหน้าหล่อเหลาที่ติดแดงก่ำเงยหน้าขึ้นพร้อมกับสั่งเสียงเรียบ

   “มึงว่าอะไรนะ”

   “จะอาบน้ำให้ แล้วออกไปทำแผลต่อข้างนอก”

   “กูจัดการเองได้ มึงออกไปเถอะ”

   พูดไปก็เหมือนจะเปลืองน้ำลายเปล่าๆ เมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ฟังคำพูดผมแม้แต่นิดเดียว กูเศร้าอยู่ อยากตัดมึงออกจากชีวิต แต่ไอ้เพื่อนเหี้ยนี่กลับทำหูทวนลม ยื้อทุกอย่างเอาไว้แม้สุดท้ายจะรู้ดีกว่าไม่มีอะไรเป็นเหมือนเดิม

   “ไอ้ค่ายอย่ายุ่งกับกู” เสื้อหลุดออกจากตัวก่อนเป็นอันดับแรก คราวนี้ก็เป็นกางเกงบ้าง อารมณ์มึนเมาในตอนแรกแทบหายเป็นปลิดทิ้ง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็สู้แรงคนตรงหน้าไม่ได้อยู่ดี

   “รู้มั้ยว่ากูสามารถปล้ำมึงได้”

   “...”

   “กูสามารถทำเหี้ยๆ กับมึงได้ทุกอย่างแต่กูก็ไม่กล้าทำเพราะกลัวจะเสียมึงไป”

   “แล้วก่อนหน้ามึงจูบเขาทำไมวะ เป็นมึงเองไม่ใช่เหรอที่ทำตัวเอง!” ไอ้ค่ายเงียบ ไม่คิดจะพูดหรือแก้ต่างใดๆ ทั้งนั้น นั่นยิ่งทำให้ผมรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันตั้งใจ เปลี่ยนเป็นบ่ายเบี่ยงปล้ำผมถอดเสื้อผ้าอย่างเอาเป็นเอาตายแทน

   ผมถูกลากจากขอบอ่างไปที่ฝักบัว สายน้ำเย็นสาดกระทบร่างกายจนหนาวสั่น มือหนาหยิบแชมพูและครีมอาบน้ำละเลงลงบนตัวผมมั่วไปหมด สีแดงฉานจากบาดแผลไหลปะปนไปกับสายน้ำที่หล่นกระทบพื้น ผมก้มลงมองดูอยู่อย่างนั้นก่อนจะชะงักไป

   ไม่ใช่เลือดจากเท้าของผม

   “ไอ้ค่าย ตีนมึง...”

   “เออเจ็บฉิบหายแล้วเนี่ย เพราะงั้นช่วยอยู่เฉยๆ ได้มั้ย”

   “ตอนไหน”

   “ตอนรีบวิ่งไปอุ้มมึงไง เต็มตีน” เจ้าตัวพูดเหมือนไม่ใส่ใจ แต่จากเลือดที่ไหลปะปนกับน้ำไม่ขาดสายก็ทำให้รู้ทันทีว่าแผลคงลึกมาก ลืมไปหมดเรื่องที่อยากด่าหรือโกรธมัน ได้แต่ยืนนิ่งปล่อยให้อีกฝ่ายจัดการอาบน้ำและจับแต่งตัวราวกับตุ๊กตา

   รู้ตัวอีกทีผมก็มานอนบนเตียง ยื่นเท้าให้แม่งทำแผลอย่างสงบเสงี่ยมไปแล้ว

   “ทำแผลตัวเองยัง”

   “เป็นห่วงกูเหรอ”

   “เปล่า”

   “รู้ตัวป่ะ มึงอ้วกใส่ทีวี หน้าจอนี่เละไปหมด” อ้วกทะลุง่ามนิ้วเลยด้วย กลั้นไม่อยู่จริงๆ ทั้งเสียใจและผะอืดผะอมจนเวียนหัว แต่พอได้อาบน้ำสติก็เริ่มกลับมาอยู่กับตัวทีละน้อย

   “เดี๋ยวกูเช็ดเอง จะเก็บเศษโคมไฟมึงด้วย”

   “นอนเถอะกูทำเอง ขอแค่...พรุ่งนี้ทุกอย่างยังเป็นเหมือนเดิมก็พอ”

   “เหมือนเดิมดิ กลับไปเป็นเพื่อนกันก็มีความสุขดี”

   “มึงไม่เข้าใจ”

   ในชีวิตของเราทุกคนมีสิ่งหนึ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ มันเรียกว่าการเปลี่ยนแปลง บางครั้งเปลี่ยนแล้วเจอกับความสุข แต่หลายครั้งเราก็เจ็บปวดกับสิ่งที่เปลี่ยนไป ซึ่งเราก็ต้องยอมรับมันให้ได้

   ไม่ช้าหรือเร็ว เราต่างก็ต้องเปลี่ยนอยู่ดี

   “กูเข้าใจมึงค่าย แต่บางครั้งมึงก็ไม่เคยเข้าใจกูเลย สองปีที่กูจมปรักกับการรักมึง ผลสุดท้ายมึงเห็นมั้ยว่ากูยังเป็นคนเดียวที่เจ็บ”

   “แล้วมึงรู้ได้ยังไงว่ากูไม่เจ็บวะเติร์ด กูแม่งก็ไม่ต่างกับมึงหรอก” มือหนาทำแผลให้ผมเสร็จเรียบร้อย ก่อนจะคว้าผ้าเช็ดตัวแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปทั้งที่เราพูดกันยังไม่เคลียร์เท่าไหร่ แต่ด้วยความอ่อนเพลียเลยไม่มีเวลามาคิดหาเหตุผลในตอนนี้นอกจากหลับตาลง

   พรุ่งนี้จะเป็นยังไงผมไม่รู้ รู้แค่ว่าในใจลึกๆ ผมก็ยังแคร์มันอยู่เหมือนเดิม แม่งโคตรน่าตบจริงๆ

   ผมหลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่แสงไฟในห้องตอนนี้ถูกปิดจนมืดสนิท เตียงที่นอนอยู่อ่อนยวบ รับรู้ถึงใครอีกคนที่กำลังคลานขึ้นมาพลางใช้มือสัมผัสบนแขนของผมเบาๆ ความเย็นนั้นส่งผลให้ผมต้องพลิกตัวหนีแต่สุดท้ายก็ถูกดึงเข้าไปในอ้อมกอดของใครอีกคนอยู่ดี

   อ้อมกอดนั้นค่อยๆ รัดแน่นจนรู้สึกหายใจไม่ออก ได้แต่ส่งเสียงอู้อี้ไม่พอใจเป็นการตอบกลับ

   “ไอ้ค่าย อือ” ริมฝีปากเย็นชืดกดลงบนซอกคอผม ก่อนคมฟันจะกัดลงบนผิวเนื้ออย่างแรงจนผมครางออกมาอย่างลืมตัว คนจะหลับจะนอนทำอะไรวะไอ้เหี้ย

   “ไอ้โบนจูบมึงตรงไหน”

   “...” ผมไม่ตอบ

   เจ้าตัวเลยทั้งจูบทั้งกัดไปทั้งซอกคอ เดาว่าความรุนแรงนั้นคงทำให้คอช้ำไม่มากก็น้อย ผมพยายามใช้เข่ากระทุ้งร่างสูงที่คล้ายจะขึ้นคร่อมด้วยแรงที่มี แต่มันกลับไม่สะทกสะท้านกอดผมแน่นขึ้นจนกระดูกแทบหัก จากนั้นก็เลื่อนริมฝีปากขึ้นไปขบกัดกับริมฝีปากของผมอย่างแรง

   “กูเห็นว่ามันจูบปากมึงด้วย” พูดจบไอ้ค่ายก็สอดลิ้นเข้ามาภายในราวกับตั้งใจจะสูบวิญญาณ สติที่มีอยู่น้อยนิดปลิดปลิวหายไปทันทีที่ถูกรุกจูบอย่างรุนแรง ได้แต่บิดตัวไปมาด้วยความรู้สึกซ่านในอก วนลูปอยู่อย่างนั้นหลายนาที   เมื่ออีกฝ่ายเปิดโอกาสให้ได้หายใจ ผมก็พ่นคำด่าใส่ทันที

   “ไอ้โบนจูบกูแล้วจะทำไม กูควรถามมึงมากกว่าว่ามึงจูบใครไปบ้าง ควรถามมากกว่าว่ากูรู้สึกรังเกียจมึงมั้ย”

   “มึงไม่ได้รังเกียจกูจริงๆ หรอก”

   “มึงมันก็แค่พวกชอบคิดเข้าข้างตัวเอง”

   “ถึงมึงรังเกียจกูก็ไม่ปล่อยมึงไปอยู่ดี เพราะกูรักมึง”

   “ทำไมถึงได้พ่นคำนี้ออกมาง่ายๆ วะ”

   “เพราะกูรักมึง”

   ท่ามกลางความมืดสนิทยามค่ำคืน ผมไม่เห็นแม้แต่สีหน้าของคนที่ตระกองกอดอยู่แม้แต่เสี้ยว จับได้ก็แค่น้ำเสียงที่ติดสั่นเครือเล็กน้อย ทุกครั้งที่ประโชค ‘กูรักมึง’ แว่วเข้ามาในหู แรงกอดรัดจากอีกฝ่ายจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ฝังใบหน้าของผมให้จมลงบนอกกว้างทีละนิดจนแทบหลอมรวมเป็นเนื้อเดียว

   “กูจะไม่ปล่อยมึงไปเติร์ด ถ้าเลือกได้กูก็จะกอดมึงเอาไว้แบบนี้”

   “แม้กูจะอึดอัดแค่ไหนก็ตามน่ะเหรอ”

   “ใช่”

   เราต่างเงียบหยั่งเชิงกันไปมา นานเหมือนกันกว่าผมจะตัดสินใจพูดบางอย่าง

   “อยากมั้ย”

   “อะไร”

   “มีเซ็กซ์”

   “...”

   “กูรู้ว่ามึงอยากลอง กูให้ฟรีๆ เลยถึงตอนนั้นมึงจะได้รู้ไงว่าชอบหรือเกลียด กูให้โอกาสมึงได้ทำและตัดสินใจว่าจะรักกูต่อหรือจะเดินจากไป” ความรักของไอ้ค่ายก็แค่ขับเคลื่อนไปด้วยเซ็กซ์ ไม่ว่าปัจจุบันหรืออนาคตมันก็ยังคงเป็นแบบนั้น

   “ไม่ กูไม่ได้เห็นมึงเป็นที่ระบายความใคร่นะ”

   “แต่ปกติมึงก็ทำแบบนั้น”

   “ต้องไม่ใช่กับมึง”

   “ค่าย ถ้ากูบอกว่าจริงๆ แล้วกูไม่ได้รักมึงล่ะ กูแค่อยากเอาชนะมึงจะโกรธกูมั้ย”

   “ไม่ เพราะมึงไม่ได้คิดแบบนั้น”

   “ทำเหมือนรู้จักกูดีจัง”

   “มึงก็รู้จักกูไปซะทุกอย่าง เรามาไกลกว่าคำว่าเพื่อนไปเยอะแล้วนะเว้ย” ผมหัวเราะในลำคอเมื่อได้ยินประโยคก่อนหน้า มาไกลกว่าคำว่าเพื่อนก็กลับไปเป็นเพื่อนได้ไม่รู้เหรอ

   ไอ้ค่ายเรียนรู้ที่จะได้รับ และไม่เคยคิดที่จะต้องสูญเสีย มันก็แค่เด็กหวงของคนหนึ่งเท่านั้น

   “อย่างอื่นกูไม่รู้หรอก แต่เติร์ดที่กูรู้จักคือคนที่รักกู”

   “อืม มึงพูดถูก” ผมพึมพำในลำคอ สิ่งที่ผมเป็นไม่ว่าอดีตหรือปัจจุบันคือผมยังรักไอ้ค่าย แม้อนาคตจะตัดใจได้หรืออาจเริ่มต้นความรักครั้งใหม่ที่ยังไม่รู้ แต่ปัจจุบันผมก็ยังมีแค่มัน

   “ส่วนกูก็รักมึง” เสียงทุ้มพูดอีก ผมเลยส่ายหน้าไปมา

   “ไม่ใช่หรอก ไอ้ค่ายที่กูรู้จักไม่ได้รักกู”

   “...”

   “ไอ้ค่ายน่ะ รักแต่ตัวเอง”

   

อ่านต่อด้านล่างค่ะ

ออฟไลน์ Jittirain12

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 353
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1238/-18

   เช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้น แต่ผมก็ยังคงรู้สึกถึงแรงรัดรึงจากวงแขนหนาหนักของใครบางคนที่พาดผ่านตัวอยู่ อาการวิงเวียนหัวยังค้างคาอยู่เล็กน้อยแต่ไม่มากแล้ว ผมค่อยๆ ปรือตาขึ้น ปรับโฟกัสสายตาจนเห็นเพดานสีขาวสะอาดอยู่ตรงหน้า

   ด้านข้างมีร่างสูงใหญ่ของใครคนหนึ่งนอนประชิด ฝ่ามือหนาพาดอยู่บนเอวราวกับกาวเหนียว ผมพยายามขยับตัวอย่างเบาที่สุดเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายตื่น แต่ก็เหมือนจะเปล่าจะโยชน์เมื่อไอ้ค่ายลืมตาขึ้นมาหลังจากนั้นแทบจะทันที

   “ตื่นแล้วเหรอ” นี่คือคำทักทายแรกในเช้าวันใหม่ ผมกรอกตาไปมาก่อนจะพยักหน้าแทนคำตอบ

   ต้องทำทุกอย่างให้เหมือนเดิมสินะ แม้ในใจจะไม่เหมือนเดิมแล้วก็ตาม

   “หิวมั้ย เดี๋ยวกูหาข้าวต้มในตู้ไปเวฟให้”

   “ไม่ล่ะ กูว่าจะรีบอาบน้ำแล้วกลับห้องเลย”

   “นอนพักต่อก็ได้นี่หว่า”

   “อาจจะไม่แล้ว อยากโทรหาไอ้ทูให้รีบมารับ”

   “กูไปส่งก็ได้”

   “ไม่เว้ย มึงนอนต่อเถอะ อ้อ! เสื้อผ้าของมึงขอยืมต่อนะ แล้วจะเอามาคืนให้” ผมรีบพูดและปิดประเด็นด้วยการกุลีกุจอลงจากเตียง จากนั้นก็ตรงดิ่งไปยังห้องน้ำอย่างเร็วรี่

   บาดแผลที่ฝ่าเท้ายังหลงเหลือความเจ็บอยู่เล็กน้อยจนทำให้เดินลำบาก แต่เพราะไม่อยากอยู่กับอีกฝ่ายนานเลยต้องฝืนใจอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดเดิมที่ใช้สวมนอน ส่วนตัวที่ใส่มานะเหรอ เปื้อนอ้วกจนไม่เหลือสภาพแล้ว

   “เติร์ด ก่อนมึงออกไปกินข้าวต้มก่อนสิ”

   กลิ่นหอมกรุ่นลอยขึ้นมาเตะจมูก ผมมองไปที่โต๊ะกินข้าวขนาดเล็ก เห็นข้าวต้มใส่ชามวางอยู่พร้อมกับน้ำดื่ม  แถมคนทำยังยืนยิ้มแป้นส่งมาให้อีกต่างหาก

   “ไม่ล่ะ ไอ้ทูคงใกล้มาถึงแล้ว”

   “ก็ให้มันขึ้นมาดิ มึงยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย”

   “กูอยากกลับว่ะไอ้ค่าย ไว้วันหลังแล้วกันนะ” สิ้นคำพูดนั้นผมคว้ามือถือและสวมรองเท้าเดินออกจากห้องทันที ถึงแม้จะรู้สึกแย่จากการกระทำของตัวเองนิดหน่อยแต่แบบนี้แหละดีแล้ว อีกหน่อยเวลาก็จะเยียวยาเราทั้งคู่เอง

   หลังลงมาจากห้องผมก็เห็นว่าเพื่อนรักอย่างไอ้ทูขับรถมารออยู่ก่อนแล้ว และเพื่อไม่ให้ไอ้ค่ายตามลงมาทันผมจึงรีบแทรกตัวเข้าไปในรถและเร่งให้ไอ้ทูขับออกไปอย่างรวดเร็ว เราเงียบกันพักหนึ่ง เสียงเพลงโพสต์ร็อกที่ดังคลออยู่ช่วยให้บรรยากาศโดยรอบดีขึ้นนิดหน่อย แต่แม่งก็ไม่สามารถปกปิดความอยากรู้ของคนขับข้างๆ ได้อยู่ดี

   “เคลียร์กันยังอ่ะ แต่ดูจากสภาพแล้วน่าจะหนักกว่าเดิม”

   “ไอ้โบนเป็นไงบ้างวะ” ด้วยไม่อยากตอบคำถาม ผมเลยเปลี่ยนเรื่องทันที

   “หน้าแหกสิถามได้ มันร้องโอดโอยฉิบหายตอนกูหามแม่งส่งโรง’บาล”

   “ฝากขอโทษมันด้วยนะ”

   “คิดไงไปจูบมันวะ ประชดไอ้ค่ายเหรอ”

   “...” เงียบอีก พูดถึงไอ้ค่ายทีไรก็เจ็บจี๊ดในใจทีละน้อย

   “เมื่อคืนกูโทรถามเหตุการณ์ในวงเหล้าแล้วนะ”

   “กูไม่อยากฟัง”

   “น้องชิงชิงคนนั้นเป็นฝ่ายรุกไอ้ค่ายนะเว้ย กูไม่อยากให้มึงสองคนเข้าใจกันผิดเพราะเรื่องแค่นี้”

   “แค่นี้เหรอวะ กูเห็นตำตาว่าแม่งบี้ปากกันอยู่”

   “เพื่อนมันบอกว่าทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เพราะอยู่ดีๆ น้องชิงก็ขึ้นคร่อมแล้วบี้ปากไอ้ค่ายเลยไง ไม่มีอินโทร ไม่บอกให้รู้ล่วงหน้า เป็นใครก็ตั้งตัวไม่ทันป่ะวะ มึงแค่ซวยไปเห็นช็อตเด็ดพอดี”

   “แล้วทำไมมันไม่แก้ตัวกูด้วยเหตุผลนี้วะ”

   “ถ้ามันพูดมึงจะเชื่อมั้ย เหี้ยๆ อย่างไอ้ค่ายใครก็ไม่อยากเชื่อ”

   “เออไง การกระทำหลายอย่างมันฟ้อง” จำได้ว่าตั้งแต่น้องคนนั้นเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายโสต ผมก็เห็นพฤติกรรมแปลกประหลาดของไอ้ค่ายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งไลน์ ทั้งการปรากฏตัวของน้องเขา ทั้งความสนิทสนมเกินความจำเป็น หลายอย่างทำให้ผมไม่สามารถคิดในเชิงบวกได้

   “แล้วนี่จะเอาไง” ไอ้ทูหันมามองผม ก่อนจะเปลี่ยนไปจดจ่อกับการมองถนนตรงหน้าแทน

   “กูจะตัดใจ คงเป็นได้แค่เพื่อน”

   “เสียดายว่ะ เดินทางกันมาไกลจากจุดนั้น สุดท้ายก็กลับไปที่เดิม”

   “ก็ดีกว่าต้องอยู่แบบเจ็บๆ”

   “ไม่ให้โอกาสมันบ้างเหรอวะ”

   “เคยให้แล้ว ไม่รักษาเอาไว้เองก็ควรจบ”

   “สงสารไอ้ค่ายว่ะ”

   “สงสารกูเถอะ”

   “เฮ้อออออออ ทำไมการรักใครสักคนมันเหนื่อยขนาดนี้วะ สู้ไม่รักเหมือนกูยังดีซะกว่า”

   “เลือกได้กูก็ไม่อยากรักใครหรอก”

   รถแล่นไปบนถนนที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ผมหวนคิดถึงครั้งแรกที่เจอกับไอ้ค่าย พร้อมกับตั้งคำถามกับตัวเอง มีใครบ้างวะบังคับไม่ให้เริ่มต้นรักใครสักคนได้ แต่ในเมื่อรักได้ก็ควรบอกให้หยุดได้เหมือนกัน
   












   ผมไม่อยากเจอไอ้ค่าย แต่สุดท้ายก็ต้องเผชิญหน้ากับเจ้าตัวในเช้าวันจันทร์อยู่ดี หลังเลิกคลาสเราต่างแยกย้ายทำหน้าที่ของตัวเองในกองละครนิเทศฯ

   ไอ้พี่เชนทร์เป็นคนแรกที่เดินเข้ามาตบบ่าผม จากนั้นก็ตามด้วยพี่อั้น เดาว่าทั้งคู่คงรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนวันศุกร์แล้ว ดูได้จากบรรยากาศอึมครึมที่เป็นอยู่จากทุกฝ่าย โดยเฉพาะฝ่ายโสตที่ตอนนี้ผมเห็นไอ้ค่ายเลือกปลีกวิเวกมาอยู่ไกลจากรุ่นน้องที่ชื่อชิงชิงค่อนข้างมาก

   “เป็นไงบ้าง ดีกันยังวะ” คำถามคลาสสิกหลุดออกมาจากปากผู้กำกับหุ่นหมี

   “ก็ไม่มีอะไรนี่พี่ ทุกอย่างยังเหมือนเดิม”

   “เหรอ เสียใจมั้ยที่พูดแบบนั้น”

   “พี่จำได้มั้ยที่เราเคยพูดกัน เรื่องเพื่อนที่เคยหยุดตัวเองเพื่อจะรักใครสักคนอย่างจริงจัง ตอนนี้ไอ้ค่ายเป็นคนส่วนมากที่หยุดไม่ได้ว่ะ”

   “กูก็เห็นมันหยุดแล้วนะ เรื่องคืนนั้นมึงเข้าใจผิดไปเองไม่ใช่เหรอ”

   “ก็ถ้าไม่เอาตัวเองเข้าไปยุ่งผมก็คงเชื่ออย่างนั้น แต่นี่ไม่ใช่ไง” แล้วประเด็นมันก็วนมาอยู่ที่เรื่องเดิมๆ คือการหวนนึกถึงภาพนั้นซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด

   ดีแค่ไหนแล้วที่ตอนนี้ยังไม่ได้คบกัน เพราะถ้าเราต่างถลำลึกว่ามากกว่าที่เป็น แล้วมารู้ความจริงทีหลังว่าไอ้ค่ายไม่ได้รักผมจริงมันจะเจ็บขนาดไหนวะ

   “ฟุ้งซ่านว่ะมึง ให้กูเรียกชิงชิงมาเคลียร์มั้ย”

   “เหอะ! ไม่ต้อง”

   “ความรักมันก็ต้องมีอุปสรรคกันบ้าง”

   “แต่ถ้าซ้ำซากขนาดนี้แม่งไม่เรียกอุปสรรคหรอก เรียกเหี้ย”

   “เอาเหอะ ยังไงกูก็ทีมมึงอยู่แล้ว มีอะไรให้ช่วยก็บอกได้ หรือจะบอกไอ้อั้นให้แก้แค้นก็ได้นะ” คนถูกพาดพิงยิ้มแฉ่ง ยืนกดนิ้วเสียงดังกรอดเป็นท่าประกอบด้วย

   โอยยยย ให้ไอ้พี่อั้นแก้ปัญหามีหวังว่าสุดท้ายจะเจอศพไอ้ค่ายลอยอยู่แถวอ่างน้ำคณะมากกว่า

   รุ่นพี่ปีสี่เดินจากไป ผมทิ้งตัวลงนั่งตรงมุมห้อง หยิบมือถือขึ้นมากดเลื่อนตามข่าวสารไปทั่วเนื่องจากว่างอยู่คนเดียว นี่ยังคิดเลยว่าสักพักคงไปช่วยฝ่ายศิลป์ทำพร็อพประกอบฉากแทน แต่กว่าจะถึงตอนนั้นเห็นทีผมต้องสู้รบปรบมือกับคนที่เดินส่งยิ้มมาแต่ไกลเสียก่อน

   “ขอนั่งด้วยดิ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขอ ซึ่งแทบไม่รอให้ผมตอบมันก็ทิ้งตูดลงบนพื้นไปแล้ว

   “ว่างเหรอ ได้ข่าวว่าพรุ่งนี้อัดเสียงแล้วหนิ”

   “ก็ไม่ใช่หน้าที่กูที่ต้องอัดนี่หว่า หิวมั้ยกูมีขนมติดมา”

   “ขอโทษไอ้โบนหรือยัง” ผมเปลี่ยนประเด็นอย่างเร็วรี่

   “ขอโทษแล้ว”

   “ดีละ เดี๋ยวกูจะไปช่วยฝ่ายศิลป์ทาสี มึง...จะไปด้วยกันมั้ย” เกลียดตัวเองจริงๆ ที่เผลอพูดออกไปแบบนั้น ใบหน้าหล่อเหลายิ้มมีความสุขพร้อมกับพยักหน้าหงึกหงักด้วยท่าทีลิงโลด

   เราเดินออกไปด้านหลังคณะ แหล่งซ่องสุมของฝ่ายศิลป์ที่กำลังง่วนอยู่กับการทำฉากมากมายมหาศาล แม้จะจ้างช่างมืออาชีพมาทำฉากใหญ่ๆ มากมาย แต่ด้วยงบที่มีจำกัดทำให้เราต้องทำเองค่อนข้างเยอะ

   “อ้าวไอ้เติร์ด ไอ้ค่าย ลมอะไรหอบมาวะเนี่ย” เพื่อนที่ทำหน้าที่นี้ตั้งแต่แรกทักทายขึ้น

   “ว่างงานเลยจะมีช่วย มีอะไรให้กูแสดงฝีมือบ้างวะ” ผมถาม ซึ่งเพื่อนมันก็ยินดีรีบชี้ไปยังฉากใหญ่ของงานที่มีแต่ไม้อัด

   ไอ้ควายยยยยย นี่พวกมึงไม่ได้ลงมือเหี้ยไรเลยนี่หว่า

   “ทาสีพื้นให้พวกกูก่อนแล้วกัน สีขาวอยู่ข้างเสา แปรงก็อยู่ตรงนั้น ขอบใจมากเว้ย” ว่าแล้วก็หันไปสรรสร้างกับการทาสีฉากอาคารเรียนอย่างตั้งอกตั้งใจ ผมมองหน้าไอ้ค่ายเลิกลัก ก่อนขายาวจะก้าวไปหยิบถังสีขนาดใหญ่ออกมาวางไว้ใกล้ๆ กับผม

   “แปรงอันแค่เนี๊ยะ” เผลอพูดอย่างปลงตก ทาสามวันโน่นกว่าจะเสร็จ

   “เดี๋ยวกูช่วย กูทาเร็ว”

   เรานั่งยองๆ บนแผ่นไม้อัด แล้วตั้งหน้าตั้งตาละเลงสีขาวกันทีละมุมไปเรื่อยๆ ระหว่างนั้นไอ้ค่ายก็ชวนผมพูดอยู่หลายเรื่อง จนสุดท้ายก็มาหยุดตรงเรื่องหนังสั้นที่เราแพลนว่าจะทำกัน

   “กูว่าจะเลื่อนเวลาที่เรานั่งรถไฟลงใต้ให้เร็วขึ้นว่ะ กูไปดูปฏิทินมาแล้ว ช่วงต้นเดือนหน้าเป็นวันหยุดยาวห้าวัน เราน่าจะกระชับมิตรกันนะ”

   “แล้วถามไอ้ทูกับไอ้โบนยังวะ”

   “ยัง นี่คุยกับมึงคนแรก เผื่อเห็นด้วยเราจะได้ไปเที่ยวกันไง”

   “ไปทำงานป่ะวะ”

   “ทำงานด้วย ได้เที่ยวด้วย”

   “ก็ถ้าพวกมันตกลงกูยังไงก็ได้”

   “เยส” เคยคุยกันไว้พักหนึ่งแล้วว่าปิดเทอมจะนั่งรถไฟจากกรุงเทพฯ ไปสุราษฎร์ฯ ระหว่างเดินทางก็ใช้เวลาเขียน Screenplay ไปด้วย โดยการเสนอไอเดียกันเรื่อยๆ เผื่อจะคิดอะไรดีๆ ออก

   ถ้าเปลี่ยนมาเดินทางเร็ว บางทีจิตใจทุกคนอาจดีขึ้นเพราะได้พักผ่อนไปในตัว งานนิเทศฯ ช่วงนี้ต้องบอกว่าค่อนข้างหนัก แม้จะไม่มีสอบแต่ละครเวทีก็ใกล้เข้ามาทุกที หากเคลียร์งานแล้วพาตัวเองปลีกวิเวกได้ก็นับเป็นเรื่องที่ดีเหมือนกัน

   “แล้วมีคนอื่นไปด้วยมั้ย” ผมถามไอ้ค่ายอีก

   “ไม่ๆ มีแค่เรา”

   “งั้นก็ยกเรื่องนี้ไปคุยในไลน์ หรือไม่ถ้าเจอไอ้ทูกับไอ้โบนก็ลองถามความเห็นมันซะ”

   “ไม่มีปัญหา แค่มึงโอเคก็ดีแล้ว”

   “อืม”

   “เติร์ด...”

   “ว่า”

   “ที่มึงบอกว่ากูรักแต่ตัวเองอ่ะมึงพูดถูก” มือหนายังคงตวัดแปรงจุ่มสีลงบนพื้นไม้อย่างช่ำชอง มันไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมด้วยซ้ำ แต่เรารู้ดีว่าเจ้าของคำพูดประโยคนั้นกำลังอยู่ในอารมณ์ไหน “กูรักตัวเอง กูเห็นแก่ตัว และเพราะความเห็นแก่ตัวเนี่ยแหละกูถึงได้รั้งมึงไว้ เพราะมึงอยู่ตรงนี้กูถึงมีความสุข ถ้าไม่มีมึงกูคงอยู่ไม่ได้”

   “มึงไม่ผิดหรอกที่จะคิดแบบนี้ แต่ไว้รอวันไหนที่มึงอยากให้กูมีความสุขโดยที่มึงไม่ได้มีส่วนร่วมในนั้น เราค่อยว่ากันอีกที ตอนนี้ก็เป็นเพื่อนกันเถอะ” ไม่ต้องพัฒนาไปมากกว่านี้แล้ว หยุดอยู่ตรงนี้ก็พอ

   “มึงจะรอกูใช่มั้ย”

   “ไม่รู้”

   “แต่กูรอมึงนะ”

   “อย่าพูดเพื่อกดดันกูเลยว่ะ ถ้าวันไหนที่มึงเจอคนที่ดีกว่ากูก็ไปเถอะ กูไม่อยากรั้งมึงไว้” ไม่แน่พรุ่งนี้มะรืนนี้ไอ้ค่ายอาจเจอใครสักคนที่รับมันได้ในทุกๆ อย่าง รักในสิ่งที่มันเป็นมากกว่าผมก็ได้

   เพราะตั้งเกิดเรื่องในคืนนั้น ความรู้สึกของผมก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป...












   Rrrr..!

   สายที่สามแผดเสียงดังขึ้นจากโทรศัพท์มือถือเครื่องประจำ ผมมองไปยังรายชื่อที่ปรากฏตรงหน้าก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ จะเนียนไม่รับสายอีกก็เหนื่อยที่ต้องฟังเสียงเรียกเข้าจากคนขี้ตื๊อแล้ว เลยตัดสินใจรับอย่างจำยอม

   “ว่าไง” กรอกเสียงลงไปเสร็จก็เหลือบมองนาฬิกาบนฝาผนังไปด้วย ตอนนี้ก็ปาไปสี่ทุ่มกว่าแล้ว

   [เก็บของเสร็จยัง ตื่นเต้นมากพรุ่งนี้ต้องเดินทางแล้ว]

   ไอ้ค่ายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี ใช่! พรุ่งนี้จะเป็นวันหยุดยาวที่เราแพลนว่าจะนั่งรถไฟไปเที่ยวเพื่อจำลองสถานการณ์และทดลองเขียนบทก่อนถ่ายทำหนังสั้นกันในเทอมหน้า ไอ้ทูกับไอ้โบนก็ตอบตกลงเห็นด้วย แต่สิ่งหนึ่งที่ผมไม่ได้บอกเอาไว้ก็คือ...

   ทริปนี้จะไม่มีผมในนั้น

   ซึ่งแน่นอนผมบอกไอ้ทูเอาไว้แล้ว มันเข้าใจและตัดสินใจเดินทางกันสามคนโดยไม่ได้บอกไอ้ค่าย อาจเพราะผมบกพร่องในหน้าที่ ยึดความรู้สึกเหนือหน้าที่ของตัวเอง แต่มันคงไม่โอเคเท่าไหร่ที่ตลอดห้าวันนี้เราต้องอยู่ด้วยกันด้วยความรู้สึกตะขิดตะขวงใจ

   “อืม เก็บเสร็จแล้ว” ผมโกหกอย่างหน้าด้านๆ

   แต่ถ้าบอกความจริงในตอนนี้ ไม่ยกเลิกทริป ไอ้ค่ายก็คงตามมาลากคอถึงที่ห้องซึ่งผมไม่อยากให้เป็นแบบนั้น

   [นี่กูเอาเสื้อผ้าไปหลายชุดเลย มีกางเกงชิลๆ ไว้ใส่เล่นน้ำ กล้องถ่ายรูป เสื้อกันฝนนี่ต้องเอาไปด้วยมั้ย]

   “ก็แล้วแต่มึงสิ”

   รู้สึกผิดอยู่ลึกๆ

   [พาวเวอร์แบงค์ก็ชาร์ตไว้เต็ม ไอพอดเอาไว้ฟังเพลง กีตาร์โปร่ง ขนมก็อัดไปเต็มกระเป๋าเผื่อมึงหิว นี่เอาสมุดจดบันทึกไปให้มึงด้วยเผื่อคิดอะไรได้กลางทาง เติร์ดมึงอยากได้อะไรเพิ่มมั้ย]

   “มะ...ไม่แล้ว” ทำไมถึงรู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมาดื้อๆ วะ เพียงเพราะไม่ได้ร่วมทริปกับมึงเหรอวะค่าย

   [เฮ้ยกูต้องเอาแมคบุ๊กไปด้วยป่ะ]

   “แล้วแต่มึงสิ”

   [เดี๋ยว แว่นตากับหมวก แปรงสีฟัน ยาสีฟันอีก โอยยยยยยย] เจ้าตัวบ่นระงมผ่านปลายสาย สลับกับเสียงกุกกักไปมาเหมือนกำลังตระเตรียมของอย่างรีบเร่ง

   “เตรียมเสร็จมึงก็ไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้เดินทางเช้า”

   [กูไม่นอนอ่ะ ไว้ไปนอนบนรถไฟยังได้]

   บางทีผมก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นเพื่อนที่เหี้ยฉิบหาย ว่าแต่ไอ้ค่าย เป็นผมนี่แหละที่รักแต่ตัวเอง แคร์แต่ตัวเอง ขณะที่อีกฝ่ายกำลังดีใจอย่างลิงโลดผมกลับนั่งคุยโทรศัพท์นิ่งๆ อยู่บนเตียง

   “มีเวลาอีกตั้งหลายชั่วโมง”

   [งั้นบอกฝันดีกูหน่อยดิ]

   “อืม ฝันดี”

   [ฝันดีครับ]

   ผมเป็นฝ่ายวางสายก่อน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะมองมือถืออยู่อย่างนั้น คืนนี้คงเป็นอีกคืนที่รู้สึกอึดอัดและลำบากใจที่สุด เราไม่ค่อยมีทริปยาวไปเที่ยวด้วยกันในกลุ่มเพื่อนเท่าไหร่ มาคราวนี้ก็รู้สึกผิดไม่น้อยที่ต้องผิดสัญญา เพียงแต่...

   ช่างแม่งเหอะ แค่ล้มตัวลงบนหมอนและหลับตา เดี๋ยวทุกอย่างก็เรียบร้อยเอง

   Rrrr..!

   แปดครึ่งเสียงเรียกเข้าทำหน้าที่เป็นนาฬิกาปลุกให้ผมต้องฉุดตัวเองลุกออกจากเตียง ทันทีที่เห็นปลายสายเป็นชื่อของไอ้ค่ายผมก็ทำหูทวนลมและรอจนกว่าอีกฝ่ายจะเงียบไปเอง

   มันดังอยู่อย่างนั้นสองสามครั้ง จนผมมั่นใจว่าเพื่อนอีกสองคนคงตามไปสมทบแล้วจึงกดปิดเครื่องเพื่อไม่ให้ใครรบกวน

   ช่วงบ่ายคล้อยเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ผมเดินไปเปิดประตูก่อนจะเห็นเพื่อนรักที่อยู่คนละชั้นยืนยิ้มแฉ่งอยู่ตรงหน้า

   “ไอ้ทู!”

   “เออกูเอง มีอะไรให้กินมั่ง หิวฉิบหายเลยว่ะ” มันเดินเกาท้องเข้ามาภายใน ผมที่ยุ่งไม่เป็นทรงถูกมัดไว้ลวกๆ สภาพที่เห็นตอนนี้ดูยังไงก็ไม่พร้อมสำหรับการเดินทาง ที่สำคัญตอนนี้ก็บ่ายกว่าแล้ว

   “เดี๋ยวนะ มึงไม่ได้ไปสุราษฎร์เหรอ”

   “สุราษฎร์ห่าไรกูเพิ่งตื่น พอดีเห็นมึงอยู่คนเดียวเลยอยากอยู่เป็นเพื่อน”

   “...”

   “เนี่ยเมื่อคืนกูโทรไปบอกไอ้โบนแล้ว มันก็เข้าใจนะ”

   “แล้วมึงได้บอกได้โบนมั้ยว่าทริปนี้กูไม่ไป”

   “ไม่ แต่แม่งคงรู้อยู่แล้วว่ามึงไม่สะดวกใจเท่าไหร่ ไปหาอะไรให้กูแดกทีซิ” เมื่อถูกเร่งมากๆ เลยจำต้องเข้าครัวทำของกินง่ายๆ ให้เพื่อนรักที่ตื่นเอาสายโด่ง ในใจก็นึกเป็นห่วงไอ้เพื่อนสองตัวขึ้นมาครามครัน ไม่รู้จะเป็นตายร้ายดียังไงบ้าง

   “แล้วนี่มึงเปิดมือถือไว้มั้ย”

   “ไม่ กลัวไอ้ค่ายโทรตาม” ไอ้ทูตอบพลางซดบะหมี่ใส่ปากอย่างเอร็ดอร่อย หนีปัญหาเหมือนกูเลย กลัวแม่งกลับมาจะโดนเฉ่งกันทั้งคู่

   “ฉิบหายแน่”

   “พรุ่งนี้ค่อยเปิดเครื่องให้แม่งด่า ถึงตอนนั้นอารมณ์คงดีขึ้นเพราะถึงทะเลเรียบร้อย”

   “ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะ”

   “เออนี่รู้ป่ะ น้องชิงชิงลาออกจากทีมแล้วนะ”

   “อะไรยังไง”

   “โดนกระแสบูลลี่จากฝ่ายโสตเนี่ยแหละ แหม...เขาเห็นกันตำตามั้งว่าน้องกล้าได้กล้าเสียกับไอ้ค่ายขนาดไหน ถ้าอยู่ต่อก็คงเป็นขี้ปากชาวบ้านอีกนาน”

   “อืม” ผมพยักหน้ารับฟังโดยไม่แสดงความเห็น ก็เห็นหลายๆ คนมาบอกให้ผมเลิกคิดมากเพราะไอ้ค่ายไม่ได้เล่นด้วย แต่เข้าใจใช่มั้ยครับ ภาพนั้นยังคงติดตาผมอยู่เลย   

   “ให้อภัยมันเถอะ กูไม่เคยเห็นมันจริงจังกับใครเท่ามึงเลยนะเว้ย”

   “ลองมาเจอเหมือนกูมั้ย”

   “โอเคกูไม่เสือกละ ไปทำบะหมี่มาให้อีกซองซิ หิวจนจะแดกหัวมึงได้อยู่แล้วเนี่ย” ผมส่ายหน้าไปมา แต่ก็ยอมทำตามคำขอของเพื่อนอย่างว่าง่าย ไอ้ทูแดกจนอิ่มแปล้ ล้างชามให้เสร็จมันก็หนีไปอาบน้ำแต่งตัว กลับมาเคาะห้องอีกทีก็ชวนเที่ยวและดูหนังจนดึกดื่น

   เราแยกย้ายตัวใครตัวมันตอนเข็มสั้นของนาฬิกาชี้ไปที่เลขหนึ่ง หลังปิดประตูลงเราต่างก็อยู่ในโลกของตัวเอง ดึกแล้ว ตอนนี้เพื่อนอีกสองคนคงถึงกำลังหลับอยู่ที่ไหนสักแห่ง

   ก๊อกๆ

   ตีสามเสียงเคาะประตูดังอีกรอบ ผมเดินงัวเงียออกไปอย่างโมโห นึกโกรธที่ไอ้ทูชอบสร้างปัญหาตอนดึกดื่น แต่สุดท้ายคนที่ยืนอยู่ตรงหน้ากลับไม่ใช่เพื่อนติสต์แตกของตัวเอง หากแต่เป็น...

   “เชี่ยโบน!”

   “เออกูเอง ไอ้เติร์ดมึงไม่ได้ไปเที่ยวกับไอ้ค่ายเหรอ”

   “ไม่ แต่ทำไมมึงมายืนอยู่ตรงนี้วะ” ไม่รู้ว่าสีหน้าตัวเองเป็นแบบไหน แต่หัวใจที่เต้นกระหน่ำและบีบรัดแน่นจนเหมือนหายใจไม่ออกอยู่ตอนนี้ทำให้ผมนึกถึงใครอีกคนขึ้นมา

   “กูน่าจะถามมึงมากกว่า พอดีกูอยากให้มึงสองคนได้ปรับความเข้าใจกันกูเลยไม่ไป”

   “ไอ้เหี้ยยยยยยยยย” ผมสบถดังลั่น รีบวิ่งไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่ปิดเอาไว้ขึ้นมาพร้อมกับกุญแจรถ

   “เดี๋ยวไอ้เติร์ดมึงจะไปไหน”

   “สถานีรถไฟ”

   “ตอนนี้เนี่ยนะ กูว่าไอ้ค่ายอาจจะกลับห้องไปแล้วก็ได้ มึงลองโทรหามันก่อนเถอะ”

   “เหรอวะ” ผมฉุกคิดได้ ดังนั้นจึงยืนกระวนกระวายเปิดเครื่องอยู่หน้าห้อง ไม่มีมิสคอลทิ้งไว้แม้แต่สายเดียว เดาว่าคนตัวสูงอาจจะกลับไปแล้ว แต่เพื่อความมั่นใจเลยกดโทรเช็กไปอีกรอบ

   ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก...

   “ไม่ติดว่ะ ยังไงกูก็จะไปที่สถานีรถไฟ ส่วนมึงรีบไปปลุกไอ้โบนแล้วแวะไปหามันที่ห้องดู ได้ข่าวยังไงก็โทรบอกกูด้วย”

   “โอเค”

   ต่างคนต่างแยกย้าย ผมพุ่งไปที่รถยนต์ส่วนตัวก่อนจะเหยียบคันเร่งมุ่งหน้าไปยังจุดหมาย ภาวนาอยู่ในใจว่าไอ้ค่ายคงไม่อยู่ตรงนั้น ตั้งแต่แปดโมงเช้าจนถึงตีสาม ไม่มีใครบ้ารออยู่หรอก ไม่มี…

   ทันทีที่ไปถึง จุดแรกที่ผมวิ่งไปคือที่ที่เรานัดหมายกันเอาไว้และผมก็เห็นว่ามันยังอยู่ตรงนั้นจริงๆ

   “ไอ้ค่าย”

   เจ้าของชื่อรีบหันขวับมาอย่างไวว่อง ร่างสูงสวมเสื้อฮาวายสีฟ้ากับกางเกงขาสั้นและรองเท้าแตะอยู่หน้าชานชาลา มันนั่งทับกระเป๋าเป้ใบใหญ่ ขณะข้างกายเต็มไปด้วยข้าวของไม่ว่าจะเป็นกีตาร์หรือสัมภาระอื่นๆ

   “โอ้โหปล่อยให้กูรอนานเชียว ไหนอ่ะกระเป๋า”

   “...”

   “กูซื้อตั๋วเผื่อมึงสามคนแต่ตอนนี้สายไปนิดหน่อย ไม่เป็นไรเดี๋ยวเราซื้อกันใหม่นะ” มันรู้ว่าโดนทิ้งแต่ก็ยังตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มฝืดเฝื่อนเหมือนเคย

   เท้าที่ก้าวย่างไปหาอีกฝ่ายเริ่มสั่นเรื่อยๆ จู่ๆ ก็รู้สึกอ่อนแอจนอยากปล่อยโฮออกมาให้มันรู้แล้วรู้รอด

   “กู...ขอโทษ”

   “ไม่เป็นไร คิดว่ามึงติดธุระเลยไม่โทรตามกลัวจะรบกวน แถมตอนนี้แบตก็หมดไปแล้วด้วย”

   “...”

   “ไหนอ่ะ ไอ้ทูกับไอ้โบน”

   “มันยังไม่มา” และตอนนี้ผมก็เดินไปประชิดกับเพื่อนตัวสูงเรียบร้อยแล้ว เนื้อตัวของมันเต็มไปด้วยรอยแดงจากการถูกยุงกัด สภาพที่เห็นอยู่ตอนนี้บอกได้เป็นอย่างดีว่ามันไม่โอเคแค่ไหน แต่ทำไมถึงยังฝืนยิ้ม

   “พรุ่งนี้เราเดินทางกันใหม่ รอให้พร้อมๆ ก่อนก็ได้”

   “คงไม่ทันแล้ว”

   “มันฉุกละหุกเนอะ ไม่เป็นไร แต่ถ้าคราวหน้าไม่อยากให้กูไปด้วยก็โทรบอกก่อนนะ”

   “...”

   “บางทีกูก็สำคัญตัวเองผิดไง”

   “...”

   “บางทีก็เข้าใจไปแล้วด้วยซ้ำ ว่าเราจะกลับมารักกันได้อีก”

   และตอนนั้นเองที่ผมโผเข้ากอดไอ้ค่ายไว้แน่น พร้อมกับปล่อยโฮออกมาอย่างลืมอาย...



   

ทำคนอื่นมาเยอะ โดนเองบ้างรู้สึกยังค่าย
 :angry2:

ออฟไลน์ fahsai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 815
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
แงงงงงงงงงงงงงง จบตอนแล้วหรอเขายังไม่เคลียร์กันเลยยย

 :z3: :z3: :a5:

ออฟไลน์ hoshinokoe

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1042
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
หน่วงๆเนอะ. มาต่อไวๆน้า อยากรู้ว่าจะจบยังไง
ไหนๆกะ มอบเพลงนี้ให้ค่าย. เพลง พัง(ลำพัง)

ออฟไลน์ Kaikaaa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
รักกันเถอะ ยอมรับตัวเองสักทีว่าไม่ทีใครขาดกันได้ อยู่แบบนี้ไปมีแต่เสียใจเสียเวลา ไม่มีใครมีความสุขสักที อนาคตไม่ต้องไปคิดแล้วว่าจะเจ้าชู้รึป่าว จะกลับไปเป็นเหมือนเดิมมั๊ย มัวแต่คิดก็ไม่มีอะไรดีขึ้น  :mew2:

ออฟไลน์ oilzaza001

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
สมน้ำหน้าไอ้ค่าย แบรร่  :laugh: :laugh:

ออฟไลน์ ืNtop

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 “มันฉุกละหุกเนอะ ไม่เป็นไร แต่ถ้าคราวหน้าไม่อยากให้กูไปด้วยก็โทรบอกก่อนนะ”

   “...”

   “บางทีกูก็สำคัญตัวเองผิดไง”

ไม่ได้ทีมค่ายนะคะ แต่เจอประโยคนี้ของค่ายเข้าไปไปต่อไม่เป็นเหมือนกันค่ะ  :hao5:

ออฟไลน์ me12inzy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
 :katai1: จะสงสารอีค่ายก็สงสารไม่สุด โดนขึ้นคร่อมบี้ปากแล้วผลักออกไม่ทันหราาาาาาา
อีชิงชิงนี่ไม่น่าโดนแค่นี้อะ ก....รี่ โอ้ย
เจ็บกันทั้งสองฝ่าย แบบ มันหน่วงอะ
เจ็บกับเติร์ด แต่ก็สงสารอีค่ายที่โดนเพื่อนเท

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด