บทที่ 5
เหตุเกิดเพราะ...หนังสือชีวะ
อยากได้หนังสือเล่มนี้จัง แต่หาในห้องสมุดไม่เจอเลย TT สเตตัสของแอลทำให้ผมลุกพรวดจนแบงค์ตกใจ ผมมีเฟซแอลแล้วครับ ได้ติดตามความเคลื่อนไหวของคนตัวเล็กตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเลย
“อะไรของมึงวะ”
“ดูที่แอลโพสดิ กูจะได้ใกล้ชิดเขาขึ้นอีกขั้นแล้วนะโว้ย” แบงค์รับโทรศัพท์ไปดูแล้วส่งคืนผม
“แล้วหนังสือเล่มเดียวจะไปช่วยให้หนทางรักมึงราบเรียบขึ้นได้ยังไง ผ่านตัวเบ้งนั่นให้ได้ก่อนไหม” แบงค์เพยิดหน้าไปทางร่างสูงที่กำลังนั่งหน้าเครียดอ่านหนังสืออยู่ บนโต๊ะมีหนังสือกองเป็นตั้ง ไม่รู้ว่าเอามาอ่านจริงหรือตั้งโชว์ว่าตัวเองอ่านไปอย่างนั้น
“ผ่านทำไม เลี่ยงไปทางลัดเลยดีกว่า เดี๋ยวกูมา ไปหาหนังสือให้สุดที่รักก่อน” ผมเดินไปเสิร์ชเลขเรียกหนังสือที่คอมพิวเตอร์แล้วไล่หาหนังสือหมวดชีววิทยาที่คนตัวเล็กอยากได้ แต่หาจากซ้ายไปขวา ขวาไปซ้าย บนลงล่าง ล่างขึ้นบน ก็ไม่เจอหนังสือเล่มนั้น ได้แต่เดินคอตกไปหาเพื่อนยากที่นอนเล่นเกมอยู่บนพื้น
“ไม่เจอล่ะสิ กูว่าซื้อหนังสือชีวะไปเลยไหม ไหนๆ ก็หาไม่เจอแล้ว” แบงค์บอก ผมครุ่นคิดอย่างหนักเพราะหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่ถูกๆ แต่เมื่อนึกถึงประโยชน์ในระยะยาว ทั้งได้เป็นเจ้าของหนังสือให้แอลยืม หรือถ้าแอลไม่ได้ใช้อย่างน้อยผมก็เก็บไว้อ่านสอบ ได้ประโยชน์ทั้งสองอย่าง ยอมงดขนมไปสักอาทิตย์คงไม่เป็นไร แลกกับว่าที่แฟนแล้ว คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม
“ความคิดดี งั้นเลิกเรียนมึงไปเป็นเพื่อนกูนะ” แบงค์พยักหน้ารับแล้วเล่นเกมต่อ
ผมลุกไปเข้าห้องน้ำ ตอนที่กลับเข้ามาเห็นหนังสือเล่มเดียวกับที่แอลต้องการวางอยู่บนโต๊ะพี่เจต
เหยยยยย แบบนี้ก็ดีน่ะสิ ไม่ต้องเสียเงินแล้ว หึหึ
แต่ขโมยของพี่เจตเท่ากับฆ่าตัวตายนะโว้ย เกิดพี่มันตามล่าขึ้นมาจะทำยังไง
แหม่ ของสาธารณะไหม ใครดีใครได้สิ ยิ่งพี่เจตไม่อยู่แล้วก็หวานหมูสิครับผมมองซ้ายมองขวา เมื่อไม่เห็นเจ้าของโต๊ะอยู่แถวนั้นก็รีบฉวยมาไว้กับตัวเตรียมย่องออกไป แต่เสียงคุ้นหูขัดขึ้น
“จะเอาหนังสือของพี่ไปไหน” พี่เจตถามเสียงเรียบ
“ของพี่ที่ไหน นี่ของห้องสมุดต่างหาก” ผมแหวแล้วชี้ไปที่เลขเรียกหนังสืออย่างเหนือกว่า แต่แล้วก็ต้องก้มหน้าลงเมื่อสบตาพี่เจตมองผมนิ่งๆ
“พี่หยิบก่อน เพราะฉะนั้นสิทธิ์ในการใช้หนังสือเล่มนั้นเป็นของพี่” เราสบตากันนิ่งๆ สุดท้ายผมก็เป็นฝ่ายยอมแพ้ ยื่นหนังสือคืนพี่เจตไปอย่างจำยอม
“เออ ของพี่”
แต่พี่เจตดันหนังสือกลับมาให้ผม “ยืมอ่านพี่ไม่ว่า แต่อ่านเสร็จแล้วคืนด้วยเพราะพี่ต้องใช้”
ผมมองพี่เจตอย่างอึ้งๆ คนอย่างพี่เจตน่ะเหรอจะยอมให้ของตัวเองแก่คนอื่น แต่อึ้งอยู่ไม่นานผมก็รีบกอดหนังสือไว้แนบอกป้องกันการขอคืนจากพี่เจต
“นั่งอ่านด้วยกันนี่แหละ” พูดจบพี่เจตก็นั่งลงอ่านหนังสือก่อนจะดุผมเบาๆ “อย่ายืนค้ำหัวผู้ใหญ่” ผมจำต้องนั่งเก้าอี้ข้างพี่เจตแล้วทำทีเปิดอ่านหนังสือเล่มนั้น
ความจริงแล้วผมเกลียดวิชาชีวะ เพราะไม่ชอบท่องจำเนื้อหาจำนวนมาก แต่หนังสือเล่มนี้ดีครับ ไม่ได้อธิบายละเอียดยิบย่อยเหมือนหนังสือเรียน เขียนเพียงข้อมความสั้นๆ พร้อมภาพประกอบจึงทำให้ผมเข้าใจมากกว่าหนังสือเรียนที่ใช้ศัพท์เทคนิคอธิบายกระบวนการต่างๆ คือแทนที่ผมจะไปต่อได้กลับต้องมานั่งอ่านคำอธิบายว่าศัพท์นั้นหมายถึงอะไร
สุดท้ายผมก็เลยปล่อยวาง ปล่อยวางหนังสือชีวะให้โดนปลวกแทะ ไม่แตะต้องมันอีก
“เข้าใจไหม” พี่เจตถามโดยไม่มองหน้า ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง “นายนั่นแหละ”
“ก็ดีพี่ เห็นภาพชัดดี” จริงครับ ผมนั่งอ่านเพลินจนกระทั่งพี่เจตทักนั่นแหละ
“อืม” แล้วพี่เจตก็เข้าโหมดอ่านหนังสืออย่างจริงจังอีกครั้ง ส่วนผมที่กำลังสนุกกับการอ่านหนังสือเล่มนี้ก็ก้มลงอ่านเงียบๆ เช่นกัน น่าแปลกนะครับที่ผมนั่งอยู่กับศัตรูได้โดยไม่มีปัญหาอะไร
ผ่านไปสักพักพี่เจตก็ลุกขึ้นเดินออกไปเงียบๆ ผมเงยหน้ามองตามร่างสูงไปแล้วก้มลงอ่านหนังสือต่อก่อนฝ่ามือหนักจะฟาดหลังผมอย่างแรง
“มานั่งสวีทอะไรกับพี่เจตวะ เขาไปแล้วเนี่ย รีบฉวยโอกาสนี้เอาหนังสือไปให้แอลสิ” แบงค์มองไปทางห้องน้ำอย่างระแวงแล้วเร่งให้ผมรีบลุกขึ้นเพราะมันถือกระเป๋ามาให้ผมเรียบร้อยแล้ว
“กูไปซื้อเอาก็ได้ เล่มนี้ของพี่เจตมัน” ผมพูดเบาๆ เขาอุตส่าห์มีน้ำใจให้ผมยืมอ่านหนังสือดีๆ เชียวนะ ถือว่ามีบุญคุณเปิดโลกใบใหม่ของชีววิทยาให้ผมเลย
“กูเสิร์ชหาหนังสือเล่มนี้และโทรถามร้านหนังสือแล้ว เขาบอกว่าหมดสต็อกไปเป็นชาติ ถ้ามึงจะเอาใจแอลก็หยิบหนังสือเล่มนั้นไปยืมซะ แต่ถ้าไม่ก็วางคืนพี่เจตไป เลือกเอาสิ” ไม่ต้องคิดเลยว่าผมจะเลือกอะไร คนคุณธรรมสูงส่งแบบผมน่ะ
“ยืมหนังสือครับ” เลือกความรักอย่างแน่นอน
ผมรอบรรณารักษ์ปั๊มวันที่เสร็จแบงค์ก็รีบลากผมหลบมุมทันที ผมชะโชกหน้าไปดูก็เห็นพี่เจตขมวดคิ้วมองซ้ายมองขวาคงกำลังหาตัวผมอยู่
ขอโทษนะพี่ แต่เพื่อแอล ผมยอมทรยศพี่ว่ะ
.
.
.
“เห้ย พูหามาได้ยังไงน่ะ เราหาทั้งวันยังไม่เจอเลย” แอลยิ้มดีใจกอดหนังสือเล่มนั้นแน่น ตอนนี้พักกลางวันครับ ผมโทรถามแอลว่าอยู่ไหนแล้วรีบยื่นหนังสือให้เขา ดีใจที่คนตัวเล็กยิ้มอย่างมีความสุข
“ก็...เราอยู่ห้องสมุดพอดีก็เลยลองหาดู” ผมเกาหัวนิดๆ อย่างเคอะเขิน คือตอนแรกก็ไม่เขินหรอกครับแต่พอเห็นรอยยิ้มน่ารักส่งมาให้หัวใจก็เต้นตึกตักอย่างหยุดไม่อยู่
“ขอบใจน้า ถ้าไม่ได้พูเราต้องแย่แน่ๆ” แอลทำหน้าเศร้า
“ทำไมล่ะ”
“ก็เราได้รับหน้าที่ในกลุ่มให้หาหนังสือมาทำรายงานน่ะ เล่มอื่นเราหาได้แล้ว แต่เล่มนี้ก็หาย้ากยาก เรากลัวว่าเพื่อนๆ จะโกรธน่ะที่หาไม่ได้” แอลกัดริมฝีปากนิดๆ
“อย่ากัดปาก” ผมยกมือขึ้นแตะปากแอล คนตัวเล็กสะดุ้งก่อนแก้มใสจะขึ้นสีอย่างน่ารัก “ข..ขอโทษ เราแค่ไม่อยากให้ปากแอลเป็นแผล”
พูดบ้าอะไรวะไอ้พู ปากเขาเกี่ยวอะไรกับมึง
ก็เดี๋ยวตอนจูบไม่ฟินไงวะ เราต้องดูแลปากว่าทีแฟนให้ดีสิผมไล่ความคิดบ้าบอแล้วบอกลา แต่ก่อนจะไปแอลก็พูดขึ้น
“พู...” ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม “เอ่อ ไม่มีอะไร” แอลส่ายหน้าแล้วเดินกลับไปหาเพื่อนที่โต๊ะ ส่วนผมก็เดินเริงร่ากลับไปหาเพื่อนซี้ที่นั่งหน้าซีดอยู่ที่โต๊ะ เป็นอะไรวะ
ทันทีที่เห็นผม แบงค์ก็ถลาเข้ามากอดแขนผมแน่น “เชี่ยถั่ว มาก็ดีแล้ว มึงไม่อยู่กูเกือบถูกฆ่าแล้วรู้ไหม”
“ทำไมวะ”
“พี่เจตมาตามหามึง บอกว่าต้องการหนังสือคืน มึงรีบไปเอาคืนจากแอลดีกว่า กูกลัวมึงโดนกระทืบไส้ไหล”
“เรื่องอะไรล่ะ กูไม่ขอคืนจากแอลหรอก เสียมารยาท เดี๋ยวกูเคลียร์กับพี่เจตเองไม่ต้องห่วงนะมึง” ผมพูดเหมือนไม่ใส่ใจแต่ข้างในนี่สั่นพับๆ เลยครับ แต่จะให้รักตัวกลัวตายยอมเสียรักไปก็ใช่เรื่อง ผมจะสู้กับพี่เจตเพื่อแอลเอง
กินข้าวเสร็จไม่นานผมก็ได้รับข้อความจากพี่เจต
Jet Jetrin กินข้าวเสร็จมาหาพี่ที่หลังโรงเรียน
ผมอ่านข้อความแล้วถอยหายใจอย่างกังวล
กูจะถูกซ้อมไหมเนี่ย
.
.
.
ผมแยกทางกับแบงค์แล้วเดินไปยังหลังโรงเรียนถิ่นที่อยู่ของสมรเพื่อนรัก ขณะที่เดินเข้าไปก็เห็นไอ้พี่เจตลูบหัวสมรที่หลับตาพริ้มเอนหัวซุกมือพี่เจต
พี่เตาะเพื่อนผมเหรอ!
ผมวิ่งเข้าไปอุ้มสมรที่น้ำหนักไม่น้อยออกมาจากพี่เจต แต่เพราะหนักเกินไปจึงล้มหงายหลังลงพื้น ผมหลับตาปี๋คาดไว้แล้วว่าต้องเจ็บตัวแน่นอน แต่สัมผัสที่ได้รับกลับไม่เจ็บอย่างที่คิด
“หงิงๆ” เสียงร้องครางทำให้ผมรีบกวาดตาไปทั่วตัวสมรเพื่อหาบาดแผล ไม่ได้สนใจเลยสักนิดว่านั่งทับใครอยู่
“อึก” ผมสะดุ้ง หันกลับไปมองพี่เจตที่ทำหน้านิ่งแฝงแววเจ็บปวด เหลือบไปเห็นเลือดสีแดงสดไหลอย่างน่ากลัว ผมรีบลุกจากตัวร่างสูงแล้วปล่อยสมรลงก่อนจะยกแขนพี่เจตขึ้นดูแผล เศษแก้วบาดลึกเข้าไปถึงเนื้อใน ผมแปลกใจที่เขาไม่ร้องสักแอะ
“พี่โอเคไหม” พี่เจตพยักหน้านิ่งๆ ผมจึงค่อยๆ พยุงเขาขึ้นแล้วรีบพาไปยังห้องพยาบาล
ระหว่างทางมีแต่เสียงฮือฮาเมื่อเห็นพี่เจตบาดเจ็บ หลายคนพยายามเข้ามาถามไถ่อาการเขาแต่พี่เจตไม่ตอบอะไร เป็นหน้าที่ผมที่ต้องคอยตอบคำถามและขอทางเพื่อพาพี่เจตไปยังห้องพยาบาล มีรุ่นพี่ผู้ชายหลายคนที่ตัวใหญ่กว่าผมอาสาจะพาพี่เจตไป แต่ผมรู้สึกผิดจึงขอทำหน้าที่นี้เองแม้จะตัวเล็กกว่าพี่เจตมากก็ตาม
“เห้ย ไปคุยกันท่าไหนพี่เจตถึงได้เลือดวะ” เพื่อนซี้ของผมวิ่งเข้ามาทันที มันบอกว่าเพิ่งเห็นภาพจากเฟซเมื่อไม่กี่นาทีก่อนจึงรีบมาหาผม
“ความผิดกูเอง” ผมพูดเสียงอ่อยไม่กล้าสบตาพี่เจต อีกฝ่ายก็นิ่งเงียบไม่หือไม่อือจนผมกลัวว่าจะสลบ แต่จังหวะเท้าที่ก้าวเดินไปด้วยกันก็ทำให้โล่งใจว่าพี่เจตยังมีสติดี
“ทำอะไรของมึง” ผมมองแบงค์ที่กำลังปลดกระดุมเสื้อออก
“ก็ช่วยมึงพยุงพี่เจตไปไง ชักช้าแบบนี้เสียเลือดตายก่อนพอดี”
“แล้วถอดเสื้อทำไม”
“เดี๋ยวเสื้อเปื้อน” เอิ่ม ผมไม่ควรถามคำถามนั้นสินะ ก็รู้ๆ อยู่ว่าไอ้แบงค์หวงเสื้อยิ่งกว่าอะไร
“มึงรีบบอกไปให้อาจารย์เตรียมอุปกรณ์ทำแผลเถอะ เดี๋ยวพอกูพาพี่เจตไปถึงจะได้เริ่มรักษาเลย”
“เออๆ งั้นก็ได้” พูดจบแบงค์รีบวิ่งไปทันที
“ให้เพื่อนนายช่วยพี่ก็ได้” พี่เจตพูดเสียงแผ่ว
“ไม่ได้หรอกพี่ ผมทำให้พี่เจ็บผมก็ต้องรับผิดชอบ ขอโทษนะพี่ ถ้าไม่ใช่เพราะผมแย่งสมรมาพี่ก็ไม่ต้องเจ็บตัว” ผมก้มหน้าอย่างรู้สึกผิด ความคิดชั่วครู่ของผมทำให้คนอื่นต้องบาดเจ็บ ผมนี่มันใช้ไม่ได้จริงๆ คราวหลังคงต้องคิดให้มาก ต้องไม่ใช้อารมณ์เหมือนวันนี้
“หึหึ ทำไมกลายเป็นรักสามเศร้าเราคนสองหมาหนึ่งตัวไปได้เนี่ย”
“ฮ่าๆ คิดได้นะพี่” ผมหัวเราะออกมา คลายความเครียดเมื่อครู่ไปสนิท
“ไม่ต้องรู้สึกผิดหรอกนะ คิดว่าพี่แส่เข้าไปรับเราก็ได้ อย่างน้อยพี่เจ็บเองก็ยังดีกว่าเห็นนายเจ็บ”
“ห้ะ” ผมฟังประโยคหลังไม่ทันเพราะเสียงรถเครื่องขับผ่านหลังไปพอดี “ประโยคท้ายว่าไงนะ ผมไม่ได้ยิน”
“ช่างมันเถอะ”
เมื่อเรามาถึงห้องพยาบาลผมก็ส่งพี่เจตให้ครูไปทำแผล ส่วนตัวเองก็ยืนอยู่ใกล้ๆ คอยช่วยครูหยิบโน่นนี่จนกระทั่งเสียงออดเข้าเรียนดังขึ้น ผมบอกให้แบงค์เอากระเป๋าผมขึ้นไปเรียนก่อนส่วนผมก็นั่งรอครูทำแผลให้พี่เจต
“นายไปเรียนเถอะ” พี่เจตพูดขึ้นเมื่อครูเริ่มพันแผล แผลพี่เจตค่อนข้างลึกแต่ก็ไม่ถึงขั้นต้องไปโรงพยาบาล
“เดี๋ยวผมรอพาพี่ขึ้นห้องก่อน อะ ไม่ต้องมาปฏิเสธเลย ยังไงผมก็จะพาพี่ไปส่งให้ถึงห้อง” พี่เจตที่อ้าปากจะโต้แย้ง แต่สุดท้ายก็พยักหน้ารับ บทจะว่าง่ายก็ง่ายดีนะ นึกว่าจะต่อต้านเพราะถือว่าตัวเองเป็นพี่ซะอีก
เมื่อพันแผลเรียบร้อยครูบอกข้อควรระวังและสั่งให้พี่เจตไปล้างแผลทุกวันก่อนจะเดินออกไปจัดยาให้ สวนทางกับคนตัวเล็กที่วิ่งพรวดเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“เจต! เกิดอะไรขึ้น”
“ล้มนิดหน่อย ไม่เอาอย่าร้องสิแอล” คนตัวเล็กถลาไปกอดพี่เจตแน่น เนื้อตัวสั่นเทาจนน่าสงสาร
ผมทำให้คนตัวเล็กต้องเสียน้ำตา
“นายเองก็เลิกรู้สึกผิดได้แล้ว มันเป็นอุบัติเหตุเข้าใจไหม” เมื่อพี่เจตพูดจบแอลก็ผละออกแล้วมองผมด้วยสายตาเย็นชา คงตัดสินไปแล้วว่าผมทำให้ญาติผู้พี่ของเขาต้องเจ็บตัว แม้จะแปลกใจกับสายตาที่ได้รับ แต่ผมก็ยอมรับผิด
ขอโทษนะแอล“แอลมองพี่” พี่เจตยกมือข้างที่ไม่เจ็บจับหน้าแอลให้หันไปมองเขา “พูไม่ได้ตั้งใจ เขาไม่ผิด นายจะคิดอย่างนี้ไม่ได้”
แอลพยักหน้านิดก่อนที่จะหันกลับมามองผมด้วยแววตาของแอลคนเดิม ไม่รู้ทำไมคำพูดธรรมดาของพี่เจตถึงมีอิทธิพลต่อแอลขนาดนั้นเพราะแอลส่งยิ้มกว้างให้ผม ต่างจากสายตาเย็นชาที่ผมได้รับเมื่อครู่อย่างกับคนละคน
“ไปเรียนได้แล้วตัวเล็ก เจอกันตอนเย็นนะ” พี่เจตลูบหัวแอล คนตัวเล็กพยักหน้า หันมายิ้มให้ผม แล้วเดินออกจากห้องพยาบาลไป
“มาช่วยพยุงสิ” พี่เจตยกแขนข้างหนึ่งขึ้นรอให้ผมเข้าไปช่วยพยุง ผมรีบรับแขนนั้นมาคล้องคอแล้วพาพี่เจตไปยังห้องเรียน
ระหว่างทางพี่เจตก็บ่นนิดหน่อยเรื่องใช้แขนขวาไม่ได้เพราะเขาต้องทำรายงานเดี่ยวส่งอาจารย์
“ให้ผมช่วยไหมพี่ ถึงผมจะไม่เก่งแต่ก็อยากช่วยนะ”
“นายจะช่วยยังไง มีหนังสือเล่มนั้นเหรอ” ผมชะงักเมื่อนึกขึ้นได้ว่าก่อนที่พี่เจตจะบาดเจ็บเรากำลังจะเคลียร์เรื่องหนังสือกัน
“เอ่อพี่ คือหนังสือน่ะ...” ยังไม่ทันพูดจบพี่เจตก็แย้งขึ้น
“เอาไปให้แอลแล้วสินะ ช่างเถอะ ที่พี่เรียกนายไปก็ใช่ว่าจะขอหนังสือคืน แต่พี่อยากสอนนายว่าอย่าทำลายความเชื่อใจใคร พี่ให้เรายืมก็เพราะไว้ใจว่าเราจะคืนพี่ แต่เรากลับหนีหายไปเสียอย่างนั้น พี่รู้สึกแย่มากเลยนะ” ผมก้มหน้ายอมรับผิดแต่โดยดี “อย่าทำอีกนะ ไม่ว่ากับใครก็ตาม” ผมพยักหน้ารับคำ แต่ก็อดที่จะถามไม่ได้ว่า
“มันสำคัญกับพี่มากขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ก็ต้องใช้ทำรายงาน ส่งวันจันทร์ด้วย”
ผมหน้าเครียดนิดๆ ไอ้พูนะไอ้พู ไม่น่าเห็นแก่ความรักขนาดนั้นเลย
“เดี๋ยวผมไปขอคืนจากแอลก็ได้” ผมพูดเสียงอ่อย
“ไม่ต้องหรอก มันเสียมารยาทนะ”
“แล้วพี่จะทำยังไงล่ะ”
“อืมมมมม นายบอกว่ายังไงนะ จะช่วยพี่ใช่ไหม” ผมพยักหน้าอย่างว่องไว
“พี่จะให้ทำอะไรไอ้พูจะทำให้หมดครับ!” ผมประกาศลั่น
“หึหึ งั้นเสาร์-อาทิตย์มาช่วยพี่ทำรายงานด้วยนะ”
“ได้เลย”
⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀
กูไม่น่ามาเลยผมได้แต่คิดอย่างนั้นซ้ำไปซ้ำมาตั้งแต่มาถึงคาเฟ่ใกล้บ้านพี่เจต
ร้านนี้ตั้งอยู่ระหว่างบ้านผมกับบ้านพี่เจต ตอนแรกผมเข้าใจว่าพี่เจตอยู่ใกล้บ้านแอลเพราะเป็นญาติกัน แต่ความจริงแล้วอยู่คนละที่เลย นั่งรถผ่านทุกวันไม่เคยรู้ว่าไอ้บ้านหลังคาสีแดงโดดเด่นหลังนั้นเป็นบ้านของพี่เจต
แล้วตั้งแต่ที่ผมมาถึงบ้านพี่เจต ร่างสูงก็เอาแต่พูดอยู่นั่นว่าจะต้องกวาดบ้าน จะต้องซักผ้า จะต้องล้างจาน แต่ก็ทำไมได้ เดือดร้อนให้คนดีศรีสยามอย่างผมทำทุกอย่างให้จนเสร็จเรียบร้อย นั่งปาดเหงื่อตากผ้าชิ้นสุดท้ายไม่นานก็ได้กลิ่นไหม้มาจากห้องครัว
สภาพห้องครัวเละไม่มีชิ้นดีเลยครับ ผมมองคนที่สร้างปัญหาตาเขียวแล้วพาเจ้าของบ้านไปนั่งโซฟา เปิดทีวีให้เขานั่งดูไปเงียบๆ
“ขอร้องเถอะพี่ ช่วยอยู่นิ่งๆ สักครึ่งชั่วโมงได้ไหม” ห้านาทีมันน้อยไปครับถ้าต้องจัดการห้องครัวให้กลับมาเหมือนเดิม
“พี่หิวอะ” เสียงท้องร้องประกอบทำให้ผมหัวเราะนิดๆ ต่างจากอีกคนที่ทำหน้าบึ้ง
“เดี๋ยวผมทำให้กินโอเคไหม ช่วยอยู่เฉยๆ สักทีเถอะ” พี่เจตพยักหน้ารับก่อนจะหันกลับไปดูเบนเท็นที่ฉายอยู่ในทีวี
ผมเลือกทำข้าวผัดให้คนตัวโตเพราะวัตถุดิบอื่นๆ ถูกทำลายล้างไปหมดแล้ว ผมอุตส่าห์มาแต่เช้าหวังว่าจะมาฝากท้องที่นี่แต่กลายเป็นว่าต้องมาทำให้เจ้าของบ้านกินเสียเอง
พอทำเสร็จผมก็ยกจานไปวางไว้หน้าทีวีก่อนจะหันหลังกลับไปจัดการห้องครัวให้กลับมาสะอาดเอี่ยมอ่องอีกครั้ง ตอนที่ผมกลับไปหาพี่เจตก็เห็นว่าข้าวยังไม่พร่องเลยสักจาน
“ทำไมไม่กินล่ะพี่ ไหนบอกหิวไง” ผมนั่งลงข้างพี่เจตแล้ววางแก้วน้ำสองใบไว้ข้างๆ กัน
“รอกินพร้อมนาย” พี่เจตสบตาผมก่อนจะละออกไปมองข้าวผัดเย็นชืดในจาน “พี่กลัวตายคนเดียว”
“กลัวตายก็ไม่ต้องกิน” ผมเอื้อมมือจะหยิบจานพี่เจตออกมาด้วยความโมโห แต่พี่เจตยึดจานไว้กับตัว
“ไม่ได้บอกว่าจะไม่กินสักหน่อย” พูดจบพี่เจตก็พยายามใช้มือซ้ายตักข้าวแต่ดูลำบากเกินไป ผมจึงแย่งช้อนจากมือพี่เจตแล้วตักข้าวจ่อปากเขา
“อะ” พี่เจตอึ้งไปนิดก่อนอ้าปากงับช้อนที่ผมยื่นให้ ผมรู้สึกร้อนหน้านิดๆ เมื่อพี่เจตไม่ละสายตาจากผม ไม่รู้จะมองอะไรนักหนา เคี้ยวไปซักพักก็ทำตาโตใส่ผม
“นายแอบไปซื้อมาใช่ไหม”
ผมส่ายหัวยิ้มๆ ก้มลงตักข้าวกินเช่นกัน “อร่อยก็บอกมาเถอะพี่” มุกนี้ผมเจอมาตลอด พ่อมักจะชมว่าผมทำกับข้าวอร่อย แต่แม่บอกว่างั้นๆ เสมอ
ครับ ไม่มีใครสู้สามีคุณนายเขาได้หรอก
“อืม อร่อย อยากกินอีกจัง” คำพูดของพี่เจตทำให้ผมเกือบสำลักข้าว ดีนะที่กลืนไปแล้ว
“แม่พี่ไม่ทำให้กินหรือไง” ผมยกน้ำขึ้นดื่ม อันที่จริงตอนเข้ามาในบ้านผมก็สงสัยว่าพ่อกับแม่พี่เจตไปไหน เพราะวันนี้เป็นวันหยุด นึกว่าจะอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาซะอีก
“แม่เสียไปนานแล้ว ส่วนพ่อก็ทำงานที่ต่างจังหวัดน่ะ นานๆ จะกลับมาที” พี่เจตมองรูปครอบครัวที่ตั้งอยู่ข้างทีวีด้วยสายตาเลื่อนลอย
“เอ่อ ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ”
พี่เจตส่ายหน้า “ช่างเถอะ แม่พี่ไปสบายแล้ว พ่อพี่เองก็คงมีความสุขจนลืมพี่ไปแล้วล่ะมั้ง ฮะๆ” ไม่รู้ทำไมเสียงหัวเราะของพี่เจตถึงดูเศร้าขนาดนั้น ผมไม่ได้พูดอะไรอีก ตักข้าวป้อนพี่เจตสลับกับกินเอง บางครั้งก็ลืมตัวใช้ช้อนพี่เจตตักกินเองและใช้ช้อนผมตักให้พี่เจตกิน ไปๆมาๆ ผมก็ไม่รู้แล้วว่าช้อนใครเป็นช้อนใคร ก็เลยปล่อยเลยตามเลยจนกระทั่งหมดทั้งสองจาน
“อิ่มแปล้เลย ขอบใจนะ” พี่เจตลูบท้องตัวเอง
“ยินดีให้บริการครับคุณชาย” ผมเก็บจานไปล้างแล้วกลับมานั่งข้างพี่เจต
“แล้วนี่เราจะเริ่มทำงานกันเมื่อไหร่พี่ งานบ้านผมก็จัดการให้หมดแล้ว” ใช่ครับ กางเกงในพี่มันผมก็ซักให้อะคิดดู
“เริ่มเลยก็แล้วกัน เดี๋ยวพี่ไปเอาโน้ตบุ๊กกับหนังสือก่อน”
“ไปด้วยสิ พี่คงไม่คิดว่าตัวเองจะถือไหวหรอกนะ”
พี่เจตคิดอย่างชั่งใจ “อ่า นั่นสิ ตามมาๆ”
ผมเดินตามพี่เจตไปจนถึงหน้าห้องเล็กข้างห้องนอนพี่เจต ส่วนห้องนอนของเขาผมเข้าไปทำความสะอาดมาแล้ว ไม่คิดว่าคนที่ดูสะอาดอย่างนี้จะโคตรซกมกเลย ส่วนห้องเล็กพี่เจตไม่ยอมให้ผมเข้าไปทำความสะอาด เห็นบอกว่าเป็นห้องทำงานของแม่เขา
“นายรออยู่ตรงนี้ ห้ามเข้าไปเด็ดขาด”
“ทำไมล่ะพี่ หนังสือมันหนักนะ พี่ถือไหวเหรอ” พูดจบผมก็แตะลูกบิดประตูแต่พี่เจตใช้แขนข้างที่ไม่เจ็บดึงแขนผมออก
“บอกว่าอย่าเข้าไปไง!” ผมสะดุ้งเฮือก พี่เจตเสยผมไปข้างหลังแล้วพูดเสียงอ่อนลง
“อยู่ตรงนี้นี่แหละ” พูดจบพี่เจตก็เดินเข้าห้องแล้วล็อกประตูทันที ทิ้งผมให้ยืนอยู่หน้าห้องด้วยความสงสัยว่าข้างในนั้นมีความลับอะไรซ่อนอยู่
ผมยืนเงี่ยหูฟังเสียงครืดคราดข้างใน ถ้าอยู่ในหนังสยองขวัญผมคาดว่าฆาตกรอย่างพี่เจตกำลังลากศพอยู่ในห้องอย่างแน่นอน แต่เพราะต่อมาประตูแง้มออกนิดๆ และพี่เจตก็ส่งหนังสือให้ผมทีละเล่มผ่านช่องเล็กๆ ก็เข้าใจว่าเสียงที่ได้ยินคือเสียงลากหนังสือ แต่ทำไมต้องพยายามขนาดนั้น
พี่เจตก็พยายามยืนบังแล้วส่งหนังสือโดยไม่เปิดโอกาสให้ได้สำรวจข้างในเลย พอครบพี่เจตก็ไล่ให้ผมเอาหนังสือไปไว้ที่โต๊ะ เดี๋ยวเขาจะหยิบโน้ตบุ๊กตามออกมา
ประตูปิดลงอีกครั้งยิ่งทวีความอยากรู้มากขึ้น แต่จะให้ล้วงความลับวันนี้คงไม่ได้ ไว้รอมาบ้านพี่เจตอีกครั้งค่อยแอบเข้าไปดีกว่า ยังไงผมก็รู้ว่ากุญแจห้องซ่อนอยู่บนตู้เย็น
เดี๋ยวนะ จะมาบ้านพี่เจตอีกทำไมวะเนี่ย บ้านแอลสิที่ต้องไปบ่อยๆ⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀
ณ ค่าเฟ่แถวบ้านพี่เจต
ตัดกลับมาปัจจุบันที่ผมคนนี้กำลังนั่งพิมพ์เนื้อหาตามที่พี่เจตพูดและเขียนไว้บนกระดาษอย่างเบื่อหน่าย ผ่านไปประมาณสองชั่วโมงผมก็ขอพักครึ่ง
“โหพี่ ม.6 เขาต้องทำรายงานกันแบบนี้เลยเหรอ” พี่เจตพยักหน้า
“ก็ทำทุกปีไม่ใช่หรือไง จะบ่นอะไรอีก”
“ก็หาจากเว็บไงพี่ ก็อปวางเอา อีกอย่างไม่ได้ทำคนเดียวด้วยทำเป็นกลุ่ม”
“แล้วนายเข้าใจเนื้อหาที่ทำหรือเปล่า หรือแค่ส่งๆ ไปเพื่อให้มีคะแนน” พี่เจตทำหน้าดุ
“ก็เข้าใจนะพี่ เขาสรุปมาให้แล้ว เร็วดีด้วย” ผมตอบยิ้มๆ หยิบแก้วกาแฟมาดูดเพื่อเติมพลัง คาเฟ่นี้ดีครับ เย็นสบายเพราะเปิดแอร์ตลอด ผมมองแดดนอกร้านแล้วส่ายหน้า ไว้ค่ำๆ โน่นแหละผมถึงจะกลับบ้าน
สรุปเสร็จผมก็ตักเค้กมะพร้าวอ่อนกิน พี่เจตออกค่าน้ำค่าขนมทั้งหมดครับ รู้อย่างนี้ทำให้พี่มันเจ็บตัวบ่อยๆ ก็ดีมีคนเลี้ยงด้วย
เดี๋ยวนะ หรือว่าไม่ดีวะ“มันจะติดเป็นนิสัยนะ นายต้องทำความเข้าใจด้วยตัวเองสิ อย่าไปลอกจากเน็ตมามาก พี่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ให้ใช้เลย แต่อยากให้นายดูด้วยว่าข้อมูลที่นายก็อปมาน่ะถูกหรือเปล่า อย่าสักแต่ทำงานชุ่ยๆ สิ”
“ครับๆ” ผมตอบรับส่งๆ แล้วตักเค้กกินอีก
ผมไม่ใช่พ่อหนุ่มเลิศเลอแบบพี่นี่หว่า เนื้อหายาวเหยียดขนาดนั้นจะให้มานั่งอ่านเพื่อย่อยทำรายงานแล้วเมื่อไหร่จะเสร็จล่ะ แค่อ่านก็หมดเวลาแล้ว
“นายเนี่ยน้า” พี่เจตส่ายหน้า ทำไมครับ ผมทำไม นั่งทำหน้างงไม่นานพี่เจตก็ใช้ปลายนิ้วปาดคราบครีมออกจากมุมปากของผมอย่างแผ่วเบา “กินเลอะเป็นเด็กๆ”
“บอกก็ได้มั้ง มือเลอะหมด” ผมมองหาทิชชู่โต๊ะอื่นเพราะโต๊ะผมไม่มี สบตาเข้ากับเด็กผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่ยิ้มให้ บนโต๊ะพวกเธอมีกล่องทิชชู่อยู่ผมจึงเดินเข้าไปขอมาสองสามแผ่น
“ขอบคุณครับ”
“พี่เป็นอะไรกับพี่คนนั้นเหรอคะ” เด็กสาวผมเปียถามผมด้วยดวงตาเป็นประกาย ใบหน้าใสดูแล้วคงอยู่ม.ต้น
“รุ่นพี่รุ่นน้องครับ” ผมเดินกลับมาที่โต๊ะแต่ไม่วายได้ยินเสียงแว่วมา
“อร้ายยยย รุ่นพี่รุ่นน้องว่ะพวกมึง”
“พล็อตใหม่ๆ รีบแต่งเลยอีแจงกูรออยู่”
“ได้ค่ะเพื่อนๆ”
“มีอะไร” ผมส่ายหน้าแล้วดึงมือพี่เจตมาเช็ดครีม แต่ไม่เหลือคราบอะไรให้ผมเช็ดเลย
“ซกมกก็ควรมีขอบเขตนะพี่ เอามือเปื้อนไปเช็ดเสื้อผ้าได้ยังไง” ดูท่าแล้วคงไม่พ้นเช็ดเสื้อตัวเองอย่างแน่นอน
“เออน่า”
“แล้วนี่แอบกินเค้กผมเหรอ” ผมมองปากพี่เจตที่มีคราบครีมนิดๆ ถ้าไม่สังเกตก็คงไม่เห็นหรอก แต่น่าสงสัยตรงที่เค้กในจานไม่พร่องนี่สิ หรือแอบกินครีมข้างจานวะ
“เอ่อ...เออ นายอยากกินเพิ่มก็ไปสั่งไป”
“จริงนะพี่” ผมตาวาว พอเห็นพี่เจตพยักหน้าผมก็เดินเริงร่าไปเลือกเค้กชิ้นที่สองทันที ตอนแรกก็เกรงใจครับ แต่ไหนๆ พี่เจตก็แอบกินครีมเค้กผมไปแล้ว สั่งเพิ่มอีกชิ้นก็เป็นเรื่องสมควรใช่ไหมล่ะ อิอิ
Tbc.
⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀
น้องพูจ๋า มั่นใจเหรอคะว่าพี่เขากินครีมบนจานหนูน่ะ 
ชอบตอนนี้กันไหมอ่า เม้นบอกด้วยน้าาาาาา