ทฤษฎีจีบเธอ ∞ THE END
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ทฤษฎีจีบเธอ ∞ THE END  (อ่าน 2134377 ครั้ง)

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
นี่เราอ่านจากมุมของเติร์ดเท่านั้น และเติร์ดเมา + ระแวงอยู่แล้ว

สิ่งที่เห็นย่อมบิดเบือน

ค่ายเองก็ไม่โทษผู้หญิง แม้จะดูไม่ดีในหลาย ๆ เรื่อง แต่ค่ายไม่เคยกินในที่ลับ ไขในที่แจ้งกับผู้หญิงนะ
และก็จริงอย่างที่ทูว่า ค่ายพูดมาเติร์ดจะฟังเหรอ?


ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
อย่าบอกนะว่าเติร์ดใจอ่อนอีกแล้ว!? โฮ่~

ออฟไลน์ mtrain

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ค่ายมันเด็กเอาแต่ใจ ลูกคนเล็กอะไรก็ต้องได้
ตั้งแต่วางแผนเรื่องแพรวแล้ว ทั้งที่ตอนนั้นรู้ทั้งรู้ว่าถ้าทำเติร์ดต้องเสียใจ
เห็นด้วยซ้ำว่าเพื่อนกินข้าวทั้งน้ำตาเพราะตัวเองมันก็ยังทำ
มีแค่ความคิดเข้าข้างตัวเองโง่ๆ ว่าเพื่ออะไร ก็ไม่พ้นแค่ตัวเอง

ครั้งนี้พอรู้ตัวว่าคิดกับไอ้เพื่อนที่วางแผนเทไปตอนนั้นมากกว่าเพื่อนก็รุกไล่
โดยไม่มองหลังเลยว่าทำอะไรทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจกับเขาเอาไว้
 อาศัยที่รู้ว่าคนมันแอบรักมึงอยู่ก็เต๊าะไปเรื่อย เกือบดีอยู่แล้วจนมาโป๊ะแตกที่น้องชิง
 นางยั่วจนเติร์ดมาเห็นภาพนั้น อันนั้นเราคิดว่าเป็นสถานะการณ์อะนะ ยกประโยชน์ให้ทั้งสองฝ่าย
 แต่หลังจากนั้น เพิ่งผ่านเรื่องนั้น ที่เติร์ดมันยังไม่โอเคกับมึงอ่ะ แล้วมึงก็พยายามทำให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ่น
 พยายามดึงไอ้อะไรที่ตอนนี้มันพลิกคว่ำคะมำหงายเพราะเรื่องคืนนั้นหวังให้ทุกอย่างมันเหมือนเดิม มองหน้าไอ้เติร์ดมันด้วย  ตอนที่มันวิ่งมาหามากอดร้องไห้มึงจะแน่ใจได้ยังไงว่ามันแค่สมเพช รู้สึกผิด สงสาร โดยอาจจะไม่เหลือความรักให้มึงแล้วหะใอ้ค่ายย #อิน

ออฟไลน์ hikari_JH

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สั้นๆง่ายๆ "เจ็บ" :mew6:

ออฟไลน์ กุหลาบเดียวดาย

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 812
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-2
พล็อตเรื่องตอนนี้เจ้มจ้นที่สุดตั้งแต่อ่านมาเลย
ในแง่ของความรู้สึกสัมผัสได้เต็มๆเลย ว่าค่ายจะรู้สึกอย่างไร

ออฟไลน์ Sky

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 933
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-2
อ่านตอนนี้แล้วสงสารค่ายมากๆอ่ะ เหมือนค่ายรู้สึกว่าไม่มีคนอยู่ข้างๆแล้วเข้าใจอารมณ์นั้นเลย ฮืออออออ

ออฟไลน์ manami_01

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 980
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-1
อ่านไปอ่านมาก็เห็นว่าเติร์ดบางทีก็ด่วนสรุปเกินไปนะ ขนาดมีคนมาบอกว่าค่ายไม่ได้เริ่มก่อนก็ไม่เชื่อ

บ้างทีเติร์ดต้องเข้าใจค่ายด้วยว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้คิดอะไรกับเติร์ดแต่ตอนนี้พอรู้ว่าชอบก็พยายามปรับตัวเองเข้าหาให้มากขึ้น

เลิกนิสัยบ้างอย่างให้เติร์ดด้วยซ้ำ ทำดีด้วย อ้อนให้ทำนู้นทำนี่ ถ้าเป็นแต่ก่อนจะสนใจมั้ย

อยากให้เติร์ดคิดให้มากกว่านี้ทันเกมส์สาว ๆ ที่ชอบอ่อยหน่อย สู้ไปเลยแล้วถ้าค่ายยังไม่เลิกจริง ๆ ก็ตัดใจจบกัน

ออฟไลน์ why yyy

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +309/-8
ขอบคุณ :(

ออฟไลน์ hikari_JH

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :mew6: ฮืออออออ

ออฟไลน์ miejhx_

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-1
หงุดหงิดดดด หงุดหงิดตัวเอง ตอนที่แล้วก็เกลียดอิค่าย มาตอนนี้ดันสงสารมัน แต่รวมๆก็ยังสงสารไม่สุดอยู่ดี
นี่เข้าใจนะว่าค่ายมันตัวคนเดียว+โง่+สันดานเก่าอีก
เวลาแย่ก็ไม่มีคนอยู่ข้างๆ พอมีปัญหากับเติร์ดก็ดันโง่ไม่รู้จะแก้ปัญหายังไงอีก แล้วยังนิสัยเก่าที่เป็นใครเห็นภาพบี้ปากกับผู้หญิงก็ไม่มีทางเชื่อหรอกว่าไม่เล่นด้วย
แต่นี่ก็เข้าใจเติร์ดนะ รักก็รัก ตัดใจก็ยากแต่ต้องพยายาม
ยังคงทีมโหดน้อย ไม่ทีมค่ายแน่นอน เพราะนี่ว่าค่ายทำให้เติร์ดรู้สึกแย่หลายครั้งเกินไป ขนาดการมานั่งรอให้ยุงกัดเล่นนี่ยังทำให้เติร์ดรู้สึกผิดเลย
สาบานว่าถ้านี่เป็นเติร์ดเจออิค่ายนั่งพูดตัดพ้อแบบนี้ จะเดินเข้าไปตบหน้าสักฉาดก่อนแล้วบอกให้หยุดบ้าสักที5555555555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ทฤษฎีจีบเธอ ∞ ตอนที่ 16 [25/08/60] *หน้า41
« ตอบ #1299 เมื่อ: 28-08-2017 03:34:03 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ four4

  • รักนี้ชั่วนิรันด์
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
คือคนแต่ง เก่งมากเรื่องซีนอารมณ์

อ่านความรู้สึกเติร์ด ก็สงสาร
อ่านความรู้สึกค่าย ก็น่าสงสาร

โอ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย อึดอัด
รอคนแต่งมาต่อจ้าาาา

ออฟไลน์ EoBen

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-6
 “มันฉุกละหุกเนอะ ไม่เป็นไร แต่ถ้าคราวหน้าไม่อยากให้กูไปด้วยก็โทรบอกก่อนนะ”

   “...”

   “บางทีกูก็สำคัญตัวเองผิดไง”


เจอประโยคนี้ไป กับสภาพของค่ายตอนนี้

ใจอ่อนหยวบเลย



ออฟไลน์ Jittirain12

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 353
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1238/-18


ตอนที่ 17
ชีวิตเดิมเริ่มใหม่



   ผมไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่เราสองคนยืนกอดกันแล้วปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล ไอ้ค่ายไม่ได้พูดหรือปลอบใจให้ผมหายสะอื้น มันแค่อยู่นิ่งๆ นานนับนาที กระทั่งเราผละออกจากกันถึงได้เห็นว่าดวงตาคมของคนตรงหน้ากำลังแดงก่ำ

   เจ้าตัวไม่ได้ร้องไห้ แต่สิ่งที่เห็นแม่งเจ็บกว่าการที่มันร้องฟูมฟายแล้วด่าทอผมจนกว่าจะพอใจเสียอีก

   “กู...ไม่คิดว่ามันจะเป็นแบบนี้” คงไม่มีคำแก้ตัวใดๆ อีกแล้ว ผมจึงไม่อยากปฏิเสธ

   “เข้าใจ”

   “...”

   “เพราะกูเหี้ยมากใช่มั้ย พวกมึงถึงไม่มา” สิ้นสุดคำพูดนั้นใบหน้าหล่อเหลาก็คลี่ยิ้มบางๆ มาให้ ยิ้มที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและถาโถมเข้ามาจนผมรู้สึกผิด

   “ไม่ใช่ มันก็แค่เรื่องเข้าใจผิด...ไอ้ทูกับไอ้โบนไม่ได้ตั้งใจ ทั้งหมดเป็นความผิดของกูเอง” พูดแล้วน้ำตาผมมันก็พาลจะไหลอีก ไอ้ค่ายเลยเอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาให้ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง

   สิ่งที่เป็นในตอนนี้ไม่ใช่มัน ไม่ใช่ค่ายคนเดิมที่เคยรู้จัก

   “มึงไม่ผิด กูเต็มใจที่จะรอเอง”

   “...” ผมพูดไม่ออก ตอนนี้จะบอกว่าทำอะไรไม่ถูกเลยก็ยังได้

   “มึงมากับใคร” เสียงทุ้มถามอีกครั้ง

   “คนเดียว”

   “เหรอ งั้นค่อยๆ ขับรถกลับเถอะ ถ้าเราไม่มีแพลนเดินทางในวันพรุ่งนี้แล้ว กูคิดว่าตัวเองคงต้องกลับห้องแล้วเหมือนกัน” เจ้าตัวก้มตัวลงไปหยิบกระเป๋าเป้ขึ้นมาสะพายบ่า พร้อมกับหยิบสัมภาระหลายๆ อย่างขึ้นมา ผมใช้จังหวะนั้นคว้ากระเป๋าใส่กีตาร์ของมันเอาไว้ในมือ

   “กลับด้วยกันสิ” ตลอดหลายสัปดาห์ที่เราต่างหมางเมินกัน มันทำให้ผมรู้ว่าตัวเองต้องทรมานแค่ไหนกับการฝืนความรู้สึกไม่ให้รักไอ้ค่าย ฝืนจนรู้สึกเจ็บไปหมด นี่เหรอวะคือการหาทางออกให้กับตัวเอง

   “กูกลับได้เหรอ”

   “กลับ...ได้” น้ำเสียงที่ตอบกลับไปสั่นเทาเกินควบคุม

   “กลับได้จริงๆ นะ”

   “กลับได้แล้ว มึงไม่ต้องรอแล้ว”

   ร่างสูงพยักหน้ารับรู้แล้วเดินตามหลังผมด้วยความเงียบเชียบ เงียบ...จนรู้สึกเหงาขึ้นมาจับใจ

   ไอ้ค่ายไม่ได้เอารถมา มันขนของทุกอย่างใส่แท็กซี่และมานั่งรอเพื่อนอีกสามคนตั้งแต่หกโมงเช้า คืนก่อนมันพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ผิดกับตอนนี้ที่สีหน้าดูเหงาหงอยลงไปมาก แหงล่ะ โดนทิ้งอยู่ที่สถานีรถไฟข้ามวันเป็นผมก็คงโกรธจนไม่อยากพูดด้วย

   หลังเจอตัวไอ้ค่ายผมรีบติดต่อหาเพื่อนแก๊งโหดอีกสองคนให้สแตนบายรอที่ห้องของผม ส่วนตัวเองก็หันไปจดจ่อกับการขับรถพามนุษย์โดนทิ้งกลับหลังจากพากันร้องไห้น้ำตาแตกที่สถานีรถไฟไปก่อนหน้านี้

   นี่มัน...วาไรตี้ออฟเรียลไลฟ์โคตรๆ

   “หิวมั้ย” เพิ่งนึกออกว่าไอ้ค่ายอาจจะรอจนไม่ได้กินอะไรผมเลยถามด้วยความเป็นห่วง

   “ก็หิวนะ”

   “ตอนเช้ากินอะไรมา”

   “ไม่ได้กิน”

   “ตอนกลางวันอ่ะ”

   “แซนด์วิช ไม่กล้าไปไหนกลัวมึงมาถึงแล้วไม่เจอ มือถือก็ปิดเครื่องไง” รู้สึกผิดอีกแล้วกู

   “งั้นแวะหาอะไรกินก่อนแล้วกัน” ว่าแล้วก็ตบไฟเลี้ยวเข้าข้างทาง เพราะเห็นร้านบะหมี่ตั้งอยู่แถวนั้นเลยถือโอกาสพาคนตัวสูงไปหาอะไรรองท้องก่อน กระเพาะไอ้นี่เที่ยงตรงเกินไป บางทีไม่มีอะไรตกถึงท้องผมกลัวว่ามันจะป่วยเข้า

   “เอาอะไร”

   “มึงสั่งให้หน่อย” ทิ้งท้ายไว้เสร็จสรรพก็ย่างเท้าไปรอที่โต๊ะด้วยสีหน้าซีดเซียว ทิ้งภาระให้ผมบอกเมนูที่เจ้าตัวมักกินประจำกับแม่ค้าแทน

   “ไม่สบายป่ะเนี่ย”

   “เปล่า แต่มึงยกโทษให้กูแล้วเหรอ”

   “กูไปโกรธมึงตอนไหน”

   “ตอนชิงชิงไง” ผมแทบจะรูดซิบปากทันควัน หันไปเหม่อมองท้องฟ้า รถรา และแสงไฟยามค่ำคืนเพื่อเบี่ยงประเด็น

   ไอ้เรื่องนั้นมันก็ยังตงิดใจอยู่บ้าง แต่พอเจอมันถูกทิ้งที่สถานีรถไฟผมก็ลืมทุกอย่างจนหมด อย่างน้อยก็ไม่เคยคิดไว้ว่าเพื่อนจะพากันเทมันขนาดนี้มาก่อน

   “ทุกอย่างที่กูพยายามมามันพังหมดเลย” ผมรู้สึกแย่มากที่ได้ยินประโยคนี้ของเพื่อนตัวสูง น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเต็มไปด้วยความเศร้าสลด ที่ผ่านมาเราเจ็บกันไปเท่าไหร่แล้วกับคำว่ารัก

   “มีคนมาบอกกูว่าเขาเข้าหามึงก่อน ทำไมตอนนั้นไม่บอกวะ”

   “มึงไม่เชื่อกูหรอก”

   “แต่กูเห็นตำตา ไม่อยากจะคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องบังเอิญ”

   “มันไม่ใช่แบบนั้น ตอนที่เขาโถมตัวเข้ามาหากู กูไม่เคยจูบเขากลับ แต่ขณะเดียวกันกูก็อึ้งจนทำตัวไม่ถูก มันไม่ได้เคลิ้ม ไม่ได้มีอารมณ์ร่วม ไม่ได้รู้สึกอะไรนอกจากช็อก กว่าจะผลักเขาออกทุกอย่างที่กูพยายามทำมาก็ไม่เหลือแล้ว”

   ใช่! ไม่เหลืออะไรเลยในตอนนั้น แม้แต่ความไว้วางใจของผมที่มีให้อีกฝ่ายมาตลอดด้วย

   “กูแม่งเหี้ยเองที่พาตัวเองเข้าไปอยู่ในที่แบบนั้น เหี้ยเองที่หลังผละจากเขากูก็มีความคิดจะปิดบังมึงต่อไปด้วยความเห็นแก่ตัวที่ว่ากูไม่อยากเสียมึงไป แต่มันดันซวยที่มึงยืนอยู่ตรงนั้น ซวยที่มึงมาเห็นความเหี้ยของกูพอดี”

   “คืนนั้นถ้ากูไม่ออกมากับไอ้ทู วันนี้เราอาจดีกันอยู่ก็ได้ แต่กูก็แค่โง่ต่อไป”

   “กูเรียนรู้แล้วว่าต่อไปจะไม่ทำแบบนั้นอีก กูจะไม่โกหกมึง แม่งโคตรไม่มีความสุข จำได้ในวินาทีนั้นที่เห็นมึงวิ่งออกไป ใจกูมันหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่มแล้ว”

   “แถมมาเห็นกูจูบกับไอ้โบนพอดีเลยดิ”

   “อืม”

   “รู้สึกยังไง” ผมก็แค่อยากรู้...ในอารมณ์ชั่ววูบนั้น

   “โกรธจนอยากฆ่าให้ตาย โกรธตัวเองด้วยเนี่ย ทำเหี้ยไรไม่ถูกเลย” เป็นครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์มั้งที่ได้มานั่งนึกถึงเหตุการณ์วันนั้นแล้วเคลียร์กันตรงๆ พอได้ระบายก็รู้สึกโล่งใจแปลกๆ หรือจริงๆ แล้วที่ผมรู้สึกอึดอัดมานานมันเกิดจากการปิดกั้นตัวเองและไม่ยอมรับฟังความเห็นของไอ้ค่ายกันแน่

   “บะหมี่มาแล้วค่า” คุยได้สักพักบะหมี่ก็มาเสิร์ฟถึงโต๊ะ มือหนาเลื่อนชามของมันมาไว้ด้านหน้าผมก่อนจะพูดเสียงเบา

   “ปรุงให้หน่อย”

   “นี่กูมีเพื่อนหรือมีลูกชายอีกคนวะ”

   “เป็นอะไรก็ได้ขอแค่สำคัญสำหรับมึง” กูจะอ้วก เลยเบะปากใส่ขณะมือจ้วงตักเครื่องปรุงไม่ลดละ ไอ้ค่ายไม่ชอบอะไรเปรี้ยวๆ แต่กินเผ็ด ฉะนั้นก๋วยเตี๋ยวของมันเลยใส่แต่พริกป่นกับน้ำปลาเท่านั้น

    “เสร็จละ กินได้”

   “ขอบคุณคร้าบบบบ” น้ำเสียงเริ่มสดใสขึ้นทันทีที่ของกินถูกเลื่อนมาไว้ตรงหน้า คนตัวสูงสวาปามซดโฮกอย่างรวดเร็วจนหมดในชามแรก และระหว่างรอชามที่สองมาเสิร์ฟผมจึงเลื่อนของตัวเองให้แม่งแดกแก้ขัดไป

   “ความจริงมันก็มีหลายอย่างที่ทำให้กูรู้สึกไม่ดีกับมึงมาสักพักแล้ว” และเพื่อไม่ให้ความสงสัยที่ค้างคาใจนานเกินกว่านี้ ผมจึงเอ่ยปากพูดออกไป

   “มีอะไรถามมาเลย”

   “วันออดิชั่นนักร้อง กูเห็นเพื่อนแซวมึงกับรุ่นน้องคนนั้น กูจำประโยคได้ไม่แม่นแต่เพื่อนฝ่ายโสตพูดประมาณว่ามึงชอบเขา” แม้ไม่เห็นว่าไอ้ค่ายทำหน้ายังไงอยู่ แต่ดูจากสถานการณ์แล้วก็คงสนุกสนานกันเต็มแก่

   “คนที่พูดอ่ะชอบ แต่ไม่รู้จะลงที่ใครเลยเบี่ยงมาใส่กูต่างหาก”

   “แต่มึงก็ไม่ได้ปฏิเสธ”

   “รอฟังอยู่นานมั้ยเนี่ย”

   “นาน”

   “ก็ไม่ได้ตอบอะไร แต่เพื่อนในกลุ่มจะรู้ว่ากูทำหน้าไม่พอใจใส่มันอยู่”

   “แล้วเรื่องไลน์อ่ะ กูเห็นมึงแอบคุยกับเขา”

   “เพราะไม่อยากให้มึงไม่สบายใจ”

   “นั่นแหละที่ทำให้ไม่สบายใจ เพราะมึงเลือกมีความลับกับกูมากกว่าพูดแบบนี้ไง”

   “งั้นอยากอ่านมั้ย” มือหนาหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง

   “ไหนบอกแบตหมด”

   “เห็นพาวเวอร์แบงค์ของมึงอยู่ตรงเบาะหลังกูเลยหยิบมาเสียบ ถ้ามันทำให้เรากลับไปเป็นเหมือนเดิมได้มึงทำเต็มที่เลย” ใจจริงผมไม่อยากก้าวก่ายความเป็นส่วนตัวของไอ้ค่ายนัก แต่ชีวิตที่ผ่านมาของมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้วางใจได้ หากนี่เป็นคำตอบที่ทำให้ผมหายสงสัย มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องหยุด

   ในคอนแท็กของคนตรงหน้ามีชื่อรุ่นน้องที่ชื่อชิงชิงอยู่จริง แต่มันไม่เหมือนเดิมตรงที่ว่าเจ้าของไลน์นี้ถูกบล็อกไว้แล้ว

   ข้อความในอดีตที่ไอ้ค่ายคุยกับเขามีไม่มากนัก ผมเลื่อนขึ้นไปด้านบนสุดเพื่ออ่านตั้งแต่ประโยคแรกด้วยความรู้สึกอธิบายไม่ได้...


ChingChing
พี่ค่ายนี่ชิงชิงเอง
ที่เราเจอกันตรงห้องออดิชั่น

K.Khunpol
อ๋อครับ
ChingChing
วันนี้ขอบคุณมากนะคะ
ถ้ามีปัญหาเกี่ยวกับการอัดเสียงชิงถามพี่ค่ายได้มั้ย

K.Khunpol
ครับ
ChingChing
ตอนนี้ทำอะไรอยู่คะ
K.Khunpol
จะนอน
ChingChing
เหรอคะ งั้นไม่กวนแล้วนะ
K.Khunpol
ครับ
   

   ข้อความของวันนั้นจบลงตรงที่ไอ้ค่ายไม่สานต่อด้วยการตอบกลับใดๆ และทั้งคู่ก็ไม่ได้คุยกันอีกจนกระทั่งเช้าวันใหม่ ทุกวันจะมีข้อความที่ส่งจากชิงชิงมาทักทายเสมอ ไอ้ค่ายก็ตอบสั้นๆ แค่ประโยคเรียบง่ายอย่างคำว่า ‘ครับ’ จนผมเองยังรู้สึกหงุดหงิดกับคนที่คุยด้วยเลย

   กระทั่ง...


ChingChing
เพื่อนพี่บอกว่าพี่ชอบชิง
K.Khunpol
ใคร
ChingChing
พี่เมฆฝ่ายโสต
K.Khunpol
อ๋อ จริงๆ ไอ้เมฆนั่นแหละชอบน้อง
พี่ไม่ได้ชอบ


   อ่านถึงตรงนี้แล้วผมรู้สึกว่าตัวเองพลาดอะไรบางอย่างไป หรือเพราะที่ผ่านมาระแวงมากเกินถึงไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเรื่องทุกอย่างไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด

   ผมยังคงตั้งหน้าตั้งตาเลื่อนข้อความที่คนทั้งคู่พิมพ์คุยกันไปเรื่อยๆ ตลอดระยะเวลานับเดือน ก่อนจับจุดประสงค์ของอีกฝ่ายได้ว่าน้องเขาคงชอบไอ้ค่ายมากจริงๆ เพราะดูได้จากภาษาที่ใช้และการทักทายถี่ยิบเกินปกติ


ChingChing
วันนี้ฝ่ายโสตนัดเลี้ยงพี่ค่ายมามั้ย
มาเถอะนะ มีอะไรสนุกเพียบ
ช่วงนี้เงียบหายไปเลย เป็นอะไรหรือเปล่า
พี่ค่าย

K.Khunpol
วันนี้ไม่ว่าง แต่คนอื่นไปครบนะครับ
ChingChing
อยากให้ไปด้วยกัน
นานๆ จะได้สังสรรค์กันสักที
เราเหนื่อยกันมามากแล้ว

K.Khunpol
ชิง พี่ว่า...
เราเลิกคุยกันแบบนี้เถอะ
ChingChing
ชิงทำอะไรผิดรึเปล่า
K.Khunpol
พี่มีคนที่ชอบแล้ว กำลังตามจีบอยู่
เพื่อนพี่ชื่อเติร์ด ถ้าชิงยังจำได้
พี่ไม่อยากให้เติร์ดไม่สบายใจ
ChingChing
เข้าใจค่ะ
แต่พี่เติร์ดก็คงไม่ห้ามไม่ให้พี่มาใช่มั้ย
วันนี้เป็นงานของฝ่ายโสต พี่จะไม่มาเลยเหรอ



   ข้อความตั้งแต่ต้นจนจบมีเพียงเท่านี้ ถึงแม้ไอ้ค่ายไม่ตอบกลับข้อความของอีกฝ่าย แต่สุดท้ายมันก็ไปฉลองกับฝ่ายโสตอยู่ดี ผมเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวทุกอย่างได้ทั้งหมด จนมาถึงจุดที่เราไม่เข้าใจกันในวันนั้น

   “มึงน่าจะบอกกูให้เร็วกว่านี้” ผมพูดด้วยน้ำเสียงเนือยๆ

   “อยากบอกมานานแล้ว แต่มึงไม่เปิดโอกาสให้กูได้ทำแบบนั้นเลย”

   “...”

   “เราทะเลาะกันเป็นอาทิตย์ มีมึงอยู่ใกล้แต่ก็เหมือนโคตรไกล แถมยังปิดกั้นกูอีกต่างหาก”

   เพราะตอนนั้นมันเจ็บมากไง เจ็บจนไม่อยากรับฟังอะไร มีแต่เพื่อนเนี่ยแหละที่คอยพูดกรอกหูพร้อมกับปลอบใจว่าสิ่งที่ผมเห็นมันไม่ใช่เรื่องจริง ผมเลือกฟังแค่นี้โดยไม่คิดจะฟังคำอธิบายจากปากของไอ้ค่ายสักนิด

   สุดท้ายกลับพบว่าความคิดนั้นมันแย่บรม

   “ขอโทษ”

   “มึงไม่ได้ผิดเติร์ด กูเหี้ยเองจำไม่ได้เหรอ”

   “ขอโทษที่ไม่เชื่อใจมึง และขอโทษที่วันนี้กูทิ้งมึงไว้”

   “อืม...พวกมึงแม่งปิดมือถือหมด กูเป็นห่วงนะ กลัวจะเป็นอันตราย”

   “ทุกคนปลอดภัยดี จริงๆ แล้วกูก็แค่ไม่อยากเจอมึง”

   “ตรงประเด็นฉิบหาย แล้วไอ้ทูกับไอ้โบนอ่ะ อย่าบอกนะว่ามันก็เกลียดกูด้วย”

   “เปล่า ไอ้ทูตั้งใจอยู่เป็นเพื่อนกู ส่วนไอ้โบนเข้าใจว่ากูจะไปเลยเปิดโอกาสให้เราได้ปรับความเข้าใจกัน สุดท้าย...”

   “กูโดนทิ้ง ขอบคุณครับบบบบบบบ” คนตรงหน้านั่งเดาะลิ้นเสียงดังเป๊าะ เห็นท่าทางแบบนี้กูไม่สงสารละ อยากขอน้ำตาที่เสียไปคืน

   “คิดซะว่าเป็นความฝันละกันนะ” ได้แต่พูดปลอบใจแค่นั้น

   “ฝันร้ายหรือฝันดีล่ะ”

   “คงฝันร้าย เพราะมึงรอนาน”

   “ไม่หรอก ฝันร้ายของกูคือการไม่มีมึงอยู่ต่างหาก”

   เอาซะกูไปไม่เป็นเลย ไม่มีอะไรให้จิ้มด้วยดิ ตอนนี้มือว่างมาก บิดตัวก็ไม่ได้เดี๋ยวไอ้ค่ายรู้ว่าเขิน นี่กูไบโพลาร์สัดๆ เลยนะเพราะก่อนหน้ายังอึนๆ กับมันอยู่เลย

   “เขินเหรอ”

   “เปล่า”

   “ดีละ กูพูดไม่จริง”

   “สัด”

   “แต่ถ้าได้รักกันจริงกูคงกราบกาแฟดำกับ M150 ที่ช่วยให้กูอยู่รอดในชานชาลาจนได้มาเจอมึง” นี่มันสูตรฮีลร่างกายยามสอบเลยนี่หว่า

   “ไหนบอกไม่ลุกไปไหนไง”

   “ตอนนั้นเดินไปเยี่ยวเลยจำต้องแวะซื้อมา คือถ้าไม่ปวดเยี่ยวกูก็นั่งรออยู่ที่เดิมแหละ รู้ป่ะ ตอนนั้นกูแม่งโคตรเหมือนตัวเอกที่มีกล้องดอลลี่อยู่ตลอดเวลาเลยนะเว้ย”

   “ตั้งใจพูดเพื่อปลอบใจหรือตอกย้ำกูกันแน่”

   “ไม่ได้หมายถึงแบบนั้นเลย แต่ไว้ทริปหน้า...”

   “ฮึ?”

   “ไว้ทริปหน้ามาเริ่มต้นกันใหม่เถอะ”

   “อือ”

   “มึงเคยบอกว่าอยากทำหนังสั้นแนวแฟนตาซีตอนจบปีสี่ ส่วนกูไม่เคยคิดอะไรเอาไว้ จนระหว่างที่นั่งรอมึงอยู่ตรงชานชาลากูก็คิดออก” ก๋วยเตี๋ยวชามที่สามเสิร์ฟลงบนโต๊ะ ไอ้ค่ายจับตะเกียบไว้มั่นแล้วคีบบะหมี่เข้าปากแทบจะทันที

   “คิดอะไรควายๆ ออกอีกอ่ะ” คือกูอยากฟังมากกว่านั่งมองมึงแดกตะกละตะกลามอยู่แบบนี้

   “กูอยากเล่าช่วงเวลาที่ผู้ชายคนหนึ่งรอคนรักของเขาโดยที่ไม่รู้เลยว่าคนๆ นั้นจะโผล่มาเมื่อไหร่ แล้วอยู่ดีๆ ก็เสือกโดนฆ่าตายซะก่อน ตื่นมาอีกทีก็อยู่ที่ชานชาลา โดนยิงตายแล้วตื่นแบบวนลูป”

   “สัด นั่น Edge of tomorrow”

   “จุดประสงค์ไม่ได้ทำเพื่อก๊อปหนัง แต่จะเอาไว้ตอกย้ำมึงว่าทำให้คนอื่นรอซ้ำซากต่างหาก”

   “โคตรเลว”

   “กูบันทึกเสียงไว้ด้วยนะ อยากฟังป่ะ”

   กลายเป็นผมต้องมาลุ้นอีกเนี่ยว่าจะโดนไอ้ค่ายด่าเป็นภาษาอะไรบ้าง นี่โดนทิ้งมาเกือบวัน ไม่แน่อาจผูกใจเจ็บเอาไว้เยอะ ยิ่งเจอข้อความเสียงเป็นสิบก็ถึงกับร้องโอ้โห ทำไมมึงด่ากูไม่บันยะบันยังขนาดนี้วะ

   “นี่มึงจะฆ่ากูเลยป่ะเนี่ย เยอะฉิบหาย”

   “อัดอั้นตันใจ”

   นาทีนี้ทำใจดีสู้เสือกดเข้าไปที่บันทึกข้อความแรกพลางเหลือบตามองคนที่ก้มหน้าก้มตากินไปด้วย ไอ้ค่ายทำท่าเหมือนไม่สนใจ ผมเลยพุ่งประเด็นมาที่การฟังข้อความจากมือถือแทน


ข้อความเสียงที่หนึ่ง
8 นาฬิกาเวลานัดหมาย ที่นี่คนเดินพลุกพล่านมาก
กูนั่งรอพวกมึงอยู่ตรงชานชาลาหมายเลข 7 ช่วยรีบมาเร็วๆ ดิวะ เดี๋ยวก็ตกรถไฟหรอก


ข้อความเสียงที่สอง
9 โมง ไม่รู้ว่านาฬิกาบ้านแม่งตายหรือเปล่าเพราะตอนนี้รอสองชั่วโมงแล้วยังไม่ยอมโผล่มาสักที
เสียงประกาศดังขึ้นแล้ว รถไฟที่เราต้องนั่งเคลื่อนผ่านไป สมน้ำหน้า...พวกมึงตกรถไฟ


ข้อความเสียงที่สาม
ไอ้สัด 10 โมงแล้วครับไปตายห่าที่ไหนกัน หัดรับโทรศัพท์กูบ้าง


   “ด่าเก่งจังวะ”

   “คลายเครียด”


ข้อความเสียงที่สี่
11 นาฬิกาไร้วี่แววของเพื่อนพ้อง หรือกูควรกลับไปตั้งหลักใหม่


   “แล้วทำไมไม่กลับตั้งแต่ตอนนั้น”

   “เพราะกลัวว่าถ้ามึงมาแล้วไม่เจอจะเสียใจไง”

   “แล้วรอแบบนั้นไม่เสียใจกว่าเหรอ”

   “ถ้าใครสักคนต้องเสียใจ ให้คนคนนั้นเป็นกูเถอะ”


ข้อความเสียงที่ห้า
เที่ยงวันตรงเผง กระเพาะกูร้องดังมากเลยต้องกินแซนด์วิชที่ซื้อติดกระเป๋ามา
พวกมึงเป็นอะไรหรือเปล่าวะ รถยางแบนเหรอ กูเป็นห่วง...


ข้อความเสียงที่หก
บ่ายโมง กูไม่กลัวว่าจะตกรถไฟ หรือรถไฟขบวนไหนจะออกจากชานชาลาอีก
กูกลัวแค่ว่าพวกมึงจะไม่โผล่มามากกว่า


   
อ่านต่อด้านล่างค่ะ

ออฟไลน์ Jittirain12

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 353
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1238/-18

   ผมนั่งฟังข้อความทั้งหมดในมือถือนับสิบข้อความ ไอ้ค่ายบันทึกเสียงทุกๆ หนึ่งชั่วโมงเพื่อบอกความคิดและสถานการณ์ในตอนนั้น การเฝ้ารอทรมานผมรู้ดี และคิดว่าคนที่กรอกเสียงลงไปนั้นกระวนกระวายแค่ไหนที่ถูกทิ้งให้เคว้งอยู่ลำพัง

   จนกระทั่งหกโมงเย็น ผมก็ไม่ได้ฟังข้อความที่บันทึกเอาไว้อีก

   “แบตหมดน่ะ” เสียงทุ้มบอกอย่างรู้ทัน

   “เหรอ บันทึกเสียงจนแบตหมด”

   “เปล่าหรอก กูโทรจนแบตหมดเลยต่างหาก”

   “ไหนบอกว่าไม่ได้โทรตามกูไง”

   “โทรหามึงแค่ครั้งแรก พอรู้ว่าปิดเครื่องเลยไม่โทรตามอีก กลัวว่ามึงจะรำคาญ เลยหันไปโทรตามมึงจากเพื่อนในเอกแทน แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่ามึงไปไหน ในใจมันกลัวฉิบหายว่ามึงจะเป็นอันตราย รู้มั้ยว่าก่อนหน้าที่รอกูแม่งห่วงว่าตัวเองคงถูกทิ้งแน่ๆ โกรธไปสารพัด”

   “...”

   “แต่พอหลังจากนั้นกูกลับห่วงพวกมึงมากกว่า กลัวว่าจะเป็นอันตราย กลัวไปต่างๆ นานา รู้ตัวอีกทีก็ตอนรุ่นพี่ในคณะโทรมาบอกว่าเจอมึงกับไอ้ทูอยู่ที่ห้างเนี่ยแหละ ใจมันก็โล่งไปเปราะหนึ่ง เอาแต่ปลอบใจว่าเดี๋ยวพวกมึงก็คงมาเลยอยู่ต่อ”

   “ไอ้สัด มึงแม่งหลอกตัวเอง”

   “เออไง แล้วรู้มั้ยว่าถ้าแบตไม่หมดกูจะพูดกับมึงว่ายังไง”

   “ด่ากูมั้ง แบบ...ด่าประโยคที่เจ็บที่สุดเท่าที่มึงเคยพูดมา” เดาว่าอย่างนั้น ไอ้ค่ายรู้ตั้งแต่เย็นแล้วว่าเหตุผลที่ผมไม่มาตามนัดไม่ใช่เพราะอุบัติเหตุหรือเกิดเหตุฉุกเฉินใดๆ แต่ผมแค่ไม่อยากไป

   “งั้นฟังข้อความที่สิบเอ็ดนะ”

   “ไอ้เหี้ยเติร์ด!”

   “...”

   “ดีแล้วที่มึงไม่เป็นไร กูจะรออยู่ที่เดิม”

   ว่าแล้วมือหนาก็เอื้อมมาลูบหัวผมด้วยความเอ็นดูพร้อมกับฉีกยิ้ม กลายเป็นกูเองเนี่ยแหละที่รู้สึกผิดไปเองเหมือนกรรมตามสนอง

   และผมรู้...

   รออยู่ที่เดิมไม่ใช่สถานที่ หากแต่เป็นความรู้สึกมากกว่า

   “แล้วมึงรู้มั้ย ตอนที่ไอ้โบนเดินมาเคาะประตูห้องแล้วบอกว่าไม่ได้ไปเที่ยวกับมึงกูรู้สึกยังไง”

   “สมน้ำหน้าเหรอ” ผมส่ายหัว

   “รู้สึกเจ็บ”

   “...”

   “ในใจกูได้แต่บอกว่ารีบกลับไปเถอะ ขอให้มึงอย่ารออยู่เลย”

   “แต่กูก็รอมึง เพราะหวังว่าถึงแม้จะไม่ได้เดินทางไปด้วยกัน แต่อย่างน้อยเราก็ได้กลับบ้านด้วยกันอยู่ดี”

   “มึงรออยู่ตรงนั้นนานมากกว่ากูจะมา”

   “อือฮึ”

   “คืนนี้ไปนอนที่ห้องกูมั้ย” ไม่ได้ชวนนะ แค่ถาม...

   “ก็ตั้งตารอให้มึงพูดคำนี้อยู่เหมือนกัน งั้นกินเสร็จแล้วไปห้องมึงเถอะ กูอยากนอนจะแย่” ไอ้ค่ายกินเร็วกว่าปกติทั้งที่แต่เดิมมันก็กินเร็วอยู่แล้ว ทันทีที่จ่ายเงินเสร็จผมจึงขับรถมุ่งหน้ากลับคอนโด ที่ที่มีเพื่อนอย่างไอ้โบนกับไอ้ทูรออยู่ตรงนั้นด้วย

   หลังจากไขประตูเข้าไป ไอ้ค่ายก็ได้รับการต้อนรับจากเพื่อนอีกสองคนอย่างเต็มที่ด้วยการกระโดดขึ้นไปเกาะตัวมันแล้วล็อกคอจนแน่น

   “ไอ้ควายค่ายกูขอโทษษษษษ”

   “ปล่อยกูสัด อัก! ปล่อย!” ผมมองร่างสูงดิ้นพล่านไปมา ก่อนเพื่อนสองตัวจะลากบุคคลโดนทิ้งไปยังห้องนั่งเล่นและกระโดดทับจนได้ยินเสียงโอดโอยดังขึ้นมาไม่ขาด

   มันสามตัวเป็นพวกเล่นแรง แต่บางทีกูก็คิดนะว่านอกจากโดนทิ้งแล้ว ทำไมมันต้องโดนทำร้ายให้เจ็บปางตายเป็นการตอบแทนด้วยวะ กว่าจะเคลียร์กันเสร็จก็ปาไปเกือบครึ่งชั่วโมง เตะกันสิบห้านาที ส่วนอีกสิบห้านาทีที่เหลือแม่งหมดไปกับการยืนด่ากัน นี่ก็เพิ่งจับเข่ามานั่งคุยกันดีๆ ได้

   ต้องขอบคุณเพื่อนร่วมเอกที่ติดต่อมาหาไอ้โบน เพราะหลังจากเปิดเครื่องมันก็ได้พบความจริงที่เจ็บปวดว่าเราได้ทิ้งเพื่อนคนหนึ่งให้รออยู่ที่สถานีรถไฟนานนับสิบชั่วโมง   

   “สรุปมึงหายโกรธกูแล้วใช่มั้ยเพื่อน” ไอ้โบนเอ่ยถามพลางยิ้มสู้

   “มึงคิดว่ากูควรตอบว่าไงพวกเหี้ยเอ๊ย บางทีถ้าจะเบี้ยวนัดช่วยโทรมาบอกกูด้วยครับ คนรอแม่งทรมาน”

   “ก็ส่งไอ้เติร์ดไปกู้หน้าแล้วไง มันห่วงมึงจะตาย”

   “ตอนไหนวะ” ผมแหวใส่ทันที นั่งจับเข่าคุยกันอยู่สามคน สุดท้ายก็วกกลับมาพาดพิงผมอีกจนได้

   “โหยยยย ตอนมันรู้ว่ากูไม่ได้ไปด้วยมันแม่งรีบเหยียบรถไปหัวลำโพงเลย จ้า! ไม่ห่วงเลยจ้า” ประชดบวกแดกดันนี่สันดานไพร่ไอ้โบนเลยครับ รู้สึกคันตีนอยากกระทืบคนแถวนี้ขึ้นมาเฉย

   “แล้วจะกลับกันได้ยังอ่ะ ตีสี่กว่าแล้วเนี่ย”

   “แหมไอ้เติร์ด ไล่กูสองคนเพื่อจะได้สวีตกับขุนพลเหรอครับ”

   “อย่ามาตลกไอ้ทู กูง่วงจะตายห่าละ มีอะไรค่อยมาคุยกันพรุ่งนี้ก็ได้”

   “เคๆ งั้นกูไปนอนก่อนละ มึงสองตัวก็...อย่าจิ้มๆ กันก่อนซะล่ะ เดี๋ยวไม่ลุ้น” เลว! ผมบ่นตามหลังไอ้ทูกับไอ้โบนจนถึงหน้าประตู ไม่นานความเงียบงันก็กลับมาอีกครั้งเมื่อในห้องเหลือเพียงผมกับไอ้ค่ายที่เอาแต่มองหน้ากันเลิกลัก

   “กูจะไปเปลี่ยนเสื้อใหม่”

   “เปลี่ยนกางเกงด้วยดิ”

   “คิดหื่นอะไรอีกเนี่ย”

   “อะไร กูเป็นห่วงมึงนะกลัวจะมีกลิ่นบะหมี่ติดกางเกงไง” สีหน้าแม่งดูสัปดนมากครับ กูเชื่อก็โง่สุดๆ ละ

   “เดี๋ยวกูจัดการเอง”

   “เปลี่ยนตรงนี้เลยจะได้ไม่เสียเวลา”

   “เวรเถอะ”

   “หากางเกงขาสั้นมาใส่ได้มั้ย ชอบความเซ็กซี่อ่ะ”

   “ไม่มี”

   “กางเกงบอลก็ได้”

   “กูจะนอน ไม่ได้จะออกไปเตะบอล ส่วนมึงไปอาบน้ำก่อนเถอะ ผ้าเช็ดตัวก็อยู่ในตู้เหมือนเดิม” พูดจบก็ส่งสายตาขวางๆ ออกไปให้ด้วยเผื่อมันจะได้สงบปากสงบคำไว้บ้าง เดี๋ยวนะ! ก่อนหน้าที่เจอกันตรงสถานีรถไฟสภาพอย่างกับหมาโดนเจ้าของทิ้ง แต่ตอนนี้กลับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังตีนเฉย

   “อาบน้ำด้วยกันอีกรอบมั้ย เผื่อกูจะช่วยขัดหลังให้” สาระแน! ความรักระหว่างผมกับมันจะไปกันรอดจริงเหรอวะ ดูจากสภาพไม่น่าจะไหวเพราะความหื่นของไอ้ค่ายมักมาเป็นพักๆ

   “รีบไสหัวไปได้แล้ว รำคาญ”

   “โอเคๆ”

   “อย่าอาบนานล่ะเดี๋ยวหรรมยุ่ย” ผมสำทับไปอีกรอบเป็นเชิงติดตลก

   “ห่วงน้องชายกูไม่แข็งตัวก็บอก” และไอ้ค่ายก็ตอบกลับมาแบบที่กูไม่ตลกอีกเช่นเคย คิดต่างเชิญทางอื่น คิดหื่นเชิญทางนี้

   สิบนาทีให้หลังคนตัวสูงก็เดินออกจากห้องน้ำพร้อมกับเสื้อผ้าชุดใหม่ที่เป็นของผม เจ้าตัวกดปิดสวิตช์ไฟอย่างรู้งาน จากนั้นก็กระโดดขึ้นเตียงอย่างรวดเร็วโดยไม่ถามความเห็นเจ้าของเตียงอย่างผมก่อน แถมมันยังถือวิสาสะรวบตัวผมเข้าไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงโดยไม่ถามสุขภาพกูสักคำด้วย

   “กูอึดอัด นอนดีๆ ได้มั้ยวะ”

   “ก็คนมันมีความสุขอ่ะ นึกว่าจะได้นอนที่หัวลำโพงซะละ”

   “รู้งี้กูให้มึงนอนที่นั่นก็ดี”

   “เดาว่าคนแถวนี้คงนอนร้องไห้”

   “ไม่ได้อยู่ในจุดที่เอะอะก็ปล่อยโฮขนาดนั้นมั้ย” แม้ความเป็นจริงจะใกล้เคียงกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูดก็ตาม หมดกันความคูลที่สั่งสมมา

   “โอเคมึงแม่งโคตรเข้มแข็ง โคตรเท่ เพราะงั้นคืนนี้ช่วยเป็นหมอนข้างให้หน่อย พอดีกูชอบนอนเด้าหมอนข้างอ่ะ”

   “ไอ้ฉิบหาย”

   “มีหลายอย่างที่กูชอบแล้วมึงยังไม่รู้ บางทีกูอาจหยิบมันเข้าไปเขียนในบทตอนทำหนังสั้นปีสี่ เช่น การนอนเด้าหมอน ขย่มพื้น เทคนิคโลกสวยด้วยมือเรา การมองนมผู้หญิงในมิติอิโรติก” นี่แม่งคือศาสตร์ห่าเหวอะไรวะ เอาจริงๆ ชีวิตผมต้องมาเจอคนแบบนี้ตามจีบจริงเหรอ สำคัญที่สุดคือกูชอบมันก่อนด้วย

   “ค่าย มึงช่วยหยุดพูดเรื่องแบบนี้ได้มั้ยวะ กูจะอ้วก”

   “งั้นเล่าช่วงเวลาสับสนของกูก่อนจะมารักมึงให้ฟังเอามั้ย”

   “ไร้สาระน่า”

   “รักกับมึงไม่ไร้สาระนะ”

   “มีอะไรก็เล่ามา”

    “ความรู้สึกตอนที่รู้ว่ามึงชอบกูครั้งแรก แม่งอาการเหมือนคนหูดับเลยว่ะ จะบอกว่าไม่เชื่อหูตัวเองก็คงประมาณนั้น รับไม่ได้ สับสน โกรธ สารพัดจะรู้สึก บางทีก็อยากเดินเข้าไปบอกมึงตอนนั้นเลยว่าอย่ารักกูเลย กูดูแลของสำคัญไม่เป็นหรอก” ความรู้สึกในอดีตถูกเล่าเป็นฉากๆ แต่ผมก็เดาถูกตั้งแต่แรกว่าไอ้ค่ายคงคิดแบบนั้นอยู่แล้ว

   เพราะฉะนั้นเลยไม่โต้เถียงหรือถามกลับ นอกจากฟังความในใจของอีกฝ่ายเงียบๆ เท่านั้น

   “ขนาดกระเป๋าตังค์กูยังทำหาย รถกูก็ทำพังไปไม่รู้กี่คันก่อนจะมาใช้ชาวี นับประสาอะไรกับใจมึง ให้กูดูแลสักวันหนึ่งก็คงพังคามือกูแน่ๆ”

   “พังก็พังดิ”

   “ตอนนั้นกูเหี้ยมากนะ ยอมพังจริงเหรอ”

   “กูเตรียมใจไว้แต่แรกแล้ว ถึงรู้ว่าสักวันหนึ่งมึงรักษาใจกูไม่ดี มันก็คือปัญหาของกูที่ต้องดูแลเอง กูรักมึงได้ก็ต้องฮีลตัวเองจากความเจ็บปวดได้ นั่นคือสิ่งที่กูคิดเมื่อนานมาแล้ว ต่างจากตอนนี้...” ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป กลไกการป้องกันของผมไม่ได้อยู่ที่การฮีลหลังผ่านอะไรมา แต่หมายถึงจะไม่เปิดโอกาสให้มันเกิดขึ้นจนรู้สึกเจ็บมากกว่า แล้วเป็นไง

   ...ทำไม่ได้อยู่ดี…

   “ต่างจากตอนนี้ที่กูทุ่มเทกับการรักมึงสุดตัว ขณะที่มึงยังคงลังเลใช่มั้ย” ไอ้ค่ายกำลังเดาความคิดของผม

   “กูไม่ได้ลังเล กูแค่ไม่ไว้ใจมึง”

   “ก็กำลังพิสูจน์ตัวเองให้มึงเห็นอยู่นี่ไง”

   “บี้ปากผู้หญิงเนี่ยนะ ที่ให้อภัยเพราะเห็นมึงไม่เล่นด้วยหรอกถึงให้โอกาส ไม่อย่างนั้นก็คงจบกัน แม้แต่คำว่าเพื่อนยังไม่อยากคิดเลยว่าจะเหลือหรือเปล่า”

   “โชคดีที่กูยังได้รับโอกาสนั้น ขอบคุณนะเติร์ด”

   “ไม่ใช่เรื่องที่ต้องขอบคุณ”

   “ขอบคุณดิ อย่างน้อยก็มีโอกาสได้รัก”

   แล้วไอ้ค่ายก็ชักแม่น้ำทั้งห้าเล่าเรื่องผู้หญิงในอดีตต่อเกือบชั่วโมงเหมือนเด็กร้อนวิชา แต่กูก็เก่งนะครับที่ทนฟังมันจนถึงตอนนี้ได้

   “ง่วงยัง ถ้าง่วงก็หลับไปได้เลยไม่ต้องฟังหรอก” มันถามเหมือนรู้ทัน แต่วงแขนหนาหนักยังคงกอดผมเอาไว้แน่นไม่คิดปล่อยให้เป็นอิสระสักที

   “ยัง” แม้ตอนพูดออกไปน้ำเสียงจะกลั้วน้ำลาย และสายตาจะเต็มไปด้วยความง่วงงุนแค่ไหนก็ตาม ทำไมวะ ทำไมถึงต้องทนฟังเรื่องเล่าบ้าบอจากมันด้วย

   “นอนได้ไม่ต้องโกหก”

   “ยังไม่ง่วงเลย”

   “นี่ถามจริง”

   “อือ”

   “สรุปแล้วมึงอยากรู้เรื่องความรักที่ผ่านมา หรืออยากรู้เรื่องของกูกันแน่”

   ทำเป็นรู้ดี! แต่ก็คง...เป็นอย่างหลังมากกว่าแหละมั้ง

   











   ทริปเดินทางโดยรถไฟจากกรุงเทพฯ ไปสุราษฎร์ฯ พังลงไม่เป็นท่าหลังจากต่างคนต่างเบี้ยวนัดจนไอ้ค่ายโดนทิ้งไว้ที่สถานี แล้วรู้มั้ยว่าแก๊งโหดหาข้อดีของการพลาดทริปครั้งนี้ด้วยเหตุผลอะไร

   ฝนไม่ตก

   ใช่ครับ เพราะทริปของเราคือต้องมีเพื่อน รถไฟ และสายฝน ถ้าไม่มีฝนแม่งคงไม่อิน นั่นคือเหตุการณ์เมื่อสัปดาห์ก่อน ส่วนปัจจุบันฝนตกทุกวันจนรองเท้าแฉะ

   ทางคณะนิเทศศาสตร์และทีมกองละครเวทีจัดผังตารางการขายบัตรใหม่ ถึงแม้ว่าความคืบหน้าของละครจะไปไม่ถึงไหน แต่เพื่อหางบเข้าคณะให้มากที่สุดเนื่องจากเงินของฝ่ายสวัสดิการเริ่มร่อยหรอ เราจึงต้องมีการเปิดขายบัตรรอบพรีเซลขึ้นก่อน

   รอบนี้จะเปิดจองที่แฟนเพจของละครเวทีนิเทศฯ แต่ตอนรับบัตรเราจะแบ่งคนไปตามจุดต่างๆ เพื่อขายบัตรและรับเงินในตอนนั้นเลย ซึ่งหน้าที่หลักเป็นของฝ่ายพีอาร์ แต่เนื่องจากว่าคนไม่พอเลยต้องระดมนักแสดงไปเรียกกระแสด้วย แม้แต่นักแสดงเก่าอย่างไอ้ค่ายก็ต้องออกโรง

   ก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายไปตามจุดต่างๆ เราก็มีการนัดรวมพลเพื่อรับบัตรที่คนดูจองทางแฟนเพจมาแจกจ่ายกันก่อน

   “ต้องช่วยกันขายบัตรให้ได้ตามเป้านะ ไม่งั้นเข้าเนื้อ” เฮดฝ่ายพีอาร์กำชับเสียงเข้ม ปีนี้วิกฤตหนักกว่าทุกปีจริงๆ

   “ไอ้ฟาน มึงก็ช่วยใช้หน้าหล่อๆ ของมึงหลอกล่อสาวๆ มาด้วย” พระเอกของเรื่องพยักหน้าหงึกหงัก แบกละครเอาไว้ทั้งเรื่องไม่พอยังต้องแบกหน้ามาอ่อยชาวบ้านเพื่อหาเงินอีก ไม่เหลือแล้วศักดิ์ศรีอ่ะ แม่งแดกไม่ได้

   “ขอเสนอว่าแต่ละจุดควรมีแบ็กดรอปของละครเราไปด้วยนะ จะได้เป็นการประชาสัมพันธ์”

   “ดีๆ มีใครเสนออะไรอีกมั้ย”

   “ผมมีวิธี เอา nmd ไอ้ค่ายไปขายสิ รุ่นนั้นปล่อยมือสองได้หลายหมื่นเลยนะ”

   “นั่นของก๊อป”

   “ตอแหล!!”

   “นี่กูไง ค่ายอะราวด์เดอะเวิร์ล” การโต้เถียงของไอ้ค่ายกับไอ้ทูทำให้คนฟังนั่งเกาหัว นอกจากไม่ช่วยแล้วยังทำให้ชาวบ้านเขาเสียเวลากันอีกว่ะ

   “รำคาญว่ะ รีบแยกย้ายไปเถอะก่อนที่ฝนจะตก ฟ้ามืดแล้วเนี่ย” พี่เชนทร์เป็นฝ่ายจบประเด็น เราจึงแยกย้ายไปตามจุดต่างๆ ที่ได้รับมอบหมาย คนได้จุดอินดอร์หน่อยก็ถือว่าโชคดีไป แต่ถ้าโชคร้ายก็คงเป็นแก๊งโหดเนี่ยแหละที่ถูกเตะมาอยู่โซนหน้าหอสมุด เข้าไปข้างในก็ไม่ได้ แถมลุงยามยังให้ใช้พื้นที่แค่เพิงหมาแหงน หลบแดดฝนได้แค่นิดหน่อยเท่านั้น

   ซ่า!!

   “นั่นไง เทลงมาละแม่ง” ดีที่ขนแบ็กดรอปและสัมภาระมาหมดแล้ว เราสี่คนเลยยื่นเรียงแถวหน้ากระดานหลบฝนไปก่อน

   “ทำยังไงก็ได้ให้ฝนหยุดตกเถอะว่ะ” ไอ้ทูจุดประเด็นขึ้น

   “ให้ไอ้เติร์ดไปปักตะไคร้ดิ มันยังซิงอยู่”

   “สังคม...กูกลัวจะแล้งไปถึงชาติหน้า” พูดขนาดนี้ก็ต่อยตัวๆ กับกูเถอะเชี่ยทู

   “ทำอย่างนี้ดิ” คราวนี้ไอ้ค่ายเสนอบ้าง แต่มันไม่ได้พูดอย่างเดียวเพราะเล่นเอื้อมมือด้านๆ มาดึงแก้มของผมจนยืดด้วย

   “ทำแบบนี้ฝนจะได้ไม่ตกเหรอวะ” ไอ้โบนถามอย่างสงสัย เอาจริงๆ กูก็สงสัยด้วย เจ็บด้วยเนี่ย

    “เปล่า แค่หมั่นเขี้ยวไอ้เติร์ดเฉยๆ”

   “โว๊ะ เกินไปมั้ยคนเราอ่ะ” ผมรีบปัดมืออีกฝ่ายออกจากหน้าอย่างเคืองๆ ฝนตกขนาดนี้คงไม่มีคนโง่ฝ่ามารับบัตรชื้นๆ ถึงตรงนี้หรอก แต่จะให้ยืนเตะน้ำที่สาดเข้ามาตรงปลายตีนหรือเหม่อมองหลังคาที่มีเม็ดฝนหล่นกระทบพื้นไม่รู้จบก็คงจะอินดี้กันเกินไปหน่อย เพราะงั้นไอ้ทูเลยเป็นฝ่ายหาเรื่องชวนคุย

   “ฝนตกแบบนี้คิดถึงเมื่อปีก่อนเลย วิ่งฝ่าฝนกันมาเรียน”

   “อ๋อ กูจำไอ้เติร์ดได้ แม่งยังเอาเชือกผูกรองเท้าห้อยคอแล้ววิ่งตีนเปล่ามาคณะอยู่เลย”

   “ทำไมกูไม่รู้เรื่องวะ” จู่ๆ ไอ้ค่ายก็พูดขึ้น ผมสามคนเลยหันขวับไปมองมันก่อนจะระลึกความทรงจำในอดีต

   “ตอนนั้นมึงติดเมียป่ะวะ จำได้ว่าโดดคลาสบ่อยกว่าเข้าเรียนอีก” และไอ้โบนก็เป็นคนไขความกระจ่างให้ ตอนนั้นอย่าพูดว่าไอ้ค่ายติดเมียเลย ติดนมมากกว่า เพราะมันไม่ได้ควงคนเดียวแต่เปลี่ยนผู้หญิงบ่อยยิ่งกว่ากางเกงใน

   นับเป็นช่วงที่ชอกช้ำระกำใจที่สุดในชีวิตผมแล้วมั้งครับ ปีสองเทอมสอง ช่วงเวลาที่พีคสัดๆ ของการมีความรัก

   “ตอนนั้นยังไม่มีใครรู้เลยมั้งว่าไอ้เติร์ดชอบมึง รู้งี้จีบก่อนก็ดี ปากแม่งนุ่มฉิบหาย”

   “ไอ้โบน ไอ้สัด!” ถ้าไม่ติดว่าผมยืนคั่นกลางอยู่มันทั้งคู่คงถลาเข้าไปคลุกวงในกันเรียบร้อย แต่ทำไมประเด็นต้องพุ่งเป้ามาที่กูอีกวะ

   “เติร์ดแม่งจูบกูเอง”

   “แล้วมึงก็โดนกูต่อยต่อไงจำได้มั้ย”

   “จำได้ลางๆ แต่เพราะจูบไอ้เติร์ดหวานเลยจำได้ดีกว่า”

   “ฆวย”

   “ทีมึงยังอยากทำมิดีมิร้ายไอ้เติร์ดเลย”

   “นั่นสิทธิ์ของกู มึงเป็นแค่เพื่อนอย่าเจ๋อครับ”

   “เลิกพูดเรื่องนี้เถอะ กูไม่ชอบ” ทุกเสียงเงียบลงถนัดตา หลังจากผมเป็นฝ่ายหยุดประเด็น แหมมึง...คุยกันข้ามหน้าข้ามตาไม่เกรงใจกูเลยนะ

   “ทำยังไงถึงจะชอบ” ไอ้ค่ายถามต่อ

   “ซื้อรถใหม่ให้กูสิ เอาแบบสปอตเท่ๆ ราคาสิบล้านอัพ”

   “มึงชอบแบบนี้จริงดิ เดี๋ยวป๋าจัดให้”

   “กูประชดมั้ย” ไอ้นี่ก็เป็นจริงเป็นจังกับทุกอย่างเลยโว้ย ตอนนี้เขาคงยาวกว่าควายแล้วมั้ง ด้วยความที่จะด่าควายก็สงสารควายผมจึงเบี่ยงประเด็นไปพูดเรื่องใหม่ทันที “แล้วเดี๋ยวแจกบัตรเสร็จจะไปไหนกันต่อ”

   “กลับกับมึงไง” ไอ้ค่ายตอบอย่างไวว่อง ก่อนจะหันไปเขม่นกับไอ้โบนที่ชูโทรศัพ์มือถือขึ้นมาแล้วพูดเป็นเสียงกระซิบ

   “มีนัดกับสาว”

   “แล้วมึงอ่ะไอ้ทู” ผมหันไปถามคนที่เงียบสุดในสถานการณ์ มันแม่งเงียบมาสักพักละ มัวแต่มองฝน มองน้ำ ราวกับกำลังคิดวิตกเรื่องอะไรสักอย่าง

   “กูเหรอ เดี๋ยวกูไปกับรุ่นพี่ แม่งบอกจะมารับไปดูหนัง”

   “อืม” ก็เป็นปกติของมันอยู่แล้ว “ว่าแต่...ดูกับแก๊งไหนวะ”

   “พี่อั้น”

   “ไอ้พี่อั้นเนี่ยนะ มึงไปสนิทกับมันตอนไหน!”

   “โหยยย พี่มันเป็นผู้ช่วยผู้กำกับมั้ย มันก็ต้องมีดีลงานกันบ้างสิวะ”

   “เออ”

   ไม่มีใครถามอะไรกลับไปอีกนอกจากรอให้ฝนหยุดตกเกือบครึ่งชั่วโมง แต่ก็ไม่มีท่าทางว่าจะหยุดเลย ต่างคนต่างหยิบมือถือขึ้นมาเล่นเป็นการฆ่าเวลา

   ไม่นานผู้หญิงคนหนึ่งก็วิ่งฝ่าสายฝนตรงดิ่งมาหาเราอย่างทุลักทุเล มีจุดประสงค์สองอย่างที่สามารถเดาได้ตอนนี้คือหนึ่ง รีบมาอ่านหนังสือที่หอสมุดมาก หรือสองเลยเวลานัดรับบัตรละครเวทีมาสิบกว่านาทีแล้ว เลยต้องฝ่าฝนมาอย่างจำยอม

   สภาพเปียกปอนแถมยังสั่นงกๆ ทำให้ผมกับเดอะแก๊งต้องรีบหาเสื้อคลุมมาให้คนตรงหน้าอย่างรวดเร็ว กระทั่งเธอเงยหน้าขึ้นมา เราทุกคนก็เหมือนกับถูกแช่แข็งอยู่ตรงนั้น

   “มารับบัตรละครเวทีค่ะ” แจม...

   แฟนคนล่าสุดที่เลิกกันไป คนนี้ต้องเรียกว่าแฟนอย่างจริงจังเพราะอยู่ยาวนานที่สุด จะบอกว่ายังไงดี อดีตของไอ้ค่าย ยังตามหลอกหลอนเราอยู่ทุกวัน

   “เอ่อ...อ้อ เดี๋ยวขอชื่อจริงก่อนนะครับ รับบัตรแล้วหลบฝนอยู่ตรงนี้ด้วยกันก่อนก็ได้นะ” คำชักชวนนี้เป็นของไอ้โบน แต่ดูจากสีหน้ามันแล้วก็ดูไม่ได้ยินดีจะให้อยู่ด้วยกันเท่าไหร่

   “ชื่อสุณิชชา แล้วนี่เสื้อคลุมค่ายเหรอ” นิเทศศาสตร์มีเสื้อคลุมคณะ เป็นสีดำ พื้นหลังปักหลายคำว่า Nitade ตัวเท่าเป้ง แต่คิดว่าคนเป็นแฟนเก่ากันยังไงก็คงจำของหรือกลิ่นของกันและกันได้บ้าง

   “อื้อ”

   “มีความสุขดีนะ” ผมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ อึดอัดอย่างบอกไม่ถูกที่มาอยู่กั้นกลางระหว่างคนสองคนที่มีสถานะเป็นแฟนเก่า และคือกู...เป็นเพื่อนที่คิดไม่ซื่อมาตลอด ตอนนี้แจมก็คงรู้แล้ว

   ตลอดเวลาที่เคยช่วยเหลือเรื่องความรักของไอ้ค่ายกับแจม ผมไม่ได้เต็มใจเท่าไหร่นัก ถึงจะบอกว่าไม่คิดอะไรแต่มันก็ย้อนแย้งกับตัวเองเหมือนกัน

   “ก็โอเค สุขทุกข์ปะปนกันไป แจมอ่ะเป็นไงบ้าง”

   “ก็ไม่เป็นไงนะ แค่เจ็บ”

   ประโยคนั้นเหมือนเหล็กแหลมเสียบเข้ามาที่ขั้วหัวใจโดยไม่ทันตั้งตัว เกลียดสถานการณ์แบบนี้มาก เลือกได้ก็คงไม่พาตัวเองมาอยู่ในจุดนี้

   “แล้วเติร์ดล่ะ คงมีความสุขดีเนาะ” สักพักคำถามก็เปลี่ยนเป้าหมายมาที่ผมแทน แล้วคือจะให้กูตอบว่าอะไรวะ แฮปปี้ดีเพราะไอ้ค่ายตามจีบอยู่ หรือบัดซบมากๆ ที่เจอมันบดปากกับคนอื่นเมื่อไม่นานมานี้ คำตอบแบบไหนที่ทำให้คนฟังไม่รู้สึกแย่วะ

   เพราะเลือกไม่ได้ว่าจะพูดอะไรออกไปเลยเลือกที่จะเงียบ สักพักไอ้ทูก็สะกิดไหล่ผม แล้วดึงให้ขยับไปอยู่ข้างมัน อย่างน้อยก็ไม่อึดอัดเหมือนตอนอยู่คั่นกลางระหว่างคนสองคนหรอก

   “ฮ่าๆ นี่ฝนก็ตกอยู่เนาะ ไม่มีร่มมาซะด้วยสิ” ไอ้โบนพยายามทำให้บรรยากาศที่คุกรุ่นดีขึ้น ซึ่งก็เหมือนจะไม่เป็นไปตามคาดเมื่อแจมไม่แม้แต่จะหันมาคุยกับมัน กลายเป็นว่าพื้นที่แคบๆ ที่มีคนห้าคนยืนอยู่ถูกกำแพงที่มองไม่เห็นกั้นเอาไว้

   จะมีก็แต่ไอ้ค่ายเท่านั้นที่ดูไม่ทุกข์ร้อนเท่าคนอื่นๆ ทั้งที่มันคือตัวปัญหา

   “มารับบัตรละครคนเดียวเหรอ” เสียงทุ้มดังแว่วเข้าหู ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมาไม่มีท่าทีว่าจะหยุด ผมรู้สึกได้ถึงความอึดอัดที่ขยายวงกว้างอยู่ตอนนี้

   “ใช่ ซื้อมาสามใบกะไปดูกับเพื่อนสนิทน่ะ”

   “ขอบคุณมากที่ช่วยอุดหนุนคณะเรา”

   “ตอนแรกเห็นค่ายเล่นเป็นพระเอกเลยอยากเข้าไปดู แต่ตอนนี้คงไม่ได้ดูแล้ว”

   “เสียดายเหมือนกัน”

   “ขาหักเป็นไงบ้าง”

   “ถอดเฝือกออกแล้ว เดินได้ตามปกติแค่งดวิ่ง”

   “เราตามข่าวค่ายตลอดเลยแม้จะโดนบล็อก”

   “...!!” ที่ผ่านมาใครผิดมากกว่ากันวะ ผมที่คิดไม่ซื่อกับเพื่อนสนิท ไอ้ค่ายที่รักใครไม่เป็น หรือแจมที่เอาแต่ใจ แต่เราสามคนต่างมีส่วนร่วมที่ทำให้เรื่องทุกอย่างลงเอยแบบนี้

   “ค่ายเคยคิดว่าเราจะกลับมารักกันได้มั้ย”


อ่านต่อด้านล่างค่ะ

ออฟไลน์ Jittirain12

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 353
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1238/-18

    ผมถึงกับยืนกลั้นหายใจหลังจากได้ยินอดีตแฟนเก่าของไอ้ค่ายพูดประโยคหนึ่งออกมา ความเจ็บพลันแล่นเข้ามาในความรู้สึก กลัวว่าไอ้ค่ายจะตอบไม่ดี

   แต่ที่กลัวกว่าคือทั้งคู่จะกลับไปรักกันอีกรอบ ผมแม่งโคตรเห็นแก่ตัวเลยว่ะ

   เมื่อก่อนการแอบรักของผมคือการพิมพ์ข้อความผ่านแชตแล้วมานั่งลุ้นว่ามันจะอ่านหรือไม่อ่าน ตอบหรือไม่ตอบ นั่งลุ้นว่ามันจะคิดลึกซึ้งกับประโยคที่เราทักไปหรือตีมันเป็นคำพูดธรรมดาของความเป็นเพื่อน

   เช่นคำว่าคิดถึงนะ มันจะคิดว่าเป็นคิดถึงแบบไหน

   คำว่ารักนะ มันจะคิดว่ารักเป็นแบบไหน บางทีผมก็มานั่งกังวล ทำได้แค่พิมพ์ข้อความทิ้งไว้แต่ไม่มีโอกาสส่งไป ซึ่งผมไม่อยากเป็นแบบนั้นแล้ว

   “คิดว่าไม่นะ”

   “เพราะเติร์ดเหรอ”

   “เราเลิกกันก่อนที่ไอ้เติร์ดจะมีอิทธิพลกับความรู้สึกของเราอีก เพราะงั้นอย่าให้มันต้องมาเกี่ยวข้องกับการเลิกกันของเราเลย ที่เลิกเพราะค่ายไม่ดีเอง” เพิ่งเห็นครั้งแรก ว่าไอ้ค่ายก็ยอมรับผิดด้วยตัวเอง ปกติแม่งชอบโทษฟ้าโทษดิน โทษโชคชะตาบ้าบอของมัน ทั้งที่มันทั้งนั้นเป็นคนก่อ

   “ค่ายก็ไม่ดีจริงๆ นั่นแหละ”

   “ยอมรับ”

   “ใจหมา”

   เจ็บสัด! หงอเลยไอ้เสือของกู เลิกกันได้ไม่ดีด้วยไง บอกเลิกกันผ่านโทรศัพท์หลังจากนั้นก็ตัดขาดทุกอย่างราวกับคนไม่รู้จักกัน นี่ถ้าวันหนึ่งมันเกิดขึ้นกับผม ใครจะรับประกันความเจ็บปวดนี้ได้วะนอกจากโทษตัวเองที่เลือกตั้งแต่แรก

   “เป็นเพื่อนกันได้มั้ย” แจมถามอีก

   “คงไม่ได้หรอก เราไม่เป็นเพื่อนกับแฟนเก่า”

   “เข้าใจ เออนี่ฝนไม่ยอมหยุดตกสักที แต่เรารีบคงต้องไปก่อนแล้ว”

   “เอาเสื้อคลุมเราไปสิ อย่างน้อยก็ช่วยบังฝน” แจมไม่ตอบอะไรนอกจากพยักหน้า แล้วดึงเสื้อคลุมคณะขึ้นมาคลุมหัวแล้ววิ่งฝ่าสายฝนไป ไกลออกไปจนลับสายตา

   ไม่มีคำบอกลามากกว่านั้น ไม่มีรอยยิ้มส่งท้ายให้กันและกัน เป็นการจากลาแค่ต่างคนต่างแยกย้ายแล้วมีชีวิตเป็นของตัวเอง

   จะเจ็บแค่ไหนวะ

   จะร้องไห้หนักแค่ไหน

   จะกอดเสื้อคลุมตัวนั้นแล้วเอาแต่คิดถึงอดีตมั้ย

   ผมคิดไปสารพัด ลองเอาใจตัวเองเข้าไปอยู่ในตัวผู้หญิงคนนั้น ที่ผ่านมา...ถูกแล้วเหรอที่ทุกอย่างเป็นแบบนี้ ถึงแม้ผมจะไม่ได้เป็นคนแย่งความรักของใคร แต่ก็รู้สึกผิดขึ้นมาอยู่ดี

   “คำว่าใจหมานี่เจ็บจี๊ดดดดดดดไปถึงกะโหลกเลยว่ะ ฮ่าๆ” เห็นเขาไปหน่อยล่ะได้ทีไอ้โบนเลยครับ มันหยอกไอ้ค่ายด้วยรอยยิ้มซึ่งคนโดนพาดพิงก็ไม่ได้มีท่าทีอะไรนอกจากตอบกลับเสียงเรียบ

   “กูไม่เจ็บนะ กูด้าน”

   “มึงหักอกคนมาเยอะไง แต่แจมนี่คือคนที่มึงคบนานสุดคนนึงเลยนะ”

   “ก็ไม่ถึงปีป่ะวะ”

   “ถือว่านานในบรรดาผู้หญิงของมึง ครั้งหนึ่งมึงเคยบอกว่าชอบเขามาก”

   “นั่นมันก่อนที่เราจะคบกันต่างหาก ก่อนที่เราจะได้รู้ว่าความรักมันมีเงื่อนไขมากกว่านั้น”

   “...”

   “สักวันเขาก็ต้องไปเจอคนดีๆ ต่อให้ตอนนี้เรายังคบกันอยู่ อนาคตก็ต้องเลิกกันอยู่วันยังค่ำ ความคิดของเราไม่ตรงกัน พยายามไปคนที่เจ็บที่สุดก็คือแจม”

   “ดูเป็นพระเอกนะ แต่มันไม่ได้ฟังขึ้นเลยว่ะ”

   “ก็ไม่ได้อยากทำให้ตัวเองดูดีนี่หว่าก็กูเหี้ยจริง แล้วรู้มั้ยว่าที่ผ่านมาทำไมกูถึงตัดคนคนหนึ่งออกจากชีวิตได้ฉึบฉับขนาดนั้น เพราะกูไม่อยากยื้อไง...ตัดไปเลยเขาก็จะได้ตัดใจ แต่ถ้ายื้อยังติดต่อกันอยู่ มึงคิดว่าเขาจะลืมกูเหรอ มีแต่อยากกลับมาคืนดี สุดท้ายก็เจ็บกันวนลูปไปอีก แบบนี้แหละดีแล้ว”

   “...”

   “ให้มันเป็นปัญหาของกูเถอะ”

   “แต่บางทีกูก็ซวยที่ไปอยู่แทรกกลางระหว่างพวกมึงไงครับค่าย” ผมอดพูดไม่ได้

   “ต่อไปไม่มีอีกแล้ว ขอโทษที่ทำให้มึงต้องมาเจออะไรแบบนี้”

   “...”

   “ขอโทษที่เห็นแก่ตัวไม่อยากเสียอะไรไปสักอย่าง ครั้งหนึ่งกูเคยบอกว่ากูดูแลของมีค่าไม่ได้ แต่มึงก็เป็นสิ่งแรกที่กูอยากดูแลนะ”

   “มึงดูหนังเยอะไปแน่ๆ ขออะไรล้างตาหน่อยเถอะเวรเอ๊ย” หมดมู้ดทันที เมื่อเพื่อนโบนขัดจังหวะ

   เอาเป็นว่าผมรับไว้แต่ก็ไม่ปักใจเชื่อ อย่างที่รู้กันดีวีรกรรมของไอ้ค่ายยาวเป็นหางว่าว วันไหนที่มันพิสูจน์ตัวเองให้เห็นผ่านการกระทำมากกว่าคำพูด วันนั้นผมถึงให้โอกาสมันได้ดูแล

   ภารกิจขายบัตรท่ามกลางฝนที่เทกระหน่ำลงมายังคงดำเนินต่อไป หลายครั้งที่เราต้องตอบข้อความผ่านแฟนเพจเพราะมีคนแคนเซิลกะทันหันเนื่องจากอากาศไม่เป็นใจ ดังนั้นการขายบัตรเลยกินเวลาไม่นาน ถ้านับจากนี่ยืนง่อยๆ กันอยู่ก็แค่สามชั่วโมง

   แต่ฝนไม่มีท่าทีว่าจะหยุดตกเลย

   “เดี๋ยวกูจะเข้าคณะก่อนกลับ”

   “กูด้วย” ไอ้ทูบอกกับไอ้โบนพูดขึ้น

   “กูจะกลับเลย เติร์ดมึงไปกับกู” ไอ้ค่ายมัดมือชก

   “งั้นกูสองคนเอาแบ็กดรอปกลับแล้วกัน เจอกันพรุ่งนี้นะ” ไม่พูดเปล่าเพื่อนรักทั้งสองก็ช่วยกันแบกแบ็กดรอปเอาไว้เหนือหัวเพื่อใช้เป็นกำบัง

   “เชี่ยค่าย”

   “ว่าไง”

   “อย่าทำเพื่อนกูเสียใจนะ”

   “เออ”

    จากนั้นมันทั้งคู่ก็วิ่งฝ่าฝนไปแบบไม่หันหลังกลับมามองคนข้างหลังแม้แต่เสี้ยว แล้วเมื่อกี้คำพูดของไอ้ทูคืออะไรวะ ฝากฝังเหมือนกูเตรียมจะแต่งงานฟังแล้วเลี่ยนฉิบหายเลย

   “เสื้อกูไม่อยู่แล้ว เอาหนังสือแล้วกัน” หลังมองดูเพื่อนสองคนวิ่งไปจนไกล มือหนาก็แกะกระเป๋าเป้พลางหยิบหนังสือคณะขึ้นมายื่นให้

   “ไม่เอา เปียกแล้วก็อ่านไม่ได้อีก”

   “หนังสือกูไม่สำคัญเท่าหัวมึงหรอก”

   “จริงๆ มึงก็ไม่ได้รักหนังสือขนาดนั้น ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดี”

   “เดี๋ยวกูฟาดปากด้วยหรรมเลยนะ”

   “ไอ้ค่าย ไอ้เหี้ย”

    “ฝนตกเดี๋ยวมึงไม่สบาย”

   “กระเป๋ากูก็มีใช้บังได้”

   “มึงหวงหนังสือข้างในจะตายทำไมกูจะไม่รู้”

   “งั้นรออยู่ตรงนี้จนกว่าฝนจะหยุดแล้วกัน” ทั้งที่ไม่รู้ว่ามันจะหยุดเมื่อไหร่ก็ตาม

   “เห็นด้วย” เรายืนอยู่เงียบๆ ไม่นานคนข้างๆ ก็ถามต่อ “โกรธกูป่ะที่ยกเสื้อให้แจมไป”

   “โกรธทำไมวะก็ของมึง”

   “ฝนตกหนักกูเลยให้เสื้อไป เพราะวิ่งไปส่งเขาไม่ได้อีกแล้ว”

   “...”

   “แต่กับมึงเรายังต้องเดินไปด้วยกันอีกไกล ไม่ต้องมีเสื้อก็ได้แค่มีกันก็พอ”









TRAILER

   “ใส่เสื้อกันฝนมาทำไมวะ  ไม่เห็นว่าฝนจะตกสักเม็ด”

   “เดี๋ยวแม่งก็ต้องตก”

   “มึงนั่งรถไฟ ไม่ได้จะเดินไปอย่าเว่อร์”

   ผมไม่เข้าใจว่าทำไมสามโหดที่เราว่าคูลนักหนาถึงได้ทำตัวปัญญาอ่อนขนาดนี้ นี่แม่งระริกระรี้มาหลายวันแล้วครับหลังจากปักหมุดและได้วันเดินทางที่แน่นอน

   เวลาเดินเร็วมากในทุกๆ วัน...

   มหา’ลัยปิดเทอมภาคเรียนแรกด้วยการสอบที่ทำเอาหืดจับ นี่เป็นการเดินทางที่แทบไม่ได้วางแผนใดๆ รู้แค่จะไป จุดหมายไม่ได้สำคัญเท่าระยะทาง แถมยังต้องคิดบทกันสดๆ อีกต่างหาก เราแบกเอาคำว่ามิตรภาพใส่ไว้เต็มกระเป๋า มีกล้องตัวโปรดของใครของมัน หนังสือคนละเล่ม กีตาร์หนึ่งตัว เพลงในไอพอดหนึ่งพันเพลง รองเท้าแตะหนีบ แว่นตา และหมวกคนละใบ

   มันกำลังเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

   กรุงเทพฯ – สุราษฎร์ฯ อะเกน











   ฉากที่หนึ่ง ชานชาลาหมายเลขเจ็ด / หัวลำโพง / ตีสี่สี่สิบห้านาที

   “นี่ๆ ตรงนี้” ร่างสูงหยุดยืนอยู่ตรงเบาะนั่งฟากหนึ่ง มันชี้ให้คนที่เพิ่งเดินเข้ามาอย่างผมดูก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

   เบาะที่เรานั่งเป็นเบาะยาวนั่งได้สองคนหันหน้าเข้าหากัน เพราะงั้นเลยพอกับจำนวนสมาชิกสี่คนพอดีเป๊ะ เวลาเช้ามืดขนาดนี้ไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่ ดูรวมๆ แล้วเหมือนอยู่บนตู้รถไฟสายมรณะมากกว่า

   นานๆ ทีจะมีแม้ค้าเดินหาบของมาขาย พวกน้ำอัดลม ขนมกินเล่น หรือข้าวกล่องเล็กๆ ที่ขายโคตรแพง

   “มึงเริ่มจดเลยไอ้เติร์ด ฉากแรกหลังจากขึ้นรถไฟ...ซื้อไก่ ป้าคร้าบ” ไอ้โบนโบกมือเรียกแม่ค้าไหวๆ

   “เอาอะไรดีคะลูก”

   “ไก่ครับ เอาข้าวเหนียวด้วย”

   “น้ำดื่มมั้ยคะ”

   “โค้กแล้วกัน กระป๋องละเท่าไหร่ป้า”

   “สี่สิบห้าบาทจ้า”

   เหยดแหม่...แพงกว่ากาแฟที่มอกูอีก จำได้ว่ากระป๋องนี้แค่สิบสามบาท แต่ราคากลับโหดบรรลัยแค่ได้ขึ้นมาอยู่บนรถไฟ นี่ผมควรจดเรื่องนี้ลงไปในบทหนังด้วยมั้ยเนี่ย

   “งั้นเอาแค่ไก่พอครับ ข้าวเหนียวไม่ต้อง” จ่ายเงินทอนตังค์กันเสร็จสรรพผมก็เห็นไอ้โบนกับไอ้ทูนั่งแทะซี่โครงกันหรรษา ไหนเนื้อ?

   “กูขอเส้นเรื่องก่อน” อย่างน้อยก็ควรเข้าวิชาการกันบ้าง ไม่ใช่มาเพื่อแดกอย่างเดียว

   “เส้นเรื่องคือความสัมพันธ์ของกลุ่มคนที่เดินทางโดยรถไฟในหน้าฝน เริ่มต้นด้วยคำว่าเพื่อน และลงท้ายด้วยคำว่าแฟน” โอเค กูจะได้เขียนเป็นคอนเส็ปเอาไว้

   “เดี๋ยวค่อยเขียนก็ได้ มึงตื่นแต่เช้านอนก่อนเถอะ” ไอ้ค่ายดึงสมุดออกจากมือผมไปวางไว้บนตัก   

   “กูไม่ง่วง” ดูเชี่ยโบนดิ แม่งยังแทะไก่อยู่เลย

   “งั้นพูดถึงอนาคตของเราดีกว่า”

   “นั่นกูยิ่งไม่อยากพูดเลย”

   “ถ้าเดินทางเฉยๆ โดยไม่ทำอะไรหนังแม่งจะยิ่งเอื่อยนะ อาจจะต้องเพิ่มสถานการณ์เข้าไป”

   “เช่นสั่งเบียร์ใช่มั้ย แดกไก่กับเบียร์ดูเข้ากัน ป้าคร้าบบบบ” ขอความเข้ากันระหว่างประเด็นที่พูดเมื่อกี้ซิ ย้อนแย้งมากเว่อร์ แล้วป้าแม่ค้าแกก็มาไวยิ่งกว่าขีปนาวุธ

   “เอาอะไรดีคะลูก”

   “เบียร์หมีควายสี่กระป๋องครับ”

   “กูไม่เอา” ผมรีบปฏิเสธพัลวัน ให้ตายกูก็จะไม่แดกแอลกอฮอล์อีก ลำพังแค่อ้วกทะลุง่ามนิ้วไอ้ค่ายในวันนั้นยังติดตาจนทุกวันนี้เลย

   “ซื้อให้แล้ว เท่าไหร่นะครับ” ป๋าโบนควักจ่ายตังค์เสร็จเราก็มีเบียร์มาถือไว้ในมือคนละกระป๋อง ไอ้ค่ายเป็นคนแรกที่ยกขึ้นมากระดกทีเดียวหลายอึกอย่างไม่รีรอ แป๊บๆ หมดกระป๋องแทบไม่เหลือสักหยด

   “กินมั้ย” มันถามผม

   “ไม่”

   “งั้นกูแดกแทน” ว่าแล้วมือหนาก็คว้าเบียร์อีกกระป๋องไปซดโฮกอย่างรวดเร็ว โอ้โหรักใครให้แดกเบียร์แทนงี้เหรอ ซาบซึ้งสัดๆ

   “สันดานไอ้ค่าย กูซื้อให้ไอ้เติร์ดไม่ได้ใช้ให้มึงมาแดกแทน”

   “มันแม่งเมาแล้วอ้วก ตัวก็มีแต่ผื่นแดงมึงไม่สงสารมันหรือไง อีกอย่างทำไมกูจะไม่มีสิทธิ์ในตัวมัน”

   “เป็นผัวเมียกันแล้วเหรอ”

   “สัด” รำคาญ!

   “ดูที่รักมึงก่อน ปฏิเสธหน้าตายเลยนะนั่น เจ็บมั้ยไอ้ค่ายเขาไม่ยอมรับมึงอ่ะ”

   “เติร์ด...กูเป็นอะไรสำหรับมึงนะ” เสียงทุ้มต่ำกัดฟันถามแกมบังคับ รู้ทั้งรู้ว่าผมคงไม่ตอบรับให้ไอ้โหดอีกสองคนเก็บไว้แซว มันก็ยังจะถามอีก

   “ไม่ได้เป็นไร”

   “มึงเป็นของกูไง”

   “ตอนไหน!”

   “ไม่ได้เป็นในทางพฤติกรรม แต่ก็เป็นในทางความรู้สึก”

   “กรู้วววววววว เก็บมุกนี้ไว้เล่นที่บ้านเถอะนะครับ ฟังแล้วรู้สึกแดกเบียร์ไม่คล่องคอเลย อะแค่กๆ”

   บางทีผมก็คิดนะครับ ว่าตัดสินใจร่วมทริปกับพวกมันมาเพื่ออะไร เพื่อเที่ยวและดูโลเคชั่นในการทำหนัง หรือมาเพื่อให้มันทั้งสามตัวนั่งเผานิ่งๆ กันแน่










   ฉากที่สอง รถไฟตู้ที่สิบหก / ทางรถไฟ / ตีห้าครึ่ง

   “ป้าขอเบียร์อีกสามป๋องครับ”

   “ได้ค่าลูกกกกกก”

   เหยดแหม่มึงเอ๊ย ตลอดเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงไอ้ค่าย ไอ้โบน และไอ้ทูไม่มีท่าทีว่าจะหยุดกระดกเบียร์แม้แต่วินาทีเดียว ถุงพลาสติกที่ขอจากพนักงานมาใส่ขยะตอนนี้เป็นที่บรรจุกระป๋องเบียร์เรียบร้อย นี่มึงมาเที่ยวหรือมึงมาเมา!

   “เติร์ดกูคิดออกละ ในบทกูอยากให้มีฉากตัวเอกนั่งเล่นเกมส์ด้วย” ไอ้ทูที่เมาทีไรสมองมักจะบรรเจิดโพล่งไอเดียขึ้นมาให้ฟังเป็นฉากๆ

   “เกมส์ยังไงวะ”

   “แบบที่เราเล่นกันในปาร์ตี้พูลครั้งก่อนไง”

   “จำไม่ได้ เล่นไปเป็นร้อยเกมส์”

   “ก็ที่ให้พูดคำตอบออกมาก่อนแล้วให้ทายคำถามไง”

   “ยังไงวะ วันนั้นไม่ได้เล่นเกมส์นี้” หรือผมเมาเกินกว่าจะจำเหตุการณ์ในวันนั้นได้ ไอ้โบนจึงเป็นฝ่ายสาธิตวิธีเล่นให้ผมฟัง

   “สมมตินะ ถ้ากูพูดว่าเควนติน แทแรนติโนปุ๊บ มึงก็แค่ทายว่าคำถามจะเป็นอะไร แค่นั้น”

   “เข้าใจละ แต่ทำไมต้องยัดบทกากๆ แบบนี้ไปใส่ในหนังสั้นด้วยวะ”

   “มึงแม่งไม่คูลว่ะ สรุปทายว่าอะไร ไหนๆ ก็เล่นละต่อให้จบไปเลย” ไม่ได้ดูหน้ากูเลยครับว่าอยู่ในอารมณ์อยากเล่นหรือเปล่า   

   “ผู้กำกับหนังที่มึงชอบใช่ป่ะ”

   “ถูกต้องนะคร้าบบบบบ สุดยอดมากเพื่อนเติร์ด” สนุกจังเล้ย

   “กูทายมึงบ้างไอ้เติร์ด วิชาการตลาด” ไอ้ทูยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย มันยืดหลังนั่งตัวตรง สายตาจดจ้องมาที่ผมอย่างไม่ลดละ ขอโทษนะ...นี่มึงเล่นเกมส์กำจัดจุดอ่อนกันอยู่เหรอ

   “วิชาที่มึงชอบคืออะไร”

   “ผิด”

   “วิชาที่มึงลงทะเบียนไม่ทันเป็นครั้งแรก”

   “ผิด ตอนที่กูโอดโอยอยู่ในห้องอ่ะเพื่อนรัก”

   “อ๋อ เอฟตัวแรกในชีวิต”

   “ถูกต้องนะคร้าบบบบบ คำถามคือกูติดเอฟวิชาอะไรเป็นวิชาแรก” หัวฟวย นี่มึงล่อตั้งแต่ปีหนึ่งเลยนี่หว่า การตลาดสำหรับนักนิเทศฯ ง่ายกว่าอมฮอลล์ให้ละลายในปากอีก บ้าบอ

   “กูขอบ้างๆ” แม้แต่ไอ้ค่ายก็ยังเอากับเขาด้วย “Flipped”

   “ง่ายสัด หนังที่กูชอบคือเรื่องอะไร”

   “ผิด” อ้าว

   “หนังที่กูหยิบไปประมูลครั้งแรกในชีวิต”

   “ผิด”

   “คำถามคือหนังที่กูหยิบมาดูบ่อยที่สุดต่างหาก” เกิดความอื้ออึงในกลุ่มเพื่อนไปพักหนึ่ง เดี๋ยวนะ ไอ้ค่ายเกลียดหนังรัก แต่สุดท้ายคำตอบของหนังที่ดูบ่อยๆ กลับเป็นหนังรักเนี่ยนะ

   “ดูจริงป่ะ” ผมถามย้ำ

   “จริงดิ รักจนหัวปักหัวปำแล้วเนี่ย” มันส่งยิ้มมาให้จนปากแทบจะฉีกถึงใบหู “มึงทายกูบ้างดิ”

   “คิดไม่ออก”

   “งั้นกูถามอีกข้อให้มั้ย คำตอบคือตกลง”

   “อะไรวะ ยืมเงินได้มั้ยเหรอ” ในขณะที่ตอบหัวใจกลับเต้นรัวแปลกๆ สายตาของเพื่อนที่นั่งฝั่งตรงข้ามก็แปลกๆ แม้แต่สีหน้าของไอ้ค่ายเองก็ไม่ต่างกัน

   “ไม่ใช่”

   “ไปเที่ยวกันมั้ย”

   “ผิด กูรู้ว่ามึงรู้ว่ะเติร์ด”

   “กูไม่รู้อะไรเลย มึงจะให้กูทายว่ายังไง”

   “มึงรู้”

   “พรุ่งนี้เลี้ยงข้าวมั้ย”

   “ไม่ใช่”

   “ไปส่งเข้าห้องน้ำหน่อย”

   “รำคาญ บ่ายเบี่ยงอยู่นั่นแหละ คำถามคือเป็นแฟนกันมั้ย”

   “ง่ายอย่างนี้เลยเหรอ”

   “เออ ง่ายอย่างนี้แหละ ตอบมา!”

   “ให้ตอบเหี้ยไร มึงมีอยู่คำตอบเดียวว่าตกลงเนี่ย”

   “เหยดดดดดดดดดดดดดดดดด”

   “สรุปมึงเป็นแฟนกับกูแล้วนะเติร์ด ไหนจุ๊บเหม่งหน่อยซิ” สิ้นสุดคำพูดของไอ้ค่าย มือหนาก็คว้าหมับเข้าที่หน้าผมแล้วล็อกไว้อย่างแน่นหนา เสี้ยววินาทีต่อจากนั้นมันทำการอุกฉกาจด้วยการจรดริมฝีปากลงบนหน้าผากผมอย่างแรงจนกะโหลกแทบยุบ

   “เดี๋ยว กูไม่ได้ตกลง” ผมพูดอย่างจริงจัง กระทั่งเสียงยินดีของเพื่อนทั้งสามเริ่มซาลง

   “คือยังไงวะ” ไอ้ค่ายถาม สายตาที่มองมาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ

   “เรื่องคบกับมึงแบบคนรัก”

   “...”

   “ขอโทษว่ะ แต่กูว่าไม่ดีกว่า...”

   วินาทีนั้น ผมก็ได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆ...จางหายไป










เหลืออีกตอนเดียวก็จบแล้ว
รู้สึกใจหายเหมือนกันนะคะ ต่อไปจะไม่มีใครด่าค่ายแล้วคงเงียบเหงาน่าดู ฮ่าๆ
เราสนุกมากตอนได้อ่านคอมเมนต์จากคนอ่าน เพราะนับเป็นเรื่องที่พระเอกโดนด่ามากที่สุด
ต้องคิดถึงมากแน่ๆ

*เพิ่มเติม จิตติจะลงตอนพิเศษให้คนอ่านหนึ่งตอนนะคะ
เป็นฉาก NC ที่คนอ่านหลายคนรอมาทั้งเรื่อง สุดท้ายอยู่ตอนพิเศษ ฮือ...

ออฟไลน์ boboman

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
 :z13:
อะไรยังไง ทำไมเติร์ดบอกว่ายังไม่ดีกว่าล่ะะ TTT
ตอนนี้ย้ายมาทีมค่ายนะ 555555555
รอตอนหน้านะคะ รอ nc ด้วย 55555555555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-08-2017 03:17:34 โดย boboman »

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ความรักมันย้อนแย้งสวนทางเสมอ

แค่หวังว่ามิตรภาพงดงามนี้จะคงอยู่ไปนาน ๆ

ออฟไลน์ Lady~B

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 10
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เดี๋ยวๆๆๆๆๆๆอ่านจบตอนแล้ว ไม่รู้จะเม้นต์ยังไงดี
อึ้งเป็นเพื่อนอิค่ายอยู่  o22

ออฟไลน์ Cinnamon Roll!!!

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ค่ายคนกากที่แท้ทรู ขนาดจะจบตอนหน้าอยู่แล้วยังไม่ได้เป็นแฟน ไม่รู้จะสมน้ำหน้ารึสงสารดี
   

ออฟไลน์ CLShunny

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 260
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
 :mewีั เรานึกว่าค่ายจะนกสะแล้ว5555สร้างวีรกรรมไว้เยอะจัด และเติรด์ก็น่ารักมากด้วยย จริงๆชอบที่จิตติเขียนหลายๆๆเรื่องเลย เรื่องนี้แบบบเล่นกับความคิดได้ดีอ่ะเหมือนีิดไปคิดมากทั้งคู่แต่ไม่ถามไม่พูดไม่คุย แต่พอได้เปิดใจมันก็ดีมากเลย ชอบการดำเนินที่เทาๆชมพูแต่ชมพูมาหกว่าแลบปนตลก55555 งงที่เราเม้นม้ะ แต่สรุปคือชอบจนเม้นงงมากๆๆๆเนี้ยละ55555 ชอบจริงๆๆๆๆ แต่จะไม่นอกใจสารวัตรค่ะ ปอึบ!! :mew5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ทฤษฎีจีบเธอ ∞ ตอนที่ 17 [30/08/60] *หน้า44
« ตอบ #1309 เมื่อ: 30-08-2017 21:59:10 »





ออฟไลน์ gackmanas

  • I Remember your Eyes..
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
เอิ่มมมม...
คุณจิตติิิครับบบบ....
ยังไงครับบบบบ.....
ผมหน่วงแทน อิค่ายแล้ววว...
จะไบโพล่าาาา แล้นนนนน...  :katai1:

ออฟไลน์ pui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-3
ค้างงงงงงงงงงงงงงงงงง

ออฟไลน์ เจ้าหญิงขี้ลืม

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
อ่านมาถึงบรรทัดสุดท้ายก็ อ้าวเฮ้ย
ไรหว้ายังไงเนี่ยเติร์ตแอบบจิตตกสงสารค่ายเลย

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5
 o18 o18 o18 o18 o18

ออฟไลน์ XVIII.88

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
    • XVIII.88
ตอนนี้สบาย ๆ ดีจังค่ะ อ่านแล้วเหมือนนั่งดูละคร เห็นภาพ เห็นอารมณ์ ทุกฉากเลย

พอใกล้จบก็หมดความด่า เปลี่ยนเป็นความหมั่นใส้แทน  :hao7:

ออฟไลน์ makuto

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
โอ้ยยยยยยยย

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
อื้อหืออ ฟังอิค่ายมันบอกเล่าเรื่องคืนนั้รแล้วอยสกจะตบหัวให้คว่ำ ตบหัวอิค่ายนี่แหละ แหมมมมมมมเป็นเสือมาตั้งเท่าไหร่เจอผู้หญิงรุกแค่นี้ทำเป็นตกใจ ทำไมไม่ผลักออกเร็วๆละโว้ยย ก็สมแล้วที่จะโดนเติร์ดเอาคืน เอาจริงๆคือสงสารอิค่ายแต่มันก็ไม่สุดนะมันมีความหมั่นไส้ปนอยู่ด้วยคือถ้าให้บอกตรงๆก็คือเพราะมันทำตัวเองไงผลมันเลยออกมาเป็นแบบนี้ อย่างเรื่องไลน์นี่ไม่ทีใจก็ควรบล็อกนะไปตอบถึงจะตอบสั้นๆผู้หญิงมันก็คิดว่ามีใจอยู่ดี ก็ต้องมาลุ้นกันว่าตอนจบจะเป็นยังไงแต่เห็นจากที่จิตติสปอยล์ตอนพิเศษคำตอบก็ไม่น่าจะเดาได้ยากแล้วล่ะ

ออฟไลน์ mooping-7

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-5
จะจบแล้วหรอม่ายยยยยน้า

ออฟไลน์ Cardiac

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 355
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
 :hao5:

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
หมั่นไส้อิค่ายมากบอกเลย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด