☂เหตุเกิดเพราะชอบคุณ☂ Sp3. [31-10-17]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ☂เหตุเกิดเพราะชอบคุณ☂ Sp3. [31-10-17]  (อ่าน 90024 ครั้ง)

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
ชอบเรื่องนี้และตัวละครทุกตัวในเรื่องเลย โดยเฉพาะถั่วพี่กะถั่วน้อง
น่ารัก

เนื้อเรื่องก็มีอะไรให้ชวนติดตามเยอะมาก

ออฟไลน์ koikoi

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3862
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +311/-13
โหถั่วพี่ไม่ธรรมดาจริงๆ

ออฟไลน์ MSeraph

  • This too shall pass
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1753
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-3
โถ่ทำไมพี่ลันไม่ชอบพี่เจตตตอะ
แลกกันไง แลกน้องกันน
พี่ลันเอาแอลไป แล้วก้ยกพูให้พี่เจต
แฟร์ๆดีออกกกก555555

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
สงสัย ครั้งที่ 2 นี่เรื่องความรัก หวานๆ ชิมิ กลิ่นบู๊ทะแม่งๆ

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
น่ารักๆ หวังว่าน้องพูจะรับรักพี่เจตในเร็ววันนะครับ
ส่วนน้องแอลกับพี่ลันก็ขอให้อย่ามีปัญหา สงสารน้องแอล T^T

ออฟไลน์ peettato

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
มาอ่านรวดเดียวเลย ดีย์งาม เป็นกำลังใจให้คนเขียน สุ้ รอตามเรื่อยๆเลย :call:

ออฟไลน์ janeta

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 155
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-2
บทที่ 23
เหตุเกิดเพราะ...พี่หิว



[แอล]


“เดี๋ยวขับมอเตอร์ไซค์ไปส่งละกัน ค่ำแล้ว ขี้เกียจเดิน” พี่ลันหยิบกุญแจรถที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วเดินนำผมออกมาจากห้องพักของเขา ระหว่างทางรุ่นพี่นักศึกษาหลายคนก็ยังคงเคารพนอบน้อมพี่ลันเช่นเคย


“ทำไมพวกเขาถึงเรียกพี่ว่าท่านชูการ์ล่ะ” ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัย หลังจากคิดทบทวนดูแล้ว ท่านชูการ์ก็คือพี่ลันไม่ผิดตัวแน่


 “เรื่องมันยาว ไว้ว่างๆ จะเล่าให้ฟัง”


“เอ่อ ครับ”


เราเดินมาจนถึงฟีโน่สีครีมที่จอดอยู่ข้างป้อมยาม พี่ลันโบกมือทักทายพี่ยามที่ดูท่าทางวัยรุ่น อายุของเขาคงห่างจากพี่ลันไม่มาก เขาเบือนหน้าไปอีกทางแล้วพ่นควันบุหรี่


“กูจะไปแดกข้าวหมูแดง มึงเอาไหม”


“ไม่อะ เมียกูทำข้าวกล่องมาให้แล้ว ว่าแต่...วันนี้จะไม่ปลุกกูกลางดึกอีกใช่ไหม”


“ก็แล้วแต่ว่ารอบนี้ใครมา มึงไม่ต้องห่วงหรอกน่า เด็กๆ คุมอยู่ เชิญมึงไปเฝ้าพระอินทร์เถอะ”


“เออๆ ได้ยินแบบนี้แล้วค่อยโล่งใจหน่อย แต่ถ้ามีอะไรเร่งด่วนก็เรียกได้นะโว้ย กูพร้อมปะทะ”


“คิดถูกจริงๆ ที่เลือกมึงมา แต่ว่า...” พี่ลันเอื้อมมือไปคีบบุหรี่ในมืออีกฝ่ายแล้วดับลงบนที่เขี่ยบุหรี่แถวนั้น “บุหรี่น่ะ เพลาๆ หน่อย ไม่สนใจตัวเองก็ห่วงลูกเมียบ้าง” สีหน้าของพี่ลันดูจริงจัง ขัดกับบุคลิกแบดบอยของเขา ผมคิดว่าพี่ลันเป็นพวกสูบบุหรี่จัดเสียอีก


“ทำอะไรไม่สมเป็นตัวมึงเลยจริงๆ เออๆ กูจะพยายาม แต่ไม่ใช่เพราะมึงเตือนหรอกนะ”


“ทำเพื่อใครไม่สำคัญเท่าทำเพื่อตัวมึงเอง กูไปล่ะ เดี๋ยวเอารถมาฝากใหม่” พูดจบพี่ลันก็ขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์พลางหยิบหมวกกันน็อคสีครีมส่งให้ผม


“พี่ลันใส่เถอะครับ พี่เป็นคนขับ”


“นายนั่นแหละใส่ ถ้าพี่จะเป็นอะไรไปพี่ถือว่าประมาทเอง แต่ถ้าต้องมากังวลว่านายจะร่วงลงไปตอนไหน พี่คงไม่มีสมาธิขับรถ”


ผมเข้าข้างตัวเองได้ไหมว่าเขาห่วงผมน่ะ

 
ผมรับหมวกกันน็อคมาสวมอย่างว่าง่ายแล้วขึ้นซ้อนท้ายพี่ลัน



“จับแน่นๆ พี่ขับรถเร็ว”


ผมได้แต่แอบจับชายเสื้อของเขาไว้ ไม่กล้าจับตัวเขา เหลือบมองใบหน้าด้านข้างของอีกฝ่ายที่หันมานิดๆ แล้วรวบมือทั้งสองข้างของผมไปจับไว้โดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว


“จับแค่เสื้อเดี๋ยวก็หงายหลังลงไปหรอก กอดแน่นๆ แบบนี้สิชัวร์กว่า” พูดไม่พอ ยังทาบมือเขาบนมือของผมอีกด้วย


ผมรู้สึกร้อนหน้าจนแทบระเบิด อ่อยได้ตลอดเวลาเลยนะพี่ลัน ถ้าไม่ชอบกันขึ้นมาผมจะพาหัวใจตัวเองกลับยังไงดี


“หิวมะ พี่หิวว่ะ เดี๋ยวพากินข้าวหมูแดงเจ๊ตอย รับรองเด็ด” พูดเองเออเองเสร็จสรรพ พี่ลันก็เร่งเครื่อง ไม่ได้สนใจเลยว่าที่พี่น่ะขับเป็นฟีโน่ ไม่ใช่ฮาร์ลีย์ มันจะเร่งอะไรได้ขนาดนั้นล่ะครับ แต่ยังไงก็เร็วจนผมต้องกอดเอวเขา เงยหน้าโต้ลมอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน


พ่อแม่ผมขับแต่รถยนต์ และผมก็ไม่เคยได้รับอนุญาตให้ขับมอเตอร์ไซค์ คงเพราะหลายปีก่อนลูกชายเพื่อนแม่เสียเพราะขับมอเตอร์ไซค์ด้วย ที่บ้านผมจึงห้ามอย่างเด็ดขาด จะไปไหนก็ให้ใช้รถสาธารณะแทน


ส่วนพี่เจต รายนั้นยังหัดขับรถไม่คล่องเลยครับ ผมจึงไม่กล้าฝากชีวิตไว้เท่าไหร่


แต่กับคนที่ผมกอดอยู่ ถึงเขาจะเร่งเครื่องแรงเพียงใด ดูอันตรายแค่ไหน แต่ผมก็รู้สึกปลอดภัยเสมอเมื่ออยู่ใกล้เขา


“พี่ลัน!” ผมตะโกนเรียกอีกฝ่ายด้วยเสียงเริงร่า


“ห้ะ!” ร่างสูงตะโกนโต้ลมกลับมา


“ชอบนะ” ผมกระซิบชิดแผ่นหลังของเขา ไม่กล้าบอกออกไปจริงๆ หรอกครับ ใครจะไปกล้า ก็เข้าเล่นดูดีขนาดนี้ ไหนจะมีคนในใจอีก


เฮ้อ คิดให้เฟลทำไมนะเรา


“ว่าไงนะ! ไม่ได้ยินอะไรเลย!”


“ผมหิวแล้ว! เมื่อไหร่จะถึงอะ!” ผมเปลี่ยนเรื่อง ขืนเงียบพี่ลันคงซักไม่หยุดแน่


“เออๆ จะถึงแล้ว!” สิ้นคำนั้นรถก็เลี้ยวเข้าซอยข้างหน้าทันที


“เจ๊ หมูแดงสอง” สั่งเสร็จพี่ลันก็เดินนำไปที่โต๊ะ ซึ่งกลุ่มคนที่นั่งก่อนหน้าเพิ่งลุกออกไป เขาให้ผมนั่งเฝ้า ส่วนตัวเขาเดินไปกรอกน้ำใส่แก้วจากถังพลาสติกที่อยู่ไม่ไกล


บรรยากาศร้านริมทางไม่เงียบเหงาอย่างที่คิด นักศึกษาหลายคนต่างจับจองที่นั่งจนเต็มทุกเก้าอี้ โชคดีที่ผมกับพี่ลันมาเร็วเราถึงได้นั่งกันพอดี


“เห้ย พี่ลันว่ะ!” เสียงกระซิบกระซาบอยู่ห่างไปไม่มาก ผมเหลือบมองหญิงสาวโต๊ะนั้นที่พากันสะกิดเรียกเพื่อนร่วมโต๊ะให้หันไปยังทิศทางเดียวกัน


ร่างสูงกำลังเดินกลับมาพร้อมแก้วน้ำสองใบ ยื่นแก้วสีเขียวใบหนึ่งให้ผม


“กินรองท้องไปก่อน ร้านนี้เขาดัง ลูกค้าเยอะ” เขานั่งลงฝั่งตรงข้ามพลางดูดน้ำอย่างกระหาย


“ข้าวหมูแดงได้แล้วจ้ะ” ข้าวหมูแดงน่าตาน่ารับประทานถูกวางลงบนโต๊ะ ยังไม่ทันที่ผมจะหยิบช้อน ช้อนส้อมคู่หนึ่งก็ตักแตงกวาในจานผมไปใส่จานเขาทันที


“เอ่อ พี่เอาแตงผมไปทำไมครับ”


พี่ลันมองหน้าผมอย่างงงๆ ก่อนจะตักแตงกวาในจานเขาคืนผมแล้วหัวเราะนิดๆ แต่ผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดี มีอะไรน่าตลกเหรอ


“หัวเราะอะไรครับ”


“เปล่าหรอก แค่เคยชินกับการตักแตงในจานน้องมากินน่ะ”


“หืม”


“น้องชายพี่น่ะเกลียดแตงกวามาก สอนให้กินเท่าไหร่ก็ไม่เอาท่าเดียว จับยัดใส่ปากทีไรบ้วนทิ้งตลอด เวลาไปกินข้าวที่เขาใส่แตงประดับจาน ถ้ามันไม่ตักใส่จานพี่ พี่ก็จะตักจากจานมันมากินเอง”


“เหมือนพี่ชายผมเลย เขาก็ไม่ชอบแตงกวา เห็นบอกว่าเหม็นเขียวครับ แต่ผมชอบ แตงกวาอร่อย”


“มิน่าผิวสวย” พี่ลันพึมพำเสียงเบาจนผมต้องถามเพราะได้ยินไม่ชัด “เปล่าๆ ไม่มีอะไร กินแตงเยอะๆ น่ะดี อะ เอาไปสิ” พี่ลันตักแตงกวาในจานเขาใส่จานผมอย่างใจดี แม้จะมีอยู่ไม่กี่ชิ้นแต่ผมก็มีความสุขที่ได้กิน


“มึง เขามาเดทกันว่ะ ฮือ”


“เรื่องนี้ต้องขยาย สืบด่วน”


ผมเหลือบมองสาวๆ ที่จ้องมาทางเราตาเป็นมัน เหมือนต้องการรู้ความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่ มีบางคนแอบถ่ายภาพเราด้วย จะไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม...


“มองอะไร” พี่ลันตักข้าวเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ อย่างไม่ห่วงมาด มีเม็ดข้าวติดที่มุมปากเขาด้วยล่ะ


“พี่นี่ก็กินเลอะเหมือนกันนะ” ผมเอื้อมมือไปช่วยหยิบเม็ดข้าวนั้นออก พี่ลันนั่งเท้าคางมองผม ก่อนจะเอ่ยคำที่ทำให้ใจผมเต้นรัวจะแทบทะลุออกมาจากอก


“ก็อยากให้คนแถวนี้เช็ดปากให้อะ”


ผมก้มหน้าก้มตากินข้าวอย่างว่องไว ไม่เคี้ยวแล้วครับกลืนเลย ขืนอยู่นานกว่านี้ผมคงระเบิดตุ้มเพราะความเขินแน่ๆ


พี่พูดอะไรรู้ตัวบ้างไหม อย่ามาทำให้ใจสั่นบ่อยๆ สิ เกิดผมถลำลึกลงไปจะทำยังไงล่ะ


“ไม่ต้องรีบกินขนาดนั้น เดี๋ยวก็สำลักหรอก บ้านคุณหญิงยังอยู่ที่เดิมน่า หรือถ้าเขาไม่เปิดรับนายเข้าบ้าน ไปค้างห้องพี่ก็ได้...”


พรวด!


“พี่ลันผมขอโทษ” ผมรีบขอโพยขอโพยร่างสูงเพราะข้าวที่กินไปเมื่อกี้พุ่งออกมาจากปากทันทีที่ได้ยินคำพูดของเขา


ฮือ หมดกัน พี่เขาจะเกลียดผมไหม


“ช่างมันเถอะ” พี่ลันหยิบทิชชู่เช็ดหน้าตัวเองแล้วเรียกเก็บเงิน ผมเดินตามอีกฝ่ายไปเงียบๆ ท่ามกลางเสียงเซ็งแซ่ของเหล่านักศึกษาที่น่าจะรู้จักพี่ลันดี บางคนก็เข้ามาทักทาย พี่ลันก็มองอีกฝ่ายอย่างงงๆ ว่าเคยไปรู้จักกันตอนไหน แต่ก็พยักหน้ารับเพื่อไม่ให้เสียมารยาท


“ปะ กลับกันเถอะ คุณหญิงคงชะเง้อคอมองหานายแล้ว อยู่นานไปจะเข้าใจผิดอีก”


“เข้าใจผิด?”


“คุณหญิงเข้าใจว่าเราคบกันไง แต่ความจริงเรายังไม่ได้คบกันสักหน่อย” ผมชะงัก


อืม...นั่นสินะ ผมกับพี่ลันเราไม่ได้คบกันนี่นะ


ถึงเรื่องวันนี้จะทำให้อิ่มเอมใจมากแค่ไหน แต่คำตอบของเขาก็ชัดเจนมากพอว่าสถานะของเรา...ไม่ได้เกินกว่าที่เป็นอยู่


บรื้น!


หมับ


ร่างของผมถูกรวบเข้าสู่อ้อมแขนของพี่ลันได้ทันก่อนรถยนต์คนหนึ่งจะพุ่งเข้าชนผม รถคันนั้นแล่นผ่านไปด้วยความเร็วโดยไม่แม้แต่จะหยุดดูว่าเกือบชนใครเข้าแล้ว


พี่ลันมองตามรถคันนั้นด้วยสายตาแข็งกร้าวก่อนจะหันมาถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง “เป็นอะไรไหม”


ผมส่ายหน้า ผละออกจากเขา ตอนนี้จิตใจผมไม่ได้ตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น ต่อให้รถชนก็คงเจ็บไม่เท่าคำปฏิเสธของพี่ลัน


“ผมกลับเองดีกว่า จำได้ว่าต้องซื้อของกลับไปทำรายงาน” ผมเดินถอยหลัง หันกลับ แล้ววิ่งไปยังห้างเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกล เสียงตะโกนเรียกชื่อผมดังไล่หลังมา อันที่จริงเขาจะขับรถตามผมมาก็ได้ แต่เขาก็ไม่ได้ทำ


วิ่งไปสักพักผมก็หันหลังกลับไปมอง...พี่ลันไม่อยู่แล้ว


นั่นสิ เขาจะมาตามผมทำไม


ในเมื่อเราสองคนน่ะ...ไม่ได้คบกันสักหน่อย


[จบพาร์ทแอล]


…………………………………………………


ผลัก!


“ใครส่งมึงมา”


“ผะ...ผม”


“ใครส่งมึงมา!”


“คะ...คุณต้นครับ”


“มันให้มึงทำอะไร”


“ตะ..ตามสะกดรอย แล้วหะ...หาโอกาสขับรถชนเด็กที่ชื่อแอล” แค่ได้ยินสิ่งที่มันคิดจะทำ ร่างสูงก็ได้แต่กำหมดแน่น เขาจะไม่ต่อยพวกมันหรอก เสียมือเปล่าๆ


“มันสั่งอะไรอีก”


“จะ...จับตัว ดะ...เด็กที่ชื่อพูไปให้คุณตั้น”


ตุบ! ตับ!


“อ้ากกกกกกกกกกกกกกก!”


“ฝากพวกมึงจัดการต่อด้วย แต่อย่าให้หนักไป กูไม่อยากให้พวกมึงเป็นฆาตกร”


“แล้วจะเอายังไงต่อครับท่านชูการ์” ลูกน้องในสังกัดคนหนึ่งเอ่ยถาม


“ชู่ว์” ร่างสูงยกนิ้วชี้ขึ้นจรดริมฝีปาก บอกเป็นนัยให้ลูกน้องกลับไปทำหน้าที่ของตน เขาหยิบโทรศัพท์ที่ต่อสายไว้ก่อนหน้านี้เพราะอยากให้ปลายสายได้ยินชัดทุกคำสารภาพ


“คุณคงได้ยินแล้วนะว่าเด็กคุณก่อเรื่องอะไรไว้” เขาพยายามสะกดกลั้นอารมณ์อย่างหนัก ไม่อยากนึกเลยว่าตอนนี้จะเกิดอะไรกับน้องชายของเขาบ้าง


(ใจเย็นสิลัน เรื่องนี้ฉันจะจัดการให้ อย่าให้มิตรภาพเกือบสองปีของเราต้องมาพังลงไปเพียงเพราะเด็กกะโปโลคนหนึ่ง)


“เด็กสองคน... คุณคงลืมว่าครั้งแรกมันทำน้องชายผมหน้าช้ำ ผมเคยส่งสารเตือนมันแล้ว และจะไม่มีการเตือนครั้งที่สอง ตอนนี้เด็กคุณกำลังคิดจะทำร้ายน้องผม!”


(เอาอย่างนี้ ฉันจะขังพวกมันไว้ในบ้าน ไม่ให้ไปยุ่งกับคนของนายเลย เพราะงั้นสัญญาระหว่างเรายังคงอยู่ ฉันพูดถูกไหม)


“ถ้าคุณมั่นใจว่าคุมไอ้แฝดนรกสองตัวนั่นอยู่ ผมก็รักษาสัญญาพอ สองปีก็คือสองปี แต่ถ้ามันเข้ามายุ่มย่ามแม้แต่เศษดินใต้เท้าน้องผม...สัญญาระหว่างเราสิ้นสุดทันที และคุณ...เตรียมตัวเข้าคุกได้เลย”


(นายกล้าขู่ฉันเรอะ!)


“หึ ตอนนี้การกำจัดคุณมันง่ายยิ่งกว่าปลอกกล้วย แค่ 5 นาทีเท่านั้นก็จบชีวิตนักธุรกิจไฟแรงอย่างคุณได้แล้ว จะลองดูก็ได้ คุณตามผมไม่ทันหรอก”


(ไอ้...ตุ๊ดๆ ๆ) เขากดตัดสายเพราะไม่อยากจะเสวนากับปลายสาย พูดไปแล้วคิดไม่ได้ ไม่แก้ไข เขาก็ไม่อยากจะพูดซ้ำอีก


“ให้จัดการยังไงต่อครับ” ร่างสูงปรายตามองร่างสะบักสะบอมที่นอนสลบอยู่บนพื้น แค่นี้มันยังน้อยไปสำหรับใจเขาที่แทบร่วงไปถึงตาตุ่ม


หากคว้าคนตัวเล็กไว้ไม่ทัน เขาคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต


“ขังไว้ก่อน จะให้มันกลับไปส่งข่าวว่ากูอยู่ที่นี่ไม่ได้ อีกสองวันปิดเทอม ระหว่างนั้นใครถามหากูก็ให้บอกว่าเก็บตัวอยู่ในห้อง กำลังทำเรื่องสำคัญอยู่ จัดเวรยามเฝ้าหอให้มากขึ้นจะได้ไม่มีใครสงสัย”


“แล้วท่านชูการ์จะไปไหน” ลูกน้องคนสนิทเดาได้ทันที แม้คนที่เขาเคารพไม่ได้เอ่ยแม้แต่ประโยคเดียวว่าจะไม่อยู่ที่นี่ พวกเขาก็รู้ได้ทันทีอีกฝ่ายกำลังจะออกเดินทาง


“ขอโทษที่แม้แต่พวกมึง กูก็บอกไม่ได้”


“ไม่เป็นไรครับ ที่ที่ท่านชูการ์จะไป เก็บเป็นความลับน่าจะดีที่สุด”


“อืม...แล้วน้องกูเป็นยังไงบ้าง”


“สายเรารายงานว่าอาทิตย์หน้าคุณพูจะไปเข้าค่ายศิลปะที่...” ร่างสูงรับฟังเงียบๆ ก่อนจะฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ ถ้าให้เขาลงมือเอง สัญญาที่รักษามาตลอดสองปีคงจบลงเดี๋ยวนี้แน่นอน แค่เดือนก่อนที่รู้ข่าวว่าน้องโดนทำร้าย ก็อดใจไม่ไหวโทรหาไปจนได้ แต่ไม่ทันได้คุยก็ต้องรีบวางเพราะกลัวใจตัวเอง


กลัวว่าจะทิ้งทุกอย่างที่รักษามาแล้วตรงดิ่งกลับบ้านไปหาน้อง...


“กูยืมโทรศัพท์มึงหน่อย”


“คะ...ครับ” ลูกน้องคนหนึ่งรีบยื่นโทรศัพท์ให้อย่างรวดเร็ว


นิ้วเรียวเลื่อนหน้าจอจนพบรายชื่อที่ต้องการ


คุณสตีฟ


“ทีหลังไม่ต้องใช้คุณหรอก มันไม่ถือ” เห็นลูกน้องพยักหน้าก็รู้ดีว่าคงไม่มีทางเปลี่ยนชื่อเจ้าของเบอร์หรอก เขาจึงกดเปลี่ยนให้แล้วพิมพ์ข้อความสั้นๆ ส่งไปหาเพื่อนรักที่มีแพลนจะไปเที่ยวกับครอบครัวที่เดียวกับน้องชาย


กูเอง อาทิตย์หน้าพูจะไปที่เดียวกับมึง เตือนมันว่า ‘อย่าอยู่คนเดียว’


พี่จะรีบกลับไปหานะ...พู





TBC.







⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀
มาปล่อยระเบิดแล้วหายตัวเข้ากลีบเมฆ 555

เนื่องจากเสาร์-อาทิตย์เราติดงาน เลยมาอัพให้ก่อนจ้า

ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์ค่ะ เจอกันตอนหน้าค่ะ

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
หือออ มีควาทห่วงน้องเดี๋ยวแอลก็งอนหรอก 555
  รออ่านตอนต่อไป

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ EARTHYSS :)

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
โอ้ยท่านชูการ์นี่คือใครเนี่ย แล้วหลอกอะไรน้องตัวเองไว้ 2 บ้านนี้ดูมีความลับอะไรกันทั้งคู่เลย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
สงสารน้องแอล T^T

ออฟไลน์ peettato

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
คิดถึงเจตพูจางงงง :hao4:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ระวังแอลงอนนะพี่ลันเตา

ออฟไลน์ janeta

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 155
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-2
บทที่ 24
เหตุเกิดเพราะ...คำขอ



“อาทิตย์หน้าสอบแล้ว อย่าลืมอ่านหนังสือกันล่ะ”ครูเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้เหล่านักเรียนอย่างผมได้แต่โอดครวญเพราะวิชาที่เรียนนั้นยากเหลือเกิน แค่แบบทดสอบในคาบก็จะตายแล้ว นี่ยังข้อสอบมหาโหดเน้นประยุกต์ใช้อีก


ถ้าสอบผ่านผมจะยอมเป็นแฟนพี่เจตเลย


เอ๊ะ เรื่องของกูไม่ควรเกี่ยวกับเขาปะวะ


“ถ้าอาจารย์เลิกออกข้อสอบนอกตำราเรียน กูว่าหน้าอย่างกูก็ท็อปวะ” แบงค์บ่นพลางเก็บหนังสือใส่กระเป๋า ได้แต่มองมันด้วยความเอือมระอา


เห็นบ่นแบบนี้ทีไร เกรดมึงก็ 4 ทุกที


“ไม่ต้องมองกูแบบนั้นเลยไอ้ถั่ว โน่น พี่แม่งมาดักรอมึงล่ะ”


ผมหันไปตามทิศทางที่แบงค์มอง ร่างสูงยืนรอผมอยู่ที่หน้าห้องเช่นเคย ผมจึงรีบเก็บของที่เหลือยัดใส่กระเป๋าแล้วเดินตัวปลิวไปหาเขาทันที


หมับ


“เดี๋ยวก่อน มาคุยกับกูให้รู้เรื่อง” แบงค์จับแขนผมลากกลับเข้ามาในห้อง ทั้งที่อีกไม่กี่ก้าวจะพ้นประตูออกไปหาใครอีกคนที่นั่งคิดถึงมาตั้งแต่ชั่วโมงก่อน


‘พี่จะรอนะ’


ข้อความสั้นๆ แต่แฝงความหมายบางอย่างมักจะส่งมาหาผมเสมอ และเป็นเช่นนั้นมาตลอดอาทิตย์กว่าๆ ตั้งแต่ที่ผมยอมเผยความในใจส่วนหนึ่งให้เขารู้


“มีอะไร”


แบงค์ปล่อยแขนผม กอดอก แล้วส่งสายตาคาดคั้นมาให้


“กูสังเกตมานานล่ะ มึงกับพี่เจตดูไม่เหมือนเดิม”


ผมชะงักไปนิด ก่อนจะปรับสีหน้าให้ราบเรียบตามเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่หัวใจเต้นกระหน่ำเพราะกลัวความลับจะเปิดเผย


“ก็ไม่มีอะไรนี่ พี่รหัสน้องรหัสก็สนิทกันเป็นธรรมดาปะวะ เหมือนมึงกับพี่แจ้อะแหละ คิดมากว่ะมึง”


“กูไม่ได้คิดมาก แต่บรรยากาศระหว่างมึงกับพี่เจตมันแปลกๆ ทั้งคำพูดและสายตาของมึงกับพี่เขาเหมือนมีอะไรบางอย่าง มึงปิดบังอะไรกูใช่ไหมไอ้ถั่ว”


“ปิดบังอะไร” เสหลบตามันนิดหน่อยครับ


“กูเป็นเพื่อนมึงไหมพู” แบงค์เอ่ยเสียงเข้ม ปกติมันไม่เรียกผมว่าพูหรอกครับ มาชื่อเต็มแบบนี้แสดงว่ามันคงหมดความอดทนแล้ว


“กูไม่ได้ปิดบัง เฮ้อ” เอาวะ บอกก็บอก ผมไม่เคยปิดอะไรเพื่อนอย่างมันได้หรอกครับ อยู่ด้วยกันมาเกือบสิบปี รู้สันดานกันหมดล่ะ


“ไม่ปิดบังก็บอกมาดิ กูรออยู่” มึงก็เลิกทำหน้าเข้มดิวะ กูไม่ชิน


“คือ...กูกับพี่เจต...”


ผมรวบรวมความกล้า แล้วมองเพื่อนซี้ที่เลิกคิ้วรออยู่


“กูก็ไม่รู้ว่าระหว่างกูกับพี่เจตคืออะไรว่ะ”


“อ้าว! ไอ้สัด เกริ่นมาซะกูนึกว่ามึงกับพี่เขาได้กันแล้ว” แบงค์โวยลั่น แต่ดูมันไม่โมโหเท่าไรนะที่ผมตอบไปแบบนั้น


“กูกับพี่เขายังไม่ถึงขั้นนั้นโว้ย!”


“แสดงว่าต้องจูบกันไปแล้ว” มันลูบคางพลางทำท่าคิด ปล่อยให้ผมยืนหน้าร้อนเพราะไม่รู้จะปฏิเสธยังไง จะอ้าปากเถียงก็โดนสายตารู้ทันส่งมาให้หุบปากฉับ


เออ ยอมรับก็ได้วะ


เพราะคาบเมื่อชั่วโมงก่อนพี่มันก็เพิ่งจูบผมไปจริงๆ นั่นแหละ จูบไม่พอยังส่งข้อความหวานมาอีก ได้แต่นั่งหน้าร้อนทั้งคาบแถมเรียนไม่รู้เรื่องต่างหาก


“หึ กูก็ว่าหน้าอย่างมึงไปรุกแอลยังไงก็ไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ถ้ากับพี่เจต...” มันเหล่มองไปทางประตู พอมองตามก็เห็นพี่เจตยืนกอดอกมองเราทั้งคู่ตาไม่กระพริบ “อย่างพี่เจต...ก็พอมีหวัง”


“พูดงี้หมายความว่าไงวะ”


“กูพูดความจริงไง มึงคิดว่าที่มึงรอดเสือรอดตะเข้มาได้เป็นเพราะตัวมึงรึไง เป็นเพราะข่าวคู่กับกูทั้งนั้นแหละ อุตส่าห์ไม่ปฏิเสธเพื่อกันหมาให้มึงเชียวนะ”


“อ๋อเหรอ ขอบใจนะมึง ไม่ใช่ว่ามึงสนุกที่ได้หักหน้าพวกนั้นรึไง” ผมส่ายหัว นึกถึงวีรกรรมของมันที่เที่ยวป่าวประกาศไปทั่วว่าผมเป็นเมียมัน นึกแล้วก็ปวดหัว ดีนะที่แบงค์ไม่ได้คิดอะไรกับผม ไม่อย่างนั้นคงอึดอัดตาย ส่วนไอ้พวกที่เข้ามาจีบผมตอนนี้ก็ซี้กันหมดแล้วครับ


“ที่ผู้หญิงไม่แลกูส่วนหนึ่งก็เพราะมึงนะ” ผมโทษมัน แบงค์หรี่ตามองผม


“เดี๋ยวๆ เกี่ยวอะไรกับกู อยู่ที่ตัวมึงทั้งนั้นอะ ชอบใครไม่ชอบดันไปชอบสาวที่เขาไม่เอามึง ก็ต้องผิดหวังไหมล่ะ”


เชี่ย ย้ำให้เจ็บทำไมวะ ถึงจะเบนเข็มจากสาวๆ แต่ใช่ว่าจะลืมนะว่าเคยชอบใครบ้าง โดยเฉพาะรักแรกที่ไม่สมหวัง ทุกวันนี้ผมยังจำได้ดีเลย ไม่ได้เจอเธอมากี่ปีแล้วนะ สิบกว่าปีได้มั้ง ป่านนี้คงสวยสะพรั่ง มีแฟนหล่อๆ ไปแล้วล่ะ


“จะคุยกันอีกนานไหม” เสียงทุ้มมาพร้อมเจ้าของเสียง พี่เจตเดินเข้ามาในจังหวะที่เพื่อนร่วมห้องคนสุดท้ายเดินออกไป เขาเดินมาหาผมแล้วดึงกระเป๋าผมไปถือเหมือนอย่างเคย


“บริการดีขนาดนี้ กูไม่แปลกใจล่ะ” แบงค์ยื่นหน้าเข้ามากระซิบข้างหูผม ก่อนจะรีบผละออกเพราะสายตาสารวัตรคนโหดจ้องเขม็ง “เปล่านะพี่ ผมไม่ได้ทำอะไร” แบงค์ยกมือสองข้างขึ้นแล้วเพ่นแน่บออกไปจากห้อง ทิ้งผมไว้กับคนที่เพิ่งเจอหน้ากันเมื่อชั่วโมงก่อน


“เป็นอะไร ไม่สบายเหรอ”


พี่เจตยื่นหน้าเข้ามาหา แนบหน้าผากเขากับหน้าผากผมเพื่อวัดไข้


คือพี่ไม่ต้องวัดแบบนี้ก็ได้มั้งครับ หน้าผมเห่อร้อนยิ่งกว่าเดิมอีก


“ป่วยแบบนี้ต้องรักษา...” ริมฝีปากนุ่มแนบลงแผ่วเบา ขบเม้มนิดๆ ก่อนจะผละออก “เอ หรือว่าจะยังไม่หายนะ หน้าแดงก่ำเชียว”


ผลัก


“พอเลย เดี๋ยวครูมาเจอก็เป็นเรื่องหรอก” ผมรีบเดินเร็วออกจากห้องหนีอีกฝ่ายทันที เสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาจากข้างหลังก่อนฝีเท้านั้นจะเร่งตามมาอยู่ข้างๆ กัน


“พี่ไม่หิวแล้วอะ”


“หืม ไปกินอะไรมา” ผมหันไปถามคนข้างๆ ที่ส่งยิ้มละไมมาให้


“กินพู”


“...” กูไม่น่าถามเลย


“เป็นไร มุกพี่ไม่ผ่านเหรอ”


ไม่ผ่าน


ไม่ผ่านเชี่ยอะไรล่ะ หน้าแดงให้ชาวโลกเขารู้กันขนาดนี้


“มาช้านะมึง” พี่แจ้เอ่ยทักพี่เจตก่อนกดมือถือยิกๆ คงไลน์ตอบสาวตามสไตล์คนโสด ส่วนพี่แมร์ก็นั่งทะเลาะกับคนปลายสายอย่างที่พวกเราไม่เคยได้ยินมาก่อน


“เออ! มึงจะไปไหนก็ไปเลย เรื่องของกูก็เรื่องแค่นี้ของมึงมาตลอดนั่นแหละ” รุ่นพี่คนสวยตัดสายทิ้งอย่างไม่ใยดี ก่อนจะกดปิดเครื่องหนีแล้วนั่งกอดอกหน้าบึ้ง


“อย่าไปใส่ใจมันเลย เมนมาก็งี้ทะเลาะกับผัวตลอด” พี่แจ้ว่าพลางตักข้าวเข้าปากสลับกับตอบไลน์ไป


“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นนะแจ้!” พี่แมร์ทำเสียงดุ เหลือบมองผมนิดๆ ก่อนจะส่งสายตาให้ร่างสูงข้างกายผมแล้วชวนกันออกไป


“เดี๋ยวพี่ไปสั่งข้าวให้ เรารอนี่นะ” ร่างสูงเดินตามเพื่อนสาวไป คลาดกับแอลที่เดินหงอยๆ เข้ามาหาผม


“พู วันนี้ขอนั่งด้วยนะ”


นี่ก็เป็นอีกอย่างที่น่าแปลกใจ ปกติแอลจะร่าเริงทั้งตอนที่อยู่กับกลุ่มเพื่อนและตอนที่มานั่งกลุ่มผม แต่ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาเขาเอาแต่จ้องโทรศัพท์ แล้วก็ละสายตาไปทำอย่างอื่น สักพักก็กลับมาจ้องโทรศัพท์เครื่องเดิมอีก


เป็นแบบนี้มาตลอด แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากสีหน้าแอลที่ดูเศร้าลงทุกวัน ผมเองก็ไม่กล้าถาม และคงเพราะผมไม่ถามแอลถึงมาขลุกอยู่กับผมทุกกลางวัน เพราะเพื่อนเขาเป็นห่วงและคอยถามอยู่เสมอ เมื่อวานเพื่อนของแอลก็เข้ามาถามผมว่าแอลเป็นอะไร ผมก็ตอบไม่ได้


“ความรู้สึกของพูเป็นแบบนี้สินะ” แอลพูดเสียงเบา ก่อนจะส่งยิ้มให้ผม “ขอโทษนะ” แววตาสั่นๆ ของคนตัวเล็กทำผมสงสารจับใจ จึงเผลอจับมือแอลไว้แล้วพาเขาออกมาจากบริเวณนั้นทันที


เดินผ่านพี่เจต...ที่ถือจานข้าวมาให้ สบตาเขาที่มองมาอย่างเข้าใจ ก่อนเราจะเดินสวนทางกันไป


เรื่องของแอล เราคุยกันอยู่ตลอด เพราะแอลไม่แม้แต่จะปริปากบอกพี่ชายของเขาเลยว่าเป็นอะไร พี่เจตเองก็จนปัญญาเพราะแอลที่เขารู้จักจะต้องวิ่งโร่มาหาและเล่าทุกอย่างให้ฟัง ครั้งนี้ยิ่งเหมือนคราวนั้นที่แอลถูกทำร้ายแล้วไม่บอก พี่เจตก็ยิ่งร้อนใจ แต่เพราะร่างกายของแอลปกติดี พี่เจตจึงไม่รู้ว่าสาเหตุคืออะไร


“ไงสมร” ผมนั่งยองๆ ลูบหัวเพื่อนรักที่กระดิกหางเข้ามาหา มันดุนจมูกแตะมือผม ก่อนจะหันไปทำจมูกฟุดฟิดใส่แอลที่นั่งลงข้างกัน คนตัวเล็กส่งยิ้มมัน


รอยยิ้ม...ที่ผมเคยตกหลุมรักเมื่อครั้งแรกเจอ


“บอกเราได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น ที่แอลขอโทษเรา เพราะอะไร...” ผมเอ่ยถาม


เพราะคนที่เป็นฝ่ายปฏิเสธจะขอโทษคนถูกปฏิเสธก็มีคงแค่สองกรณี หนึ่งคือรู้สึกผิดที่ทำร้ายความรู้สึกของอีกฝ่าย สองคือรู้ซึ้งถึงการถูกปฏิเสธ จึงเข้าใจว่าอีกฝ่ายรู้สึกยังไง


แอลไม่ตอบ เขาหยุดลูบหัวสมรก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งพื้นหญ้าอย่างไม่กลัวสกปรก เงยหน้ามองฟ้าก่อนจะยืดมือออกไปสุดแขน


“พูเคยคว้าอะไรไม่ได้ไหม”


“หมายถึงอะไร ก้อนเมฆเหรอ” ผมเงยหน้ามองฟ้าตามแอล มองเมฆเคลื่อนที่ผ่านไปช้าๆ บางทีก็อยากนั่งโง่ๆ แบบนี้ทั้งวันเลย


ถ้าไม่ติดว่าคาบต่อไปมีติวสอบนะ


“ดวงอาทิตย์” คนตัวเล็กเอ่ยขึ้น ทำใจกล้าหยีตามองแต่สุดท้ายก็ต้องหลุบตาลงเพราะสู้แสงไม่ไหว


“หืม เล่นของร้อนเลยเหรอแอล แค่นี้ก็เกรียมแล้วมั้ง” ผมพูดไปงั้น แต่คงกระตุ้นต่อมฮาของคนข้างๆ ถึงได้หัวเราะจนน้ำตาเล็ด


“ฮะๆ พูนี่ตลกนะ ทำเอาเรื่องเครียดเราหายหมด” แอลปาดน้ำตาที่ซึมออกมา แล้วส่งยิ้มสดใสให้ผม นี่สิถึงจะเป็นแอลคนเดิม


“แล้วเครียดอะไรล่ะ บอกเราได้ไหม”


“ฮื่อ” แอลส่ายหน้า ก้มมองมือของตัวเองก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้าอีกครั้ง “เราก็แค่...คว้าดวงอาทิตย์ไว้ไม่ได้ก็เท่านั้น”


“ร้อนจะตาย จะไปคว้ามันทำไม นี่ เอานี่ดิ” ผมหยิบก้อนหินส่งให้แอล “เย็นกว่าตั้งเยอะ จับต้องได้ด้วย”


“ฮะๆ แล้วเราจะเอาหินนี่ไปทำอะไรล่ะ ทับกระดาษเหรอ”


“อืม ทับกระดาษก็ไม่เลวนะแอล หรือจะเอาเพนท์ขายก็ไม่เลวนะ เห็นมะ ดีกว่าดวงอาทิตย์ร้อนๆ นั่นซะอีก”


“อืม...ขอบใจนะพู” แอลถือหินก้อนนั้นอย่างทะนุถนอม ก่อนจะกระพริบตาปริบๆ ใส่ผมแล้วยื่นหินก้อนนั้นให้


“หืม”


“ช่วยเอาไปเพนท์ลายให้เราหน่อยได้ไหม คือเรา...” แอลเม้มปากนิดๆ “วาดรูปไม่เก่ง”


“ได้สิๆ” ผมรับมาใส่กระเป๋าเสื้อแล้วส่งยิ้มให้อย่างยินดี เรื่องวาดนี่งานถนัดผมเลย อาทิตย์หน้าก็ประกาศผลประกวดวาดภาพที่พวกเราอุตส่าดั้งด้นไปวาดกันไกลถึงอุทยานแห่งชาติแล้วล่ะครับ เห็นอาจารย์บอกว่าเปลี่ยนจากจัดแสดงภาพที่โรงเรียนเป็นจัดแสดงที่งานประกวดเลย เพราะวันประกาศผลเลื่อนออกไป พวกเราเลยตั้งใจจะไปลุ้นกันที่นั่นว่าใครจะได้รางวัลอะไรกันบ้าง


“กลับกันเถอะ พูคงหิวแย่แล้ว” แอลลุกขึ้นปัดกางเกงก่อนจะเดินนำไปยังโรงอาหาร ยิ้มแย้มทักทายพี่เจตแล้วนั่งลงข้างๆ กัน พอเห็นผมเขาก็ชะงักแล้วเตรียมลุกเปลี่ยนที่ให้ แต่ผมโบกมือให้เขานั่งที่เดิมไป ส่วนตัวเองก็ย้ายมานั่งข้างเพื่อนซี้ที่ลอกงานวิชาถัดไปอยู่ ชีทที่มันลอกก็ของผมนั่นแหละครับ ไอ้นี่มือไวจริงๆ


“เคยขออนุญาตกูสักคำไหม”


“เพื่อนกัน ของๆ เพื่อนก็เหมือนของๆ กูปะวะ อะ!” มันชะงัก ก่อนจะเงยหน้ามองผมสลับกับพี่เจต “แต่ผัวมึงก็ไม่นับเป็นของๆ กูนะ บรื๋อ แค่คิดก็ขนลุกล่ะ” เชี่ย ความคิดแต่ละอย่าง ผมส่ายหน้านิดๆ มองสองพี่น้องที่ดูจะคุยกันได้คล่องกว่าปกติ


ถึงแอลจะไม่ได้บอกว่าดวงอาทิตย์ของเขาเป็นใคร แต่ผมก็รู้ดีว่าคนคนนั้นได้เข้ามายึดครองพื้นที่ในใจของแอลมากขึ้นแล้ว และคง มากกว่าตอนที่แอลเลือกซื้อตุ๊กตาให้อีก


อยากรู้จริงๆ ว่าไอ้คนที่แทบไม่ต่างอะไรกับผมมันเป็นใคร


กวาดตามองไปรอบๆ โรงอาหารก็ไม่เห็นใครเข้าตาเลยสักคน จะเห็นก็แต่ร่างสูงฝั่งตรงข้ามที่สบตาเข้ากับผมพอดี


ไม่มีคำใดเอ่ยจากปากเขา


มีเพียงสายตาที่สื่อว่า...ขอบคุณ
.
.
.
.
.
.
.

“โห ยากชิบหายอะ ยากๆ” เสียงบ่นเดิมๆ ที่ผมฟังมาตลอดตั้งแต่หน้าห้องสอบจนเกือบถึงโรงอาหารไม่ได้ลดความถี่ลงเลย วันนี้วันสอบปลายภาคแล้วครับ ติวกันมาตลอดสัปดาห์ ไม่รู้ทำไมออกไม่ตรงสักอย่าง ดีนะที่ผมให้หัวกะทิอันดับหนึ่งของโรงเรียนติวให้ ข้อสอบชุดเก่าๆ ก็ขุดมาสอนเต็มที่ไม่มีหมกเม็ด เลยทำโจทย์ได้มากขึ้นกว่าเดิม


“ถ้ามึงได้ท็อปหรือเต็มนะ เลี้ยงเหล้ากูเลย” ไอ้แบงค์มันเสือซุ่มครับ วันๆ เอาแต่เล่นเกม เตะบอล ลอกการบ้านผม ไม่รู้ไปขุดปัญญามากจากไหน เห็นได้คะแนนดีตลอด


“เออ มึงไม่ได้แตกเหล้าฟรีแน่อะ คราวนี้ยากจริงๆ นะโว้ย บ่ายมีสอบเคมีปิดท้ายอีก โว้ย กูจะบ้าตาย”


“เอาน่ามึง อีกวิชาเดียวก็จบแล้วปะ วันสุดท้ายของม.ห้าแล้วนะ จบนี่กูยอมให้มึงพาไปบิงซูเลยอะ”


“จริงนะมึง ไม่เบี้ยวนะ” ทีอย่างนี้มาทำตาวาว เหอะ ถ้าผมไม่ไปเป็นเพื่อนมันก็ไม่กล้าไปหรอกครับ ในร้านมีแต่สาวๆ น่ารักๆ ตัวควายๆ อย่างมันไปนั่งกินคงดูแปลกพิลึก มันเลยชอบลากผมไปด้วยตลอด


“เออๆ”


“มึงจะไปได้ไงวะพู วันนี้มีประกาศผลประกวดงานศิลปะนะโว้ย” เผือกเดินเลียไอติมแท่งเข้ามาหาผมพร้อมกับเพื่อนห้องเดียวกับมัน พวกที่เหลือทักทายผมตามประสาคนรู้จักก่อนจะเดินไปอีกทาง


“เออว่ะ กูลืมเลย” ผมหันไปหาไอ้แบงค์ที่ยืนกอดอกหน้าบึ้งอย่างไม่ยอม เออๆ กูไม่เบี้ยวนัดมึงก็ได้


“คือกูไปกินกับมึงแน่อะ...แต่ว่ากูขอไปฟังผลก่อนได้ปะวะ นี่เกรดสี่วิชาเลือกของกูเลยนะ”


“มึงก็น่าจะได้สักรางวัลปะวะ ที่ถ่ายรูปส่งมาให้กูดูก็ชนะคนในชมรมมึงไปตั้งเท่าไรล่ะ สวยกว่าของไอ้เผือกอีก”


“อ้าวๆ ถึงของกูจะไม่สวยแต่ก็รางวัลชมเชยนะไอ้แบงค์”


“สู้ไอ้เฟรมผัวมึงไม่ได้หรอกมั้ง รอลุ้นรอบชิงกับไอ้พูอยู่นี่”


“อย่าพูดชื่อมันได้ไหมวะ...”


“ไอ้เผือก! มึงอยู่นี่เอง!” คนที่แบงค์เพิ่งเอ่ยชื่ออยู่หยกๆ วิ่งพรวดมาทางเราทันทีที่เห็นเป้าหมาย


“เชี่ย ปากมึงนี่มัน...” เผือกไม่พูดต่อให้จบแต่วิ่งหนีไปอีกทางทันที


“ทะเลากันเรื่องสาวชัวร์”


“มึงไปเสือกรู้อะไรมา”


“สายกูบอกว่าเมื่อวานไอ้เผือกพาสาวโรงเรียนหญิงล้วนไปแดกไอติมที่ห้าง แล้วดันบอกไอ้เฟรมว่าไปซื้อของกับเพื่อน ไอ้เฟรมกะเซอร์ไพร์ซพาไปแดกข้าวไง ปรากฏเซอร์ไพร์ซจับได้คาหนังคาเขา”


“เฮ้อ มันจะไปกันรอดไหมวะเนี่ย”


“กูสงสารไอ้เฟรมสุดล่ะ หลงมารักไอ้เผือกได้นี่ไม่รู้ว่าโดนของหรือเปล่า ก็น่าจะรู้อยู่ว่าสันดานไอ้เผือกมันไม่เคยหยุดอยู่ที่ใคร ถึงผูกมัดมันด้วยสถานะได้ มันก็ไหลไปได้ตลอดนั่นล่ะ”


“นี่แหละกูถึงไม่อยากมีสถานะ” ผมบ่นพึมพำ แต่ก็ไม่อาจเล็ดรอดหูของเพื่อนสนิท


“ก็ทำให้มันมีดิวะ มึงจะให้พี่เจตอยู่กับมึงแบบนี้ไปตลอดหรือไง เวลาใครถามว่ามึงกับเขาเป็นอะไรมึงก็ตอบไม่ได้ ระวังเถอะพอพี่เจตไปอยู่มหาลัย สาวๆ จะปรี่เข้ายัดสถานะให้แทน”


“มึงจะพูดให้กูเครียดทำไมวะ”


“ก็พูดให้มึงเครียดนี่แหละพู จะทำอะไรก็รีบทำจะได้ไม่มาเสียใจทีหลัง กูไม่ปลอบนะโว้ย”


“เออๆ วันนี้ถ้ากูชนะประกวดวาดภาพกูจะขอเขาคบเลย จบไหม”


“หึ ให้มันได้อย่างที่พูดล่ะมึง”


“พู” ยังไม่ทันก้าวเท้าเข้าโรงอาหาร เสียงหวานใสก็เรียกผมไว้ ฟ้าเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าผมก่อนจะขอคุยเป็นการส่วนตัว ไอ้แบงค์รับกระเป๋าผมไป บอกจะไปจองที่นั่งให้แล้วเดินเข้าโรงอาหารไปทันที


ฟ้าเดินนำไปยังอาคารหลังหนึ่งที่ไม่มีคนอยู่เพราะตอนนี้เป็นช่วงพักกลางวัน ส่วนใหญ่ก็นั่งกินข้าวกันอยู่แหละครับ


“ฟ้ามีอะไรเหรอ” ผมเอ่ยถามธุระจากเธอทันทีเพราะตอนนี้หิวข้าวมาก ใช้พลังงานหมดไปกับข้อสอบมหาประลัยเมื่อกี้หมดแล้วครับ


“คือ...”


“พูดมาได้เลย”


“คือเราอยากจะขอรบกวนอะไรพูสักอย่าง” ฟ้าสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเอ่ยความต้องการออกมาอย่างชัดเจน “ขอให้พูนัดพี่เจตให้เราหน่อยน่ะ”


“ห้ะ เราเหรอ” ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง “เราว่าฟ้าไปหาพี่เจตแล้วคุยกับเขาเลยง่ายกว่านะ”


“คือ...เรา...จะสารภาพรักพี่เจตน่ะ”


“...”


“ถ้าจะนัดเองมันก็แปลกๆ ใช่ไหมล่ะ อีกอย่างตอนนี้เราไม่มีทางเข้าไปอยู่ในใจพี่เจตได้หรอก”


“แล้วทำไมฟ้าถึงอยากสารภาพ...” ผมเอ่ยถามไปอย่างยากลำบาก ลืมไปเลยว่าเคยสัญญาว่าจะช่วยฟ้าเรื่องพี่เจต


สุดท้ายผมก็แย่งเขามาเป็นของตัวเอง


“เราอยากได้คำตอบที่ชัดเจน จะได้ตัดใจ ก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้หรอกนะว่าพี่เจตชอบใคร” ฟ้ามองผมด้วยแววตาเศร้าๆ


“เอ่อ...”


“ขอให้เราได้ฟังคำปฏิเสธนั้นเถอะนะพู เราไม่คิดจะแย่งหรอก รู้ว่าแพ้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่ก็ยัง...ดันทุรัง”


เราสองคนต่างเงียบ ใจหนึ่งผมก็ต่อต้าน ไม่อยากให้พี่เจตรับรู้ว่าใครชอบเขา กลัว...ว่าเขาจะตอบตกลงกับคนที่พร้อมจะมอบสถานะที่ชัดเจนให้


แต่อีกใจผมก็เชื่อใจพี่เจตมากพอ เขาไม่มีวันทรยศผม อีกอย่างหากเขาปฏิเสธฟ้าไปตรงๆ ก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอ ผมไม่ต้องคิดมากว่าจะทำร้ายจิตใจเพื่อน หรือระแวงว่าเพื่อนจะคว้าพี่เจตไป


“อืม...เราจะช่วย”


“ขอบคุณนะพู ขอบคุณ” ฟ้าจับมือผมแล้วส่งยิ้มให้ แม้สิ่งกำลังจะเกิดขึ้นจะดูโหดร้าย แต่ก็คงดีกว่ายืดเยื้อต่อไปทั้งที่อีกฝ่ายไม่มีใจให้เลย
.
.
.
.
.
“ไปไหนมาพู พี่ถามแบงค์ก็ไม่ยอมบอก” ผมนั่งลงข้างพี่เจตแล้วรับจานข้าวมาตักกินเงียบๆ พี่เจตซื้อเผื่อไว้ให้ผมตลอดอยู่แล้ว ไม่ต้องไปเบียดกับบรรดานักเรียนหัวเกรียนที่ยืนต่อแถวกันอยู่


“แวะคุยกับเพื่อนน่ะ ไม่มีอะไรหรอก” ผมตักข้าวกินเพียงไม่กี่คำ ข้อความจากฟ้าก็ส่งเข้ามา ผมกดอ่านไลน์เงียบๆ ก่อนจะเก็บใส่กระเป๋า เอ่ยถามร่างสูงที่หมดวิชาสอบแล้ว


“พี่จะไปไหนต่อ”


“รอเราสอบเสร็จไง แล้วค่อยไปรอลุ้นผลประกวดด้วยกัน พี่ว่านะ ภาพพูต้องได้รางวัลใหญ่แน่เลย” พี่เจตพูดยิ้มๆ


“ไม่หรอก ผมว่าภาพพี่น่าจะได้นะ ปิดเป็นความลับขนาดนั้น”


“ภาพของพี่สู้พูไม่ได้หรอก”


“เหอะ ผมจะรอดู”


“อื้ม รอดูนะ”


เรากินข้าวกันเสร็จเรียบร้อยก็อพยพกันมานั่งติวกันใต้อาคารเรียน พี่เจตยังคงเป็นคนติวให้ผมเช่นเคย เพื่อนร่วมห้องคนอื่นๆ  เลยพลอยได้อานิสงค์ไปด้วย


“โห พี่เจตติวเก่งอะ อะไรที่ผมไม่เข้าใจแม่งกระจ่างหมดเลย” ไอ้แบงค์พูดจาโอเว่อร์มากครับ แต่ก็ยอมรับจริงๆ ว่าการอธิบายของพี่เจตช่วยพวกเราได้มาก


ไม่เสียแรงที่จะขอคบเป็นแฟน หึหึ


ผมคิดแผนเซอร์ไพร์ซต่างๆ นานา ปรึกษาไอ้แบงค์ด้วยว่าจะทำยังไงดี เพื่อนซี้ก็แนะนำให้บอกไปเลยตรงๆ ง่ายดี ผมเลยเลิกปรึกษามันแล้วคิดเอง


“อย่าลืมนะพู” ฟ้าเดินเข้ามาพูดกับผมเสียงเบาก่อนจะเดินขึ้นอาคารไป


อ่า ผมลืมไปเลยว่าต้องทำอะไร


“พี่เจต” ผมเรียกร่างสูงที่เดินไปนั่งที่เก้าอี้ม้าหินอ่าน ตอนนี้ใกล้เวลาสอบแล้ว ผมมีเวลาไม่มากนัก


“ว่าไงครับ กลัวเหรอ ไม่ต้องกลัวนะ พูของพี่เก่งอยู่แล้ว” พี่เจตลูบหัวผมเบาๆ พลางส่งยิ้มประจำตัวมาให้ ช่วงนี้ขยันยิ้มจนรุ่นน้องหลายคนไม่กลัวแล้วครับ มีแต่เข้าหามากกว่าเดิมอีก พอรู้ว่าสารวัตรนักเรียนคนโหดไม่โหดจริงก็เลิกกลัวกันหมด


“เอ่อ” พูดแบบนี้ฆ่ากันเลยเถอะ ไม่ต้องสงต้องสอบมันแล้ว


“หึๆ พี่ไม่แกล้งแล้ว มีอะไรไหนว่ามาซิ”


“ฟ้าอยากคุยกับพี่หลังสอบวิชานี้ บอกจะรออยู่ที่สวนหย่อมหลังโรงเรียน” ผมเอ่ยเสียงเรียบ ปกปิดความกังวลในน้ำเสียงอย่างแนบเนียน


ไม่เป็นไรพู ก็แค่คำสารภาพที่ยังไงก็ถูกปฏิเสธ ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้


พี่เจตนิ่งไปนิดก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวกับเจ็บปวด


“พู...อยากให้พี่ไปเหรอ”


“ห้ะ เกี่ยวอะไรกับผมล่ะ เขานัดพี่ ไม่ได้นัดผมสักหน่อย”


“พี่ถามเรา เราอยากให้พี่ไปไหม ถ้าบอกว่าไม่ พี่ก็จะไม่ไป”


“มัน...ไม่ใช่เรื่องของผมสักหน่อย แต่พี่ควรไปนะ เผื่อฟ้ามีเรื่องสำคัญจะบอกพี่”


เรื่องสำคัญ...ที่จะช่วยให้เพื่อนผมได้ตัดใจจากพี่สักที


เราสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง แววตาพี่เจตคล้ายกับค้นหาอะไรบางอย่างในดวงตาของผมก่อนจะละสายตาไปทางอื่น


“อืม...พี่เข้าใจแล้ว”


ร่างสูงเก็บของใส่กระเป๋าเงียบๆ ก่อนจะเดินออกไปจากอาคาร


“ไอ้พูเร็ว! เดี๋ยวไปสอบไม่ทัน” แบงค์รีบคว้าข้อมือผมพาขึ้นอาคาร แต่สายตาผมยังคงจดจ้องอยู่กับแผ่นหลังกว้างที่เดินห่างไปทีละก้าว...ทีละก้าว


ราวกับว่าวันนี้...จะเป็นวันสุดท้ายที่ได้เจอกัน



 

TBC.







⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀
จะเกิดอะไรขึ้นน้า จะเกิดอะไรขึ้น โปรดติดตามตอนต่อไป...

ตอนนี้ยาวมาก เขียนตั้งแต่เลิกงานจนถึงตีสอง 555 คิดถึงเจตพูเลยต้องจัดสักหน่อย

ตอนนี้อยู่ทีมไหนกันบ้าง #ทีมพู #ทีมพี่เจต #ทีมแอล # ทีมพี่ลัน (คนหลังน่าจะโดนเคือง 555) ถั่วพี่หายไปทำภารกิจกู้ชาติ เดี๋ยวเฮียก็กลับมานะ // คนเขียนก็สู้รบตบตีกับงานอยู่เหมือนกัน

ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์ค่ะ เจอกันตอนหน้า  :mew1:


ออฟไลน์ แม่น้องเปา

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 209
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
อะไรอะ...ทำไมพูทำแบบนี้ไม่สงสารพี่เจตเหรอฮือๆๆเสียใจ :mew6: :mew6: :mew6:

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ Lalaleega

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :sad4:  คือถ้าพูพูดออกไปว่าให้ฟ้าได้ตัดใจจากพี่มันก็โอเคปะ มาอย่างนี้ พี่เจตจะไปคบกับยัยฟ้าเหรอ  :katai1:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ยังไงกันๆ

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
พูเอ้ย ไม่ชัดเจนเองนะ จะพูดก็ไม่พูดให้ละเอียดที่ถ้วนกับใจตัวเอง รอฟังผลนะ
  รออ่านตอนต่อไป

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
พูระวังเถอะกับความไม่ชัดเจนของเธอจะทำให้ตัวพูเองเจ็บนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ numay

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-1
สนุกมาก รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ peettato

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
หุ่ยยยยย ทิ้งปมไว้ให้อีกแล้ว :hao4: มาต่อเร็วๆน๊าาาาา o18

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
ค่ะ จะเร้าหรือกันไปอีกนานไหม
พูไม่กล้าบอกสักที เจตก็มีแอบท้อ แถมยังมาช่วยนัดใครไม่รู้ให้อีก
เจตรุกหนักมาก ถึงเนื้อถึงตัวนะ ฟินล่ะสิ

แอลน่าสงสาร พี่ถั่วเป็นห่วงนะ แต่ไม่รู้พี่ถั่วทำไรอยู่ เป็นความลับเหลือเกิน

ออฟไลน์ janeta

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 155
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-2
บทที่ 25
เหตุเกิดเพราะ...หายไป






ผมสงบใจไม่ได้เลย เอาแต่คิดถึงคนที่เดินหันหลังจากไปเมื่อครู่ ผ่านไปเกือบสามสิบนาทีนั่นล่ะถึงจะตั้งสมาธิแล้วเริ่มทำข้อสอบ ปลอบใจตัวเองว่าคงไม่มีอะไร ตอนนี้คงต้องเอาตัวเองให้รอดก่อน


“ส่งข้อสอบค่ะ”


เสียงเล็กๆ ของฟ้าดึงสติผมออกจากข้อสอบได้ทันที เธอยื่นข้อสอบและกระดาษคำตอบให้ครูที่นั่งอยู่ข้างผมพลางยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี ไม่รู้ว่าเป็นเพราะทำโจทย์ได้หรือเพราะกำลังจะได้สารภาพรักคนที่เธอชอบ


จู่ๆ ผมก็รู้สึกแย่ขึ้นมา มองตามฟ้าที่เดินออกจากห้องไปจนครูดุ จึงต้องหันกลับมาทำข้อสอบอย่างเสียไม่ได้ แต่ในความรู้สึกกังวลก็ทำให้ผมหาคำตอบได้เร็วขึ้น รีบทำ เพื่อจะได้ไปแอบดูว่าสองคนนั้นคุยอะไรกัน แม้จะดูไร้มารยาทแต่ผมก็ไม่อยากต้องเครียดอยู่คนเดียว ผมอยากรู้ว่าพี่เจตจะทำยังไง จะบอกปัดฟ้า หรือตกลงใจเพื่อประชดผม


“เสร็จแล้วครับ” ทันทีที่ตอบข้อสุดท้ายเสร็จผมก็รีบส่งกระดาษคำตอบและข้อสอบให้ครู ก่อนจะคว้ากระเป๋าแล้ววิ่งพรวดไปยังที่หมายทันที ระหว่างทางก็เอาแต่หวังว่าทุกอย่างจะยังไม่สายเกินไป


พอถึงสวนหย่อมหลังโรงเรียน ผมก็หันมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นใครอยู่ในบริเวณนั้นเลย หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาพี่เจตแต่อีกฝ่ายก็ไม่รับสายผม พอโทรย้ำซ้ำๆ สายก็ถูกตัดไปพร้อมกับประโยคที่ว่า ‘หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้’


เขาปิดเครื่องหนีผมไปแล้ว


“อ้าวพู”


“ฟ้า” ผมรีบเดินเข้าไปหาเธอพลางมองไปรอบๆ เพื่อหาร่างสูงที่อาจจะอยู่ใกล้ๆ “พี่เจตล่ะ”


“เอ่อ ไม่ได้อยู่กับพูเหรอ” หมายความว่าไง “ก็...พอเราสารภาพให้เขาฟัง พี่เจตก็บอกว่าเขาตอบรับความรู้สึกเราไม่ได้เพราะเขาชอบคนอื่น จากนั้นเขาก็ขอตัวออกไป ไม่ได้ไปหาพูเหรอ”


“เปล่า...” แล้วพี่หายไปไหน


“ไปที่งานประกาศผลหรือเปล่าพู บางทีพี่เจตอาจจะอยู่ที่นั่นก็ได้นะ”


“นั่นสิ ขอบใจนะฟ้า แล้วก็...ขอโทษด้วย” ผมเอ่ยอย่างรู้สึกผิดที่ทำให้เธอต้องเสียใจ แต่ผมก็ไม่อาจเสียสละเพื่อเธอได้เพราะผมเองก็ชอบพี่เจตเหมือนกัน


“ฮื่อ ไม่เป็นไรหรอก เรื่องความรักน่ะ มันก็ต้องมีสมหวังบ้างผิดหวังบ้างเป็นธรรมดา เราเองก็อยากขอบคุณพี่เจตที่ไม่เคยให้ความหวังเราเลย มีแต่เราที่คิดเองเออเองไปไกล คิดว่าสักวันคงได้อยู่ในใจเขา แต่ก็นะ เขาชัดเจนกับพูขนาดนี้ เราเข้าไปแทรกไม่ไหวหรอก” ฟ้ายิ้มให้ผมนิดๆ “เราน่ะอิจฉาพูมากเลย ใครๆ ก็ชอบพู พูน่ะเป็นที่รักของทุกคน พี่เจตยังพูดติดตลกอยู่เลยนะว่าถ้าเขาไม่ชอบพูเขาก็โง่เต็มทน คนอื่นจ้องจะงาบพูจนเขาจะเป็นบ้าล่ะ ฮะๆ คิดไม่ถึงนะว่าพี่เจตจะมีมุมนี้ ดูท่าจะชอบพูมากเลย”


“เอ่อ พี่เจตพูดแบบนั้นเหรอ” รู้สึกเขินนิดๆ แฮะ ที่ได้ยินพี่เจตพูดถึงกันแบบนั้น คิดไม่ผิดจริงๆ ที่อยากฝากใจให้เขา ได้ยินแบบนี้แล้วสิ่งที่กังวลก็หายไปหมดเลย แล้วทำไมปิดเครื่องใส่กันวะเนี่ย เดี๋ยวต้องมีเคลียร์กันหน่อยล่ะ


“แต่แปลกนะ...” ฟ้าพูดขึ้นพลางทำหน้าครุ่นคิด “ได้ยินพี่เจตพูดว่าพูอาจจะคิดไม่เหมือนกัน แต่เราว่าพูกับพี่เจตก็ดูเข้ากันดีนี่ มีปัญหากันเหรอ”


“เปล่าหรอก แค่...เราคิดน้อยไปหน่อย” ผมลืมคิดถึงความรู้สึกของพี่เจต ลืมคิด...ว่าเขาจะรู้สึกยังไงเมื่อโดนคนที่ชอบผลักไสให้ไปหาคนอื่น


ผมผิดเอง ผมยอมรับ และอยากขอโทษเขาจากใจจริง


“ฟ้า...เรายังเป็นเพื่อนกันอยู่...ใช่ไหม” ผมถามอย่างไม่แน่ใจนัก ว่าที่แฟนผมปฏิเสธเพื่อนผม ไม่รู้เธอจะยังอยากคบหากับผมเป็นเพื่อนอยู่หรือเปล่า


“เป็นสิ อกหักแค่นี้ไม่ทำให้เราเลิกเป็นเพื่อนกับพูหรอกนะ” ฟ้าส่งยิ้มให้ผมก่อนที่เธอจะขอตัวไปอีกทางเพราะที่บ้านมารับแล้ว ผมยิ้มนิดๆ ที่ทุกอย่างจบลงด้วยดี


อนาคตคงจะมีคนเข้าหาพี่เจตมากขึ้น ผมคงต้องเตรียมใจรับมือกับคนเหล่านั้น เพราะบางคนอาจไม่ยอมจบกันดีๆ แบบที่ฟ้าทำ และผมไม่อยากตามหึงหวงเรี่ยราดให้พี่เจตต้องลำบากใจ


ว่าแต่...เมื่อไหร่พี่เจตจะเปิดเครื่องวะเนี่ย ไม่ใช่ว่างอนผมไปแล้วนะ
.
.
.
.
.
“ไอ้ถั่ว กูหามึงตั้งนาน รีบไปฟังผลแล้วไปแดกบิงซูกับกูได้ล่ะ ชักช้าอยู่นั่น...” ผมปล่อยให้แบงค์บ่นผมต่อไปเพราะตอนนี้ผมสบายใจเรื่องฟ้าล่ะ


หลังจากมองไปรอบๆ ไม่เห็นร่างสูงอยู่แถวนี้ผมจึงเลือกที่จะไปที่งานแสดงศิลปะพร้อมแบงค์ คิดว่าพี่เจตคงรออยู่ที่นั่นอยู่แล้ว เรานั่งรถของเฟรมไปกัน โดยที่ไอ้เผือกก็เอาแต่ทำหน้านิ่งไม่พูดไม่จากับคนข้างๆ จนผมกับไอ้แบงค์ต้องคอยปล่อยข่าวเด็ดๆ ออกมาเป็นระยะ ดีหน่อยที่ต่อมเผือกของมันยังทำงานเลยหันมาคุยโต้แย้งกับพวกผม พลอยทำให้เฟรมผ่อนคลายและเข้าร่วมวงสนทนากับเรา แม้มันสองคนจะไม่ได้คุยกันเพราะเอาแต่เถียง แต่ทุกคนในรถก็รับรู้ว่าบรรยากาศดีๆ กลับมาแล้ว


“กูจะไปซื้อของเซเว่น พวกมึงจะเอาอะไร” เฟรมหันมาถามผมกับแบงค์หลังจากฟังไอ้เผือกร่ายยาวถึงของที่มันอยากกินแต่ไม่ยอมไปซื้อเอง


“ไม่เอาอะ เดี๋ยวจบงานกูกับไอ้ถั่วจะไปแดกบิงซู”


“กูไปด้วย!” ทันทีเลยนะไอ้เผือก พวกเราส่ายหน้าให้ไอ้คนที่ขอมีส่วนร่วมในทุกงานของเรา


“ถ้าไม่ติดว่ามึงคบกับไอ้เฟรม กูคิดว่ามึงเล็งไอ้ถั่วอยู่นะเนี่ย แหมๆ ตามติดฉิบหาย”


“พูดห่าอะไรน่าขนลุก อย่างไอ้พูไม่ใช่สเปคกูหรอก” มันว่าพลางลูบแขนตัวเองด้วยความรู้สึกจริงๆ ของมัน อย่าว่าแต่มึงเลยเผือก กูก็ไม่เอามึงหรอก


“มึงสองตัวไม่ได้แดกกันแน่นอน เพราะเผือกนี้เป็นของกู” พูดไม่พอเฟรมยังโอบไหล่เผือกเข้ามาใกล้


“แหวะเผือกนี้เป็นของกู พูดได้ไม่อายปาก ไปๆ ไอ้ถั่ว ปล่อยแม่งจีบกันต่อไป” แบงค์ลากคอผมเข้างาน ตามด้วยไอ้เผือกที่ดิ้นหลุดจากแขนเฟรมมาได้รีบเดินเข้ามาขนาบข้างผมทันที


“พวกมึงจะไปกินบิงซูร้านไหนกัน” เผือกถามพลางก้มลงกดมือถือยิกๆ


“ร้านแถวนี้แหละ กูเพิ่งเปิดรีวิวดูว่าแถวนี้ก็มี ไอ้ถั่วจะได้ไม่บ่นว่าไกลแล้วเบี้ยวนัดกูอีก”


“อืม” ตอบรับเสร็จไอ้เผือกก็กดโทรศัพท์หาใครบางคนแล้วเดินแยกออกไปคุย ให้ผมกับแบงค์เดินไปหาที่นั่งกันก่อน


“ไม่เห็นพี่เจตเลยว่ะมึง” ผมพูดขึ้นอย่างใจเสีย หลังจากกวาดตาไปทั่วห้องโถงแต่ไม่พบร่างสูงอย่างที่คิด แบงค์มันก็ช่วยปลอบใจว่าพี่เจตคงอยู่แถวนี้ ผมอาจจะมองหาไม่ดีเอง ผมเลยขอให้แบงค์มันช่วยมองหา แต่เราก็ไม่เห็นพี่เจตแม้แต่เงา


พอเห็นพี่ฟางเดินเข้ามาในห้องโถงผมก็รีบเดินไปหาเธอทันที เผื่อว่าเธอจะรู้ว่าพี่เจตไปไหน


“เจตเหรอ พี่มาตั้งแต่บ่ายแล้วนะ ยังไม่เห็นเลย”


“เหรอครับ...”


“ทะเลาะกันรึไง” พี่ฟางพูดเหมือนรู้ทัน “กับเจตอะพี่รู้ว่ามันคิดอะไรกับน้องนะ แต่น้องอะเคยพูดเคยบอกมันบ้างไหมว่าคิดอะไร”


คำพูดพี่ฟางทำผมจุกไปหมด นั่นสินะ ผมยังไม่เคยบอกว่าชอบพี่เจตจริงจังสักครั้งเลย เอาแต่บอกปัด เปลี่ยนประเด็นไปเรื่อยๆ เพราะไม่ยอมรับหัวใจตัวเอง


“พี่ว่าเรื่องนี้น้องน่าจะคิดเองได้ อย่าช้าล่ะ ความรักมันไม่เคยรอใครหรอก บทจะมามันก็มา บทจะไปมันก็ไปง่ายๆ เหมือนกัน” พี่ฟางเดินแยกไปหาน้องชายตัวเองที่ถือถุงเซเว่นอยู่ แย่งขนมสองสามห่อแล้วนั่งลงข้างๆ เผือก


ผมก้มมองโทรศัพท์ตัวเองที่ยังคงโทรหาอีกฝ่ายไม่ติดเช่นเคย


“ผมจะบอกพี่หมดทุกอย่างเลย แต่อย่าหายไปแบบนี้ได้ไหม”
.
.
.
.
“ไงมึง โทรไม่ติดเลยเหรอวะ” แบงค์ถามขึ้นหลังจากที่ผมผละออกไปโทรหาพี่เจตครั้งที่ห้า ความจริงผมก็กดโทรออกอยู่ตลอดนั่นแหละครับ แต่เพราะกังวลว่าข้างในสัญญาณจะไม่ดีพอเลยออกไปโทรข้างนอก แต่ผลลัพธ์ก็ยังเหมือนเดิม


“ถ้าเขาเกลียดกูแล้วล่ะวะ...ที่ไปทำแบบนั้นกับเขา” ผมเล่าให้แบงค์ฟังหมดแล้วครับว่าทำอะไรลงไป โดนมันสวดชุดใหญ่ที่คิดไม่รอบคอบ มันบอกว่าที่ผมช่วยฟ้าให้ตัดใจน่ะไม่ผิดหรอก แต่น่าจะบอกพี่เจตไปตรงๆ ไม่ใช่มาทำเป็นผลักเขาไปให้คนอื่นแบบนั้น


“เขาชอบมึงมาตั้งเท่าไหร่แล้ว ทนแบกรับความรู้สึกที่มึงชอบตอบไม่ได้จนกระทั่งมึงมีใจให้เขาเนี่ย มึงคิดว่าเขาจะโง่ปล่อยมึงไปไหม”


“กูไม่รู้ว่ะ”


“มึงก็พูดแต่ว่าไม่รู้ๆ แล้วเมื่อไหร่มึงจะรู้วะ จะให้เป็นแบบไอ้เกลือไหมมึงถึงจะเข้าใจ!” ไอ้แบงค์พูดเสียงดังขึ้นจนรอบข้างหันมามอง มันเลยเงียบลงแล้วหันไปทางอื่น


“แบงค์...”


“พอๆ กูจะไม่พูดถึงเรื่องที่มันผ่านไปแล้ว ก็แค่อยากให้มึงคิดเยอะๆ จะได้ไม่มาเสียใจภายหลังแบบนี้” แบงค์เงียบไปนิด “อย่าต้องให้เป็นแบบกู ที่ไม่มีวันกลับไปแก้ไขอะไรได้อีก”


“กูขอโทษนะ” ขอโทษสำหรับทุกเรื่องที่ผ่านมา ที่มันต้องมารับรู้ปัญหาของผม คอยให้คำปรึกษา ทั้งที่มันเองก็มีปัญหาไม่ต่างกัน


“พอๆ เลิกดราม่า ยังไงไอ้เกลือก็ไม่กลับมาล่ะ เพลิดเพลินกับเทวดาบนสวรรค์จนลืมกูกับมึงแล้วมั้ง” แบงค์แค่นยิ้ม มึงบอกให้กูเลิกดราม่าแต่มึงกลับไม่เลิกนะ ผมยกแขนขึ้นปลอบใจมัน นาทีนี้ผมไม่ใช่คนที่เศร้าที่สุด แต่กลับเป็นแบงค์ที่กำลังเศร้าอยู่ทุกช่วงขณะของชีวิตตราบใดที่ยังไม่ลืมใครคนนั้น แม้มันจะหล่อเรี่ยราดไปทั่ว พูดจาเล่นหัวกับทุกคนเหมือนปกติ แต่เมื่อไหร่ที่คำว่าเกลือออกจากปากมัน ความเศร้านั้นก็เหมือนจะกลับเข้ามาอยู่เสมอ


ทั้งที่ตอนนี้ก็สามปีแล้ว...สามปีที่เพื่อนสนิทของเราจากไปตลอดกาล


ก่อนนี้เรามีกันอยู่สามคนครับ ผม แบงค์ และเกลือ เกลือเข้ามาอยู่ในกลุ่มผมได้เพียงหนึ่งปีก็เกิดอุบัติเหตุรถชนเสียก่อน ในวันที่รู้ข่าวผมกับแบงค์ทำใจรับไม่ได้ เราเพิ่งจะคุยกันหยกๆ ว่าวันหยุดจะไปดูหนังเข้าใหม่ด้วยกัน ทั้งๆ ที่มันขับรถเก่งกว่าใคร แต่กลับจากไปโดยไม่มีคำบอกลา เราสองคนไม่เชื่อ ถึงกับบุกเข้าในโรงพยาบาล เพียงเพราะอยากเห็นว่ามันนั่งอยู่บนเตียง บ่นเจ็บนิดๆ หน่อยๆ ให้พวกผมด่าเล่นที่มันไม่รู้จักระวัง แต่ป้าของเกลือก็จัดการทุกอย่างรวดเร็วไปหมด เราไม่เห็นแม้กระทั่งร่างของเพื่อน ไม่ได้ไปแม้กระทั่งงานศพ ป้ามันไม่รับความเห็นอกเห็นใจจากใครทั้งนั้น ไม่เรียกร้องให้ใครไปหาหลานชายของเธอ ทำทุกอย่างเงียบกริบเหมือนเกลือไม่เคยมีตัวตนอยู่บนโลก


เกลือเคยบอกพวกเราว่าพ่อกับแม่ของมันเสียตั้งแต่มันยังเด็ก มีเพียงป้าที่รับมันเข้ามาเลี้ยงดู ป้าก็เลี้ยงดูมันตามมีตามเกิด แต่มันก็ไม่เดือดร้อนอะไร แค่มีที่ซุกหัวนอนก็พอแล้ว มันดีใจมากที่ได้ย้ายเข้ามาเรียนที่นี่เพราะโรงเรียนเก่ามันแย่มาก มีแต่พวกมั่วสุมและหาเรื่องตีกันไปวันๆ มันดีใจที่ได้เป็นเพื่อนกับเราทั้งสองคน และดูมีความสุขทุกครั้งที่มาโรงเรียน


“กูไม่อยากกลับบ้านเลยว่ะ ไปเที่ยวกันต่อได้ไหม” นั่นเป็นคำสุดท้ายที่เราได้พูดคุยกัน เพราะผมและแบงค์ต่างก็ต้องกลับบ้าน แบงค์ต้องไปงานเลี้ยงกับพ่อแม่ของมัน ส่วนผมวันนั้นพี่ลันบอกจะเข้าครัวเลยต้องรีบกลับเพราะกลัวพี่ชายทำอะไรพิเรนทร์ บอกเกลือเพียงแค่ว่าพรุ่งนี้เจอกัน


คิดไม่ถึงว่าพรุ่งนี้...จะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว


แบงค์ร้องไห้เป็นอาทิตย์ ตามหาบ้านเกลือไปทั่ว ขอที่อยู่จากครูก็ได้เพียงบ้านเช่าที่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่อีกแล้ว ไม่สิ ไม่มีคนอยู่มาสามเดือนแล้วต่างหาก ราวกับว่าเกลือเป็นสายลมที่ผ่านพัดมาแล้วก็ผ่านเราไป ไม่มีอะไรเป็นหลักฐานว่าเคยมีมันอยู่ แม้แต่รูปถ่ายเราก็ไม่มี เพราะเกลือไม่ชอบถ่ายรูป


ผมมองเพื่อนซี้ที่นั่งเงียบ ทอดสายตาเหม่อมองไปไกล แบงค์มันชอบเกลือมาก ชอบแบบที่ผมไม่เคยเห็นมันเป็น แค่เสื้อตราห่านคู่ที่เกลือซื้อให้ มันก็ดีใจพูดไม่หยุดไปสามวันสี่วัน ใครตามเต๊าะเกลือก็ไล่เตะไล่ถีบหมด เผื่อแผ่ลามมาถึงผมจนมีคนตั้งฉายาให้มันว่าไอ้คนสองใจ แต่มันก็ไม่หยี่ระ คอยปกป้องพวกผมอยู่เหมือนเดิม พยายามทำดีกับเกลือมากหน่อยเพราะอยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าชอบ


เพียงแต่เกลือไม่ได้ชอบมัน เกลือชอบผม และผมเพิ่งรู้หลังจากทราบข่าวว่าเกลือจากไปแล้ว แบงค์บอกผมตรงๆ ตามนิสัยของมัน และบอกว่าจะไม่หยุดตามหาเกลือจนกว่าจะเห็นศพหรือเถ้ากระดูก ผมเองก็ไม่กล้าพูดห้ามอะไร เพราะใจหนึ่งก็ยังหวังว่าเพื่อนรักจะยังอยู่ แต่เวลาผ่านไปนานเข้า เราทั้งคู่ก็จำเป็นต้องยอมรับความจริงว่าเกลือจากเราไปแล้วจริงๆ


“ชื่อมึงอะ” แบงค์สะกิดผมให้ขึ้นไปรับรางวัลบนเวที ผมรับรางวัลพลางกวาดตามองไปรอบๆ เผื่อจะเจอร่างสูงหลบอยู่มุมใดมุมหนึ่งจนกระทั่งสตาฟเชิญลงนั่นแหละ ผมถึงต้องลงจากเวที


“ไงมึง ได้เงินเท่าไหร่วะ” แบงค์หยิบซองเงินจากมือผมไปเปิดดูทันที “โห่ ห้าร้อย แดกบิงซูได้ถ้วยเดียวเองมั้งเนี่ย” มันบ่นแล้วส่งซองคืนผม


“เงินกูด้วย” ถ้าตาไม่ไวพอนี่โดนปล้นแล้วครับ ไอ้เพื่อนเวร


“เดี๋ยวกูจ่ายไง มึงไม่ต้องถือเงินหรอก เซ่อๆ อย่างมึงเดี๋ยวโดนปล้นกูก็อดแดกพอดี”


“ใครบอกว่ากูจะเลี้ยงมึง เอามานี่” ผมดึงแบงค์ห้าร้อยกลับมาใส่ซอง “เผลอไม่ได้เลยนะมึง”


“ได้รางวัลทั้งทีก็เลี้ยงเพื่อนหน่อยดิวะ อย่างก”


“เพื่อนรวยๆ อย่างมึงทำไมกูต้องเลี้ยง เอาเสื้อมึงไปขายทอดตลาดส่งกูเรียนได้จบเอกเลยด้วยซ้ำ”


“อย่าคิดจะมาแหยมกับเสื้อกูนะไอ้พู!” แบงค์กอดอกตัวเองแน่น กูคงจะแย่งเสื้อจากตัวมึงหรอกนะ เฮ้อ มีเพื่อนเสียสติบางทีก็เหนื่อยแฮะ


“เอาล่ะครับ มาถึงรางวัลที่ทุกคนรอคอย” ป่านนี้ยังเหลือของใครให้ลุ้นอีกเหรอครับ ผมมองเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่มองหน้ากันอย่างงงๆ เพราะพวกเราได้รางวัลกันครบทุกคนแล้ว คนจะเป็นเด็กจากโรงเรียนอื่นล่ะมั้ง


“ขอบอกว่าภาพนี้ที่ชนะเลิศไม่ใช่เพราะเทคนิคการวาดเพียงอย่างเดียว แต่เพราะความละเอียดในการตีความหัวข้อธรรมชาติด้วยครับ”


“เท่าที่ดูก็วาดต้นไม้ใบหญ้ากันหมดนี่ มีอะไรต้องตีความอีกเหรอวะ” แบงค์ถาม


“กูจะไปรู้ไหมล่ะ รอเขาโชว์ภาพก่อนดิเดี๋ยวกูสาธยายให้คนหัวใจไร้ศิลปะอย่างมึงเข้าใจเอง”


“ได้ทีกัดกูตลอด ก็แค่วาดรูปปะวะ”


“มันมีอะไรมากกว่าที่มึงคิดเยอะ”


“เออ...กูก็ว่างั้น” แบงค์จ้องไปทางหน้าเวทีด้วยแววตาอึ้งๆ ก่อนจะเบนสายตามามองผมที่นั่งหันหน้าเข้าหามัน


“มีอะไรวะ”


แบงค์ไม่ตอบแต่กลับชี้ไปทางหน้าเวทีให้ผมมองตาม ภาพที่ปรากฏอยู่ในมือของพิธีกรคือภาพของผมที่กำลังนั่งวาดภาพด้วยรอยยิ้มเล็กๆ อย่างเป็นธรรมชาติและดูมีความสุข


“ภาพเชี่ยอะไรดูดีกว่าตัวจริงอีก” แบงค์พึมพำเบาๆ แต่ผมได้ยินจึงทุบหลังมันไปทีแล้วจ้องภาพนั้นด้วยแววตาสนเท่ห์ ว่าใครกันที่วาดภาพนี้ แต่จากมุมที่ผมเห็น มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่พอจะเป็นไปได้


“ภาพของพี่สู้พูไม่ได้หรอก”


จู่ๆ คำพูดและรอยยิ้มนั้นก็ผุดขึ้นมาในความคิด


“นายเจตรินทร์...” เสียงปรบมือดังเกรียวกราว หวังให้เจ้าของภาพขึ้นไปรับรางวัลและบอกเล่าเรื่องราวที่เลือกวาดภาพนี้ เพื่อนหลายคนส่งสายตาล้อๆ มาให้ผมเป็นระยะ บางคนก็มองหากันให้ควักว่าคนที่อยู่ในภาพเป็นใคร


ขณะที่ผมมองหาเพียงเจ้าของภาพวาด ที่ยังคงไร้วี่แววเช่นเคย


พี่เจต...พี่หายไปไหนวะ


“พี่เจตแม่งไม่อยู่จริงๆ ว่ะ กูขึ้นไปเอารางวัลแทนได้ไหม เงินรางวัลไม่ใช้น้อยๆ เลยนะ” แบงค์มองรางวัลล่อใจตาวาว


“แบงค์ กูไม่เล่น” ผมจริงจังมาก การหายไปของพี่เจตไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้ว เขาจงใจหลบหน้าผม หรือตัดใจจากกันไปแล้วกันแน่ ทำไมถึงหายไปโดยไม่บอกอะไรเลย


พรวด


“เดี๋ยวๆ มึงจะไปไหนวะ” แบงค์คว้ามือผมไว้ ก่อนที่ผมจะเดินหนีออกมา


“กูจะไปตามหาพี่เจต”


“มึงจะไปหาเขาที่ไหน”


“ที่บ้านเขาไง” ผมยัดซองเงินรางวัลใส่มือเพื่อนซี้เป็นการไถ่โทษที่ไม่อาจไปกินบิงซูกับมันได้ “กูต้องไปหาเขา ไปหาแดกเองนะ”


“เรื่องนั้นมันไม่สำคัญแล้วว่ะ เดี๋ยวกูไปตามหาพี่เจตเป็นเพื่อนมึงเอง”


“ไม่ต้อง...”


“เงียบปากไปเลย จบงานนี้ค่อยปิดร้านเลี้ยงกู” ไม่เคยเห็นแก่กินเลยนะมึง ผมพยักหน้ารับก่อนที่เราจะรีบออกจากงาน


“พวกมึงจะไปไหนกันวะ” ไอ้เผือกรีบวิ่งมาขวางพวกเราไว้


“กูมีธุระ มึงไปแดกกับไอ้เฟรมละกัน” ผมบอกเพื่อนแล้วรีบลากไอ้แบงค์ให้รีบขึ้นรถเมล์ที่จอดเทียบพอดี


“เดี๋ยวๆ ไอ้พูเดี๋ยว!” ไอ้เผือกทำท่าจะตามมา แต่รถก็แล่นออกมาก่อน


“ไอ้เผือกมันเป็นอะไรวะ ทำไมดูเครียดๆ ตอนเห็นมึงกับกูขึ้นรถเมล์มา”


“กูจะรู้ไหมล่ะ” ผมตอบพลางควักเงินในกระเป๋าจ่ายค่ารถเมล์ เรายืนกันไปตลอดทาง ใจผมก็หวังเพียงว่าพี่เจตจะอยู่บ้าน นั่งกระดิกเท้าดูทีวีรอผมไปง้อ พอถึงแถวบ้านพี่เจตผมก็รีบกดกริ่งแล้วลงไปทันที รีบตรงดิ่งไปยังบ้านหลังเดิมที่ผมคุ้นเคยดี ประตูบ้านปิดสนิทคล้องแม่กุญแจบ่งบอกว่าเจ้าของบ้านยังไม่กลับมา


“มาหาใครจ๊ะหนู” เสียงแหบๆ ของคุณยายข้างบ้านพี่เจตดึงความสนใจของเราไปหาเธอ


“มาหาพี่เจตครับ คุณยายเห็นเขาไหม” ผมถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ แบงค์บีบไหล่ผมเบาๆ เป็นการปลอบใจ


“เอ เห็นออกไปตั้งแต่เช้าแล้วนะ ยังไม่กลับมาเลย”


“เหรอ..ครับ”


พอคุณยายเดินกลับเข้าไปในบ้าน ผมทรุดนั่งบริเวณหน้าบ้านพี่เจตอย่างหมดแรง ไม่รู้แล้วว่าจะไปตามหาเขาที่ไหน รู้สึกเหมือนจะขาดใจเมื่ออีกฝ่ายหายไปแบบนี้ ผมนี่มันแย่ที่สุด มารู้สึกตัวอะไรตอนนี้ ตอนที่ทุกอย่างสายไปหมดแล้ว


“มึง...กูว่าเรากลับกันก่อนดีไหม พรุ่งนี้ค่อยมาก็ได้ พี่เจตมันคงไม่ไปไหนไกลหรอกยังไงที่นี่ก็บ้านเขา เดี๋ยวก็คงกลับมา”


“ถ้าอย่างนั้นกูจะรอเขาที่นี่ ตรงนี้” เหมือนที่เขารอผมมาตลอด


“มึงรอมาสามชั่วโมงแล้วนะ แถวนี้ยุงชุมด้วย กลับกันก่อนเถอะว่ะ พ่อกูโทรตามแล้วเนี่ย”


“มึงกลับไปก่อนเลย กูอยู่ได้”


“ไม่ได้ กูไม่ปล่อยให้มึงอยู่คนเดียวแน่ๆ”


“มึงว่าพี่เจตจะอยู่กับแอลไหมวะ” ผมไม่ตอบรับเพื่อนแต่เลือกที่จะค้นหาที่อยู่ของพี่เจตต่อไป


“ก็อาจจะ แล้วทำไมมึงไม่โทรหาแอล”


“กูลืม” ผมลืมนึกถึงแอลไปสนิท รีบต่อสายหาคนตัวเล็กที่น่าจะยังไม่นอน “แอล พี่เจตอยู่กับแอลไหม”


(หืม ไม่นะ ไม่ได้อยู่กับพูเหรอ เห็นบอกว่าจะไปฟังประกาศผลด้วยกันนี่)


“เปล่าน่ะ พี่เจตไม่ได้มา”


(อ้าว งั้นที่บ้านล่ะ)


“ไม่อยู่เหมือนกัน” ผมเม้มปากแน่น ดวงตาร้อนผ่าวจนต้องกระพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่น้ำตาที่จวนเจียนจะไหลออกมา


“พู กลับกันเถอะว่ะ” แบงค์เร่งผม พลางฉุดลากผมออกไปหน้าซอยด้วยกัน


“กูไม่ไป มึงจะบังคับกูทำเชี่ยอะไร!” ผมตะโกนลั่น ตอนนี้ความรู้สึกมันตีวนไปหมด ไม่รู้จะทำอะไรยังไงดี เหมือนหมดหนทางทั้งที่ยังไม่ทันเริ่มอะไร


“มานี่!” แบงค์ไม่ละความพยายาม มันลากผมแล้วเร่งฝีเท้าจนเรามาถึงรถของพ่อแบงค์ที่จอดเทียบฟุตบาทพอดี แบงค์ยัดผมเข้าไปในรถแล้วตามขึ้นมานั่งข้างกัน “ออกรถเลยพ่อ” สิ้นคำแบงค์ รถคันหรูก็เร่งความเร็วขึ้นทันที


“นี่มันเรื่องอะไรวะ” ผมพูดเสียงลอดไรฟัน ไม่กล้าเสียงดังใส่แบงค์เพราะพ่อของมันอยู่ด้วย


“กูก็ไม่รู้หรอก กูเห็นคนท่าทางแปลกๆ เดินผ่านไปผ่านมาหลายรอบ พอสบโอกาสที่มันเดินเข้าไปในซอย กูก็รีบพามึงออกมานี่แหละ”


“คิดมากไปเปล่าวะ”


“ไม่รู้แหละ สัญชาตญาณกูบอก แถมพวกมันยังจ้องมึงด้วย ดูไม่น่าไว้ใจเลย”


“ตกลงเอาไง จะให้พ่อไปส่งพูที่บ้านเลยไหม”


“ไม่เอาอะพ่อ วันนี้ผมจะให้ไอ้ถั่วไปนอนบ้านเรา” เห้ย มึงด่วนตัดสินใจอะไรไม่ปรึกษากูเลยเหรอ


“วันนี้กูจะนอนบ้าน พ่อครับ เลี้ยวซอยหน้าเลยครับ”


“พู นี่กูห่วงมึงนะ” แบงค์พูดเสียงจริงจัง “พ่อกับแม่มึงก็ไม่อยู่ ไม่มีใครปกป้องมึงได้เลย”


“แบงค์ กูโตแล้วนะโว้ย แล้วกูก็เป็นผู้ชายด้วย กูดูแลตัวเองได้” แบงค์มันฮึดฮัดนิดๆ แต่เพราะผมเองก็ไม่ยอมมันก็เลยทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยให้ผมอยู่บ้านตัวเอง เพราะเดี๋ยวมันต้องเดินทางไปต่างจังหวัดพรุ่งนี้ตอนเช้ามืดกับครอบครัว จะให้พวกเขาถ่อมารับมันที่บ้านผมทั้งที่อยู่คนละฟากก็ดูจะเกินไป ผมเลยไล่ให้มันกลับไปนอนบ้าน


“ผมไม่ไปได้ปะพ่อ นี่ห่วงพูมันจริงๆ นะ”


“แกแค่ไม่อยากเจอญาติฝั่งโน่นเลยหาข้ออ้างมากกว่า ยังไงก็ต้องไป เขาแต่งงานทั้งทีก็ต้องไปช่วยงานเขาสิ” พ่อแบงค์พูดอย่างมีเหตุผล สุดท้ายแบงค์ก็ต้องยอมไปแต่ไม่วายกำชับให้ผมรับโทรศัพท์มัน และถ้ามีปัญหาไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ก็ต้องโทรหามันทันที


“นึกว่าได้พ่อคนที่สอง” ผมส่ายหัวนิดๆ แล้วเปิดประตูเข้าบ้านไปด้วยความเหนื่อยล้า พรุ่งนี้ผมจะรีบไปหาพี่เจตแต่เช้า แม้เขาจะไม่อยากเจอหน้า แต่ผมก็จะตื้อจนกว่าเขาจะใจอ่อน ไม่เอาแล้ว ผมไม่อยากรู้สึกแบบนี้อีก หลีกหนีหัวใจตัวเองไม่สนุกเลยสักนิด


ผมเปิดคอมพิวเตอร์ทิ้งไว้แล้วเข้าไปอาบน้ำ เรียบร้อยแล้วก็เข้าเฟซพี่เจต อ่านข้อความที่เราคุยกันบนไทม์ไลน์ รวมถึงในแชท ผมคิดถึงช่วงเวลาที่เราได้อยู่ใกล้ๆ กัน มือก็พยายามกดโทรออกจนกว่าอีกฝ่ายจะเปิดเครื่องและรับรู้ว่าผมอยากคุยกับเขามากแค่ไหน


พรึ่บ


ไฟดับสนิททั้งบ้าน ถ้าไม่ติดว่าพ่อกับแม่ไม่อยู่ผมคงคิดว่าพวกเขาเซอร์ไพร์ซวันเกิดผมแน่ๆ ตอนนี้เพิ่งเลยเที่ยงคืนมาหนึ่งนาที เข้าสู่วันเกิดของผมแล้ว วันเกิดที่ดูจะเศร้าหมองยังไงไม่รู้แฮะ


พรึ่บ


แสงจากหน้าจอคอมดึงความสนใจจากผมได้ดี


“พู” ภาพเคลื่อนไหวและใบหน้าเปื้อนยิ้มของเพื่อนสนิทที่จากไปฉายอยู่บนหน้าจอ ผมรู้สึกหลอนนิดๆ แต่เพราะเชื่อว่านี่ไม่ใช่เรื่องสยองขวัญจึงนั่งฟังคำอวยพรจากเพื่อนประมาณสิบนาทีได้


“วันเกิดมึงปีนี้ ถ้ามึงเห็นคลิปนี้แสดงว่ากูไม่อยู่แล้วนะ” เกลือพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ หมายความว่ายังไง...


หรือว่าเกลือ...รู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย


“ที่กูอัดคลิปแล้วส่งให้มึง กูมีเหตุผลนะ คือ...กูจำเป็นต้องฝากอะไรมึงเรื่องหนึ่ง เพราะกูไว้ใจมึงที่สุด และกูเชื่อว่ามึงจะนำสิ่งที่กูพูดไปบอกคนคนหนึ่ง” เกลือเงียบไปนิดแล้วจ้องมาที่ผม “รหัสคือ...” รหัสอะไรวะ ผมขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ


“มึงไม่จำเป็นต้องรู้ว่าใช้ทำอะไร เพราะมันอันตรายเกินไป แต่เมื่อไหร่ที่คนชื่อชูการ์มาหามึง แค่บอกเขาไป ที่เหลือเขาจะจัดการเอง”


ชูการ์ ทำไมชื่อนี้มันคุ้นๆ วะ


“ฟู่ ยากเหมือนกันแฮะ กูหวังแค่ว่าคลิปนี้จะไม่ส่งถึงมึงนะ เพราะกูอยากพูดต่อหน้ามันด้วยตัวเอง” เกลือเม้มปาก


“แต่ถ้ามันไม่มีวันนั้น กูก็ขอพูดเลยละกัน” เกลือส่งยิ้มให้ผม “กูไม่ได้ชอบมึงพู กูชอบไอ้แบงค์ หลอกให้มันเข้าใจไปอย่างนั้นเพราะรู้ว่ามึงไม่เคยคิดกับกูในแง่นั้น และกูก็ไม่อยากให้มันเจ็บถ้ารู้ว่าสักวันกูต้องจากไป...ให้กูเป็นความทรงจำดีๆ เป็นเพื่อนของพวกมึงสองคนก็พอแล้ว...”


คลิปหยุดอยู่แค่นั้นก่อนจะเริ่มต้นลบตัวเองอย่างรวดเร็ว


“เดี๋ยว...อย่าเพิ่ง” ผมกดแป้นคีย์บอร์ดหวังให้ตัวเองสามารถหยุดการลบคลิปนั้น แต่ไม่ทันเพราะมันถูกลบไปแล้วและหน้าจอก็กลับเข้าสู่ภาวะปกติ เหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความฝัน


อย่างน้อย...ก็น่าจะให้กูได้บันทึกข้อความที่มึงฝากให้แบงค์ไว้ก็ยังดี


ผมเอนตัวพิงเก้าอี้อย่างเหนื่อยอ่อน รู้สึกตัวเองไร้ประโยชน์ไปหมด จะทำอะไรก็ดูชักช้าไม่ทันการณ์สักอย่าง


“ฮึก” ผมกลั้นสะอื้นได้ไม่นานก็ปล่อยโฮออกมา “ฮือ”


แกรกๆ


ผมชะงักและหยุดร้องเมื่อได้ยินเสียงไขประตูห้อง รีบกวาดตาหาอาวุธพอเหมาะมือ และกดต่อสายหาไอ้แบงค์ทันที


แอด


ร่างทะมึนเดินเข้ามาช้าๆ แต่หนวดเคราหร็อมแหร็มไม่อาจปิดบังใบหน้าคุ้นเคยที่ผมจำได้ดี ดวงตาอ่อนโยนทอดมองมาเช่นเดียวกับรอยยิ้มบางและแขนสองข้างที่อ้ารอการตอบรับ ผมทิ้งทุกอย่าง แม้แต่ปลายสายที่ส่งเสียงโวยวายเพราะโทรไปกวนเวลานอนมัน ผมก็ปล่อยทิ้งไว้แล้วโผเข้าหาคนที่ผมคิดถึงอยู่ตลอด


“พี่ลัน!” ผมกอดพี่ชายแน่นด้วยความคิดถึง ร้องไห้โฮเหมือนเด็กๆ พี่ลันเองก็กอดผมแน่นเหมือนกัน เรากอดกันอยู่อย่างนั้นเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่ไม่ได้เจอกันนาน






TBC.










⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀
บทนี้หลากหลายอารมณ์ 555 ตอนท้ายเลยยกให้พี่น้องคู่นี้เขาซะเลย

ส่วนเบื้องลึกเบื้องหลังของเรื่องนี้จะเริ่มเฉลยกันในตอนหน้าจ้า (ไหนเอ็งบอกว่าใสใส 5555 เราไม่อาจอยู่ได้โดยไม่มีเงื่อนงำ ขอนิดๆ หน่อยๆ ละกันโน๊ะ) ส่วนใครที่สงสัยว่าพี่เจตหายไปไหน รอตอนหน้านะคะ เดี๋ยวเขามาเล่าให้ฟัง

ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์ค่ะ ดีใจที่ยังมีคนอ่าน  :mew1:



ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
สงสารเกลือ สงสารแบงค์ สงสารพี่เจต ไม่สงสารพูเหรอกก ชิชิชิ

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
โอ๊ยยยย ใจไม่ดีเลย ทำไมเจตหายไป ไปเตรียมของเซอร์ไพรส์วันเกิดถั่วน้องหรอ

พูน่ารักอะ งอแงเป็นเด็กน้อยเลย แต่ห่วงชาวบ้านไปเรื่อย แต่ไม่ห่วงคนใกล้ตัว ถ้าเจอเจตแล้วก็รีบบอกเลยนะ
พูโดนแบงค์ด่าแน่

แล้วเกลือเป็นใคร ไปไหน ตายจริงหรอ แล้วรู้จักกับซูการ์ได้ไง

ลันแฮคคอมน้องหรอ แต่ก็ยังดี โผล่มาตอนน้องเศร้าพอดีเลย รุมเร้ามาก
ลันลึกลับไปอีกค่ะ อยากรู้แล้วว่าเป็นใคร ทำอะไรอยู่

ออฟไลน์ MSeraph

  • This too shall pass
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1753
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-3
สงสารแบงค์กับเกลือ
แต่เกลือตายจริงๆหรอ ไม่มีหลักฐานยืนยันซักอย่าง
พี่เจตหายไปไหน ทำไมพี่ลันโผล่มาจังหวะพอดีขนาดนี้อะ

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
รออ่านตอนตามหาพี่เจต จะเป็นไงต่อไป

ออฟไลน์ peettato

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ละคลิปมันเปิดเองได้ไงอะ ไฟดับ ละไฟก้ติด ละคลิปก้เปิด งื้อออ กลัว o22

ออฟไลน์ janeta

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 155
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-2
บทที่ 26.1
เหตุเกิดเพราะ...ความลับ




[เจต]


ตอนนี้เจ้าเด็กบ้าของผมคงกำลังเคร่งเครียดอยู่ในห้องสอบ วิชานี้เห็นบ่นอยู่ตลอดว่าทำไม่ได้เลย แต่ผมก็หวังว่าที่ติวเข้มไปเมื่อหลายวันก่อนจะช่วยให้เขาทำได้หลายข้อ


“ฟ้าชอบพี่เจตค่ะ!”


ผมหันหน้ากลับมามองเด็กสาวที่ก้มหน้าก้มตาสารภาพรัก


อืม ก็รู้มานานแล้วล่ะว่าน้องฟ้ามีใจให้ แต่ก็ไม่เคยแสดงออกว่าชอบเธอเลยสักครั้ง ผมชัดเจนกับพูเสมอ ใครๆ ก็มองออก มีแต่เจ้าตัวเท่านั้นแหละที่ซื่อบื้อ ต้องให้บอกตรงๆ ถึงจะรับรู้ความในใจ และแม้ตอนนี้จะรับรู้แล้ว ผมก็ยังไม่มั่นใจว่าพูจะคิดเหมือนกัน ต่างกับใครหลายคนที่พยายามทอดสะพานมาหาผมอยู่ตลอด


อ้อ เธอไม่ใช่คนแรกที่เรียกผมมาสารภาพรักหรอกครับ ก่อนหน้านี้ก็มีมาสองสามคน ผมก็ได้เลี่ยงนัดเวลาที่จะได้อยู่กับพู เสียสละแค่ช่วงเวลาตอนไปเข้าห้องน้ำเพื่อให้พวกเธอได้พูดบอก แล้วก็เอ่ยปฏิเสธเช่นเคย กับน้องฟ้าก็คงไม่ต่างกัน


“แต่พี่ชอบพู” สั้นๆ ง่ายๆ เช่นเคย น้องฟ้าพยักหน้ารับนิดๆ แล้วส่งยิ้มบาง


“ขอบคุณที่บอกกันตรงๆ ค่ะ จะว่าไป...พูก็น่ารักนะคะ”


“มาก” ผมตอบเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนลง “ใครไม่ชอบพูก็โง่เต็มทน ทุกวันนี้พี่ต้องคอยขวางคนที่จ้องจะงาบเขาทุกวัน” คิดแล้วก็เศร้าใจ เจ้าตัวไม่เคยมารับรู้ด้วยเลยว่ามีใครหมายปองเขาอยู่บ้าง ผมต้องคอยกันพวกมันให้ออกห่างจากพู ได้ยินว่าใครคิดจะสารภาพรักทีไรเป็นต้องหาเรื่องไปขวางทุกที


เพราะพูน่ะ มีเสน่ห์ทั้งกับเพศหญิงและเพศชาย พวกผู้หญิงน่ะ แค่เข้าไปใกล้ พูดจาหวานๆ พวกเธอก็เปลี่ยนใจมาชอบผมกันหมดแล้ว แต่พวกผู้ชายนี่สิ บางคนก็เนียนเป็นเพื่อนแล้วคอยเข้าหาพูอยู่ตลอด ยังดีที่แบงค์เพื่อนพูไม่ปล่อยผ่านเลยช่วยกันๆ ไว้ได้ ส่วนบางคนที่จ้องจะจู่โจมตอนเข้าแถวหน้าเสาธง ผมก็ตีเนียนไปทำทีดุเรื่องเสื้อออกนอกกางเกงบ้าง ใส่รองเท้าเหยียบส้นบ้าง แต่เพราะพวกนี้ทำผิดจนเป็นนิสัย ผมก็เลยหาเรื่องให้มันหยุดลวนลามพูด้วยสายตา


แจ้บอกว่าผมเป็นบ้าที่คิดอะไรไร้สาระแบบนั้น ทั้งๆ ที่พวกนั้นอาจจะไม่ได้คิดอะไรเลยก็ได้ ผมแค่คิดมากไปเอง


ก็นะ...ผมหวงคนของผมนี่


“แล้วนี่...พี่เจตจะอยู่รอพูหรือกลับเลยคะ” น้องฟ้าถามต่อ


“พี่จะไปฟังประกาศผลประกวดน่ะ ก็คงจะไปพร้อมพู” เลิกสอบเมื่อไหร่จะฟัดจูบให้หนำใจเลย กล้าดียังไงมาทำให้ผมเสียใจ


สายตาที่มอบให้พูก่อนจากกันนั้นมาจากใจจริงของผม และตอนนี้พูคงเอาแต่กังวลอยู่แน่ๆ แต่จะห้ามตัวเองก็ไม่ทันแล้ว ผมเสียใจที่เขาเลือกผลักไสผมไปง่ายๆ


“งั้นเดี๋ยวพี่ไปก่อนนะ พูคงใกล้สอบเสร็จแล้ว” ผมบอกลาน้องฟ้าแล้วเดินจากมา


เดินออกมาได้ไม่นาน เสียงเรียกเข้าก็ดังอยู่สักพักก่อนสายจะตัดไป ผมควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋าแล้วกดรับเมื่อเบอร์คุ้นเคยแสดงบนหน้าจอ


(คุณเจต...)


“ครับ คุณพร” ผมเอ่ยทักแม่เลี้ยงพลางมองสีหน้าเพื่อนร่วมห้องของพูที่ทยอยลงมาจากอาคาร เด็กพวกนั้นเอาแต่บ่นว่าทำไม่ได้ คิดว่าพูของผมก็คงบ่นไม่ต่างกัน


อยากเจอหน้าแล้วสิ


(จะไม่มาเยี่ยมคุณพ่อเหรอคะ) วินาทีที่สดใสก่อนหน้ากำลังดิ่งลงอย่างรวดเร็ว


“ว่างๆ จะแวะไปครับ” แม้จะพอมีเวลาว่างอยู่บ้าง แต่กลับไม่คิดจะไปจะไปหาใครคนนั้น


ผมคงเป็นลูกทรพีสินะ


(คุณพิศิษฐ์ไม่เหลือใครแล้วนะคะคุณเจต...) น้ำเสียงแฝงแววกังวลจากปลายสายทำให้ผมเอ่ยถามออกไป


“ก็ยังมีคุณพรกับลูกๆ...”


(พรกำลังจะแต่งงานค่ะ)


“ห้ะ” เดี๋ยวนะ นี่มันเรื่องอะไร ใครแต่งงานกับใคร อะไร? นี่ผมงงไปหมดแล้ว “อะไรนะครับ ผมไม่เข้าใจ”


(มันถึงเวลาที่พรจะต้องบอกความจริงกับคุณเจตแล้วค่ะ ช่วยมาหาพรที่...) เธอนัดผมไปยังร้านกาแฟใกล้โรงพยาบาลที่พ่อรักษาตัว ผมจึงตอบตกลงทันที หันมองเพื่อนพูที่เดินผ่านมาทางนี้แล้วสะกิดเรียก


“นี่ นายน่ะ” เขาชี้นิ้วเข้าหาตัวเองแล้วเดินมาหาผม “ฝากบอกพูว่าพี่มีธุระ เดี๋ยวจะโทรหา” เด็กคนนั้นดูมึนๆ คงยังงงงวยกับข้อสอบไม่เลิก พอเห็นเขาพยักหน้ารับแล้วเดินไปอีกทางผมก็ได้แต่ส่ายหน้าด้วยความกังวล


ก็ไม่รู้หรอกครับว่าจะฝากข้อความไปถึงพูไหม แต่ผมต้องรู้เรื่องของพ่อให้เร็วที่สุด
.
.
.
.
.
“นั่งก่อนค่ะ” คุณพรยกมือเรียกพนักงานมารับออเดอร์ ซึ่งเธอก็ร่ายยาวเมนูหลายอย่างก่อนจะส่งยิ้มบางมาให้ผม


“คิ้วขมวดไปก็ไม่ช่วยให้รู้เร็วขึ้นหรอกค่ะคุณเจต ทานอาหารกันก่อนดีกว่า ให้พรได้เลี้ยงข้าวคุณสักมื้อก็ยังดี”


ผมถอนหายใจ รู้ดีว่าคาดคั้นไปเธอก็คงไม่ยอมบอก จึงยอมกินอาหารไปตามคำชวน กินเสร็จผมก็นั่งกอดอก รอเธอทานอาหารเรียบร้อยแล้วเข้าประเด็นทันที


“ที่บอกว่าคุณจะแต่งงาน หมายความว่าไง” ถึงจะห่างกับพ่อมานาน แต่ผมยังห่วงพ่ออยู่เสมอ และผมยอมไม่ได้ถ้ามีใครมาทำให้พ่อต้องเสียใจ


แค่เพราะผมก็มากเกินพอแล้ว


“ใจเย็นๆ สิคะ” คุณพรยิ้ม “ที่ปิดไว้นานขนาดนี้ก็เพราะพ่อคุณขอไว้ ใจจริงพรอยากจะบอกคุณเจตตั้งแต่วันที่คุณช่วยลูกสาวของพร เห็นคุณไม่ได้อคติกับเด็กไร้เดียงสา พรก็อยากช่วยปรับความเข้าใจให้คุณทั้งสองเร็วๆ เพียงแต่คุณพิศิษฐ์น่ะทิฐิเยอะเกินไป คุณเจตก็ดื้อ เลยดูเหมือนไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยนแปลงเท่าไรนัก ยิ่งเกิดเหตุการณ์วันนั้นอีก...” วันที่พูป่วยสินะ


“เข้าเรื่องเถอะครับ” ผมอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่


“โอเคค่ะๆ” เธอหัวเราะนิดๆ เมื่อเห็นว่าผมเริ่มอารมณ์ไม่ดี “พรกับคุณพิศิษฐ์ เราไม่ได้รักกัน ไม่เคยคบกันในแง่นั้น แต่ที่ต้องอยู่ด้วยกันก็เพราะความจำเป็น...”


“...”


“ช่วงที่เข้ามาทำงานกับคุณพิศิษฐ์แรกๆ พรท้องค่ะ ท้องกับคนที่พรรัก เพียงแต่เขาจากไปกะทันหันก่อนที่ใครจะรู้ว่าเราคบกัน ครอบครัวของฝ่ายนั้นก็ไม่เชื่อว่าลูกของพรเป็นหลานเขา พ่อแม่พรก็เสียกันไปก่อนหน้านี้แล้ว พรไร้ที่พึ่ง เคยคิดจะฆ่าตัวตายแต่คุณพิศิษฐ์เข้ามาช่วยไว้ มาขอรับเป็นพ่อของลูกในท้องพร ทั้งๆ ที่เขาก็เพิ่งเสียภรรยาไป พรรู้ว่าเห็นแก่ตัวที่ยึดพ่อของคุณไว้เป็นที่พึ่งมาตลอดหลายปี ใช้พ่อของคุณกลบเสียงนินทาว่าร้าย และปล่อยให้เขากลายเป็นคนชั่วที่มีคนใหม่ทันทีที่ภรรยาจากไป พรขอโทษนะคะ...” เธอปาดน้ำตาก่อนจะพูดต่อ “ขอโทษที่ทำให้พ่อของคุณต้องกลายเป็นคนเลวในสายตาคนอื่น”


“แล้ว...คุณกับพ่อ ไม่ได้รักกันเลยเหรอ...” อยู่ด้วยกันมาตั้งหลายปี จะไม่มีแม้แต่เสี้ยวใจมอบให้กันเลยเหรอ


“ไม่เลยค่ะ แม้พรจะคิดว่าเราอยู่ด้วยกันอาจจะชอบกันบ้าง แต่คุณพิศิษฐ์ไม่เคยลืมภรรยาได้เลยสักวัน” เธอมองผมแล้วยิ้มให้ “คุณพิศิษฐ์รักแม่ของคุณมากนะคะ และก็รักคุณมากด้วย เขากลัวว่าคุณจะถูกสังคมรังเกียจถึงได้พยายามเปลี่ยนใจคุณ และเพราะห่วงคุณมากถึงได้แย้งหัวชนฝาแบบนั้น ความจริงแล้วเขาไม่เคยอคติกับรักร่วมเพศหรอกค่ะ”


“พ่อไม่เคยบอก...” ไม่เคยบอกผมเลยสักครั้ง แสดงแต่ท่าทีรังเกียจอย่างนั้นผมก็ตีความเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้


“เจอหน้ากันก็เอาแต่เงียบใส่ทั้งคู่น่ะสิคะ ถึงได้ไม่เคยคุยกันจริงจังสักที” เธอเอื้อมมือมากุมมือผมไว้ “พรขอร้องค่ะคุณเจต ตอนนี้เขาเหลือเพียงแค่คุณนะคะ พรกับลูกๆ เอง ก็กำลังจะมีครอบครัวใหม่ ที่นี่ ตอนนี้ ไม่มีใครอยู่เคียงข้างคุณพิศิษฐ์เลย จ้างพยาบาลพิเศษให้เขาก็ไม่เอาท่าเดียว มีแต่คำอวยพรที่มอบให้พรกับลูกๆ มีความสุข พ่อของคุณเป็นคนดีเสมอเลยนะคะ” เธอยิ้มให้ก่อนจะขอตัวออกไปเพราะมีนัดกับว่าทีสามีของเธอ


ผมเพิ่งรู้ว่าเธอกำลังจะเดินทางไปจัดงานแต่งที่ต่างจังหวัด และเพราะอย่างนั้นจึงไม่มีใครดูแลพ่อ เธอจึงเลือกที่จะบอกความลับที่พ่อซ่อนไว้ก่อนเธอจะไป



.................................



ประตูห้องพิเศษส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด แต่ไม่รบกวนคนที่หลับใหลอยู่บนเตียง ผมปิดประตูลงเงียบๆ แล้วนั่งลงข้างเตียงพ่อ มองใบหน้าซีดเซียว รวมถึงรอยย่นบนใบหน้าที่มากขึ้นจนผมไม่ทันสังเกต นานเหลือเกินที่พ่อไม่ได้หนุ่มแน่นถึงขนาดโยนผมโบยบินในอากาศได้อีกแล้ว


“ปิดปังกันได้นะพ่อ” ผมเอ่ยเสียงเบา “จะเป็นคนเลวในสายตาผมไปถึงไหน แค่พูดความจริงมันยากนักเหรอ” รู้ว่าพ่อไม่ตอบ แต่ผมก็ยังคงถาม


“ผมไม่ใช่คนในครอบครัวพ่อ ไม่ใช่ลูกของพ่อหรือยังไง เรื่องแบบนี้ทำไมต้องแบกรับอยู่คนเดียว บอกผมสิ อย่างน้อยก็บอกผมบ้าง ทำไมต้องทำให้ผมเป็นคนโง่ที่ก่นด่าพ่อตัวเองมาตั้งหลายปี...” ผมสูดน้ำมูก กระพริบตาถี่ไล่น้ำตาที่เอ่อล้น แล้วมองพ่อที่ยังคงหลับอยู่ “ให้ผมจมอยู่กับความรู้สึกแย่ ที่เป็นอย่างที่พ่อต้องการไม่ได้” ผมเอื้อมไปจับมือของพ่อมาแนบแก้ม


“เราเลิกโกรธกันได้ไหม ผมไม่เป็นไรหรอกนะ ไม่เคยสนว่าใครจะมองยังไงอยู่แล้ว แค่พ่อไม่ได้รังเกียจที่ผมเป็นแบบนี้...เท่านั้นก็พอแล้ว ผมไม่ได้ต้องการอย่างอื่น ทรัพย์สมบัติของพ่อผมก็ไม่ต้องการ แค่พ่อเข้าใจผม ให้โอกาสผมได้พิสูจน์ว่าความรักของผมไม่ได้เลวร้าย และมันไม่ได้ต่างจากที่พ่อรักแม่เลย ผมขอแค่นั้น พ่อให้ผมได้ไหม”


ผมหลับตาลง ซึมซับความเจ็บปวดที่อัดอั้นมาหลายปี มืออุ่นของพ่อยังคงเหมือนวันวานที่ลูบหัวลูบหน้าผม ยังคิดถึงช่วงเวลาที่เราได้หัวเราะและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เป็นครอบครัวที่ใครๆ ก็อิจฉา แต่เพราะความสูญเสียที่เข้ามากะทันหันและความเข้าใจไม่ตรงกันของเรา ทุกอย่างถึงได้แย่ลงแบบนี้


“พ่อต่างหากที่ต้องขอโอกาสจากลูก” เสียงแหบแห้งเอ่ยขึ้น ผมมองผ่านม่านน้ำตาและเห็นว่าพ่อก็ร้องไห้ไม่ต่างกัน “พ่อขอโทษที่หลายปีมานี้เอาแต่ยึดตัวเองเป็นหลัก ไม่เคยถามความเห็นลูกเลย” มือหนายกขึ้นลูบหัวผมแผ่วเบา แต่เท่านั้นก็ทำให้ผมเต็มตื้นในอก น้ำตาไหลรินออกมาจนไม่อาจหยุดได้


“พ่อ...” ผมโผเข้ากอดพ่อแน่น กอดให้สมกับที่อยากกอดแต่ทำไม่ได้ เพราะทิฐิของเราทั้งคู่ หลังจากแม่เสียความใกล้ชิดนี้จึงไม่เคยมีอีกเลย


พ่อลูบหลังผมช้าๆ แล้วหัวเราะออกมา


“ฮะๆ เจ้าเด็กขี้แยเอ้ย” ผมจะยอมให้พ่อล้อวันหนึ่งก็แล้วกัน “เหมือนตอนเด็กๆ ไม่มีผิดเพี้ยนเลย เรากอดกันกลมแบบนี้ตอนที่แม่ของลูกจากไป น้ำหูน้ำตาไหลปนกันมั่ว ใครๆ ก็ว่าลูกพ่อน่าเกลียด”


“ถึงจะน่าเกลียดก็มีคนมาบอกชอบละกัน” ผมเอ่ยอย่างไม่ยอมแพ้ นึกถึงเหตุการณ์วันนั้นที่ยังคงติดตรึงอยู่ในหัวใจ


“บ้ะ หลงตัวเองไม่เปลี่ยนอีกด้วย ฮะๆ” พ่อหัวเราะขณะที่ผมค่อยๆ ผละออกเพราะเกรงว่าพ่อจะหายใจไม่ออก “เชื้อพ่อมันแรงก็อย่างนี้ล่ะ”


“เว่อร์ไปแล้วพ่อ” เราคุยกันเหมือนพ่อลูกที่สนิทกันมาก ทั้งที่เราเพิ่งคุยเล่นกันเป็นครั้งแรกหลังจากผ่านมาหลายปี แต่ทุกอย่างก็ต่อติดราวกับว่า...เราไม่เคยห่างกัน


“ทำไมพ่อถึงไม่บอกเรื่องคุณพร” ผมเอ่ยถามพลางปลอกผลไม้ให้พ่อที่เรียกร้องอยากจะกินทั้งๆ ที่ผมก็ปลอกไม่เป็น นี่ก็คว้านเนื้อทิ้งไปเยอะอยู่เหมือนกัน ถ้าเป็นพูคงปลอกได้ดีกว่า


“พ่อไม่อยากให้ลูกเกลียดพวกเขา”


“แต่ปล่อยให้ผมเกลียดพ่อเนี่ยนะ”


“พ่อรู้ว่าลูกไม่ได้เกลียดพ่อหรอก” พ่อมองผมด้วยสายตารู้ทันจนเริ่มจะร้อนตัวนิดๆ “คุณพรเล่าให้พ่อฟังทุกเรื่อง มีที่พ่อสืบมาอีกถึงได้รู้ว่าลูกไม่ได้อคติกับเธอและเด็กๆ เลย แอบไปเที่ยวเล่นกันไม่ให้พ่อรู้ แล้วก็มาทำตีมึนใส่พ่อเหมือนรังเกียจพวกเขาเสียเต็มประดา” ผมหลับสายตานั้นแล้วอ้อมแอ้มตอบ


“เด็กพวกนั้นบริสุทธิ์ ผมไม่คิดร้ายกับพวกแกหรอก คนเป็นหมอคิดแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด...” ผมชะงักแล้วครุ่นคิดอยู่ในใจก่อนจะเอ่ยปากบอกพ่อไปตามตรง


“ผมอยากเป็นหมอ”


“ก็ไม่มีใครห้ามนี่” พ่อพูดสบายๆ พลางยกตัวขึ้นพิงหัวเตียงโดยมีผมคอยช่วยพยุง “อยากเป็นอะไรก็แล้วแต่ลูกเถอะเจต เรื่องงานพ่อหาคนมาสานต่อได้ แต่สิ่งเดียวที่พ่อหาคนมาแทนไม่ได้ก็คือลูก” พ่อเอื้อมมือมาบีบไหล่ผมเบาๆ


“วินาทีที่พ่อเกือบตายมันทำให้พ่อเข้าใจว่าอะไรสำคัญ แต่พ่อก็รู้สึกผิดต่อลูกเกินกว่าจะขอให้ลูกยกโทษให้”


“ผมให้อภัย” คำที่เคยคิดว่าเอ่ยยาก แต่ตอนนี้กลับพูดได้อย่างง่ายดาย “พ่อเองก็สำคัญสำหรับผม”


“ขอบใจนะ...ที่ยกโทษให้พ่อ”


“ผมต่างหากที่ต้องขอโทษ ความชอบของผมทำให้พ่อต้องกังวลมาตลอดหลายปี” ผมสบตาพ่อด้วยความแน่วแน่ “แต่ยังไงเรื่องนี้ผมก็คงเปลี่ยนให้พ่อไม่ได้” ผมรักพูเกินกว่าจะยอมเลิกรักเขา แม้อีกฝ่ายจะไม่รักตอบก็ไม่เป็นไร


“ไม่ต้องเปลี่ยนหรอก เจตพิสูจน์ให้พ่อเห็นแล้วว่าความรักของลูกไม่ได้ทำให้ชีวิตของลูกแย่ลง กลับกัน พ่อรู้สึกว่าลูกดูสดใสขึ้นมากนะ ตั้งแต่มีเด็กคนนั้นเข้ามาอยู่ด้วย ลูกของพ่อก็ดูเหมือนจะอ่อนโยนมากขึ้น”


“พูเป็นทุกอย่างของผม การได้มีเขาอยู่ในชีวิตเป็นสิ่งที่ทำให้ผมมีความสุข” ผมยิ้มนิดๆ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อจะเปิดรูปคนรักให้พ่อดู แต่หน้าจอกลับดับสนิทเสียอย่างนั้น


“แบตหมดเหรอเจต” พ่อเองก็คงสังเกตเห็นว่าผมกดเปิดเครื่องเท่าไรก็ไม่ยอมติด


“ครับ แต่คงไม่มีเรื่องอะไรหรอก” ผมยัดโทรศัพท์ใส่ในกระเป๋ากางเกง พูดคุยกับพ่อต่ออีกไม่นานก็หมดเวลาเยี่ยม


“ไปก่อนนะพ่อ...พรุ่งนี้จะหอบเสื้อผ้ามาเฝ้า” ตั้งใจไว้แล้วว่าหลังจากนี้จะดูแลพ่อให้มากขึ้น


“โอ้ย ไม่ต้องมาเฝ้าพ่อหรอก พ่ออยู่ได้สบายๆ มีพยาบาลสวยๆ แจ่มๆ มาดูแลตลอดอยู่แล้ว แกมาอยู่ด้วยเดี๋ยวก็แย่งคะแนนความนิยมของพ่อไปหมด”


“หึหึ ยังไงผมก็จะมา”


เราส่งยิ้มให้กันก่อนที่ผมจะหันหลังกลับออกไปด้วยความรู้สึกโล่งไปทั้งใจ มีความสุขจนอยากแบ่งปันให้พูรับรู้


อืม แต่กว่าจะถึงบ้านพู พูก็คงนอนแล้ว ไว้พรุ่งนี้ก็แล้วกัน ไถ่โทษที่วันนี้หายหัวไปทั้งวัน


ผมให้คำตอบตัวเองแล้วโบกรถกลับบ้าน ตั้งหน้าตั้งตาจัดกระเป๋าจนลืมว่าต้องชาร์จแบต แต่เพราะสายตาเหลือบไปเห็นปฏิทินที่มักจะกาวงสีแดงไว้ทุกปีจึงชะงักอยู่กับที่


“ชิบหายวันนี้วันเกิดพู” ผมมองนาฬิกาที่เข็มสั้นเคลื่อนไปหยุดอยู่ที่เลขหนึ่งแล้วถอนหายใจอย่างปลงๆ ไม่เคยทันเป็นคนแรกที่ได้สุขสันต์วันเกิดพูเลย ปรายตามองกล่องของขวัญที่เตรียมไว้หลายปีแต่ไม่เคยให้ก็ได้แต่ถอนหายใจ


ปีนี้อุตส่าห์ได้ใกล้กันก็ยังทำพลาดอีกนะเจต สมควรแล้วที่เขาจะไม่เอามึง


ผมทึ้งหัวตัวเองอย่างหงุดหงิด พรุ่งนี้คงต้องลากน้องชายไปเลือกซื้อของอย่างช่วยไม่ได้


ซื้ออะไรให้พูดีนะ


เอาตัวเองผูกริบบิ้นเลยได้ไหม...








TBC.









⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀
ครึ่งแรกค่ะ เอาพี่เจตมาเสิร์ฟก่อน ครึ่งหลังเป็นของถั่วพี่ รายนั้นความลับเยอะเกิ้น 55555

ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์ค่ะ น่าร้ากกกกกกกทุกคนเลย ขอบคุณที่ติดตามนะคะ :กอด1:


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด