ตอนที่ 18
ทฤษฎีจีบเธอ
ฉากที่สอง ภายใน / ตู้รถไฟ / หกโมงเช้า “แต่เมื่อกี้มึงพูดว่าตกลง ไอ้โบนกับไอ้ทูก็ได้ยิน” ไอ้ค่ายพูดเสียงแปร่ง เจ้าของชื่ออีกสองคนพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วย
นับตั้งแต่วันที่มันบี้ปากผู้หญิง ลามมาจนถึงวันที่เจ้าตัวยืนเคลียร์กับแฟนเก่าหน้าหอสมุด ระยะเวลามันก็ไม่กี่เดือนเองนะ ซึ่งแม่งไม่ได้ช่วยรับประกันได้เลยว่าไอ้ค่ายจะไม่ดีแตกหลังจากนี้อีก
“กูไม่ตกลงอะไรทั้งนั้น เกมส์ที่มึงเตี๊ยมมาเล่นกับเชี่ยทูแล้วก็ได้โบนนี่อีก กูไม่อิน”
“กูยังมีข้อบกพร่องตรงไหนที่มึงไม่โอเคอีกวะ”
“เวลาจะพิสูจน์สิ่งที่มึงเป็นเอง”
“กูไม่ตายก่อนได้คบมึงในชาตินี้เหรอ”
“งั้นอยากตายก่อนมั้ย” คนฟังถึงกับรูดซิบปากแทบไม่ทัน เพื่อนอีกสองคนก็คงอึ้งกับคำตอบที่ได้ยินพอสมควร ที่ผมไม่ยังตอบตกลงเพราะคิดว่าความรักไม่ใช่สิ่งที่ต้องรีบร้อน ถ้าไอ้ค่ายอดทนรอได้ผมก็จะให้ราคากับมัน ซึ่งกว่าที่วันนั้นจะมาถึงก็คงอีกนาน
“กูไม่เล่นเกมส์แล้วนะ จะฟังเพลง” ผมหยิบหูฟังขึ้นมาใส่หูแล้วหลับตา ตัดขาดตัวเองตัวเองออกจากโลกภายนอกเพราะไม่ลึกๆ ในใจก็รู้สึกสงสารไอ้ค่ายไม่น้อย
ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดเข้ามาในหูของผมอีก อาจเพราะเปิดเพลงเสียงดัง หรืออีกเหตุผลหนึ่งก็คือเพื่อนอีกสามคนเลือกที่จะเงียบและใช้เวลาส่วนตัวเหมือนกับผม
รถไฟยังคงเคลื่อนไปข้างหน้า สายลมเบาๆ ที่ตีกระทบกับแสงแดดที่เริ่มร้อนแรงผลักดันให้ผมผินตัวหลบแดด ซึ่งแน่นอนว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็คงรู้สึก
“เติร์ดมึงนอนดีๆ”
“อือ” หูฟังถูกดึงออกจากหูตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ร่างกายของผมถูกรั้งให้โน้มตัวลงไปนอนบนตักอ่อนนุ่ม และผมก็ไม่ได้ปฏิเสธใดๆ นอกจากโอนอ่อนผ่อนตาม
“Since you've stepped into my life. Like someone brought the vision to the blind~”
“ไปหัดร้องมาจากไหน” ผมถามเสียงอู้อี้แม้จะไม่ลืมตาขึ้นไปมองคนร้องก็ตาม แต่น้ำเสียงเพี้ยนๆ กับประโยคแปร่งๆ กลับทำให้ผมยิ้มออกมาได้ไม่ยาก
นี่เป็นเพลงที่ผมมักเปิดฟังในรถ และไอ้ค่ายก็บอกเสมอว่าน่าเบื่อ
“ทำไม ไม่เพราะเหรอ”
“อืม ไม่เพราะ”
“จริงดิ” ผมรู้สึกได้ถึงฝ่ามือที่สัมผัสเส้นผมและลูบไล้ไปมาเบาๆ
“ร้องไม่ดีแต่พยายามก็ดีแล้วเว้ย”
ผมหลับต่อ รู้สึกปลอดภัยที่อยู่แบบนี้ อบอุ่นเมื่อได้นอนตัก แล้วก็มีความสุขที่ได้เดินทาง บางทีหลังจากทริปนี้ผ่านพ้นไปเราทั้งสี่คนอาจเจอกับอะไรที่ดีๆ ก็ได้ใครจะไปรู้
การเดินทางด้วยรถไฟมีเสน่ห์ของมันอย่างหนึ่ง ตรงที่เราไม่ต้องรีบเร่งให้ถึงจุดหมายโดยไวเพื่อค้นหาความสุขตรงปลายทาง แต่มันสอนให้เราเรียนรู้ที่จะหาความสุขกับประสบการณ์ระหว่างเดินทางมากกว่า
ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก้มมองนาฬิกาข้อมือก็พบว่าเวลาเดินไปเกือบสิบโมงเช้าแล้ว ไอ้ค่ายที่ให้ผมยืมตักนั่งหลับจนคอแหงนไปกับเก้าอี้ ส่วนคนที่นั่งอยู่เบาะตรงข้ามก็หายหัว ก่อนจะพบว่ามันทั้งคู่ย้ายไปนั่งตรงที่ว่างถัดไปแทน เนื่องจากรถไฟขบวนนี้แทบไม่มีคน
“ตื่นแล้วเหรอ” ลุกขึ้นนั่งได้ไม่นานคนตัวสูงก็ลืมตาขึ้น มันเอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มนุ่มผิดกับวิสัยของตัวเองมากๆ หรือการปฏิเสธของผมก่อนหน้าจะทำให้สมองอีกฝ่ายกระทบกระเทือนไปแล้ววะ
“อืม มึงนอนต่อก็ได้นะเดี๋ยวกูให้ยืมตัก”
“ไม่เอา กูแค่พักสายตาไม่ได้หลับจริงๆ หรอก”
“หิวมั้ย”
“ไม่”
“ดูวิวข้างทางดิ แม่งโคตรสวย” ผมเชื้อเชิญให้คนข้างๆ มองออกไปนอกหน้าต่าง พื้นที่สีเขียวที่เป็นทุ่งนากว้างไกลสุดลูกหูลูกตาเลยครับ ผมไม่ค่อยได้ออกต่างจังหวัดเท่าไหร่ ชีวิตอยู่แต่ในเมือง เพราะงั้นเวลาได้เดินทางไกลๆ เลยรู้สึกตื่นเต้นมาก
“สวยจริง แต่ฝนไม่ตกลงมาสักหยด”
“เอาน่า ขอแค่ช่วงที่มาถ่ายหนังจริงขอให้มันตกก็พอ” หวังว่าพยากรณ์อากาศจะพอช่วยอะไรได้บ้าง
“เติร์ด ชีวิตมึงอยากทำอะไรแผลงๆ มั้ย แบบ...ขอให้ได้ทำก่อนตายอ่ะ” จริงๆ การเดินทางที่ใช้ระยะเวลานานก็จำต้องฆ่าเวลาด้วยการพูด และผมคิดว่าไอ้ค่ายคงไม่มีหัวข้อไหนที่จะชวนผมคุยแล้วเลยยกเรื่องง่ายๆ แบบนี้ขึ้นมาถาม
แต่จะบอกว่าง่ายก็ไม่เชิงหรอก เพราะเอาเข้าจริง ผมยังไม่รู้ใจตัวเองด้วยซ้ำว่าอยากทำอะไรในชีวิตบ้าง
“ทำอะไรแผลงๆ เหรอวะ คงไปล่าท้าผีอ่ะ ตามตึกคณะก็น่าลอง แล้วมึงอ่ะอยากทำอะไร”
“บันจี้จั๊มป์ อยากลองดูสักตั้ง”
“กูอยากไปแข่งกินมาราธอนด้วย”
“แดกหนมโก๋อ่ะเหรอ”
“สัด! กินพวกบะหมี่ หรือไม่ก็โดนัทที่มันอร่อยๆ ดิวะ”
“กูอยากแบกเป้ท่องโลก”
“เฮ้ยๆ อันนี้กูก็อยากไป ที่แรกลองอินเดียก่อนเลย ทิเบตก็น่าไปนะ”
“ชัมบาลาอ่ะเหรอ”
“อืม”
“ขอไปด้วยคนดิ”
“พูดเหมือนจะไปวันนี้พรุ่งนี้” ไม่น่าเชื่อว่าหัวข้อสนทนาง่ายๆ จะกลายเป็นการแลกเปลี่ยนความฝันของเรา และบางอย่างก็ทำคนเดียวไม่ได้ อย่างเที่ยวเนี่ยถ้ามีเพื่อนไปเยอะๆ แม่งก็ยิ่งสนุก ผมแค่หวังว่าวันหนึ่งที่เดินทางไปที่ไหนสักแห่ง ข้างกายจะยังมีไอ้ค่ายกับแก๊งโหดอยู่ตรงนั้น
“แล้วมีอะไรอีกวะ อยากทำอะไรมากกว่านี้มั้ย” เสียงเข้มถาม
“อยากดูหนังภาคต่อแบบมาราธอนมั้ง”
“กูอยากอ่านหนังสือภาคต่อให้จบแบบรวดเดียว”
“กูอยากนั่งคุยกับคนแปลกหน้า”
“คุยเรื่องอะไร”
“อากาศ อาหาร รถติด เรื่องทำบุญอะไรแบบนี้มั้ง เป็นมึงล่ะจะคุยเรื่องอะไร”
“เซ็กซ์”
“คิดได้แค่นี้หรือไง” โคตรเหี้ย เชื้อไม่ทิ้งแถว เสือไม่ทิ้งลายของแท้ ก็เพราะมันเป็นอย่างนี้ไงใครมันจะปักใจเชื่อว่าจะหยุดตัวเองได้ แต่คำตอบที่มันพูดออกมาก็ทำให้ผมอึ้งไปอีก
“อ้าวหวัดดีคนแปลกหน้า ชื่ออะไรครับ”
“ไอ้สัด”
“ขอมีเซ็กซ์ด้วยได้มั้ย”
“ไปตายก่อนไป”
“ฮ่าๆ ทำไมคนแปลกหน้าหน้าแดงจังอ่ะครับ”
“เปลี่ยนเรื่องๆ” ต้องพยายามเบี่ยงประเด็นก่อนจะโดนเผาจนร้อนหน้าไปมากกว่านี้ เชี่ย หรือกูจะลุกไปนั่งกับไอ้สองตัวที่เบาะถัดไปดีวะ
“ไม่ต้องคิดจะย้ายไปเลยกูรู้ เรายังคุยหัวข้อนี้กันไม่จบเลย” ไอ้ค่ายเหมือนรับรู้ความคิดของผม มันยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้พลางพูดความฝันแผลงๆ ของมันต่อ “แต่กูอยากแต่งงานนะ”
“...!” คำตอบไม่คาดฝันถูกพูดขึ้น
“เจ้าชู้อย่างมึงนี่อยากแต่งงานกับเขาด้วยเหรอ”
“ก็เลิกแล้วไงเลยอยากแต่งงาน เกิดมายังไม่เคยแต่งงานสักครั้งเลยอยากทำมั่ง แล้วงานแต่งก็ต้องมีเจ้าสาวน่ารักๆ จัดแม่งสักพันโต๊ะไปเลย ให้นายกมาเปิดงานด้วยก็คงดี”
“มึงแม่งโคตรเว่อร์”
“ไม่ชอบเหรอ”
“ไม่ว่ะ”
“ชอบงานแบบไหน”
“เรียบๆ จัดกันเองในครอบครัวแบบนี้มั้ง”
“โอเคเดี๋ยวโทรไปบอกแม่ให้”
โว้ยยยยยยยยยยยย โดนทุกดอกเลยกู เปลี่ยนเรื่องคุยได้มั้ยเนี่ยแม่งเอ๊ย รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตุ๊กตาให้ไอ้ค่ายเล่นเพราะไม่ว่าจะขยับไปทางไหนก็ถูกมันจับเอาไว้แล้วขยี้จนใจสั่นตลอดเวลา
“ตามึงบ้าง อยากทำอะไรอีก”
“กูไม่เล่นแล้ว” ผมแหวใส่เสียงดัง พร้อมกับทำตาขวางใส่ด้วย
“โกรธกูทำไมเนี่ย”
“ก็มึงเล่นเหี้ยๆ แบบนี้ไง”
“เขินก็บอก”
“ไม่ได้เขิน”
“เอออีกอย่างที่กูอยากทำ”
“อะไร”
“โทรไปหาคนที่กูเคยคิดไม่ดีกับเขาตลอดเวลา แล้วสารภาพความผิดทั้งหมด”
“โหย มึงคงต้องโทรไปอีกหลายสายเลยล่ะ เคยคิดเลวๆ กับชาวบ้านเขาเยอะซะด้วยสิ”
“ก็โทรหาแค่มึงมั้ย”
“มึงเคยเกลียดกูเหรอ”
“เปล่า กูเคยคิดอยากซั่มมึงให้ขาดใจตายคาอกอยู่บ่อยๆ ว่ะ กูขอโทษนะ” ไอ้เหี้ยยยยยยยยยย!!
ตอนนี้ผมคิดจะหาไม้ลูกชิ้นสักไม้จากแม่ค้า แล้วเสียบอกไอ้ค่ายให้ตายตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอด หรือถ้าไม่ก็มีอีกทางนั่นคือกูต้องเอาไม้นั้นแทงตัวเองแทน แม่งเอ๊ย
ฉากที่สาม ภายนอก / สถานีรถไฟสุราษฎร์ธานี / สี่โมงครึ่ง (เย็น) การเดินทางเวลาหลายสิบชั่วโมงสิ้นสุดลงเมื่อผมกับแก๊งโหดถึงปลายทางอย่างปลอดภัย เรานั่งเรือข้ามฟากไปยังเกาะสมุย แต่เพื่อนยากสองคนแยกไปพะงันเพราะคืนนี้จะมี Full moon party ต่อ ผมกับไอ้ค่ายที่ไม่อยากไปเบียดเสียดกับคนจำนวนมากเลยปลีกวิเวกมาอยู่ในพื้นที่สงบของตัวเองแทน
ตอนนี้ก็เหลือผมกับไอ้ค่ายแล้วครับที่ต้องอยู่บ้านพักตากอากาศหลังเล็กๆ บนเกาะ เพราะจุดประสงค์ในครั้งนี้อยู่ที่การเดินทางโดยรถไฟ หลังจากนั้นจะแยกย้ายไปทำอะไรก็แล้วแต่ คาดว่าพรุ่งนี้เช้าเพื่อนรักทั้งสองคงกลับมารวมพลกันอีกรอบ
“เขามีเช่ามอเตอร์ไซค์ขี่รอบเกาะด้วยนะ”
“อืม แต่ตอนนี้ขอพักก่อนได้มั้ยวะ เมื่อยฉิบหายเลย” การเดินทางโดยรถไฟหวานเย็นเป็นอะไรที่ใจเย็นมากครับ เพราะใช้เวลาค่อนข้างมาก ดูจากการคืบคลานของขบวนรถ
โชคดีที่พอตู้โดยสารโล่งหน่อยไอ้ทูกับไอ้โบนก็แบกกีตาร์มาร้องรำทำเพลงให้ฟัง ไม่อย่างนั้นผมคงถูกไอ้ค่ายแทะพรุนจนเหลือแต่กระดูกแล้วครับ
บ้านพักตากอากาศที่จองเป็นบ้านสองชั้น มีห้องนอนชั้นบนกับชั้นล่าง ซึ่งด้านล่างไอ้ทูกับไอ้โบนจองไว้เผื่อมานอนตายในตอนเช้า ส่วนด้านบนเป็นของผมกับไอ้ค่าย ตอนดูรายละเอียดกันมามันเป็นเตียงเดี่ยวสองเตียง มีห้องน้ำในตัวแต่เมื่อเข้ามาสำรวจดีๆ แล้วกลับพบว่า...
“ไอ้ค่าย ไหนมึงบอกเตียงคู่ไง จองยังไงได้เตียงคิงไซส์วะ”
“นี่ไงเตียงคู่ นอนกันสองคนได้”
“ไม่ใช่แล้วเว้ย!”
“ใช่ดิ มึงบอกอยากได้เตียงคู่ก็นี่ไง” ไอ้ค่ายมันกวนตีนครับ ต้องการเล่นสงครามประสาทกับกูแน่ๆ แต่ในเมื่อจองมาแล้วจะขอเปลี่ยนก็ดูเรื่องมาก เลยจำใจต้องนอนเตียงเดียวกับมันไปก่อน
ผมยกระเป๋าเป้เข้ามาภายใน ไม่คิดจัดเสื้อผ้าหรือของใช้ใดๆ ทั้งนั้นนอกจากทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มทันที
“เดี๋ยวกูไปอาบน้ำก่อนนะ”
“จะทำอะไรก็ทำ”
“ให้กูทำอะไรก็ได้เหรอ งั้นกูขอมีเซ็กซ์กับมึงได้ป่ะวะ”
“มึงไปหื่นที่อื่นเลยไอ้เวร”
“แล้วมึงนอนอ่อยกูทำไม”
“กูไม่ได้อ่อยกูง่วง ค่ายกูกราบ ช่วยไปไกลๆ ตีนกูเถอะ”
เสียงหัวเราะของคนตัวสูงดังขึ้นผะแผ่ว ไอ้ค่ายเดินวนไปเวียนมาในห้องพลางผิวปากอย่างอารมณ์ดี ไม่นานมันก็เดินหายไปในห้องน้ำ ส่วนผมก็ขอใช้เวลากับการพักผ่อนเพิ่มพลังให้ตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก
กระทั่งฟ้ามืดแล้ว แสงไฟที่แยงตาผมอยู่ทำให้ต้องลืมตามองบรรยากาศรอบๆ ไอ้ค่ายไม่ได้หายไปไหน มันนอนอยู่ข้างๆ แบบหมดสภาพไม่ต่างกับผม เห็นทีแพลนวันนี้คงไม่มีอะไรทำนอกจากอยู่ที่ห้อง
ผมลุกขึ้นไปอาบน้ำและแต่งตัวใหม่ด้วยเสื้อผ้าสบายๆ กลับออกมาก็เห็นว่าเพื่อนตัวสูงตื่นรอก่อนแล้ว
“ลงไปกินข้าวกัน”
“อืม”
“ที่มีมีคลับกับบาร์เยอะมาก”
“หนีแสงสีฉิบหาย สุดท้ายมึงกลับไปในวงจรเดิม”
“แค่บอกว่ามี ไม่ได้บอกว่าจะไปสักหน่อย”
“เหรอออออออ”
บ้านพักตากอากาศที่ผมกับไอ้ค่ายอยู่มีพื้นที่ส่วนกลาง ด้านหน้าเป็นสระว่ายน้ำ ห้องอาหารอยู่ถัดไปไม่ไกลนัก เรานั่งกินข้าวเย็นกันที่นี่ ก่อนซื้อขนมและเครื่องดื่มตุนไว้สำหรับคืนนี้
เมื่อกลับมาที่บ้าน ผมไต่บันไดเล็กๆ ขึ้นไปด้านบน เหนือห้องนอนที่เราอยู่เป็นดาดฟ้ามีพื้นที่เอาไว้สำหรับสังสรรค์และชมวิวยามค่ำคืน ด้านบนมีเก้าอี้ผ้าใบสองตัวให้เอนนอนชมดาว ดูแล้วโรแมนติกมากถ้าไม่นับไอ้คนที่มากับผมด้วยเนี่ย
“เบียร์เย็นๆ หน่อยมั้ย” นั่นไง พอรู้ว่าผมขึ้นมา ร่างสูงก็ตามมาราวีอย่างไม่ลดละ
“เออเอามา”
“นอนด้วยคนสิ”
“ใครห้ามวะ”
ผมนอนลงที่เก้าอี้เอนก่อนแล้ว ส่วนไอ้ค่ายก็พยายามดึงเก้าอี้ของมันมาชิดกับผมให้มากที่สุดแล้วทิ้งตัวลงตาม มือหนายื่นเบียร์มาให้ซึ่งผมก็รับเอาไว้ เปิดกระป๋อง และค่อยๆ ดื่มด่ำไปกับบรรยากาศรอบตัว
“ลมเย็นดีว่ะ” ไอ้ค่ายยังคงเป็นฝ่ายชวนคุย
“มึงว่าตอนนี้ไอ้โบนกับไอ้ทูจะเป็นยังไงบ้างวะ”
“คงเต้นจนลืมตายเลยมั้ง เหตุผลที่มันไปที่นั่นก็เพื่อจะได้สนุกลืมโลกของมันไง”
“แล้วทำไมมึงไม่ไป ความจริงไม่ต้องตามมาอยู่กับกูก็ได้นะ” ค่ายแม่งเป็นคนชอบสังสรรค์ เสียงเพลง และความสนุกสนาน บางทีผมก็อดสงสารไม่ได้ว่าเพราะผมหรือเปล่ามันถึงต้องฝืนตัวเองขนาดนี้
“กูไม่ได้อยากไปหลีสาวนี่หว่า อยากอยู่หลีมึงที่นี่มากกว่า”
“เหอะ!”
“ดาวคืนนี้สวย”
“เพราะฝนไม่ตกไงฟ้าเลยเปิด”
“มึงรู้จักดาวอะไรบ้าง”
“ไม่รู้อะไรเลย กูเป็นคนดูดาวไม่เป็น แต่ชอบดูนะ”
“เหมือนกัน”
ต่างคนต่างเงียบ ปล่อยให้บรรยากาศโดยรอบเป็นไปตามธรรมชาติ ด้านบนนี้ไม่มีเสียงเพลง ไม่มีเสียงจอแจของคนโดยรอบ เราได้ยินเพียงเสียงคลื่นที่สาดซัดขึ้นมาบนฝั่งเท่านั้น
และจู่ๆ เสียงทุ้มของคนเคียงข้างก็เปรยขึ้น...
“มึงกับกูเรามีครั้งแรกด้วยกันกี่ครั้งแล้ววะ มาเที่ยวสมุยกับมึงครั้งแรก นั่งรถไฟกับมึงครั้งแรก จูบกับมึงครั้งแรก หลงรักมึงครั้งแรก”
“มันก็เยอะอยู่ แต่กูจำวันที่สารภาพรักกับมึงครั้งแรกได้ดีนะ” ภาพในวันนั้นยังติดตาอยู่เลย วันที่ผมทำแผ่นบอร์ดหลายๆ ใบกับไอ้ทูทั้งคืนเพื่อที่จะบอกรักมัน แต่ผลสุดท้ายกลับเฟลไม่เป็นท่า
“จำได้”
“มึงบอกว่าจะเอามุกนี้ไปจีบคนอื่น”
“แต่ก็ไม่เคยใช้จริงๆ หรอก”
“กูเอามาจาก Love actually”
“รู้ เรื่องนั้นเราก็นอนดูด้วยกัน แถมหลายรอบด้วย”
“ชีวิตเราต้องมีครั้งแรกหลายๆ ครั้ง ตาแฉะเลยมั้ยล่ะ”
“เติร์ด...” ใบหน้าคมหันมามอง จมูกโด่งๆ ของมันอยู่ใกล้กับแก้มผมมาก ใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจที่เป่ารดกัน
“หือ”
“ถามอะไรหน่อยดิ”
“ถ้าตอบได้ก็จะตอบ”
“ถ้าวันนั้นกูไม่บังเอิญเห็นวิดีโอที่มึงสารภาพรัก มึงยังจะบอกชอบกูอยู่มั้ยวะ”
“คงไม่ อาจจะเก็บเอาไว้”
“ถ้าหลังจากที่รู้แล้วกูรับไม่ได้ มึงยังจะรักกูอยู่มั้ย”
“ก็อาจจะรัก แต่ก็ต้องตัดใจด้วยเพราะมันไม่มีหวังแล้วนี่หว่า” ผมยังจำวิธีการมากมายที่คิดค้นเพื่อให้ตัวเองตัดใจได้อยู่เลย แต่ไม่มีใครรู้หรอก พยายามแค่ไหนสุดท้าย...
ผมก็ยังรักมันเหมือนตอนนี้ไง
“ถ้าให้เลือกระหว่างความเป็นเพื่อนกับคนรัก มึงจะเลือกให้กูเป็นแบบไหน”
“เป็นอย่างที่มึงอยากจะเป็น เมื่อไหร่กูพร้อมก็ยอมรับเองแหละ” อีกฝ่ายยิ้ม เอื้อมมือมาผสานมือกับผมแนบแน่นจนไม่เหลือช่องว่าง
“ถ้าวันหนึ่งกูกลายเป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีความก้าวหน้า ไม่มีอะไรเลยมึงยังจะอยู่กับกูมั้ย”
“ก็ถ้ามึงยังอยู่กับกู กูก็จะอยู่”
ทำไมวะ จู่ๆ ก็รู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมาซะอย่างนั้น
“แล้วถ้าโลกนี้มีคนที่ตรงสเป็กมึงและสมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง มึงจะเลือกเค้ามั้ย”
“ก็คิดเอาแล้วกัน ชีวิตกูเจอคนดีๆ มาเท่าไหร่”
“...”
“สุดท้ายก็ยังเลือกคนเหี้ยๆ อย่างมึงเหมือนเดิม” ฝ่ามือที่ผสานกันถูกกระชับให้แน่นขึ้น ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกนอกจากต่างคนต่างยิ้ม บางที...ผมก็อยากให้เวลาเดินไปช้าๆ ให้เราได้สัมผัสกับความสุขจริงๆ ให้เราได้อยู่ด้วยกันจนกว่าจะหลับไป ให้นานกว่านี้อีกหน่อย แม้ความจริงโลกจะยังคงหมุนของมันเหมือนเดิมก็ตาม
“กูจะดูแลมึงอย่างดี สัญญา...” นานเหมือนกันกว่าความเงียบจะถูกทำลายอีกครั้ง
“ถ้ามึงรอได้นะ”
“กูก็ต้องรอได้อยู่แล้ว มาถึงขนาดนี้”
“จริงๆ คืนนี้ถ้ามึงอยากไปที่บาร์ก็ไปได้นะ”
“ไม่อ่ะ มึงไม่อนุญาต แล้วตอนนี้กูก็ไม่อยากไป”
“อนุญาตแล้ว”
“เหอะ มีเบียร์อยู่ในมือนี่ไงกูจะไปทำไมล่ะ”
“ค่าย”
“ว่าไง”
“อยากจูบมั้ย” “...”
“คราวนี้จูบได้นะ อนุญาตแล้ว”
ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรสั่งให้ผมพูดประโยคนั้นออกไป แต่หลังจากสิ้นสุดคำพูดไม่นานริมฝีปากของผมก็ถูกใครอีกคนครอบครองมันไปทั้งหมด จูบนี้ขมเฝื่อนในตอนแรกจากรสชาติของเบียร์ที่เราดื่มเข้าไป แต่ไม่นานก็หอมหวานราวกับบรรยากาศโดยรอบที่เราเผชิญ
การเดินทางครั้งนี้ทำให้ผมรู้ว่าชีวิตเรามีอิสระเสมอ จนกระทั่งได้เจอกับความรักเนี่ยแหละ…
มหา’ลัยเปิด ภาระหนักของนิสิตนิเทศฯ แบบเราๆ นั่นก็คือการเตรียมงานสำหรับละครเวทีประจำปี หลายคนหัววุ่นมากจนไม่ได้หลับได้นอน ฝ่ายโสตสิบกว่าคนนอนในห้องบันทึกเสียง ส่วนผมที่ไม่ค่อยมีงานเนื่องจากบทเสร็จแล้วก็เปลี่ยนไปทำหน้าที่ประสานงานและขายบัตรกับฝ่ายพีอาร์
ชีวิตของผมเรียบรื่น มีตื่นเต้นบ้างตอนมีงานใหม่เข้ามา ดังนั้นกราฟชีวิตเลยขึ้นๆ ลงๆ แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาต่อสภาพจิตใจ
ไอ้ค่ายยังคงตามจีบผมอยู่ มันพยายามมากจนผมรู้สึกได้ ครั้งหนึ่งผมเคยคิดหาวิธีต่างๆ มากมายเพื่อให้หยุดรักมัน และหนึ่งในวิธีมากมายเหล่านั้นก็คือการหาข้อเสียของอีกฝ่ายขึ้นมาเพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการตัดใจ
ผมจำได้ขึ้นใจ ทุกข้อที่เคยคิดถึงในวันนั้นไอ้ค่ายแม่งทำมันซะทุกอย่าง ผิดกับตอนนี้ที่เพิ่งสังเกตเห็น หรือเพราะความรักทำให้คนคนหนึ่งเปลี่ยนไป...
ข้อหนึ่ง ขับรถเร็ว“ไอ้ค่ายเมื่อไหร่จะถึงวะ ถ้าเข้าคลาสไม่ทันกูจะตบให้หัวหลุดเลย”
“รีบอยู่ แต่ขับเร็วไม่ได้เดี๋ยวมึงตายห่าคาเบาะก่อน”
“แต่ก็ไม่ต้องช้าขนาดนี้ก็ได้มั้ง”
“นี่พอดีกับมึงแล้ว”
“มึงขับเท่าไหร่”
“ยี่สิบ”
“ยี่สิบ! บิ๊กไบค์มึงขับยี่สิบ ขายชาวีทิ้งเหอะสัด รำคาญ”
“ทำไมเดี๋ยวนี้มึงเป็นคนใจร้อนนักวะ เมนส์มาเหรอ”
“โอยยยยยยยยยย ไอ้ค่าย โอยยยยยยยยยย”
อ่านต่อด้านล่างค่ะ