ทฤษฎีจีบเธอ ∞ THE END
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ทฤษฎีจีบเธอ ∞ THE END  (อ่าน 2134325 ครั้ง)

ออฟไลน์ wikawee

  • มีชีวิตอยู่เพื่อทำฝันให้เป็นจริง
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-7
 :hao5: :hao5: ฮือออออออออ จะจบแล้ว ยังรุ้สึกไม่เต็มอิ่มเลย เหมือนพึ่งเริ่มอ่าน  :sad4:

ณ ใกล้จบแบบนี้ เติร์ดของเรา(?)ก็ยังใจเเข็งอยู่เหมือนเดิม มาตามกันต่อไป ว่าจุดจบของสายซึนจะเป็นยังไง  :hao7: :hao7:

แหมๆๆๆ อิค่ายเฉาเลยจ้าาาาาา หลังจากถูกคนเดิมคนเดียวปฏิเสธเป็นรอบที่ล้าน  :katai3:

ออฟไลน์ MSeraph

  • This too shall pass
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1751
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-3
ถึงจะด่าอิค่ายอย่างหนักหน่วง
ถึงจะสาปแช่งให้มันตายแล้วเปลี่ยนพระเอก
แต่พอคิดดีๆ พอมีเวลาคิด เราก้เดาสาเหตุไม่พลาดจริงๆด้วย
ไม่รู้ว่าเติร์ดจะทำอะไรอะ
แต่พอเห็นค่ายมันดีใจแล้วรอยยิ้มค่อยๆจางหายไปนี่ก้จี๊ดๆนะ
เดาใจเติร์ดไม่ออกเลย เหมือนนางยังระแวงอยู่มากๆอะ
รอตอนจบค่าาา

ออฟไลน์ colorofthewind21

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-1
อ้าววว หงอยเลย

ออฟไลน์ Dreameekitanai

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 65
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
โถ โถ โถววววว  นุ้งค่ายผู้น่าฉงฉาน
ตัยแล้ว จะได้เป็นหมาเหงาอีกรอบ ละหรอ
เขาไม่ยอมรับอีกแล้วอ่ะ  :hao5: :hao5:
แต่ว่าเราว่าไม่เศร้านะ ตอนหน้าเราว่า มีคนจะโดนด่า
เรื่องระริกระรี้ ออกหน้าออกตาอ่ะ หมั่นไส้ไว้รอเลย  :laugh: :laugh:

ออฟไลน์ Eearn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
#ทีมคูมแม่อิง่าวค่าย ลูกเราจะไม่กากแล้วนะคะ ลูกเราจะมีncแล้วคร่าาา ใจหายหน่อยๆจะไม่ได้ตามด่าอินุ้งค่ายแล้ว จะมีพระเอกซักกี่คนนนะที่โง่กากและเหี้ยได้ในคนเดียวกัน นุ้งเติร์ดน่ารักมากรู้กเล่นตัวอีกนิดเพื่อพิชิตความกากอิค่ายในสเปเชียลนะรู้ก

ออฟไลน์ pamhicc

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
กว่าจะเข้าใจกันได้ ค่ายก็ทำตัวมีความลับไง
ตอนหน้าจะจบแล้วหรอออ ต้องคิดถึงโหดน้อยแน่ๆ
 :pig4:

ออฟไลน์ klaew

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1237
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-2
ก่อนจะไปเรื่องค่าย
อั๋นทูนี่ยังไง

ออฟไลน์ khwanruen

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-3
หักมุมอีกแล้ว  :hao5:

ออฟไลน์ mtrain

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เหมือนชีวิตโดนเหวี่ยงขึ้นลง ตอนนี้จะขึ้นเรื่อยชิมิ ตอนเราสามคนกับน้ำฝน แอบหมั่นไส้ค่ายนะ ทั้งๆที่เป็นฝ่ายทิ้งไหงคนโดนอีสาวนั่นเหวี่ยงดันเป็นเติร์ดฟระ จนนังพระเอกปฏิเสธเขาไปชัดๆนั่นแหละคนที่โดนด่าจึงเป็นคนที่สมควร จบตอนที่น้องบอกค่ายมันว่าไม่ตกลง รู้นะว่าค่ายมันเป็นพระเอกแต่เจ็บอัดมาสองปีอ่ะ ขอพิสูจน์มันอีกหน่อยดิ รักง่ายแต่ไม่ง่ายเนอะ
ปล. อั๋นกับทูนี่ยังไงคะ?

ออฟไลน์ toou

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1051
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-3
อ๊ากกกกกกกกกกก อยากอ่าน NC ล๊าวววววววววววว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ทฤษฎีจีบเธอ ∞ ตอนที่ 17 [30/08/60] *หน้า44
« ตอบ #1329 เมื่อ: 31-08-2017 10:00:43 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ zabzebra

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1043
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +83/-1
เติร์ดจะเล่นอะไรอีกคะลูก
คือนี่เป็นอิค่าย นี่ก็จะด่าเติร์ดแล้วนะลูก
คือหนูจะดึงเกมส์มันไปเพื่ออะไร ทำไมรู้สึกว่าเติร์ดเป็นคนขี้ระแวงขนาดนี้
ไหนเติร์ดบอกว่าที่กล้ารักอิค่ายเพราะว่าเชื่อมั่นว่าจะฮีลหัวใจตัวเองได้
ละพอมาใจตรงกันเหมือนเคลียร์กันรู้เรื่องแล้ว ทำไมยังดึงเกมส์อีกคะ
คบกับมันไปตอนนี้ก็เข้ากับความตั้งใจเดิมของเติร์ดไม่ใช่หรอ อนาคตไม่มีใครรู้หรอกจะไปรอดไม่รอด
แต่เติร์ดก็เป็นคนเลือกเองตั้งแต่แรกนิว่าเลือกรักค่ายมากกว่าตัดใจ
อ่านตอนนี้จะเหมือนปลดแอกยกภูเขาแล้ว มาเจอวลีตอนท้ายไปอีก สีหน้าคนอ่านเปลี่ยนทันทีเลยค่ะ
อยากถามเติร์ดว่า อะไรอี๊กกกก ยังมีอะไรที่ต้องกลัวอีกหรอลูกก นอกจากกลัวอิค่ายมันทิ้งเนี่ยยยยยยยย
มาขนาดนี้แล้วถอยหลังกลับไม่ได้แล้วนะ เดินหน้าอย่างเดียวพอ จะให้เป็นเพื่อนกันก็ทำไมไม่ได้ ไม่ใช่ค่ายนะที่ทำไม่ได้ เติร์ดต่างหากที่ทำไม่ได้ ความรู้สึกเติร์ดมันชัดเจนซะขนาดนี้แล้วใช่แค่เติร์ดที่ไหนอยากได้ความมั่นคงจากค่าย
ค่ายมันก็อยากได้ความมั่นคงจากเติร์ดเหมือนกันนะ ไม่งั้นมันจะตื๊อบ้าตื๊อบอเอะอะขอคบทำไม มันกลัวเติร์ดจะสลัดมันง่ายๆไง๊
ฮืออออ ยากเย็นจริงว้อยยยยยย ลุ้นค่าาาาาา เดี๋ยวเถอะนะ ถ้าอิค่ายได้คลุกวงในเมื่อไหร่ จะเชียร์ค่ายเอาคืนให้สาสมใจเลยทีเดียว!  :haun4:

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9
 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ wichiwiwie

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เจอคำตอบของเติร์ดแบบนี้.. อยากรู้เลยอะว่าเติร์ดคิดอะไรอยู่
ยังระแวงค่ายอยู่จนไม่สามารถเชื่อใจค่ายได้เลยใช่มั้ย..

โอ่ยย ยิ่งตอนที่รอยยิ้มค่อยๆ หายไปนี่แบบ
แง~ สงสารค่ายอะ แต่ก็มีหมั่นไส้ปนอยู่ด้วยนิดหน่อย

เอาเป็นว่า.. รออ่านตอนจบน้าาาาา ><

ออฟไลน์ pktherabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 207
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เราทีมค่าย เราสตรอง!

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
อ่ะฮื้อ ใจหาย อยู่กับเติร์ดมาตั้งแต่ยังเจ็บๆหน่วงๆ
ตอนนี้เขาจะรักกันแล้ว อย่าเพิ่งจบเล้ย  :ling1: :ling1:
ปอลอลิง.ขอตอนพิเศษเย้อะๆ :katai5:

ออฟไลน์ badbadsumaru

  • ♡ caramel macchiato
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
ค่ายคนกากเอ้ยยยย
อะไรยังไงหนูเติร์ด

ออฟไลน์ EoBen

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-6
อ่าวนึกว่าเตริดจะใจอ่อน

เดี๋ยวๆยังไม่อยากคิดไปเอง รอเตริดพูดต่อตอนหน้าก่อน


ตอนนที่แล้วทำมาซะสงสารค่ายมาก ตอนนี้จะไม่บ่นมัน


5555555555555



ออฟไลน์ why yyy

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +309/-8
ขอบคุณ :)

ออฟไลน์ ก้อนขี้เกียจ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 580
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
อิค่ายถ้าแกจบไปแล้วฉันจะด่าใคร #ผิด ผ่ามพามมมม :hao5:

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
โธ่ ค่ายเอ้ย น่าสงสาร รอทั้งที่รู้ว่ารอเก้อ แค่หวังว่าเติร์ดจะมา

เติร์ดก็เปิดใจมากขึ้นแล้ว ฟังมากขึ้น แต่ปิดท้ายไม่สวยนะ ทริปนี้จะมีน้ำตาหรอ ไหนตอนแรกจะมีแค่น้ำฝนไง
หรือเติร์ดจะแกล้งอะไรค่าย วัดใจกันหรอ

ค่ายเอ้ยย ใจเย็นนะ ก็คิดว่าจะเข้าใจกันละเนาะ ไหนได้ โดนตลบหลังซะงั้น

ทูโบนก็กวนประสาท 5555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ทฤษฎีจีบเธอ ∞ ตอนที่ 17 [30/08/60] *หน้า44
« ตอบ #1339 เมื่อ: 01-09-2017 21:51:14 »





ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
จะจบแล้ว?ยังด่าอิค่ายไม่สะใจเลย โฮ่~

ออฟไลน์ minenat

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1661
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-3
มามุกไหนนน

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
อ้าว กำลังเขินๆเลย

ออฟไลน์ PoPoe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ฮือออออ ถึงค่ายจะทำตัวไม่ค่อยดี แต่เอาใจช่วยค่ายสุดพลังนะ :hao5:

ออฟไลน์ ่patsaporn

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4338
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +227/-6
อ่านถึงตอนนี้พบว่าตัวเองเป็รไบโพล่าร์ เดี๋ยวดีเดี๋ยวบ้า เดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้
ค่ายเคยเหี้ยมากจริง คนอ่านก็รักเติร์ดมากจริง อีพระเอกนี่เรตติ้งด่ำดิ่งอยู่กับปลาทะเลน้ำบึก
ช่วงแรกของเรื่องเรียกว่าสิ้นหวัง รักนี้ไม่มีวี่แวว ยิ่งมาเจอตอนแกล้งกันอีก ใจนี่จะขาด
ทั้งเชียร์และไม่เชียร์คู่นี้ตลอดเวลา จนค่ายดีขึ้น เราก็ดีใจ จนมาเจอนังอิงอิง แร๊ดแรด
ชอคกันไปอีกรอบ แล้วตอนถัดมาก็มาสงสารนังค่ายจนร้อวไห้ไปอีก โดนเพื่อนเท
เป็นนิยายแอบรักที่เหมือนนั่งรถไฟเหาะเลยค่ะ ลุ้นกันทุกตอน สนุกมากค่ะ

ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ ป่ามป๊ามป่ามปาม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
จะจบแล้วหรอ ใจหายจัง
ทูกับพี่อั้นมีซัมติงใช่ไหม

ออฟไลน์ Jittirain12

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 353
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1238/-18

ตอนที่ 18
ทฤษฎีจีบเธอ



   ฉากที่สอง ภายใน / ตู้รถไฟ / หกโมงเช้า

   “แต่เมื่อกี้มึงพูดว่าตกลง ไอ้โบนกับไอ้ทูก็ได้ยิน” ไอ้ค่ายพูดเสียงแปร่ง เจ้าของชื่ออีกสองคนพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วย

   นับตั้งแต่วันที่มันบี้ปากผู้หญิง ลามมาจนถึงวันที่เจ้าตัวยืนเคลียร์กับแฟนเก่าหน้าหอสมุด ระยะเวลามันก็ไม่กี่เดือนเองนะ ซึ่งแม่งไม่ได้ช่วยรับประกันได้เลยว่าไอ้ค่ายจะไม่ดีแตกหลังจากนี้อีก

   “กูไม่ตกลงอะไรทั้งนั้น เกมส์ที่มึงเตี๊ยมมาเล่นกับเชี่ยทูแล้วก็ได้โบนนี่อีก กูไม่อิน”

   “กูยังมีข้อบกพร่องตรงไหนที่มึงไม่โอเคอีกวะ”

   “เวลาจะพิสูจน์สิ่งที่มึงเป็นเอง”

   “กูไม่ตายก่อนได้คบมึงในชาตินี้เหรอ”

   “งั้นอยากตายก่อนมั้ย” คนฟังถึงกับรูดซิบปากแทบไม่ทัน เพื่อนอีกสองคนก็คงอึ้งกับคำตอบที่ได้ยินพอสมควร ที่ผมไม่ยังตอบตกลงเพราะคิดว่าความรักไม่ใช่สิ่งที่ต้องรีบร้อน ถ้าไอ้ค่ายอดทนรอได้ผมก็จะให้ราคากับมัน ซึ่งกว่าที่วันนั้นจะมาถึงก็คงอีกนาน

   “กูไม่เล่นเกมส์แล้วนะ จะฟังเพลง” ผมหยิบหูฟังขึ้นมาใส่หูแล้วหลับตา ตัดขาดตัวเองตัวเองออกจากโลกภายนอกเพราะไม่ลึกๆ ในใจก็รู้สึกสงสารไอ้ค่ายไม่น้อย

   ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดเข้ามาในหูของผมอีก อาจเพราะเปิดเพลงเสียงดัง หรืออีกเหตุผลหนึ่งก็คือเพื่อนอีกสามคนเลือกที่จะเงียบและใช้เวลาส่วนตัวเหมือนกับผม

   รถไฟยังคงเคลื่อนไปข้างหน้า สายลมเบาๆ ที่ตีกระทบกับแสงแดดที่เริ่มร้อนแรงผลักดันให้ผมผินตัวหลบแดด ซึ่งแน่นอนว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็คงรู้สึก

   “เติร์ดมึงนอนดีๆ”

   “อือ” หูฟังถูกดึงออกจากหูตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ร่างกายของผมถูกรั้งให้โน้มตัวลงไปนอนบนตักอ่อนนุ่ม และผมก็ไม่ได้ปฏิเสธใดๆ นอกจากโอนอ่อนผ่อนตาม

   “Since you've stepped into my life. Like someone brought the vision to the blind~”

   “ไปหัดร้องมาจากไหน” ผมถามเสียงอู้อี้แม้จะไม่ลืมตาขึ้นไปมองคนร้องก็ตาม แต่น้ำเสียงเพี้ยนๆ กับประโยคแปร่งๆ กลับทำให้ผมยิ้มออกมาได้ไม่ยาก

   นี่เป็นเพลงที่ผมมักเปิดฟังในรถ และไอ้ค่ายก็บอกเสมอว่าน่าเบื่อ

   “ทำไม ไม่เพราะเหรอ”

   “อืม ไม่เพราะ”

   “จริงดิ” ผมรู้สึกได้ถึงฝ่ามือที่สัมผัสเส้นผมและลูบไล้ไปมาเบาๆ

   “ร้องไม่ดีแต่พยายามก็ดีแล้วเว้ย”

   ผมหลับต่อ รู้สึกปลอดภัยที่อยู่แบบนี้ อบอุ่นเมื่อได้นอนตัก แล้วก็มีความสุขที่ได้เดินทาง บางทีหลังจากทริปนี้ผ่านพ้นไปเราทั้งสี่คนอาจเจอกับอะไรที่ดีๆ ก็ได้ใครจะไปรู้

   การเดินทางด้วยรถไฟมีเสน่ห์ของมันอย่างหนึ่ง ตรงที่เราไม่ต้องรีบเร่งให้ถึงจุดหมายโดยไวเพื่อค้นหาความสุขตรงปลายทาง แต่มันสอนให้เราเรียนรู้ที่จะหาความสุขกับประสบการณ์ระหว่างเดินทางมากกว่า

   ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก้มมองนาฬิกาข้อมือก็พบว่าเวลาเดินไปเกือบสิบโมงเช้าแล้ว ไอ้ค่ายที่ให้ผมยืมตักนั่งหลับจนคอแหงนไปกับเก้าอี้ ส่วนคนที่นั่งอยู่เบาะตรงข้ามก็หายหัว ก่อนจะพบว่ามันทั้งคู่ย้ายไปนั่งตรงที่ว่างถัดไปแทน เนื่องจากรถไฟขบวนนี้แทบไม่มีคน

   “ตื่นแล้วเหรอ” ลุกขึ้นนั่งได้ไม่นานคนตัวสูงก็ลืมตาขึ้น มันเอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มนุ่มผิดกับวิสัยของตัวเองมากๆ หรือการปฏิเสธของผมก่อนหน้าจะทำให้สมองอีกฝ่ายกระทบกระเทือนไปแล้ววะ

   “อืม มึงนอนต่อก็ได้นะเดี๋ยวกูให้ยืมตัก”

   “ไม่เอา กูแค่พักสายตาไม่ได้หลับจริงๆ หรอก”

   “หิวมั้ย”

   “ไม่”

   “ดูวิวข้างทางดิ แม่งโคตรสวย” ผมเชื้อเชิญให้คนข้างๆ มองออกไปนอกหน้าต่าง พื้นที่สีเขียวที่เป็นทุ่งนากว้างไกลสุดลูกหูลูกตาเลยครับ ผมไม่ค่อยได้ออกต่างจังหวัดเท่าไหร่ ชีวิตอยู่แต่ในเมือง เพราะงั้นเวลาได้เดินทางไกลๆ เลยรู้สึกตื่นเต้นมาก

   “สวยจริง แต่ฝนไม่ตกลงมาสักหยด”

   “เอาน่า ขอแค่ช่วงที่มาถ่ายหนังจริงขอให้มันตกก็พอ” หวังว่าพยากรณ์อากาศจะพอช่วยอะไรได้บ้าง

   “เติร์ด ชีวิตมึงอยากทำอะไรแผลงๆ มั้ย แบบ...ขอให้ได้ทำก่อนตายอ่ะ” จริงๆ การเดินทางที่ใช้ระยะเวลานานก็จำต้องฆ่าเวลาด้วยการพูด และผมคิดว่าไอ้ค่ายคงไม่มีหัวข้อไหนที่จะชวนผมคุยแล้วเลยยกเรื่องง่ายๆ แบบนี้ขึ้นมาถาม

    แต่จะบอกว่าง่ายก็ไม่เชิงหรอก เพราะเอาเข้าจริง ผมยังไม่รู้ใจตัวเองด้วยซ้ำว่าอยากทำอะไรในชีวิตบ้าง

   “ทำอะไรแผลงๆ เหรอวะ คงไปล่าท้าผีอ่ะ ตามตึกคณะก็น่าลอง แล้วมึงอ่ะอยากทำอะไร”

   “บันจี้จั๊มป์ อยากลองดูสักตั้ง”

   “กูอยากไปแข่งกินมาราธอนด้วย”

   “แดกหนมโก๋อ่ะเหรอ”

   “สัด! กินพวกบะหมี่ หรือไม่ก็โดนัทที่มันอร่อยๆ ดิวะ”

   “กูอยากแบกเป้ท่องโลก”

   “เฮ้ยๆ อันนี้กูก็อยากไป ที่แรกลองอินเดียก่อนเลย ทิเบตก็น่าไปนะ”

   “ชัมบาลาอ่ะเหรอ”

   “อืม”

   “ขอไปด้วยคนดิ”

   “พูดเหมือนจะไปวันนี้พรุ่งนี้” ไม่น่าเชื่อว่าหัวข้อสนทนาง่ายๆ จะกลายเป็นการแลกเปลี่ยนความฝันของเรา และบางอย่างก็ทำคนเดียวไม่ได้ อย่างเที่ยวเนี่ยถ้ามีเพื่อนไปเยอะๆ แม่งก็ยิ่งสนุก ผมแค่หวังว่าวันหนึ่งที่เดินทางไปที่ไหนสักแห่ง ข้างกายจะยังมีไอ้ค่ายกับแก๊งโหดอยู่ตรงนั้น

   “แล้วมีอะไรอีกวะ อยากทำอะไรมากกว่านี้มั้ย” เสียงเข้มถาม

   “อยากดูหนังภาคต่อแบบมาราธอนมั้ง”

   “กูอยากอ่านหนังสือภาคต่อให้จบแบบรวดเดียว”

   “กูอยากนั่งคุยกับคนแปลกหน้า”

   “คุยเรื่องอะไร”

   “อากาศ อาหาร รถติด เรื่องทำบุญอะไรแบบนี้มั้ง เป็นมึงล่ะจะคุยเรื่องอะไร”

   “เซ็กซ์”

   “คิดได้แค่นี้หรือไง” โคตรเหี้ย เชื้อไม่ทิ้งแถว เสือไม่ทิ้งลายของแท้ ก็เพราะมันเป็นอย่างนี้ไงใครมันจะปักใจเชื่อว่าจะหยุดตัวเองได้ แต่คำตอบที่มันพูดออกมาก็ทำให้ผมอึ้งไปอีก

   “อ้าวหวัดดีคนแปลกหน้า ชื่ออะไรครับ”

   “ไอ้สัด”

   “ขอมีเซ็กซ์ด้วยได้มั้ย”

   “ไปตายก่อนไป”

   “ฮ่าๆ ทำไมคนแปลกหน้าหน้าแดงจังอ่ะครับ”

   “เปลี่ยนเรื่องๆ” ต้องพยายามเบี่ยงประเด็นก่อนจะโดนเผาจนร้อนหน้าไปมากกว่านี้ เชี่ย หรือกูจะลุกไปนั่งกับไอ้สองตัวที่เบาะถัดไปดีวะ

   “ไม่ต้องคิดจะย้ายไปเลยกูรู้ เรายังคุยหัวข้อนี้กันไม่จบเลย” ไอ้ค่ายเหมือนรับรู้ความคิดของผม มันยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้พลางพูดความฝันแผลงๆ ของมันต่อ “แต่กูอยากแต่งงานนะ”

   “...!” คำตอบไม่คาดฝันถูกพูดขึ้น

   “เจ้าชู้อย่างมึงนี่อยากแต่งงานกับเขาด้วยเหรอ”

   “ก็เลิกแล้วไงเลยอยากแต่งงาน เกิดมายังไม่เคยแต่งงานสักครั้งเลยอยากทำมั่ง แล้วงานแต่งก็ต้องมีเจ้าสาวน่ารักๆ จัดแม่งสักพันโต๊ะไปเลย ให้นายกมาเปิดงานด้วยก็คงดี”

   “มึงแม่งโคตรเว่อร์”

   “ไม่ชอบเหรอ”

   “ไม่ว่ะ”

   “ชอบงานแบบไหน”

   “เรียบๆ จัดกันเองในครอบครัวแบบนี้มั้ง”

   “โอเคเดี๋ยวโทรไปบอกแม่ให้”

   โว้ยยยยยยยยยยยย โดนทุกดอกเลยกู เปลี่ยนเรื่องคุยได้มั้ยเนี่ยแม่งเอ๊ย รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตุ๊กตาให้ไอ้ค่ายเล่นเพราะไม่ว่าจะขยับไปทางไหนก็ถูกมันจับเอาไว้แล้วขยี้จนใจสั่นตลอดเวลา

   “ตามึงบ้าง อยากทำอะไรอีก”

   “กูไม่เล่นแล้ว” ผมแหวใส่เสียงดัง พร้อมกับทำตาขวางใส่ด้วย

   “โกรธกูทำไมเนี่ย”

   “ก็มึงเล่นเหี้ยๆ แบบนี้ไง”

   “เขินก็บอก”

   “ไม่ได้เขิน”

   “เอออีกอย่างที่กูอยากทำ”

   “อะไร”

   “โทรไปหาคนที่กูเคยคิดไม่ดีกับเขาตลอดเวลา แล้วสารภาพความผิดทั้งหมด”

   “โหย มึงคงต้องโทรไปอีกหลายสายเลยล่ะ เคยคิดเลวๆ กับชาวบ้านเขาเยอะซะด้วยสิ”

   “ก็โทรหาแค่มึงมั้ย”

   “มึงเคยเกลียดกูเหรอ”

   “เปล่า กูเคยคิดอยากซั่มมึงให้ขาดใจตายคาอกอยู่บ่อยๆ ว่ะ กูขอโทษนะ”

   ไอ้เหี้ยยยยยยยยยย!!

   ตอนนี้ผมคิดจะหาไม้ลูกชิ้นสักไม้จากแม่ค้า แล้วเสียบอกไอ้ค่ายให้ตายตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอด หรือถ้าไม่ก็มีอีกทางนั่นคือกูต้องเอาไม้นั้นแทงตัวเองแทน แม่งเอ๊ย














   ฉากที่สาม ภายนอก / สถานีรถไฟสุราษฎร์ธานี / สี่โมงครึ่ง (เย็น)

   การเดินทางเวลาหลายสิบชั่วโมงสิ้นสุดลงเมื่อผมกับแก๊งโหดถึงปลายทางอย่างปลอดภัย เรานั่งเรือข้ามฟากไปยังเกาะสมุย แต่เพื่อนยากสองคนแยกไปพะงันเพราะคืนนี้จะมี Full moon party ต่อ ผมกับไอ้ค่ายที่ไม่อยากไปเบียดเสียดกับคนจำนวนมากเลยปลีกวิเวกมาอยู่ในพื้นที่สงบของตัวเองแทน

    ตอนนี้ก็เหลือผมกับไอ้ค่ายแล้วครับที่ต้องอยู่บ้านพักตากอากาศหลังเล็กๆ บนเกาะ เพราะจุดประสงค์ในครั้งนี้อยู่ที่การเดินทางโดยรถไฟ หลังจากนั้นจะแยกย้ายไปทำอะไรก็แล้วแต่ คาดว่าพรุ่งนี้เช้าเพื่อนรักทั้งสองคงกลับมารวมพลกันอีกรอบ

   “เขามีเช่ามอเตอร์ไซค์ขี่รอบเกาะด้วยนะ”

   “อืม แต่ตอนนี้ขอพักก่อนได้มั้ยวะ เมื่อยฉิบหายเลย” การเดินทางโดยรถไฟหวานเย็นเป็นอะไรที่ใจเย็นมากครับ เพราะใช้เวลาค่อนข้างมาก ดูจากการคืบคลานของขบวนรถ

   โชคดีที่พอตู้โดยสารโล่งหน่อยไอ้ทูกับไอ้โบนก็แบกกีตาร์มาร้องรำทำเพลงให้ฟัง ไม่อย่างนั้นผมคงถูกไอ้ค่ายแทะพรุนจนเหลือแต่กระดูกแล้วครับ

   บ้านพักตากอากาศที่จองเป็นบ้านสองชั้น มีห้องนอนชั้นบนกับชั้นล่าง ซึ่งด้านล่างไอ้ทูกับไอ้โบนจองไว้เผื่อมานอนตายในตอนเช้า ส่วนด้านบนเป็นของผมกับไอ้ค่าย ตอนดูรายละเอียดกันมามันเป็นเตียงเดี่ยวสองเตียง มีห้องน้ำในตัวแต่เมื่อเข้ามาสำรวจดีๆ แล้วกลับพบว่า...   

   “ไอ้ค่าย ไหนมึงบอกเตียงคู่ไง จองยังไงได้เตียงคิงไซส์วะ”

   “นี่ไงเตียงคู่ นอนกันสองคนได้”

   “ไม่ใช่แล้วเว้ย!”

   “ใช่ดิ มึงบอกอยากได้เตียงคู่ก็นี่ไง” ไอ้ค่ายมันกวนตีนครับ ต้องการเล่นสงครามประสาทกับกูแน่ๆ แต่ในเมื่อจองมาแล้วจะขอเปลี่ยนก็ดูเรื่องมาก เลยจำใจต้องนอนเตียงเดียวกับมันไปก่อน

   ผมยกระเป๋าเป้เข้ามาภายใน ไม่คิดจัดเสื้อผ้าหรือของใช้ใดๆ ทั้งนั้นนอกจากทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มทันที

   “เดี๋ยวกูไปอาบน้ำก่อนนะ”

   “จะทำอะไรก็ทำ”

   “ให้กูทำอะไรก็ได้เหรอ งั้นกูขอมีเซ็กซ์กับมึงได้ป่ะวะ”

   “มึงไปหื่นที่อื่นเลยไอ้เวร”

   “แล้วมึงนอนอ่อยกูทำไม”

   “กูไม่ได้อ่อยกูง่วง ค่ายกูกราบ ช่วยไปไกลๆ ตีนกูเถอะ”

   เสียงหัวเราะของคนตัวสูงดังขึ้นผะแผ่ว ไอ้ค่ายเดินวนไปเวียนมาในห้องพลางผิวปากอย่างอารมณ์ดี ไม่นานมันก็เดินหายไปในห้องน้ำ ส่วนผมก็ขอใช้เวลากับการพักผ่อนเพิ่มพลังให้ตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก

   กระทั่งฟ้ามืดแล้ว แสงไฟที่แยงตาผมอยู่ทำให้ต้องลืมตามองบรรยากาศรอบๆ ไอ้ค่ายไม่ได้หายไปไหน มันนอนอยู่ข้างๆ แบบหมดสภาพไม่ต่างกับผม เห็นทีแพลนวันนี้คงไม่มีอะไรทำนอกจากอยู่ที่ห้อง

   ผมลุกขึ้นไปอาบน้ำและแต่งตัวใหม่ด้วยเสื้อผ้าสบายๆ กลับออกมาก็เห็นว่าเพื่อนตัวสูงตื่นรอก่อนแล้ว

   “ลงไปกินข้าวกัน”

   “อืม”

   “ที่มีมีคลับกับบาร์เยอะมาก”

   “หนีแสงสีฉิบหาย สุดท้ายมึงกลับไปในวงจรเดิม”

   “แค่บอกว่ามี ไม่ได้บอกว่าจะไปสักหน่อย”

   “เหรอออออออ”

   บ้านพักตากอากาศที่ผมกับไอ้ค่ายอยู่มีพื้นที่ส่วนกลาง ด้านหน้าเป็นสระว่ายน้ำ ห้องอาหารอยู่ถัดไปไม่ไกลนัก เรานั่งกินข้าวเย็นกันที่นี่ ก่อนซื้อขนมและเครื่องดื่มตุนไว้สำหรับคืนนี้

   เมื่อกลับมาที่บ้าน ผมไต่บันไดเล็กๆ ขึ้นไปด้านบน เหนือห้องนอนที่เราอยู่เป็นดาดฟ้ามีพื้นที่เอาไว้สำหรับสังสรรค์และชมวิวยามค่ำคืน ด้านบนมีเก้าอี้ผ้าใบสองตัวให้เอนนอนชมดาว ดูแล้วโรแมนติกมากถ้าไม่นับไอ้คนที่มากับผมด้วยเนี่ย

   “เบียร์เย็นๆ หน่อยมั้ย” นั่นไง พอรู้ว่าผมขึ้นมา ร่างสูงก็ตามมาราวีอย่างไม่ลดละ

   “เออเอามา”

   “นอนด้วยคนสิ”

   “ใครห้ามวะ”

   ผมนอนลงที่เก้าอี้เอนก่อนแล้ว ส่วนไอ้ค่ายก็พยายามดึงเก้าอี้ของมันมาชิดกับผมให้มากที่สุดแล้วทิ้งตัวลงตาม มือหนายื่นเบียร์มาให้ซึ่งผมก็รับเอาไว้ เปิดกระป๋อง และค่อยๆ ดื่มด่ำไปกับบรรยากาศรอบตัว

   “ลมเย็นดีว่ะ” ไอ้ค่ายยังคงเป็นฝ่ายชวนคุย

   “มึงว่าตอนนี้ไอ้โบนกับไอ้ทูจะเป็นยังไงบ้างวะ”

   “คงเต้นจนลืมตายเลยมั้ง เหตุผลที่มันไปที่นั่นก็เพื่อจะได้สนุกลืมโลกของมันไง”

   “แล้วทำไมมึงไม่ไป ความจริงไม่ต้องตามมาอยู่กับกูก็ได้นะ” ค่ายแม่งเป็นคนชอบสังสรรค์ เสียงเพลง และความสนุกสนาน บางทีผมก็อดสงสารไม่ได้ว่าเพราะผมหรือเปล่ามันถึงต้องฝืนตัวเองขนาดนี้

   “กูไม่ได้อยากไปหลีสาวนี่หว่า อยากอยู่หลีมึงที่นี่มากกว่า”

   “เหอะ!”

   “ดาวคืนนี้สวย”

   “เพราะฝนไม่ตกไงฟ้าเลยเปิด”

   “มึงรู้จักดาวอะไรบ้าง”

   “ไม่รู้อะไรเลย กูเป็นคนดูดาวไม่เป็น แต่ชอบดูนะ”

   “เหมือนกัน”

   ต่างคนต่างเงียบ ปล่อยให้บรรยากาศโดยรอบเป็นไปตามธรรมชาติ ด้านบนนี้ไม่มีเสียงเพลง ไม่มีเสียงจอแจของคนโดยรอบ เราได้ยินเพียงเสียงคลื่นที่สาดซัดขึ้นมาบนฝั่งเท่านั้น

   และจู่ๆ เสียงทุ้มของคนเคียงข้างก็เปรยขึ้น...

   “มึงกับกูเรามีครั้งแรกด้วยกันกี่ครั้งแล้ววะ มาเที่ยวสมุยกับมึงครั้งแรก นั่งรถไฟกับมึงครั้งแรก จูบกับมึงครั้งแรก หลงรักมึงครั้งแรก”

   “มันก็เยอะอยู่ แต่กูจำวันที่สารภาพรักกับมึงครั้งแรกได้ดีนะ” ภาพในวันนั้นยังติดตาอยู่เลย วันที่ผมทำแผ่นบอร์ดหลายๆ ใบกับไอ้ทูทั้งคืนเพื่อที่จะบอกรักมัน แต่ผลสุดท้ายกลับเฟลไม่เป็นท่า

   “จำได้”

   “มึงบอกว่าจะเอามุกนี้ไปจีบคนอื่น”

   “แต่ก็ไม่เคยใช้จริงๆ หรอก”

   “กูเอามาจาก Love actually”

   “รู้ เรื่องนั้นเราก็นอนดูด้วยกัน แถมหลายรอบด้วย”

   “ชีวิตเราต้องมีครั้งแรกหลายๆ ครั้ง ตาแฉะเลยมั้ยล่ะ”

    “เติร์ด...” ใบหน้าคมหันมามอง จมูกโด่งๆ ของมันอยู่ใกล้กับแก้มผมมาก ใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจที่เป่ารดกัน

   “หือ”

   “ถามอะไรหน่อยดิ”

   “ถ้าตอบได้ก็จะตอบ”

   “ถ้าวันนั้นกูไม่บังเอิญเห็นวิดีโอที่มึงสารภาพรัก มึงยังจะบอกชอบกูอยู่มั้ยวะ”

   “คงไม่ อาจจะเก็บเอาไว้”

   “ถ้าหลังจากที่รู้แล้วกูรับไม่ได้ มึงยังจะรักกูอยู่มั้ย”

   “ก็อาจจะรัก แต่ก็ต้องตัดใจด้วยเพราะมันไม่มีหวังแล้วนี่หว่า” ผมยังจำวิธีการมากมายที่คิดค้นเพื่อให้ตัวเองตัดใจได้อยู่เลย แต่ไม่มีใครรู้หรอก พยายามแค่ไหนสุดท้าย...

   ผมก็ยังรักมันเหมือนตอนนี้ไง

   “ถ้าให้เลือกระหว่างความเป็นเพื่อนกับคนรัก มึงจะเลือกให้กูเป็นแบบไหน”

   “เป็นอย่างที่มึงอยากจะเป็น เมื่อไหร่กูพร้อมก็ยอมรับเองแหละ” อีกฝ่ายยิ้ม เอื้อมมือมาผสานมือกับผมแนบแน่นจนไม่เหลือช่องว่าง

   “ถ้าวันหนึ่งกูกลายเป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีความก้าวหน้า ไม่มีอะไรเลยมึงยังจะอยู่กับกูมั้ย”

   “ก็ถ้ามึงยังอยู่กับกู กูก็จะอยู่”

   ทำไมวะ จู่ๆ ก็รู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมาซะอย่างนั้น

   “แล้วถ้าโลกนี้มีคนที่ตรงสเป็กมึงและสมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง มึงจะเลือกเค้ามั้ย”

   “ก็คิดเอาแล้วกัน ชีวิตกูเจอคนดีๆ มาเท่าไหร่”

   “...”

   “สุดท้ายก็ยังเลือกคนเหี้ยๆ อย่างมึงเหมือนเดิม”

    ฝ่ามือที่ผสานกันถูกกระชับให้แน่นขึ้น ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกนอกจากต่างคนต่างยิ้ม บางที...ผมก็อยากให้เวลาเดินไปช้าๆ ให้เราได้สัมผัสกับความสุขจริงๆ ให้เราได้อยู่ด้วยกันจนกว่าจะหลับไป ให้นานกว่านี้อีกหน่อย แม้ความจริงโลกจะยังคงหมุนของมันเหมือนเดิมก็ตาม

   “กูจะดูแลมึงอย่างดี สัญญา...” นานเหมือนกันกว่าความเงียบจะถูกทำลายอีกครั้ง

   “ถ้ามึงรอได้นะ”

   “กูก็ต้องรอได้อยู่แล้ว มาถึงขนาดนี้”

   “จริงๆ คืนนี้ถ้ามึงอยากไปที่บาร์ก็ไปได้นะ”

   “ไม่อ่ะ มึงไม่อนุญาต แล้วตอนนี้กูก็ไม่อยากไป”

   “อนุญาตแล้ว”

   “เหอะ มีเบียร์อยู่ในมือนี่ไงกูจะไปทำไมล่ะ”

   “ค่าย”

   “ว่าไง”

   “อยากจูบมั้ย”

   “...”

   “คราวนี้จูบได้นะ อนุญาตแล้ว”

   ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรสั่งให้ผมพูดประโยคนั้นออกไป แต่หลังจากสิ้นสุดคำพูดไม่นานริมฝีปากของผมก็ถูกใครอีกคนครอบครองมันไปทั้งหมด จูบนี้ขมเฝื่อนในตอนแรกจากรสชาติของเบียร์ที่เราดื่มเข้าไป แต่ไม่นานก็หอมหวานราวกับบรรยากาศโดยรอบที่เราเผชิญ

   การเดินทางครั้งนี้ทำให้ผมรู้ว่าชีวิตเรามีอิสระเสมอ จนกระทั่งได้เจอกับความรักเนี่ยแหละ…















   มหา’ลัยเปิด ภาระหนักของนิสิตนิเทศฯ แบบเราๆ นั่นก็คือการเตรียมงานสำหรับละครเวทีประจำปี หลายคนหัววุ่นมากจนไม่ได้หลับได้นอน ฝ่ายโสตสิบกว่าคนนอนในห้องบันทึกเสียง ส่วนผมที่ไม่ค่อยมีงานเนื่องจากบทเสร็จแล้วก็เปลี่ยนไปทำหน้าที่ประสานงานและขายบัตรกับฝ่ายพีอาร์

   ชีวิตของผมเรียบรื่น มีตื่นเต้นบ้างตอนมีงานใหม่เข้ามา ดังนั้นกราฟชีวิตเลยขึ้นๆ ลงๆ แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาต่อสภาพจิตใจ

   ไอ้ค่ายยังคงตามจีบผมอยู่ มันพยายามมากจนผมรู้สึกได้ ครั้งหนึ่งผมเคยคิดหาวิธีต่างๆ มากมายเพื่อให้หยุดรักมัน และหนึ่งในวิธีมากมายเหล่านั้นก็คือการหาข้อเสียของอีกฝ่ายขึ้นมาเพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการตัดใจ

   ผมจำได้ขึ้นใจ ทุกข้อที่เคยคิดถึงในวันนั้นไอ้ค่ายแม่งทำมันซะทุกอย่าง ผิดกับตอนนี้ที่เพิ่งสังเกตเห็น หรือเพราะความรักทำให้คนคนหนึ่งเปลี่ยนไป...





ข้อหนึ่ง ขับรถเร็ว

“ไอ้ค่ายเมื่อไหร่จะถึงวะ ถ้าเข้าคลาสไม่ทันกูจะตบให้หัวหลุดเลย”
“รีบอยู่ แต่ขับเร็วไม่ได้เดี๋ยวมึงตายห่าคาเบาะก่อน”
“แต่ก็ไม่ต้องช้าขนาดนี้ก็ได้มั้ง”
“นี่พอดีกับมึงแล้ว”
“มึงขับเท่าไหร่”
“ยี่สิบ”
“ยี่สิบ! บิ๊กไบค์มึงขับยี่สิบ ขายชาวีทิ้งเหอะสัด รำคาญ”
“ทำไมเดี๋ยวนี้มึงเป็นคนใจร้อนนักวะ เมนส์มาเหรอ”
“โอยยยยยยยยยย ไอ้ค่าย โอยยยยยยยยยย”

   
อ่านต่อด้านล่างค่ะ

ออฟไลน์ Jittirain12

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 353
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1238/-18

   ข้อสอง ไม่รู้จักความพยายาม นิดหน่อยไม่ได้ดั่งใจก็ถอดใจไปซะก่อน

   “มึงกลับได้แล้ว พรุ่งนี้ค่อยเอาไปส่งให้ร้านซ่อม”
   “ก็เผื่อมึงต้องใช้ทำงานคืนนี้ไง เอาเครื่องกูไปใช้ก่อนมั้ยล่ะ ส่วนของมึงกูจะดูให้”
   “กูไม่รีบเว้ย”
   “แต่มึงมีงานส่งวันมะรืนนะ”
   “ก็มึงซ่อมไม่ได้อ่ะ”
   “ได้ อาการนี้กูเคยเป็นรอกูก่อน”
   สองชั่วโมงผ่านไป...
   “ดึกแล้วง่วง พอเถอะไอ้ค่าย”
   “เนี่ยรอมันโหลดเดี๋ยวได้เลย”
   สามชั่วโมงผ่านไป...
   “จะเช้าแล้วเนี่ย”
   “ได้ละเห็นมั้ยว่ากูเก่ง”
   “เอาเวลาที่มึงซ่อมไปนอนก่อนมั้ย ตอนนี้ร้านคอมพ์คงเปิดแล้วมั้งสัด”
   “ดีใจก็บอก ไม่ต้องมาเนียนทำเป็นโมโห” จ้า...เอาที่สบายใจเลยจ้า...








ข้อสาม นิสัยเจ้าชู้และอ่อยไปทั่ว

“มองอะไร”
“กูเปล่า”
“นมใหญ่ดีนะนั่น ไม่อยากเข้าไปจีบเหรอ”
“ก็มองเฉยๆ ให้จีบจริงกูก็ไม่ทำหรอก”
“เพราะอะไร”
“เพราะกูจีบมึงแค่คนเดียว”
ง่อววววววววววว








   ข้อสี่ เห็นทุกคนเป็นแค่วันไนต์แสตนด์

   “เพื่อนๆ คืนนี้ไปร้านเหล้ามั้ย”
   “ร้านไหน”
   “ร้านเฮียตี๋ข้างมอ”
   “ถามเติร์ดก่อน ไอ้เติร์ดไอ้ทูกับเชี่ยโบนชวนมึงไปมั้ย”   
   “ไม่ว่ะ ขอเคลียร์งานละครเวทีก่อนนะ มึงสามตัวไปกันเลย”
   “งั้นกูไม่ไปละ”
   “ไม่สนใจไปหิ้วหญิงแล้วเหรอ เด็ดนะเว้ย”
   “ที่นั่งอยู่ตรงนี้ก็เด็ดมากแล้ว”
   ชิเหยจย้า! โดนหยอดอีกแล้วกู...









   ข้อห้า ผู้หญิงเก่าๆ ของมันล้วนเป็นปัญหา   

   “เติร์ด ถ้ามีเบอร์ที่ลงท้ายด้วย 92 โทรมามึงไม่ต้องรับนะ”
   “ทำไม เบอร์ใครวะ”
   “แฟนเก่ากู ตอนแรกโทรเข้าเครื่องกูก่อนแต่กูบล็อก ส่วนมึงก็ไม่ต้องไปสนใจ เขากับกูไม่ได้อะไรกันแล้ว แล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าฝ่ายนั้นจะทำให้มึงปวดหัวด้วย เพราะกูจะทำทุกทางไม่ให้ใครมายุ่งกับมึง”








ข้อหก มันไม่ฉลาด   

“มึงชอบบอกว่ากูโง่”
“ก็มึงโง่จริงอ่ะค่าย”
“แต่กับเรื่องที่มึงรักกูกูรู้นะ ฉลาดพอยัง”
“เอ่อ...”







   ข้อเจ็ด มันไม่เคยรักใครจริง

   “แล้วคนเดียวที่กูรักก็คือมึง...”









   ข้อเสียทุกข้อที่ผมเคยคิดเพื่อตัดใจวันนี้มันไม่สามารถใช้ได้แล้ว ไอ้ค่ายยอมเปลี่ยนตัวเองในทางที่ดีขึ้น แต่นิสัยบางอย่างก็ยังคงเป็นมัน ผมไม่เคยบังคับให้มันต้องทำอะไรฝืนใจ ความรักของเราคือความเข้าใจมากกว่า และไม่ใช่ว่าเจ็ดข้อนั้นจะเป็นข้อบกพร่องทั้งหมดของไอ้ค่าย มันยังมีข้อเสียอีกมากมายซึ่งผมก็พยายามยอมรับและค่อยๆ ปรับตัว

   แปลกแต่จริง นับจากวันที่แอบรักมันเมื่อเกือบสามปีก่อน ตอนนี้ผมกับไอ้ค่ายมาไกลากจุดนั้นมาก

   “ทุกคนเตรียมตัว อีกสิบห้านาทีเริ่มแสดงแล้ว!” เสียงของพี่เชนทร์ดังก้องไปทั่วหลังเวที ที่นั่งด้านหน้าเริ่มมีคนทยอยเข้ามาจนเต็มพื้นที่ ละครเวทีปีนี้มีการแสดงสองรอบ และวันนี้ก็คือรอบสุดท้ายแล้ว   

   เมื่อวานฟานกับพิงค์และนักแสดงทุกคนทำได้ดีมาก วันนี้ก็ต้องดีเหมือนกัน...

   “น้ำหน่อยมั้ยไอ้เติร์ด” พี่เชนทร์ถามพลางยื่นขวดน้ำดื่มมาให้

   “ขอบคุณว่ะพี่ แต่ผมว่าพี่น่าจะต้องการมากกว่านะ” ปากนี่ซีดเชียว ตื่นเต้นเกินไปสิท่า

   ลุ้นหนักสุดก็ผู้กำกับเนี่ยแหละ เมื่อวานผมเห็นพี่มันยืนอยู่ข้างเวทีไม่ขยับไปไหน ขณะที่นักแสดงวิ่งขึ้นลงเวทีวุ่นเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าและทำผม พวกแบ็คสเตจก็ทำงานหนักเหมือนกัน ฝ่ายโสตคุมเสียงอยู่ด้านหลัง ไอ้ทูรับภาระหนักถือกล้องอัดวิดีโอตัวใหญ่ไปตามเวที ดีที่มีทีมภาพคนอื่นมาช่วยเก็บภาพอีกหลายคน

   “มึงๆ จะเริ่มแล้ว”

   พี่เชนทร์สะกิดไหล่ผมยิกๆ

   เสียงพิธีกรลอดผ่านไมค์โครโฟน ม่านสีแดงที่โรยตัวปิดอยู่ยังไม่ขยับเขยื้อน ผู้คนเบื้องหน้ามองตรงมาอย่างตื่นเต้น พร้อมกับซาวน์ที่ค่อยๆ ดังขึ้นเพื่อเรียกความสนใจ

   “และเวลาต่อจากนี้ ขอเชิญพบกับละครเวทีนิเทศศาสตร์ประจำปี 2560 ในเรื่อง...ไลก์เบอรี่ได้เลยค่า”

   ม่านสีแดงถูกดึงขึ้นสูง เผยให้เห็นฉากหลังอลังการที่ฝ่ายศิลป์บรรจงสร้างมันขึ้นมา ความมืดยังคงเกาะกุมพื้นที่อยู่ รอกระทั่งสปอตไลท์ฉายไปยังนางเอกของเรื่องเสียงปรบมือก็ดังขึ้น...

   เป็นช่วงเวลาสองชั่วโมงครึ่งที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ คราบน้ำตา และความลุ้นระทึก ไม่เพียงแค่ผู้ชมแต่หมายถึงเราที่ร่วมทำและสร้างกันมาตลอดหลายเดือนกว่าจะมีวันนี้ได้

   ละครนิเทศฯ ให้ทุกอย่างกับผม ให้มิตรภาพของคำว่าเพื่อน ให้ความอดทนและมุมานะ ให้เราได้แบ่งเวลาในการใช้ชีวิต และที่สำคัญ...ให้ผมได้ลองก้าวผ่านความกลัวของตัวเองเพื่อเริ่มต้นรักใครสักคนอีกครั้ง

   “ละครใกล้จบแล้ว มาเตรียมตัว”

   เสียงของผู้กำกับหุ่นหมีดังขึ้น ฉากสุดท้ายกำลังปิดตัวลง ทุกคนด้านหลังเวทียืนมองแสงสปอตไลท์ที่ฉายอยู่ตรงกลางเวทีเป็นจุดเดียว จากสว่างค่อยๆ...ดับลงจนมืดสนิท ก่อนเราจะได้ยินเสียงปรบมือและกรีดร้องดังกระหึ่มไปทั่วพื้นที่ พี่น้องนิเทศฯ กอดกันแน่น

   สุดท้ายเราก็กำลังเติบโตไปด้วยกัน

   “ขอบคุณที่ติดตามไลก์บรารี่มาจนถึงช่วงสุดท้าย ละครเวทีเรื่องนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าหากขาดผู้ชมถูกท่าน และทีมงานนิเทศศาสตร์ของเรา...ผู้กำกับของเรื่องค่า”

   เสียงปรบมือยังคงดังต่อเนื่อง พี่เชนทร์วิ่งขึ้นไปบนเวทีพร้อมกับค้อมตัวลงเป็นการขอบคุณ แล้วขยับเท้าไปยืนอยู่ตรงกลาง

   “นักแสดงของเรื่อง”

   “วิ้ดวิ้วววววว”

   “ฝ่ายกำกับการแสดง”

   เพื่อนอีกสิบสองคนจับมือกันวิ่งขึ้นไปบนเวทีก่อนค้อมตัวขอบคุณด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

   จากนั้นพิธีกรก็เริ่มประกาศหน้าที่ของแต่ละฝ่ายไปเรื่อยๆ ทุกคนขึ้นไปจับมือกันบนเวทีและยืนอยู่ตรงนั้นจนกว่าม่านจะลดลงมาปิด

   “และสุดท้าย ทีมเขียนบทค่า”

   มีผมและพี่ย้งยี้วิ่งขึ้นไปเพียงสองคนเพราะพี่เชนทร์แม่งยืนรออยู่บนเวทีก่อนแล้ว พอเราค้อมตัวเป็นการขอบคุณเสียงปรบมือก็ดังขึ้น พี่ย้งยี้วิ่งไปจับมือกับเพื่อนที่อยู่มุมเวที ส่วนผมก็กำลังวิ่งตามไปแต่กลับถูกใครคนหนึ่งเรียกชื่อเอาไว้ซะก่อน

   “เติร์ด”

   “...” ใครวะ!

   “เติร์ด! ตรงนี้” ผมพยายามมองหาเจ้าของเสียง ก่อนจะพบว่าไอ้ค่ายที่ควรยืนอยู่บนเวทีกลับยืนอยู่ด้านล่างแทน มันถือป้ายบอร์ดสีขาวขนาดใหญ่เอาไว้ในมือ เงยหน้าขึ้นมามองผมเหมือนต้องการจะสื่ออะไรบางอย่าง

   “เติร์ด กูมีอะไรจะบอก”

   “กรี๊ดดดดดดดดดด” เกิดเสียงเซ็งแซ่ไปทั่วพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นคนจากบนเวทีหรือฝั่งคนดูที่กำลังนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ก็ตาม

   ไอ้เชี่ยค่ายยยยยย มึงทำอะไรวะ

   ผมเหลือบมองโปรเจ็กต์เตอร์ซ้ายมือที่ถูกติดตั้งอยู่ข้างเวที ตอนนี้มันกำลังฉายภาพที่เป็นหน้าของผมและไอ้ค่ายสลับกันไปมาอยู่ คนดูภายในโรงละครเลยได้ชมภาพสดที่ผมเองก็ไม่อยากให้เกิดขึ้นเท่าไหร่ ตากล้องครับอย่าซูมหน้ากู ฮือ...อาย


‘หวัดดี’


ไอ้ค่ายเปิดแผ่นบอร์ดใบแรกให้ผมดู นี่เคยเป็นข้อความเริ่มต้นที่ผมใช้สารภาพรักกับมันเมื่อนานมาแล้ว และเราก็เอาไอเดียจากหนังเรื่อง Love actually มาใช้เหมือนอย่างเคย

บอร์ดแผ่นที่สองถูกเปิดต่อ


‘วันนี้เป็นเหมือนวันธรรมดา แต่กูมีสิ่งที่ไม่ธรรมดาจะบอกมึง’

บอร์ดแผ่นที่สาม...

‘มึงเป็นเหมือนสิ่งพิเศษ’

บอร์ดแผ่นที่สี่...

‘ไม่ได้พิเศษแบบนี้นะ’

ป้ายต่อมาปรากฏรูปยอดมนุษย์หลายตัว เช่น แบทแมน ซูปเปอร์แมน หรือแม้แต่กัปตันอเมริกา นี่มันป้ายเก่าของผมเลยนี่หว่า ไอ้คนไม่ลงทุน!

บอร์ดแผ่นที่ห้าถูกเปิด...

‘แต่มึงพิเศษกว่านั้น’

บอร์ดแผ่นหก...

‘วันนี้กูเลยอยากจะบอกกับมึงถึงสิ่งพิเศษสำหรับกู’

ผมยังคงมองตามทุกตัวอักษรและอ่านมันอย่างถี่ถ้วน ทำยังไงวะเพื่อไม่ให้ตัวเองอายเวลาอยู่ต่อหน้าคนมากๆ ขนาดนี้ ต้องทำยังไง

‘ดีใจที่เป็นเพื่อนกันมา’

‘ดีใจที่ได้รักมึง’

“กรี๊ดดดดดดดด” หลายคนส่งเสียงระงมเมื่อข้อความล่าสุดถูกเปิดออก

‘ดีใจที่ได้ทำอะไรหลายๆ อย่างร่วมกัน’

‘มึงคือสิ่งพิเศษ และทำให้กูอยากทำอะไรมากมาย’

‘แต่สิ่งหนึ่งที่กูอยากให้มันเกิดขึ้นที่สุดก็คือ...’

และก็เหลือบอร์ดแผ่นสุดท้ายในมือของคนตัวสูง จิตใจของผมเต้นรัว รู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้ขึ้นมาอีกแล้วทั้งที่ตัวเองไม่ใช่คนขี้แยเท่าไหร่

ข้อความนี้ถูกหันไปอีกด้านทำให้ผมไม่เห็นว่ามันเขียนข้อความอะไรไว้ รอคอยก็แต่เพียงให้อีกฝ่ายหมุนแผ่นบอร์ดกลับมาเท่านั้น

และในวินาทีต่อมา...

‘อยากแก่ไปด้วยกันกับมึง’

“แอร๊ยยยยยยยย”

หูของผมอื้ออึงไปหมด แถมตอนนี้เริ่มจะตาลายขึ้นไปอีก ไอ้ค่ายวางแผ่นบอร์ดทั้งหมดไว้ตรงพื้น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองที่ผมพร้อมกับยกนิ้วโป้งสองนิ้วขึ้นมาด้วยรอยยิ้มกว้าง

   ไอ้สัดนี่! มึงจะก๊อปปี้หนังทุกท่าเลยหรือไง

   ไม่มีคำถามให้ผมตอบ มีเพียงข้อความของมันลอยวนอยู่ในหัว ไม่นานเพลงปิดฉากละครเวทีก็ดังขึ้นพร้อมกับม่านที่ค่อยๆ ลดตัวลงมา ผู้ชมภายในโรงละครส่งเสียงให้กำลังใจพร้อมกับปรบมือไม่หยุด

   ไอ้ค่ายรีบวิ่งขึ้นมาบนเวที จับมือผมไว้แล้ววิ่งไปยืนอยู่ในกลุ่มเพื่อนนิเทศฯ หากแต่มีประโยคหนึ่งที่เราอาจได้ยินกันเพียงสองคนเล็ดลอดออกมา

   “อืม...มาแก่ไปด้วยกันเถอะ”

   จบแล้วไลก์บรารี่ ละครเวทีที่อยู่ในชีวิตจริง












   สามเดือนต่อมา...

   “อัพวิดีโอลงยูทูปแล้ว มาดูเร็ว”

   “เออๆ”

   ตอนนี้ผมอยู่ห้องไอ้ค่าย เรานัดหมายกันมาที่ห้องนี้ก็เพื่อดูหนังสั้นซึ่งเป็นโปรเจ็กต์จบปีสามด้วยกัน ไอ้ค่ายเป็นคนอัพโหลดวิดีโอลงชาแนลที่ผมดูแล มีไอ้ทูกับไอ้โบนตัดต่อในขั้นตอนสุดท้าย

   เรานั่งสุมหัวกันอยู่สี่คน มองดูจอสี่เหลี่ยมที่กำลังฉายหนังสั้นปีสามฝีมือเราเอง ก่อนข้อความแรกจะปรากฏขึ้นพร้อมกับเสียงรถไฟ สายฝน และคนคุยกัน

   Friend…Train…Rain

   “ใส่เสื้อกันฝนมาทำไมวะ  ไม่เห็นว่าฝนจะตกสักเม็ด”

   “เดี๋ยวแม่งก็ต้องตก”

   ข้อความเดิมๆ ที่เคยคุยกันเมื่อครั้งเดินทางด้วยรถไฟครั้งแรกถูกถ่ายทอดผ่านตัวละครเพื่อนสี่คน ผู้หญิงสองคน และผู้ชายอีกสอง แม้นักแสดงจะไม่ใช่หนึ่งในสี่แก๊งโหด แต่บอกเลยว่า นี่มันเหมือนกับการพาตัวเองออกไปเดินทางอีกครั้ง

   “แม่งมุกจีบนี่กูเดดแอร์สัดๆ” ไอ้โบนเริ่มพูดถึงฉากที่พระเอกจีบนางเอกด้วยการเล่นเกมส์ทาย

   “แต่กูขำนะ ไม่ได้ซึ้งด้วย”

   “เหี้ย หน้าน้องดาวแม่งอึ้งได้ว่ะ”

   “ชอบซีนนี้สัดๆ นึกว่าไอ้เติร์ดมาเอง”

   “ล้อเข้าไป” ไอ้พวกเหี้ย...

   ความยาวหนังสั้นของเราก็ไม่เชิงจะสั้นเท่าไหร่ เพราะมันปาไปเกือบสี่สิบนาทีเลยทีเดียว เพื่อนมันถึงได้ซื้อน้ำซื้อขนมมานั่งแดกตอนดูกันนี่ไง

   ไม่มีใครสนใจว่าเวลาจะหมุนผ่านไปแค่ไหน เพราะต่างคนต่างกำลังจดจำกับช่วงเวลาที่ได้ย้อนไปถ่ายทำในเหตุการณ์นั้นอยู่ มันทั้งสนุก หัวเราะ ร้องไห้ เครียดและกดดัน ต้องรอฟ้าฝนที่ไม่เป็นใจกับทีมที่ทำหนังสั้นเพียงสี่คน แล้วเวียนทำมันแม่งจนครบทุกหน้าที่

   กระทั่งซีนสุดท้ายปิดตัวลง ชื่อของใครคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้น



กำกับภาพยนตร์
ขุนพล กริชภิรมย์


   หลังจากนั้นตัวหนังสือบนจอก็ค่อยๆ เลื่อนผ่านโดยมีชื่อของเราทุกคนปรากฎอยู่บนนั้น รู้สึกดีใจฉิบหายเลยว่ะที่ครั้งหนึ่งก็มีชื่อเราทั้งสี่คนโผล่มาในหนังสักเรื่อง


Cast
         ปอง   ธนกฤต เศวษฉัตร
         เนม   ปิยะณัฐ ผิวสะอาด
         หญิง   อารียา ผ่องแผ้ว
         กุ้ง   มนัษวีย์ ศิริประชา


บทภาพยนตร์
เตชภณ คุณาปกรณ์

ผู้ช่วยผู้กำกับ
บริภัทร เกียรติกูล

กำกับภาพและกำกับศิลป์
ธนฉัตร ตั้งประเสิร์ฐ

Visual effect
บริภัทร เกียรติกูล

บันทึกเสียงและดนตรีประกอบ
ขุนพล กริชภิรมย์

จัดแสง
เตชภณ คุณาปกรณ์


แก๊งโหดโปรดักชั่น (HOD PRODUCTION)



   เอนเครดิตจบลงตรงที่หน้าจอเปลี่ยนเป็นสีดำ แต่เพลงยังคงบรรเลงต่อไป ผมโน้มตัวหมายจะปิดหน้าจอแต่มือหนาของไอ้ค่ายกลับรั้งเอาไว้ซะก่อน

   “มีอะไรวะ” ผมถามอย่างแปลกใจ

   “มีอาฟเตอร์เครดิตอีกตัวนึง”

   “ไม่เห็นรู้เลย”

   “เออน่า”

   มันไม่ใช่วิดีโอเคลื่อนไหวหรือฟุตเทจที่ถ่ายเพิ่มเข้ามาหรอกครับ หากแต่เป็นข้อความส่งท้ายที่ค่อยๆ เลื่อนขึ้นทีละคำและมันทำให้ผมชะงักไปในทันที


เติร์ด

เป็น

แฟน

กัน

มั้ย?
   

   นี่เหรอวะตอนจบของหนัง ตอนจบที่โคตรจะเซอร์ไพรส์แถมเพื่อนยังรู้เห็นเป็นใจอีกต่างหาก ไอ้ค่ายนั่งอยู่ข้างผม มันไม่ได้พูดอะไรต่อเหมือนกำลังเงียบรอคำตอบเพียงอย่างเดียว

   “ไอ้สัด กูไม่รู้จะพูดอะไร” ผมบอกกับมันตรงๆ ใจก็แทบระเบิดอยู่รอมร่อ

   “มึงเป็นทุกอย่างสำหรับกูหมดแล้ว ขาดอย่างเดียวแค่แฟน”

   “เออ! งั้นกูก็เป็นที่มึงขาดอยู่อย่างหนึ่งเนี่ยแหละ”

   “...”

   “เป็นแฟนกัน”

   เมื่อก่อนผมเคยคิดว่าตอนเกิดเราเกิดคนเดียว ตายก็ต้องตายเพียงคนเดียว

   เพราะเราเลือกไม่ได้ เลยคิดว่าชีวิตก็ควรอยู่คนเดียวให้เป็น

   แต่ตอนนี้ผมรู้แล้ว...

   ช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่ของเราแม่งเลือกได้เว้ย เลือกได้ว่าจะอยู่กับใคร

   และนี่คือจุดเริ่มต้นในหนังของเรา หนังที่มีผมกับไอ้ค่ายเป็นผู้สร้างด้วยตัวเอง


END




และช่วงนี้ก็มาถึงอีกแล้ว รู้สึกใจหายทุกครั้งเวลาพิมพ์ทอร์กในตอนจบของนิยายทุกเรื่อง
สำหรับทฤษฎีจีบเธอ เราอยู่กันมานานเท่าไหร่แล้ว จิตติย้อนกลับไปอ่านข้อความในวันแรก
26 กุมภาพันธ์ 2017 คือตอนแรกที่เติร์ดกับค่ายเป็นที่รู้จักของคนอ่านทุกคน นับแล้วก็ยาวนานหกเดือนกว่าๆ เลย
แรกเริ่มเดิมทีสิ่งที่คิดอยู่ในหัวจิตติก็คือ แอบรัก และคำว่าคอมมิดี้ เราอยากเขียนเรื่องตลกของคนแอบรักบ้าง
แต่ไปๆ มาๆ กลับพบว่า ‘การแอบรัก’ ใครสักคนหนึ่งมันไม่ตลกจริงๆ
ในบางบริบทที่คิดไว้ตั้งแต่เขียนพล็อตเราขำแทบตาย สุดท้ายลงมือเขียนจริงกลับไม่เป็นอย่างที่นั้น
นั่นเลยเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง ฟีลนิยายเปลี่ยนไปเพราะความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่
จิตติเลยอยากขอโทษและทั้งขอบคุณ ขอโทษที่ทำให้มันตลกและสนุกไม่ได้อย่างที่หวัง
ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันจนถึงตอนจบ นับแล้วค่ายก็คงเป็นพระเอกที่โดนด่าเยอะที่สุดของจิตติ
ด่าจนทวิตติดลิมิต บางครั้งคนอ่านก็จะเอาใจช่วยค่ายจนติดลิมิตเช่นกัน
มันดีมากๆ ความรู้สึกแบบนี้ แค่รู้สึกอินกับเรื่องที่เขียนก็ดีใจมากแล้วจริงๆ
แต่หนทางก็ยังคงอีกยาวไกล จิตติจะพยายามนำข้อเสียต่างๆ ที่คนอ่านบอกไปปรับปรุงในงานชิ้นต่อไป
ส่วนเรื่องนี้ก็เลือกเก็บเป็นอีกหนึ่งความทรงจำเช่นกัน ความทรงจำที่ว่าเราได้อ่านนิยายด้วยกัน
รู้จักค่าย เติร์ด แก๊งโหดและรุ่นพี่ตัวกวน รู้จักความรักในอีกมุมมองหนึ่ง
และรู้ซึ้งดีว่า ความรักจริงๆ ไม่ต้องใช้ทฤษฎีหรอก แค่ซื่อสัตย์และจริงใจต่อกันก็พอ
รักเสมอ.




หมายเหตุ จิตติจะลงตอนพิเศษในเว็บให้หนึ่งตอน ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ค่ะที่ลงให้ได้ไม่หมด
ตอนพิเศษมีทั้งหมด 4 ตอน คือ...

1. ปฏิบัติการยกพลขึ้นเตียง (ลงเว็บ)
   จะทำอย่างไรเมื่อค่ายกับเติร์ดคบกันนานแล้ว แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าค่ายจะได้ทำศึกใหญ่สักที
2. อย่าบอกใครว่าเราได้กัน (ในหนังสือ)
   หลังศึกคืนนั้นผ่านพ้น เมียรักก็เป็นอันป่วยจนต้องนอนซม แทนที่ค่ายจะมีเวลาดูแลเติร์ดอยู่ที่ห้อง เพื่อนรักทั้งสองกลับหาเรื่องพาเขาทั้งคู่ออกไปทำภารกิจด่วนซะอย่างนั้น
3. Perk of being together (ในหนังสือ)
   บางความสัมพันธ์ บางความรู้สึกก็อธิบายไม่ได้ว่ามันคืออะไร อั้นกับทูก็เช่นกัน...
4. วันง่ายๆ ของค่ายกับเติร์ด (ภาคเมียโหด) (ในหนังสือ)
   สี่ปีหลังจากค่ายกับเติร์ดคบกัน สิ่งต่างๆ ก็เริ่มเปลี่ยนแปลงก่อนจะพบว่า...ค่ายได้กลายเป็นคนกลัวเมียโดยสมบูรณ์แบบซะแล้ว


ข่าวดี หนังสือทฤษฎีจีบเธอจะวางแผงที่งานสัปดาห์หนังสือตุลาคมนี้นะคะ
เผื่อคนอ่านอยากสนับสนุนพี่ค่ายกับนุ้งเติร์ดค่า
อีกห้าวันเจอกันกับตอนพิเศษค่า


ออฟไลน์ hikkie

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เกิดมาเป็นค่ายลำบากทำดีคนก็อวยทำตัวเฮงซวยคนก็ด่า แต่ดีที่สุดของค่ายคงเป็นคนที่รักอย่างเติร์ดไม่เคยถอยห่างให้โอกาสตลอด


ปล.เจ็บใจอยากให้คนอื่นเป็นพระเอกเพราะเกลียดที่ชอบทำให้เติร์ดร้องไห้

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด