บทที่ 25
เหตุเกิดเพราะ...หายไป
ผมสงบใจไม่ได้เลย เอาแต่คิดถึงคนที่เดินหันหลังจากไปเมื่อครู่ ผ่านไปเกือบสามสิบนาทีนั่นล่ะถึงจะตั้งสมาธิแล้วเริ่มทำข้อสอบ ปลอบใจตัวเองว่าคงไม่มีอะไร ตอนนี้คงต้องเอาตัวเองให้รอดก่อน
“ส่งข้อสอบค่ะ”
เสียงเล็กๆ ของฟ้าดึงสติผมออกจากข้อสอบได้ทันที เธอยื่นข้อสอบและกระดาษคำตอบให้ครูที่นั่งอยู่ข้างผมพลางยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี ไม่รู้ว่าเป็นเพราะทำโจทย์ได้หรือเพราะกำลังจะได้สารภาพรักคนที่เธอชอบ
จู่ๆ ผมก็รู้สึกแย่ขึ้นมา มองตามฟ้าที่เดินออกจากห้องไปจนครูดุ จึงต้องหันกลับมาทำข้อสอบอย่างเสียไม่ได้ แต่ในความรู้สึกกังวลก็ทำให้ผมหาคำตอบได้เร็วขึ้น รีบทำ เพื่อจะได้ไปแอบดูว่าสองคนนั้นคุยอะไรกัน แม้จะดูไร้มารยาทแต่ผมก็ไม่อยากต้องเครียดอยู่คนเดียว ผมอยากรู้ว่าพี่เจตจะทำยังไง จะบอกปัดฟ้า หรือตกลงใจเพื่อประชดผม
“เสร็จแล้วครับ” ทันทีที่ตอบข้อสุดท้ายเสร็จผมก็รีบส่งกระดาษคำตอบและข้อสอบให้ครู ก่อนจะคว้ากระเป๋าแล้ววิ่งพรวดไปยังที่หมายทันที ระหว่างทางก็เอาแต่หวังว่าทุกอย่างจะยังไม่สายเกินไป
พอถึงสวนหย่อมหลังโรงเรียน ผมก็หันมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นใครอยู่ในบริเวณนั้นเลย หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาพี่เจตแต่อีกฝ่ายก็ไม่รับสายผม พอโทรย้ำซ้ำๆ สายก็ถูกตัดไปพร้อมกับประโยคที่ว่า
‘หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้’เขาปิดเครื่องหนีผมไปแล้ว
“อ้าวพู”
“ฟ้า” ผมรีบเดินเข้าไปหาเธอพลางมองไปรอบๆ เพื่อหาร่างสูงที่อาจจะอยู่ใกล้ๆ “พี่เจตล่ะ”
“เอ่อ ไม่ได้อยู่กับพูเหรอ” หมายความว่าไง “ก็...พอเราสารภาพให้เขาฟัง พี่เจตก็บอกว่าเขาตอบรับความรู้สึกเราไม่ได้เพราะเขาชอบคนอื่น จากนั้นเขาก็ขอตัวออกไป ไม่ได้ไปหาพูเหรอ”
“เปล่า...” แล้วพี่หายไปไหน
“ไปที่งานประกาศผลหรือเปล่าพู บางทีพี่เจตอาจจะอยู่ที่นั่นก็ได้นะ”
“นั่นสิ ขอบใจนะฟ้า แล้วก็...ขอโทษด้วย” ผมเอ่ยอย่างรู้สึกผิดที่ทำให้เธอต้องเสียใจ แต่ผมก็ไม่อาจเสียสละเพื่อเธอได้เพราะผมเองก็ชอบพี่เจตเหมือนกัน
“ฮื่อ ไม่เป็นไรหรอก เรื่องความรักน่ะ มันก็ต้องมีสมหวังบ้างผิดหวังบ้างเป็นธรรมดา เราเองก็อยากขอบคุณพี่เจตที่ไม่เคยให้ความหวังเราเลย มีแต่เราที่คิดเองเออเองไปไกล คิดว่าสักวันคงได้อยู่ในใจเขา แต่ก็นะ เขาชัดเจนกับพูขนาดนี้ เราเข้าไปแทรกไม่ไหวหรอก” ฟ้ายิ้มให้ผมนิดๆ “เราน่ะอิจฉาพูมากเลย ใครๆ ก็ชอบพู พูน่ะเป็นที่รักของทุกคน พี่เจตยังพูดติดตลกอยู่เลยนะว่าถ้าเขาไม่ชอบพูเขาก็โง่เต็มทน คนอื่นจ้องจะงาบพูจนเขาจะเป็นบ้าล่ะ ฮะๆ คิดไม่ถึงนะว่าพี่เจตจะมีมุมนี้ ดูท่าจะชอบพูมากเลย”
“เอ่อ พี่เจตพูดแบบนั้นเหรอ” รู้สึกเขินนิดๆ แฮะ ที่ได้ยินพี่เจตพูดถึงกันแบบนั้น คิดไม่ผิดจริงๆ ที่อยากฝากใจให้เขา ได้ยินแบบนี้แล้วสิ่งที่กังวลก็หายไปหมดเลย แล้วทำไมปิดเครื่องใส่กันวะเนี่ย เดี๋ยวต้องมีเคลียร์กันหน่อยล่ะ
“แต่แปลกนะ...” ฟ้าพูดขึ้นพลางทำหน้าครุ่นคิด “ได้ยินพี่เจตพูดว่าพูอาจจะคิดไม่เหมือนกัน แต่เราว่าพูกับพี่เจตก็ดูเข้ากันดีนี่ มีปัญหากันเหรอ”
“เปล่าหรอก แค่...เราคิดน้อยไปหน่อย” ผมลืมคิดถึงความรู้สึกของพี่เจต ลืมคิด...ว่าเขาจะรู้สึกยังไงเมื่อโดนคนที่ชอบผลักไสให้ไปหาคนอื่น
ผมผิดเอง ผมยอมรับ และอยากขอโทษเขาจากใจจริง
“ฟ้า...เรายังเป็นเพื่อนกันอยู่...ใช่ไหม” ผมถามอย่างไม่แน่ใจนัก ว่าที่แฟนผมปฏิเสธเพื่อนผม ไม่รู้เธอจะยังอยากคบหากับผมเป็นเพื่อนอยู่หรือเปล่า
“เป็นสิ อกหักแค่นี้ไม่ทำให้เราเลิกเป็นเพื่อนกับพูหรอกนะ” ฟ้าส่งยิ้มให้ผมก่อนที่เธอจะขอตัวไปอีกทางเพราะที่บ้านมารับแล้ว ผมยิ้มนิดๆ ที่ทุกอย่างจบลงด้วยดี
อนาคตคงจะมีคนเข้าหาพี่เจตมากขึ้น ผมคงต้องเตรียมใจรับมือกับคนเหล่านั้น เพราะบางคนอาจไม่ยอมจบกันดีๆ แบบที่ฟ้าทำ และผมไม่อยากตามหึงหวงเรี่ยราดให้พี่เจตต้องลำบากใจ
ว่าแต่...เมื่อไหร่พี่เจตจะเปิดเครื่องวะเนี่ย ไม่ใช่ว่างอนผมไปแล้วนะ
.
.
.
.
.
“ไอ้ถั่ว กูหามึงตั้งนาน รีบไปฟังผลแล้วไปแดกบิงซูกับกูได้ล่ะ ชักช้าอยู่นั่น...” ผมปล่อยให้แบงค์บ่นผมต่อไปเพราะตอนนี้ผมสบายใจเรื่องฟ้าล่ะ
หลังจากมองไปรอบๆ ไม่เห็นร่างสูงอยู่แถวนี้ผมจึงเลือกที่จะไปที่งานแสดงศิลปะพร้อมแบงค์ คิดว่าพี่เจตคงรออยู่ที่นั่นอยู่แล้ว เรานั่งรถของเฟรมไปกัน โดยที่ไอ้เผือกก็เอาแต่ทำหน้านิ่งไม่พูดไม่จากับคนข้างๆ จนผมกับไอ้แบงค์ต้องคอยปล่อยข่าวเด็ดๆ ออกมาเป็นระยะ ดีหน่อยที่ต่อมเผือกของมันยังทำงานเลยหันมาคุยโต้แย้งกับพวกผม พลอยทำให้เฟรมผ่อนคลายและเข้าร่วมวงสนทนากับเรา แม้มันสองคนจะไม่ได้คุยกันเพราะเอาแต่เถียง แต่ทุกคนในรถก็รับรู้ว่าบรรยากาศดีๆ กลับมาแล้ว
“กูจะไปซื้อของเซเว่น พวกมึงจะเอาอะไร” เฟรมหันมาถามผมกับแบงค์หลังจากฟังไอ้เผือกร่ายยาวถึงของที่มันอยากกินแต่ไม่ยอมไปซื้อเอง
“ไม่เอาอะ เดี๋ยวจบงานกูกับไอ้ถั่วจะไปแดกบิงซู”
“กูไปด้วย!” ทันทีเลยนะไอ้เผือก พวกเราส่ายหน้าให้ไอ้คนที่ขอมีส่วนร่วมในทุกงานของเรา
“ถ้าไม่ติดว่ามึงคบกับไอ้เฟรม กูคิดว่ามึงเล็งไอ้ถั่วอยู่นะเนี่ย แหมๆ ตามติดฉิบหาย”
“พูดห่าอะไรน่าขนลุก อย่างไอ้พูไม่ใช่สเปคกูหรอก” มันว่าพลางลูบแขนตัวเองด้วยความรู้สึกจริงๆ ของมัน อย่าว่าแต่มึงเลยเผือก กูก็ไม่เอามึงหรอก
“มึงสองตัวไม่ได้แดกกันแน่นอน เพราะเผือกนี้เป็นของกู” พูดไม่พอเฟรมยังโอบไหล่เผือกเข้ามาใกล้
“แหวะเผือกนี้เป็นของกู พูดได้ไม่อายปาก ไปๆ ไอ้ถั่ว ปล่อยแม่งจีบกันต่อไป” แบงค์ลากคอผมเข้างาน ตามด้วยไอ้เผือกที่ดิ้นหลุดจากแขนเฟรมมาได้รีบเดินเข้ามาขนาบข้างผมทันที
“พวกมึงจะไปกินบิงซูร้านไหนกัน” เผือกถามพลางก้มลงกดมือถือยิกๆ
“ร้านแถวนี้แหละ กูเพิ่งเปิดรีวิวดูว่าแถวนี้ก็มี ไอ้ถั่วจะได้ไม่บ่นว่าไกลแล้วเบี้ยวนัดกูอีก”
“อืม” ตอบรับเสร็จไอ้เผือกก็กดโทรศัพท์หาใครบางคนแล้วเดินแยกออกไปคุย ให้ผมกับแบงค์เดินไปหาที่นั่งกันก่อน
“ไม่เห็นพี่เจตเลยว่ะมึง” ผมพูดขึ้นอย่างใจเสีย หลังจากกวาดตาไปทั่วห้องโถงแต่ไม่พบร่างสูงอย่างที่คิด แบงค์มันก็ช่วยปลอบใจว่าพี่เจตคงอยู่แถวนี้ ผมอาจจะมองหาไม่ดีเอง ผมเลยขอให้แบงค์มันช่วยมองหา แต่เราก็ไม่เห็นพี่เจตแม้แต่เงา
พอเห็นพี่ฟางเดินเข้ามาในห้องโถงผมก็รีบเดินไปหาเธอทันที เผื่อว่าเธอจะรู้ว่าพี่เจตไปไหน
“เจตเหรอ พี่มาตั้งแต่บ่ายแล้วนะ ยังไม่เห็นเลย”
“เหรอครับ...”
“ทะเลาะกันรึไง” พี่ฟางพูดเหมือนรู้ทัน “กับเจตอะพี่รู้ว่ามันคิดอะไรกับน้องนะ แต่น้องอะเคยพูดเคยบอกมันบ้างไหมว่าคิดอะไร”
คำพูดพี่ฟางทำผมจุกไปหมด นั่นสินะ ผมยังไม่เคยบอกว่าชอบพี่เจตจริงจังสักครั้งเลย เอาแต่บอกปัด เปลี่ยนประเด็นไปเรื่อยๆ เพราะไม่ยอมรับหัวใจตัวเอง
“พี่ว่าเรื่องนี้น้องน่าจะคิดเองได้ อย่าช้าล่ะ ความรักมันไม่เคยรอใครหรอก บทจะมามันก็มา บทจะไปมันก็ไปง่ายๆ เหมือนกัน” พี่ฟางเดินแยกไปหาน้องชายตัวเองที่ถือถุงเซเว่นอยู่ แย่งขนมสองสามห่อแล้วนั่งลงข้างๆ เผือก
ผมก้มมองโทรศัพท์ตัวเองที่ยังคงโทรหาอีกฝ่ายไม่ติดเช่นเคย
“ผมจะบอกพี่หมดทุกอย่างเลย แต่อย่าหายไปแบบนี้ได้ไหม”
.
.
.
.
“ไงมึง โทรไม่ติดเลยเหรอวะ” แบงค์ถามขึ้นหลังจากที่ผมผละออกไปโทรหาพี่เจตครั้งที่ห้า ความจริงผมก็กดโทรออกอยู่ตลอดนั่นแหละครับ แต่เพราะกังวลว่าข้างในสัญญาณจะไม่ดีพอเลยออกไปโทรข้างนอก แต่ผลลัพธ์ก็ยังเหมือนเดิม
“ถ้าเขาเกลียดกูแล้วล่ะวะ...ที่ไปทำแบบนั้นกับเขา” ผมเล่าให้แบงค์ฟังหมดแล้วครับว่าทำอะไรลงไป โดนมันสวดชุดใหญ่ที่คิดไม่รอบคอบ มันบอกว่าที่ผมช่วยฟ้าให้ตัดใจน่ะไม่ผิดหรอก แต่น่าจะบอกพี่เจตไปตรงๆ ไม่ใช่มาทำเป็นผลักเขาไปให้คนอื่นแบบนั้น
“เขาชอบมึงมาตั้งเท่าไหร่แล้ว ทนแบกรับความรู้สึกที่มึงชอบตอบไม่ได้จนกระทั่งมึงมีใจให้เขาเนี่ย มึงคิดว่าเขาจะโง่ปล่อยมึงไปไหม”
“กูไม่รู้ว่ะ”
“มึงก็พูดแต่ว่าไม่รู้ๆ แล้วเมื่อไหร่มึงจะรู้วะ จะให้เป็นแบบไอ้เกลือไหมมึงถึงจะเข้าใจ!” ไอ้แบงค์พูดเสียงดังขึ้นจนรอบข้างหันมามอง มันเลยเงียบลงแล้วหันไปทางอื่น
“แบงค์...”
“พอๆ กูจะไม่พูดถึงเรื่องที่มันผ่านไปแล้ว ก็แค่อยากให้มึงคิดเยอะๆ จะได้ไม่มาเสียใจภายหลังแบบนี้” แบงค์เงียบไปนิด “อย่าต้องให้เป็นแบบกู ที่ไม่มีวันกลับไปแก้ไขอะไรได้อีก”
“กูขอโทษนะ” ขอโทษสำหรับทุกเรื่องที่ผ่านมา ที่มันต้องมารับรู้ปัญหาของผม คอยให้คำปรึกษา ทั้งที่มันเองก็มีปัญหาไม่ต่างกัน
“พอๆ เลิกดราม่า ยังไงไอ้เกลือก็ไม่กลับมาล่ะ เพลิดเพลินกับเทวดาบนสวรรค์จนลืมกูกับมึงแล้วมั้ง” แบงค์แค่นยิ้ม มึงบอกให้กูเลิกดราม่าแต่มึงกลับไม่เลิกนะ ผมยกแขนขึ้นปลอบใจมัน นาทีนี้ผมไม่ใช่คนที่เศร้าที่สุด แต่กลับเป็นแบงค์ที่กำลังเศร้าอยู่ทุกช่วงขณะของชีวิตตราบใดที่ยังไม่ลืมใครคนนั้น แม้มันจะหล่อเรี่ยราดไปทั่ว พูดจาเล่นหัวกับทุกคนเหมือนปกติ แต่เมื่อไหร่ที่คำว่าเกลือออกจากปากมัน ความเศร้านั้นก็เหมือนจะกลับเข้ามาอยู่เสมอ
ทั้งที่ตอนนี้ก็สามปีแล้ว...สามปีที่เพื่อนสนิทของเราจากไปตลอดกาล
ก่อนนี้เรามีกันอยู่สามคนครับ ผม แบงค์ และเกลือ เกลือเข้ามาอยู่ในกลุ่มผมได้เพียงหนึ่งปีก็เกิดอุบัติเหตุรถชนเสียก่อน ในวันที่รู้ข่าวผมกับแบงค์ทำใจรับไม่ได้ เราเพิ่งจะคุยกันหยกๆ ว่าวันหยุดจะไปดูหนังเข้าใหม่ด้วยกัน ทั้งๆ ที่มันขับรถเก่งกว่าใคร แต่กลับจากไปโดยไม่มีคำบอกลา เราสองคนไม่เชื่อ ถึงกับบุกเข้าในโรงพยาบาล เพียงเพราะอยากเห็นว่ามันนั่งอยู่บนเตียง บ่นเจ็บนิดๆ หน่อยๆ ให้พวกผมด่าเล่นที่มันไม่รู้จักระวัง แต่ป้าของเกลือก็จัดการทุกอย่างรวดเร็วไปหมด เราไม่เห็นแม้กระทั่งร่างของเพื่อน ไม่ได้ไปแม้กระทั่งงานศพ ป้ามันไม่รับความเห็นอกเห็นใจจากใครทั้งนั้น ไม่เรียกร้องให้ใครไปหาหลานชายของเธอ ทำทุกอย่างเงียบกริบเหมือนเกลือไม่เคยมีตัวตนอยู่บนโลก
เกลือเคยบอกพวกเราว่าพ่อกับแม่ของมันเสียตั้งแต่มันยังเด็ก มีเพียงป้าที่รับมันเข้ามาเลี้ยงดู ป้าก็เลี้ยงดูมันตามมีตามเกิด แต่มันก็ไม่เดือดร้อนอะไร แค่มีที่ซุกหัวนอนก็พอแล้ว มันดีใจมากที่ได้ย้ายเข้ามาเรียนที่นี่เพราะโรงเรียนเก่ามันแย่มาก มีแต่พวกมั่วสุมและหาเรื่องตีกันไปวันๆ มันดีใจที่ได้เป็นเพื่อนกับเราทั้งสองคน และดูมีความสุขทุกครั้งที่มาโรงเรียน
“กูไม่อยากกลับบ้านเลยว่ะ ไปเที่ยวกันต่อได้ไหม” นั่นเป็นคำสุดท้ายที่เราได้พูดคุยกัน เพราะผมและแบงค์ต่างก็ต้องกลับบ้าน แบงค์ต้องไปงานเลี้ยงกับพ่อแม่ของมัน ส่วนผมวันนั้นพี่ลันบอกจะเข้าครัวเลยต้องรีบกลับเพราะกลัวพี่ชายทำอะไรพิเรนทร์ บอกเกลือเพียงแค่ว่าพรุ่งนี้เจอกัน
คิดไม่ถึงว่าพรุ่งนี้...จะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว
แบงค์ร้องไห้เป็นอาทิตย์ ตามหาบ้านเกลือไปทั่ว ขอที่อยู่จากครูก็ได้เพียงบ้านเช่าที่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่อีกแล้ว ไม่สิ ไม่มีคนอยู่มาสามเดือนแล้วต่างหาก ราวกับว่าเกลือเป็นสายลมที่ผ่านพัดมาแล้วก็ผ่านเราไป ไม่มีอะไรเป็นหลักฐานว่าเคยมีมันอยู่ แม้แต่รูปถ่ายเราก็ไม่มี เพราะเกลือไม่ชอบถ่ายรูป
ผมมองเพื่อนซี้ที่นั่งเงียบ ทอดสายตาเหม่อมองไปไกล แบงค์มันชอบเกลือมาก ชอบแบบที่ผมไม่เคยเห็นมันเป็น แค่เสื้อตราห่านคู่ที่เกลือซื้อให้ มันก็ดีใจพูดไม่หยุดไปสามวันสี่วัน ใครตามเต๊าะเกลือก็ไล่เตะไล่ถีบหมด เผื่อแผ่ลามมาถึงผมจนมีคนตั้งฉายาให้มันว่าไอ้คนสองใจ แต่มันก็ไม่หยี่ระ คอยปกป้องพวกผมอยู่เหมือนเดิม พยายามทำดีกับเกลือมากหน่อยเพราะอยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าชอบ
เพียงแต่เกลือไม่ได้ชอบมัน เกลือชอบผม และผมเพิ่งรู้หลังจากทราบข่าวว่าเกลือจากไปแล้ว แบงค์บอกผมตรงๆ ตามนิสัยของมัน และบอกว่าจะไม่หยุดตามหาเกลือจนกว่าจะเห็นศพหรือเถ้ากระดูก ผมเองก็ไม่กล้าพูดห้ามอะไร เพราะใจหนึ่งก็ยังหวังว่าเพื่อนรักจะยังอยู่ แต่เวลาผ่านไปนานเข้า เราทั้งคู่ก็จำเป็นต้องยอมรับความจริงว่าเกลือจากเราไปแล้วจริงๆ
“ชื่อมึงอะ” แบงค์สะกิดผมให้ขึ้นไปรับรางวัลบนเวที ผมรับรางวัลพลางกวาดตามองไปรอบๆ เผื่อจะเจอร่างสูงหลบอยู่มุมใดมุมหนึ่งจนกระทั่งสตาฟเชิญลงนั่นแหละ ผมถึงต้องลงจากเวที
“ไงมึง ได้เงินเท่าไหร่วะ” แบงค์หยิบซองเงินจากมือผมไปเปิดดูทันที “โห่ ห้าร้อย แดกบิงซูได้ถ้วยเดียวเองมั้งเนี่ย” มันบ่นแล้วส่งซองคืนผม
“เงินกูด้วย” ถ้าตาไม่ไวพอนี่โดนปล้นแล้วครับ ไอ้เพื่อนเวร
“เดี๋ยวกูจ่ายไง มึงไม่ต้องถือเงินหรอก เซ่อๆ อย่างมึงเดี๋ยวโดนปล้นกูก็อดแดกพอดี”
“ใครบอกว่ากูจะเลี้ยงมึง เอามานี่” ผมดึงแบงค์ห้าร้อยกลับมาใส่ซอง “เผลอไม่ได้เลยนะมึง”
“ได้รางวัลทั้งทีก็เลี้ยงเพื่อนหน่อยดิวะ อย่างก”
“เพื่อนรวยๆ อย่างมึงทำไมกูต้องเลี้ยง เอาเสื้อมึงไปขายทอดตลาดส่งกูเรียนได้จบเอกเลยด้วยซ้ำ”
“อย่าคิดจะมาแหยมกับเสื้อกูนะไอ้พู!” แบงค์กอดอกตัวเองแน่น กูคงจะแย่งเสื้อจากตัวมึงหรอกนะ เฮ้อ มีเพื่อนเสียสติบางทีก็เหนื่อยแฮะ
“เอาล่ะครับ มาถึงรางวัลที่ทุกคนรอคอย” ป่านนี้ยังเหลือของใครให้ลุ้นอีกเหรอครับ ผมมองเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่มองหน้ากันอย่างงงๆ เพราะพวกเราได้รางวัลกันครบทุกคนแล้ว คนจะเป็นเด็กจากโรงเรียนอื่นล่ะมั้ง
“ขอบอกว่าภาพนี้ที่ชนะเลิศไม่ใช่เพราะเทคนิคการวาดเพียงอย่างเดียว แต่เพราะความละเอียดในการตีความหัวข้อธรรมชาติด้วยครับ”
“เท่าที่ดูก็วาดต้นไม้ใบหญ้ากันหมดนี่ มีอะไรต้องตีความอีกเหรอวะ” แบงค์ถาม
“กูจะไปรู้ไหมล่ะ รอเขาโชว์ภาพก่อนดิเดี๋ยวกูสาธยายให้คนหัวใจไร้ศิลปะอย่างมึงเข้าใจเอง”
“ได้ทีกัดกูตลอด ก็แค่วาดรูปปะวะ”
“มันมีอะไรมากกว่าที่มึงคิดเยอะ”
“เออ...กูก็ว่างั้น” แบงค์จ้องไปทางหน้าเวทีด้วยแววตาอึ้งๆ ก่อนจะเบนสายตามามองผมที่นั่งหันหน้าเข้าหามัน
“มีอะไรวะ”
แบงค์ไม่ตอบแต่กลับชี้ไปทางหน้าเวทีให้ผมมองตาม ภาพที่ปรากฏอยู่ในมือของพิธีกรคือภาพของผมที่กำลังนั่งวาดภาพด้วยรอยยิ้มเล็กๆ อย่างเป็นธรรมชาติและดูมีความสุข
“ภาพเชี่ยอะไรดูดีกว่าตัวจริงอีก” แบงค์พึมพำเบาๆ แต่ผมได้ยินจึงทุบหลังมันไปทีแล้วจ้องภาพนั้นด้วยแววตาสนเท่ห์ ว่าใครกันที่วาดภาพนี้ แต่จากมุมที่ผมเห็น มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่พอจะเป็นไปได้
“ภาพของพี่สู้พูไม่ได้หรอก”จู่ๆ คำพูดและรอยยิ้มนั้นก็ผุดขึ้นมาในความคิด
“นายเจตรินทร์...” เสียงปรบมือดังเกรียวกราว หวังให้เจ้าของภาพขึ้นไปรับรางวัลและบอกเล่าเรื่องราวที่เลือกวาดภาพนี้ เพื่อนหลายคนส่งสายตาล้อๆ มาให้ผมเป็นระยะ บางคนก็มองหากันให้ควักว่าคนที่อยู่ในภาพเป็นใคร
ขณะที่ผมมองหาเพียงเจ้าของภาพวาด ที่ยังคงไร้วี่แววเช่นเคย
พี่เจต...พี่หายไปไหนวะ
“พี่เจตแม่งไม่อยู่จริงๆ ว่ะ กูขึ้นไปเอารางวัลแทนได้ไหม เงินรางวัลไม่ใช้น้อยๆ เลยนะ” แบงค์มองรางวัลล่อใจตาวาว
“แบงค์ กูไม่เล่น” ผมจริงจังมาก การหายไปของพี่เจตไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้ว เขาจงใจหลบหน้าผม หรือตัดใจจากกันไปแล้วกันแน่ ทำไมถึงหายไปโดยไม่บอกอะไรเลย
พรวด
“เดี๋ยวๆ มึงจะไปไหนวะ” แบงค์คว้ามือผมไว้ ก่อนที่ผมจะเดินหนีออกมา
“กูจะไปตามหาพี่เจต”
“มึงจะไปหาเขาที่ไหน”
“ที่บ้านเขาไง” ผมยัดซองเงินรางวัลใส่มือเพื่อนซี้เป็นการไถ่โทษที่ไม่อาจไปกินบิงซูกับมันได้ “กูต้องไปหาเขา ไปหาแดกเองนะ”
“เรื่องนั้นมันไม่สำคัญแล้วว่ะ เดี๋ยวกูไปตามหาพี่เจตเป็นเพื่อนมึงเอง”
“ไม่ต้อง...”
“เงียบปากไปเลย จบงานนี้ค่อยปิดร้านเลี้ยงกู” ไม่เคยเห็นแก่กินเลยนะมึง ผมพยักหน้ารับก่อนที่เราจะรีบออกจากงาน
“พวกมึงจะไปไหนกันวะ” ไอ้เผือกรีบวิ่งมาขวางพวกเราไว้
“กูมีธุระ มึงไปแดกกับไอ้เฟรมละกัน” ผมบอกเพื่อนแล้วรีบลากไอ้แบงค์ให้รีบขึ้นรถเมล์ที่จอดเทียบพอดี
“เดี๋ยวๆ ไอ้พูเดี๋ยว!” ไอ้เผือกทำท่าจะตามมา แต่รถก็แล่นออกมาก่อน
“ไอ้เผือกมันเป็นอะไรวะ ทำไมดูเครียดๆ ตอนเห็นมึงกับกูขึ้นรถเมล์มา”
“กูจะรู้ไหมล่ะ” ผมตอบพลางควักเงินในกระเป๋าจ่ายค่ารถเมล์ เรายืนกันไปตลอดทาง ใจผมก็หวังเพียงว่าพี่เจตจะอยู่บ้าน นั่งกระดิกเท้าดูทีวีรอผมไปง้อ พอถึงแถวบ้านพี่เจตผมก็รีบกดกริ่งแล้วลงไปทันที รีบตรงดิ่งไปยังบ้านหลังเดิมที่ผมคุ้นเคยดี ประตูบ้านปิดสนิทคล้องแม่กุญแจบ่งบอกว่าเจ้าของบ้านยังไม่กลับมา
“มาหาใครจ๊ะหนู” เสียงแหบๆ ของคุณยายข้างบ้านพี่เจตดึงความสนใจของเราไปหาเธอ
“มาหาพี่เจตครับ คุณยายเห็นเขาไหม” ผมถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ แบงค์บีบไหล่ผมเบาๆ เป็นการปลอบใจ
“เอ เห็นออกไปตั้งแต่เช้าแล้วนะ ยังไม่กลับมาเลย”
“เหรอ..ครับ”
พอคุณยายเดินกลับเข้าไปในบ้าน ผมทรุดนั่งบริเวณหน้าบ้านพี่เจตอย่างหมดแรง ไม่รู้แล้วว่าจะไปตามหาเขาที่ไหน รู้สึกเหมือนจะขาดใจเมื่ออีกฝ่ายหายไปแบบนี้ ผมนี่มันแย่ที่สุด มารู้สึกตัวอะไรตอนนี้ ตอนที่ทุกอย่างสายไปหมดแล้ว
“มึง...กูว่าเรากลับกันก่อนดีไหม พรุ่งนี้ค่อยมาก็ได้ พี่เจตมันคงไม่ไปไหนไกลหรอกยังไงที่นี่ก็บ้านเขา เดี๋ยวก็คงกลับมา”
“ถ้าอย่างนั้นกูจะรอเขาที่นี่ ตรงนี้” เหมือนที่เขารอผมมาตลอด
“มึงรอมาสามชั่วโมงแล้วนะ แถวนี้ยุงชุมด้วย กลับกันก่อนเถอะว่ะ พ่อกูโทรตามแล้วเนี่ย”
“มึงกลับไปก่อนเลย กูอยู่ได้”
“ไม่ได้ กูไม่ปล่อยให้มึงอยู่คนเดียวแน่ๆ”
“มึงว่าพี่เจตจะอยู่กับแอลไหมวะ” ผมไม่ตอบรับเพื่อนแต่เลือกที่จะค้นหาที่อยู่ของพี่เจตต่อไป
“ก็อาจจะ แล้วทำไมมึงไม่โทรหาแอล”
“กูลืม” ผมลืมนึกถึงแอลไปสนิท รีบต่อสายหาคนตัวเล็กที่น่าจะยังไม่นอน “แอล พี่เจตอยู่กับแอลไหม”
(หืม ไม่นะ ไม่ได้อยู่กับพูเหรอ เห็นบอกว่าจะไปฟังประกาศผลด้วยกันนี่)
“เปล่าน่ะ พี่เจตไม่ได้มา”
(อ้าว งั้นที่บ้านล่ะ)
“ไม่อยู่เหมือนกัน” ผมเม้มปากแน่น ดวงตาร้อนผ่าวจนต้องกระพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่น้ำตาที่จวนเจียนจะไหลออกมา
“พู กลับกันเถอะว่ะ” แบงค์เร่งผม พลางฉุดลากผมออกไปหน้าซอยด้วยกัน
“กูไม่ไป มึงจะบังคับกูทำเชี่ยอะไร!” ผมตะโกนลั่น ตอนนี้ความรู้สึกมันตีวนไปหมด ไม่รู้จะทำอะไรยังไงดี เหมือนหมดหนทางทั้งที่ยังไม่ทันเริ่มอะไร
“มานี่!” แบงค์ไม่ละความพยายาม มันลากผมแล้วเร่งฝีเท้าจนเรามาถึงรถของพ่อแบงค์ที่จอดเทียบฟุตบาทพอดี แบงค์ยัดผมเข้าไปในรถแล้วตามขึ้นมานั่งข้างกัน “ออกรถเลยพ่อ” สิ้นคำแบงค์ รถคันหรูก็เร่งความเร็วขึ้นทันที
“นี่มันเรื่องอะไรวะ” ผมพูดเสียงลอดไรฟัน ไม่กล้าเสียงดังใส่แบงค์เพราะพ่อของมันอยู่ด้วย
“กูก็ไม่รู้หรอก กูเห็นคนท่าทางแปลกๆ เดินผ่านไปผ่านมาหลายรอบ พอสบโอกาสที่มันเดินเข้าไปในซอย กูก็รีบพามึงออกมานี่แหละ”
“คิดมากไปเปล่าวะ”
“ไม่รู้แหละ สัญชาตญาณกูบอก แถมพวกมันยังจ้องมึงด้วย ดูไม่น่าไว้ใจเลย”
“ตกลงเอาไง จะให้พ่อไปส่งพูที่บ้านเลยไหม”
“ไม่เอาอะพ่อ วันนี้ผมจะให้ไอ้ถั่วไปนอนบ้านเรา” เห้ย มึงด่วนตัดสินใจอะไรไม่ปรึกษากูเลยเหรอ
“วันนี้กูจะนอนบ้าน พ่อครับ เลี้ยวซอยหน้าเลยครับ”
“พู นี่กูห่วงมึงนะ” แบงค์พูดเสียงจริงจัง “พ่อกับแม่มึงก็ไม่อยู่ ไม่มีใครปกป้องมึงได้เลย”
“แบงค์ กูโตแล้วนะโว้ย แล้วกูก็เป็นผู้ชายด้วย กูดูแลตัวเองได้” แบงค์มันฮึดฮัดนิดๆ แต่เพราะผมเองก็ไม่ยอมมันก็เลยทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยให้ผมอยู่บ้านตัวเอง เพราะเดี๋ยวมันต้องเดินทางไปต่างจังหวัดพรุ่งนี้ตอนเช้ามืดกับครอบครัว จะให้พวกเขาถ่อมารับมันที่บ้านผมทั้งที่อยู่คนละฟากก็ดูจะเกินไป ผมเลยไล่ให้มันกลับไปนอนบ้าน
“ผมไม่ไปได้ปะพ่อ นี่ห่วงพูมันจริงๆ นะ”
“แกแค่ไม่อยากเจอญาติฝั่งโน่นเลยหาข้ออ้างมากกว่า ยังไงก็ต้องไป เขาแต่งงานทั้งทีก็ต้องไปช่วยงานเขาสิ” พ่อแบงค์พูดอย่างมีเหตุผล สุดท้ายแบงค์ก็ต้องยอมไปแต่ไม่วายกำชับให้ผมรับโทรศัพท์มัน และถ้ามีปัญหาไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ก็ต้องโทรหามันทันที
“นึกว่าได้พ่อคนที่สอง” ผมส่ายหัวนิดๆ แล้วเปิดประตูเข้าบ้านไปด้วยความเหนื่อยล้า พรุ่งนี้ผมจะรีบไปหาพี่เจตแต่เช้า แม้เขาจะไม่อยากเจอหน้า แต่ผมก็จะตื้อจนกว่าเขาจะใจอ่อน ไม่เอาแล้ว ผมไม่อยากรู้สึกแบบนี้อีก หลีกหนีหัวใจตัวเองไม่สนุกเลยสักนิด
ผมเปิดคอมพิวเตอร์ทิ้งไว้แล้วเข้าไปอาบน้ำ เรียบร้อยแล้วก็เข้าเฟซพี่เจต อ่านข้อความที่เราคุยกันบนไทม์ไลน์ รวมถึงในแชท ผมคิดถึงช่วงเวลาที่เราได้อยู่ใกล้ๆ กัน มือก็พยายามกดโทรออกจนกว่าอีกฝ่ายจะเปิดเครื่องและรับรู้ว่าผมอยากคุยกับเขามากแค่ไหน
พรึ่บ
ไฟดับสนิททั้งบ้าน ถ้าไม่ติดว่าพ่อกับแม่ไม่อยู่ผมคงคิดว่าพวกเขาเซอร์ไพร์ซวันเกิดผมแน่ๆ ตอนนี้เพิ่งเลยเที่ยงคืนมาหนึ่งนาที เข้าสู่วันเกิดของผมแล้ว วันเกิดที่ดูจะเศร้าหมองยังไงไม่รู้แฮะ
พรึ่บ
แสงจากหน้าจอคอมดึงความสนใจจากผมได้ดี
“พู” ภาพเคลื่อนไหวและใบหน้าเปื้อนยิ้มของเพื่อนสนิทที่จากไปฉายอยู่บนหน้าจอ ผมรู้สึกหลอนนิดๆ แต่เพราะเชื่อว่านี่ไม่ใช่เรื่องสยองขวัญจึงนั่งฟังคำอวยพรจากเพื่อนประมาณสิบนาทีได้
“วันเกิดมึงปีนี้ ถ้ามึงเห็นคลิปนี้แสดงว่ากูไม่อยู่แล้วนะ” เกลือพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ หมายความว่ายังไง...
หรือว่าเกลือ...รู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย
“ที่กูอัดคลิปแล้วส่งให้มึง กูมีเหตุผลนะ คือ...กูจำเป็นต้องฝากอะไรมึงเรื่องหนึ่ง เพราะกูไว้ใจมึงที่สุด และกูเชื่อว่ามึงจะนำสิ่งที่กูพูดไปบอกคนคนหนึ่ง” เกลือเงียบไปนิดแล้วจ้องมาที่ผม “รหัสคือ...” รหัสอะไรวะ ผมขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
“มึงไม่จำเป็นต้องรู้ว่าใช้ทำอะไร เพราะมันอันตรายเกินไป แต่เมื่อไหร่ที่คนชื่อชูการ์มาหามึง แค่บอกเขาไป ที่เหลือเขาจะจัดการเอง”
ชูการ์ ทำไมชื่อนี้มันคุ้นๆ วะ
“ฟู่ ยากเหมือนกันแฮะ กูหวังแค่ว่าคลิปนี้จะไม่ส่งถึงมึงนะ เพราะกูอยากพูดต่อหน้ามันด้วยตัวเอง” เกลือเม้มปาก
“แต่ถ้ามันไม่มีวันนั้น กูก็ขอพูดเลยละกัน” เกลือส่งยิ้มให้ผม “กูไม่ได้ชอบมึงพู กูชอบไอ้แบงค์ หลอกให้มันเข้าใจไปอย่างนั้นเพราะรู้ว่ามึงไม่เคยคิดกับกูในแง่นั้น และกูก็ไม่อยากให้มันเจ็บถ้ารู้ว่าสักวันกูต้องจากไป...ให้กูเป็นความทรงจำดีๆ เป็นเพื่อนของพวกมึงสองคนก็พอแล้ว...”
คลิปหยุดอยู่แค่นั้นก่อนจะเริ่มต้นลบตัวเองอย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยว...อย่าเพิ่ง” ผมกดแป้นคีย์บอร์ดหวังให้ตัวเองสามารถหยุดการลบคลิปนั้น แต่ไม่ทันเพราะมันถูกลบไปแล้วและหน้าจอก็กลับเข้าสู่ภาวะปกติ เหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความฝัน
อย่างน้อย...ก็น่าจะให้กูได้บันทึกข้อความที่มึงฝากให้แบงค์ไว้ก็ยังดี
ผมเอนตัวพิงเก้าอี้อย่างเหนื่อยอ่อน รู้สึกตัวเองไร้ประโยชน์ไปหมด จะทำอะไรก็ดูชักช้าไม่ทันการณ์สักอย่าง
“ฮึก” ผมกลั้นสะอื้นได้ไม่นานก็ปล่อยโฮออกมา “ฮือ”
แกรกๆ
ผมชะงักและหยุดร้องเมื่อได้ยินเสียงไขประตูห้อง รีบกวาดตาหาอาวุธพอเหมาะมือ และกดต่อสายหาไอ้แบงค์ทันที
แอด
ร่างทะมึนเดินเข้ามาช้าๆ แต่หนวดเคราหร็อมแหร็มไม่อาจปิดบังใบหน้าคุ้นเคยที่ผมจำได้ดี ดวงตาอ่อนโยนทอดมองมาเช่นเดียวกับรอยยิ้มบางและแขนสองข้างที่อ้ารอการตอบรับ ผมทิ้งทุกอย่าง แม้แต่ปลายสายที่ส่งเสียงโวยวายเพราะโทรไปกวนเวลานอนมัน ผมก็ปล่อยทิ้งไว้แล้วโผเข้าหาคนที่ผมคิดถึงอยู่ตลอด
“พี่ลัน!” ผมกอดพี่ชายแน่นด้วยความคิดถึง ร้องไห้โฮเหมือนเด็กๆ พี่ลันเองก็กอดผมแน่นเหมือนกัน เรากอดกันอยู่อย่างนั้นเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่ไม่ได้เจอกันนาน
TBC.
⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀
บทนี้หลากหลายอารมณ์ 555 ตอนท้ายเลยยกให้พี่น้องคู่นี้เขาซะเลย
ส่วนเบื้องลึกเบื้องหลังของเรื่องนี้จะเริ่มเฉลยกันในตอนหน้าจ้า (ไหนเอ็งบอกว่าใสใส 5555 เราไม่อาจอยู่ได้โดยไม่มีเงื่อนงำ ขอนิดๆ หน่อยๆ ละกันโน๊ะ) ส่วนใครที่สงสัยว่าพี่เจตหายไปไหน รอตอนหน้านะคะ เดี๋ยวเขามาเล่าให้ฟัง
ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์ค่ะ ดีใจที่ยังมีคนอ่าน 